Book Review: สู่ชัยชนะ

สู่ชัยชนะ

ผู้เขียน แจ๊ค เวลช์ และ ซูซี่ เวลช์ ผู้แปล ญาณินี

แจ๊คเวลซ์ เริ่มต้นชีวิตการทำงานกับบริษัท เจลเนอรัลอิเลคทริค (GE) ในปี 1981ได้เป็น ประธานบริหาร และ ซีอีโอคนที่แปดของบริษัทฯ ตลอดเวลา 41 ที่แจ๊คเวลซ์ ทำงานให้จีอี ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งบริหาร
มูลค่าทุนตามราคาตบาดของจีอีเพิ่มสูงขึ้นถึสี่แสนล้านเหรียญ ทำให้จีอีกลายเป็นองค์กรณ์ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรง สไตล์การทำงานที่เน้นความเป็นเลิศ และควา มซื่อสัตย์ของเขากลายเป็นมาตรฐานระดับสูงในการทำธุรกิจ รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับ คน ทีมงาน และ ผลกำไร ปัจจุบัน เวลซ์เป็นเจ้าของบริษัทแจ๊กเวลล์แอลแอลซี ซึ่งทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่ซีอีโอกลุ่มเล็กๆของบริษัทในรายชื่อฟอร์จูน 500 และ บรรยายให้นักธุรกิจ และ นักศึกษาทั่วโลก กว่า 250,000 คน

เนื้อหาหลักของหนังสือ สู่ชัยชนะ พูดถึงหลักปรัชญาทางธุรกิจ ให้ความสำคัญแก่ค่านิยม ความตรงไปตรงมา การสร้างความแตกต่าง รวมไปถึงการรับฟังความคิดเห็นและ การดำรงรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของทุกคน โดยแบ่งเป็น สามส่วน

ส่วนแรก เจาะลึกเรื่องราวในบริษัท จากการเป็นผู้นำไปถึงการสรรหาผู้ชนะที่ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง
ส่วนที่สอง พิจจารณาคู่แข่งภายนอกในบทที่ว่าด้วยกลยุทธ์ การควบรวมกิจการ และหลักการซิกซ์ซิกม่า
ส่วนสุดท้าย เป็นการจัดการชีวิตการทำงาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่การมองหางานที่ใช่ไปจนถึงการสร้างสมดุลระหว่างงานกับชีวิต

รากฐานของทุกอย่าง

1. พันธกิจและค่านิยม (มีแต่คำคุยโวสารพันเกี่ยวกับสิ่งสำคัญยิ่งนี้)

“ พันธกิจ ” ที่มีประสิทธิภาพจะตอบคำถามว่า เราตั้งใจจะเอาชนะในธุระกิจนี้ด้วยวิธีใด เป็นการกำหนดให้บริษัทต้องตัดสินใจเลือกบุคคลากร การลงทุน และทรัพยากร บังคับให้บริษัทมองหาจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเพื่อประเมินว่า ตนจะลงสนามแข่งอย่างไร ที่จะทำกำไรได้ การทำกำไรเป็นกุญแจสำคัญในการวัดความเจริญเติบโตของบริษัท ท้ายที่สุดพันธกิจที่มีประสิทธิภาพ จะสร้างความสมดุลระหว่างสิ่งที่เป็นไปได้กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยทำให้พนักงานเข้าใจถึงทิศทางที่นำไปสู้ความสามารถในการทำกำไร และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ตนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญ และ การกำหนดพันธกิจถือเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับสูง

“ ค่านิยม ” คือวิธีการที่จะบรรลุพันธกิจ วิธีการไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ทุกคนในบริษัทควรมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในการกำหนดค่านิยมซึ่งก็คือชัยชนะ การมีคนเข้าร่วมมากขึ้นย่อมทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น ได้ข้อคิดที่แตกต่าง และที่สำคัญจะได้ผู้ร่วมกระบวณการ ผู้ร่วมอุดมการณ์ เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ค่านิยมที่แท้จริงทีได้นั้นผู้บริหารควรตรวจสอบจากคนในองค์กรหลายครั้งจนแน่ใจว่า พนักงานทุกคนรู้สึกว่าตนต้องมีส่วนร่วม ค่านิยมและพฤติกรรมจะไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีผู้สนับสนุน ถ้าอยากให้ค่านิยมีความหมายจริงๆ บริษัทต้องปูนบำเหน็จให้ผู้ปฎิบัติและลงโทษแก่ผู้ที่ไม่ปฎิบัติ บริษัทจะได้รับชัยชนะมากขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับ
พันธกิจ ที่มาจากผู้บริหารระดับสูง

2. ความตรงไปตรงมา (ความลับเล็กๆน้อยๆที่สกปรกที่สุดในวงการธุรกิจ)

ความตรงไปตรงมา 3 ประการที่นำไปสู่ชัยชนะ คือ
2.1 ทำให้ผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมเสนอความคิด เรียนรู้ และมีใจ กับการสนทนามากขึ้น เกิดข้อได้เปรียบขึ้นมาทันที
2.2 ทำให้เกิดความเร็วในการปฎิบัติ จากการเปิดเผยความคิด จะขยายผล และพัฒนานำไปสู่การปฎิบัติ ที่รวดเร็วกว่าบริษัทอื่น
2.3 ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก ถ้าสร้างให้เกิดการสนทนาที่แท้จริงแทนการประชุมที่ไร้สาระ

ถ้าต้องการความตรงไปตรงมา ผู้บริหารต้องให้รางวัล ยกย่องและเชิดชูผู้แสดงออกถึงความตรงไปตรงมาให้เป็นวีรบุรุษต่อหน้าทุกคน ที่สำคัญคุณต้องแสดงความตรงไปตรงมาอย่างกระตือรือร้น บางครั้งอาจต้องแสดงออกนอกหน้าไปบ้าง

3. การสร้างความแตกต่าง (ใครว่าผมโหดร้ายและยึดทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ส์ ดาร์วิน นี่คือความยุธิธรรมและมีประสิทธิภาพต่างหาก )

การสร้างความแตกต่างคือ วิธีการจัดการคนและธุรกิจ ทุกบริษัทจะมีธุรกิจหรือสายผลิตภัณฑ์เป็นจุดแข็ง จุดอ่อนและจุดที่อยู่ระหว่างกลาง การสร้างความแตกต่างจะต้องอาศัยผู้จัดการ ที่แยกแยะว่าอะไรเป็นอะไรอย่างท่องแท้ และลงทุนให้สอดคล้องตามนั้น ถ้าไม่สร้างความแตกต่างในธุรกิจและสายผลิตภัณฑ์ ผู้จัดการทุกคนจะเผชิญกับการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก ส่วนวิธีการสร้างความแตกต่างเรื่องคนเป็นการสร้างความแตกต่างในหมู่พนักงานซึ่งกำหนดให้ผู้จัดการต้องลงมือปฎิบัติจริงๆ เพราะผู้จัดการส่วนใหญ่มักคิดถึงการสร้างความแตกต่างแต่น้อยคน ที่จะปฎิบัติจริง

4. ความคิดเห็นและศักดิ์ศรี ( ทุกสมองมีค่าในเกมเสมอ )
ทุกคนในโลกต้องการแสดงความคิดเห็นและดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีด้วยกันทั้งสิ้น จงตระหนักในสิ่งที่ตนเชื่อมั่น ความเชื่อนี้คือตัวเชื่อมโยงหลักการของพันธกิจ ค่านิยม ความตรงไปตรงมาและการสร้างความแตกต่าง

การแสดงความคิดเห็น หมายถึง คนเราต้องการโอกาสที่จะพูดสิ่งที่ตนคิดและต้องการให้คนอื่นรับฟังความคิด ความเห็น และความรู้สึกต่างๆ ของตนไม่ว่าคนนั้นจะมีสัญชาติ เพศ อายุ หรือวัฒนธรรมใดๆ ก็ตาม
ศักดิ์ศรี หมายถึง คนเรามีความต้องการฟื้นฐานโดยสัญชาตญาณที่จะได้รับความนับถือในเรื่องงาน ความพยายาม และความเป็นปัจเจกบุคคลของตน

บริษัทของคุณ

5. การเป็นผู้นำ ( ไม่ใช่เรื่องของคุณคนเดียว )

งานที่ผู้นำทำ เต็มไปด้วยหลักการที่มีความขัดแย้งกันอยู่ในตัวและการรักษาสมดุลให้
สิ่งที่ผู้นำต้องทำ ๘ ข้อคือ
1. ผู้นำต้องพัฒนาทีมของตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน โดยใช้โอกาสทุกครั้งที่พบกันในการประเมิน ชี้แนะ และ สร้างความเชื่อมั่นในลูกทีม
2. ผู้นำต้องทำให้ลูกน้องมีวิสัยทัศน์ และผู้นำต้องยึดถือและปฎิบัติเองด้วย
3. ผู้นำต้องเข้าถึงทุกคน พลักดันให้เกิดพลังในเชิงบวก และการมองโลกในแง่ดี
4. ผู้นำสร้างความไว้วางใจด้วยความตรงไปตรงมา ความโปร่งใสและการปูนบำเหน็จความชอบ
5. ผู้นำต้องกล้าตัดสินใจเรืองที่ขัดแย้งกับคนส่วนใหญ่และเชื่อมั่นในสัณชาตญาณของตนเอง
6. ผู้นำต้องขุดคุ้ยและผลักดันการทำงานต่างๆ ด้วยความกระหายใคร่รู้และความกังขา และติดตามให้ทุกคำถามที่ถามไปได้รับคำตอบเป็นการลงมือปฎิบัติได้
7. ผู้นำต้องลงมือกระตุ้นให้เกิดความกล้าเสี่ยงและการเรียนรู้โดยการแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง
8. ผู้นำต้องฉลองความสำเร็จ

6. การว่าจ้าง ( คุณสมบัติของผู้ชนะ )

การจ้างคนเก่งเป็นเรื่องยาก การจ้างคนที่ดีเยี่ยมเป็นเรื่องยากแสนสาหัส
วิธีการเลือกจ้างคนที่เป็นผู้นำเข้ามาตั้งแต่ต้น โดย
6.1 ทดสอบคคุณสมบัติ
6.1.1 ความชื่อสัตย์
6.1.2 ความเฉลียวฉลาด มีความรู้กว้างขวาง ใฝ่รู้
6.1.3 วุฒิภาวะ คือทนต่อปัญหา รับมือกับอุปสรรค เคารพความรู้สึกของคนอื่น ถ่อมตน มั่นใจไม่หยิ่งผยอง
6.2 กรอบการทำงาน 4-E (กับ 1-P) ที่มีประสิทธิภาพทุกธุรกิจ และทุกสถานที่
E - Energy หรือ พลังงานทางบวก มักเปิดเผยและมองโลกในแง่ดี
E - Energize หรือ ความสามารถที่จะสร้างพลังให้ผู้ อื่น
E - Edge หรือ ความกล้าที่จะตัดสินใจทำหรือไม่ทำเรื่องยากๆ
E - Execute หรือ ความสามารถในการทำให้งานสำเร็จลุล่วง
P - Passion หรือ ความตืนเต้นอย่างแท้จริง ในเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ
รวมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน คุณจะได้คนที่มีชัยชนะ

การว่าจ้างบุคคลากรระดับสูง ต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการ
1 ความไม่เสแสร้ง ต้องรู้จ้กตนเองเพื่อตรงไปตรงมากับคนทั้งโลก
สร้างพลังให้ลูกน้อง และเป็นผู้นำโดยใช้อำนาจที่เกิดจากไม่เสแสร้ง
2 ความสามารถในการมองการณ์ไกล ผู้นำที่ดีต้องมีความสามารถพิเศษในการคาดคะเนสิ่งที่อยู่ นอกเหนือความคาดหมายในธุรกิจ ในสภาพการแข่งขันที่ดุเดือด
3 ความปรารถอย่างแรงกล้าที่จะอยู่ในวงล้อมของคนที่เก่ง และ ฉลาด
4 การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำ

7. การบริหารงานบุคคล ( ได้คนที่ใช่แล้วไงต่อ )
คุณได้ผู้เล่นที่ใช่ ลงสนามแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมมาก แต่เราต้องบริหารคนเหล่านี้ด้วยหลักการคือ
7.1 ยกระดับแผนกบุคคลให้มีอำนาจและความสำคัญอันดับแรกขององค์กร และดูให้พนักงานในแผนกนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยเหลือผู้จัดการสร้างผู้นำและอาชีพการงานได้
7.2 ใช้ระบบประเมินผลที่เคร่งครัดและไม่มีพิธีรีตรองมากเกินไป
7.3 สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ เงิน การยอมรับ การฝึกอบรมเพื่อสร้างและรักษาแรงจูงใจ 7.477 7.4 เผชิญหน้าตรงๆกับความขัดแย้งอันขัดแย้ง ทั้งสหภาพ ทั้งตัวป่วน ทั้งดาวรุ่ง ดาวร่วง
7.5 ต่อสู้กับแรงดึงดูด ให้ปฎิบัติเสมือนพวกเขาเป็นชีวิตและจิตใจขององค์กร
7.6 ออกแบบผังองค์กรให้ดู่ง่ายที่สุด โดยระบุความสัมพันธ์และความรับผิดชอบอย่างชัดเจน

เมื่อจ้างคนที่มีความสามารถแล้ว งานของคุณคือบริหารคนเหล่านี้ ให้ความสำคัญแก่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล
ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการบริหารคน

8. การแยกทาง (ปล่อยเขาไปไม่ง่ายเลย)

พูดถึง การไล่ออกเนื่องจากผลการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
ทางแก้คือ การพูดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องตั้งใจทำอย่างเต็มที่โดย ยึดหลัก 2 ข้อ คือ อย่าให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง และ สร้างความอับอาย ให้น้อยที่สุด

9. ความเปลี่ยนแปลง ( เราย้ายภูเขาได้ )

กำหนดให้การริเริ่ม เพื่อการเปลี่ยนแปลงทุกแบบมีวัตถุประสงค์หรือเป็าหมายที่ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีสาเหตุเพียงพอเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาด และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
เลือกจ้างและเลื่อนตำแหน่งให้เฉพาะผู้มีศรัทธาจริงๆ และคนที่พร้อมลงมือทำเท่านั้น
ค้นหาและตัดผู้ต่อต้าน ถึงแม้พวกเขาจะทำงานได้ผลเป็นที่น่าพอใจก็ตาม คว้าโอกาสจากสถานการณ์ร้าย

หลักปฎิบัติทั้ง 4 ข้อ ที่สำคัญ คือ จงสื่อสารหลักการ และ เหตุผลที่น่าเชื่อถือของการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งออกไป จ้างคนที่ใช่ไว้ข้างตัว ขจัดคนที่ต่อต้านและคว้าโอกาสทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา แม้กระทั่งความโชคร้าย ของคนอื่น เท่านั้นเอง

10. การจัดการภาวะวิกฤต ( จาก ” แย่แน่ๆ แล้ว ” สู่ “ ไม่เห็นเป็นไรเลย ” )

แนวทาง การเปลี่ยนแปลงแนวทางจากสถานกาณ์ “แย่แน่ๆแล้ว” สู่ “ไม่เห็นเป็นไรเลย”
10.1 คิดว่าปัญหานั้นเลวร้ายกว่าที่เห็น จงข้ามขั้นตอนการปฎิเสธไปเสีย แล้วเข้าสู่หลักคิดที่ว่า ปัญหานั้นอาจใหญ่โต ยุ่งยากขึ้น และเลวร้ายกว่าที่คิด
10.2 คิดว่า ความลับไม่มีในโลก ผู้จัดการต้องก้าวนำปัญหา โดยเปิดเผยก่อนที่คนอื่นจะทำแทน
10.3 คิดว่าการแก้ไขวิกฤตการณ์ของคนกับองค์กรถูกไส่ไข่จนออกมาเลวร้ายที่สุด ไม่ต้องสนใจสื่อมวลชน จงกำหนดจุดยืนตนเองไว้ให้ชัดเจน แต่เนินๆ และบ่อยๆ
10.4 คิดไว้เลยว่า ต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน และบุคคลากร
10.5 คิดว่าองค์กรของคุณจะอยู่รอดและแข็งแกร่งขึ้นจากเรื่องที่เกิด การเรียนรู้อะไรบางอย่างจากวิกฤตทุกครั้งที่เกิด ทำให้เราเป็นองค์กรที่ฉลาดและมีประสิทธิภาพ ให้มองอนาคตยาวๆๆ ข้างหน้า อาจทำให้เราอดทนต่อปัญหาได้

การหาภูมิคุ้มกัน ไม่ให้เผชิญภาวะวิกฤตซ้ำสอง มีวิธีการปฏิบัติ 3 ข้อคือ
1. การควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น ระบบัญชีและการเงิน การดำเนิน ฯลฯ
2. การจัดกระบวนการทำงานภายในที่ดี มีการจ้างงานที่รอบครอบ
3. การสร้างวัฒนธรรมด้านความซื่อสัตย์ ซึ่งทำได้ยากและไม่ค่อยพบบ่อย

การแข่งขันของคุณ
11. กลยุทธ์ ( ทุกอย่างอยู่ที่เครื่องปรุง )

กลยุทธ์ หมายถึง การเลือกอย่างชัดเจนว่าจะแข่งขันอย่างไร ถ้ามุ่งไปทิศทางที่ถูกต้องและกว้างขวางพอ
กลยุทธฺก็ไม่ จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อย คุณเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคนไม่ได้ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีขนาด
เล็กหรือใหญ่แค่ไหนหรือมี เงินหนาเท่าไร

เมื่อพูดถึงกลยุทธ์ จงคิดให้น้อยและทำให้มาก วิธีการดำเนินการทางกลยุทธ์ 3 ขั้นตอน
1. คิดหาวิธีการอันรวดเร็ว เป็นจริงและฉลาดเพื่อให้มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยืนยง
2. เลือกคนให้เหมาะสมกับงาน
3. หาแนวปฏิบัติที่ดีทีสุดเพื่อทำให้สำเร็จ ไม่ว่าจากภายนอกหรือภายในบริษัทฯ นำมาประยุกต์ใช้และ
ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

12. การจัดสรรงบประมาณ (สร้างสรรค์ธรรมเนียมใหม่)

ทุกคนรู้จัดการทำงบประมาณแบบดั้งเดิมคือ การทำให้พนักงานทำงานโดยมีจุดหมายฟื้นฐานนั่นคือ
ลดความเสี่ยงของธุรกิจให้ต่ำที่สุดและทำให้โบนัสของตนเองสูงที่สุด
การจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ ไม่ได้มุ่งเน้นเป้าหมายที่องค์กรกำหนดเท่านั้น แต่มองไปภายนอกที่
กำลังทำอะไรอยู่ และเราจะเอาชนะได้อย่างไร ผลตอบแทนของแผนส่วนบุคคลและธุรกิจ ไม่เกี่ยวข้องกับผล
การดำเนินงานตามงบประมาณ แต่จะเชื่อมโยงผลการดำเนินงานของปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาและเทียบกับ
การแข่งขันป็นหลักโดยนึงถึงโอกาสและอุปสรรคอย่างแท้จริง โดยเริ่มที่ตัวคุณก่อน

13. การเติบโตทางโครงสร้าง ( เมื่อคุณต้องการเริ่มทำสิ่งใหม่ )

สิ่งที่น่ายินดีทีสุดของการทำธุรกิจ คือ การเริ่มต้นสิ่งใหม่จากภายในสิ่งเก่า เช่น การเปิดตัวสายผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ใหม่ หรือเข้าสู่ตลาดแห่งใหม่ เพื่อให้ธุรกิจใหม่มีโอกาสต่อสู้ให้สำเร็จ ให้ผลตอบแทนมากที่สุดด้วย

ข้อผิดพลาด 3 ข้อ ที่มักจะเจอเมื่อเปิดตัวธุรกิจใหม่ แต่มักจะนำไปสู่ชัยชนะ คือ
1. ไม่ได้ทุ่มทรัพยากรให้ธุรกิจใหม่มากพอ โดยเฉพาะพนักงานแถวหน้า
2. ประกาศ ประโคมข่าว ความสำเร็จ ความสำคัญของธุรกิจใหม่น้อยเกินไป
3. จำกัดอำนาจในการบริหารของธุรกิจใหม่ให้อิสระ

14. การควบรวมและการซื้อกิจการ
(ร้อนรุ่มเพราะอยากได้ และอันตรายถึงตาย)

การควบรวมกิจการให้ประสบผลสำเร็จไม่ใช่เพียงเลือกบริษัทให้เหมาะสมกับกลยุทธ์
แต่ จะต้องหลีกเลี่ยง ความผิดพลาด 7 ประการนี้ด้วยคือ
1. การเชื่อว่าการควบคุมกิจการ ด้วยความเท่าเทียมกัน ( Merger of Equal’s : MORs ) เกิดขึ้นได้จริง
2. ให้ความสำคัญกับความเข้ากันทางกลยุทธ์จนไม่ได้ประเมินความเข้ากันทางวัฒนะธรรม
3. การตกอยู่ใน “สถานการณ์ที่ฝ่ายผู้ซื้อกิจการยอมอ่อนข้อหลายอย่างในขณะเจรจาจนฝ่ายขายกิจการเป็นฝ่าย
ตั้งข้อเรียกร้อง
4. การรวมกิจการอย่างเกรงใจกันมากเกินไป ถ้ามีการนำที่ดี การควบกิจการจะเสร็จสมบรูณ์ภายใน 90 วัน
5. การที่ฝ่ายผู้ซื้อกิจการ ส่งคนเข้ามาบริหารมากเกินไป ทำให้เสียประโยชน์คือ มีคนที่มีความสามารถให้เลือก
มากมาย
6.. การจ่ายแพงเกิดจนไป จนไม่อาจถอนทุนคนได้จากการรวมกิจการ
7. เกิดการต่อต้านของคนของผู้ถูกซื้อกิจการ ตั้งแต่ระดับบนลงล่าง เพื่อความอยู่รอด คุณต้องพยายามทำใจให้
รักกิจการที่ควบรวมเหมือนพวกเขารัก

ระวังอารมณ์รุ่มร้อนเพราะอยากได้มากเกินไป เพราะมันเป็นวิสัยของมนุษย์ แม้แต่ผู้มีประสบการณ์สูงที่สุดก็
หนีไม่พ้นอิทธิพลของอารมณ์นี้ ให้นึกถึงหลุมพราง 7 หลุมเมื่อเกิดอารมณ์นี้ขึ้นมา

15. ซิกซ์ซิกม่า (ดีกว่าไปหาหมอฟันแน่นอน )

ซิกซ์ซิกม่า เป็นนวตกรรมด้านการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา
ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท เป็นโครงการปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มประสิทธิผลในการ
ทำงานของบริษัท การเพิ่มผลผลิต การลดต้นทุน พัฒนากระบวนการออกแบบทำให้เรานำสินค้าเข้าตลาดเร็ว
ขึ้นโดยมี ข้อบกพร่องน้อยลง และ การทำให้ลูกค้าตัดสินใจในแบรนด์

ส่วนสำคัญมากที่ทำให้ลูกค้าติดก็คือ การทำให้ได้ตามที่ลูกค้าคาดหวังหรือดีกว่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่
ซิกซ์ซิกม่าช่วยคุณได้

ระดับการฝึกอบรมซิกซ์ซิกม่า ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณตั้งใจจะนำไปใช้ที่ไหนและใช้อย่างไร
แบบแรก คือ ใช้กับกิจกรรทำซ้ำง่ายๆ พนักงานจะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร จะสร้างระบบคิดเชิงวิเคราะห์
วิจาร์ณและสร้างวินัย ทไให้ผลประกอบการทางการเงินดีขึ้นผู้บริหารจะต้องเป็นผู้นำที่ดีด้วย
แบบที่สอง เป็นระดับการฝึกอบรมและวิเคราะห์เชิงสถิติที่ซับซ้อน เช่นธุรกิจเครื่องบินเจ๊ต

ซิกซ์ซิกม่า ไม่เหมาะกับกิจกรรมที่ต้องอาศัยจินตนาการสร้างสรรค์ เช่น โครงการริเริ่มด้านการตลาด
การเขียนคำโฆษณา การทำธุรกิจแบบครั้งเดียวจบเช่น การทำธุรกรรมทางธนาคารผ่านอินเตอร์เนท
ซิกซ์ซฺิก ซิกม่า มีไว้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเฉพาะกระบวนการภายในที่ทำซ้ำซ้ำและการออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ฑ์ใหม่ๆที่มีความ ซับซ้อน

หน้าที่การงาน

16. งานที่ใช่ ( หาเจอเมื่อไร คุณนะไ่ต้องทำงานจริงๆ อีกเลย )

ก่อนอื่นให้ดูสัญญาณทั่วไป ทั้งดีและร้ายก่อนว่าคุณเหมาะสมกับงานนั้นหรือไม่ จากหัวข้อต่อไปนี้

1. เรื่องคน คุณชอบที่นี่มากแต่รู้สึกว่า ต้องสวมหน้ากากบางอย่างเวลาทำงาน
2 เรื่องโอกาส งานนี้เปิดโอกาสให้คุณเติบโตและเรียนรู้สิ่งใหม่ แต่คุณได้รับกาว่าจ้าง ในฐานะ
ผู้เชี่ยวชาญแต่มีแนวโน้มว่าคุณจะเป็นคนที่เก่งที่สุด
1. เรื่องทางเลือก งานนี้ให้ชื่อเสียงเกียรติยศและผลงานที่จะติดตัวคุณไป แต่ธุรกิจนั้นไปถึงจุดสูงสุด หรือ
ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ บริษัทฯ ไม่ยอมขยายโอกาสการทำงานให้คุณ
เรื่องการเป็นเจ้าของ คุณทำงานเพื่อตัวเองหรือเพื่อใคร
เนื้องาน ทำให้คุณกระตือรือร้น งานสนุกมีความหมาย แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณรับงานนี้ โดยคิดในใจว่า
คิดเสียว่าทำเพื่อเงินหรือทำไปจนกว่าจะเจออะไรดีกว่า

เรื่องค่าตอบแทน หาคำตอบให้ได้ว่า เงินมีความหมายกับคุณแค่ไหน
สัญญาณบ่งบอกความเหมาะสมของงานไม่เรียงลำดับ เพราะทุกข้อล้วนมีความสำคัญเท่ากันหมด

การหางานที่แท้จริงงานแรก จงแสดงตัวตนที่แท้จริง และทำตัวตามสบาย ความไม่เสแสร้งอาจเป็น ขายที่ดีที่สุดที่คุณมีอยู่ ข้อคิดข้อแรก คือ การหางาต้องใช้เวลา ต้องใช้ความอดทน และผ่านการทดสอบ ที่สำคัญต้องทำงานอะไรสักอย่างไปสักพักกว่าจะรู้ตัวว่าคุณทำได้หรือเปล่า ยังไม่ต้องรู้สึกว่าใช่หรือเปล่า
ข้อคิดที่สอง คือ การหางานที่เหมาะสมจเง่ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณเก่งขึ้น

ดังนั้นถ้าอยากหางานที่ดีจริงๆ เลือกสิ่งที่คุณรัก ทำงานกับคนที่ชอบและทุ่มสุดตัว

17. การเลื่อนตำแหน่ง (เสียใจด้วยนะ ไม่มีทางลัด )

การเลื่อนตำแหน่ง ขึ้นกับ สิ่งที่ควรทำ และ สิ่งที่ไม่ควรทำ
สิ่งที่ควรทำ สร้างผลงานที่น่าประทับใจอย่างเป็นทางการ ดีกว่า ความคาดหมายมากๆๆ หา กระบวนการใหม่ๆ ปรับปรุงผลลัพธ์ของบริษัท ให้ดีขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะงาน ที่ทำให้คนรอบข้างทำงานดีขึ้น อย่าทำแค่การคาดการณ์เท่านั้น
สิ่งที่ไม่ควรทำ ทำให้หัวหน้าใช้ต้นทุนทางเมืองเพื่อเอาชนะคุณ อย่าทำตัวเป็นเสี้ยนหนามขององค์กร คุณอาจทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุด แต่คุณไม่ทำตามค่านิยม และพฤติกรรมขององค์กร คุณก็เสี่ยงต่อสถานการณ์นี้

คุณจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งทุกครั้งที่คุณต้องการ แต่ถ้าคุณยอมเดินทางไกลท้ายที่สุดแล้วคุณจะไปถึงจุดหมาย อาจเร็วกว่าที่คุณคิดด้วยซ้ำ

18. ขวากหนาม (เจ้านายแสนแสบ คนนั้น)

นายไม่ดี อาจทำให้คนตายได้ อาจคร่าจิตวิญญาณส่วนที่สร้างพลังความมุ่งมั่น และความหวัง ของคุณไป
เจ้านายไม่ดีมีทุกรูปแบบ แย่งความดีความชอบ ไร้ความสามารถ เลียก้นนายแต่ถีบหัวลูกน้อง หักหน้า งกเงิน อารมณ์แปรปรวน ไม่รักษาสัญญา ในสถานการณ์ใดๆ เกี่ยวกับเจ้านายยอดแย่ อย่าปล่อยให้ตัวเองตกป็นเหยื่อ
คุณต้องหาคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้น ที่เจ้านายมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติหรือประสิทธิภาพ การทำงานไม่ตรงกับคุณ โดยทั่วไปแล้ว เจ้านายจะไม่งี่เง่ากับคนที่เขาชอบ นับถือและต้องการ จงทบทวนผลการทำงานของคุณให้หลักว่า จะปิดเกมกับเจ้านายอย่างไร เจ้านายห่วยๆ ส่วนใหญ่ มีค่านิยมยอดแย่ แต่ผลงานดี และมักจะมีเกราะคุ้มกันอยู่ได้นาน แม้จะทำตัวเลวร้ายก็ตาม

แล้วเราจะทำงานอยู่ที่นี่เพื่ออะไร
คุณต้องประเมินว่ามีข้อดีอะไรบ้างมาชดเชยและถามว่า “ มันคุ้มค่ากันไหม “ ถ้าคุณไม่เริ่มก็รีบหาทางออกจากบริษัทโดยสวัสดิภาพ ถ้าทนได้ และยอมรับ ได้ในระยะยาว จงมองภาพรวมของเจ้านาย ว่าเขาไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคุณ เป็นแค่ชีวิตทำงาน ซึ่งคุณเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับผลของการเลือกด้วย

19. ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต
(ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้แต่ไม่อยากฟัง เกี่ยวกับการสร้างสมดุล)

ทุกสิ่งที่คุณอยากรู้แต่ไม่อยากฟัง เกี่ยวกับการสร้างสมดุล หมายถึง การที่เราทุกคนจะจัดการชีวิตของเราและจัดสรรเวลาของเราอย่างไร เป็นเรื่องของการจัดลำดับความสำคัญและค่านิยม คือ เราจะยอมให้งานเข้ามากลืนชีวิตเราแค่ไหน เช่น ชีวิต 80% งาน 20% หรือ ไม่ว่าเราจะเลือกสมดุลแบบใด คุณต้องเสียอะไรบางอย่างไปเสมอ

ถ้าจะมองความสมดุลระหว่าง งานกับ ชีวิต จากมุมมองเจ้านาย

1. เจ้านายอยากให้คุณมีความสุขแต่ก็ไม่มากกว่าการนำบริษัทไปสู่ชัยชนะ เจ้านายต้องการดึงพลังงานทั้งหมดของคุณออกมาให้บริษัท
2. ถ้าคุณแลกด้วยการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เจ้านายยินดีที่สุดที่จะช่วยจัดการอุปสรรค เกี่ยวกับ สมดุลระหว่างงานกับชีวิต
3. เจ้านายทราบดีว่าจะต้องอ้างว่า “ แต่ บริษัท บอกว่า...............................” เพื่อทำให้การจัดการสมดุลระหว่างงานกับชีวิตเป็นความจริง ถ้าคุณต้องการเลือกบริษัทนี้ คุณต้องเลือกบริษัทที่สนับสนุนเรื่องนี้เหมือนกับเป็นกิจกรรมประจำวัน
4. คนที่ทำตัวมีปัญหาสมดุลระหว่างงานกับชีวิต จะหันไปขอความช่วยเหลือกับบริษัทอยู่บ่อยๆ จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มเอาแต่เรียกร้อง ไม่ทุ่มเท ไร้ความสามารถ
5. เจ้านายที่ใจดีที่สุด ก็เชื่อว่า คุณต้องเป็นคนแก้ปัญหา ของความสมดุ ลนั้น

สิ่งที่คุณเลือกส่งผลต่อคนอื่นมากมาย แนวทางที่คุณควรปฏิบัติ คือ
1. จดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณกำลังทำ
2. กล้าปฏิเสธคำขอและการเรียกร้อง นอกแผนสมดุลระหว่างงานกับชีวิตที่คุณเลือก
3. อย่าลืมรวมตัวเองไว้ในแผนสมดุลระหว่างงานกับชีวิตด้วย การบรรลุสมดุล ระหว่างงานกับงานกับชีวิต เป็นกระบวนการที่ต้องทำซ้ำบ่อยๆๆๆ

20. อุดช่องโหว่ ( ตรงนั้น ตรงนี้ และทุกหนทุกแห่ง )
ต้องทำให้ทุกคนในองค์กรตระหนักถึงความสำคัญของต้นทุน คุณภาพและบริการ เพื่อการอยู่รอด
และต้องมองให้ใกลไปถึงตลาดใหม่ กลุ่มเห้าหมายอย่างแท้จริง
≤≤ ≥≥≤≤ ≥≥

ความคิดเห็น
แจ็คเวลส์ เขียนหนังสือเล่มนี้จากประสบการณ์ที่แท้จริง หลังจากที่เขาออกมาจาก GE แล้ว
สิ่งที่เขาเขียนจึงมาจากประสบการณ์จริงๆ ที่เขาเจอ ฉะนั้นเขาจึงเขียนออกมาได้ชัดเจนว่า
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารไม่ใช่ ขั้นตอนหรือวิธการ เท่านั้น แต่ เป็นการเข้าใจ คน อย่าง
ลึกซื้งและท่องแท้ ถ้าไม่เข้าใจ คน ก็จะไม่สามารถบริหารองค์กรได้ แต่ คน ในความหมายของ
เขานั้นไม่ได้หมายความเฉพาะแต่คนยุโรปเท่านั้น แต่เป็นคนทั่วไปทั้งโลก ซึ่งทำให้ผู้อ่านหนังสือ
เล่มนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

แต่หลักการ และ ข้อคิดบางอย่าง ที่เขาเขียน นำไปปฏิบัติได้ยากและมีความขัดแย้งในตัวเอง
เช่น “กฏ 6 ข้อของเวลส์ ที่ผู้นำต้องทำ” มีความขัดแย้งกันเองในข้อที่ 3 และ ข้อที่ 6
คือ ข้อที่สาม บอกว่า ให้ผู้นำแสดงผลังในเชิงบวกและมองโลกในแง่ดี ส่งเสริมให้คนมีทัศนคติว่าเราทำได้
ส่วนข้อที่ 6 บอกว่า ให้คุณคอยตั้งคำถามลูกน้องอยู่เรื่อยๆ และอย่าเชื่อในสิ่งที่เขาพูด

อีกหนึ่งตัวอย่างที่มีความเห็นว่าเวลส์ เขียนหนังสือที่อ่านแล้ว ดูเหมือนจะมีหลักการที่ดีมาก
แต่เมื่อนำไปปฏิบัติ ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้ คนปฏิบัติเองก็ยังไม่รู้ โดยเฉพาะคนปฏิบัติ ที่ไม่ใช่เจ้าของบริษัท ก็จะเกิดความท้อแท้ ขึ้นมาเสียก่อน จะทำสำเร็จ และ ผู้ปฏิบัติ
ที่เป็นผู้นำไม่ใช่มีคนเดียวในองค์กร ต่างฝ่ายต่างทำในสิ่งที่ตนเองตั้งเป้าหมาย ไว้ในวิธีการของตนเอง คิดดูว่า จะเกิดความสับสน แค่ไหน อย่างไร เจ้าของบริษัทเองคงจะสับสนเหมือนกัน
ถ้าตัวเองต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างตามผู้จัดการแต่ละคน เช่น

เวลส์บอกว่า การสร้างความแตกต่างในธุรกิจหรือสายผลิตภัณฑ์ ต้องอาศัยผู้จัดการที่เข้าใจและแยกแยะให้ดีว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถ่องแท้ และลงทุนให้สอดคล้องตามนั้น ซึ่งผู้จัดการแต่ละคนก็จะมีโครงสร้างและหลักการบริหารของแต่ละคน แต่ละแนวทาง ก็จะเกิดความขัดแย้ง ในการทำงานขึ้นมาแน่นอน ถ้าเจ้าขององค์กร หลงไปเชื่อผู้จัดการคนใดคนหนึ่งมากไป เพราะหลักการอาจจะโดนใจเจ้าของพอดี ผู้จัดการฝ่ายอื่นๆ คงไม่พอใจ ไม่อยากทำงานต่อหรือก็ทำไปงั้นๆๆ ให้งานจบไปโดยที่ไม่แสดงพลังอะไรออกมา ฝ่ายพนักงานผู้ปฏิบัติก็จะเกิดความสับสน ทำให้เกิดปัญหาภายในองค์กร ที่เรื้อรัง อีกมากมาย เป็นต้น และการจะหาผู้จัดการที่มองเห็นปัญหา
และวางแนวทางการแก้ปัญหาที่องค์กรเจอนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากที่สุด ไม่เช่นนั้นทุกองค์กร ก็ทำธุรกิจได้กำไร ร่ำรวยมหาศาล ไปแล้ว
ฉะนั้น การเขียนหนังสือของเวสส์ บางอย่างมันก็เป็นเพียงแค่หลักการ เท่านั้น.

Book Review: FROM CONFLICT TO CREATIVITY

FROM CONFLICT TO CREATIVITY
การจัดการความขัดแย้ง
เขียนโดย Sy Landau , Barbara Landau and Daryl Landau
แปล นรินทร์ องค์อินทรีย์
เรียบเรียง ธนิกานต์ มาฆะศิรานนท์
สงวนลิขสิทธิ์และจัดจำหน่ายโดย
บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด
ISBN 974 – 945676 – 3 – 3
ราคา 200 บาท

โครงสร้างเนื้อหา
ส่วนที่ 1 ความขัดแย้งนำไปสู่การสร้างสรรค์ได้อย่างไร
ส่วนนี้ประกอบด้วย บทที่ 1 ถึง บทที่ 3 โดยสำรวจความขัดแย้งที่เป็นปัญหา
และนำเสนอรูปแบบการแก้ไขข้อโต้แย้งที่ไม่เพียงแต่จะมีประสิทธิภาพเท่านั้น
แต่ยังสร้างสรรค์อีกด้วย

บทที่ 1 ความขัดแย้งในองค์กร

ความขัดแย้งเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของมนุษย์ทุกคน มีอยู่เสมอมาและอาจจะเสมอไป
ความขัดแย้งเป็นผลพวงของความแตกต่างและการพึ่งพาระหว่างกัน
ความขัดแย้งในองค์กรเกิดขึ้นเนื่องจากการที่คนซึ่งมีความสนใจหรือมีผลประโยชน์ด้านส่วนตัวและด้านวิชาชีพที่ต่างกัน ซึ่งต้องมาทำงานร่วมกันและพึ่งพากันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร หรือไม่ก็เนื่องจากคนเหล่านั้นมีความสนใจในผลประโยชน์ที่ต่างกัน จึงเกิดความกังวลว่าอีกฝ่ายอาจกีดกันไม่ให้เขาบรรลุความต้องการของตัวเอง
ความแตกต่าง แบ่งได้ทั้ง ความแตกต่างในองค์กร ความแตกต่างส่วนตัว ความแตกต่างทางวิชาชีพ ความต่างเหล่านี้หลายครั้งมาจาก วิสัยทัศน์ที่ไม่ชัดเจน ความรับผิดชอบที่ขัดแย้งกัน ความรับผิดชอบที่ไม่ชัดเจน ข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
การพึ่งพาระหว่างกัน ในช่วงเวลาปกติ คนทำงานจะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างอิสระ ซึ่งมักเป็นองค์กรขนาดเล็ก แต่องค์กรในปัจจุบัน มีความซับซ้อนและอาศัยการทำงานแบบร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมขององค์กร ปัจจัยหลายๆประการที่ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในการพึ่งพาระหว่างกัน คือ ทรัพยากรที่หายาก การช่วงชิงอำนาจ โครงสร้างและระเบียบปฎิบัติขององค์กร

สรุป เนื้อหาเป็นการสำรวจหาสาเหตุของความขัดแย้งในองค์กร โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของกลุ่มคนทำงานที่มีความหลากหลาย และการพึ่งพาอาศัยกันที่ผู้คนต้องมีเพื่อให้งานสำเร็จ เรายังได้อธิบายอีกด้วยว่า ความขัดแย้งในองค์กรนั้นกำลังเพิ่มขึ้น ขณะที่ความอดทนของเราในเรื่องนี้กำลังลดลงๆทุกที

บทที่ 2 การจัดการความขัดแย้งในองค์กร

เมื่อเราอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ความสนใจจะมุ่งไป 2 สิ่ง คือ ผลลัพธ์และความสัมพันธ์ซึ่งทั้ง 2 สิ่งจะเกิดขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับ การจัดการความขัดแย้ง โดยมีอยู่ 5 วิธี การหลีกเลี่ยง
การแข่งขัน การโอนอ่อนผ่อนตาม การประนีประนอม การประสานความร่วมมือ ซึ่งแน่นอนว่าการประสานความร่วมมือ คือพื้นฐานของกระบวนการส่วนใหญ่ที่หนังสือเล่มนี้จะใช่
การแก้ไขความขัดแย้งแบบผสานความร่วมมือ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
1 ระบุสาเหตุที่ซ่อนอยู่ของความขัดแย้ง โดยกำหนดพิเศษในประเด็นความสัมพันธ์ของคนเป็นสาเหตุสำคัญ
2 จัดการกับประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ที่สำคัญก่อน
3 ตามด้วยการแก้ไขประเด็นที่สำคัญอื่นๆ
- วิธีระบุสาเหตุที่ซ่อนอยู่ วิธีที่ดีที่สุด คือจัดการสัมภาษณ์ เมื่อสัมภาษณ์แล้ววิเคาระห์ผลลัพธ์อย่างรอบคอบ ก็ทำการระบุและแยกแยะประเด็น
- วิธีจัดการปัญหาด้านความสัมพันธ์ที่สำคัญ เริ่มด้วยการสร้างกระบวนการที่แน่นอนชัดเจน ช่วยให้คนไว้วางใจในกระบวนการ จากนั้นสำรวจปัญหาด้านปฏิสัมพันธ์และสาเหตุ จากนั้นอภิปรายสิ่งที่ค้นพบ จากนั้นแลกเปลี่ยนความตั้งใจที่ดี
- แก้ปัญหาสำคัญโดยวิธีอิงผลประโยชน์ มีขั้นตอนดังนี้ 1 แนะนำกระบวนการและระบุประเด็น 2 แลกเปลี่ยนมุมมอง 3 สำรวจผลประโยชน์ที่ต้องการ 4 ระบุปัญหาที่มีร่วมกัน 5 ทางเลือกจากการระดมความคิด 6 ประเมินทางเลือก 7 บรรลุข้อตกลง

สรุปบทนี้อภิปรายถึงข้อดี ข้อด้อย ของกลยุทธ์ต่างๆ ในการจัดการกับข้อขัดแย้งเชิงทำลาย โดยได้นำเสนอวิธีการแบบชนะ-ชนะ ( WIN-WIN SOLUTION ) ที่สามารถใช้ในการแก้ปัญหาในองค์กร และแสดงให้เห็นด้วยว่า วิธีการแบบนี้ และกระบวนการแบบอิงผลประโยชน์อื่นๆ สามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่าได้อย่างไร

บทที่ 3 วิธีการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์

ความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขความขัดแย้ง ความคิดสร้างสรรค์มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแบบต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ การร่วมมือกันจะเปิดประตูให้กับทางแก้นี้
ปัจจัยที่สนับสนุนวิธีแก้ไขความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ เมื่อมีความขัดแย้งย่อมมีการต่อสู้และการเผชิญหน้า จริงๆแล้วความขัดแย้งเป็นเพียง แค่ปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขเท่านั้น เราเพียงแค่นำพลังงานของคนที่โจมตีกันมาเปลี่ยนเป้นการทำงานฝ่ายเดียวกัน และมุ่งทะลุทะลวงตัวปัญหาเป็นสำคัญ เมื่อทุกฝ่ายยอมถอยหนึ่งก้าว เลิกยึดจุดยืนของตน พร้อมแก้ปัญหาไปด้วยกัน
- ความไว้วางใจทำให้เกิดความกล้าที่จะเสี่ยง
- สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวในการแก้ปัญหา
- คุณจะสร้างสรรค์ได้มากขึ้น ด้วยผลประโยชน์ที่มากว่าจุดยืนเดิม
- กระบวนการที่มีแบบแผน ช่วยให้มีเวลาสำหรับการสร้างสรรค์
- การยับยั้งการวิพากษ์ วิจารณ์ ช่วยส่งเสริมการระดมความคิด
- การประเมินโดยใช้เกณฑ์มาตราฐาน ช่วยส่งเสริมการระดมสมอง
- การรู้ถึง BATNA ช่วยส่งเสริมการยอมรับแนวคิดใหม่ ( BATNA Best Alternative to a Negotiated Agreement )

สรุปการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ ซี่งเป็นโบนัสอันสุดแสนวิเศษของวิธีการแบบอิงผลประโยชน์ ซึ่งไม่เพียงแต่ผลที่ได้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ละเป็นที่ยอมรับมากขึ้นกว่ากลยุทธ์อื่นๆเท่านั้น แต่มันยังมักจะสร้างสรรค์เป็นอย่างมากอีกด้วย

ส่วนที่ 2 ชี้ให้เห็นว่า องค์กรทั้งหลายสามารถใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อบ่มเพาะความคิด
สร้างสรรค์ แม้ในยามที่ไม่มีความขัดแย้ง

บทที่ 4 ความขัดแย้ง บ่อเกิดแห่งความคิดสร้างสรรค์
มีปัจจัยมากมายที่ทำให้ประสิทธิผลของความสามารถในการสร้างสรรค์น้อยลง
โดยปัจจัยที่จำกัดผลลัพธ์จากคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คือ
1 มีคนที่มีความคิดสร้างสรค์น้อยเกินไปในองค์กร
2 ปัญหานั้นซับซ้อนเกินไปสำหรับคนๆเดียว
3 อุปสรรคของความกล้าเสี่ยงที่เกิดจากกำระเบียบขององค์กร
4 ความยากลำบากในการขายแนวคิดใหม่ให้แก่ผู้มีอำนาจตัดสินใจ
5 การขาดคนจำนวนมากที่มุ่งมั่นในการทำตามแนวคิดใหม่
ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ในองค์กร กลุ่มจะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากกว่าปัจเจกบุคคล ด้วยหลายเหตุผลดังนี้
1 ความรู้ของกลุ่มที่รวมแล้วย่อมมากกว่า
2 กลุ่มจะผลิตแนวคิดใหม่ๆได้มากว่า
3 มีคนมากขึ้นในการผลักดันแนวคิดใหม่
4 มีคนมากขึ้นที่จะมุ่งมั่นในการดำเนินตามการตัดสินใจของกลุ่ม
5 ทางแก้ที่ยอดเยี่ยม อันเกิดจากการประชันความคิด

อภิปรายถึงความจำเป็นด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในองค์กรที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ รวมถึงเหตุผลที่การสร้างสรรค์ของกลุ่มอาจจะน่าพิศมัยกว่าการสร้างสรรค์ของปัญเจกบุคคลและยังวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์ ความแตกต่าง และการโต้แย้งอีกด้วย

บทที่ 5 การโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์
เป้าหมายของการโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์คือการส่งเสริมให้คนตะลุมบอนกับปัญหา โดยไม่ตะลุมบอนกันเอง ด้วยการประยุกต์ใช้รูปแบบการต่อรองแบบอิงผลประโยชน์มาใช้ โดยการโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์ต้องอาศัยปฎิสัมพันธ์ขององค์ประกอบ 4 ประการ
- กระบวนการ ที่ส่งเสริมการประชันความคิด
- ผู้เข้าร่วม ที่หลากหลาย ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายของกลุ่ม ไม่รู้สึกอึดอักับความขัดแย้งและเก่งในด้านการต่อรองแบบอิงผลประโยชน์
- ผู้นำที่เข้าใจ และชื่นชมการโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์
- วัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนกระบวนการและผู้คนในองค์กร
กระบวนการโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์ อาศัย
การแก้ไขความขัดแย้งแบบผสานความร่วมมือ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
1 ระบุสาเหตุของความขัดแย้ง โดยกำหนดในประเด็นความสัมพันธ์ของคนเป็นสาเหตุสำคัญ
2 จัดการกับประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ที่สำคัญก่อน
3 ตามด้วยการแก้ไขประเด็นที่สำคัญอื่นๆ
แก้ปัญหาสำคัญโดยวิธีอิงผลประโยชน์ มีขั้นตอนดังนี้
1 แนะนำกระบวนการและระบุประเด็น 2 แลกเปลี่ยนมุมมอง
3 สำรวจผลประโยชน์ที่ต้องการ 4 ระบุปัญหาที่มีร่วมกัน
5 ทางเลือกจากการระดมความคิด 6 ประเมินทางเลือก 7 บรรลุข้อตกลง

สรุปเนื้อหาลงลึกเรื่องการโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการใช้ความขัดแย้งเป็นตัวกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของกลุ่ม เราได้อภิปรายถึง องค์ประกอบสำคัญ 4 ประการของการโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จ อันได้แก่
1 กระบวนการความร่วมมือ 2 ผู้เข้าร่วมงานที่มีทักษะและแรงจูงใจ
3 ผู้นำที่สามารถรับมือกับความขัดแย้ง เชื่อในกระบวนการ
และมีทักษะด้านการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อความสำเร็จ
4 โครงสร้างองค์กรที่สนับสนุน

บทที่ 6 อุปสรรคที่ขัดขวางความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์และวิธีการรับมือ
ความขัดแย้งมักเป้นตัวจุดชนวนที่จะส่งประกายความคิดสร้างสรรค์เสมอ และมีความเสี่ยงที่สำคัญ 2 ประการในการโต้แย้งเชิงสร้างสรรค์ ความเสี่ยงมากเกินไป กับ ความเสี่ยงน้อยเกินไป
ความเสี่ยงมากเกินไป ความเสี่ยงนั้นชัดเจนเกินไป คุณมีปัญหาซับซ้อน และอ่อนไหวที่ต้องอาศัยทางออกที่สร้างสรรค์ คุณตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ ตั้งผู้นำที่รับผิดชอบในการพัฒนาแนวสร้างสรรค์ เลือกสมาชิกหลากหลายมุมมอง สมาชิกก็ใส่ใจปัญหาและใคร่ครวญมาอย่างดี แม้คุณจะพยายามฟูมฟักการประชันความคิดและความร่วมมมือ แต่สิ่งที่ได้เป้นการประชันความคิดมากกว่า ทำให้สถานการส่อเค้าจะมีความขัดแย้งสูง
ความเสี่ยงน้อยเกินไป จริงๆผลกระทบของความเสี่ยงนี้ไม่รุนแรงนัก อันที่จริงยังสร้างความรู้สึกสบายใจมากกว่าอีกด้วย มีปัญหามากมายทีเดียวที่ผลจากความขัดแย้งไม่เพียงพอ และบางเรื่องอาจสร้างปัญหาร้ายแรงได้เหมือนกัน

บทนี้เน้นเรื่องการรักษาการโต้แย้งให้มีความสร้างสรรค์ นั่นหมายถึง การเน้นความขัดแย้งในเชิงบวกสูงที่สุด ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการโต้แย้งเชิงลบ และควาสัมพันธ์ที่เป็นปัญหาด้วย

บทที่ 7 จากความขัดแย้งสู่การสร้างสรรค์
เราจำเป็นต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางความสัมพันธ์ เราต้องพึ่งพาความขัดแย้ง หรือการโต้แย้งความคิดเพื่อการสร้างความคิดสร้างสรรค์ การหลีกเลี่ยง หรือปิดกั้นความขัดแย้วเพื่อเห็นแก่ความกลมเกลียวไม่ใช่เรื่องดีเลย ต่การส่งเสริมให้คนได้ปลดปล่อยอย่างเต้มที่ในความขัดแย้งก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน เป็นการง่ายเหลือเกินที่การแข่งขันด้านความคิด จะกลายเป้นการแข่งขันของคน กระบวนการแบบผสานความร่วมมือและทักษะการจัดการความขัดแย้งบางอย่างนั้น สามารถให้ความมั่นใจได้ว่า ความขัดแย้งเชิงบวกจะไม่กลายเป็นเรื่องส่วนตัว

Book Review: เพราะทำจึงสำเร็จ

เพราะทำจึงสำเร็จ

FROM MESSENGER TO MANAGER

สแตนลีย์ เหยียบ : เขียน
อนุรักษ์ กิจไพบูลย์ทวี : แปล
ปี 1971 สแตนลีย์ เหยีน ในวัน 23 ปี ยังเป็นเพียง พนักงานส่งเอกสาร ของบริษัทอเมริกันเอกซ์เพรส แต่ห้าปีต่อมา เขาได้นำเสนอแผนการตลาดแบบใหม่ทำให้บริษัทเปลี่ยนจากการขาดทุนเป็นกำไร จึงได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการใหญ่ประจำสาขาไต้หวัน
ปี 1979 เขาได้รับเชิญให้เข้ามาบริหารงานโรงแรมเดอะริดซ์แลนดิส ใช้ระบบการบริหารแบบเป็นมิตรและให้ความสำคัญกับหัวใจของงานบริการทำให้โรงแรมเดอะริตซ์แลนดิสกลายเป็นโรงแรมที่ได้รับคำชมมากผู้เข้าพักมากที่สุด
ปี 1992 เขาก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการบริหารงานในเครือ เดอะริตซ์แลนดิสสากล บริการให้คำปรึกษา และจัดอบรมสายงานต่างๆ อย่างมืออาชีพให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรม การอาหารและเครื่องดื่ม
สแตนลีย์ เหยียน จบการศึกษาเพียงแค่มัธยมปลายแต่สามารถปีนไต่ขึ้นสูงของสายอาชีพ เขาไม่มีภูมิหลังที่สูงส่ง อาศัยเพียงการฝึกฝนร่ำเรียนด้วยตนเอง อย่างขยันขันแข็งและความพากเพียรพยายาม เขาจึงกล้าพูดว่า ความสามารถสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา
คนจำนวนมากไขว่คว้าความสำเร็จมาตลอดชีวิต แต่มีคนเพียงไม่กี่คนที่พูดว่าได้ตนเองประสบความสำเร็จจริงๆ และคนเหล่านี้ก็มักจะไม่หวงหากมีใครถามถึงเคล็ดลับ เพราะสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่ ทำอย่างไร แต่คือการปรับทัศนคติ วิธีคิดให้เหมาะสม เพื่อที่ว่าในสถานการณ์ต่างกัน เราจะรับมือกับปัญหาหรือสิ่งท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ และไม่ย่อท้อ เชื่อเหอะว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ในทุกระดับชั้น และทุกๆมุมเล็กของสังคม
สแตนลีย์ เหยียน คือผู้บริหารจัดการ ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา เขาเคยทำงานเพียงแค่สองที่หนึ่งคือบริษัทอเมริกันเอ๊กซ์เพรส ที่ฝึกเขาจากพนักงานส่งเอกสารจนกลายเป็นผู้จัดการใหญ่ อีกที่หนึ่งคือโรงแรมเดอะริตซ์แลนดิสแล้ว ที่เขาก้าวเข้ามาด้วยเหตุปัจจัยบางประการ และเมื่อก้าวเข้ามาก็อยู่นานถึงสิบแปดปี ดังนั้น หากจะบอกว่า ธุรกิจท่องเที่ยว เป็น สัมมาชีพ เพียงอย่างเดียวในชีวิตของเขา ก็ไม่เกินไปนัก และเหตุเพราะก้าวลงไปลึกมากเขาจึงทุ่มเทและเอาใจใส่กับวงการนี้มากที่สุดด้วย แทบจะพูดได้ว่านอกจากงานประจำในเดอะริตซ์แลนดิสแล้ว กำลังแทบทั้งหมดของเขาก็ทุ่มเทให้ภารกิจด้านการให้ความรู้ สร้างและโฆษณาธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจอาหารในโอกาสที่แสนบังเอิญ เขาได้รับเชิญจาก National Youth Commission (สมาคมส่งเสริมเยาวชนแห่งชาติ) และนิตยสาร Career ไปบรรยายให้แก่กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง และได้ผลตอบรับที่ไม่เลวนัก ต่อมาเขาก็เริ่มออกบรรยายเกี่ยวกับหัวข้อ การบริหารโดยใช้มนุษยวิสัย ให้แก่หน่วยงานต่างๆ เช่น โรงพยาบาลชื่อดัง โรงเรียน สายการบิน และหน่วยงานราชการ เขาค่อนข้างได้รับการยอมรับจนเกือบถึงขึ้นเลิกทำไม่ได้

การเล่าประสบการส่วนตัวของ สแตนลีย์ เหยียน ว่าเริ่มต้นจากตำแหน่ง พนักงานส่งเอกสาร ที่เรียนไม่จบปริญญาตรี ใมระยะเวลาสั้นๆ ห้าปี ทำให้บริษัทมองเห็นความสำคัญ จนกระทั่งกลายป็นผู้จัดการใหญ่ ชาวท้องถิ่น คนแรกได้อย่างไร เรื่องราวทั้งหมด องค์ประกอบบางส่วนก็เป็นโชค ดังคำว่า จังหวะของเวลา ชัยภูมิที่เหมาะสม และบุคคลที่เกื้อกูล
แต่ก็ยังมีความรู้และประสบการณ์ของความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่น้อยที่เขานำมาแบ่งปันให้รู้ จึงเป็นแนวคิดแรงบันดาลในบางส่วนกับเพื่อนที่เส้นทางการศึกษาไม่สู้ราบรื่นนัก และบอกให้รู้ความจริงแล้วในโลกนี้มีพื้นที่มากพอสำหรับให้ทุกคนขยับขยายแสดงพลังแฝงของตนเอง แต่ก็ต้องหัดทำความรู้จักตนเองเสียก่อน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตนเองด้วย เหมือนอย่างตัวเขาซึ่งค้นพบความสามารถที่ซ่อนเร้นและจุดแข็งของตนเอง จากในโอกาสในการทำงานครั้งแรกหลังปลดประจำการ จนกระทั่งเปิดศักราชใหม่ให้แก่อาชีพการงานตนเองและประสบความสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดเรื่องราวการเติบโตเรื่องเล็กเรื่องน้อยของตนเองเหล่านี้ออกมา โดยใช้ถ้อยสำนวนที่เข้าใจง่ายเขาเน้นคำว่า เรื่องเล็กเรื่องน้อย เพราะเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่คนทุกคนน่าจะประสบพบเจอทุกวี่วัน และแน่นอนว่าในช่วงหลังของเนื้อหา เขาก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกมากมายของการเป็นผู้นำ
รวมถึงบอกเล่าว่าตัวเขาเองซึ่งเป็นคนนอกวงการที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการบริหารโรงแรมเลยแม้แต่น้อย ได้รับมอบหมายภารกิจให้สร้างโรงแรมเดอะริตซ์แลนดิส ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลไม่ดี สภาพแวดล้อมไม่ดีที่แม้แต่นักวิชาการการโรงแรมนานาชาติ ล้วนประเมินหลายครั้งว่าบริหารได้ยากมาก ให้กลายเป็นโรงแรมธุรกิจที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ เคยติดอันดับโรงแรมธุรกิจที่มีอัตราการเข้าพักสูงสุดและราคาห้องพักสูงสุดติดต่อกันสิบกว่าปีได้อย่างไร ใสส่วนที่ควรค่าแก่การขบคิดก็คือ เขาทำอย่างไรให้เดอะริตซ์แลนดิสกลายเป็นบริษัทที่ บริหารโดยมนุษยวิสัย และมีวัฒนธรรมทางธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ท่ามกลางความสำเร็จนี้ย่อมมีอุปสรรคและความท้อแท้ แต่เขาอยากให้ข้อความที่ว่า คนที่แสนธรรมดาอย่างเขา คนที่ตั้งใจให้ตนเองเป็นเพียงผู้บริหารจัดการ ไม่เคยเห็นทรัพย์สินเงินทองผลประโยชน์เป็นเป้าหมายหลักของชีวิต ก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และมีความสุขได้
คนเราเมื่อมาถึงจุดหนึ่งของชีวิตเราต้องรู้หรือเปล่าว่าตัวเราต้องการแสวงหาอะไรจริงๆ มีความแตกต่างกันอย่างไร การที่เรามีความหวัง ความหวัง หวังของเราต้องยิ่งใหญ่ที่สุด พยายามให้มากที่สุด คิดการเผื่อสิ่งที่เลวร้ายที่สุด หากกลัวสิ่งใด ก็จงไปศึกษาสิ่งนั้น นี่เป็นนิสัยของเขาเวลาเจอกับปัญหา ให้เกียรติตัวเองเสียก่อน จึงจะได้รับเกรียติจากผู้อื่น วิธีการแก้ไขวิกฤติที่ดีที่สุด คือแก้ไขก่อนเกิดวิกฤติ นั่นก็คือการป้องกันไว้ก่อน นี่จึงจะเป็นวิธีแก้ไขที่ชาญฉลาดที่สุด หากรอให้เกิดวิกฤติก่อนแล้วจึงหาทางแก้ไข จะเป็นเพียงวิธีแก้ไขอันดับรองเท่านั้น หากพนักงานคนใดคนหนึ่งทำผิดถือเป็นความผิดของทั้งกลุ่มพวกเราทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน การเป็นที่ยอมรับของบุคคลที่อยู่แวดล้อม เป็นก้าวแรกสำหรับทุกคนที่ต้องการเติบโตและก้าวหน้า ถ้าหากคุณไม่สามารถทำให้บุคคลที่อยู่แวดล้อมยอมรับคุณ ต่อให้มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีวันได้นำไปปฏิบัติ ก่อนที่เราจะเริ่มทำงาน และแสดงศักยภาพของตนเองนั้น ต้องทำความรู้จักตนเองเสียก่อน โดยสังเกตจุดเด่นพร้อมกับสังเกตจุดด้อยของตนไปด้วย เพราะไม่มีใครที่ดีพร้อมสมบูรณ์ เริ่มจากหาวิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง วิเคราะห์แรงบันดาลใจในการเรียนรู้ของตนเอง จากนั้นก็ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ กลัวสิ่งใด ก็จงไปศึกษาสิ่งนั้น คนเราต้องทำตัวเหมือนถึงขยะ การรักษาโอกาสทางการเรียนรู้ทุกครั้งเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด สิ่งแวดล้อมทุกแห่งคือโอกาสทางการเรียนรู้ของเราทั้งสิ้น สิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นการเรียนรู้ในเชิงบวก สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีเป็นการฝึกฝนขัดเกลา เผื่อในภายภาคหน้าเราต้องแบกรับงานใหญ่ตัวคนเดียว จะไม่เกิดประวัติศาตร์ซ้ำรอยผิดพลาดบ่อยๆ ต้องมีความเชื่อมั่นอยู่เสมอ ว่าเราต้องเป็นเห็นคุณค่าของตัวเราอง คนอื่นจึงจะเห็นคุณค่าในตัวเรา สิ่งรอบข้างที่เย้ายวนเป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ ดูผิวเผินเหมือนกับเราจะได้ผลประโยชน์ แต่เมื่อใดที่เราเปิด ประตูบานนั้น ออกแล้ว ก็จะมีแต่จะต้องเดินเข้าสู่กับดักนั้นลึกขึ้นๆ แม้จะแค่ครั้งเดียวก็นับว่าเกินพอ มันทำให้เราตระหนักได้ว่าบรรยากาศรอบๆๆในการทำงาน มันเต็มไปด้วยกับดักจากสิ่งเย้ายวน หากประมาทเมื่อไหร่ อาจทำให้ตนเองชื่อเสียงป่นปี้ หลังจากเอาชนะอุปสรรคเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว เราต้องเริ่มกำหนดเป้าหมายการทำงานระยะสั้นให้แก่ตนเอง เป้าหมายระยะสั้นเหล่านี้ ได้แก่ การเพิ่มทักษะการทานในเบื้องต้นให้แก่ตนเอง เป้าหมายระยะสั้นเหล่านี้ ได้แก่ การเพิ่มทักษะการทำงานในเบื้องต้นให้แก่ตนเอง เรียนรู้การใช้เครื่องมือในการยังชีพให้ชำนาญ ยกตัวอย่างเช่น ภาษา การพิมพ์ดีด รวมทั้งเรื่องรอบตัวทั้งหมดนี้เป็นคุณสมบัติจำเป็น การเป็นผู้นำที่ดี ห้ามมอบหมายงานในความรับผิดชอบของตนเองให้แก่ผู้อื่นเด็ดขาด ตราบใดที่คุณยืมแรงของคนอื่นมาช่วยแบกหามภาระของคุณคุณจะสูญเสียจุดยืนของตนเองทันที อีกทั้งอารมณ์ของคนผู้นั้นจะกลายเป็นตัวแปรของความสำเร็จในงานทั้งชิ้น ไม่ช้าก็เร็วก็ทำให้เกิดปัญหา ผู้นำ นอกจากต้องมองเห็นล่งหน้าว่าจุดเสี่ยงอยู่ตรงไหน ยังต้องเป็นผู้บริหารอารมณ์ที่เฉียบไวอีกด้วย ต้องรู้จักวิธีผ่อนคลายอารมณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชา นอกเหนือจากเงื่อนไขเหล่านี้แล้ว ยังต้องเป็นผู้บริหารอารมณ์ที่เฉียบไวอีกด้วย ต้องรู้จักวิธีผ่อนคลายอารมณ์ของลูกทัวร์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาจึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่เก่ง และอีกในบทบาทของคนกลางที่เป็นผู้แทนของบริษัทนั้น กับคนภายในบริษัทเองต้องไม่ทำให้หัวหน้าคิดว่าเรายึดกุมอำนาจ ฝ่ามือบังฟ้า เมื่อติดต่องานข้างนอกต้องได้รับความไว้วางใจและการมอบหมายอำนาจจากบริษัทอย่างเต็มที่ เมื่อไหร่จะต้องตัดสินใจหรือให้คำมั่นสัญญา จึงจะไม่ลังเล ยึกยัก หรือหวาดเกรง ในปรัชญาการบริหาร วิธีการแก้ไขวิกฤติที่ดีที่สุด คือแก้ไขก่อนเกิดวิกฤติ นั่นก็คือป้องกันไว้ก่อน ซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขที่ชาญฉลาดที่สุดหากรอให้เกิดวิกฤตก่อนแล้วจึงหาทางแก้ไข จะเป็นได้เพียงวิธีแก้ไขที่ดีเป็นอันดับรองเท่านั้น ไม่ขอให้ราบรื่นจนตลอดรอดฝั่ง แต่ขอเพียงแค่เมื่อมีปัญหาทุกปัญหาเกิดขึ้น ยังมีความกล้าและอดทน ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหา ยืนหยัดต่อไป ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและความสามารถในการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีพรสวรรค์หรือไม่ ผู้ผ่านบททดสอบและการหล่อหลอมให้ได้จึงจะเป็นทองแท้ ผู้นำต้องเป็นที่ยอมรับนับถือ ต้องทำให้พนักงานมีความรู้สึกอุ่นใจรู้สึกปลอดภัย รู้สึกเหมือน ผมอยู่เคียงข้างคุณ การอธิบายอย่างสุภาพนั้น หนึ่ง ไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าคุณกำลังตำหนิติเตียนใคร สอง สร้างช่องทางการสื่อสารขึ้นใหม่ โดยผู้นำต้องเน้นย้ำว่าตนมีฐานะเป็นผู้ให้บริการ ขณะเดียวกันก็ขอร้องให้สมาชิกทุกท่านแยกแยะความสำคัญก่อนหลังของกิจธุระ ทุกคนที่ฟังก็จะรู้สึกสมเหตุสมผล และยอมนำไปปฏิบัติอย่างยินดี ผู้เป็นผู้นำต้องมีความเข้าใจอย่างหนึ่ง นั่นคือ การยึดครองดินแดนตั้ง
ตัวเป็นใหญ่ ท้ายที่สุดย่อมหนีไม่พ้นคำว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว การเป็นคนเริ่มขึ้นมาจากรากหญ้า รู้ซึ่งถ่องแท้ถึงรสชาติเปรี้ยวหวานขมปนเผ็ดของตำแหน่งทุกๆระดับ ความตระหนักในสัจธรรม เอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่เอง ทำให้เมื่อก้าวออกมาเป็นผู้นำทีมทำงาน ไม่เคยมีความคิดจะยึดครองดินแดนหรือตั้งตัวเป็นใหญ่เลย ยิ่งสูงยิ่งหนาว นี่เกเอาไว้ให้เป็นความเข้าใจที่คิดว่าผู้เป็นผู้นำทุกคนควรตระหนักเอาไว้ให้ดี
การสื่อสารมีเพียงสามระดับ สื่อสารกับเบื้องสูงต้องเน้นความรู้ใจสื่อสารกับเบื้องล่างต้องฟังเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชา ส่วนศิลปะในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานในระดับเดียวกันนั้น คือลืมตัวตนของตนเอง
ขั้นตอนที่หนึ่งของการสื่อสาร ก็เหมือนกับเกม เล่นโยนบอล ทั้งสองฝ่ายจะเรียนรู้กันและกันระหว่างการโยนลูกบอลไปมา เข้าขากันได้ดีฟังก่อนแล้วค่อยพูด เสร็จแล้วจังนำไปปฏิบัติ นั่นคือเมื่อเจ้านายของคุณรู้สึกว่าระหว่างตัวคุณกับเขา มุมมองที่มีต่อชิ้นงานใกล้เคียงกันแนวคิดที่มีต่อแผนงานคล้ายๆกัน การตัดสินใจของพวกคุณไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เมื่อนั้นเขาก็จะเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือไม่ก็เมื่อเขามั่นใจในความสามารถในการตัดสินใจของคุณมาก ถึงขั้นคิดว่าการตัดสินใจของคุณดีกว่าของเขาเสียอีก เขาก็จะปล่อยมือ ให้คุณไปเป็นผู้กระทำโดยอัตโนมัติต่อจากนี้งานที่มีลักษณะเดียวกัน คุณก็สามารถบริหารจัดการลงได้ เพราะสำหรับคุณแล้วมันไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป คุณได้รับความเชื่อและมอบอำนาจอย่างเต็มที่แล้ว ทำให้พวกเขาเข้าใจว่า คุณได้ยินเสียงพวกเขา ตั้งแต่แรกคุณเห็นอุปสรรคที่พวกเขาอาจจะต้องเจอแล้ว แต่ในมุมมองของการสื่อสาร ถ้าหากคุณยืนอยู่ตรงข้ามกับอีกฝ่าย ยากที่คุณจะได้รับความเห็นชอบ ถ้าหากคุณยืนขนานอยู่ในแนวเดียวกับอีกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนเดียวกัน มองปัญหาด้วยมุมมองเดียวกัน สามารถตรวจสอบเจตนาของอีกฝ่ายได้ ความเข้าใจตรงกันจึงจะเกิดขึ้น การสื่อสารจึงจะสัมฤทธิ์ผล
การทำธุรกิจย่อมต้องตั้งอยู่บนรากฐานของการให้ผลประโยชน์แก่กันและกัน แต่ควรหลีกหนีจากกับดักของสิ่งล่อใจ ความจริงนั้นสำคัญกว่ามาก จริงใจต่อกัน เห็นอกเห็นใจกันและกัน เป็นแนวทางปฏิบัติ สำหรับบริษัทแล้วมันเป็นธุรกิจชิ้นหนึ่งเหมือนๆกัน ผู้ปฏิบัติการที่มีใจหรือไม่มีใจต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญของความสำเร็จล้มเหลวของชิ้นงาน
ผู้บริหารระดับกลางที่กำลังไต่เต้าสูงขึ้นทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความกดดัน ในเวลานั้นสิ่งที่คนทั่วไปจะทำมักเป็นการ ยอมถอย สาเหตุของการยอมถอยมักไม่ใช่เป็นเพราะความถูกหรือผิด แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นเจ้านายคุณ
ระยะเวลาทดลองงานก็เหมือนกับการ ทดลองแต่งงาน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ผู้คนจำนวนมากตอนสมัครงานกรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่นิสัยและข้อด้อยนั้น ส่วนใหญ่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้เกิน หนึ่งร้อยยี่สิบวัน คนจำนวนมากตอนเริ่มต้นก็มีแววมีอนาคต แต่จุดอ่อนในนิสัยค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละน้อยจนหมดเปลือกในช่วงเวลาหนึ่ง ร้อยยี่สอบวัน ผ่านภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเรามอบหมายให้ทำ คนบางคนเห็นแก่ตัว คนบางคนละโมบโลภมาก คนบาคนเห็นแก่ได้ทั้งหมดนี้กลายเป็นจุดตายของภารกิจที่พวกเขาต้องรับผิดชอบในอนาคตทั้งสิ้น สำคัญที่บุคคลที่เป็นผู้นำ บุคลากรที่ยอดเยี่ยมเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของบริษัท การเลือกใช้คนนอกจากต้อคิดคำนึงถึงจุดยืนของบริษัทแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ต้องรู้ชัดถึงความแตกต่างในเนื้อแท้ของแต่ละคน ค่าสูงต่ำของความสามารถกับค่าสูงต่ำของคุณธรรม จริยธรรม ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งกับความสามารถซ่อนเร้นที่พร้อมจะพัฒนาต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งสองสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างหลังมีความสำคัญมากกว่ากัน
หลักการเลือกมือขวาคือ เขาต้องสามารถลบข้อด้อยของคุณ และช่วยขยายข้อเด่นคุณได้ ทั้งสองคนต้องสามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันฝ่ายหนึ่งคอยปฏิบัติ อีกฝ่ายหนึ่งค่อยปรับปรุง
การเป็นผู้บริหารไม่ใช่อาศัยเพียงแค่ความรู้รอบตัวกับประสบการณ์แต่เพียงอย่างเดียว การบริหารงานบุคคล การจัดการธุรกิจการเงิน การบริหารการตลาดและงานขาย และความรู้เฉพาะทาง ทั้งสี่ประการนี้ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ การเป็นผู้นำมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ต้องมีพร้อมซึ่งคุณสมบัติสี่ประการ อย่างแรก ต้องรู้จักการบริหารงานบุคคล อย่างที่สอง ต้องรู้จักการบริหารการเงิน สามารถควบคุมงบประมาณ อย่างที่สาม ต้องรู้จักการขายการตลาด ต้องขายสินค้าเป็นไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใดก็ตาม อย่างที่สี่ ต้องมีความรู้เฉพาะทาง
อำนาจไม่ใช่การวางกลยุทธ์ ทิศทางการบริหารธุรกิจก็ไม่ควรเป้นการบริหารแบบ รัฐบาลทหาร ที่แข็งกระด้าง พลิกแพลงไม่ได้ แต่ต้องดูขั้นตอนการดำเนินการ การบริหารแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จเป็นเพียงทางผ่านชั่วระยะหนึ่ง เมื่อพวกเราต้องแข่งขันกับเวลา แม้นว่าวิธีการลงมือนั้นแข็งกร้าวแต่รับรองว่าจิตใจนั้นอ่อนโยน ผมเป็นหัวหน้ากองเชียร์คนหนึ่ง สิ่งที่ลูกน้องต้องการคือขวัญกำลังใจ ถ้าหากเป็นผู้นำแล้วสุขุมเยือกเย็นไม่พอ เมื่อประสบกับเหตุวิกฤติไม่สามารถแสดงบทบาทวางแผนบัญชาการตามหน้าที่ ยังจะต้องการผู้นำคนนี้ไว้ทำไม ถ้าหากเมื่อเกิดวิกฤต ผู้นำรู้จักแต่ทำตามคนอื่นๆ ไม่สามารถแสดงบทบาทวางแผนบัญชาการตามหน้าที่ ยังจะต้องการผู้นำคนนี้ไว้ทำไม

ความสำเร็จของกิจการอย่างหนึ่งย่อมมีเหตุปัจจัยหลายประการ แต่ทั้งหมดนั้น คิดว่า คน เป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดของกิจการ ต้องมีเงื่อนไขสามประการมอบให้แก่พนักงาน
1. ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล
2. สิ่งแวดล้อมที่เพิ่มพูนความรู้
3. อนาคตที่ควรค่าแก่การรอคอย
การโยกย้ายหัวหน้าแผนกในแนวขวางมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ข้อแรก สามารถช่วยให้ตัว
พนักงานเองได้เติบโตขึ้น การเปลี่ยนงานใหม่ช่วยเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ให้แก่เขา พร้อมกันนั้นจะช่วยกระตุ้นพลังแฝงในตัวของเขาเองอีกด้วย เมื่อมองจากอีกมุมมองหนึ่ง การโยกย้ายในแนวขวางยงช่วยให้ตัวพนักงานได้เรียนรู้ปัญหาและอุปสรรคของทุกๆแผนก ช่วยลดทิฐิมานะ พร้อมกบสามารถช่วยลดความขัดแย้งระหว่างแผนกลงอีกด้วย
บทบาทของผู้บริหารมีเพียงการ ขุด เอาพลังแฝงของพวกเขาออกมานิสัยของแต่ละคนมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ แต่สำหรับผู้บริหาร คุณต้องมองแง่บวกของเขาเท่านั้น จากนั้นก็เอาจุดเดนของเขามาใช้กับตำแหน่งที่เหมาะสม พลังแฝงที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวจึงจะสามารถแสดงออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ฝ่ายบุคคล ก็คือฝ่ายประชาสัมพันธ์ภายในระหว่างบริษัทกับพนักงาน นอกจากจะต้องรับรู้สภาวะการทานของพนักงานให้ได้แล้ว ยังต้องรับรู้สภาพร่างกายและจิตใจของพนักงานด้วย พร้อมกับแสดงความห่วงใยแทนบริษัทในเวลาที่เหมาะสม
การสอบประเมินนอกจากจะไม่ใช่สัตว์ร้ายที่น่ากลัวแล้ว ยังเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบกิจการขนาดใหญ่ ช่วยเหลือพนักงานในการประเมินตนเอง ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างพนักงานกับหัวหน้า และยังสามารถทำให้ผู้บริหารมองเห็นความสามารถในการเป็นผู้นำของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การติ ควรติเพื่อก่อ ลำดับต่อไปนี้จะเป็นเคล็ดลับ คิดถึงข้อดีของเขา ยอมรับจุดเด่นของเขา กล่าวถึงข้อบกพร่องของเขา คิดหาวิธีการแก้ไข บันทึกเป็นลากลักษณ์อักษร บ่อยครั้งเมื่อผู้บริหารได้ยินว่าจะสอบประเมินก็มักวิตกกังวล ความจริงแล้วการสอบประเมินไม่จำเป็นต้องตรวจสอบข้อบกพร่องด้วยท่าทีติดลบเสมอไป ในทางกลับกัน กานสอบประเมินสามารถเป็นโอกาสที่ดีที่สุด สำหรับการแสดงออกว่าผู้บริหารมีความห่วงใยพนักงาน มีความต้องการที่จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพนักงาน และยอมรับในตัวพนักงาน
ธุรกิจแขนงหนึ่ง นอกจากสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพแล้วยังควรสร้างอิทธิพลในแง่บวกต่อค่านิยมในสังคมและยกระดับวัฒนธรรมของสังคมด้วย แทนที่จะมาบ่นว่าสังคมนั้นมืดมน มิสู้ทำให้ตัวเองเป็นกายเรืองแสงที่สองสว่างในสังคมไม่ดีกว่าหรือ