Book Review: เพราะทำจึงสำเร็จ

เพราะทำจึงสำเร็จ

FROM MESSENGER TO MANAGER

สแตนลีย์ เหยียบ : เขียน
อนุรักษ์ กิจไพบูลย์ทวี : แปล
ปี 1971 สแตนลีย์ เหยีน ในวัน 23 ปี ยังเป็นเพียง พนักงานส่งเอกสาร ของบริษัทอเมริกันเอกซ์เพรส แต่ห้าปีต่อมา เขาได้นำเสนอแผนการตลาดแบบใหม่ทำให้บริษัทเปลี่ยนจากการขาดทุนเป็นกำไร จึงได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการใหญ่ประจำสาขาไต้หวัน
ปี 1979 เขาได้รับเชิญให้เข้ามาบริหารงานโรงแรมเดอะริดซ์แลนดิส ใช้ระบบการบริหารแบบเป็นมิตรและให้ความสำคัญกับหัวใจของงานบริการทำให้โรงแรมเดอะริตซ์แลนดิสกลายเป็นโรงแรมที่ได้รับคำชมมากผู้เข้าพักมากที่สุด
ปี 1992 เขาก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการบริหารงานในเครือ เดอะริตซ์แลนดิสสากล บริการให้คำปรึกษา และจัดอบรมสายงานต่างๆ อย่างมืออาชีพให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรม การอาหารและเครื่องดื่ม
สแตนลีย์ เหยียน จบการศึกษาเพียงแค่มัธยมปลายแต่สามารถปีนไต่ขึ้นสูงของสายอาชีพ เขาไม่มีภูมิหลังที่สูงส่ง อาศัยเพียงการฝึกฝนร่ำเรียนด้วยตนเอง อย่างขยันขันแข็งและความพากเพียรพยายาม เขาจึงกล้าพูดว่า ความสามารถสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา
คนจำนวนมากไขว่คว้าความสำเร็จมาตลอดชีวิต แต่มีคนเพียงไม่กี่คนที่พูดว่าได้ตนเองประสบความสำเร็จจริงๆ และคนเหล่านี้ก็มักจะไม่หวงหากมีใครถามถึงเคล็ดลับ เพราะสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่ ทำอย่างไร แต่คือการปรับทัศนคติ วิธีคิดให้เหมาะสม เพื่อที่ว่าในสถานการณ์ต่างกัน เราจะรับมือกับปัญหาหรือสิ่งท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้ และไม่ย่อท้อ เชื่อเหอะว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ในทุกระดับชั้น และทุกๆมุมเล็กของสังคม
สแตนลีย์ เหยียน คือผู้บริหารจัดการ ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา เขาเคยทำงานเพียงแค่สองที่หนึ่งคือบริษัทอเมริกันเอ๊กซ์เพรส ที่ฝึกเขาจากพนักงานส่งเอกสารจนกลายเป็นผู้จัดการใหญ่ อีกที่หนึ่งคือโรงแรมเดอะริตซ์แลนดิสแล้ว ที่เขาก้าวเข้ามาด้วยเหตุปัจจัยบางประการ และเมื่อก้าวเข้ามาก็อยู่นานถึงสิบแปดปี ดังนั้น หากจะบอกว่า ธุรกิจท่องเที่ยว เป็น สัมมาชีพ เพียงอย่างเดียวในชีวิตของเขา ก็ไม่เกินไปนัก และเหตุเพราะก้าวลงไปลึกมากเขาจึงทุ่มเทและเอาใจใส่กับวงการนี้มากที่สุดด้วย แทบจะพูดได้ว่านอกจากงานประจำในเดอะริตซ์แลนดิสแล้ว กำลังแทบทั้งหมดของเขาก็ทุ่มเทให้ภารกิจด้านการให้ความรู้ สร้างและโฆษณาธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจอาหารในโอกาสที่แสนบังเอิญ เขาได้รับเชิญจาก National Youth Commission (สมาคมส่งเสริมเยาวชนแห่งชาติ) และนิตยสาร Career ไปบรรยายให้แก่กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง และได้ผลตอบรับที่ไม่เลวนัก ต่อมาเขาก็เริ่มออกบรรยายเกี่ยวกับหัวข้อ การบริหารโดยใช้มนุษยวิสัย ให้แก่หน่วยงานต่างๆ เช่น โรงพยาบาลชื่อดัง โรงเรียน สายการบิน และหน่วยงานราชการ เขาค่อนข้างได้รับการยอมรับจนเกือบถึงขึ้นเลิกทำไม่ได้

การเล่าประสบการส่วนตัวของ สแตนลีย์ เหยียน ว่าเริ่มต้นจากตำแหน่ง พนักงานส่งเอกสาร ที่เรียนไม่จบปริญญาตรี ใมระยะเวลาสั้นๆ ห้าปี ทำให้บริษัทมองเห็นความสำคัญ จนกระทั่งกลายป็นผู้จัดการใหญ่ ชาวท้องถิ่น คนแรกได้อย่างไร เรื่องราวทั้งหมด องค์ประกอบบางส่วนก็เป็นโชค ดังคำว่า จังหวะของเวลา ชัยภูมิที่เหมาะสม และบุคคลที่เกื้อกูล
แต่ก็ยังมีความรู้และประสบการณ์ของความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่น้อยที่เขานำมาแบ่งปันให้รู้ จึงเป็นแนวคิดแรงบันดาลในบางส่วนกับเพื่อนที่เส้นทางการศึกษาไม่สู้ราบรื่นนัก และบอกให้รู้ความจริงแล้วในโลกนี้มีพื้นที่มากพอสำหรับให้ทุกคนขยับขยายแสดงพลังแฝงของตนเอง แต่ก็ต้องหัดทำความรู้จักตนเองเสียก่อน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตนเองด้วย เหมือนอย่างตัวเขาซึ่งค้นพบความสามารถที่ซ่อนเร้นและจุดแข็งของตนเอง จากในโอกาสในการทำงานครั้งแรกหลังปลดประจำการ จนกระทั่งเปิดศักราชใหม่ให้แก่อาชีพการงานตนเองและประสบความสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดเรื่องราวการเติบโตเรื่องเล็กเรื่องน้อยของตนเองเหล่านี้ออกมา โดยใช้ถ้อยสำนวนที่เข้าใจง่ายเขาเน้นคำว่า เรื่องเล็กเรื่องน้อย เพราะเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่คนทุกคนน่าจะประสบพบเจอทุกวี่วัน และแน่นอนว่าในช่วงหลังของเนื้อหา เขาก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกมากมายของการเป็นผู้นำ
รวมถึงบอกเล่าว่าตัวเขาเองซึ่งเป็นคนนอกวงการที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการบริหารโรงแรมเลยแม้แต่น้อย ได้รับมอบหมายภารกิจให้สร้างโรงแรมเดอะริตซ์แลนดิส ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลไม่ดี สภาพแวดล้อมไม่ดีที่แม้แต่นักวิชาการการโรงแรมนานาชาติ ล้วนประเมินหลายครั้งว่าบริหารได้ยากมาก ให้กลายเป็นโรงแรมธุรกิจที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ เคยติดอันดับโรงแรมธุรกิจที่มีอัตราการเข้าพักสูงสุดและราคาห้องพักสูงสุดติดต่อกันสิบกว่าปีได้อย่างไร ใสส่วนที่ควรค่าแก่การขบคิดก็คือ เขาทำอย่างไรให้เดอะริตซ์แลนดิสกลายเป็นบริษัทที่ บริหารโดยมนุษยวิสัย และมีวัฒนธรรมทางธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ท่ามกลางความสำเร็จนี้ย่อมมีอุปสรรคและความท้อแท้ แต่เขาอยากให้ข้อความที่ว่า คนที่แสนธรรมดาอย่างเขา คนที่ตั้งใจให้ตนเองเป็นเพียงผู้บริหารจัดการ ไม่เคยเห็นทรัพย์สินเงินทองผลประโยชน์เป็นเป้าหมายหลักของชีวิต ก็ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และมีความสุขได้
คนเราเมื่อมาถึงจุดหนึ่งของชีวิตเราต้องรู้หรือเปล่าว่าตัวเราต้องการแสวงหาอะไรจริงๆ มีความแตกต่างกันอย่างไร การที่เรามีความหวัง ความหวัง หวังของเราต้องยิ่งใหญ่ที่สุด พยายามให้มากที่สุด คิดการเผื่อสิ่งที่เลวร้ายที่สุด หากกลัวสิ่งใด ก็จงไปศึกษาสิ่งนั้น นี่เป็นนิสัยของเขาเวลาเจอกับปัญหา ให้เกียรติตัวเองเสียก่อน จึงจะได้รับเกรียติจากผู้อื่น วิธีการแก้ไขวิกฤติที่ดีที่สุด คือแก้ไขก่อนเกิดวิกฤติ นั่นก็คือการป้องกันไว้ก่อน นี่จึงจะเป็นวิธีแก้ไขที่ชาญฉลาดที่สุด หากรอให้เกิดวิกฤติก่อนแล้วจึงหาทางแก้ไข จะเป็นเพียงวิธีแก้ไขอันดับรองเท่านั้น หากพนักงานคนใดคนหนึ่งทำผิดถือเป็นความผิดของทั้งกลุ่มพวกเราทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน การเป็นที่ยอมรับของบุคคลที่อยู่แวดล้อม เป็นก้าวแรกสำหรับทุกคนที่ต้องการเติบโตและก้าวหน้า ถ้าหากคุณไม่สามารถทำให้บุคคลที่อยู่แวดล้อมยอมรับคุณ ต่อให้มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีวันได้นำไปปฏิบัติ ก่อนที่เราจะเริ่มทำงาน และแสดงศักยภาพของตนเองนั้น ต้องทำความรู้จักตนเองเสียก่อน โดยสังเกตจุดเด่นพร้อมกับสังเกตจุดด้อยของตนไปด้วย เพราะไม่มีใครที่ดีพร้อมสมบูรณ์ เริ่มจากหาวิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง วิเคราะห์แรงบันดาลใจในการเรียนรู้ของตนเอง จากนั้นก็ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ กลัวสิ่งใด ก็จงไปศึกษาสิ่งนั้น คนเราต้องทำตัวเหมือนถึงขยะ การรักษาโอกาสทางการเรียนรู้ทุกครั้งเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด สิ่งแวดล้อมทุกแห่งคือโอกาสทางการเรียนรู้ของเราทั้งสิ้น สิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นการเรียนรู้ในเชิงบวก สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีเป็นการฝึกฝนขัดเกลา เผื่อในภายภาคหน้าเราต้องแบกรับงานใหญ่ตัวคนเดียว จะไม่เกิดประวัติศาตร์ซ้ำรอยผิดพลาดบ่อยๆ ต้องมีความเชื่อมั่นอยู่เสมอ ว่าเราต้องเป็นเห็นคุณค่าของตัวเราอง คนอื่นจึงจะเห็นคุณค่าในตัวเรา สิ่งรอบข้างที่เย้ายวนเป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ ดูผิวเผินเหมือนกับเราจะได้ผลประโยชน์ แต่เมื่อใดที่เราเปิด ประตูบานนั้น ออกแล้ว ก็จะมีแต่จะต้องเดินเข้าสู่กับดักนั้นลึกขึ้นๆ แม้จะแค่ครั้งเดียวก็นับว่าเกินพอ มันทำให้เราตระหนักได้ว่าบรรยากาศรอบๆๆในการทำงาน มันเต็มไปด้วยกับดักจากสิ่งเย้ายวน หากประมาทเมื่อไหร่ อาจทำให้ตนเองชื่อเสียงป่นปี้ หลังจากเอาชนะอุปสรรคเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว เราต้องเริ่มกำหนดเป้าหมายการทำงานระยะสั้นให้แก่ตนเอง เป้าหมายระยะสั้นเหล่านี้ ได้แก่ การเพิ่มทักษะการทานในเบื้องต้นให้แก่ตนเอง เป้าหมายระยะสั้นเหล่านี้ ได้แก่ การเพิ่มทักษะการทำงานในเบื้องต้นให้แก่ตนเอง เรียนรู้การใช้เครื่องมือในการยังชีพให้ชำนาญ ยกตัวอย่างเช่น ภาษา การพิมพ์ดีด รวมทั้งเรื่องรอบตัวทั้งหมดนี้เป็นคุณสมบัติจำเป็น การเป็นผู้นำที่ดี ห้ามมอบหมายงานในความรับผิดชอบของตนเองให้แก่ผู้อื่นเด็ดขาด ตราบใดที่คุณยืมแรงของคนอื่นมาช่วยแบกหามภาระของคุณคุณจะสูญเสียจุดยืนของตนเองทันที อีกทั้งอารมณ์ของคนผู้นั้นจะกลายเป็นตัวแปรของความสำเร็จในงานทั้งชิ้น ไม่ช้าก็เร็วก็ทำให้เกิดปัญหา ผู้นำ นอกจากต้องมองเห็นล่งหน้าว่าจุดเสี่ยงอยู่ตรงไหน ยังต้องเป็นผู้บริหารอารมณ์ที่เฉียบไวอีกด้วย ต้องรู้จักวิธีผ่อนคลายอารมณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชา นอกเหนือจากเงื่อนไขเหล่านี้แล้ว ยังต้องเป็นผู้บริหารอารมณ์ที่เฉียบไวอีกด้วย ต้องรู้จักวิธีผ่อนคลายอารมณ์ของลูกทัวร์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาจึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่เก่ง และอีกในบทบาทของคนกลางที่เป็นผู้แทนของบริษัทนั้น กับคนภายในบริษัทเองต้องไม่ทำให้หัวหน้าคิดว่าเรายึดกุมอำนาจ ฝ่ามือบังฟ้า เมื่อติดต่องานข้างนอกต้องได้รับความไว้วางใจและการมอบหมายอำนาจจากบริษัทอย่างเต็มที่ เมื่อไหร่จะต้องตัดสินใจหรือให้คำมั่นสัญญา จึงจะไม่ลังเล ยึกยัก หรือหวาดเกรง ในปรัชญาการบริหาร วิธีการแก้ไขวิกฤติที่ดีที่สุด คือแก้ไขก่อนเกิดวิกฤติ นั่นก็คือป้องกันไว้ก่อน ซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขที่ชาญฉลาดที่สุดหากรอให้เกิดวิกฤตก่อนแล้วจึงหาทางแก้ไข จะเป็นได้เพียงวิธีแก้ไขที่ดีเป็นอันดับรองเท่านั้น ไม่ขอให้ราบรื่นจนตลอดรอดฝั่ง แต่ขอเพียงแค่เมื่อมีปัญหาทุกปัญหาเกิดขึ้น ยังมีความกล้าและอดทน ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหา ยืนหยัดต่อไป ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและความสามารถในการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีพรสวรรค์หรือไม่ ผู้ผ่านบททดสอบและการหล่อหลอมให้ได้จึงจะเป็นทองแท้ ผู้นำต้องเป็นที่ยอมรับนับถือ ต้องทำให้พนักงานมีความรู้สึกอุ่นใจรู้สึกปลอดภัย รู้สึกเหมือน ผมอยู่เคียงข้างคุณ การอธิบายอย่างสุภาพนั้น หนึ่ง ไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าคุณกำลังตำหนิติเตียนใคร สอง สร้างช่องทางการสื่อสารขึ้นใหม่ โดยผู้นำต้องเน้นย้ำว่าตนมีฐานะเป็นผู้ให้บริการ ขณะเดียวกันก็ขอร้องให้สมาชิกทุกท่านแยกแยะความสำคัญก่อนหลังของกิจธุระ ทุกคนที่ฟังก็จะรู้สึกสมเหตุสมผล และยอมนำไปปฏิบัติอย่างยินดี ผู้เป็นผู้นำต้องมีความเข้าใจอย่างหนึ่ง นั่นคือ การยึดครองดินแดนตั้ง
ตัวเป็นใหญ่ ท้ายที่สุดย่อมหนีไม่พ้นคำว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว การเป็นคนเริ่มขึ้นมาจากรากหญ้า รู้ซึ่งถ่องแท้ถึงรสชาติเปรี้ยวหวานขมปนเผ็ดของตำแหน่งทุกๆระดับ ความตระหนักในสัจธรรม เอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่เอง ทำให้เมื่อก้าวออกมาเป็นผู้นำทีมทำงาน ไม่เคยมีความคิดจะยึดครองดินแดนหรือตั้งตัวเป็นใหญ่เลย ยิ่งสูงยิ่งหนาว นี่เกเอาไว้ให้เป็นความเข้าใจที่คิดว่าผู้เป็นผู้นำทุกคนควรตระหนักเอาไว้ให้ดี
การสื่อสารมีเพียงสามระดับ สื่อสารกับเบื้องสูงต้องเน้นความรู้ใจสื่อสารกับเบื้องล่างต้องฟังเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชา ส่วนศิลปะในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานในระดับเดียวกันนั้น คือลืมตัวตนของตนเอง
ขั้นตอนที่หนึ่งของการสื่อสาร ก็เหมือนกับเกม เล่นโยนบอล ทั้งสองฝ่ายจะเรียนรู้กันและกันระหว่างการโยนลูกบอลไปมา เข้าขากันได้ดีฟังก่อนแล้วค่อยพูด เสร็จแล้วจังนำไปปฏิบัติ นั่นคือเมื่อเจ้านายของคุณรู้สึกว่าระหว่างตัวคุณกับเขา มุมมองที่มีต่อชิ้นงานใกล้เคียงกันแนวคิดที่มีต่อแผนงานคล้ายๆกัน การตัดสินใจของพวกคุณไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เมื่อนั้นเขาก็จะเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือไม่ก็เมื่อเขามั่นใจในความสามารถในการตัดสินใจของคุณมาก ถึงขั้นคิดว่าการตัดสินใจของคุณดีกว่าของเขาเสียอีก เขาก็จะปล่อยมือ ให้คุณไปเป็นผู้กระทำโดยอัตโนมัติต่อจากนี้งานที่มีลักษณะเดียวกัน คุณก็สามารถบริหารจัดการลงได้ เพราะสำหรับคุณแล้วมันไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป คุณได้รับความเชื่อและมอบอำนาจอย่างเต็มที่แล้ว ทำให้พวกเขาเข้าใจว่า คุณได้ยินเสียงพวกเขา ตั้งแต่แรกคุณเห็นอุปสรรคที่พวกเขาอาจจะต้องเจอแล้ว แต่ในมุมมองของการสื่อสาร ถ้าหากคุณยืนอยู่ตรงข้ามกับอีกฝ่าย ยากที่คุณจะได้รับความเห็นชอบ ถ้าหากคุณยืนขนานอยู่ในแนวเดียวกับอีกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนเดียวกัน มองปัญหาด้วยมุมมองเดียวกัน สามารถตรวจสอบเจตนาของอีกฝ่ายได้ ความเข้าใจตรงกันจึงจะเกิดขึ้น การสื่อสารจึงจะสัมฤทธิ์ผล
การทำธุรกิจย่อมต้องตั้งอยู่บนรากฐานของการให้ผลประโยชน์แก่กันและกัน แต่ควรหลีกหนีจากกับดักของสิ่งล่อใจ ความจริงนั้นสำคัญกว่ามาก จริงใจต่อกัน เห็นอกเห็นใจกันและกัน เป็นแนวทางปฏิบัติ สำหรับบริษัทแล้วมันเป็นธุรกิจชิ้นหนึ่งเหมือนๆกัน ผู้ปฏิบัติการที่มีใจหรือไม่มีใจต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญของความสำเร็จล้มเหลวของชิ้นงาน
ผู้บริหารระดับกลางที่กำลังไต่เต้าสูงขึ้นทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความกดดัน ในเวลานั้นสิ่งที่คนทั่วไปจะทำมักเป็นการ ยอมถอย สาเหตุของการยอมถอยมักไม่ใช่เป็นเพราะความถูกหรือผิด แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นเจ้านายคุณ
ระยะเวลาทดลองงานก็เหมือนกับการ ทดลองแต่งงาน ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ผู้คนจำนวนมากตอนสมัครงานกรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่นิสัยและข้อด้อยนั้น ส่วนใหญ่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้เกิน หนึ่งร้อยยี่สิบวัน คนจำนวนมากตอนเริ่มต้นก็มีแววมีอนาคต แต่จุดอ่อนในนิสัยค่อยๆ เปิดเผยออกมาทีละน้อยจนหมดเปลือกในช่วงเวลาหนึ่ง ร้อยยี่สอบวัน ผ่านภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเรามอบหมายให้ทำ คนบางคนเห็นแก่ตัว คนบางคนละโมบโลภมาก คนบาคนเห็นแก่ได้ทั้งหมดนี้กลายเป็นจุดตายของภารกิจที่พวกเขาต้องรับผิดชอบในอนาคตทั้งสิ้น สำคัญที่บุคคลที่เป็นผู้นำ บุคลากรที่ยอดเยี่ยมเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของบริษัท การเลือกใช้คนนอกจากต้อคิดคำนึงถึงจุดยืนของบริษัทแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ต้องรู้ชัดถึงความแตกต่างในเนื้อแท้ของแต่ละคน ค่าสูงต่ำของความสามารถกับค่าสูงต่ำของคุณธรรม จริยธรรม ความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งกับความสามารถซ่อนเร้นที่พร้อมจะพัฒนาต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งสองสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น อย่างหลังมีความสำคัญมากกว่ากัน
หลักการเลือกมือขวาคือ เขาต้องสามารถลบข้อด้อยของคุณ และช่วยขยายข้อเด่นคุณได้ ทั้งสองคนต้องสามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันฝ่ายหนึ่งคอยปฏิบัติ อีกฝ่ายหนึ่งค่อยปรับปรุง
การเป็นผู้บริหารไม่ใช่อาศัยเพียงแค่ความรู้รอบตัวกับประสบการณ์แต่เพียงอย่างเดียว การบริหารงานบุคคล การจัดการธุรกิจการเงิน การบริหารการตลาดและงานขาย และความรู้เฉพาะทาง ทั้งสี่ประการนี้ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ การเป็นผู้นำมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ต้องมีพร้อมซึ่งคุณสมบัติสี่ประการ อย่างแรก ต้องรู้จักการบริหารงานบุคคล อย่างที่สอง ต้องรู้จักการบริหารการเงิน สามารถควบคุมงบประมาณ อย่างที่สาม ต้องรู้จักการขายการตลาด ต้องขายสินค้าเป็นไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใดก็ตาม อย่างที่สี่ ต้องมีความรู้เฉพาะทาง
อำนาจไม่ใช่การวางกลยุทธ์ ทิศทางการบริหารธุรกิจก็ไม่ควรเป้นการบริหารแบบ รัฐบาลทหาร ที่แข็งกระด้าง พลิกแพลงไม่ได้ แต่ต้องดูขั้นตอนการดำเนินการ การบริหารแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จเป็นเพียงทางผ่านชั่วระยะหนึ่ง เมื่อพวกเราต้องแข่งขันกับเวลา แม้นว่าวิธีการลงมือนั้นแข็งกร้าวแต่รับรองว่าจิตใจนั้นอ่อนโยน ผมเป็นหัวหน้ากองเชียร์คนหนึ่ง สิ่งที่ลูกน้องต้องการคือขวัญกำลังใจ ถ้าหากเป็นผู้นำแล้วสุขุมเยือกเย็นไม่พอ เมื่อประสบกับเหตุวิกฤติไม่สามารถแสดงบทบาทวางแผนบัญชาการตามหน้าที่ ยังจะต้องการผู้นำคนนี้ไว้ทำไม ถ้าหากเมื่อเกิดวิกฤต ผู้นำรู้จักแต่ทำตามคนอื่นๆ ไม่สามารถแสดงบทบาทวางแผนบัญชาการตามหน้าที่ ยังจะต้องการผู้นำคนนี้ไว้ทำไม

ความสำเร็จของกิจการอย่างหนึ่งย่อมมีเหตุปัจจัยหลายประการ แต่ทั้งหมดนั้น คิดว่า คน เป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดของกิจการ ต้องมีเงื่อนไขสามประการมอบให้แก่พนักงาน
1. ค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผล
2. สิ่งแวดล้อมที่เพิ่มพูนความรู้
3. อนาคตที่ควรค่าแก่การรอคอย
การโยกย้ายหัวหน้าแผนกในแนวขวางมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ข้อแรก สามารถช่วยให้ตัว
พนักงานเองได้เติบโตขึ้น การเปลี่ยนงานใหม่ช่วยเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ให้แก่เขา พร้อมกันนั้นจะช่วยกระตุ้นพลังแฝงในตัวของเขาเองอีกด้วย เมื่อมองจากอีกมุมมองหนึ่ง การโยกย้ายในแนวขวางยงช่วยให้ตัวพนักงานได้เรียนรู้ปัญหาและอุปสรรคของทุกๆแผนก ช่วยลดทิฐิมานะ พร้อมกบสามารถช่วยลดความขัดแย้งระหว่างแผนกลงอีกด้วย
บทบาทของผู้บริหารมีเพียงการ ขุด เอาพลังแฝงของพวกเขาออกมานิสัยของแต่ละคนมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ แต่สำหรับผู้บริหาร คุณต้องมองแง่บวกของเขาเท่านั้น จากนั้นก็เอาจุดเดนของเขามาใช้กับตำแหน่งที่เหมาะสม พลังแฝงที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวจึงจะสามารถแสดงออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ฝ่ายบุคคล ก็คือฝ่ายประชาสัมพันธ์ภายในระหว่างบริษัทกับพนักงาน นอกจากจะต้องรับรู้สภาวะการทานของพนักงานให้ได้แล้ว ยังต้องรับรู้สภาพร่างกายและจิตใจของพนักงานด้วย พร้อมกับแสดงความห่วงใยแทนบริษัทในเวลาที่เหมาะสม
การสอบประเมินนอกจากจะไม่ใช่สัตว์ร้ายที่น่ากลัวแล้ว ยังเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบกิจการขนาดใหญ่ ช่วยเหลือพนักงานในการประเมินตนเอง ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างพนักงานกับหัวหน้า และยังสามารถทำให้ผู้บริหารมองเห็นความสามารถในการเป็นผู้นำของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การติ ควรติเพื่อก่อ ลำดับต่อไปนี้จะเป็นเคล็ดลับ คิดถึงข้อดีของเขา ยอมรับจุดเด่นของเขา กล่าวถึงข้อบกพร่องของเขา คิดหาวิธีการแก้ไข บันทึกเป็นลากลักษณ์อักษร บ่อยครั้งเมื่อผู้บริหารได้ยินว่าจะสอบประเมินก็มักวิตกกังวล ความจริงแล้วการสอบประเมินไม่จำเป็นต้องตรวจสอบข้อบกพร่องด้วยท่าทีติดลบเสมอไป ในทางกลับกัน กานสอบประเมินสามารถเป็นโอกาสที่ดีที่สุด สำหรับการแสดงออกว่าผู้บริหารมีความห่วงใยพนักงาน มีความต้องการที่จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพนักงาน และยอมรับในตัวพนักงาน
ธุรกิจแขนงหนึ่ง นอกจากสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพแล้วยังควรสร้างอิทธิพลในแง่บวกต่อค่านิยมในสังคมและยกระดับวัฒนธรรมของสังคมด้วย แทนที่จะมาบ่นว่าสังคมนั้นมืดมน มิสู้ทำให้ตัวเองเป็นกายเรืองแสงที่สองสว่างในสังคมไม่ดีกว่าหรือ