Monthly Archives: September 2013

121

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ากาแฟ เครื่องดื่มอุดมคาเฟอีนที่หลายคนบอกว่าทำลายสุขภาพนั้น แท้จริงแล้วหากดื่มอย่างถูกวิธีก็สามารถช่วยบำรุงสุขภาพและป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้ วันนี้เรามาเรียนรู้ประโยชน์ 5 ประการจากการดื่มกาแฟดำอย่างน้อยวันละ 2 แก้วกันเถอะ

1. กาแฟอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ คาเฟอีนในกาแฟนั่นเองที่เป็นแหล่งรวมสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็ง แถมยังชะลอริ้วรอยแห่งวัยได้อีกด้วย
2. กาแฟช่วยในการขับถ่าย มีการศึกษาวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟวันละ 1-2 แก้วจะช่วยในเรื่องการย่อย และช่วยให้การขับถ่ายสะดวกขึ้นได้
3. กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้า จากการทดลองในเด็กชาวบราซิลพบว่าเด็กที่ดื่มกาแฟก่อนไปโรงเรียนจะมีอาการซึมเศร้าน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ แถมกาแฟยังช่วยกระตุ้นการหลังฮอร์โมนโดพามีนให้ร่างกายคึกคักกระชุ่มกระชวยอีกด้วย
4. กาแฟช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำวันละ 2 แก้ว สามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 25%
5. ข่าวดีของสิงห์อมควันและนักดื่มตัวยง เพราะ กาแฟช่วยลดผลกระทบจากการสูบบุหรี่และดื่มสุรา ของคุณได้ ทั้งโรคหัวใจและผลเสียต่อตับ โดยเฉพาะโรคตับนั้น มีการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวันช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคตับแข็งได้ถึง 80% (แต่ถึงจะช่วยยังไง การสูบบุหรี่และดื่มเหล้าก็ไม่ดีต่อสุขภาพของเราอยู่ดีนะคะ)

รู้แบบนี้แล้วก็หา ร้านกาแฟน่านั่ง แล้วออกไปนั่งดื่มกาแฟชิลล์ๆ เพื่อสุขภาพกันดีกว่า

50 เหตุผล ที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่อันดับหนึ่ง

1. พระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถที่สุด

ถึงแม้ว่าพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงโปรดประทับนอก กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองเสียเป็นส่วนใหญ่ ชาวไทยก็ยังคงเทิดทูนพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนมากว่า 60 ปี พระองค์เสด็จพระราชสมภพ ณ เมืองแคมบริดจ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ทรงเข้ารับการศึกษา ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ตรัสได้หลายภาษาและทรงมีสิทธิบัตรทางด้านการเกษตรกรรมหลายใบด้วยกัน ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพในการสร้างสรรค์ศิลปะด้านดนตรีและการบรรเลงเพลงแจ๊ซ นอกจากนั้นยังทรงต่อเรือใบด้วยพระองค์เอง รวมทั้งทรงมีพระปรีชาสามารถทางด้านการวาดภาพและถ่ายภาพด้วย พระองค์ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกของโลกที่ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเกียรติยศด้านการพัฒนาของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และที่สำคัญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชยังทรงเป็น กษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกอีกด้วย

พระพุทธรูปทองคำที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรมิตร

2. พระพุทธรูปที่มีประวัติน่าทึ่งที่สุด

ใน ปีพ.ศ. 2498 ผู้รับเหมาก่อสร้างทำพระพุทธรูปองค์นึงตกจนทำให้ปูนที่เคลือบองค์พระสมัย สุโขทัยหนัก 5,000 กิโลกรัมกระเทาะออกมาเผยให้เห็นว่าใต้นั้นแท้จริงแล้วเป็นทองคำล้วนๆ แต่มีผู้นำปูนมาเคลือบองค์พระพุทธรูปเอาไว้เพื่อเป็นการตบตาชาวพม่าที่เข้า มารุกรานอาณาจักรไทย

วัดแห่งใหม่มีชื่อว่าวัดไตรมิตรวิทยารามที่เพิ่งได้รับการปฏิสังขรณ์จนแล้วเสร็จเมื่อไม่นานมานี้

เลขที่ 661 ถ. ไตรมิตร ตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ ใกล้ๆ สถานีรถไฟหัวลำโพง โทรศัพท์ 02-5099091

3. เมืองของแท้และดั้งเดิมต้องชื่อยาว

ถึง คนไทยจะเรียกว่ากรุงเทพฯ แต่ชื่อเต็มๆ ของกรุงเทพฯ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีทรงตั้งให้คือ กรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลก ภพนพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ ถ้าต้องเขียนเต็มๆ มีหวังมือหงิกกันไปข้างหนึ่งล่ะ

4. พระบรมมหาราชวังที่หรูหราที่สุด

บน พื้นที่กว้าง 152 ไร่ของพระบรมมหาราชวังนั้นเต็มไปด้วยฉัตรและกำแพงปิดทองกับภาพวาดอันวิจิตร บรรจง รวมทั้งรูปแกะสลักและรูปหล่อโลหะที่ละเอียดลออ ในสมัยก่อนนั้น พระบรมมหาราชวัง เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทย แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ ไปแล้ว ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปอย่าลืมเดินชมจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลกเรื่อง รามเกียรติ์บนกำแพงคดรอบอุโบสถให้ได้นะ

5. รถเข็นขายอาหารเปิบพิศดารสารพัดชนิด

นับ วันกิตติศัพท์ของรถเข็นขายอาหารข้างถนนในกรุงเทพฯ ก็ยิ่งแหวกแนวขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ลิ้นเป็ดย่างกับซุปรังนกถือว่าเอ้าท์ไปแล้ว ถ้าคุุณมีโอกาสได้ไปถนนแพร่งภูธรที่อยู่ไม่ไกลจากเสาชิงช้าและเยาวราชนัก อย่าลืมไปชิมเกาเหลาสมองหมูที่อร่อยเหลือเชื่อดู…ถ้าคุณลืมๆ ไปได้นะว่ามันคือเกาเหลาสมองหมู

6. รีบมาดูก่อนที่จะไม่มีให้ดู

เพราะ กรุงเทพฯ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ราบลุ่มและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่สูงจากระดับน้ำทะเล เพียง 6 ฟุต ดังนั้นเมืองนี้จึงกำลังค่อยๆ จมลงไปในโคลนปีละ 3 นิ้วตามข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์ ก็เหมือนสืบ นาคะเสถียรกับเรวัต พุทธินันทน์ไง ถ้าเราไม่อยู่เมื่อไหร่ คุณจะคิดถึงเรา

7. มีนักศึกษาชาวอังกฤษผิวไหม้แดดเต้นรำกลางถนนกับนักธุรกิจสาวชาวแอฟริกันที่ กำลังกรึ่มๆ ได้ที่ให้ชม ในขณะที่คุณกำลังเขมือบแซนด์วิชฟาลาเฟลแกล้มเบียร์ลาว

ถนนข้าวสารที่ มีชื่อ(เสีย)ยังคงครองตำแหน่งเป็นแหล่งนั่งดูคนเพี้ยนทุกเชื้อชาติ อายุ สีผิว อาชีพ ระดับการศึกษา ที่มาพร้อมกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ลองไปนั่งเล่นริมฟุตบาทหน้าบัดดี้บาร์ ตีซี้กับขาร็อคชาวกรุงที่แห่กันมานั่งดื่มหลังเลิกงานดูสิ

ร้านขายโปสเตอร์หนังที่เจ๋งที่สุด8. ร้านขายโปสเตอร์หนังที่เจ๋งที่สุดในเอเชีย

ร้าน เล็กๆ แห่งนี้เป็นแหล่งรวมโปสเตอร์หนังน่าสะสมทั้งใหม่และเก่าจากฮอลลีวู้ด ถ้าไม่เห็นคุณสันติเจ้าของร้านดูแลลูกค้านักสะสมจากทั่วเอเชียอยู่หน้าร้าน แล้วล่ะก็ แปลว่าเขากำลังท่องอินเตอร์เน็ตตามล่าโปสเตอร์หนังหายากอยู่ เจ๋งโคตร: โปสเตอร์สตาร์วอร์สภาคภาษาไทยของแท้, อะโพคาลิปส์ นาว, และเดอะ เกรท เอสเคพ

เลขที่ 236/6-7 สยามสแควร์ซ. 2 ถ. พระราม 1(ข้างโรงหนังลิโด้)

9. ย่านโคมแดงที่ไม่รู้จะแดงอะไรนักหนา

พัฒน์ พงศ์ก็มีแต่นักท่องเที่ยว ซอยนานาก็ทั้งใหญ่ทั้งวุ่นวาย แต่ว่าซอยคาวบอยนั้น (บีทีเอสอโศก เอ็มอาร์ทีสุขุมวิท) ใหญ่พอที่คุณจะหาความสำราญได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะพลัดหลงกับเพื่อนๆ แสงไฟจากหลอดนีออนส่องสว่างลอยมาแต่ไกล และการชนแก้วกับหนุ่มๆ ที่นี่ อาจจะทำให้ค่ำคืนนั้นของคุณเป็นคืนที่มีคนจำได้แค่ไม่กี่คนแต่รับรองว่า ไม่มีวันลืมแน่นอน

10. ได้นั่งเล่นกับอาแปะ ดูคนแก่เถียงกัน, จั่วไพ่, สูบบุหรี่, จับนก, สูบบุหรี่, จิบกาแฟ, ขากถุย, แล้วก็สูบบุหรี่

ร้าน กาแฟเอี๊ยะแซบนถนนพาดสายในย่านเยาวราชเปิดกิจการมาแล้ว 60 ปี รสชาติกาแฟก็ไม่ได้กลมกล่อมอะไรหรอก แต่ความเอะอะมะเทิ่งของบรรดาลูกค้าต่างหากที่สามารถให้ความบันเทิงคุณได้ หลายต่อหลายชั่วโมง ลองยกแก้วชนกับอาแปะโต๊ะข้างๆ ดู คุณอาจจะได้ฟังเรื่องเล่าสมัยหนุ่มๆ ตั้งแต่แถวนั้นยังฝุ่นตลบและมีรถรางวิ่งขวั่กไขว่ก็เป็นได้

เลขที่ 42 ถ. พาดสาย, แขวงเยาวราช, เขตสัมพันธวงศ์

ถูกและดีสมชื่อ ราคาไม่แพงและอร่อย อร่อยมาก

11. เคาน์เตอร์ขายอาหารแสนอร่อยที่ไม่เคยปิด

ร้าน อาหารถูกและดีที่อยู่ในฟู้ดแลนด์สาขาสุขุมวิทซอย 5 เหมาะสำหรับการมานั่งทานมื้อเช้า มื้อเที่ยง และมื้อถอนตอนตี 4 เป็นที่สุด ข้าวกระเพราไก่ของเขาจะติดตราตรึงลิ้นคุณไปนานพอๆ กับเพื่อนร่วมเคาน์เตอร์ที่นั่งข้างๆ คุณนั่นเลยทีเดียว

เลขที่ 87 ตึกนายเลิศ ซ. 5 ถ. สุขุมวิท โทรศัพท์ 02-254-2179

12. ตลาดนัดที่มีของขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

อย่าเพิ่งโม้ว่าตัวเองเป็นนักช้อปตัวยงถ้าคุณยังไม่สามารถเดินซื้อของที่ตลาดนัดจตุจักรได้ แบบเนียนๆ เพราะมันคือเขาวงกตที่เต็มไปด้วยซอกเล็กซอยน้อยบนพื้นที่ 68 ไร่ ที่มีขายทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้ สัตว์เลี้ยงจากทั่วทุกมุมโลก ผลงานศิลปะ หนังสือการ์ตูนเก่า ของเก่า ต้นไม้และเสื้อผ้าจากทุกยุคตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

13. จุดชมพระอาทิตย์ตกดินเหนือมนุษย์ตัวกระจิริด

ภัตตาคารซีร็อคโค่ที่ ตั้งอยู่บนตึกสเตททาวเวอร์สูง 64 ชั้นบนถนนสีลมเปิดให้คุณชมกรุงเทพฯ ได้เกือบ 360 องศา ถ้าช็อคโกแล็ตมาร์ตินี่แก้วละ 400 บาทจากบาร์ที่มีแสงไฟสีพาสเทลเรืองรองยังไม่สะใจล่ะก็ คุณยังสั่งไวน์โรมานีก็องติมาจิบเล่นๆ ได้ในราคาแค่ขวดละ 600,000 บาท แต่สำหรับคนที่กลัวความสูง ขอแนะนำว่าอย่าไปยืนเกาะขอบเป็นดีที่สุด เพราะเลยจากกระจกกั้นสูง 4 ฟุตไปแล้วนั้น คืออากาศธาตุล้วนๆ เลย

ตึกสเตททาวเวอร์ เลขที่ 1055 ถ. สีลม โทรศัพท์ 02-624-9999

14. พริตตี้ที่นี่ขายได้ทุกอย่าง

ตั้งแต่ โปรโมชั่นเบอร์เกอร์คิง ถึงบัตรผ่านประตูงานวัด ยันของแถมในเซเว่นอีเลเว่น บรรดาพริตตี้สาวในชุดรัดติ้วหลากสีจะมายืนประกบให้คุณสนใจของที่เธอเร่ขาย ถ้าคุณ… นี่! สนใจหน่อยสิ ฉันสวยนะ!

อิงลาช พูดภาษาอังกฤษให้เก่งเหมือนเจ้าของภาษา
15. ชื่อธุรกิจที่เห็นแล้วต้องขำกลิ้ง

จริง อยู่ที่ว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดหลักของภาษาอังกฤษวิบัติ แต่เมืองไทยเราแย่งตำแหน่งเขามาหน้าตาเฉย ตัวอย่างมีให้เห็นตั้งแต่ “แฮร์ซาลูน” จนถึง “อิงลาชโปรแกรม” และอีกหลายชื่อที่เราไม่สามารถพิมพ์ออกอากาศบนเวปไซต์ทั่วไปได้ งานนี้ใครอยากบริหารเหงือกต้องใส่ตาสัปปะรดกันเอาเอง

16. สเต็กที่ทานแล้วกระเป๋าแฟ่บไปหลายวัน

ใครๆ ก็ย่างเนื้อวัวชิ้นนึงได้ แต่ถ้าพูดถึงในเอเชียแล้วมีไม่กี่ร้านที่มีฝีมือเท่าห้องอาหารนิวยอร์ค สเต็กเฮ้าส์ที่ตั้งอยู่ในโรงแรมเจดับบลิวแมริอ็อทส์ แน่นอนว่าราคาย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน แต่ถ้าได้ชิมซักครั้งรับรองได้ว่าคราวหน้าที่ทานแม็คโดนัลด์ท้องไส้คุณต้อง ปั่นป่วนแน่ๆ

เลขที่ 4 ถ. สุขุมวิท ซ. 2 โทรศัพท์ 02-656-7700

17. กรุงเมกกะของนักช้อปกระเป๋าตุง

ทำไม ชาวต่างชาติถึงต้องถ่อขึ้นเครื่องบินมาซื้อเสื้อเชิ๊ตกุชชี่ของแท้ที่ราคา เท่ากันหรือไม่ก็แพงกว่าบ้านเขาถึงกรุงเทพฯ เราก็ไม่อาจทราบได้ และมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ว่าไฮโซบ้านเมืองนี้ชอบซื้อของแบรนด์เนมกันอยู่แล้ว ถึงแม้ชั้นล่างสุดของศูนย์การค้าสยามพารากอน (บีทีเอสสยาม) จะมีแต่ร้านอาหารและเด็กวัยแตกพาน แต่อีก 4 ชั้นที่เหลือ เต็มไปด้วยสินค้าราคาแพงระยับตั้งแต่รถสปอร์ตลัมบอร์กินี่ไปจนถึงเครื่อง เสียงยี่ห้อแม็คอินทอชเลย

18. พนักงานต้อนรับแสนขยัน(ไปมั้ย)ในห้องน้ำ

คุณ ผู้ชายที่ไปเข้าห้องน้ำในสถานที่เที่ยวกลางคืนอาจจะเหวอได้ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแนบแน่นจากมือแข็งแรงคู่นึงบนไหล่ทั้ง 2 ข้าง อย่าเพิ่งหันไปตั้งการ์ดนะ เขาเป็นแค่พนักงานต้อนรับในห้องน้ำที่มีหน้าที่เอาผ้าร้อนมาประคบไหล่แล้ว บีบนวดให้คุณแลกกับทิปเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าคิดว่ารับไม่ได้จริงๆ ก็แค่บอกไปว่า “ไม่เอาครับ ขอบคุณ” ก็พอ

ร้านอาหารตะวันออกกลางที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพฯ อยู่ในสุขุมวิทซอย 3/1

19. อาหารตะวันออกกลางอร่อยๆ นอกตะวันออกกลาง

กรุงเทพฯ เป็นเบ้าหลอมขนาดใหญ่ของวัฒนธรรมดิบ และสิ่งที่มากับวัฒนธรรมนั้นก็คืออาหารนั่นเอง ในซอยสุขุมวิท 3/1 (บีทีเอสนานา) มีร้านอาหารตะวันออกกลางที่ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังตั้งเรียงรายรอคุณอยู่

สาว ชาวมุสลิมกับแฟชั่นนิสต้าชาวไนจีเรียเดินปะปนกับคนขายไฟเลเซอร์และน้ำหอมจาก อาหรับ ขนมปังอุ่นๆ ชิ้นเท่าพวงมาลัยรถที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นจากเตาไม้ เหมาะจะฉีกมาตักทานกับฮัมมัสและทาฮินี่ที่เพิ่งทำสดๆ ที่สุดแล้ว

20. มีวิธีที่คิกขุที่สุดในการสกัดกั้นฮอร์โมนของวัยรุ่น

ลอง ไปเดินเล่นแถวๆ ที่วัยรุ่นชอบไปกันในวันวาเลนไทน์ดู แล้วคุณจะเห็นว่ามีตำรวจเยอะกว่าปกติ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์เพื่อสอดส่องไม่ให้เด็กๆ วัยกลัดมันทำอะไรมากไปกว่าการเดินจูงมือกัน เพราะห้างสรรพสินค้าเตรียมเก้าอี้ไว้ให้พวกเขานั่งจู๋จี๋กันอยู่แล้ว

21. นั่งทานอาหารท่ามกลางวัตถุโบราณที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 20

ค่ำคืน ที่ทูบาในซอยเอกมัยนั้นไม่ต่างจากการไปงานปาร์ตี้ห้องใต้หลังคาบ้านคุณยาย เลย ที่นี่มีทั้งงานกระจกสีโบราณ สัญลักษณ์ของป๊อปคัลเจอร์ในยุค 50 และเฟอร์นิเจอร์รูปร่างแปลกๆ ที่ช่วยแต่งเติมมุมมืดอับแต่ละมุมในร้านให้มีเอกลักษณ์ขึ้นมา ข้อดีของที่นี่ก็คือของทุกอย่างในร้านมีไว้ขาย

เลขที่ 11-12เอ ซ. เอกมัย 21 สุขุมวิท 63 โทรศัพท์ 02-711-5500

จงระวังรถมินิบัสสีเขียวเอาไว้ให้ดี

22. ระบบขนส่งมวลชนที่ราคาถูกและน่าตื่นเต้น

ถึง แม้จะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ข้อดีของระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ คือราคาที่ถูกแสนถูก ค่าโดยสารเรือคลองแสนแสบ 8 บาท ค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยาและรถเมล์ 16 บาท ค่าแท็กซี่มิเตอร์เริ่มต้นที่ 35 บาท ค่ารถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน 40 บาทตลอดสาย การต่อราคาค่าโดยสารรถตุ๊กๆ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และการต่อรถนั้นก็ซับซ้อนจนทำให้ผู้เข้าแข่งขัน “ดิ อเมซซิ่งเรซ” ต้องยกธงขาวยอมแพ้มาแล้ว

รถมินิบัสร่วมบริการหรือตีนผี ประจำเยาวราชมักจะออกอาละวาดตามหัวโค้งต่างๆ พร้อมกระเป๋ารถที่โหนประตูรถด้วยมือข้างเดียวให้เสียวเล่น แน่นอนว่ามันไม่ใช่การเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด แต่เราเอาหัวเป็นประกันได้ว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ

23. ปาร์ตี้ที่ย้อนยุคไปอยู่ในปีพ.ศ. 2532

วงที่เล่นประจำที่ร็อคผับติด กับสถานีบีทีเอสราชเทวี เขาเล่นเพลงคลาสสิคตั้งแต่กันส์แอนโรสเซส, วอร์แรนท์, ออสซี่, และไอรอนเมเด้นได้สะใจโก๋หลังวังจริงๆ ไม่ต้องเขิน…คว้ากางเกงหนังมาใส่ คาดแว่นกันแดดทรงนักบินแล้วเดินชูมือขวาเข้าไปเลย

ตึกฮอลลีวู้ดสตรีท ถ. พญาไท บีทีเอสราชเทวี โทรศัพท์ 02-251-9980

24. เทรนด์ใหม่ล่ามาแรงเกินกว่าสมองจะรับได้

ช่วง วันหยุดตามซอกเล็กซอยน้อยของสยามสแควร์ (บีทีเอสสยาม) จะเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่แต่งตัวได้ทันสมัยและแรงจัดเหมือนเพิ่งกระเด็นออกมา จากหนังสือโว้ค เทรนด์ฮิตอาทิตย์นี้ รองเท้าส้นสูงเสียดฟ้า, แว่นตาไร้เลนส์, และผมทรงรังนกที่เห็นแล้วทำให้นึกถึงมาม่าบลูส์ขึ้นมาตะหงิดๆ พวกคุณว่าไง? คันมือคันเท้ามั้ย?

ป้ายหาเสียงของชูวิทย์ถึงลูกถึงคนจริงๆ

25. นักการเมืองที่แรงได้ใจสุดๆ

ไม่มีใครดุดันเท่าชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์เจ้า พ่ออาบอบนวดที่ผันตัวมาเป็นนักการเมืองแล้ว หลังจากโดนอุ้มเขาก็ขู่ว่าจะแฉรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับส่วยจากเขาต่อ หน้านักข่าว ถึงแม้ชูวิทย์จะสอบตกในการลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ถึง 2 สมัยติดกัน เขาก็ยังไม่วายทำให้เหล่าผู้ทรงอิทธิพลต้องปาดเหงื่อเมื่อโดนขู่ว่าจะเอาเทป ลับจากกล้องวงจรปิดมาเปิดเผย น่าเสียดายที่เราคงจะไม่ได้เห็นป้ายหาเสียงกับหน้าตาขึงขังของเขาอีกแล้ว

26. สามารถคืนกำไรให้สังคมได้อย่างง่ายๆ

เรา มีองค์กรการกุศลดีๆ อยู่ในกรุงเทพฯ หรือไม่ก็มีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ มากมาย แต่ด้วยอุปสรรคทางด้านภาษาและการจัดการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจึงอาจจะทำให้หา ยากไปซักหน่อย แต่ไม่เป็นไร เพราะว่านักเขียนบล็อกชาวกรุงนาม ดไวท์ เทอร์เนอร์ได้ทำการคัดสรรเอาไว้ให้คุณแล้ว

27. ทานอาหารได้โดยไม่ต้องใช้มือ

ถ้าคุณเกิดขี้เกียจ…ขี้เกียจสุดๆ เลยนะ…สาวๆ มือขยันที่ร้าน “โนแฮนด์ส เรสเตอรองต์” (มีหลายร้านในกรุงเทพฯ) จะมาป้อนอาหารให้คุณเอง คุณจะได้เอามือไปทำอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าได้ อย่างเช่น ยกแก้วเบียร์หรือเล่นเกม PSP ไง

เลขที่ 19 ถ. พระราม 4 สี่พระยา โทรศัพท์ 02-235-5000

28. พบกับอาหารอร่อยๆ ในที่ที่คุณคาดไม่ถึง

ห้างพันธุ์ทิพย์คือ ตึกทรงโรมันโทรมๆ ที่เป็นแหล่งรวมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิด ที่นี่มีศูนย์อาหารที่อร่อยมากอยู่บนชั้น 3 เราขอแนะนำให้ลองชิมข้าวซอยไก่ (ไก่กับบะหมี่ไข่ในน้ำแกงกะทิรสกลมกล่อม) ที่คนขายเป็นป้าแก่หน้าบึ้งๆ นั่นแหละ

เลขที่ 604/3 ถ. เพชรบุรี บีทีเอสชิดลม โทรศัพท์ 02-250-9008

ลีลาการเตะตะกร้อในอุทธยานเบญจสิริ 29. กีฬาที่ผสมผสานกับกายกรรมระดับโลก

ถ้า คุณไม่เคยเห็นคนตีลังกาเตะลูกบอลสาน แปลว่าคุณยังไม่เคยดูตะกร้อ อุทยานเบญจสิริ (บีทีเอสพร้อมพงษ์) ในช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นสถานที่ที่เหมาะมากในการนั่งชมลีลาเด็ดๆ ถ้ายังนึกไม่ออก ให้ลองจินตนาการภาพเฉินหลงโดนจับมัดมือไพล่หลังเล่นวอลเลย์บอลดู

30. หน้าพิซซ่าที่ทำเอาชาวอิตาเลี่ยนจุกไปเลย

คน ไทยสรรหาของมาโรยหน้าพิซซ่าได้เก่งมาก นอกจากปกติที่ทานคู่กับซอสมะเขือเทศแล้ว หน้าพิซซ่ายอดนิยมได้แก่ ปลาหมึก, ข้าวโพด, แกงเขียวหวาน, มายองเนส, บร็อคโคลีและน้ำสลัด ก็แปลกใหม่ดีนะสำหรับนักทาน แต่ถ้าคุณชอบแบบดั้งเดิมล่ะก็ ลองแวะไปที่รอนนี่ส์ นิวยอร์ค พิซซ่าในสุขุมวิทซอย 4 ดู พยายามสั่งพิซซ่าหน้าใหม่ๆ ให้เขาอบกันสดๆ แล้วประสาทรับรสของคุณจะตื่นในทันที

31. ตลาดนัดกลางคืนที่แนวที่สุด

ลืมพัฒน์พงษ์กับสวนลุมไนท์ที่มีแต่เจ้าของร้านหน้ามึนเพราะโดนต่อราคาไปเถอะ มาสัมผัสรสชาติการช้อปปิ้งแบบไทยๆ ที่ตลาดรัชดาไนท์ ตรงสถานีเอ็มอาร์ทีลาดพร้าวกันดีกว่า ตลาดแห่งนี้มีขายทั้งเครื่องพิมพ์ดีดเก่า รถเวสป้าแต่งใหม่ เสื้อผ้าฮิปๆ และของแต่งห้องเก๋ๆ ที่วางเรียงรายอยู่เบื้องใต้หลอดไฟกลมเหนือศีรษะให้คุณได้เลือกซื้อ

ถึงเจ้าของร้านโดเรมีจะแก่แต่ป้ารู้เรื่องดนตรีดีกว่าเราๆ เยอะ

32. มีป้านักฟังเพลงที่เท่ห์ที่สุดในโลก

ร้าน ขายซีดีโดเรมีที่ตั้งอยู่มุมในสุดของสยามสแควร์ซอย 11 เป็นของคุณป้าที่มีหัวใจเป็นเสียงเพลง และรู้จักศิลปินทุกคนตั้งแต่ บิลลี่ ฮอลลิเดย์, เดอะแคลช, จนถึงกรีนเดย์ ร้านเล็กๆ ของป้าโดเรมีเต็มไปด้วยแผ่นซีดีเพลงจากทั่วทุกมุมโลก ถ้าคุณอยากฟังอะไรใหม่ๆ ล่ะก็…บอกได้ เดี๋ยวป้าจัดให้

เลขที่ 422/6 สยามสแควร์ซอย 11

33. ทันใจไม่สิ้นเปลือง

มอเตอร์ไซค์ รับจ้างผู้ซื่อสัตย์ในเสื้อกั๊กสีส้มแปร๋นสามารถช่วยงานคุณได้สารพัด ตั้งแต่ส่งของ, จ่ายค่างวด, ส่งจดหมาย, ไปรับเพื่อน, นำทางแท็กซี่ที่พาคุณหลงจนคลำทางกลับบ้านไม่ถูก พวกเขาทำได้แทบทุกอย่างที่คุณต้องการ หลังจากต่อรองราคากันจนเมื่อยมือ ดีตรงไหนน่ะเหรอ…คุณไม่ต้องฝ่ารถติดเองไง

34. เครื่องแบบนักศึกษาที่หดหายไป

ช่วง เดือนกันยายนของทุกปีนักข่าวจะทำข่าวเดิมๆ เกี่ยวกับชุดนักศึกษาหญิงที่หดลงเรื่อยๆ กระโปรงสั้นกุด, เสื้อคับติ้ว นักอนุรักษ์นิยมเขาออกมาด่าปาวๆ ส่วนเราก็คงได้แค่นั่งมองตาถลน แต่จะว่าไปเวลาเห็นนักศึกษาต้องเดินหันข้างขึ้นบันได เพราะถ้าเดินขึ้นตรงๆ จะโป๊แล้วเนี่ย ก็ทำให้รู้สึกว่าเจ๊เบียบเขาก็มีเหตุผลเหมือนกันแฮะ

35. ศูนย์รวมความสบายที่เอื้อมถึง

แม่ บ้าน คอร์สทำเล็บ คอร์สนวดตัว เสื้อผ้าสั่งตัดและคนขับรถ ทั้งหมดนี้คุณสามารถซื้อหาได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนอยู่ ต่างประเทศ ชาวต่างชาติพึงสังวรณ์: เพื่อนคุณไม่อยากได้ยินหรอกนะว่า คุณซักผ้าไม่เป็นหรือลืมวิธีขับรถเกียร์กระปุกไปแล้ว

36. โรงภาพยนตร์ที่สบายที่สุด

เดี๋ยว นี้โรงภาพยนตร์ใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ มีที่นั่งสุดหรูให้บริการในราคาเท่าที่นั่งธรรมดาของเมืองนอกเลย เขาจัดมาให้ทั้งเบาะกำมะหยี่ปรับเอนนอนได้ หมอน, ผ้าห่ม แถมยังมีเครื่องดื่มฟรีอีก โรงที่ดีที่สุดในตอนนี้เห็นจะเป็นโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ในศูนย์การค้าสยามพารากอน แต่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าพนักงานของโรงภาพยนตร์เอสเอฟเวิลด์ซีเนม่า ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์นั้นบริการดีกว่า

37. หนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ได้ในพริบตา

ใครๆ ก็รู้ว่าพระประแดงเป็นปอดของกรุงเทพฯ เพราะตั้งอยู่ตรงโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี เทศบาลเมืองพระประแดงจึงกำหนดพระราชบัญญัติขึ้นมาว่า ห้ามสร้างตึกสูงเกิน 3 ชั้น โครงสร้างพื้นฐานของที่นี่จึงโดนสงวนไว้ตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ. 2490 ทางเดินฉาบปูนกับป่าชายเลนหนาทึบทั่วบริเวณทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักปั่น จักรยานมาก คุณว่าน่าขนลุกมั้ยล่ะที่ขนาดอยู่ในป่าทึบ แสงไฟจากในเมืองและตึกระฟ้ายังตามมาหลอนได้อยู่เลย

38. ชอบอาหารสดใช่มั้ย เอาไปเลย

ตลาดสด คลองเตยที่แสนวุ่นวาย ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่น, ภาพ, เสียง, และผู้คน รถเข็นสินค้าของสดวิ่งกันขวั่กไขว่ ซึ่งหลายอย่างเพิ่งส่งตรงมาจากไร่ สวนและทะเล เสียงพ่อค้าแม่ขายตะโกนคุยกันเองและคุยกับลูกค้าดังโหวกเหวก นอกจากนั้นตลาดแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์เมอร์ซี่และที่พำนักของหลวงพ่อ โจ บ้านสำหรับเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า บ้านพักแม่และเด็ก และโรงเรียนสอนเด็กสลัมอีกด้วย

1 ในม้านั่งออกกำลังกายเก๋าๆ ที่สวนลุม

39. วิธีฟิตกล้ามที่สร้างสรรค์ที่สุด

ถึง สถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้งในสวนลุมพินี (เอ็มอาร์ทีลุมพินี) จะเต็มไปด้วยอุปกรณ์เก่าสนิมเกาะที่ใครเห็นเป็นต้องอมยิ้ม ก็ไม่ได้ทำให้หนุ่มๆ กล้ามปูที่ตากแดดออกกำลังกายเหงื่อท่วมกระดากอายแต่อย่างใด เพราะกล้ามเนื้อในร่างกายรับรู้แค่ว่า 20 กิโลก็คือ 20 กิโล ถ้าได้ไปอย่าลืมไปทดสอบพละกำลังบนม้านั่งที่ก้อนน้ำหนักเป็นยางรถยนต์ดูซัก เซ็ทนะ

40. ห้ามเดินตอน 8 โมงเช้ากับ 6 โมงเย็น

นัก ท่องเที่ยวทั้งหลายที่เพลิดเพลินจนต้องติดอยู่ข้างนอกตามเวลาดังกล่าว และรู้สึกราวกับตกเข้าไปอยู่ในมิติพิศวงที่ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว จงอย่ากลัว เขาแค่ยืนทำความเคารพเพลงชาติที่บรรเลงวันละ 2 ครั้งเท่านั้น ถ้าคุณอยากเดินต่อก็ไม่ผิดกฏหมายหรอก แค่จะโดนมองด้วยสายตาเพชฌฆาตจนแทบจะตายคาที่เท่านั้นเอง

41. ปูผัดผงกะหรี่ที่อร่อยที่สุดในเอเชีย

เมื่อ ก้าวเข้าไปในร้านสมบูรณ์โภชนาสาขาสุรวงศ์ คุณจะได้เห็นปูผัดผงกะหรี่วางเด่นเป็นสง่าอยู่บนทุกโต๊ะ เนื้อปูสดๆ แน่นๆ ผัดคลุกเคล้าซอสผงกะหรี่สูตรเฉพาะที่หอมอร่อยจนเด็กเสิร์ฟแทบไม่ต้องล้างจาน เขาลือกันว่ามีลูกค้าประจำเจ้านึงถึงกับต้องบินมาจากสิงคโปร์เดือนละครั้ง เพื่ออาหารจานนี้โดยเฉพาะ

เลขที่ 169/7-11 ถ. สุรวงศ์ สีลม โทรศัพท์ 02-2333104

รูปปั้นเล็กๆ ทางด้านขวาคือเดวิด เบคแฮม

42. เราบูชาฟุตบอลกัน…เป็นเรื่องเป็นราว

บนถนนพระราม 3 ซอย 30 มีวัดแห่งนึงชื่อวัดปริวาสที่มีเจ้าอาวาสเป็นแฟนบอลตัวยง จนถึงกับสั่งให้ช่างเอารูปปั้นเดวิด เบคแฮมมา ติดไว้ข้างๆ รูปปั้นเทวดารอบพระอุโบสถในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลกปีค.ศ. 1998 เลยทีเดียว ถ้าท่านเอารูปปั้นวิคตอเรีย เบคแฮมไปติดบนแท่นบูชาเมื่อไหร่เราจะรีบมาแจ้งให้ทราบเพิ่มเติม

43. พิพิธภัณฑ์สยองเกล้า

แน่ใจเหรอว่าคุณเห็นมาหมดแล้ว พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ที่ โรงพยาบาลศิริราชนั้น เต็มไปด้วยของน่าขนลุกขนพองที่คุณอาจจะเคยได้ยิน แต่ไม่ค่อยมีใครเคยเห็นอยู่เต็มไปหมด ห้ามพลาด: ถุงอัณฑะขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 นิ้วของคนไข้โรคเท้าช้าง, ศพซีอุยฆาตกรกินตับเด็ก, เหยื่อโดนยิง, โดนรถชนและเหยื่อที่เสียชีวิตจากการใช้เครื่องจักร เราขอเตือนด้วยความปรารถนาดีว่าแฟนๆ ดิสนีย์แลนด์ไม่ควรมา

เลขที่ 2 ถ. พรานนก ศิริราช บางกอกน้อย โทรศัพท์ 02-419-7000

44. เสื้อยืดที่เห็นแล้วต้องมองจนเหลียวหลัง

มี ตั้งแต่สโลแกนเด็ดๆ, คำด่าแรงๆ ไปจนถึงคำคล้องจองที่ยิ่งอ่านยิ่งงงบนเสื้อยืดเท่ห์ๆ ทุกแบบทุกทรง หลายตัวอาจจะดูปัญญาอ่อนและไร้สาระ แต่นานๆ ทีคุณอาจจะไปเจอซักตัวที่เข้าท่า(น่าตบ) ก็ได้นะ

45. พระสงฆ์ที่ไหนทันสมัยที่สุด

หลาย คนคิดว่าพระสงฆ์คงเอาแต่สวดมนต์นั่งสมาธิทั้งวัน แต่พระเมืองไทยก้าวหน้ากว่านั้นเยอะ ถึงแม้ว่าท่านจะครองตนอยู่ในศีลในธรรม แต่คุณอาจจะได้เห็นบุรุษในผ้าเหลืองนั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมือง เล่นไอโฟน หรือไม่ก็อัพเดทบล็อคตามร้านอินเตอร์เน็ทเหมือนกันนะ

46. ตำรวจไทยนั้นแท้จริงแล้วคือลูกเสือ

“จง เตรียมพร้อม” เป็นคติพจน์ของลูกเสือสามัญที่ใครๆ ก็ทราบ และตำรวจกรุงเทพฯ จำกันขึ้นใจ เดี๋ยวเราจะยกตัวอย่างให้ดู…ด้วยความที่เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องรถติดเป็น อันดับต้นๆ ของโลก ทำให้การนั่งอยู่ในรถติดๆ ตอน…ตอนคลอดลูกแล้วกัน กลายเป็นเรื่องเลวร้ายไม่ใช่น้อย ลูกเสือ เอ๊ย! ตำรวจในกรุงเทพฯ จึงต้องพกกรรไกรเอาไว้ตัดสายสะดือทารก และการคลอดลูกบนเบาะหลังรถนั้น เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คุณคิดอีก

47. ความเจ็บปวดที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก

กิตติศัพท์ ของการนวดแผนไทยนั้นเลื่องลือไกลไปทั่วโลก ถึงแม้จะเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่รับรองได้ว่าพอกลับถึงห้องคุณจะหลับเป็นตาย และตื่นมาพร้อมกับความกระฉับกระเฉง ที่เฮล์ทแลนด์ส ปาชื่อดัง มีบริการนวดหลายขนานให้คุณได้ลอง ตั้งแต่นวดเท้าไปจนถึงนวดตัวด้วยน้ำมันเป็นเวลา 2 ชั่วโมง หลังจากนวดเสร็จกล้ามเนื้อคุณจะถึงกับอึ้งทึ่งเสียวไปเลย

ตัวเงินตัวทองในสวนลุมไม่เป็นอันตราย มั้งนะ

48. เฮ้ย! ไดโนเสาร์!!!

อาจ จะไม่ถึงกับเหมือนในหนังเรื่องจูราสสิคพาร์ค แต่สวนลุมพินีหรือเซ็นทรัลพาร์คของคนกรุงเทพฯ นั้นมีสัตว์เลื้อยคลานตัวเขื่อง ที่คุณเห็นแล้วอาจจะถึงกับปัสสาวะเล็ดกันเลยทีเดียว ตัวเงินตัวทองที่โตเต็มที่นั้นยาว 2.7 เมตร ปกติเจ้าถิ่นจะชอบออกมาลุยโคลนและเดินทอดน่องริมน้ำ แต่บางทีก็อาจจะมีการเดินตัดหน้าข้ามมาลงในบึงใกล้ๆ บ้างเหมือนกัน แต่ว่าไม่ต้องกลัวหรอก เพราะส่วนใหญ่ก็ยาวแค่ 3 ฟุตเอง ส่วนใหญ่นะ…

49. เปิดกว้างสำหรับคนทุกเพศ

วิถี ทางเพศของชาวกรุงเทพฯ นั้นเรียกได้ว่ายืด…ได้เหมือนหนังสติ๊ก “อ๋อ มันเป็นเกย์ไปแล้ว” คือคำตอบที่ได้ยินกันบ่อยๆ เวลาถามถึงแฟนเก่า แต่ที่น่าทึ่งก็คือไม่มีใครสนใจ คนมีชื่อเสียงในบ้านเมืองหลายคนมีทั้งที่เป็นเกย์เต็มตัว, เป็นไบแล้วก็มีทั้งแต่งหญิง จะเกย์, ไม่เกย์, จะเป็นกะเทยแอ๊บแมนหรือกะเทยแต๋วแตก คนไทยคิดว่าใครจะเป็นเพศไหนมันก็เรื่องของเขา

50. สามารถกำหนดสีให้กับ…ทุกอย่าง

สี ช่วยกำหนดและแยกแยะทุกอย่างในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ความคิด โซน จนถึงขั้วการเมือง ที่จริงมีสีประจำวันด้วยนะ วันศุกร์คนจะชอบใส่สีฟ้า วันอังคารสีชมพู วันจันทร์สีเหลือง วันดีคืนดีสีต่างๆ ก็เข้ามามีบทบาททางการเมือง พอประชาชนขัดแย้งกันมากๆ เข้า แต่ละกลุ่ม แต่ละสีก็จะนัดหมายรวมตัวมาประท้วงกัน หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายทางการเมืองในกรุงเทพฯ ก็มีคนแซวว่า น่าจะเปลี่ยนคำทักทายจาก “ทานข้าวรึยัง” เป็น “คุณอยู่สีอะไร” ไปเลยดีกว่า

download
ประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ด้วยยอดขายแตะ 3740 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำไรเพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ และราคาหุ้นพุ่งทะลุ 73 เหรียญสหรัฐฯ ใกล้จุดสูงสุด ซีอีโอสตาร์บัคส์ไม่บอกว่าอนาคตข้างหน้า กาแฟสตาร์บัคส์จะมีรสชาติหรือกลิ่นแปลกใหม่มากน้อยเพียงใด แต่ยืนยันว่านับจากนี้ เทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญ ในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมบริการใหม่ๆ ในร้านสตาร์บัคส์ 18000 สาขาทั่วโลก

นาย Howard Schultz ซีอีโอสตาร์บัคส์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์ ว่าแม้สตาร์บัคส์ เป็นร้านขายกาแฟชื่อดังสัญชาติมะกัน จะอยู่มนช่วงพีคที่สุดนับตั้งแต่ทำธุรกิจมา 31 ปี แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ไม่สามารถทำให้สตาร์บัคส์ นิ่งเฉยอยู่ได้ และกำลังอยู่ระหว่างคิดค้นนวัตกรรมบริการใหม่ ให้แก่ลูกค้า ผ่านร้านสตาร์บัคส์ที่มีอยู่ 18000 แห่งใน 62 ประเทศ

“ขณะนีเรากำลังวางแผน คิดค้น คอนเซปต์ใหม่ๆ ให้กับร้านสตาร์บัคส์ ไม่ใช่แค่การตกแต่งและคุณภาพการให้บริการ แต่รวมถึงการให้ประสบการณ์ด้านดิจิตอลเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าด้วย”

เขาบอกว่า ขณะนี้ยังไม่มีภาพที่ชัดเจนของร้านสตาร์บัคส์ใหม่ และสตาร์บัคส์ยังคงเป็นสตาร์บัคส์ที่ลูกค้าคุ้นเคย แต่ในอนาคต เมื่อลูกค้าเดินเด้ข้าร้านปั๊บจะต้องสัมผัสได้ถึงความแตกต่างที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของสตาร์บัคส์ในอนาคตจะมาจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นหลัก อย่างเช่น การชำระค่ากาแฟด้วยมือถือ ซึ่งสตาร์บัคส์เริ่มการให้บริการไปแล้ว และได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก

ปัจจุบันสตาร์บัคส์ มียอดชำระเงินผ่านมือถือสัปดาห์ละ 3 ล้านบิล มากกว่ายอดชำระเงินผ่านมือถือของ 10 บริษัทรวมกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าลูกค้าสตาร์บัคส์ก้าวล้ำทางเทคโนโลยีเพียงใด

การเปลี่ยนแปลงที่จะมาจากเทคโนโลยีในอนาคต ได้แก่ การให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ อนามัยที่ดี รวมไปถึงการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มอื่นๆ นอกจากคอกาแฟให้เพิ่มมากขึ้น ภายใต้เป้าหมายผลักดันให้สตาร์บัคส์เป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและความเป็น “ต้นแบบ”

โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สตาร์บัคส์โฟกัสไปที่สินค้าเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสูตรเครื่องดื่มอยู่มากมาย รวมไปถึงการเข้าซื้อกิจการเครื่องดื่มล่าสุด ซึ่งทำให้สตาร์บัคส์ได้สิทธิผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพหลากหลาย ทั้งอาหาร ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่ม

นอกจากนั้น การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนอีกประการในร้านสตาร์บัคส์ ยังใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการให้บริการมากขึ้น จากพฤติกรรมของลูกค้าสตาร์บัคส์ ที่เป็นกลุ่มชื่นชอบเทคโนโลยีเป็นพิเศษ ด้วยจำนวนของผู้ใช้ ที่นิยมชำระค่ากาแฟด้วยมือถือแล้ว สตาร์บัคส์ ยังมียอดแฟนในเฟคบุ๊ก สูงถึง 54 ล้านคนด้วย โปรเจกต์ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในระยะเวลาไม่ไกลจากนี้ คือ การเสิร์ฟกาแฟให้ลูกค้า ทันที่ที่ก้าวถึงเคาน์เตอร์สตาร์บัคส์ โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องสั่งและรอออเดอร์ นั้นหมายความว่าการใช้เทคโนโลยีที่จดจำพฤติกรรมของลูกค้าว่าดื่มเครื่องดื่มประเภทใด ผ่านการใช้บริการแอพพลิเคชั่นของสตาร์บัคส์บนโทรศัพท์มือถือ ที่ต้องพัฒนาให้ก้าวหน้าไปยิ่งขึ้น และอาจจะรวมถึงการนำเทคโนโลยี 3 มิติมาใช้ในร้านสตาร์บัคส์ หลังจากที่นาย Schultz ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ Life of Pi และชื่นชอบเป็นอย่างมาก

DSCN2430_resize-copy1-655x260

ชื่อร้าน : ร้านกาแฟฝาง Balcony ร้านกาแฟในสวนสวยพร้อมเทคโนโลยีสุด HIP แม่โจ้ เชียงใหม่
ที่อยู่ : ถนนเชียงใหม่-แม่โจ้ ระหว่างสี่แยกรวมโชคและโรงพยาบาลเทพปัญญา
พิกัด GPS : 18.817618,99.011599 (ดูแผนที่จาก Google Map)
ติดต่อ : 053 410 413, http://www.fangcoffee.com
เวลาเปิด-ปิด : 07:00 – 21.00 น. ทุกวัน

คลิกเพื่อเข้าดูรายละเอียด

2238969281_b75876fbc3

นโยบายด้านเทคโนโลยีของบารัค โอบามาที่ปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ Change.gov (เว็บไซต์สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านการรับตำแหน่ง) นั้นชัดเจนว่า โอบามาต้องการสร้างนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตของอเมริกา เป็นทางเลือกในระยะยาวเพียงอย่างเดียวเพื่อผ่านพ้นวิกฤตทางตันของระบอบทุนนิยมที่กำลังเริ่มต้นอยู่ในขณะนี้ จากการศึกษาของประเทศอังกฤษโดยบริษัท PriceWaterhouseCoopers พบว่างบประมาณทุก 1 ปอนด์ที่รัฐบาลลงทุนในการศึกษาด้านเทคโนโลยี จะเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่า 2.05 ปอนด์ โดยมีอัตราการคืนทุน 3 ปี ((ข้อมูลจาก BusinessWeek))

แกนกลางสำคัญในแผนด้านเทคโนโลยีของโอบามา คือ การปรับปรุงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนในสหรัฐอย่างเร่งด่วน ทั้งจ้างครูสายวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม อุดหนุนทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ปรับปรุงวิธีการสอบวัดผลให้เหมาะสำหรับวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ สนับสนุนให้แรงงานในอุตสาหกรรมพัฒนาทักษะการทำงานตัวเองให้ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่น่าสนใจในแผนการนี้คือการประกาศว่าจะตั้งประธานฝ่ายเทคโนโลยี (CTO – Chief Technology Officer) ของประเทศเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อมาคุมงานด้านวิทยาศาสตร์โดยตรง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของโอบามา และความคาดหวังของเขาว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาในระยะยาวให้กับเขาได้

ผู้บริหารระดับสูงชื่อดังหลายคนของบริษัทไฮเทคต่างๆ ในซิลิคอน วัลเลย์ ถูกมองว่าเป็นตัวเก็งสำหรับตำแหน่งนี้ ไม่เว้นแม้แต่บิล เกตส์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟท์ อย่างไรก็ตาม ตัวเก็งอันดับหนึ่งคือ เอริค ชมิดต์ (Eric Schmidt) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกูเกิล และผู้สนับสนุนคนสำคัญของโอบามาระหว่างการหาเสียงได้ออกมาปฏิเสธตำแหน่งนี้แล้ว โดยให้เหตุผลว่าเขายังอยากทำงานในภาคเอกชนอยู่

ในแผนการของโอบามานั้นกล่าวถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวม ระบุถึงตัวเทคโนโลยีโดยเฉพาะน้อยมาก อย่างไรก็ตามในแผนฉบับนี้ได้เอ่ยชื่อเทคโนโลยีที่อเมริกาต้องลงทุนอย่างเร่งด่วนในระยะเวลาสิบปีข้างหน้า 3 ชนิด คือ พลังงานทดแทน, ชีวการแพทย์ (biomedical) และสเต็มเซลล์ ซึ่งน่าจะช่วยให้เราเข้าใจทิศทางคร่าวๆ ที่วงการเทคโนโลยีของอเมริกาจะมุ่งไป ได้การนำของรัฐบาลโอบามาได้

สิ่งที่ไม่ถูกกล่าวถึงในนโยบายด้านเทคโนโลยีฉบับนี้ แต่อาจมีผลต่ออุตสาหกรรมไฮเทคของประเทศไทยก็คือนโยบายด้านเศรษฐกิจของโอบามา ที่ประกาศว่าจะดึงงานด้านซอฟต์แวร์ที่เคยเอาต์ซอร์ส (outsource) มายังประเทศต่างๆ ในเอเชีย เช่น อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน และรวมทั้งประเทศไทย กลับไปยังอเมริกาเพื่อแก้ปัญหาการปลดพนักงานของอุตสาหกรรมไอทีสหรัฐ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศไทยซึ่งส่วนหนึ่งรับงานเอาต์ซอร์สจากต่างประเทศ​ (โดยเฉพาะสหรัฐ) จึงต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ.​ 2552 ที่กำลังจะมาถึง

ภาพประกอบจาก Flickr โดย Steve Rodes
ใช้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons

นโยบายด้านเทคโนโลยีของโอบามา-ไบเดน

ต้นฉบับจาก http://change.gov/agenda/technology_agenda/

บารัค โอบามา และโจ ไบเดน ((รองประธานาธิบดี)) นั้นมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีพลังอานุภาพเพียงใดใน การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนอเมริกัน พวกเขาจะส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเสรีบนอินเทอร์เน็ต นำเทคโนโลยีช่วยสร้างประชาธิปไตยที่โปร่งใสและเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมาก ขึ้น ส่งเสริมการสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ แข่งขันของสหรัฐอเมริกา และใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการแก้ปัญหาร้ายแรงที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ เช่น พลังงานสะอาด, ค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชน เป็นต้น

ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี ผ่านอินเทอร์เน็ตเสรีและสื่ออื่นๆ

ธำรงความเปิดกว้างของอินเทอร์เน็ต: สนับสนุนหลักการความเท่าเทียมของการส่งข้อมูลบนเครือข่าย (network neutrality) ((หลักการ network neutrality นั้นกำลังเป็นที่ถกเถียงในสหรัฐอเมริกา เพราะบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องการจัดความสำคัญของชนิดการเชื่อมต่อบนอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งข้อมูลแบบพิเศษที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม จะมีความสำคัญสูงกว่าการส่งข้อมูลแบบปกติ ซึ่งฝ่ายที่คัดค้านมองว่าเป็นการสร้างความไม่เท่าเทียมกันของการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต)) เพื่อรักษาข้อดีของอินเทอร์เน็ตเสรีเอาไว้
ส่งเสริมการแข่งขันของวงการสื่อ: สนับสนุนให้เจ้าของสื่อกระจายเสียงไม่กระจุกตัวเฉพาะแค่ในกลุ่มทุนบางกลุ่ม ส่งเสริมการพัฒนาสื่อใหม่ๆ เพื่อเป็นเวทีสำหรับความคิดเห็นที่หลากหลาย และแยกแยะภารกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมให้เจ้าของสื่อกระจายเสียงที่ครอบ ครองความถี่อยู่แล้วทราบอย่างชัดเจน
ปกป้องเด็กและเยาวชน ไปพร้อมกับการรักษาสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ: มอบเครื่องมือและคำแนะนำให้กับบรรดาผู้ปกครอง เพื่อใช้ปกป้องภัยร้ายที่ลูกหลานของพวกเขาจะได้รับจากทีวีและอินเทอร์เน็ต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีตาม ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขครั้งแรก ((รู้จักกันในชื่อ First Amendment)) เพิ่มบทลงโทษที่รุนแรง บังคับให้กฎหมายให้เคร่งครัดมากขึ้น และส่งเสริมความร่วมมือระว่างภาคเอกชนและภาครัฐผู้บังคับใช้กฎหมาย เพื่อแยกแยะและจัดการกับผู้ประสงค์ร้ายต่อเด็กๆ ของเราโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ
ปกป้องความเป็นส่วนตัว: เพิ่มระดับการป้องกันข้อมูลส่วนตัวในยุคดิจิทัล และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการละเมิดความเป็นส่วนตัวทั้งจากภาค รัฐและภาคธุรกิจ
สร้างประชาธิปไตยที่โปร่งใสและมีส่วนร่วมของประชาชน

ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงรัฐบาลได้มากขึ้น: โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยสร้างความโปร่งใสของรัฐบาลที่ตรวจสอบได้ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนอเมริกาต่อการทำงานของรัฐบาล
เตรียมรัฐบาลให้พร้อมสู่ศตวรรษที่ 21: ปฏิรูปรัฐบาลโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย พัฒนาการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างรัฐบาลกลางและประชาชน ในขณะเดียวกันต้องรักษาความมั่นคงในเครือข่ายของเรา แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Office – CTO) ภาครัฐคนแรก เพื่อเป็นผู้ประสานงานกลางระหว่างประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) และประธานเจ้าหน้าที่สารสนเทศ (CIO) ของหน่วยงานรัฐแต่ละแห่ง เพื่อให้หน่วยงานรัฐได้ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงานมากที่สุด และเรียนรู้ข้อดีข้อเสียจากหน่วยงานแห่งอื่น
วางโครงข่ายการสื่อสารที่ทันสมัย

โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งอนาคต: นำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่แท้จริงไปยังชุมชนทุกแห่งใน อเมริกา โดยใช้วิธีปฏิรูปกองทุนพัฒนาโทรคมนาคม (Universal Service Fund) ((กองทุนที่เก็บเงินจากผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม เพื่อนำไปพัฒนาโครงข่ายด้านการสื่อสารในจุดที่ยังขาดแคลน)) ผสมกับการจัดสรรคลื่นความถี่แบบใหม่ที่มีประสิทธิผล ระบบภาษีและเงินกู้แบบใหม่ที่จูงใจ เป้าหมายคืออเมริกาในฐานะผู้นำของประเทศที่มีอัตราส่วนผู้ใช้งาน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ((ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาอยู่อันดับ 15))
พัฒนาศักยภาพในการแข่งขันของอเมริกา

ส่งเสริมธุรกิจของอเมริกันในต่างประเทศ: สนับสนุนนโยบายการค้าเสรีที่รักษาประโยชน์ของสินค้าและบริหารอเมริกันในตลาด ต่างแดน ต่อสู้เพื่อสนธิสัญญาการค้าที่เป็นธรรมสำหรับบริษัทอเมริกัน
ลงทุนในวิทยาศาสตร์: เพิ่มงบประมาณภาครัฐด้านการวิจัยทั่วไปเป็น 2 เท่าภายในเวลา 10 ปี เปลี่ยนทัศนคติของรัฐบาลกลางให้มาลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น
ลงทุนในการวิจัยระดับมหาวิทยาลัย: ขยายขอบเขตการวิจัยของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา สร้างแหล่งทุนใหม่ๆ สำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่ที่โดดเด่นภายในประเทศ
นำนโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับการวิจัยมาใช้อย่างถาวร: ลงทุนในการวิจัยที่เชี่ยวชาญ การพัฒนาบุคคลากร และโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี นำนโยบายการลดหย่อนภาษีสำหรับการวิจัยมาใช้อย่างถาวร เพื่อให้บริษัทภาคเอกชนสามารถวางแผนการลงทุนวิจัยในเทคโนโลยีระยะยาวได้ง่าย ขึ้น
ธำรงไว้ซึ่งตลาดเสรี: ส่งเสริมภาคธุรกิจและกฎระเบียบเพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถอยู่ได้ ผู้ที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเองสามารถทำได้ง่าย และองค์กรขนาดใหญ่สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันผู้ออกกฎระเบียบและผู้บริโภคทั่วไปต้องได้รับการคุ้มครองจาก ภาคเอกชนที่ละเมิดกฎ ทบทวนสภาพบังคับใช้กฎหมายผูกขาดเพื่อรักษาหลักการทุนนิยม
ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกาในต่างแดน: ทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอเมริกาจะต้องถูกปกป้องในตลาดต่างประเทศ และเน้นการทำงานร่วมกับมาตรฐานระดับนานาชาติที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เทคโนโลยีของเราสามารถเข้าแข่งขันได้กับตลาดอื่นๆ ในโลกทุกแห่ง
ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกาภายในประเทศ

ปรับปรุงและปฏิรูประบบลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร เพื่อความโปร่งใส-เปิดเผยของข้อมูลสาธารณะ แต่ก็ยังต้องช่วยให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญานั้นได้รับความเป็นธรรม
ปฏิรูประบบสิทธิบัตร: ตรวจสอบว่าระบบกฎหมายสิทธิบัตรของเรานั้นปกป้องสิทธิ์ของผู้คิดค้น แต่ไม่ไปทำลายความคิดสร้างสรรค์หรือความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน มอบทรัพยากรแก่สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า (Patent and Trademark Office – PTO) ให้มากขึ้น เปิดกระบวนการจดสิทธิบัตรเพื่อส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ลดความเสี่ยงจาการฟ้องร้องกันแบบไร้สาระ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ถ่วงรั้งนวัตกรรของอเมริกาอยู่
นำแนวคิดที่นิยมกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์: เผยแพร่การตัดสินใจของรัฐบาลเท่าที่ทำได้ ประเด็นที่เสนอคือการตัดสินใจของภาครัฐจะต้องอิงจากข้อมูลและหลักฐานทาง เศรษฐกิจที่รัดตัว ไม่ใช่อิงจากความเชื่อส่วนบุคคล
เตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนอเมริกันสู่ศตวรรษที่ 21

ประกาศให้การศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นวาระแห่งชาติ: รับสมัครครูที่จบการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยตรง และช่วยให้ครูกลุ่มนี้เรียนรู้จากครูที่มีประสบการณ์การสอนอยู่แล้ว ส่งเสริมการเข้าถึงเนื้อหาและสื่อการสอนด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพในทุก ระดับชั้น
พัฒนาคุณภาพการสอบวัดความทางวิทยาศาสตร์: ทำงานร่วมกับผู้ว่าการรัฐและนักการศึกษาเพื่อปรับปรุงวิธีการสอบวัดความรู้ ให้สามารถวัดผลทักษะการคิดเชิงที่เป็นเหตุเป็นผล เช่น การอนุมานเหตุผล ตรรกะ และการวิเคราะห์ข้อมูล ไม่ใช่การสอบวัดความรู้ที่เน้นความจำ
แก้ปัญหาเด็กออกจากโรงเรียนก่อนจบการศึกษา: อุดหนุนงบประมาณให้กับเขตการศึกษาสำหรับพัฒนายุทธศาสตร์แก้ปัญหาเด็กออกจาก โรงเรียนระดับชั้นมัธยมต้น ตัวอย่างยุทธศาสตร์เหล่านี้ได้แก่ การวางแผนการศึกษาเฉพาะของนักเรียนแต่ละคน การใช้ครูสอนเป็นทีม การดึงผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วม การแนะแนว การสอนทักษะการอ่านและคณิตศาสตร์อย่างจริงจัง และการเรียนนอกเวลา เป็นต้น
สนับสนุนทุนเรียนด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดับอุดมศึกษา: สร้างฐานข้อมูลออนไลน์สำหรับว่าที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีศักยภาพ ให้เข้าถึงข้อมูลความช่วยเหลือด้านค่าเล่าเรียนที่มีอยู่ในสายงานวิจัย ทั้งจากภาครัฐ ภาคสาธารณะ และภาคเอกชน
เพิ่มจำนวนบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์: ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมปลาย เพื่อเตรียมนักศึกษาให้พร้อมสู่การเรียนระดับมหาวิทยาัลย เพิ่มจำนวนบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม และสนับสนุนให้บัณฑิตเหล่านี้ศึกษาต่อปริญญาโทหรือเอก เพิ่มอัตราส่วนของนักศึกษาหญิงและนักศึกษาที่มีชาติพันธุ์อื่นๆ ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของอเมริกาให้เป็นประโยชน์สำหรับความต้องการ แรงงานมีฝีมือที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เตรียมความพร้อมผู้ใหญ่วัยทำงานให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่

การเรียนรู้ตลอดชีพ: แก้ไขกฎหมายการพัฒนาฝีมือแรงงาน และเพิ่มงบประมาณให้กับวิทยาลัยชุมชน รวมถึงโครงการการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่ เพื่อให้ประชาชนอเมริกันสามารถพัฒนาทักษะอาชีพได้ตลอดชีวิต ปรับปรุงระบบช่วยเหลือแรงงานที่โดนปลดหรือลดชั่วโมงการทำงาน ((trade adjustment assistance)) โดยเพิ่ม อุตสาหกรรมภาคบริการเข้ามาด้วย สร้างระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นเพื่อให้แรงงานสามารถเข้ามาใช้พัฒนาทักษะของตัวเองได้ตลอดเวลา
สร้างเครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน ((Safety Net)) ที่พึ่งพิงได้: ถึงแม้ว่าโอบามาและไบเดนได้เสนอนโยบายการประกันสุขภาพ ประกันสังคม และประกันการว่างงานไปแล้ว แต่ทั้งสองคนยังจะต้องพัฒนานโยบายสำหรับช่วยเหลือคนอเมริกันที่ต้องเปลี่ยนงานจากภาวะเศรษฐกิจโลก
ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาร้ายแรงที่ประเทศกำลังเผชิญ

เทคโนโลยีและการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ได้เปลี่ยนโครงสร้างของตลาดแรงงาน และวิธีในการติดต่อสื่อสารอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดช่วงที่มีนวัตกรรมเกิดขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเชื่อมต่อกับประชาคมโลกได้ทั่วถึง เราสามารถนำพลังของเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบการประกันสุขภาพ พัฒนาพลังงานสะอาดที่ใช้งานได้จริง พัฒนาการศึกษาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และสนับสนุนให้อเมริกาเป็นประเทศผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของโลกต่อไป

โอบามาและไบเดนจะ:

ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยลงทุนในระบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์: ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ ลงทุนปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาระบบประกันสุขภาพของสหรัฐให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด รวมถึงประวัติการรักษาที่เป็นอิเล็กทรอกนิกส์ด้วย
ลงทุนในการพัฒนาพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ลงทุนปีละ 150 ล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อให้วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และผู้ประกอบการด้านพลังงานสามารถพัฒนาพลังงานชีวภาพ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานขึ้นมาใหม่ เร่งให้การนำรถยนต์ไฮบริดมาใช้งานจริงได้เร็วขึ้น ส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนภาคเอกชน และมุ่งเป้าสู่ระบบผลิตไฟฟ้าแบบดิจิทัล ((digital electricity grid)) การลงทุนจะเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และเกิดการจ้างงานใหม่อีก 5 ล้านตำแหน่ง
ปรับปรุงโครงข่ายความปลอดภัยสาธารณะ: นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น บรอดแบนด์ และวิธีการสื่อสารแบบใหม่ๆ มาพัฒนาระบบรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้าให้รับมือได้ทันท่วงทีมากขึ้น
ลงทุนในการวิจัยด้านชีวการแพทย์ (biomedical): สนับสนุนการวิจัยด้านชีวการแพทย์ เช่นเดียวกับวิชาการแพทย์ และการสาธารณสุขอื่นๆ ลงทุนในการวิจัยด้านชีวการแพทย์ และส่งเสริมความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ และภาคีนอกภาครัฐอื่นๆ
ลงทุนในการวิจัยสเต็มเซลล์ (stem cell): สนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์ อนุญาตให้รัฐบาลกลางสามารถลงทุนด้านสเต็มเซลล์เป็นจำนวนเงินมากขึ้นได้

บทความชิ้นนี้เป็นบทย่อความจากงานแปลเรื่อง “Future Direction in Human Resource Development (HRD) Practice : Chapter II) ของ Lyle Yorks (2005) และรายงานการบรรยายของ Professor Dr. William Ball จาก Michigan University เรื่อง “Oragnizations and Management in Tommorow’s World” ซึ่งสรุปความได้ว่า

Lyle Yorks กล่าวถึง การทำนายกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD) ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดภาวะเสี่ยงทางธุรกิจ (Risky Business) ตั้งแต่เริ่มต้นศตวรรษที่ 21 การจะเข้าสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญได้นั้นคงต้องอาศัยกลยุทธ์การเรียนรู้ซึ่งนำมาจากความรู้สึกของความไม่แน่นอนจากความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคตที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพทางด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้พยายามจัดเตรียมแบบอย่างที่มีคุณค่าต่อการดำเนินงานขององค์การของเขาและสำคัญที่สุดคอยติดตามและเฝ้าดูผลการทำงานในการประกอบอาชีพของตนอย่างต่อเนื่อง
Yorks ได้อ้างถึงแนวคิดของเชอร์มัค, ลินแฮมและเราน่า (Chermack, Lynham and Ruona) ที่กล่าวถึง แนวโน้มภาวะวิกฤตและความไม่แน่นอนก่อผลกระทบต่อการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จากแนวโน้มทางสังคม เศรษฐกิจและการฝึกฝนให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบันจนเกิดเป็นศักยภาพที่ก่อผลกระทบต่อการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยอ้างถึงแนวคิดของฮอดจ์สันและชวาสซ์ (Hodson and Schwartz) ที่กล่าวว่า แนวโน้มการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตมีผลกระทบที่ไม่แน่นอนและเป็นภาวะวิกฤตที่รุนแรงเพราะว่าไม่สามารถคาดเดาไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งเชอร์มัคและคณะได้สรุปถึงความไม่แน่นอนที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบการดำเนินงาน 6 ประการคือ
1. การแข่งขันด้านความรู้ความชำนาญและทักษะเฉพาะด้านในระดับสูง (Competition for the Expertise Elite)
2. โลกาภิวัฒน์ (Globalization)
3. สถานที่หรือที่ทำงานในการควบคุมการดำเนินการขององค์การหรือบุคลากร (Locus of Control Qrganizational or Individual)
4. ความรู้ความสามารถด้านการตลาด (Marketability of Knowledge)
5. ยุคสมัยต่อไป (Next Age) และ
6. ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Technological Explosion)
ลำดับแรก 2 ประการสำคัญคือ ความก้าวหน้าของโลกาภิวัฒน์และการเกิดนวัตกรรมใหม่ทางด้านเทคโนโลยี เราไม่สามารถพยากรณ์หรือคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร ลำดับถัดมาคือการเข้าถึงตลาดเพราะเราไม่สามารถจำแนกหรือเข้าใจถึงความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างแน่นอน ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่สำคัญ “เราไม่รู้ว่าความรู้ด้านการบริหารธุรกิจเป็นอย่างไร” (We are not in the Knowledge Management Business)”
ส่วนผลกระทบลำดับสุดท้าย 3 ประการ กล่าวคือ ในยุคสมัยต่อไปความรู้ความสามารถแบบเดิมจะล้าสมัย พฤติกรรมองค์การจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ มีความเป็นร่วมสมัยและคนที่มีคุณภาพขององค์การจะมีลักษณะเชาวน์ปัญญาดี รู้จักการปรับตัวและมีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว องค์การจะมีการปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงตามกลยุทธ์ด้านโอกาสและเงื่อนไขทางด้านธุรกิจ การจัดเตรียมคนจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและขยายขอบเขตให้กว้างขวางออกไปเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือบ้านซึ่งจะเป็นแหล่งเรียนรู้และการประกอบธุรกิจที่สำคัญที่ทำให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับรากฐานทางสังคมกับความเข้าใจเรื่อง “ระบบเศรษฐกิจใหม่” ที่มิใช่เฉพาะความต้องการด้านผลกำไรเหมือนอดีตเพียงเท่านั้น แต่การดำรงอยู่ในระบบอย่างยาวนานและยั่งยืนก็คือความสามารถในการปรับตัวให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งอาจจะเรียกให้เหมาะสมที่สุดก็คือ “ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารสนเทศ (Information Age)” หรือ “ยุคแห่งความรู้ (Knowledge Age)” และที่สุดสถานที่สำหรับการประกอบธุรกิจไม่จำเป็นต้องอาศัยสถานที่ที่ใหญ่โตและมีพนักงานจำนวนมากเหมือนในอดีต นักธุรกิจจะอยู่พื้นที่ใดของโลกก็ได้ขอให้มีเพียงโทรศัพท์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ทได้ ซึ่งมีลักษณะเป็น E – Commerce ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานร่วมกันในทุกระดับได้ด้วย นอกจากนี้การระดมความคิดเห็นใช้การประชุมแบบเสมือนจริงที่ผู้เข้าร่วมประชุมอยู่กันคนละสถานที่แต่สามารถร่วมประชุมกันได้โดยอาศัยอุปกรณ์โทรคมนาคม เช่น โทรทัศน์วงจรปิด (Virtual Teleconferences) ฯลฯ หรือจากเครือข่ายพื้นฐานจากห้องคุยกัน (Web – base Chat Rooms) โดยอาศัยความเชื่อมั่นในการคัดเลือกเครือข่ายที่มีมาตรฐาน
การลดขนาดองค์การและการจัดการให้มีขนาดเล็กลง (Authoritarian Control and Micromanagement) จากกระบวนการที่เรียกว่า Down Sizing เป็นการลดขนาดองค์กรให้เล็กลง ย่นเส้นทางการบังคับบัญชาให้สั้นและรวดเร็วแต่มีประสิทธิภาพประเภท “จิ๋วแต่แจ๋ว”
และได้นำเสนอความคิดของเบนสัน, จอห์นสันและคูชิงเก้ (Benson, Johnson and Kuchinke) จำแนกการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็น 3 ลักษณะที่มีผลกระทบต่อการเป็นเจ้าของกิจการในยุคที่เปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งประกอบด้วย
1. ขอบเขตการวิเคราะห์ความต้องการและการออกแบบโปรแกรม (The Scope of needs Analysis and the Design of Programs)
2. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกอบรมหรือผู้ให้การศึกษากับผู้เรียนในกระบวนการเรียนรู้ (The Relationship between Trainers/Educator and Learners in the Learning Process)
3. โอกาสในการปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ (Enhanced opportunities for Informal Learning)
ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ประเมินการออกแบบโปรแกรมการเรียนรู้เป็น 2 แนวทาง คือ ทักษะทางด้านเทคโนโลยีของผู้เรียนและระดับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและได้นำความคิดของลี, โอเวนและเบนสัน (Lee, Owen and Benson) ที่สรุปว่า การออกแบบอะไรนั้นควรได้พิจารณาถึงการเรียนรู้และระบบที่ดีที่สุดที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโปรแกรม การออกแบบต้องอาศัยข้อมูลจากภายนอกและระดับ ของผู้สอนกับเทคนิคของผู้เรียนประกอบกันเพื่อตอบสนองความต้องการด้านความสำเร็จของระบบ การพิจารณาถึงความจำเป็น 2 ประการ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) และความสามารถทางด้านเทคโนโลยี (Abliity of Technology) โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีอิเลคทรอนิกส์ (E – learning Technology) ซึ่งมีลักษณะเป็นคนที่มีทักษะใหม่ ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพทางด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งหลายเชื่อว่าแนวโน้มจะมีผู้สมัครเรียนเทคโนโลยีเหล่านี้จนเกิดความรู้ความสามารถและมีความชำนาญที่มีศักยภาพเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น ซึ่งบทสรุปจากบทความของ Lee กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เรียนกับเทคโนโลยีจะเป็นเพื่อนคู่ขากันอย่างต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีจะค่อย ๆ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเชี่ยวชาญในโอกาสต่อไป ฉะนั้น งานด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มากขึ้นทุกที่ในเครือข่ายการเรียนรู้พื้นฐานรวมทั้งโครงการที่มีความสลับซับซ้อนสำหรับทักษะระดับการจัดการและบูรณาการร่วมกับเนื้อหาความรู้ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ผู้ออกแบบการสอนหรือผู้แนะนำรวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผลิตสื่อการเรียนรู้เหล่านั้นด้วย
นอกจากนั้น Lee ยังมีความเชื่อว่ารายละเอียดต่าง ๆ ในการเรียนรู้จะทำให้การทำงานเกิดทักษะและง่ายขึ้นเมื่อมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบตัวต่อตัว แม้แต่ปัญหาจากความคิดเห็นที่ขัดแย้งยิ่งทำให้เกิดความสามารถเฉพาะตัวหรือเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบที่ต้องอาศัยกระบวนการผสมผสานเทคนิควิธีและปัจจัยประกอบอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ
เบนสันและคณะ. (Benson et al.) เสนอข้อสังเกต “ศักยภาพที่สมบูรณ์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกสามารถสนับสนุนการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ” สอดคล้องกับความคิดของเดนเนนและหวัง (Dennen and Wang) ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้ว่า เราสามารถช่วยเหลือหรือสนับสนุนโอกาสหรือวิธีการเข้าถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทางเทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วยลักษณะ 2 ประการคือ
1. การเรียนรู้ในการพิจารณาการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (Learning how to Eonduct Efficien Searchs) และ
2. การเรียนรู้ในการเข้าร่วมหรือก่อตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (Learning how to Establish the Validity of what they Aecess)
การบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การใดที่มีความสามารถในการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ด้านความรู้ความสามารถที่ขัดแย้งกันภายในสนามแข่งขันระหว่างการบริหารการพัฒนาทรัพยากรกับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารสารสนเทศ (Human Resource Development and Information Technology/HRD and IT) องค์การใดจะครอบคลุมขอบเขตหรืออาณาจักรการจัดการองค์ความรู้ได้มากกว่ากัน ในความเป็นจริงถ้าทั้งสองฝ่ายร่วมกันคิดร่วมกันทำจะมีส่วนช่วยให้ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการได้รับการสนับสนุนและเกิดศักยภาพในความร่วมมือให้บรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ตกลงกันไว้ได้
ถึงแม้ว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงความจริงใจของแต่ละฝ่าย แต่กระแสแห่งแฟชั่นในโลกปัจจุบันก็พยายามบีบบังคับให้เกิดการเรียนรู้ช่องว่างระหว่างกลางแห่งองค์ความรู้เหล่านั้นไม่ว่าจะใช้วิธีการประนีประนอมหรือผสมผสานการใช้ประโยชน์กับเทคโนโลยี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สามารถทำให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและช่วยประสานความร่วมมือร่วมใจตามทักษะที่กำหนดไว้ตามเกณฑ์ขั้นพื้นฐานเพื่อจะได้นำเข้าสู่โปรแกรมการเรียนรู้ที่ได้เลือกสรรไว้อย่างเหมาะสม
โลกาภิวัฒน์สามารถให้ทางเลือกแก่กิจการแต่ละองค์การในการจะเลือกเข้าสู่กระแสโลกาภิวัฒน์หรือไม่ อย่างไรก็ดีโปรแกรมการฝึกอบรมทั้งหลายของแต่ละองค์การสามารถก่อประโยชน์จากเอกสาร ตำราหรือหนังสือ รวมทั้งสื่อมวลชนที่หลากหลาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุและหนังสือพิมพ์ ฯลฯ (Text Multimedia) ครอว์ฟอร์ด เบอเวอริดจ์ (Crawford Beveridge) ประธานกรรมการบริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ของซันไมโครซิสเท็มส์ (Sun Microsystems) เน้นความคิดในการก่อตั้งสถาบันสำหรับการเรียนรู้ของทีมงานในหลายประเทศเพราะตระหนักถึงความหมายและความสำคัญต่อความท้าทายและการแข่งขันด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ความแตกต่างระหว่างกลุ่มพลังและกลุ่มพลวัตรใหม่กับกลุ่มประเพณีวัฒนธรรมแบบเก่า ๆ จะให้ความสำคัญกับการพิจารณาไตร่ตรองเพื่อการออกแบบการเรียนรู้ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายซึ่งเปรียบเทียบระหว่างองค์การแบบใหม่ของสหรัฐอเมริกากับแบบวัฒนธรรมเก่าของเกาหลีใต้ เป็นประเด็นสำคัญทำให้เกิด Kim’s Point ซึ่ง คิม (Kim) กล่าวว่า ถึงแม้นวัตกรรมใหม่ขององค์การจะกำหนดสถานที่ที่มีความพิเศษเฉพาะสามารถเคลื่อนไหวได้ทั่วไปเพื่อตอบสนองการทำงานของยุคโลกาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เน้นถึงความร่วมมือในการเรียนรู้พฤติกรรมที่ผูกติดกับวัฒนธรรมที่ปรากฏให้เห็นในที่นี้ได้อธิบายถึง “บทบาทความรับผิดชอบและการเปลี่ยนแปลง” (Responsibility and Changes)” ซึ่งประกอบด้วยประเด็นต่าง ๆ 12 ประการ คือ
1. การสร้างความร่วมมือระหว่างงานวิจัยกับแบบแผนการปฏิบัติ (Creating Synergy between Research and Practice)
2. การพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงขึ้นทำให้การเรียนรู้เกี่ยวกับคนและสังคมหายไป (Leveraging Technology without Losing the Human and Social Compoment of Learning)
3. การสร้างความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว (Striking a Balance between and Personal Life)
4. ความตั้งใจที่จะนำความคิดสร้างสรรค์ให้ที่ทำงานมีความเมตตากรุณาความเอื้ออาทรต่อกัน (Striving Toward the Creation of Humane Workplace)
5. ยอมรับทุนทางปัญญามีความสำคัญที่สุดรวมทั้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในระดับล่างขององค์การ (Acknowlegding Intellectual Capital as Lifeblood or Truebottom Line of Organizations)
6. การพัฒนาที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Developing Social Responsibility)
7. ความร่วมมือหรือการเป็นหุ้นส่วนในบทบาทการศึกษาภาวะการเปลี่ยนแปลง (Part nering in the Changing Role of Education)
8. การพัฒนาการทำงานร่วมกันในลักษณะหุ้นส่วนทั้งภายในและภายนอกองค์การ (Developing Collaborative Partnerships Bothinside and Outside the Organization)
9. การเข้าร่วมรับรู้โลกาภิวัฒน์ (Embracing Globalization)
10. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Multiculturalism)
11. การจัดการองค์ความรู้และการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ (Managing Knowledge and Learning Effectively)
12. สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Fostering Lifelong Learning)

บทสรุป
ตลอดช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง การบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นกระบวนการเพื่อการเตรียมตัวเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อความมั่นคงในระบบสังคมและเศรษฐกิจที่มีพลังอันเข้มแข็งโดยเฉพาะเทคโนโลยีและโลกาภิวัฒน์จะเป็นพลังขับเคลื่อนต่อความเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีสิ่งที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องต่อความมีคุณค่าต่อผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมและโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ “การพัฒนาองค์การสู่องค์การแห่งการเรียนรู้” เพื่อจะชนะในการแข่งขันซึ่งประกอบด้วย 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuos Improvement) และการปรับเปลี่ยนสู่องค์กรอัจฉริยะหรือองค์การแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการ (Integration Development)

เนื้อหาของบท

ความคิดเห็นของผู้แปล
จากการแปลและศึกษาเนื้อหาความรู้สรุปได้ว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนมีประเด็นที่อาจจะก่อผลกระทบมากมายโดยเฉพาะการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD) ดังที่ Lyle Yorks ได้นำเสนอความคิดของ Chermack และคณะ 6 ประการ Benson และคณะของประเด็นบทบาท HRD ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น Denen และ Wang เสนอความคิดสนับสนุนการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ และ Kim พยายามนำปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงอยู่ในองค์การอย่างเหมาะสมกับกาลเวลาและความเรียบง่ายด้วย Kim’s point 12 ประการ เมื่อหลอมความรู้ทั้งหมดพอสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญคือเมื่อกระแสโลกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว องค์การทุกองค์การจะปรับตัวเองให้สอดคล้องและเคลื่อนไหวตามอย่างเหมาะสมเพื่อให้กิจการของตนดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนโดยเฉพาะกระบวนการ HRD เป็นตัวขับเคลื่อนอย่างสำคัญโดยอาศัยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นตัวเร่งที่มีพลวัตรในตัวมันเองแต่ก็ต้องไม่พยายามลืมคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานในองค์การ แนวโน้มในอนาคตก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่งจนไม่สามารถจะกำหนดหรือบอกว่าแบบอย่างที่เหมาะสมในการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อะไรที่ดีที่สุดจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพองค์ประกอบของแต่ละองค์การไม่ว่าจะเป็น คน เทคโนโลยีและเป้าหมายในการดำเนินงานขององค์การสอดคล้องกับแนวความคิดของศาสตราจารย์ ดร. วิลเลี่ยม บอลล์ (Prof. Dr. William Ball) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาบรรยายที่มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2549 ในหัวข้อเรื่อง “Organizations and Management in Tomorow’s World” ซึ่ง อารักษ์ ชัยมงคล (2549 : 2-3) ได้สรุปความไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันคือยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) เป็นกระบวนการที่แตกต่างจากยุคอดีตอย่างสิ้นเชิง จนยากที่จะพยากรณ์ได้ว่าการบริหารองค์การและการจัดการ (Organizations and Management) ในอนาคตจะมีรูปลักษณ์และแบบอย่างอย่างไรองค์ความรู้และทฤษฎีทางการบริหารเก่า ๆ อาทิ POCCOC, POSDCORB, PPBS หรือแม้แต่ MBO จะเป็นเพียงหลักฐานทางวิชาการที่อยู่ในตำราเรียนว่ายุคสมัยหนึ่งทฤษฎีต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีผลต่อการบริหารองค์การที่ได้รับการยอมรับ รวมไปถึงแนวคิดในการบริหารแบบต่าง ๆ ในยุคที่ผ่านมา ได้แก่ แบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor, Max Weber, Gulick & Urwick และ Frank Gilbreth แบบมนุษยนิยม (Humanistic) ของ Lilian M. Gilbreth, Henry Fayol และ Mary Parker Follet ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องคนในองค์การมากขึ้นจนมาถึง Chester I. Barnard บิดาแห่งองค์การแบบไม่เป็นทางการ (Informal- Organization Theory) อธิบายถึง ความสัมพันธ์องค์การแบบไม่เป็นทางการที่แฝงตัวและมีอิทธิพลต่อองค์การแบบเป็นทางการ จนเข้าสู่แบบมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) และแบบทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) ประกอบด้วยนักคิดที่มีชื่อเสียง อาทิเช่น Elton Mayo, Fritz Roethlisberger and others (Hawthorn Study) ช่วงปี ค.ศ. 1924 -1933 ซึ่งเน้นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในองค์การ ต่อมาแนวคิดเรื่องทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของ Abraham H.Maslow ที่กล่าวถึงความต้องการในระดับต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานในองค์การและทฤษฎี X – Y ของ Douglas Mcgregor ที่แบ่งแยกพฤติกรรมมนุษย์เป็น 2 กลุ่มซึ่งมามีบทบาทมากในประเทศญี่ปุ่นและประสบความสำเร็จในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศจนสามารถเทคโอเวอร์บริษัทอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และ อื่น ๆ ของอเมริกา ในช่วงยุค ค.ศ. 1980 เป็นต้น
จนมาถึงเมื่อประมาณ 20 -25 ปีที่ผ่านมา โลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากคลื่นลูกที่ 2 การผลิตในกระบวนการอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร (Information Technology) หรือยุคหลังสมัยใหม่ (Post – modernism) โลกทั้งโลกแคบลงด้วยการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายอินเตอร์เนต หรือเรียกว่า ยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) เป็นการบริหารจัดการฐานข้อมูล (Management of Database) องค์การใดมีระบบการจัดการฐานข้อมูลได้ดี และสามารถรวบรวมข้อมูลไว้ได้มากจะเป็นผู้ได้เปรียบ ดังเช่น ธุรกิจของไมโครซอพท์ได้สร้างปรากฏการณ์ในการบริหารจัดการรูปแบบใหม่จนทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วครอบครองอาณาจักรทั่วโลก อันเป็นกระบวนการที่เรียกว่า American Way ทำให้ธุรกิจของอเมริกาที่เคยล้าหลังและทรุดโทรม กลับมาเติบโตและแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นได้ ในขณะที่ญี่ปุ่นเริ่มประสบปัญหาอย่างมากมายด้วยคงรักษาวัฒนธรรมองค์การที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตและไม่พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์การและการจัดการ จนเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยและมาเลเซียได้ขับเคลื่อนแนวคิดของ Information Technology เข้าสู่ประเทศ ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาประเทศใหม่ และมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเหนือกว่ากลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม พม่าและแม้แต่เกาหลีเหนือ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) ในยุคข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุด ประกอบด้วยการพัฒนาแบบบูรณาการ โดยแบ่งระดับบุคคลออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ ระดับบุคคล (Individual Level) ระดับทีมหรือกลุ่มงาน (Team or Group or Department Level) และระดับองค์การ (Corporate Level) โดยเน้นโครงสร้างองค์การแบบแบนราบ (Flat Organization) มิติในการพัฒนามนุษย์เป็น 3 มิติคือ พัฒนาโดยการใช้การศึกษาและการฝึกอบรม มิติการพัฒนาอาชีพ (Career Development) คือการพัฒนาให้เป็นมืออาชีพที่จะตอบสนององค์การและการจัดการได้ เช่น รู้จักการประเมินตนเพื่อศึกษาว่าตนเองมีความสามารถ มีบุคลิกภาพและแรงจูงใจในอาชีพแบบใด รวมถึงการเป็นนักบริหารมืออาชีพที่มีทักษะในการจัดการเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ การสรรหาและการคัดเลือก การพัฒนา การประเมินผลและการสร้างทายาททดแทน และมิติสุดท้ายคือ การพัฒนาองค์การ (Organization Development) คือปรับเปลี่ยนไปสู่ “องค์การแห่งการเรียนรู้” (Learning Organization) เพื่อชนะในการแข่งขันซึ่งประกอบด้วย 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การทำ TQM (Total Quality Management) หรือกลยุทธ์การแข่งขันเวลา และการปรับเปลี่ยนเป็นองค์การอัจฉริยะ หรือองค์การแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการ (Integration Development) ซึ่งประกอบด้วย
1. เข้าใจเรื่องราวของธุรกิจในด้านวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ โครงสร้างองค์การ รูปแบบใหม่และวัดผลสำเร็จเชิงกลยุทธ์
2. เข้าใจมิติการบริหารและพัฒนาคนที่ครอบคลุมทั้งเรื่องการพัฒนารายบุคคล การพัฒนาอาชีพและการพัฒนาองค์การ
3. เข้าใจถึงระดับของการพัฒนาองค์การในรูปแบบใหม่ทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล ระดับทีมงานและระดับองค์การ บนพื้นฐานการแข่งขันหลากหลายรูปแบบและวิธีการ
องค์การในอนาคตไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ที่แน่นอนหรือขนาดที่ใหญ่โต สามารถเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลาตามผู้ให้บริการหรือการให้บริการถึงสถานที่ของผู้รับโดยอาศัยเพียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ใช้อินเตอร์เนตได้มีลักษณะเป็น E – commerce องค์การจะมีบุคลากรไม่มากนัก ผู้บริหารจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานและทำงานร่วมกับผู้ร่วมงานในทุกระดับได้ด้วย
ในทัศนะของผู้ศึกษาเห็นว่า แนวคิดของ Professor Ball เหมาะสมกับองค์การภาคธุรกิจเป็นสำคัญและต้องให้เวลากับการเปลี่ยนแปลงในภาครัฐ แต่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับภาคประชาชน กล่าวคือ เมื่อองค์การธุรกิจเข้มแข็งย่อมมีส่วนกระตุ้นและเร่งเร้าให้ภาคประชาชนตอบสนองคือการบริโภคและเป็นการบริโภคที่เกินภาวะจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้เกิดการสูญ เสียทรัพยากร และกระบวนการผลิตต้องเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะทำให้องค์การธุรกิจเติบโตและร่ำรวยขณะที่ภาคประชาชนจะยากจนลง เพราะไม่สามารถหารายได้เพียงพอต่อความต้องการการบริโภคยิ่งในประเทศไทยเห็นได้ชัดยิ่งว่าประชาชนส่วนใหญ่ขาดศักยภาพในการเพิ่มรายได้ จากกรณีตัวอย่างกองทุนหมู่บ้าน เมื่อรัฐมีนโยบายกระจายทุนสู่ภาคชนบทระดับรากหญ้าเพื่อให้ประชาชนมีทุนนำไปลงทุนเพิ่มผลผลิตและแก้ปัญหาหนี้ กลับกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้มากขึ้น ทำให้ขาดความสุขในการดำรงชีวิต เมื่อเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง น่าจะเป็นแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภาคประชาชนให้พอมีอยู่มีกินและมีความสุขในชีวิตได้มากกว่า ซึ่งแนวโน้มในอนาคตคาดว่า ภาครัฐและธุรกิจเอกชนคงให้ความสนใจมากขึ้นเพราะจะทำให้สมาชิกในองค์การร่วมกันทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลกับการแข่งขันจนเกินไป เติบโตและมีการพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainable Development) เหมือนกับหลายประเทศที่สนใจแนวพระราชดำริและนำไปปรับใช้ในประเทศของเขา
ฉะนั้น โลกอนาคต จะเป็นโลกแห่งการแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม (Innovation) เป็นปัจจัยหลักเพื่อขับเคลื่อนความกินดีอยู่ดีของคนในสังคม การแข่งขันและความร่วมมือระหว่างชุมชนและประเทศอื่น ๆ ไม่ใช่แข่งขันเพื่อความต้องการในการสะสมปัจจัย (Factor Accumulation) เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ทุนหรือแรงงานเป็นปัจจัยหลักเหมือนอดีตที่ผ่านมา
การสร้างนวัตกรรมต้องอาศัยความรู้และกิจกรรมที่จะสร้างความมั่งคั่งจากความรู้นั้น ยิ่งใช้มากยิ่งมีแต่ความเจริญงอกงามดังคำกล่าวที่ว่า “ยิ่งใช้ ยิ่งงอกงาม” แต่ความมั่งคั่งจากทรัพยากรธรรมชาติ ทุนและแรงงาน ยิ่งใช้ยิ่งหมดไป การพัฒนาแนวทางแรกจึงเป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจแบบพอเพียงคือใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ทุนและแรงงานอย่างพอเหมาะพอควร โดยเน้นการใช้ภูมิปัญญา ประสบการณ์และการรู้จักกินรู้จักใช้เหมาะแก่ฐานะ ซึ่งแตกต่างกับแนวทางหลังที่เป็นแบบไม่ยั่งยืน นั่นคือจะได้รับประโยชน์เฉพาะบุคคล เฉพาะกลุ่มเฉพาะยุคสมัย ได้แก่ผู้ที่สะสมทรัพยากรและทุนไว้มากก็จะได้เปรียบแต่จะทำให้เกิดผลกระทบระยะยาวในอนาคต
สรุปได้ว่า โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ( Knowledge Based Society and Economy) ทุกสังคมจะต้องมีความสามารถในการนำความรู้มาสร้างนวัตกรรม สำหรับเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม ประเทศและโลก ความรู้และนวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้น จะต้องก่อประโยชน์ต่อสังคมและส่วนต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลายอย่างทั่วถึงและเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจเพื่อการแข่งขันและเศรษฐกิจพอเพียงอย่างสมดุล สังคมไทยจึงต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรู้เท่าทันและสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของทั้งสังคม (Paradigm Shift หรือ Mindset Change) สังคมไทยจึงจะอยู่รอดได้จากสภาพบีบคั้นจากสภาพแวดล้อมรอบด้าน โดยเฉพาะสภาพบีบคั้นจากกระแสโลกาภิวัฒน์นั่นเอง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ “เชนร้านอาหารเติบโต …อาหารสัญชาติเอเชียยังเป็นดาวรุ่ง”
qqqqq2

ประเด็นสำคัญ
• ตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารมีแนวโน้มเติบโต จากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทย การขยายสาขาร้านอาหาร การเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่ และการจัดโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตร โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2556 นี้ ตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร จะมีมูลค่า 97,431 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 14 จากปี 2555 โดยร้านอาหารประเภทไก่และเบอร์เกอร์, สุกี้และชาบู, และอาหารญี่ปุ่น ยังคงมีมูลค่าตลาดในสัดส่วนที่สูงเป็นสามลำดับแรก
• ร้านอาหารสัญชาติเอเชีย ได้แก่ ร้านอาหารไทย ร้านสุกี้และชาบู ร้านอาหารปิ้งย่าง และร้านอาหารญี่ปุ่น มีอัตราการเติบโตสูงกว่าร้านอาหารประเภทอื่น เนื่องจากกระแสความนิยมรับประทานอาหารสัญชาติเอเชีย และกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการ

อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ธุรกิจอาหารจึงเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าตลาดในระดับสูงมาก โดยนอกจากจะมีธุรกิจผลิตอาหารซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว ยังมีธุรกิจบริการที่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวันในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ คาเฟ่ บาร์ ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด การบริการจัดส่ง การซื้อกลับบ้าน ร้านอาหารที่บริการด้วยตนเอง และเคาน์เตอร์วางสินค้า (Kios) โดยประกอบไปด้วยผู้ให้บริการจำนวนมาก ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ

ในปี 2555 มีผู้ประกอบการร้านอาหารในประเทศไทยรวม 61,760 ราย โดยเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในกลุ่มภัตตาคาร ร้านขายอาหาร และเครื่องดื่ม ที่ยังคงมีสถานะดำเนินกิจการรวม 6,933 ราย (ลดลงจากปี 2553 และปี 2554 ที่มีจำนวนรวม 7,907 ราย และ 7,099 ตามลำดับ) ซึ่งเป็นการจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจำกัด 6,002 ราย และเป็นการจดทะเบียนในรูปแบบอื่นๆ ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล บริษัทมหาชนจำกัด หอการค้า และสมาคมการค้า รวมกัน 931 ราย

แม้ว่าจำนวนผู้ประกอบการร้านอาหารในกลุ่มภัตตาคาร ร้านขายอาหาร และเครื่องดื่ม ที่ยังคงมีสถานะดำเนินกิจการจะมีแนวโน้มลดลงจากในอดีต อันเนื่องมาจากการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรงจากการขยายตัวของร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร ทั้งในรูปแบบการขยายการลงทุนเอง และการขายแฟรนไชส์ แต่เมื่อพิจารณาจำนวนผู้ประกอบการที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ กลับพบว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 919 รายในปี 2553 ไปสู่ 1,169 รายในปี 2555 ข้อมูลดังกล่าวได้บ่งชี้ให้เห็นถึงความน่าสนใจในการประกอบธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ที่ยังคงมีผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

วิถีชีวิตคนไทย และการแข่งขันของร้านอาหาร เป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารมีแนวโน้มเติบโต

จากการที่ธุรกิจอาหารมีมูลค่าตลาดอยู่ในระดับสูงมาก จึงส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจบริการเกี่ยวกับอาหาร (Consumer Foodservice) มีมูลค่าตลาดสูงมากตามไปด้วย ทั้งนี้ สามารถจำแนกธุรกิจบริการเกี่ยวกับอาหารในประเทศไทยตามกลุ่มผู้ให้บริการได้เป็นสองกลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านอาหารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร (Independent Consumer Foodservice) และธุรกิจบริการด้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร (Chained Consumer Foodservice) ทั้งนี้ ผลการสำรวจของ Euromonitor International ได้ระบุว่า ในปี 2555 คนไทยมีค่าใช้จ่ายบริการด้านอาหารกับผู้ให้บริการทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร เฉลี่ย 7,481 บาทต่อคน ลดลงร้อยละ 3.3 จากปี 2550 ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายบริการด้านอาหารกับผู้ให้บริการที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร เฉลี่ย 2,431 บาทต่อคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.7 จากปี 2550 ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกใช้จ่ายบริการด้านอาหารของคนไทย ที่มีแนวโน้มเลือกใช้จ่ายกับผู้ให้บริการที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดธุรกิจบริการด้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารมีแนวโน้มเติบโต

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลในส่วนของธุรกิจแฟรนไชส์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในปี 2555 มีธุรกิจที่ผ่านการพัฒนาเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์รวม 419 ราย ในจำนวนนี้เป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มถึง 239 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 57 ของจำนวนธุรกิจที่ผ่านการพัฒนาเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์ทั้งหมด ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมในการขยายธุรกิจบริการเกี่ยวกับอาหารในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบผู้ให้บริการที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร เพื่อตอบโจทย์คนไทยที่นิยมเลือกใช้จ่ายบริการด้านอาหารกับผู้ให้บริการกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น

altศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2556 ภาพรวมของตลาดธุรกิจบริการเกี่ยวกับอาหารจะมีมูลค่าประมาณ 669,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมูลค่าตลาดธุรกิจบริการด้านอาหารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร 488,370 ล้านบาท และมูลค่าตลาดธุรกิจบริการด้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร 180,630 ล้านบาท โดยตลาดธุรกิจบริการด้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารยังคงมีสัดส่วนมูลค่าตลาดใกล้เคียงกับอดีต คิดเป็นประมาณร้อยละ 27 ของมูลค่าตลาดธุรกิจบริการเกี่ยวกับอาหารโดยรวม

ทั้งนี้ ความน่าสนใจอยู่ที่ร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร (Food Chain Restaurant) ที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทิศทางของธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 นี้ จะมีการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างคึกคัก เนื่องจากปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

 การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทย: ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงขนาดครอบครัวจากครอบครัวขยายไปสู่ครอบครัวขนาดเล็ก การอาศัยอยู่คนเดียวมากขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจจากกรุงเทพฯและจังหวัดที่เป็นหัวเมืองหลักไปสู่จังหวัดอื่นๆที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมของความเป็นเมืองมากขึ้น รวมถึงการใช้ชีวิตของผู้คนที่เร่งรีบและมีข้อจำกัดในด้านเวลา ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิถีชีวิตในด้านการรับประทานอาหาร ที่คนไทยนิยมเลือกรับประทานอาหารที่ร้านอาหารมากกว่าการปรุงอาหารเอง เนื่องจากมีความสะดวกสบายและรวดเร็ว ประกอบกับการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทตามนโยบายรัฐบาล ได้ส่งผลให้ประชาชนในประเทศกลุ่มใหญ่มีรายได้มากขึ้น จึงมีทางเลือกในการรับประทานอาหารที่ร้านอาหารมากขึ้น ในขณะที่ร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร มีจุดเด่นในด้านรสชาติอาหารและบริการที่มีมาตรฐาน ความสะอาดของอาหารและสถานที่ รวมถึงยังมีข้อได้เปรียบในด้านการตลาด จึงส่งผลให้ร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆในการเลือกรับประทานอาหารของคนไทย

qqqqq1

 การขยายสาขาร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร: การขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ได้นำมาซึ่งการขยายตัวของสาขาห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวได้มีการวางตำแหน่งการแข่งขันของสถานที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ สถานที่พักผ่อน หรือแหล่งจับจ่ายใช้สอย ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจสำหรับร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร ที่จะสามารถขยายสาขาตามห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ทั้งในรูปแบบการขยายการลงทุนเอง และการขายแฟรนไชส์ เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆได้มากขึ้น

 การเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่ที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารของต่างชาติ: ความนิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ของคนไทย ได้ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นแหล่งดึงดูดเครือข่ายธุรกิจอาหารที่เป็นของต่างชาติให้เข้ามาเปิดบริการร้านอาหารแข่งขันกับร้านอาหารที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ๆสำหรับคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครือข่ายธุรกิจอาหารจากประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่นอกจากการมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทยแล้ว ยังได้ใช้จุดแข็ง ทั้งในด้านชื่อเสียงของแบรนด์ ประสบการณ์ด้านการประกอบธุรกิจร้านอาหารในหลากหลายประเทศ และความพร้อมด้านเงินทุน มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทยควบคู่กันไป เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นแหล่งรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ นอกจากร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารของต่างชาติจะมีการเข้าสู่ตลาดประเทศไทยในรูปแบบการขยายการลงทุนเองแล้ว ยังมีการเข้าสู่ตลาดประเทศไทยในรูปแบบการขายแฟรนไชส์ ซึ่งสามารถขยายสาขาและสร้างการรับรู้ในแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การแข่งขันของผู้ให้บริการร้านอาหารยิ่งมีความคึกคักมากขึ้น

 การจัดโปรโมชั่นร่วมกับองค์กรพันธมิตร: โดยส่วนใหญ่แล้ว ร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารจะสร้างความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือกับสถาบันการเงินในการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ที่มีการสะสมแต้ม การให้ส่วนลด คืนเงิน หรือการผ่อนชำระโดยไม่เสียดอกเบี้ย การจัดโปรโมชั่นในรูปแบบดังกล่าว เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้คนไทยนิยมรับประทานอาหารในร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารยิ่งขึ้น

จากปัจจัยสนับสนุนทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทย การขยายสาขาร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร การเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่ที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารของต่างชาติ และการจัดโปรโมชั่นร่วมกับองค์กรพันธมิตร ได้ส่งผลให้มูลค่าตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารมีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2556 นี้ มูลค่าตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร จะมีมูลค่า 97,431 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 14 จากปี 2555 ที่มีมูลค่าตลาด 85,466 ล้านบาท โดยร้านอาหารประเภทไก่และเบอร์เกอร์, สุกี้และชาบู, และอาหารญี่ปุ่น ยังคงมีมูลค่าตลาดในสัดส่วนที่สูงในสามลำดับแรก คิดเป็นมูลค่าตลาดรวมกันประมาณร้อยละ 60 ของมูลค่าตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารโดยรวม
กระแสความนิยม และการตลาดของผู้ประกอบการ ดันร้านอาหารสัญชาติเอเชียเติบโตสูง

เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดร้านอาหารที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหาร ในปี 2556 พบว่า ประเภทร้านอาหารที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ย ได้แก่ ร้านอาหารไทย (เติบโตร้อยละ 15) ร้านสุกี้และชาบู (เติบโตร้อยละ 15) ร้านอาหารปิ้งย่าง (เติบโตร้อยละ 16) และร้านอาหารญี่ปุ่น (เติบโตร้อยละ 20) ซึ่งร้านอาหารดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นร้านอาหารสัญชาติเอเชีย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้ร้านอาหารสัญชาติเอเชียมีอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดสูงกว่าร้านอาหารประเภทอื่น มีดังนี้

 กระแสความนิยมรับประทานอาหารสัญชาติเอเชีย: ความนิยมในการรับประทานอาหารของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยในอดีต กระแสความนิยมรับประทานอาหารจากประเทศแถบตะวันตกเป็นที่แพร่หลาย แต่ปัจจุบัน คนไทยมีทางเลือกในการรับประทานอาหารที่หลากหลายมากขึ้นกว่าในอดีต โดยมีแนวโน้มความนิยมรับประทานอาหารสัญชาติเอเชียมากขึ้น เนื่องจาก อาหารสัญชาติเอเชียมีภาพลักษณ์ในการเป็นอาหารที่มีวิธีการปรุงอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งยังมีรสชาติกลมกล่อม อร่อยถูกปากคนไทย สามารถรับประทานร่วมกันได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ตลาดร้านอาหารสัญชาติเอเชียเติบโต

 กลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการ: ผู้ให้บริการร้านอาหารสัญชาติเอเชียที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารล้วนแต่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการประกอบธุรกิจ โดยใช้กลยุทธ์การขยายธุรกิจผ่านการขยายสาขาเพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างกว้างขวางและสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆได้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายแบรนด์ออกมาเป็นแบรนด์ย่อย เพื่อเจาะจงกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ครอบคลุมถึงวัยรุ่น วัยทำงาน และครอบครัว โดยมีการชูจุดแข็งที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็วในการให้บริการ ราคาที่เหมาะสม คุณภาพและความหลากหลายของอาหาร ซึ่งให้บริการอาหารทั้งในรูปแบบอาหารจานเดี่ยว (A La Carte) อาหารชุด และบุฟเฟต์ อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น การจัดโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิต การกำหนดช่วงเวลาในการลดราคา การมอบส่วนลดหรืออาหารพิเศษเมื่อรับประทานอาหารครบตามมูลค่าที่กำหนด การจัดเมนูอาหารพิเศษที่ใช้วัตถุดิบระดับ Premium เป็นต้น จึงส่งผลให้สามารถจูงใจคนไทยให้เลือกรับประทานอาหารที่ร้านอาหารสัญชาติเอเชียที่เป็นเครือข่ายธุรกิจอาหารได้

download

การทำ Succession Planning เชิงรุกเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาการขาดพนักงานในตำแหน่งสำคัญๆ ได้มาก เพราะบริษัทจะทำการประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าเป็นระยะๆ มีการสรรหา พัฒนา และตระเตรียมคนไว้ทดแทนอยู่ตลอดเวลา แทนที่จะรอพนักงานคนเก่งลาออกไปแล้วค่อยมาคิดหาคนทดแทน ซึ่งกว่าจะหาคนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงมาทดแทนได้ก็ยาก และบางทีก็ใช้เวลานาน
ผศ.ดร. ศิริยุพา รุ่งเริงสุข แห่งสถาบันฯ ศศินทร์ ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ปี 2550 นี้ เหล่า CEO ของบริษัทชั้นนำทั่วโลกล้วนมีความเห็นตรงกันว่า เป็นปีที่มีการแข่งขันในการหาลูกค้าและสร้างตลาดใหม่ๆ ทั่วโลกมากขึ้น องค์กรจึงต้องมีพนักงานที่มีความสามารถที่จะทำงานนอกประเทศในระดับนานาชาติได้ ดังนั้นในปีนี้ นอกจากเรื่องของการพัฒนาพนักงานจะเป็นเทรนด์ที่มาแรงแล้ว เรื่องของการวางแผนหาผู้สืบทอดตำแหน่ง (Succession Planning) ที่คาดว่าจะว่างลง โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญที่เรียกว่า Key Positions ซึ่งมักเป็นตำแหน่งที่มีอัตราเข้า-ออก (Turnover Rate) สูง จึงเป็นประเด็นด้าน HR ที่ผู้บริหารของบริษัทชั้นนำหันมาให้ความสนใจอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น และงาน HR ก็ต้องขยายขอบเขตมาวางแผนเรื่องการหาผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างแข็งขันมากขึ้นกว่าเดิม

ผู้เขียนจึงมีความสนใจเรื่องนี้ในแง่ของ critical issue ต่องาน HRD ที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆที่เรียนวิชา Strategic HRD ทุกคน

วัตถุประสงค์ของการวางแผนหาผู้สืบทอดตำแหน่ง สรุปได้ 5ประการ
ทำให้องค์กรมีการประเมินความพร้อมอยู่เสมอว่ามีกำลังคนที่มีคุณสมบัติ (Quality) และความสมารถ (Competency) อยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่
ทำให้ HR สามารถวางแผนสรรหาและคัดเลือกบุคลากรในเชิงรุกได้ดียิ่งขึ้น สามารถวางแผนหาคนได้ล่วงหน้าว่าจะไปหาจากแหล่งไหน หรือหากเป็นบุคลากรในสาขาที่หายากก็ต้องไปสืบเสาะจากประเทศอื่น
ทำให้รู้ว่าพนักงานในตำแหน่งใดกำลังเกษียณอายุ และพนักงานในตำแหน่งใดมีคุณสมบัติหายาก และเป็นที่หมายปองของคู่แข่ง
การทำ Succession Planning ยังสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือจูงใจพนักงานได้เป็นอย่างดี มีนโยบายส่งเสริมการเลื่อนขั้นพนักงานภายในทำให้พนักงานมีขวัญกำลังใจดีขึ้น
มีผลทางอ้อมทำให้พนักงานคนเก่งไม่กล้าเล่นตัวมากจนเกินไป มีการคาดการณ์ล่วงหน้าว่า พนักงานคนใดที่ดูเหมือนจะถูกซื้อตัวจากภายนอกได้ง่าย และ HR ก็ได้มีการสร้างคนทดแทนขึ้นเตรียมไว้แล้ว
ขั้นตอนการทำ Succession Planning

1. วิเคราะห์ว่าสถานการณ์การประกอบธุรกิจของบริษัท (นโยบาย ทิศทางไหน แผนการขยายตัวหรือลดขนาดบริษัท HR จะได้วิเคราะห์ประเมินอัตรากำลังคนที่ต้องการได้ถูกต้อง ทั้งปริมาณและคุณภาพ

2.ประเมินความพร้อมของกำลังคน ทั้งปริมาณและคุณสมบัติ เรื่องความพร้อมที่จะทำงานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องใช้กำลังคนในแง่จำนวน หรือในแง่คุณสมบัติ

3. กำหนดแผนสร้างความพร้อมของกำลังคน ทำให้ HR สามารถคาดการณ์ได้ว่าในแต่ละช่วง จะต้องพัฒนาพนักงานหรือสรรหาพนักงานเพื่อเตรียมทดแทนคนที่จะออกไปในกี่ตำแหน่ง

4. HR สามารถสร้างแผนสรรหาพนักงาน (Recruitment) และพัฒนาฝึกอบรมพนักงาน (Employee Training and Development) ไว้ได้ล่วงหน้า ก่อนที่พนักงานทั้งหลายจะเกษียณหรือออกจากตำแหน่งก่อนเวลา

5. กำหนดความสามารถ (Competencies) ซึ่งหมายถึง ความรู้ ทักษะ บุคลิกภาพ และทัศนคติที่พึงปรารถนาของพนักงานในตำแหน่งนั้นๆ

6. คัดเลือก ประเมินผลงาน และประเมินศักยภาพของพนักงานเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ในการที่จะพัฒนาให้สืบทอดตำแหน่งที่จะว่างต่อไป เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของพนักงานว่ามีความสามารถที่จะถูกพัฒนาไปในระดับใด เพื่อสืบทอดตำแหน่งที่ว่างต่อไปได้

7. การใช้เครื่องมือทดสอบและประเมินบุคลากรเพื่อวิเคราะห์ศักยภาพของพนักงาน ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่อาจลงทุนใช้ศูนย์ทดสอบและประเมินพนักงาน (Assessment Center) ส่วนบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กอาจใช้หลักการประเมินแบบ 360 องศา

8. ระบุตัวทายาทผู้สืบทอดตำแหน่ง จากการประเมินและวิเคราะห์ศักยภาพ ผลงาน ของพนักงาน ต้องมีการแจ้งให้พนักงานทราบ ล่วงหน้า เพื่อเตรียมรับมอบ เรียนรู้งานต่อไป

9. หาทายาทสำรองไว้ HR และผู้บริหารควรเตรียมทายาทไว้มากกว่า 1 คน ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีคุณสมบัติเท่าเทียมกับคนแรก แต่ขอให้ใกล้เคียงกัน เพราะทายาทก็อาจจะถูกซื้อตัวไปเสียก่อนก็ได้ และไม่ควรบอกให้ตัวเต็งอันดับ 2,3 ทราบ เพราะอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้

10. ทำการพัฒนาและประเมินพนักงานที่คาดว่าจะเป็นทายาท ว่าจะสามารถมีพัฒนาการ และสร้างผลงานตามที่คาดหวังได้จริงหากไม่เป็นตามคาดหมาย การเปลี่ยนตัวก็ทำได้และทันเวลา

50

Performance Management การบริหารผลการปฏิบัติงาน เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและการกระทำที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานตามเป้าหมายที่วางไว้

ปัญหาจากการประเมินผลการปฏิบัติงานที่เกิดจากผู้บังคับบัญชาประเมินไม่เป็นไปตามจริง ประเมินผู้ใต้บังคับบัญชาเท่าๆกัน เพื่อรักษาน้ำใจ หรือเพื่อใช้เป็นฐานรองรับอำนาจและบารมีของตัวเอง

การประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจ เพราะความไม่เข้าใจและยังไม่เห็นประโยชน์ที่ทำ

ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน การประเมินแบบ 360 องศา (360-Degree Feedback) เป็นอีกวิธีหนึ่งในการประเมินผลการทำงานซึ่งใช้ผลจากหลายๆแหล่งประกอบเข้าด้วยกัน การประเมิน 360 องศา เป็นกระบวนการของประเมินประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ของผู้ที่ทำการประเมินจากหลายๆแหล่งโดยนำคนจากรอบๆ ตัวเรามาทั้งหมด เช่น หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และตัวเรา ตลอดจนแม้กระทั่งลูกค้าที่ติดต่อเป็นประจำกับพนักงานผู้นั้น

การประเมินเช่นนี้เพื่อหวังผล 2 อย่าง กล่าวคือ

• การตื่นตัวของพนักงาน ซึ่งจะทราบถึงการเข้าใจตนเอง และเห็นว่าผู้อื่นเข้าใจเราอย่างไร เป็นผลให้มีการตื่นตัวของพนักงาน

• การเพิ่มศักยภาพในการรับรู้ เป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผู้จัดการ ซึ่งยังผลให้เป็นรากฐานของกระบวนการจัดการ และภาวะความเป็นผู้นำ

แหล่งของข้อมูลการประเมิน

1. แบบ 1 องศา คือ การประเมินจากผู้บริหาร หรือการประเมินตนเอง ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึง การให้คะแนนเกินความเป็นจริง เนื่องจาการเข้าข้างตนเอง และเนื่องจากความไม่ชัดเจน ความเป็นปรปักษ์ เช่น เพศ ช่องว่างระหว่างอายุ ฯลฯ

2. แบบ 90 องศา คือ การประเมินจากด้านข้าง (ระดับเดียวกัน) จากเพื่อนร่วมงาน

3. แบบ 180 องศา คือ การประเมินจากล่างขึ้นบน (จากผู้ใต้บังคับบัญชา)

4. แบบ 360 องศา คือ 1+2+3

กระบวนการประเมินผลงานแบบ 360 องศา สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ขั้นตอน

1. การวางแผน (Planning)

2. การทดลองนำร่องเพื่อพัฒนาระบบ (Piloting)

3. การนำแผนมาปฏิบัติ (Implementation)

4. ข้อมูลป้อนกลับจากผลการปฏิบัติงาน (Feedback)

5. การทบทวน/ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง (Review)

วัตถุประสงค์ของการประเมินแบบ 360 องศา

1) เพื่อการพัฒนา

2) เพื่อการตัดสินใจเชิงบุคลากร

3) เพื่อการตัดสินใจเชิงบุคลากรร่วมกัน

ประโยชน์ประเมิน 360 องศา

1. ทำให้ได้ทัศนะที่หลากหลายในการประเมินบุคคลมากยิ่งขึ้น และถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ ทั้งยังเป็นการชี้ให้เห็นจุดบกพร่อง และการระบุจุดเด่นของตนอีกด้วย

2. ประโยชน์ต่อการปรับปรุงภาวะผู้นำของผู้รับการประเมินและพร้อมทั้งการปรับปรุงระดับความพึงพอใจของผู้ได้รับข้อมูลย้อนกลับ

3. การสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างพนักงานที่ร่วมกิจกรรมในการประเมิน และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับผู้บังคับบัญชาอีกด้วย ทำให้มีการสื่อสารที่ดี มีความเชื่อมั่นระหว่างกัน เกิดความร่วมแรงร่วมใจกัน ทั้งยังสร้างจิตสำนึกในการมองประโยชน์ส่วนรวมร่วมกันมากขึ้น

อุปสรรคและปัญหา

1) ปัญหาการให้คะแนนสูงเกินจริงหรือการกดคะแนน /การ “ฮั้ว” กันในการให้คะแนน

2) อคติที่เกิดจากการประเมิน ไม่ว่าจะเป็นอคติ ทางเพศ หรือแม้แต่อคติด้านอายุ ซึ่งปัญหาดังกล่าว อาจลุกลามไปถึงขั้นเกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันในองค์การ และเกิดการต่อต้านจากผู้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการให้ข้อมูลย้อนกลับ

3) ปัญหาเรื่องการเก็บรักษาความลับในการประเมิน

4) ใช้เวลาดำเนินการมากในการเก็บและการวิเคราะห์ข้อมูล จนบางครั้งถูกมองเป็นการเพิ่มภาระงานนอกเหนือจากงานประจำ

5) ความไม่ชัดเจนของนโยบายผู้บริหารระดับสูง

6) การไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย ระบบอุปถัมภ์ การนับถือผู้อาวุโส การรักพวกพ้อง การใช้ระบบพระคุณ และประเพณีปฏิบัติแบบดั้งเดิม สะท้อนให้เห็นในรูปแบบการให้คะแนนไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือออกมาในรูปแบบของการ “ฮั้ว” คะแนนกัน

7) การขาดการสื่อสารทำความเข้าใจและการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่พนักงาน ซึ่งส่งผลให้พนักงานมีทัศนคติในแง่ลบต่อระบบ

ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการใช้ระบบประเมิน 360 องศา

1) ระยะแรกเริ่ม องค์การควรใช้การประเมิน 360 องศา สำหรับการพัฒนาก่อน

2) พยายามสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกระบวนการประเมิน การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง และกลยุทธ์ขององค์การ

3) ให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนในการประเมิน 360 องศา ควรเริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกผู้ประเมินที่อาจให้ผู้รับการประเมินมีส่วนในการคัดเลือกผู้ประเมิน การเตรียมการฝึกอบรมล่วงหน้า ซึ่งรวมถึง การกำหนดตัวผู้รับผิดชอบพร้อมทั้งบทบาทในการขับเคลื่อนกระบวนการ

4) การสนับสนุนและความเอาใจใส่ของผู้บริหาร ผู้บริหารระดับสูงจะต้องเข้าใจในธรรมชาติและความต้องการที่แท้จริง

5) ใช้ประโยชน์จากการสอนงานภายใน เพื่อสนับสนุนกระบวนการประเมิน ระดับความพึงพอใจของผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งถูกประเมินจะสูงขึ้น หากหัวหน้างานมีการสอนแนะงานให้แก่ผู้ถูกประเมิน

6) ประเมินความคุ้มค่าและพิจารณาแนวโน้มเพื่อสร้างคุณค่าให้เพิ่มมากขึ้น การติดตามประเมินผลความสำเร็จภายหลังจากการประยุกต์ใช้

อุปสรรคที่จะขวางกั้นทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ หนึ่งในปัญหานั้น ก็คือ การขาดการติดตามผลการดำเนินการ การขาดนโยบายที่ต่อเนื่อง และชัดเจน รวมถึง การขาดแคลนทรัพยากรที่จะเอื้อต่อการประยุกต์ใช้ระบบให้ประสบความสำเร็จ

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism)

867-large-03-26

บุญเลิศ จิตตั้งวัฒนา (2542) ได้ให้ความหมายการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustainable Tourism) ว่าหมายถึงการท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็กที่มีการจัดการอย่างดีเยี่ยม เพราะสามารถดำรงไว้ซึ่งทรัพยากรท่องเที่ยวให้มีความดึงดูดใจอย่างไม่เสื่อมคลาย และธุรกิจท่องเที่ยวมีการปรับปรุง คุณภาพให้ได้ผลกำไรอย่างเป็นธรรม โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือนสม่ำเสมออย่างเพียงพอ แต่มีผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดอย่างยืนยาว

1. ลักษณะการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน มีลักษณะสำคัญอยู่ 6 ประการดังนี้ คือ

1.1 เป็นการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวทุกประเภท ทุกแห่ง

1.2 เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นคุณค่าและความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแหล่งท่องเที่ยว

1.3 เป็นการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อทรัพยากรการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม

1.4 เป็นการท่องเที่ยวที่ให้นักท่องเที่ยวได้รับความรู้และประสบการณ์เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและวัฒนธรรม

1.5 เป็นการท่องเที่ยวที่ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยืนยาว

1.6 เป็นการท่องเที่ยวที่ให้ผลประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่น และคืนผลประโยชน์กลับสู่ทรัพยากรท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น

2. หลักการการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน มีหลักการดังนี้ (อุษาวดี พูลพิพัฒน์, 2545)

2.1 การอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรอย่างพอดี (Using Resource Sustainable ) ทั้งในส่วนที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญและเน้นการทำธุรกิจในระยะยาว

2.2 การลดการบริโภคที่เกินความจำเป็นและการลดของเสีย (Reducing Over-consumption and Waste) จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำนุบำรุงสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายในระยะยาว และเป็นการเพิ่มคุณภาพของการท่องเที่ยวด้วย

2.3 การรักษาและส่งเสริมความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ (Maintaining Diversity ) สังคม และวัฒนธรรม จะช่วยขยายฐานของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต

2.4 การประสานการพัฒนาการท่องเที่ยว (Integrating Tourism into Planning) เข้ากับกรอบแผนกลยุทธ์การพัฒนาแห่งชาติ การพัฒนาท้องถิ่น และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะช่วยขยายศักยภาพการท่องเที่ยว

2.5 การท่องเที่ยวที่รองรับกิจกรรมในท้องถิ่น (Supporting Local Economic) โดยคำนึงถึงราคาและพัฒนาคุณค่าของสิ่งแวดล้อมไว้ ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการประหยัด แต่ยังป้องกันสิ่งแวดล้อมไม่ให้ถูกทำลายอีกด้วย

2.6 เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น (Involving Local Communities) ในด้านการจัดการผลตอบแทนของประชาชน และสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและการจัดการการท่องเที่ยว

2.7 การประสานความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ ประชาชนท้องถิ่น องค์กรและสถาบันที่เกี่ยวข้อง (Consulting Stakeholders and the Public) เพื่อลดข้อขัดแย้งและร่วมแก้ปัญหา

2.8 เป็นการฝึกอบรมบุคลากร (Training Staff ) โดยสอดแทรกแนวคิดและวิธีปฏิบัติในการพัฒนาแบบยั่งยืนแก่บุคลากรท้องถิ่นทุกๆระดับ เพื่อยกระดับการบริการการท่องเที่ยว

2.9 ข้อมูลข่าวสารที่สื่อให้กับนักท่องเที่ยว โดยมุ่งสร้างความเข้าใจในการเคารพต่อธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรมที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว (Marketing Tourism Responsibly) อีกทั้งเป็นการช่วยยกระดับความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

2.10 การวิจัยและติดตามผล (Undertaking Research) เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อนำไปสู่แนวทางการแก้ไขที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

3. ลักษณะของการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ (อุษาวดี พูลพิพัฒน์ผล, 2545)

3.1 เป็นการท่องเที่ยวที่มีความต่อเนื่อง (Continuity) หมายถึง ความต่อเนื่องของทรัพยากรธรรมชาติ และความต่อเนื่องของวัฒนธรรมซึ่งจัดเป็นทรัพยากรหลักในการท่องเที่ยว และสามารถมอบประสบการณ์นันทนาการที่ดีให้แก่นักท่องเที่ยว

3.2 เป็นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ (Quality) หมายถึงการเน้นคุณภาพของสามส่วนหลัก คือ คุณภาพของสิ่งแวดล้อม คุณภาพของประสบการณ์ นันทนาการที่นักท่องเที่ยวได้รับ และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน

3.3 เป็นการท่องเที่ยวที่มีความสมดุล (Balance) หมายถึงความสมดุลระหว่างความต้องการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ความต้องการของชุมชนท้องถิ่นและขีดความสามารถของทรัพยากร

01star-lunar-hotel01

การดำเนินธุรกิจโรงแรมมีรูปแบบวิธีการที่หลากหลายที่เจ้าของธุรกิจสามารถเลือกใช้กับธุรกิจของตนเองตามความเหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์และทรัพยากรในการดำเนินธุรกิจของผู้เป็นเจ้าของธุรกิจเองว่าจะเลือกใช้วิธีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใด

รูปแบบของการดำเนินธุรกิจโรงแรมที่แตกต่างกันไปนั้นจะเกี่ยวข้องกับการเข้ามามีบทบาทหรือเข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการธุรกิจว่ามีมากน้อยเพียงใด ดังต่อไปนี้
1. Independent Hotel เป็นการดำเนินธุรกิจและบริหารโรงแรมด้วยตนเอง แต่อาจจะมีการว่าจ้างทีมงานที่ปรึกษาเข้ามาช่วยให้คำแนะนำคำปรึกษาในการจัดระบบการบริหารจัดการในการดำเนินธุรกิจในช่วงเริ่มต้น หรือว่าจ้างผู้บริหารที่มีความรู้และประสบการณ์เข้ามาทำงานประจำกับโรงแรมก็ได้
2. Alliance Hotel เป็นการดำเนินธุรกิจและบริหารโรงแรมด้วยตนเอง แต่มีการรวมกลุ่มกับโรงแรมอื่นๆ ในลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อการแบ่งปันข้อมูล ข่าวสาร เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจระหว่างพันธมิตรด้วยกัน และทำกิจกรรมบางประการร่วมกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมทางด้านการตลาดเพื่อสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพในการแข่งขัน จะไม่มีบทบาทต่อการบริหารงานของพันธมิตรแต่อาจจะมีเกณฑ์ข้อกำหนดในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร
3. Affiliate Hotel เป็นการดำเนินธุรกิจและบริหารโรงแรมด้วยตนเอง แต่มีการเข้าร่วมกับองค์กรภายนอกที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการตลาดโรงแรมเพื่อประโยชน์ในด้านสร้างเครือข่าย เพิ่มช่องทางการตลาดและการขายให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น แต่องค์กรภายนอกเหล่านี้จะไม่เข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการโรงแรม แต่อาจจะมีส่วนในการประเมินผล จัดอันดับหรือจัดกลุ่มมาตรฐานโรงแรมตามองค์กรเหล่านี้กำหนด
4. Franchise Hotel เป็นการบริหารโรงแรมด้วยตนเอง แต่ซื้อสิทธิ์ในการใช้ชื่อของแบรด์โรงแรมที่มีชื่อเสียงมาใช้เพื่อให้ได้รับการยอมรับ แต่โรงแรมต้องบริหารจัดการโรงแรมให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่เครือโรงแรมที่ให้ใช้สิทธิ์ได้กำหนดไว้เป็นมาตรฐานใช้กับทุกโรงแรมในเครือ และโรงแรมจะได้รับการสนับสนุนทางด้านเทคโนโลยี การตลาดและการขายจากเครือโรงแรม และจะได้รับคำแนะนำ หรือการอบรม เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจและบริหารกิจการโรงแรมให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วย
5. Chain Hotel เป็นการดำเนินธุรกิจโดยการว่าจ้างทีมงานของเครือโรงแรมที่มีชื่อเสียงมาบริหารและใช้ชื่อแบรนด์ของเครือโรงแรมที่มีชื่อเสียงในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งมีทั้งในลักษณะของ Management Contract, Profit Sharing หรือการร่วมทุนในการดำเนินธุรกิจ ที่ทางโรงแรมจะต้องเสียค่าจ้างให้แก่ทีมงานผู้บริหารตามที่ได้ตกลงไว้กับทางเจ้าของเครือโรงแรม และต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้แก่เครือโรงแรมสำหรับเป็นค่าธรรมเนียมการใช้ชื่อโรงแรมในการดำเนินธุรกิจ หรือส่วนแบ่งกำไรตามที่ได้ตกลงผลประโยชน์กันไว้ การดำเนินธุรกิจในรูปแบบนี้จะบริหารจัดการโดยทีมผู้บริหารที่ส่งมาจากเครือโรงแรมที่เข้าร่วมทั้งหมด

การดำเนินธุรกิจโรงแรมไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใดที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตนเองทั้งสิ้น และไม่สามารถรับประกันได้ว่าการดำเนินธุรกิจรูปแบบใดจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แม้ว่าการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดียวกันจะประสบความสำเร็จมาแล้วจากที่อื่น หรือจากโรงแรมอื่นก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพและปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่แตกต่างกันไปนั่นเอง ซึ่งเจ้าของธุรกิจจะต้องวิเคราะห์และประเมินความเสียงในด้านต่างๆ ด้วยตนเอง

bo-and-dylan
Bo and Dylan
o ร้านอาหารน้ำติดอันดับที่ 3 และดวงพร ทรงวิศวะ เชฟไทยจากร้านอาหารโบ.ลานได้รับเลือกให้เป็นเชฟสตรีที่ดีที่สุดในเอเชีย

Image
ร้านอาหารโบ.ลาน

นิตยสาร เรสเตอร์รอง แมกกาซีน ทำการจัดอันดับ 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก โดยมีร้านน้ำ (Nahm) บนโรงแรม เมโทรโพลิแทน ( Metropolitan) ถนนสาทรใต้ เป็นร้านอาหารไทยแห่งเดียวที่ติดโผนี้ด้วย

ร้าน Nahm เป็นร้านอาหารไทยที่มีสาขาแรกตั้งในกรุงลอนดอน ของอังกฤษ ซึ่งเคยได้รับรางวัลรับรองมาตรฐาน 1 ดาว จากมิชลิน เจ้าของเป็นเชฟชาวออสเตรเลีย ชื่อ David Thompson

ส่วนอันดับที่ 1เป็นของแชมป์ 3 ปีซ้อนอย่างร้าน Noma restaurant จากกรุงโคเปนเฮเก้น ของประเทศเดนมาร์ก

ในการจัดอันดับจะมีผู้เชี่ยวชาญและนักชิมจากทั่วโลกทั้งหมด 800คน แต่ละคนโหวตได้ 7 ร้าน เป็นร้านอาหารในภูมิภาคของตน 4 ร้าน และเป็นร้านนอกภูมิภาคอีก 3ร้าน แต่ห้ามเป็นร้านของตัวเองหรือเป็นผู้มีผลประโยน์ร่วม

สำหรับ 50 อันดับ ร้านอาหารที่ดีที่สุดประจำปี 2012 มีดังนี้

50. Nahm, Bangkok
49. Geranium, Copenhagen
48. Manresa, California
47. Bras, France
46. Il Canto, Italy
45. Villa Joya, Portugal
44. Amber, China
43. The French Laundry, California
42. Hof Van Cleve, Amsterdam
41. Mathias Dahlgren, Sweden
40. Quique Dacosta, Spain
39. Waku Ghin, Singapore
38. Biko, Mexico
37. Momofuku Ssam Bar, New York
36. Pujol, Mexico
35. Astrid Y Gaston, Peru
34. Faviken, Sweden
33. De Librije, Netherlands
32. Le Calandre, Italy
31. Asador Etxebarri, Spain
30. Schloss Schauenstein, Switzerland
29. Quay, Sydney, Australia
28. Nihonryori RyuGin, Japan
27. Narisawa, Tokyo, Japan
26. Iggy’s, Singapore: Best Restaurant In Asia
25. Daniel, New York
24. Mirazur, France
23.Vendome, Germany
22. Aqua, Germany
21. Oud Sluis, Netherlands
20. Frantzén/Lindeberg, Sweden
19. Le Bernardin, New York, New York
18. L’Astrance, France
17. Pierre Gagnaire, France
16. L’Arpege, France
15. Le Chateaubriand, France
14. The Ledbury, United Kingdom: Highest Climber
13. The Fat Duck, United Kingdom
12. L’Atelier De Joel Robuchon, France
11. Steirereck, Austria
10. Eleven Madison Park: New York, New York
9. Dinner By Heston Blumenthal
8. Arzak: San Sebastian, Spain
7. Alinea: Chicago, Illinois
6. Per Se: New York, New York
5. Osteria Francescana: Modena, Italy
4. D.O.M.: Sao Paolo, Brazil
3. Mugaritz: Errenteria, Spain
2. El Celler De Can Roca: Gerona, Spain
1. Noma, Copenhagen, Denmark

งาน 50 อันดับ ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย ซึ่งได้รับการอุปถัมภ์โดยซาน เพลเลกริโนกับอาคัว พานนา และจัดรายการโดยบริษัทวิลเลียม รีด บีซีเนส มีเดีย วันนี้ได้ประกาศให้ร้านอาหารน้ำของเชฟเดวิด ทอมป์สันได้รับรางวัลของซาน เพลเลกริโนในฐานะร้านอาหารที่ดีที่สุดในประเทศไทย ร้านอาหารน้ำยังได้เข้าอยู่ในลำดับสูงสุดในรายนาม 50 อันดับ ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย คือติดอันดับที่ 3

การประกาศผลรางวัลให้ประเทศไทยนี้เป็นการประกาศเกียรติคุณว่าอาหารไทยนับวันยิ่งเป็นที่ชื่นชอบ ซึ่งประจักษ์ชัดขึ้นอีกโดยเห็นได้จากความสำเร็จของคุณดวงพรหรือคุณ “โบ” ทรงวิศวะ ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้รับรางวัลของ Veuve Clicquot ในฐานะเชฟสตรีที่ดีที่สุดในเอเชีย

จากรายนาม 50 อันดับ ร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย ร้านอาหารน้ำติดอันดับที่ 3 และร้านอาหาร โบ.ลานของคุณดวงพร ทรงวิศวะติดอันดับที่ 36 โดยติดอันดับมาด้วยกับกลุ่มที่มีลักษณะทำนองเดียวกันได้แก่ ร้านกากกันหรือ Gaggan (อันดับที่ 10) ร้าน Eat Me (อันดับที่ 19) และร้านสระบัว บาย กินกิน (อันดับที่ 29)

nahm-bangkok-interior1
ร้านอาหารน้ำ

สำหรับร้านอาหารน้ำ เชฟทอมป์สันใช้สูตรอาหารที่รื้อฟื้นมาจากตำราอาหารเก่าแก่ของคุณหญิงสมัยก่อน หลายสูตรไม่เป็นที่พบเห็นมานานหลายปีดีดัก ดังเช่นหอยแมลงภู่ปิ้งย่างแบบชาวใต้ รมควันจากกะลามะพร้าก่อนแล้วจึงนำมาแกงในหัวกะทิที่ได้ผัดกับเครื่องแกงจนหอมแล้ว อาหารทุกอย่างที่เขาปรุงล้วนแล้วแต่มีรสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ดกลมกล่อมกันดีเหมือนของแท้ตรง ตามที่สืบทอดกันมาในตำรับอาหารไทย

คุณดวงพร ทรงวิศวะ เจ้าของร้านโบ.ลาน อันเป็นร้านอาหารไทยที่กรุงเทพฯ ที่มีชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลก ได้รับการประกาศเกียรติคุณให้เป็นผู้รับรางวัลของ Veuve Clicquot ในฐานะเชฟสตรีที่ดีที่สุดในเอเชีย ซึ่งจัดเธอให้อยู่ในฐานะผู้นำคนหนึ่งในเรื่องอาหารไทย คุณดวงพร ทรงวิศวะและสามีคือเชฟดิลาน โจนส์ ร่วมกันเปิดร้านโบ.ลานในปี 2009 ทีมงานโบ.ลานก่อตัวขึ้นด้วยความเชื่อที่ยึดพิธีรีตองการปรุงอาหารแบบไทยที่ใช้กันตลอดมาในประวัติศาสตร์การปรุงอาหารไทย โดยทำตามปรัชญาการเตรียมอาหารที่อาศัยเวลาและไม่เร่งรีบ จะใช้เครื่องปรุงที่สด ตามฤดูกาล ที่ปลูกและหามาจากท้องถิ่นเอง เพื่อให้ได้อาหารจานขนานแท้

Image
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ชูระบบคุณภาพ GMP in Mass Catering ขับเคลื่อนภาคธุรกิจบริการอาหาร เน้นพัฒนาธุรกิจอาหารไทยและผู้ปรุงอาหารไทยให้ปลอดภัยได้มาตรฐานสากล ปี 55 รับรองระบบให้ร้านอาหารไปแล้ว 22 แห่ง ปีนี้เตรียมรับสมัครร้านอาหารไทยกลุ่มเอสเอ็มอีอีก 40 แห่ง

นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในงานสัมมนา “เตรียมความพร้อมธุรกิจบริการ : ครัวโรงพยาบาล ครัวโรงแรม ครัวโรงเรียน และร้านอาหาร เข้าสู่ระบบคุณภาพ GMP in Mass Catering” ว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นส่งเสริม “ครัวไทยสู่ครัวโลก” หรือ “ให้ไทยเป็นครัวของโลก” นั้น เป้าหมายสำคัญประการหนึ่ง คือ การทำให้อาหารไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในเรื่องของความปลอดภัย และเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานได้รับการยอมรับ และความเชื่อถือในตลาดโลก ในปีที่ผ่านมาได้มอบหมายให้สถาบันอาหารดำเนิน โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เป็นครัวอาหารคุณภาพของโลก (Thailand Food Quality For The World) ซึ่งกิจกรรมของโครงการมุ่งเน้นในเรื่องการยกระดับมาตรฐานการผลิตของผู้ประกอบการให้ได้มาตรฐาน สากลในเรื่องของความปลอดภัย และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันยังสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมบริการอาหาร ซึ่งเป็นภาคการบริการที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ครัวร้านอาหาร ครัวโรงแรม ครัวโรงพยาบาล ครัว โรงเรียน และครัวในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ให้มีมาตรฐานความปลอดภัยมากที่สุด

“ระบบคุณภาพ GMP ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถ้าเป็น GMP ในธุรกิจ Catering ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย โดยสถาบันอาหารได้นำมาตรฐานสากลจาก Codex หรือคณะกรรมการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ มาประยุกต์ร่วมกับข้อกำหนดสุขาภิบาลโรงอาหาร ข้อกำหนดสุขาภิบาลอาหารสำหรับโรงครัวของโรงพยาบาล ของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งหลักเกณฑ์ GMP กฎหมายไทย ให้มีความสอดคล้องและสามารถนำมาใช้ได้จริงสำหรับธุรกิจบริการอาหารในประเทศไทย โดยได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งนับว่ามีความจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจบริการเป็นอย่างยิ่ง” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว

สำหรับในปี 2556 นี้ สถาบันอาหารมีความพร้อมในการมุ่งพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยโดยใช้ระบบคุณภาพ GMP in Mass Catering เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญให้กับภาคธุรกิจบริการอาหาร นอกเหนือไปจากภาคอุตสาหกรรมอาหารที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็เพื่อกระตุ้นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ตื่นตัวและเห็นคุณค่าของการผลิตและให้บริการอาหารสำหรับคนหมู่มากที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล

news_img_351342_1

นับตั้งแต่พม่าเปิดประเทศและอานิสงส์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจพม่าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในพม่ามากขึ้น ในบรรดาธุรกิจที่มีศักยภาพการลงทุนในพม่า ธุรกิจท่องเที่ยวนับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน

ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของภาคการท่องเที่ยวของพม่าอย่างแท้จริง ปี 2551 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 193,000 คน เพิ่มขึ้นเป็น 391,000 คนในปี 2554 เฉลี่ยร้อยละ 26.5 ต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2552-2554 และในปี 2555 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเยือนพม่ากว่า 1 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 534 ล้านดอลลาร์ (ราว 16,020 ล้านบาท)เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 67

นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าพม่า ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชีย ได้แก่ จีน ไทย มาเลเซีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งมีประมาณร้อยละ 66.4 โดยผ่านด่านที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และพุกาม มีระยะเวลาเฉลี่ยของการเข้าพักคือ 11 วันและมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ทั้งนี้ไม่รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ข้ามชายแดนการที่พม่าปิดประเทศมานาน ส่งผลให้พม่าเป็นประเทศที่มีความโดดเด่น ในเรื่องการมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมในเชิงพุทธศาสนา ปัจจัยบวกที่สนับสนุนความน่าลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวพม่านั้น มีหลายประการ เป็นต้นว่า รัฐบาลพม่ามีนโยบายเพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว อาทิ การสนับสนุนแพ็คเกจทัวร์ในหลายเมืองของประเทศในราคาประหยัดการให้บริการขอวีซ่าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต(E-Visa) การเร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่การเปิดสายการบินและเส้นทางบินใหม่

รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวให้ได้ร้อยละ 7 ต่อปี ดังนั้นจึงเร่งการพัฒนาบุคลากร สถานที่ท่องเที่ยว ระบบคมนาคมขนส่ง และการโรงแรมเมืองที่น่าลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น ย่างกุ้ง หงสาวดี พุกาม มัณฑะเลย์ ทะเลสาปอินเล สามเหลี่ยมทองคำ เมาะละแหม่งเมืองตากอากาศชายทะเล เกาะสองแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และส่งเสริมสุขภาพ เมืองตานต่วยที่มีหาดงาปาลีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ เมืองพีนอูหวิ่นเมืองตากอากาศในอดีตของชาวอังกฤษ มีสภาพอากาศที่ดีคล้ายยุโรป

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญคือจำนวนโรงแรมและที่พัก เนื่องจากในช่วงปี 2556-2558 นี้พม่าจะเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสุดยอดอาเซียน การแข่งขันซีเกมส์และการประชุมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ คาดว่าความต้องการที่พักจะสูงขึ้น จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนโรงแรมที่พักให้เพียงพอต่อความต้องการและรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในเดือนพ.ย.ไปจนถึงมี.ค.ปีถัดไปห้องพักในโรงแรมที่ได้มาตรฐานไม่เพียงพอต่อความต้องการ

จากข้อมูลของทางการพม่าระบุว่า ปัจจุบันพม่ามีโรงแรมที่ต่างชาติลงทุนมากกว่า 36 แห่งซึ่งบางส่วนกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง มีห้องพักทั้งสิ้น 28,291 ห้อง ในจำนวนนี้8,000 ห้องอยู่ในนครย่างกุ้ง ซึ่งได้มาตรฐานสากลเพียง 1 ใน 4 โดยเขตโรงแรมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในกรุงเนปิดอว์ ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ พะโค ยะไข่ เมาะละแหม่ง พุกาม ตองยี ชองตา สามเหลี่ยมทองค า และเงวซอง ซึ่งทางการพม่าวางแผนที่จะเพิ่มจำนวนเขตโรงแรมที่พักและร่วมพัฒนาโครงการโรงแรมให้ได้มาตรฐานสากลกับบริษัทต่างชาติพม่านั้นยังขาดโรงแรมที่มีคุณภาพดีและให้บริการครบวงจร เช่น สปา ฟิตเนส และร้านขายสินค้าที่ระลึก เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนไทยมีความชำนาญอยู่แล้ว

จากจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของพม่ามีแนวโน้มที่สดใสและนับว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจของธุรกิจท่องเที่ยวไทยและบริการที่เกี่ยวเนื่อง ที่จะไปลงทุนในพม่าในช่วงเวลาภายใน 3 ปีนี้แม้โอกาสทางธุรกิจในพม่ายังมีอยู่มาก แต่ปัจจุบันยังมีข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุนน้อย ต้นทุนในการลงทุนที่สูง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม ในอีก 3 ปีข้างหน้าทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี หากไม่เข้าไปลงทุนในช่วงเวลานี้ ต่อไปอาจจะต้องเจอคู่แข่งที่น่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา : จิราวดี รัตนไพฑูรย์ชัย สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD