Monthly Archives: January 2014

 

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา
นายวรสิทธิ์ อิสระ เจ้าของเว็บไซต์ Guruwan.com

เมื่อด้านงานอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เร้าใจ เท่าการลงมือขายของออนไลน์ที่ทายาทตระกูล “อิสระ” เจ้าของโรงแรมชื่อดังเมืองภูเก็ต ‘ศรีพันวา’ ที่เขามองว่าเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ชเป็นธุรกิจแห่งโลกอนาคต ทุกคนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้ เขาตัดสินใจกระโดดลงมาเล่นกับธุรกิจเอสเอ็มอี เปิดเว็บ “guruwan.com” ขายสินค้าคุณภาพดี มีดีไซน์ไม่ซ้ำ โดยฝีมือคนไทยล้วนๆ

นายวรสิทธิ์ อิสระ หรือที่รู้จักกันในนามของ “ปลาวาฬ อิสระ” แห่งศรีพันวา ที่นอกจากจะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูในจังหวัดภูเก็ต และติดอันดับ 3 ของรีสอร์ทที่หรูหราที่สุดในประเทศไทย เขายังสนใจเทรนด์ธุรกิจออนไลน์ นำสินค้าไทยเกรดพรีเมียม ขายผ่านเว็บให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์คุณค่าสินค้าไทย

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

www.guruwan.com กำเนิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และได้รับการตอบดีจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย รงมถึงผู้ซื้อทั้งในและต่างชาติเรื่อยมา ทำให้ขณะนี้เขามีสินค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์แล้วกว่า 2,800 ชิ้น จาก 200 บริษัท แต่ไอเดียธุรกิจนี้ ไม่ได้เกิดมาจากความอยากลองธุรกิจทำด้านนี้เพียงอย่างเดียว แต่คุณปลาวาฬ มีการศึกษาตัวเลขอัตราการเติบโตในธุรกิจออนไลน์ และพฤติกรรมของคนทั่วโลกเกี่ยวกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

เขาเริ่มปิ๊งไอเดียธุรกิจจากกระแสมือถือแบล็คเบอร์รี่ (Blackberry) ฮิตติดลมบน และเป็นช่วงเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนที่เข้ามาบทบาทในชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแห่งอนาคตที่ต่อไปทุกคนจะเข้าสู่วงจรนี้อย่างแน่นอน รวมถึงเมื่อสังเกตจากการจองห้องพักที่ศรีพันวา พบว่ากว่า 40% ลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลกจองผ่านออนไลน์ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของเขาให้มุ่งสู่โลกธุรกิจออนไลน์ยิ่งขึ้น

แต่จะทำอย่างไรให้เว็บขายของออนไลน์น้องใหม่ในวงการอย่าง guruwan ไม่ซ้ำใคร รวมถึงรูปแบบการซื้อขายสินค้าต้องสะดวกทั้งผู้ประกอบการ เจ้าของเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลาง และลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก บังเอิญเขาได้มีโอกาสไปงาน BIH&BIH (งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน) ก็เกิดไอเดียที่จะนำสินค้าเหล่านี้มาขายบนเว็บ เพราะต้องการโชว์ศักยภาพสินค้าไทยที่มีคุณภาพ แถมยังได้รับการออกแบบที่ทันสมัยไม่แพ้สินค้าต่างชาติ

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

“ผมมีโอกาสไปเดินดูสินค้าที่งาน BIG ก็พบว่าสินค้าของไทยสวยๆ เยอะ แถมยังมีคุณภาพ ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ส่งออกระดับแนวหน้า ผมจึงอยากคัดเลือกสินค้าเหล่านี้มาขายผ่านเว็บไซต์ โดยเบื้องต้นผมติดต่อกับผู้ประกอบการเอง โดยเสนอเงื่อนไขการเป็นคู่ค้าร่วมกัน แต่ผู้ประกอบการไม่ต้องนำสินค้ามาให้กับ guruwan แต่เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ ก็จะแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบ เพื่อส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเอง ทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกดีเพราะได้แพคสินค้าเองกับมือ ถือเป็นการทำธุรกิจที่ทุกฝ่ายพอใจ และช่วงหลังๆ ก็มีเอสเอ็มอีเข้ามาติดต่อค้าขายกับเราโดยตรง”

แล้วเว็บ guruwan จะได้อะไร…

เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ เพราะดูเหมือน guruwan จะเป็นเพียงสื่อกลางและหน้าร้านให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คุณปลาวาฬ บอกว่า เขาจะมีรายได้ประมาณ 20% จากการขายสินค้าแต่ละชิ้น ในฐานะที่สร้างเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือและลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจ โดยที่ผ่านมาไม่น่าเชื่อว่าสินค้าประเภทเครื่องประดับ จิวเวอรี่ เป็นสินค้าขายดีในเว็บไซต์ ทั้งที่หลายคนมองว่า ต้องได้มาสัมผัสของจริงจึงจะตัดสินใจซื้อ แต่สำหรับชาวนอร์เวย์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย รัสเซีย กลับเลือกซื้อจากช่องทางนี้ รองลงมาเป็นสินค้าประเภทแฟชั่น และแอสเซสเซอรี่ (Accessories) ต่างๆ จะได้รับการตอบดีจากชาวเอเชีย

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

การคัดเลือกสินค้าก่อนที่จะนำมาขายในเว็บไซต์ guruwan ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณปลาวาฬ จะต้องเช็คข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่าเป็นผู้ประกอบการคนแรกที่ทำสินค้าดังกล่าวขึ้น ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร จากนั้นเดินทางไปดูสินค้าด้วยตัวเอง เพื่อเช็คคุณภาพ และเห็นสินค้าจริง โดยเขาตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์นี้มากกว่า 3 ล้านคน/เดือน มียอดขายสินค้าผ่านเว็บราว 90-130 ล้านบาท/ปี จากราคาสินค้าเริ่มต้นที่ประมาณ 500-7,000 บาทโดยจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต และระบบ Pay Pal สำหรับอนาคต guruwan จะลุยตลาดทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค อย่าง อินสตราแกรม ที่มีศักยภาพสูงในธุรกิจออนไลน์ ณ เวลานี้

       ***สนใจติดต่อ 0-2308-2198 หรือที่ www.guruwan.com*** 

ขอบคุณข้อมูลจาก ASTV

เซเว่นฯบุกตลาดAEC
เล็งลุยธุรกิจค้าปลีก
4ประเทศลุ่มน้ำโขง
หอฯแนะต้องอดทน

นายปิยะวัฒน์ ฐิติสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพีออลล์ และประธานคณะกรรมการธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางซีพีออลล์ต้องการช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการระดับเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศ CLMV กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม โดยการจัดการสัมมนาถ่ายทอดข้อมูลความรู้ให้กับผู้ประกอบการขึ้นมาในงาน CP ALL SMEs FORUM 2014 หัวข้อเรื่อง “บุกตลาด CLMV…อนาคต SMEs ไทย ในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดธุรกิจของตนได้

สำหรับส่วนของเซเว่นอีเลฟเว่น มีการตั้งเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจไปภายในประเทศอีก 600 สาขาทั่วประเทศ หรือกว่า 8,000 สาขาในสิ้นปี โดยในปี’57 นี้มีการตั้งเป้าให้ธุรกิจเติบโต 5% ซึ่งในปี’56 ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่น ก็สามารถขยายตัวได้ตามเป้าที่วางไว้ 5% เช่นกันแม้จะมีปัญหาการชุมนุมทางการเมือง เนื่องจากสินค้าในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นสินค้าจำเป็น ที่เน้นเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย

ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การเปิดเออีซีในปี’58 จะเป็นการรวมกลุ่ม สร้างความร่วมมือรวมกันเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วม มีการเคลื่อนย้ายเสรีด้านสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานมีฝีมือ ตลอดจนการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรีมากขึ้น และด้วยจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึงเป็นตลาดใหญ่ ที่อยู่ในความสนใจของนักธุรกิจทั้งในและนอกภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอกาสในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม หรือที่เรียกว่ากลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีประชากรรวม 170 ล้านคน และการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง เฉลี่ยตั้งแต่ ปี 2554-2556 ไม่ต่ำกว่า 6.5% ซึ่งเห็นว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องมีความอดทนในการทำธุรกิจ CLMV

“การทำธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ในช่วงเริ่มต้นผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญกับความไม่สะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการเงินการธนาคาร ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร รวมถึงความเสี่ยงในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และกฎระเบียบในแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างเป็นลักษณะเฉพาะตัว ผู้ประกอบการจึงต้องมีความอดทน และเตรียมการรับมือข้อจำกัดเหล่านี้”

พบ SMEs กว่าล้านรายรู้จัก AEC แค่ผิวเผิน

ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 1.3 ล้านรายยังไม่เข้าใจกฎระเบียบ AEC อย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะการลดภาษีศุลภากร ขณะที่บางส่วนเผยยังไม่พร้อมเข้าสู่ AEC

ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2556 ถึงช่วงต้นเดือนมกราคม 2557 พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย ในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการถึง 1.3 ล้านรายยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน (เออีซี) ไม่ชัดเจน และยังไม่เข้าใจว่าธุรกิจของตนมีโอกาสหรือต้องเริ่มต้นลงทุนอย่างไรในเออีซี

โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 38.04% ให้เหตุผลว่าการประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจนว่าภาคธุรกิจแต่ละประเภทมีโอกาส อุปสรรคอย่างไรและต้องปรับตัวอย่างไร ผู้ประกอบการ 29.71% ตอบว่าเพราะการประชาสัมพันธ์ยังน้อย ผู้ประกอบการ 16.67% ตอบว่าไม่สนใจติดตามข้อมูลเออีซีเพราะไม่มีเวลาศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าควรมีการอบรมให้ความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเออีซีในธุรกิจแต่ละประเภทในเชิงปฏิบัติมากขึ้น

“ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นมาที่เริ่มมีการสำรวจผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเข้าใจภาพรวมของเออีซีของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ถึงปัจจุบันจะเห็นว่าผู้ประกอบการมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมเออีซีเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งโจทย์ในปัจจุบันนี้ ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่ใช่เพียงการให้ความรู้แค่เรื่องเออีซีอย่างเดียว แต่ควรเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าใจในธุรกิจของตัวเองมากขึ้นว่าจะมีโอกาสอย่างไรในเออีซี ต้องมีการลงทุนอย่างไรมากขึ้น”

สำหรับเรื่องที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่เข้าใจมากที่สุดคือ กรอบการลดภาษีศุลกากร การลดอัตราภาษี 13.80%, การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร 13.76%, การขจัดมาตรการที่มิใช่ภาษี 13.03%, มาตรฐานสินค้าร่วมของอาเซียน 12.41% ส่วนความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในเออีซี ผู้ประกอบการ 50.40% ตอบว่ายังไม่พร้อมที่จะแข่งขัน เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเออีซี เช่น กฎระเบียบของประเทศในเออีซี, การปรับตัวเข้าสู่เออีซี, การใช้ประโยชน์จากเออีซี เป็นต้น

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ASTV

 

ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดทำรายงานเรื่อง อาหารไทยสู่อาเซียนด้วย Primary GMP หรือหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตขั้นต้น สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมอาหารยังไม่ได้รับการยอมรับด้าน มาตรฐานการผลิตในระดับสากล ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญ ต่างจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ได้รับ GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เข้มข้นกว่า

หลักเกณฑ์ Primary GMP หรือ GMP ขั้นต้น จะสร้างมาตรฐานอาหารไทยสู่สากลเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้อาหารมีคุณภาพและปลอดภัย สถานที่ผลิตมีมาตรฐาน คำนึงถึงทุกขั้นตอนของการผลิต มีการควบคุมและตรวจสอบอย่างเป็นระบบต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

สำหรับนิยามของ Primary GMP กระทรวงสาธารณสุขได้ออกเป็นประกาศกระทรวงฯ (ฉบับที่ 342) พ.ศ.2555 กำหนดเรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และการเก็บรักษาอาหารแปรรูปที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่าย เป็นหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตขั้นต้น สำหรับกลุ่มอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภคทันที และกลุ่มอาหารทั่วไป

หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะคล้ายกับ GMP สุขลักษณะทั่วไป ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 193) พ.ศ. 2543 มี 6 ข้อ ประกอบด้วย สถานที่ตั้งและอาคารผลิต เครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต การควบคุมกระบวนการผลิต การสุขาภิบาล การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด และบุคลากรและสุขลักษณะผู้ปฏิบัติงาน แต่มีข้อแตกต่าง อาทิ

1.สถานที่ตั้งและการผลิต เกณฑ์ขั้นต้นอาจผลิตเป็นบริเวณได้ แต่ต้องสามารถป้องกันสัตว์และแมลงเข้าสู่การผลิต 2.เครื่องมือและอุปกรณ์การผลิต เกณฑ์ขั้นต้นไม่ได้เน้นการออกแบบและจำนวน 3.การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด เกณฑ์ขั้นต้นไม่ได้กำหนดเรื่อง การเก็บ และการลำเลียงอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้ว 4.บุคลากรและสุขลักษณะผู้ปฏิบัติ เกณฑ์ขั้นต้นไม่ได้เน้นเรื่อง การใช้ถุงมือ และเรื่องการฝึกอบรม โดยให้ระบุแสดงคำเตือน “ห้ามมิให้บุคคลใดแสดงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจในสถานที่ผลิตอาหาร”

โดยภายในปี 2558 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีแผนผลักดันให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน (โอท็อป) และเอสเอ็มอี พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพมาตรฐาน Primary GMP จำนวน 20,000 แห่ง ทั้งนี้ ผู้ประกอบการติดต่อขอรับคำปรึกษาได้ที่สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจ

จริยธรรมทางธุรกิจของเจ้าของกิจการอาหารทะเล  (Business Ethics of Seafood–Business Owner)


บริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเลนั้น ควรมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชอบธรรมและมุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นรวมถึงการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม ซึ่งบริษัทนั้นต้องกำหนดให้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานทุกคน จะต้องรับทราบและปฏิบัติตามนโยบายและข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้ในคู่มือจริยธรรมธุรกิจนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและเพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย ผู้ถือหุ้นและสังคม

คำจำกัดความ

จริยธรรมธุรกิจ หมายถึง คุณความดี ความยุติธรรมและความถูกต้อง ที่เป็นข้อพึงปฏิบัติสำหรับการประกอบธุรกิจแนวทางปฏิบัติ คือ แนวทางการกระทำเพื่อรักษาไว้ซึ่งและส่งเสริมเกียรติคุณและชื่อเสียง

 

หลักจริยธรรมธุรกิจและจรรยาบรรณของบริษัท

1. ความซื่อสัตย์ (Honesty)
ผู้บริหารควรมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องและไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดโดยเจตนาหรือหลอกลวงผู้อื่นโดยการบิดเบือนสารสนเทศ พูดเกินความจริง พูดความจริงบางส่วน เลือกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หรือโดยวิธีการอื่นๆ

 

2. คุณธรรม (Integrity)
ผู้บริหารควรแสดงออกถึงคุณธรรมของตนและมีความกล้าที่จะทำตามสิ่งที่ตนเองเชื่อโดยกระทำในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันให้ทำตรงกันข้าม เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการ น่าเคารพนับถือ และมีความเที่ยงธรรม ผู้บริหารควรต่อสู้เพื่อความเชื่อของตนและไม่ยอมละทิ้งหลักการเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งจนกลายเป็นคนหลอกลวงหรือไม่มีคุณธรรม

 

3. ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ (Trust Worthiness)
ผู้บริหารควรเปิดเผยและจัดหาสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง และแก้ไขความเข้าใจผิดจากข้อเท็จจริง ผู้บริหารควรพยายามในวิถีทางที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุคำมั่นสัญญาของตนและผู้บริหารไม่ควรใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในทางที่ไม่ถูกต้องและใช้การตีความทางกฎหมายที่ไม่เหมาะสมใช้เป็นเหตุผลที่จะไม่ให้ความร่วมมือหรือหลีกเลี่ยงข้อตกลงที่วางไว้

 

4. ความจงรักภักดี (Loyalty)
ผู้บริหารควรแสดงความจงรักภักดีต่อบริษัทโดยการช่วยเหลือและอุทิศตนต่อหน้าที่ ผู้บริหารไม่ควรใช้หรือเปิดเผยสารสนเทศที่เป็นความลับเพื่อความได้เปรียบส่วนบุคคล แต่ควรดำรงไว้ซึ่งความสามารถในการตัดสินใจอย่างมืออาชีพที่เป็นอิสระโดยหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เหมาะสมและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และมีความซื่อสัตย์ต่อบริษัทและผู้ร่วมงาน นอกจากนี้ถ้าผู้บริหารมีความตั้งใจที่จะลาออก ผู้บริหารควรบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างเหมาะสม รวมถึงให้ความสำคัญกับสารสนเทศของบริษัท และไม่กระทำกิจการที่ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่การงานเดิมของตน

 

5. ความยุติธรรม (Fairness)
ผู้บริหารควรมีความยุติธรรมและคุณธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่ใช้วิธีการโกงหรือวิธีการที่ไม่เหมาะสมเพื่อให้ได้มาหรือรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์หรือข้อได้เปรียบจากความเข้าใจผิดหรือจากความทุกข์ของผู้อื่น โดยผู้บริหารที่มีความยุติธรรมควรเปิดเผยข้อตกลงเพื่อให้มีการพิจารณาและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เปิดใจที่จะยอมรับความเห็นที่ไม่ตรงกันและเต็มใจที่จะยอมรับเมื่อทำผิด และพร้อมเปลี่ยนจุดยืนและความเชื่อที่มีอยู่ไปสู่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม

 

6. การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Concern for Others)
ผู้บริหารควรเอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจ เมตตาปราณีและหวังดีต่อผู้อื่นตามหลักการที่ว่า ให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา ผู้บริหารควรช่วยเหลือผู้อื่นในสิ่งที่บุคคลนั้นมีความจำเป็นและค้นหาวิธีที่ทำให้ธุรกิจบรรลุวัตถุประสงค์ของธุรกิจไปพร้อมกับวัตถุประสงค์ของผู้อื่น

 

7. การเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล (Respect for International Human Rights Principles)
ผู้บริหารควรเคารพในเกียรติของแต่ละบุคคล ความมีอิสระ ความเป็นส่วนตัว การมีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายและสิทธิมนุษยชน และผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย การตัดสินใจของผู้บริหารควร มีความเป็นกลางและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่แบ่งแยกเพศ ชนชั้นหรือเชื้อชาติ

บริษัทนั้นต้องกำหนดให้ กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯทุกคนต้องปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัดโดยถือเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานและไม่สนับสนุนกิจการที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล

 

8. การปฏิบัติหน้าที่อย่างดี (Commitment to Excellence)
ผู้บริหารควรปฏิบัติตามหน้าที่อย่างดี กล่าวคือ เป็นผู้มีความรู้ ตระเตรียมการ มีความมุมานะ มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เพื่อสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบ

 

9. ภาวะผู้นำ (Leadership)
ผู้บริหารควรตระหนักถึงความรับผิดชอบและภาวะการเป็นผู้นำของตน และควรจัดหา รูปแบบของข้อพึงปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองและองค์กร อีกทั้งผู้บริหารควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญต่อหลักการและการตัดสินใจที่มีจริยธรรมเป็นสำคัญ

 

10. ชื่อเสียงและคุณธรรม (Reputation and Morale)
ผู้บริหารควรหาทางสร้างชื่อเสียงให้บริษัทและสร้างคุณธรรมในหมู่พนักงาน โดยร่วมกันไม่ดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและพนักงาน ในทางกลับกันพนักงานต้องร่วมกันดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นเพื่อแก้ไขหรือป้องกันพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมของคนอื่น

 

11. ความรับผิดชอบตามหน้าที่ (Accountability)
ผู้บริหารควรตระหนักและรับผิดชอบตามหน้าที่ของตนโดยคำนึงถึงจริยธรรมที่ใช้สำหรับการตัดสินใจ และในการละเว้นบางสิ่งเพื่อบริษัท ตนเอง ผู้ร่วมงาน และชุมชน

 

12. นโยบายการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Policy on Compliance with the Law and Relevant Rules and Regulations)
บริษัทนั้นต้องมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจสำหรับกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานดังนี้

• ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและเคารพจารีตประเพณีของประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจ
• ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
• ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัด
• ต้องไม่ช่วยเหลือหรือสนับสนุน การหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ
• ต้องให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง

 

13. นโยบายความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)
บริษัทนั้นต้องให้ความสำคัญต่อกิจกรรมที่อาจเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามแนวทางปฏิบัติสำหรับกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานดังนี้

• หลีกเลี่ยงการทำรายการที่เกี่ยวโยงกับตนเอง ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทนั้น
• ในกรณีที่จำเป็นต้องทำรายการเช่นนั้น ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทฯ และให้ทำรายการนั้นเสมือนการทำรายการกับบุคคลภายนอก โดยกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานหรือผู้มีส่วนได้เสียในรายการนั้นต้องไม่มีส่วนในการพิจารณาอนุมัติ
• ในกรณีที่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันภายใต้ประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และการเปิดเผยข้อมูลรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทจดทะเบียนอย่างเคร่งครัด
• ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร พนักงานหรือบุคคลในครอบครัวเข้าไปมีส่วนร่วมหรือเป็นผู้ถือหุ้นกิจการที่แข่งขันกับธุรกิจของบริษัทนั้น หรือกิจการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทนั้น จะต้องแจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
• ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร หรือ พนักงานไปเป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือที่ปรึกษาในบริษัท หรือองค์กรทางธุรกิจอื่นๆ การดำรงตำแหน่งนั้นจะต้องไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของบริษัทฯ และการปฏิบัติหน้าที่โดยตรงในบริษัทนั้น

 

14. นโยบายการรักษาข้อมูลความลับ (Confidentiality of Information)
บริษัทนั้นต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้ข้อมูลของบริษัท โดยปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและสอดคล้องกับกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทฯ ได้กำหนดให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานให้ความสำคัญต่อการเก็บรักษาข้อมูลความลับของบริษัทนั้น เช่น ข้อมูลภายในที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ หรือข้อมูลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือราคาหุ้น เป็นต้น ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้

• กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานต้องไม่ใช้ข้อมูลภายในของบริษัทฯ ในการหาประโยชน์ส่วนตนและในเรื่องการทำธุรกิจแข่งขันกับบริษัทนั้น หรือทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
• กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานต้องไม่ใช้ข้อมูลที่มิได้เปิดเผยให้ทราบโดยทั่วไปซึ่งอาจมีผลกระทบกับราคาหุ้น(ข้อมูลภายใน)และต้องละเว้นการทำธุรกรรมเกี่ยวกับหุ้นของบริษัทในช่วงเวลาที่จะมีการประกาศข้อมูลที่ที่สำคัญตามนโยบายที่ถูกกำหนดไว้ นอกจากนี้ข้อมูลภายในของบริษัทนั้น ไม่ควรถูกให้แก่บุคคลอื่น เพื่อประโยชน์ในการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ
• กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานต้องไม่เปิดเผยข้อมูลความลับทางธุรกิจของบริษัทนั้น ต่อบุคคลภายนอก โดยเฉพาะคู่แข่งของบริษัทฯ แม้หลังพ้นสภาพการเป็นกรรมการ ผู้บริหารหรือพนักงานของบริษัทนั้นไปแล้ว

 

15. นโยบายการปกป้องทรัพย์สินของบริษัท (Properties Protection)
บริษัทนั้นคาดหวังให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน มีความรับผิดชอบในการปกป้องดูแลทรัพย์สินของบริษัทฯ และใช้ทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่นำทรัพย์สินของบริษัทนั้น ไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น โดยมีแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้
• ผู้บริหารและพนักงาน ต้องใช้ทรัพย์สินและทรัพยากรของบริษัท อย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทนั้น
• ผู้บริหารและพนักงาน ต้องดูแลรักษาทรัพย์สินของบริษัทมิให้เสื่อมเสีย สูญหาย
• กำหนดแนวทางการป้องกันภัยหรือความเสี่ยงภัยที่เกิดต่อทรัพย์สินของบริษัท ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน เช่น ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ เป็นต้น

 

16. นโยบายเกี่ยวกับการรับ การให้ของขวัญและสิ่งตอบแทน
บริษัทนั้นต้องกำหนดให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการให้และรับของขวัญ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ดังนี้
• ผู้บริหารและพนักงานถูกห้ามไม่ให้เรียกผลประโยชน์ใดๆ จากคู่ค้าและหรือผู้ที่ทำธุรกิจกับบริษัท
• ผู้บริหารและพนักงานถูกห้ามไม่ให้เสนอผลประโยชน์ใดๆ ต่อบุคคลภายนอก คู่ค้า เพื่อจูงใจให้ปฏิบัติในทางที่มิชอบ
• ผู้บริหารและพนักงานควรหลีกเลี่ยงการให้หรือรับของขวัญหรือสิ่งตอบแทนอื่นใด จากคู่ค้า และ/หรือผู้ที่ทำธุรกิจกับบริษัท เว้นแต่ในโอกาสที่เป็นช่วงเทศกาลในมูลค่าที่เหมาะสม (ไม่เกิน 50 เหรียญดอลลาร์ สหรัฐอเมริกา ต่อคนโดยรวมทั้งหมด) และไม่เกี่ยวข้องกับการผูกมัดทางธุรกิจ

 

17. จรรยาบรรณว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
บริษัทนั้นต้องกำหนดให้ กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯทุกคนต้องมีความรอบคอบและความระมัดระวังในงานทรัพย์สินทางปัญญารวมถึงต้องเคารพลิขสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา

 

18. นโยบายเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตและการให้สินบน
บริษัทนั้นต้องกำหนดให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานมีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริต และการให้สินบน ดังนี้
• บริษัทกำหนดแนวทางในการรับหรือให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่อาจสร้างแรงจูงใจในการตัดสินใจอย่างไม่ชอบธรรมโดยกำหนดเงื่อนไขว่าควรดำเนินการอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมาและต้องมั่นใจได้ว่าการดำเนินการนั้นจะไม่ทำให้เกิดข้อครหาหรือทำให้บริษัทฯเสื่อมเสียชื่อเสียง สิ่งของที่กรรมการบริษัท ได้รับโดยปกติแล้วจะเก็บไว้ในสำนักงาน หรือแจกจ่ายให้กับพนักงานในบริษัทนั้น
• การจัดหาต้องดำเนินตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามระเบียบของบริษัทและมีความเป็นธรรมแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยที่การตัดสินใจต้องคำนึงถึงความสมเหตุสมผลด้านราคา คุณภาพและบริการที่ได้รับ รวมทั้งต้องสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส
• ในการทำธุรกรรมกับภาครัฐ บริษัทฯจะต้องหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจจูงใจให้รัฐหรือพนักงานของรัฐดำเนินการที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมอย่างไรก็ดีการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันหรือการกระทำใดๆ ในขอบเขตที่เหมาะสมและเป็นธรรมเนียมปฏิบัตินั้นก็สามารถทำได้ เช่น การไปแสดงความยินดีหรือการให้ช่อดอกไม้ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น

 

แนวทางปฏิบัติของบริษัท

1. แนวทางปฏิบัติของผู้บริหาร

• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เป็นธรรม เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าในการตัดสินใจและกระทำการใดๆ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องโดยภาพรวม
• ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพด้วยความรู้ความชำนาญ ความมุ่งมั่นและมีความรอบคอบระมัดระวัง มองเห็นปัญหาล่วงหน้าและหาวิธีการแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นและรักษามาตรฐานการปฏิบัติงานดังกล่าวไว้ รวมถึงมีการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะในการจัดการบริษัทฯ อย่างเต็มความรู้ความสามารถ
• ไม่หาประโยชน์ให้ตนเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยการนำสารสนเทศภายในที่ยังไม่ได้เปิดเผยหรือที่เป็นความลับไปใช้หรือนำไปเปิดเผยกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการอันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
• จัดให้มีการดูแล การตรวจสอบ ทั้งภายในบริษัทและสภาพแวดล้อมของบริษัทโดยสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าได้มีการปฏิบัติตามนโยบายและกระบวนการที่กำหนด
• จัดให้มีการรายงานสารสนเทศที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลา และสม่ำเสมอ รวมถึงจัดให้มีการรายงานแนวโน้มในอนาคตของบริษัทบนพื้นฐานของความเป็นไปได้และมีข้อมูลสนับสนุนอย่างเพียงพอ
• ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รักษามาตรฐานอุตสาหกรรมและกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ทันต่อเหตุการณ์ มีเอกสารหลักฐานที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับการดำเนินการควบคุมและการดูแลรักษาให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดสำหรับนำไปใช้ปฏิบัติในทุกระดับของการจัดการ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง มีการแบ่งแยกกิจกรรมดำเนินธุรกิจ และจัดให้มีการอนุมัติการดำเนินการที่เหมาะสมเป็นไปตามที่กฎหมายและข้อกำหนด ที่เกี่ยวข้อง
• พัฒนาบริษัทให้บรรลุถึงเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และเป็นมาตรฐานที่ยอมรับ
• ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัท

 

2. แนวทางปฏิบัติของคณะกรรมการบริษัท

• กำหนดทิศทาง เป้าหมาย นโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจ
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัทฯ
• พึงปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและข้อบังคับของบริษัท
• ติดตามการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
• พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และกำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการให้ชัดเจนและเหมาะสม
• พิจารณาการทำรายการทางธุรกิจที่สำคัญของบริษัทด้วยความตั้งใจและขยันหมั่นเพียร
• จัดประชุมคณะกรรมการและพิจารณาวาระการประชุมอย่างเหมาะสม
• ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ
• จัดทำแผนสืบทอดตำแหน่งสำหรับผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัท

 

3. แนวทางปฏิบัติของคณะอนุกรรมการ

• ปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท ด้วยความตั้งใจและขยันหมั่นเพียร
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัทโดยปราศจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์
• พึงปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและข้อบังคับของบริษัท
• รายงานผลการปฏิบัติงานให้คณะกรรมการรับทราบและพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ

 

4. แนวทางปฏิบัติของกรรมการ

• ขยันหมั่นเพียรปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทฯ
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัท
• พึงปฏิบัติตามกฎหมายกฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและดำเนินธุรกิจเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัท
• ติดตามการดำเนินงานของฝ่ายจัดการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของบริษัท
• ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการรักษาความลับของสารสนเทศที่เป็นความลับภายในบริษัทฯและยังไม่อนุญาตให้เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก และไม่อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลต่อภายนอก และไม่ใช้ข้อมูลภายในของบริษัท ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของตนเอง
• หลีกเลี่ยงการกระทำหรือการตัดสินใจ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

 

5. แนวทางปฏิบัติของเลขานุการบริษัท

• ขยันหมั่นเพียรปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัท
• ดูแลกิจกรรมต่างๆ ของคณะกรรมการและบริษัทฯ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและดำเนินธุรกิจเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัท
• มีความพร้อมและตั้งใจในการจัดประชุมผู้ถือหุ้นการประชุมคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ และการจัดเตรียมรายงานการประชุม
• เป็นสื่อกลางการติดต่อสื่อสารที่ดีระหว่างกรรมการและผู้ถือหุ้น
• รักษาข้อมูลภายในบริษัทให้เป็นความลับ รวมถึงข้อมูลในรายงานการประชุมของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของบริษัท และไม่อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลต่อภายนอก และไม่ใช่ข้อมูลภายในของบริษัท ซึ่งยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของตนเอง

 

6. แนวทางปฏิบัติของพนักงาน

• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อบริษัท
• พึงปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและข้อบังคับของบริษัท
• ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการรักษาความลับของสารสนเทศที่เป็นความลับภายในบริษัทฯและยังไม่อนุญาตให้เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก และไม่อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลต่อภายนอก และไม่ใช้ข้อมูลภายในของบริษัทฯ ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของตนเอง
• พึงรักษาและร่วมสร้างสรรค์ให้เกิดความสามัคคีในหมู่พนักงาน

 

7. นโยบายและแนวทางปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสีย

บริษัทต้องมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าอย่างมืออาชีพ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมีคุณธรรมและจริยธรรม รวมถึงการให้ความสำคัญของการปฏิบัติที่ดีต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ทุกฝ่าย ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูง จึงกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีต่อผู้มีส่วนได้เสียขึ้น เพื่อเป็น แนวทางการทำงานที่ดี และ ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณ ดังต่อไปนี้

 

แนวทางปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้น

• บริษัทต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นและกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินในเรื่องที่เกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศ วิธีการปฏิบัติทางบัญชี การใช้สารสนเทศภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยผู้บริหารจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ตลอดจนตัดสินใจดำเนินการใดๆ ด้วยความสุจริตใจ และเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นทั้งรายใหญ่และรายย่อย และเพื่อผลประโยชน์โดยรวม

 

แนวทางปฏิบัติต่อลูกค้า

• บริษัทตระหนักเป็นอย่างดีถึงความสำคัญของลูกค้าของบริษัทและมั่นใจว่าเงื่อนไขทางการค้าต่างๆ เป็นไปด้วยความเป็นธรรมตามมาตรฐานการค้าโดยทั่วไป ความลับของลูกค้าควรเก็บเป็นความลับและใช้ในธุรกิจ โดยไม่มีการเปิดเผย ยกเว้นการบังคับตามกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับ หรือการยินยอมจากผู้เป็นเจ้าของสารสนเทศ รวมถึงประเด็นทางด้านการตลาด การกำหนดราคา รายละเอียดบริการ คุณภาพและความปลอดภัยของการให้บริการ

 

แนวทางปฏิบัติต่อคู่ค้าและ/หรือเจ้าหนี้

• บริษัทควรแน่ใจว่ามีการปฏิบัติที่ดีต่อคู่ค้า ได้แก่ กระบวนการสั่งซื้อจากผู้ขายและการปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ต่อเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้เงินกู้ยืม เช่น การเบิกใช้ การชำระหนี้ หลักประกัน และข้อตกลงทางธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

แนวทางปฏิบัติต่อคู่แข่งทางการค้า

• บริษัทได้ปฏิบัติภายใต้กรอบกติกาของการแข่งขันที่ดี ไม่ทำลายชื่อเสียงของคู่แข่งทางการค้าด้วยการกล่าวหาบริษัทที่เป็นคู่แข่งทางการค้าด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง รวมถึงไม่เข้าถึงสารสนเทศที่เป็นความลับของคู่แข่งด้วยวิธีการที่ไม่สุจริตหรือไม่เหมาะสม

 

แนวทางปฏิบัติต่อพนักงาน

• บริษัทตระหนักเป็นอย่างดีว่า พนักงานเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยแห่งความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจของบริษัท จึงกำหนดวิธีการจ้างงาน ความเท่าเทียมกันในโอกาสของการจ้างงาน ความมั่นคงและความก้าวหน้าทางอาชีพ และหลักการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานและการจ้างงานและทำให้มั่นใจได้ว่าพนักงานมีความรู้ความชำนาญที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานในธุรกิจ รวมถึงความเข้าใจในข้อพึงปฏิบัติ มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง แนวทางปฏิบัติที่กำหนดไว้ และข้อตกลงในการที่จะปรับปรุงความรู้ความสามารถเพื่อทำให้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมในอนาคต

 

แนวทางปฏิบัติต่อชุมชนและสังคม

บริษัทควรตระหนักเป็นอย่างดีถึงความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนและการเอาใจใส่ต่อผลกระทบต่อผู้ที่อยู่รอบข้างมากกว่าที่มีกำหนดไว้ในกฎหมาย และพยายามที่จะค่อยๆ ให้มีการซึมซับเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางสังคม

บริษัทคาดหวังที่จะดำเนินธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีท้องถิ่นที่บริษัทฯ ตั้งอยู่หรือเข้าไปทำธุรกิจ และปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน มุ่งมั่นที่จะใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะดำเนินการยกระดับคุณภาพของสังคม ทั้งที่ดำเนินการเองและร่วมมือกับภาครัฐและชุมชน

 

8. นโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม

บริษัทควรมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานของความปลอดภัย ชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมอย่างสูงสุด ซึ่งได้มีแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้

• ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ในด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ที่บริษัทฯ เข้าไปทำธุรกิจ
• ปฏิบัติตามมาตรฐานเพื่อก่อให้เกิดความปลอดภัยในสุขภาพและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานทุกคน
• ส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัย ความปลอดภัยในทุกระดับ ตลอดจนสนับสนุนวิธีการและการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายของอุตสาหกรรม
• เปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริง ในเรื่องความปลอดภัย ชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัท

   
  [Last Modified: October 15, 2012]
   

   
   

 

 

 

   
  [Last Modified: December 4, 2012]
   
   
 
  กว่าสิบปีของการดำเนินธุรกิจแพปลาและอาหารทะเล โดยเริ่มจากเป็นชาวประมง ออกเรือประมงเอง จนมาถึงการเป็นเจ้าของธุรกิจแพปลา และเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเล ทั้งปลีกและส่งทั่วประเทศ คุณภาพดีในราคายุติธรรม ในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้าอย่างครบถ้วน โดยมีสินค้าทะเลหลากหลายทั้งของสด ของแช่แข็ง ของแห้ง และสินค้าพร้อมปรุงรับประทาน เราเลือกซื้อสินค้าทะเลโดยตรงจากชาวประมงท้องถิ่น มีเครือข่ายพันธมิตรในธุรกิจที่ดีและนำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้เราสามารถเลือกซื้อสินค้าทะเลที่ดีที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุดและครบถ้วน ในราคาที่ท่านพอใจที่สุด พร้อมทั้งได้รับการไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่า 10 ปี และพร้อมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาดเสมอ 

630

มา ถึงปี 2557 ธุรกิจไหนจะอยู่รอด ธุรกิจไหนจะต้องเฝ้าระวัง ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการหลายท่านที่ทำธุรกิจก็คงเตรียมแผนสำรองกันไว้บ้างพอ สมควร เพราะตอนนี้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และการอัพเดตสถานการณ์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้ยากเหมือนเมื่อก่อน ในบทความครั้งนี้ ผมได้นำข้อมูลที่ประเมินทิศทางเศรษฐกิจในปีม้า หรือปี 2557 มาบอกเล่าให้ทุกท่านรู้เพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการรับมือทำธุรกิจได้มาก ขึ้น

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2557 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ออกเป็น 2 กรณี คือ หากมีการเลือกตั้งทั่วไปตามกำหนดในวันที่ 2 ก.พ. และมีรัฐบาลใหม่ที่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในครึ่งปีแรก พร้อมกับมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคและลงทุนชุดใหญ่ออกมา เชื่อว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ 4.5% แต่ถ้าไม่มีมาตรการกระตุ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ราว 3.7%

อย่างไรก็ดี กรณีเลวร้ายที่ความขัดแย้งทาง การเมืองยืดเยื้อเกิน 6 เดือน จะส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศไม่มีการเติบโตเลย โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ 0.5-2.5% ตามการขยายตัวของภาคการส่งออก

จากสถานการณ์ในข้างต้นประเมินว่าปี นี้จะมีธุรกิจดาวรุ่งที่มีโอกาสจะขยายตัว 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่ฟื้นตัวตามภาคการส่งออกไปยังคู่ค้าและตลาดที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มสินค้ารถยนต์และส่วนประกอบ แม้ส่วนใหญ่จะมาจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะสายการผลิตนี้ครอบคลุมหลายผลิตภัณฑ์/ชิ้นส่วน หากแนวโน้มการส่งออกรถยนต์ในภาพใหญ่มีทิศทางที่ดีขึ้น ก็ย่อมจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการ SMEs ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

กลุ่มเครื่องประดับ เป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดในบรรดาสินค้าส่งออกทั้งหมดของไทย โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐ สหภาพยุโรป ฮ่องกง และกลุ่มอาเซียน กลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์ ได้แก่ สี ปุ๋ย และเครื่องสำอาง เป็นอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตในเกณฑ์ดี และยังได้รับผลบวกจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ทำให้คาดว่าความต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์จากไทยจะมีแนวโน้มได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากสินค้าไทยได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพ

สุดท้ายกลุ่มสินค้าเกษตรและแปรรูปอาหาร ใน 20 อันดับสินค้าส่งออกที่ทำรายได้สูงสุด พบว่าสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารติดอันดับถึง 9 รายการ ได้แก่ ยางและของทำด้วยยาง น้ำตาลและขนมทำจากน้ำตาล ธัญพืช ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์น้ำ พืชผัก รวมทั้งรากและหัวบางชนิดที่บริโภคได้ ของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภคได้ ปลา สัตว์น้ำ และของปรุงแต่งทำจากพืชผัก ผลไม้ ลูกนัต หากการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้มีทิศทางที่สดใสมากขึ้น ผู้ประกอบการ SMEs ก็น่าจะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วยเช่นกัน

คราวนี้ลองมาดู กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีจุดแข็งทางธุรกิจ หรือมีความสามารถในการแข่งขัน คือ ภาคการท่องเที่ยวและบริการด้านสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งและได้รับการยอมรับจากต่างชาติในเรื่องของคุณภาพ และราคาที่คุ้มค่า ทั้งการเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพแห่งเอเชีย หรือ Medical Hub of Asia ที่ไม่ด้อยกว่า สิงคโปร์และมาเลเซีย

ในทางตรงกันข้าม ก็มีธุรกิจที่เฝ้าระวัง เพราะอาจประสบกับความลำบากในการปรับตัวมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มที่พึ่งพาแรงงานเป็นจำนวนมาก หรือมีความยืดหยุ่นน้อยในการบริหารจัดการต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งค่าจ้างแรงงาน ค่าไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าขนส่ง รวมถึงโจทย์สำคัญที่รอท้าทายในระยะยาว คงไม่พ้นเรื่องความสามารถทางการแข่งขันในหลาย ๆ สินค้าของไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะเมื่อการค้าการลงทุนในโลกกำลังเปิดกว้างและเชื่อมโยงกันมากขึ้นในปี 2558

ดังนั้นแนวทางการปรับตัวและรับมือสำหรับ SMEs ภาคการส่งออกจะต้องแสวงหาแหล่งวัตถุดิบทดแทน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต การหาตลาดที่มีศักยภาพ และพยายามสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งพยายามสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ส่วนในกลุ่มภาคการท่องเที่ยวจะต้องเน้นเรื่องคุณภาพ การบริการด้วยใจ ราคาต้องสมเหตุสมผล ต้องพัฒนาความรู้ความสามารถในเรื่องภาษาให้กับบุคลากร และต้องดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย หากผู้ประกอบการยิ่งรู้จักปรับตัวก็ยิ่งจะช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจได้มาก ขึ้นได้ครับ

โดย พัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

แม็คโครพัฒนาระบบธุรกิจ รองรับการรุกตลาดอาเซียน

images (3)

น.ส.เสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-สายงานบริหารการเงิน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทกำลังลงทุนในแพลตฟอร์มธุรกิจค้าปลีกใหม่ ในการที่จะเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการ ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตครอบคลุมทั้งระดับภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้จึงได้เลือก Oracle Retail โซลูชั่น ในการที่จะนำเสนอรูปแบบการค้าปลีกที่ทันสมัย?? เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

 

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์แนวหน้า

 

มธ.กวาด 8 รางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ทั้งสายวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2556 และรางวัลผลงานวิจัย ทั้งทางด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มธ.มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สภาวิจัยแห่งชาติได้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้แก่นักวิจัยของ มธ.ทั้งในด้านรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติและรางวัลผลงานวิจัย และขอขอบคุณนักวิจัยทุกท่านที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่องและสร้างชื่อเสียงให้กับ มธ.ซึ่ง มธ.มุ่งเน้นในการสนับสนุนการผลิตผลงานวิจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงสาธารณะ เชิงนโยบาย เชิงพาณิชย์ เชิงสุนทรียภาพ หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสังคมอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ โดย มธ. มีจำนวนงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ และผลงานตีพิมพ์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ตอกย้ำนโยบายที่มุ่งเน้นการเป็นผู้นำในด้านการวิจัย เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้กับประเทศ

ทั้งนี้ สภาวิจัยแห่งชาติได้มอบรางวัล “นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2556 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย” แก่ ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ศ.ดร.สมนึก มีผลงานวิจัยเพื่อพัฒนาวงการก่อสร้างแบบยั่งยืนอย่างครบวงจร เช่น การพัฒนาวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ โดยการพัฒนาคอนกรีตและปูนซีเมนต์ชนิดใหม่ที่ใช้เถ้าลอย วิธีการควบคุมคุณภาพเถ้าลอยเพื่อการจัดจำหน่ายให้กับโรงไฟฟ้า รวมถึงวางแผนปรับมาตรฐานเถ้าลอยสำหรับประเทศไทย และการผลักดันการใช้ผงหินปูนในอุตสาหกรรมคอนกรีตอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุนการผลิตและช่วยเพิ่มคุณภาพของคอนกรีต นอกจากนี้ ยังเป็นผู้บุกเบิกการทำงานวิจัยด้านความคงทนและอายุการใช้งานของโครงสร้างคอนกรีตอย่างครบวงจรในประเทศไทย ศ.ดร.สมนึก ได้บูรณาการความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อการวางแผนการบำรุงรักษา การตั้งงบประมาณ การประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินการด้านบำรุงรักษา และการคำนวณค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศไทย

ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล กล่าวว่า “รางวัลที่ได้รับเป็นผลจาการทำวิจัยเกี่ยวกับวงการก่อสร้างตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการศึกษาและออกแบบโครงสร้างเพื่อทำให้โครงสร้างมีอายุยืนยาว การปรับปรุงวัสดุก่อสร้างให้มีคุณภาพคงทนแข็งแรงขึ้นและลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง และการบำรุงรักษาและซ่อมแซมเสริมกำลังโครงสร้างเก่าและแก้ไขความเสียหายเพื่อให้โครงสร้างเก่ามีประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน ทำให้โครงการก่อสร้างมีความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำมาตรฐานการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตโดยคำนึงถึงความคงทนและอายุการใช้งาน ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีพื้นฐานมาจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบโครงสร้างจริง และการ Simulation เพื่อให้มั่นใจว่า โครงสร้างจะมีอายุยืนยาวจริง ผลงานวิจัยเหล่านี้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงสร้างคอนกรีตได้ถึงหลักหมื่นล้านบาทต่อปีจากการใช้วัสดุที่มีคุณภาพและโครงสร้างมีอายุยืนยาวขึ้น”

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้รับรางวัลผลงานวิจัยต่างๆ ดังนี้
รศ.ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร และคณะ ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาพลาสมาและปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันของพลาสมาชนิดประสิทธิภาพสูงที่มี ETBs และ ITBs ในเครื่องโทคาแมค”
ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ และนายบุญเสริม นาคสาร ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยระดับดี สาขานิติศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “โครงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อการแก้ปัญหาของกฎหมายประเทศ”

รศ.ดร.ศากุน บุญอิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะ ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยระดับดี สาขาเศรษฐศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาผลกระทบเชิงสถานการณ์ของความไม่แน่นอนด้านภาวะแวดล้อมต่อความสัมพันธ์ของการบูรณาการซัพพลายเชนและสมรรถนะด้านการปฏิบัติการ”

รศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล คณะแพทยศาสตร์ ได้รับรางวัล “สิ่งประดิษฐ์คิดค้นระดับดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์” สำหรับผลงานประดิษฐ์เรื่อง “อุปกรณ์ช่วยพ่นยาที่สามารถประดิษฐ์ได้ด้วยตนเองสำหรับการรักษาโรคหืด”

ผศ.ดร.เขียนศักดิ์ แสงเกลี้ยง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ได้รับรางวัล “สิ่งประดิษฐ์คิดค้นระดับดี สาขาปรัชญา” สำหรับผลงานประดิษฐ์เรื่อง “ได้ทุกที่ รีสอร์ท”

ผศ.ดร.วราฤทธิ์ พาณิชกิจโกศลกุล คณะวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัล “วิทยานิพนธ์ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์” สำหรับวิทยานิพนธ์เรื่อง “การอนุมานเชิงพยากรณ์สำหรับกระบวนการอัตตสหสัมพันธ์”

อาจารย์ ดร.ภาณุมาศ ทองอยู่ คณะวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัล “วิทยานิพนธ์ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช” สำหรับวิทยานิพนธ์เรื่อง “การสังเคราะห์และการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของอนุภาคโปรตีนขนาดเล็กในกลุ่ม Cysteine Knot Microprotein”

สังคมไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมหรือการแต่งงานข้ามชาติระหว่างหญิงไทยและชายชาวตะวัน ตกมีจำนวนมากขึ้นและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

มีงานวิจัยหลายเรื่องศึกษาถึงการแต่งงานของหญิงไทยในสังคมชนบททางภาคอีสานกับชายชาวตะวันตก ระบุถึงสาเหตุและแรงผลักดันว่าเกิดจากความยากจนและความผิดหวังในชีวิตสมรสกับชายชาวไทย

เมื่อไม่นานนี้มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทยร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานสัมมนาประจำปี ในหัวข้อ “อีสาน-ลาว-ขแมร์ศึกษา ในกรอบประชาคมอาเซียน” ที่มหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี ภายในงานสัมมนา ดังกล่าวมีการจัดสัมมนาเรื่อง “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม (เขยฝรั่ง)”



ดร.ศิริจิต สุนันต๊ะ จากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒน ธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงแนวคิดการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมว่า การแต่งงานข้ามชาติในภาคอีสานของไทยเรานั้นยังคงยึดชาติเป็นหลัก ทำให้มองไม่เห็นถึงพลวัตทั้งทางด้านความแตกต่าง ความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ที่อยู่ภายในชาติ

“ในประเทศไทยยังมีความไม่เท่าเทียมอยู่ โอกาสทางสังคมไม่เท่าเทียมกัน และคนชนบทชาวบ้านภาคอีสานรับรู้ได้ถึงความไม่เท่าเทียมนี้ เพราะโอกาสทางสังคมที่ด้อยกว่าคนในเมืองและคนกรุงเทพฯ เกิดเป็นแรงผลักดันที่อยากก้าวข้ามความไม่เท่าเทียมนี้ และอยากมีชีวิตที่ดีทั้งตัวเองและครอบครัว”

ดร.ศิริจิตกล่าวด้วยว่าเขยฝรั่งทำให้สังคมอีสานเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การแต่งงานแบบเอาลูกเขยเข้าบ้านและการยึด ญาติฝ่ายหญิงเป็นศูนย์กลางเป็นวิถีปฏิบัติท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านอีสานปัจจุบันเห็นเขยฝรั่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและท้องถิ่นของครอบครัวและของชุมชน ในขณะที่ความรับผิดชอบของลูกสาวที่มีต่อพ่อแม่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้หญิงอีสานขวนขวายหาทางไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ด้าน ดร.พัชรินทร์ ลาภานันท์ จากสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหา วิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า อยากใช้คำว่า “การแต่งงานข้ามชาติ” แทนคำว่า “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม” เพราะต้องการให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์การแต่งงานระหว่างผู้หญิงอีสานหรือผู้หญิงไทยกับผู้ชายตะวันตกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเพื่อสะท้อนว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวมีลักษณะที่เฉพาะและแตกต่างไปจากการแต่งงานระหว่างผู้หญิงไทยกับผู้ชายตะวันตกในอดีต

“ความแตกต่างที่สำคัญคือในอดีตผู้หญิงอีสานที่แต่งงานกับทหารจีไอเมื่อแต่งงานแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะย้ายตามไปอยู่กับสามีไม่มีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านแตกต่างจากผู้หญิงอีสานที่แต่งงานกับผู้ชายฝรั่งในยุคปัจจุบันถ้าเราไปตามสนามบินไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี จะเห็นชาวบ้านในหมู่บ้านไปรับเขยฝรั่งที่กลับมาเยี่ยมบ้านซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ”

ดร.พัชรินทร์กล่าวว่าพลวัตท้องถิ่นเป็นผลจากการแต่งงานข้ามชาตินั้นมีความซับซ้อนและครอบคลุมหลายมิติทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เศรษฐกิจที่ประจักษ์ชัดในเชิงโครงสร้าง ทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมของชุมชน และความสัมพันธ์ของหญิงชายที่เชื่อมโยงกับพลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจในท้องถิ่น



“การแต่งงานข้ามชาติไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสู่การมีฐานะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นการทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ต้องสะท้อนความหลากหลายของเงื่อนไขต่างๆและความซับซ้อนของผลที่เกิดขึ้นต่อชุมชนรวมทั้งการมองปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยน แปลงสังคมภายใต้การเผชิญหน้าของท้องถิ่นกับโลกาภิวัตน์ซึ่งท้าทายต่อเพศสภาวะ ชนชั้น และบรรทัดฐานของสังคม”

ขณะที่ ดร.อิทธิวัตร ศรีสมบัติ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ให้มุมมองว่าเหตุผลที่ผู้หญิงเลือกชาวต่างชาตินั้นแม้หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าเป็นการเลือกในลักษณะทางเศรษฐกิจหรือเงินทองแต่ผู้หญิงเหล่านี้จะทำให้คนในหมู่บ้านรวมถึงตนเองเกิดการเรียนการใช้ชีวิตเรียนรู้ความอดทนเรียนรู้การวางแผนการใช้เงินและความรับผิดชอบ

“ผู้หญิงไทยที่ไปอยู่กับชาวต่างชาตินั้นไม่ได้เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาๆแต่ไปทำงานเพราะจริงๆ แล้วชาวต่างชาติไม่ได้ร่ำรวย ฝ่ายหญิงต่างหากที่ร่ำรวย เป็นเพราะค่าเงินที่แตกต่างกันทำให้มองดูว่าฐานะและเศรษฐกิจของฝรั่งนั้นรวยมากกว่าคนไทย” ดร.อิทธิวัตรกล่าว

ดร.จันทนี เจริญศรี คณะสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าการท่องเที่ยวของสามีฝรั่งจะใช้จ่ายในลักษณะที่ไม่ได้ใช้จ่ายในประเทศบ้านเกิดของเขา เวลามาเมืองไทยเขาอยากจะมีความสุข ให้มากที่สุด ซึ่งเชื่อมโยงกับภาพความเป็นไทยกับความเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นสวรรค์สำหรับชาวต่างชาติ

“สามีฝรั่งจำนวนมากมีโอกาสทางด้านเศรษฐกิจ มีหลายคู่ที่มาลงทุนทางธุรกิจในเมืองไทย เช่น ทำสวนยางพาราในภาคอีสาน ใช้แรงงานญาติของภรรยา โดยไม่ต้องทำอะไรนอกจากมีที่ดินและญาติภรรยา และยังเป็น ผู้อุปถัมภ์ญาติภรรยาอีกด้วย”

ดร.จันทนีกล่าวด้วยว่า ในเรื่องบ้านเกิดของภรรยากับภาพลักษณ์ความเป็นไทย สามีจำนวนมากบ่นว่าบ้านเกิดภรรยาไม่ใช่ตัวแทนภาพลักษณ์เมืองไทยอย่างที่เขารู้จักและรู้สึก ในขณะที่ภรรยาจะรบเร้าต้องการสร้างบ้านที่บ้านเกิดเพื่อจะได้อยู่ใกล้ญาติพ่อแม่พี่น้องและเครือข่ายความสัมพันธ์เดิมของตัวเอง

“แต่เมื่อถามสามีสามีจะบอกว่าที่บ้านเกิดภรรยาไม่มีอะไรเลยถ้าจะกลับไปอยู่เมืองไทยก็อยากไปอยู่ในเมืองท่องเที่ยว หรือใกล้ๆ ทะเลมากกว่า”

 

ที่มา : นสพ.ข่าวสด

 

1506496_727535303936882_1817213072_n
กระดูกสันหลังมีความสำคัญต่อบุคลิกภาพ วันนี้เรามี 10 วิธีที่คุณอาจเคยทำและไม่รู้ว่ามันทำร้ายกระดูกสันหลังของคุณมาบอกกัน ลองดูนะคะ 1.การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด 2.การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จนทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแล็คติก มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา 3.การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย 4.การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง 5.การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ 6.การนั่งกอดอก จะทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้ 7.การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว 8.การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม การยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง 9.การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋าโดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้เกิดการทำงานหนักอยู่ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้ 10.การขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคงให้หาหมอนข้างก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง —————————- กระดูกเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายทุกส่วน แต่กระดูกบางส่วน ควรดูแล และรักษาสุขภาพกระดูก ทั้งในเรื่องการกิน การออกกำลังกาย การอยู่ในอิริยาบทเดิมๆ เป็นเวลานาน มีภาวะเสี่ยง เปลี่ยนอิริยาบท ทุกๆ 5-10 นาที ก็ดีนะครับ —————————- ขอบคุณที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ และ sanook.com

F94B0CA13AC14678AB79E59E3B158F5A

ส่องร้านอาหารกลางดงม็อบ”ทั้งเฟื่องทั้งฟุบ”

สี่ แยกปทุมวัน นับว่าเป็นถนนอีกสายที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เนื่องจากมีห้างใหญ่ตั้งรายล้อมอยู่หลายแห่ง ทั้งห้างมาบุญครอง สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน  นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมตัวยอดฮิตของกลุ่มวัยรุ่นเด็กแนวอีกด้วย นอกจากนี้ย่านปทุมวันยังได้ชื่อว่าเป็นย่านที่มีร้านอาหารเก่าแก่ที่ใครไป ใครมาจะต้องแวะชิม……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1gDtomL

10DB0B496B7F4694930DF8B501F5876D

“ธรรม คัลเจอร์” จุดเปลี่ยนธุรกิจข้าว
จากธุรกิจทำข้าวกระสอบ และธุรกิจส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ ได้ปรับกลยุทธ์หันมาทำข้าวถุงภายใต้แบรนด์ “ธรรม คัลเจอร์” พร้อมกับชูเอกลักษณ์ การเป็นข้าวล้านนา รวมทั้งได้สินค้าเป็นชุด “ของขวัญ” รายแรกในประเทศ……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1h7j72o

 

 

ตลาดภูธร-กลุ่ม CLMV โอกาสทองธุรกิจอีเวนท์ไทย

หวังชิงส่วนแบ่งมูลค่าต่างประเทศ 1,412 ล้านบาท

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไปสู่ตลาดต่างจังหวัด และการส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญเป็นเมืองแห่งไมซ์ เป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว รวมถึงความต้องการการจัดงานอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV เป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยในต่างประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงาน มาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ในขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่อาจขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในยุคปัจจุบันผู้ประกอบการมีทางเลือกในการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการทำการตลาดในเชิงกิจกรรม หรือการจัดงานอีเวนท์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากผู้ประกอบการ เนื่องจากสามารถสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ความนิยมในการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการดังกล่าวนำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจบริหารการจัดงาน หรือธุรกิจอีเวนท์ ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนผู้ประกอบการให้การจัดงานอีเวนท์ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปี 57 ธุรกิจอีเวนท์ยังเติบโต

การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับช่วงปลายปีซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจะทุ่มงบประมาณในการจัดงานอีเวนท์ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ก็ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 จึงไม่เติบโตตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

สำหรับในปี 2557 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2556 ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ในช่วงต้นปีอยู่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาทิศทางการใช้งบประมาณของผู้ประกอบการในภาพรวมภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองแล้ว จะพบว่าผู้ประกอบการย่อมให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีแนวโน้มจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้น เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นการใช้งบประมาณสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมกับสินค้าและบริการสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้า (Two-way Communication) รวมถึงยังสามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างชัดเจนมากกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่เป็นเพียงการใช้งบประมาณสื่อสารจากผู้ประกอบการไปยังลูกค้าในทิศทางเดียว (One-way Communication) รวมถึงยังวัดผลความสำเร็จในการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ยาก หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่า ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งรวมถึงการจัดงานอีเวนท์ก็ยังสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้ดีกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ

จากแนวโน้มการจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดงานอีเวนท์มากขึ้น ประกอบกับการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไปหรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการในปี 2556 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการน่าจะทยอยกลับมาจัดงานอีเวนท์ในปี 2557 นี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 โดยแบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดภายในประเทศประมาณ 13,010-13,288 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 4 และเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดต่างประเทศประมาณ 1,290-1,412 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 21 สอดคล้องตามทิศทางการมุ่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่

ในอดีตที่ผ่านมา งานอีเวนท์เป็นรูปแบบการทำการตลาดที่ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการเป็นอย่างสูง ประกอบกับการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์สามารถเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี อย่างไรก็ตาม จากการที่ธุรกิจอีเวนท์มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ดังจะเห็นได้จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางด้านการเมืองในปี 2556 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น โดยพบว่าในปี 2556 นั้น ธุรกิจอีเวนท์มีมูลค่าติดลบกว่าร้อยละ 7 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ยืดเยื้อไปจนถึงช่วงกลางปี ประกอบกับมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ ที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการอนุมัติโครงการภาครัฐ รวมถึงภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ก็อาจส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 เติบโตได้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ในขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ไม่ยืดเยื้อ รวมถึงมีปัจจัยหนุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ธุรกิจอีเวนท์ก็จะสามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 5 ตามที่คาดการณ์ไว้ได้

ตลาดภูธรและกลุ่ม CLMV โอกาสอีเวนท์ไทย

แม้ว่าธุรกิจอีเวนท์จะอ่อนไหวต่อปัจจัยการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ยังมีช่องว่างในตลาดทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศที่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ตลาดต่างจังหวัดผลักดันให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว การขยายตัวของความเป็นเมือง ประกอบกับการเล็งเห็นถึงขนาดตลาดผู้บริโภคและศักยภาพทางเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่จะนำมาซึ่งกำลังซื้อของคนในพื้นที่ ผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ จึงหันมามุ่งขยายธุรกิจจากกรุงเทพฯ ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลให้มีความต้องการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ เราจะเห็นได้ว่า พื้นที่ต่างจังหวัดยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมืองน้อยกว่ากรุงเทพฯ จึงส่งผลให้การจัดงานอีเวนท์ในต่างจังหวัดมีโอกาสถูกชะลอหรือยกเลิกในระดับต่ำกว่าการจัดงานอีเวนท์ในกรุงเทพฯ

นอกจากธุรกิจอีเวนท์จะขยายตัวไปต่างจังหวัดสอดคล้องตามการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการแล้ว การส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา และภูเก็ต เป็นเมืองแห่งไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions: MICE) ประกอบกับความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดดังกล่าว เช่น สถานที่จัดประชุม พื้นที่การจัดแสดงสินค้า เส้นทางการคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค บริการด้านโรงแรมและที่พัก บุคลากร เป็นต้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ยังสามารถขยายตัวในต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดีจากการจัดงานโดยภาครัฐ ผู้ประกอบการ สมาคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งจะใช้บริการธุรกิจอีเวนท์ในรูปแบบของผู้บริหารจัดการประชุม สัมมนา และงานแสดงสินค้าอีกด้วย

CLMV ตลาดใหม่ธุรกิจอีเวนท์

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ที่ส่งผลให้ประชาชนในประเทศมีกำลังซื้อสูงขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ประเทศดังกล่าวเป็นเป้าหมายด้านการค้าการลงทุนของผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการไทย ส่งผลให้มีความต้องการการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV ยังจำกัด ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าในการเข้าไปให้บริการในประเทศดังกล่าว

นอกจากนี้ การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ก็ยังเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศกลุ่ม CLMV มีการขยายตัวยิ่งขึ้น และเอื้อให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยสามารถเข้าไปประกอบธุรกิจยังประเทศดังกล่าวได้สะดวกขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้เริ่มเข้าไปเจาะตลาดประเทศกลุ่ม CLMV

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเมียนมาร์ ที่ได้มีการรับจัดงานอีเวนท์และแคมเปญขนาดใหญ่ในปีที่ผ่านมา เช่น งานเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ งานเทศกาลสงกรานต์ งานมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 เป็นต้น รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยยังริเริ่มสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ของประเทศกลุ่ม CLMV ในหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น การร่วมหุ้นจัดตั้งบริษัท การร่วมก่อสร้างสถานที่จัดงานอีเวนท์เพื่อส่งเสริมให้ประเทศกลุ่ม CLMV มีสถานที่รองรับการจัดการงานที่จะสามารถต่อยอดธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ อีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้ เป็นต้น

แนะปรับกลยุทธ์การแข่งขัน

ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในระดับสูง การรับมือโดยการกระจายความเสี่ยงผ่านการขยายธุรกิจไปในต่างจังหวัด และเจาะตลาดใหม่ในต่างประเทศอาจไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์จึงควรปรับกลยุทธ์การแข่งขันควบคู่กันไปด้วย โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงานมาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร กล่าวคือ ประยุกต์ใช้จุดแข็งในด้านความเข้าใจความต้องการของผู้เข้าร่วมการจัดงานอีเวนท์ มาต่อยอดในการเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการจัดการงานอีเวนท์

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ สามารถใช้ข้อได้เปรียบทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ ผนวกกับเครือข่ายพันธมิตรที่มีอยู่ ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสื่อโฆษณา รวมถึงธุรกิจบันเทิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม CLMV ที่พบว่ารูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้คนมีความคล้ายคลึงกับคนไทย ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่สามารถนำองค์ความรู้ในด้านความเข้าใจในความต้องการของคนไทยประยุกต์ใช้กับผู้คนในประเทศดังกล่าวได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาถึงความแตกต่างด้านรูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมในบางประการที่เป็นประเด็นอ่อนไหวควบคู่กันไป เพื่อให้การขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความราบรื่น

ขอบคุณ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การชุมนุมปิดกรุงเทพฯ (ชัตดาวน์) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยภาพรวมการจำหน่ายสินค้ายังคงเป็นไปตามปกติ ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่อยู่ในย่านของการชุมนุม แม้จะปิดให้บริการเร็วขึ้น แต่ยังมีประชาชนเข้าไป จับจ่ายซื้อของเช่นเดิม ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ต้องการใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางมาซื้อ สินค้ามีอุปสรรคในเรื่องเส้นทาง เนื่องจากมีการชุมนุมปิดถนนและย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แต่ก็มีลูกค้าในกลุ่มของผู้ชุมนุมเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้าในย่านที่มีการ ชุมนุมด้วยเช่นกัน ขณะที่ร้านสะดวกซื้อมียอดขายดีขึ้น ร้านอาหารปรุงสำเร็จและร้านจำหน่ายสินค้าจิปาถะต่างๆ จะคึกคักขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากความต้องการบริโภคมีมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ของการชุมนุม ส่วนการจัดส่งสินค้ายังไม่พบปัญหา เนื่องจากผู้ค้าได้มีการเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า ทั้งการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าและการเตรียมเส้นทางสำรองในการขนส่งสินค้าภาย หลังจากที่มีการชุมนุมปิดเส้นทางสำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ หากการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ยืดเยื้อ 2 สัปดาห์คาดว่าจะมีผลกระทบกับการจำหน่ายสินค้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะในย่านธุรกิจที่เป็นพื้นที่ชุมนุม เช่น สยามและย่านราชประสงค์ ที่ยอดขายจะลดลงจากจำนวนลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวที่จะลดลง แต่ในส่วนของร้านค้าย่อยหรือร้านสะดวกซื้อคาดว่าจะยังคงคึกคัก แต่จะต้องมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เนื่อง จากร้านสะดวกซื้อสามารถสต๊อกสินค้าไว้ได้เพียง 3 วัน

ด้านนายวรวิทย์ เจริญวัฒนพันธ์ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย กล่าวถึงการขนส่งสินค้าในพื้นที่ที่ม็อบปิดกรุงเทพฯ ยังไม่พบปัญหาใดๆ ในการนำสินค้าไปส่งให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะห้างค้าปลีกใหญ่ได้สต๊อกสินค้าที่มีความจำเป็นไว้ล่าง หน้าแล้ว ยกเว้นเพียงสินค้าประเภทอาหารที่ยังต้องการเพิ่มเติม โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น ที่ยังต้องการสินค้าประเภทอาหารเข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมด้วย ซึ่งการขนส่งสินค้าก็ยังสามารถทำได้อยู่ เนื่องจากผู้ชุมนุมยังเปิดเส้นทางให้สัญจรไว้บ้าง และเท่าที่ติดตามสถานการณ์การชุมนุมยังมีเส้นทางที่สามารถขนส่งสินค้าเข้าไป ยังพื้นที่ชุมนุมและพื้นที่ใกล้เคียงยังสามารถทำได้อยู่เช่นเดิม

42688149AAAD43E3AF1FC3EF7D9AC79F

ทีวีไดเร็คตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต15% 17 มกราคม 2557 เวลา 20:11 น. |เปิดอ่าน 226 | ความคิดเห็น 0 0 1 More Sharing Services ทั้งหมด + ทีวีไดเร็ค ประกาศแผนธุรกิจปี 57 วาง  5  แนวทางธุรกิจ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1avrDam

D11004768-0

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เตรียมขยายธุรกิจทางภาคใต้ของประเทศไทย เดินหน้ารุกจังหวัดกระบี่เต็มแรง ล่าสุดเซ็นสัญญาเข้าบริหารรีสอร์ทใหม่ 3 แห่ง ในอำเภอคลองเมืองโดยจะดำเนินการพัฒนารีสอร์ททั้งหมดตามกรอบแผนแม่บทฉบับเดียวกันที่ได้วางไว้ สำหรับรีสอร์ทใหม่ จะมีชื่อว่า เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่   ทั้งนี้ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด เป็นเจ้าของพิลิแกนเบย์ผู้พัฒนาโครงการรีสอร์ททั้ง 3 แห่ง ได้เซ็นต์สัญญากับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เพื่อเข้าบริหารรีสอร์ท เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา   โดยเซ็นทาราได้เปิดให้บริการรีสอร์ทแล้วจำนวน 2 แห่งได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา กระบี่ โดยเปิดให้บริการ เมื่อปี 2549 และเซ็นทาราอันดาเทวีรีสอร์ทและสปา กระบี่ ในปี  2555   ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่ปีมานี้ จังหวัดกระบี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง รวมทั้งมีศักยภาพอย่างมหาศาลที่จะเติบโตในอนาคต”   “เรามีความภาคภูมิใจมากที่มีโอกาสได้เป็นผู้นำในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดกระบี่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว สำหรับกิจการรีสอร์ทใหม่ทั้ง 3 แห่งนี้ มีส่วนช่วยกำหนดขอบเขตที่ดีเยี่ยมในการดำเนินธุรกิจของเราในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสวยงามมากๆ” ธีระยุทธ กล่าวอย่างภูมิใจ   คริส เบลีย์ รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่าการเพิ่มรีสอร์ทอีก 3 แห่งในจังหวัดกระบี่ จะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ให้เติบโตมากขึ้น โดยระบุว่า  “รีสอร์ททั้ง 3 แห่งจะนำเสนอประสบการณ์วันหยุดใน 3 รูปแบบที่แตกต่างกัน บนพื้นที่ที่โดดเด่นด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และยังจะสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาลให้กับการวางกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา และจะช่วยสร้างชื่อเสียงของจังหวัดกระบี่ให้เป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพอีกด้วย”   ทั้งนี้ เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท จะเปิดให้บริการเป็นแห่งแรก โดยขณะนี้ กำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในกลางปี 2557 นี้  รีสอร์ทฯ ประกอบด้วยห้องพักสำหรับพักอาศัยจำนวน 92 ยูนิต ห้องอาหาร 1 แห่ง, สระว่ายน้ำ, มุมธุรกิจ และบีชคลับ   ส่วน เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่ เตรียมวางแผนงานและการออกแบบในช่วงกลางปีนี้ โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในไตรมาสแรกของปี 2560  ประกอบด้วยห้องพัก 210 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ห้องอาหาร 2 แห่ง บาร์ 1 แห่ง สระว่ายน้ำพร้อมสแน็คบาร์, สปาเซ็นวารี, ห้องจัดเลี้ยง, ศูนย์ธุรกิจ, ห้องออกกำลังกาย และคิดส์คลับ  ขณะที่เซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่ จะเป็นรีสอร์ทสไตล์วิลลาเต็มรูปแบบ โดยวิลลาจำลองได้ถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ และจะเริ่มดำเนินการในส่วนของแผนแม่บทและการก่อสร้าง พร้อมๆ กันกับเซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา โดยคาดการณ์ว่ารีสอร์ททั้ง 2 แห่ง จะเปิดให้บริการในช่วงเวลาเดียวกันคือ ไตรมาสแรกของปี 2560   ปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราเป็นเชนโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย มีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งสิ้น 65 แห่ง โดยตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย 47 แห่ง และในต่างประเทศ 18 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม มัลดีฟส์ ศรีลังกา เซี้ยงไฮ้ บาหลี อินโดนีเซีย เกาะมอริเชียส มหาสมุทรอินเดีย และเอธิโอเปีย โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อตอบ สนองความต้องการของแขกผู้เข้าพักทุกกลุ่ม ทั้งคู่รัก ครอบครัว และกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมทั้งผู้ที่ต้องการจัดประชุมและสัมมนา   นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ “สปาเซ็นวารี” ซึ่งเป็นสปาแบรนด์ไทยที่ให้บริการ สปาระดับแนวหน้ามาตรฐานสากลทั้งหมด 27 สาขา อีกทั้ง “เซนส์” บายสปาเซ็นวารี สปาแบรนด์ใหม่ที่เน้นการให้บริการ สปาทรีตเม้นท์ตอบสนองความต้องการของนักเดินทางในราคาที่คุ้มค่า และคิดส์คลับที่มีกิจกรรมสนุกสนานให้กับเด็กเล็กและเด็กโตในรีสอร์ทสำหรับ กลุ่มครอบครัวซึ่งอยู่ในเครือเซ็นทาราทั่วโลก นอกจากนี้ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารายังให้บริการห้องประชุมและคอนเวนชันที่ เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัย สามารถรองรับการประชุมและการสัมมนาขนาดใหญ่ได้ถึง 4 แห่ง โดยอยู่ในกรุงเทพฯ  2 แห่ง และ อีก 2 แห่ง ในภาคอิสาน ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ ขอนแก่น แบรนด์โรงแรมใหม่ล่าสุด ได้แก่ “โคซี่” ซึ่งเป็น  แบรนด์โรงแรมราคาประหยัด เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ ปานกลาง นิยมจองห้องพักออนไลน์และชื่นชอบความสะดวกสบายในราคาที่เป็นมิตร ขณะนี้เตรียมเปิดโรงแรมแห่งแรกในปี พ.ศ. 2559     สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เซ็นสัญญาเข้าบริหาร “เซ็นทาราพีลีแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพีลีแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพีลีแกนเบย์วิลลา กระบี่”  กับ พรชัย งามศัพพศิลป์ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด โดยมี ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ (ที่ 3 จากขวา), สุภรัฐ จิราธิวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) และ ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ (ขวาสุด) พร้อมด้วย กัณวัล งามศัพพศิลป์ (ที่ 3 จากซ้าย), ขัณชรส งามศัพพศิลป์ (ที่ 2 จากซ้าย), แอนดรูว์ งามศัพพศิลป์ (ซ้ายสุด) ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ห้องโลตัส 10 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

ขอบคุณข้อมูลจาก : มติชน

24-11-11-15-31-07-s

กรุงเทพฯ–17 ม.ค.–เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปที่สนใจ เข้าร่วมโครงการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการและธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หลักสูตร “ข้อกำหนดการค้าและผลกระทบทางภาษีใน AEC” เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม(SMEs) ที่มีความประสงค์จะทำธุรกิจใน AEC ได้มีความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ และขั้นตอน วิธีการนำเข้าและส่งออกสินค้าของประเทศใน AEC อย่างถูกต้องรวมทั้งทราบถึงข้อกำหนดการค้า การลงทุน การเปิดตลาดการค้า และโลจิสติกส์ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อวิเคราะห์ถึง โอกาส ปัญหาและอุปสรรค จากมาตรการการค้าและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถจัดทำกลยุทธ์ในการนำเข้าและส่งออกสินค้าพร้อมทั้งเตรียมแผนรับมือกับผลกระทบทางภาษีใน AEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พระราม 6 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02 202 4594 / 02 202 4537 หรือ http://baid.dip.go.th/

นามบัตร ดีไซน์ได้ทั้งตัดและต่อโอกาส
โดย อาจารย์บอย ไพ่ผ่อง
ทุกวันนี้ แม้เทคโนโลยีการสื่อสารจะก้าวไกลเพียงใด แต่เมื่อต้องไปพบปะติดต่อธุรกิจครั้งใด สิ่งที่เมื่อคู่เจรจาพบกันครั้งแรกจะกระทำนอกจากการทักทายแนะนำตัวแล้วก็อาจจะแลก “นามบัตร” (name card) กันเพื่อให้ผู้รับได้ใช้ในการติดต่อ หรือสานสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเจ้าของนามบัตรในอนาคต ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านามบัตรใบเล็กๆ นี้ก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมโชค เพิ่มโอกาสให้แก่เจ้าของได้บ้าง เพราะจะเห็นว่านามบัตรบางใบเมื่อได้รับ ผู้รับจะมองด้วยความสนใจ ชื่นชม ขณะที่บางใบเมื่อรับแล้วก็เพียงเก็บไว้เฉยๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรื่อง “ฮวงจุ้ยของนามบัตร” ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจหลักการออกแบบนามบัตรที่ดีตามหลักฮวงจุ้ยเบญจธาตุกันครั ทั้งนี้ก่อนที่เราจะเลือกใช้สีใดเป็นสีพื้นนามบัตร สีตัวอักษร รวมถึงสีตัวเลขๆ ก็ต้องทราบก่อนว่า เจ้าของนามบัตรเป็นคนธาตุใด วิธีการหาธาตุสำคัญประจำตัวบุคคลมีหลายวิธี ผู้อ่านสามารถดูได้จากรหัสบุคคล และนำรหัสมาเทียบว่าตนเองเป็นคนธาตุอะไร หรืออาจจะใช้ปีนักษัตรในการหาธาตุประจำตัวก็ได้ การใช้ธาตุตามปีนักษัตรแม้จะไม่ผิด แต่ก็ไม่ละเอียด ดังนั้นจึงขอสรุปสำหรับธาตุประจำ 12 นักษัตรไว้ดังนี คนเกิดปีชวด        เป็นคนธาตุน้ำ คนเกิดปีฉลู        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีขาล        เป็นคนธาตุไม้ คนเกิดปีเถาะ        เป็นคนธาตุไม้ คนเกิดปีมะโรง        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีมะเส็ง        เป็นคนธาตุไฟ คนเกิดปีมะเมีย        เป็นคนธาตุไฟ คนเกิดปีมะแม        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีวอก        เป็นคนธาตุทอง คนเกิดปีระกา        เป็นคนธาตุทอง คนเกิดปีจอ        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีกุน        เป็นคนธาตุน้ำ อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าจะต้องนับแบบจีน คือจะเปลี่ยนปีนักษัตรในวันตรุษจีน เช่น ปี 2556 วันตรุษจีนคือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ดังนั้น ก่อนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นับเป็นปีนักษัตรมะโรง ธาตุดิน ส่วนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ถือเป็นปีนักษัตรมะเส็ง ธาตุไฟ จากนั้นผู้อ่านควรทราบถึงกฎ หรือ วัฏจักรของการก่อกำเนิดธาตุไว้พอสังเขปว่าแยกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือการกำเนิด คือการเกื้อกูล เป็นการส่งผลดี ได้แก่ น้ำ กำเนิด ไม้ ไม้ กำเนิด ไฟ ไฟ กำเนิด ดิน ดิน กำเนิด ทอง ทอง กำเนิด น้ำ ส่วนการทำลาย หรือการเป็นศัตรู ก่อให้เกิดผลเสีย ต้องหลีกเลี่ยงคู่ที่ทำลายกันก็คือ น้ำ ดับทำลายไฟ ไฟ เผาหลอมทำลายทอง ทอง ตัดฟันทำลายไม้ ไม้ ชำแรกทำลายดิน ดินกั้นขวางทำลายน้ำ เมื่อเราทราบถึงหลักการเกื้อกูล และทำลายแล้ว เราก็สามารถกำหนดสีในนามบัตรให้แก่บุคคลธาตุต่างๆ ได้โดยง่ายดังนี้ บุคคลธาตุน้ำ  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีขาว , สีบรอนซ์เงิน , สีบรอนซ์เทา, สีฟ้า, สีฟ้าคราม, สีน้ำเงิน, สีดำ, สีม่วง และ สีเขียว บุคคลธาตุไม้  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีเขียว , สีม่วง , สีคราม , สีฟ้า , สีน้ำเงิน , สีฟ้าน้ำทะเล , สีดำ  , สีเทา , สีแดง , สีชมพู , สีโอรส , สีส้ม , สีอิฐ และสีแสด บุคคลธาตุไฟ  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีสีแดง , สีชมพู , สีโอรส , สีส้ม , สีอิฐ , สีแสด , สีเหลือง , สีครีม , สีน้ำตาล , สีทอง และสีเขียว บุคคลธาตุดิน  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีเหลือง , สีครีม , สีน้ำตาล , สีทอง , สีบรอนซ์ทอง , สีบรอนซ์เงิน , สีขาว , สีแดง , สีส้ม , สีโอรส , สีอิฐ , สีชมพู และสีแสด บุคคลธาตุทอง  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีทอง , สีบรอนซ์ทอง , สีบรอนซ์เงิน , สีขาว , สีฟ้า , สีน้ำเงิน , สีฟ้าน้ำทะเล , สีเทอร์คอยส์ , สีดำ , สีเทา และสีม่วง เมื่อได้ทราบถึงสีหลักๆ ในแต่ละส่วนบนนามบัตรที่เป็นสีมงคลของท่านแล้ว ทีนี้ก็แค่สังร้านรับทำนามบัตรให้ชัดเจนว่าต้องการสีอะไรตรงไหน แล้วก็ตรวจสอบก่อนพิมพ์จริงอีกครั้ง เพียงเท่านี้ ท่านก็จะได้นามบัตรเสริมโชคลาภให้กับตนเอง เมื่อผสานกับวาจาที่มีศิลปะเข้าใจคู่สนทนาแล้ว รับรองว่าโชควาสนาย่อมอยู่ในมือทุกท่านแน่นอนครับ ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยพาณิชย์

คาร์บอนเครดิต รายได้ใหม่ของไทย

 

“คาร์บอนเครดิต” เป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา หลายคนได้ยินชื่อแล้วอาจงุนงง ก็เหมือนกับตอนที่เรา ได้ยินคำว่า ISO ใหม่ๆนั่นแหละความจริงแล้วคำนี้แยกเป็นสองคำ คือ คำว่า “คาร์บอน” หมายถึงปริมาณก๊าซ ที่เราปล่อยขึ้นไปในอากาศ และทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ก๊าซมีเทน ส่วน“เครดิต” คือความรับผิดชอบ ความน่าเชื่อถือ การทำ “คาร์บอนเครดิต” ก็คือการมีความรับผิดชอบในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นในในอากาศว่าจะไม่มีปริมาณมากเกินไปจนก่อปัญหากับโลกใบนี้นั่นเอง หรือภาษาทางการเรียกว่า “การดำเนินกลไกการพัฒนาที่สะอาด” เรียกเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆว่า CDM (Clean Development Mechanism) แนวคิดนี้เกิดขึ้นในการประชุมของประเทศมาชิกอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC โดยมีการประชุมที่กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น จึงเรียกข้อตกลงในการประชุมครั้งนั้นว่า “ข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต” โดยข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าให้ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินอัตรา ลดการปล่อยก๊าซลง หากไม่สามารถกระทำได้ต้องจ่ายค่าปรับตามจำนวนที่ปล่อยเกิน ยกตัวอย่างเช่น กำหนดให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงปีละ 10 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆสามารถลดการปล่อยก๊าซได้เพียง 5 ล้านตัน ส่วนที่ลดไม่ได้จะต้องโดนปรับตันละ 500 บาท อย่างไรก็ตาม ยังมีทางออกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเกินกำหนดไปซื้อ “คาร์บอนเครดิต” จากประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ากำหนดได้ เช่น ประเทศที่มีการปลูกป่ามาก มีการใช้พลังงานทดแทนมาก และมีโรงงานอุตสาหกรรมน้อย ซึ่งประเทศเหล่านี้นอกจากจะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าข้อกำหนดแล้ว ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซได้อย่างต่อเนื่อง โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่โดนปรับก็จะมาซื้อ “คาร์บอนเครดิต” จากประเทศเหล่านี้ในราคาที่ถูกกว่าค่าปรับ เช่น ราคาตันละ 200 บาท เป็นต้น ความจริงแล้วโรงงานอุตสาหกรรมที่โดนปรับในฐานะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด นอกจากจะเสียค่าปรับแล้ว ยังเสียเครดิตในทางการค้าอีกด้วย เพราะสินค้าจากโรงงานเหล่านี้จะไม่สามารถส่งไปขายในประเทศที่เข้าร่วมข้อตกลงในพิธีสารเกียวโตได้ เพราะฉะนั้นทุกโรงงานจึงพยายามสร้างเดรดิตด้วยการผลิตสินค้าใช้วัสดุที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม มีเทคโลยีการผลิตที่สะอาด ลดการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ ดังที่เราเริ่มเห็นคำว่า “Green” แปะอยู่บนสินค้าประเภทต่างๆ หรือการเปลี่ยนการใช้ถุงพลาสติกมาใช้ถุงผ้าก็เป็นการสร้าง “คาร์บอนเครดิต” ชนิดหนึ่ง กิจการใดที่ไม่รักษาสภาพแวดล้อม ไม่มีเทคโนโลยีที่สะอาด ขาดประสิทธิภาพในการ จัดการกับสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้ต้องปล่อยสารคาร์บอนออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดมลพิษตามมาดังกล่าวข้างต้น กิจการนั้นจะต้องโดนค่าปรับจำนวนมหาศาลตามที่ตกลงกันไว้ เว้นแต่จะต้องไปหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชย หลายโรงงานในบ้านเราเริ่มหันมาทำเรื่องนี้โดยมีเป้าหมายนอกจากการสร้างเครดิตให้กับตัวโรงงานเองแล้ว ยังสามารถขายเครดิตให้กับโรงงานในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเกินกำหนดอีกด้วย ไม่ใช่เฉพาะโรงงานใหญ่ๆเท่านั้นที่ขายคาร์บอนเครดิตได้ ชาวบ้านทั่วไปก็ทำได้เหมือนกัน แต่อาจทำในรูปเครือข่าย อย่างเช่นกรณีที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สวพ.มช.) ร่วมกับ ธนาคารโลก (World Bank) พัฒนาโครงการ CDM ขนาดเล็กสำหรับฟาร์มสุกรในประเทศไทย เพื่อนำกลไกการพัฒนาที่สะอาดมาใช้เพิ่มคุณค่าของพลังงานก๊าซชีวภาพ นำมูลสุกรไปผลิตเป็นแก๊สขี้หมู ก่อให้เกิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถึงปีละ 30 ล้านหน่วย สามารถทดแทนการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ปีละกว่า 9 ล้านลิตร โดยมีการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิตจาก สวพ. มช.ไปเมื่อเร็วๆนี้ การดำเนินงานโครงการฯ ในระยะแรกมีฟาร์มสุกรทั่วประเทศเข้าร่วมจำนวน 36 ฟาร์ม คิดเป็นสุกรประมาณ 600,000 ตัว  ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมได้มากกว่าปีละ 240,000 ตัน ทำให้เกิดการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศจากการขายคาร์บอนเครดิตได้มากถึงปีละ 115 ล้านบาท นอกจากจะได้รับประโยชน์จากการขายคาร์บอนเครดิต ฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วยังช่วยลดปัญหากลิ่นเหม็นและแมลงที่เป็นพาหะแพร่เชื้อโรคได้ รวมทั้งลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยนำก๊าซชีวภาพมาใช้ประโยชน์เป็นพลังงานความร้อนหรือใช้ผลิตไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม หากเหลือใช้ยังสามารถจำหน่ายให้กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้อีกด้วย ถือเป็นรายได้ใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ!!! ขอบคุณ – (ผู้เขียน : จตุรงค์ กอบแก้ว)

 

ศอ.รส. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการเตรียมความพร้อมรับมือการชุมนุม ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค. มีรายละเอียดโดยย่อดังนี้ ช่วงการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. กระทรวงสาธารณสุข พยายามอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบสำหรับผู้ที่ไม่ สามารถเดินทางไปรับยาหรือไป รพ.ได้ตามที่แพทย์นัดหมาย สามารถโทรสอบถามข้อมูลได้ ส่วนผู้ป่วยจิตเวช กรมสุขภาพจิต ได้เลื่อนนัดผู้ป่วยให้มารับยาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสามารถรับยาได้ในสถานพยาบาลที่ใกล้เคียง โดยเปิดสายตรง 1323 ไว้บริการประชาชน สามารถโทรสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชม. โดยสถานพยาบาลแต่ละแห่งจะมีการลิงก์ข้อมูลถึงกัน
นอกจากนี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สพฉ. ยังกำหนดให้หน่วยพยาบาลทุกหน่วย ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ และวางตัวเป็นกลาง ในการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม เน้นความปลอดภัยทั้งตัวบุคลากรและประชาชน มีการประสานงานทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากประชาชนเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ ต้องการให้รถพยาบาลไปรับ สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1669-1646 จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยพร้อมกัน

อ้างอิง : blueskychannel.tv

พีออลล์ รุกตลาดอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ เปิดตัว บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด ให้บริการช็อปออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมพัฒนาระบบปฏิบัติการ, การขนส่ง และคลังสินค้ารองรับการเติบโต ตั้งเป้าปีม้า 4,300 ล้านบาท

นายอำพา ยงพิศาลภพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช็อปปิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ซีพีออลล์ ได้ขยายธุรกิจใหม่ภายในปี 2557 ภายใต้ชื่อบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด (24 shopping Co.,Ltd) เพื่อเป็นการพัฒนาต่อยอดจากธุรกิจ เซเว่นแคตตาล็อก (7Catalog) โดยจะเป็นการแยกทีมกับ บมจ.ซีพีออลล์โดยสิ้นเชิง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในด้านการบริหารมากยิ่งขึ้น โดยมีทุนจดทะเบียนกว่า 30 ล้านบาท และมี บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้น 99.99% ซึ่งบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด จะเป็นผู้ให้บริการในด้านการสั่งจองสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้า ผ่านช่องทางการจำหน่ายดังนี้ 1.การจำหน่ายสินค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (Catalog on shelf) 2.จำหน่ายผ่านทางนิตยสารเซเว่นแคตตาล็อก (Catalog on book) 3.การสั่งสินค้าผ่านลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลข 0-2711-7666 4.จำหน่ายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ 4 เว็บไซต์ www.7catalog.com, www.shopat7.com, amuletat7.com, www.booksmile.com และ 5.ให้บริการเป็นตัวแทนศูนย์กลางในการรับสั่งจอง และส่งมอบสินค้าให้แก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้การก่อตั้งบริษัทฯ เป็นการขยายธุรกิจของเซเว่น อีเลฟเว่น ไปสู่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบ โตมาโดยตลอด และจะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ด้วยการพัฒนาการให้บริการในการรับสั่งสินค้าเป็นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวัน และการพัฒนาระบบ AMOS จากทีมงานต่างประเทศ ด้วยงบลงทุนกว่า 200ล้านบาท เพื่อสำรวจวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เพื่อคัดเลือกสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และการเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 2,000 ตารางเมตร เพื่อให้การส่งสินค้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งเป้ารายได้ปี 2557 อยู่ที่ 4,300 ล้านบาท จากปีที่แล้ว 3,700 ล้านบาท

ซึ่งสินค้าภายในช่องทางการจำหน่ายของ บริษัทฯ ประกอบไปด้วยสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภายในประเทศมากกว่า 100 ราย ซึ่งรวมเป็นสินค้ากว่า 2,000 รายการ และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็น 30% ภายในปี 2557 รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยการพัฒนาการจัดส่งในรูปแบบการ ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำสินค้ามาเก็บไว้ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนที่รถขนส่งจากศูนย์กระจายสินค้าของเซเว่นแคตตาล็อกจะนำไปส่ง เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านการขนส่งให้แก่ผู้ประกอบการ และเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถเติบโตควบคู่ไปกับ บริษัทฯ ได้ ซึ่งปัญหาของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในขณะนี้คือการที่ไม่สามารถผลิตสินค้า ออกมาได้ครบจำนวนตามความต้องการของลูกค้า

“ต้องยอมรับว่าตอนนี้สังคมไทยให้ความสำคัญ กับการเลือกซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้ามากกว่าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ คาดว่ายอดขายวันศุกร์-อาทิตย์จะไม่ดีแน่ ซึ่งการลงสินค้าผ่านแคตตาล็อกหรือเว็บไซต์ จะต้องให้ความสำคัญกับสี และคุณภาพกับสินค้าอย่างมาก เพราะไม่สามารถจับต้องสินค้าได้” นายอำพา กล่าว

 

อ้างอิงจาก : banmuang.co.th

แฟรนไชส์ญี่ปุ่นรุกไทยพุ่ง3เท่า

น.ส.มาซามิ ทาจิมะ ประธาน บริษัท แฟรนไชส์ แอ๊ดวานซ์ คอร์ปอเรชั่นส์ หรือเอฟซีเอ ผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาธุรกิจแฟรนไชส์ จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากปัญหาการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1a5omyl

Mind Map : กิจกรรม CoP อาเซียน โอกาสทางการแข่งขันของไทย (คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร)

 

ส.ส.ชัชชาติ โพสต์ซึ้ง อาลัย “ครูนิค“ เหยื่อบัสตกเหว สะพานห้วยตอง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (6 ม.ค.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รักษาการฯ รมว.คมนาคม ได้โพสต์ภาพและข้อความบันทึกการทำงานลงในเฟซบุ๊ก Chadchart Official โดยกล่าวถึงประเด็นอุบัติเหตุครั้งร้ายแรง ส่งท้ายปี 2556 ที่ผ่านมา บริเวณสะพานห้วยตอง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ที่เกิดเหตุรถทัวร์โดยสาร์เสียหลักตกสะพานและพุ่งลงเหวลึก เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556

นายชัชชาติ ได้โพสต์ข้อความไว้ว่า “เมื่อวันที่ 3 ม.ค.57 หลังจากที่ผมโพสเรื่องรถตกเหวที่หล่มสักและมีผู้เสียชีวิต 29 ราย มีแฟนเพจได้ส่งข้อความมาหาผมว่า

‘ผมรู้สึกเสียใจและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งกับอุบัติเหตุซ้ำซากที่เกิดขึ้นบนประเทศไทย ผมเบื่อที่เรื่องราวเหล่านี้เป็นแค่ข่าวหนังสือพิมพ์ 2-3 วันแล้วก็หายไป ทำไมเราต้องเอาชีวิตที่อุตส่าห์สร้างมาด้วยความลำบาก ไปฝากกับคนขับรถ หรือรถโดยสารที่ไม่ได้คุณภาพ แลกกับเศษเงินประกัน แลกกับความพิการหรือเสียชีวิต วันนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผม มันเกิดกับคนที่ผมรัก ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก และผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะเกิดกับคนอื่นๆ หรือแม้แต่เราเอง” และ ขอให้ผมมารับข้อร้องเรียนและพบญาติผู้เสียชีวิตที่สถานีรถปรับอากาศขอนแก่น ในวันที่ 6 ม.ค.’

ผมไม่ทราบรายละเอียดว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร ไม่รู้ว่าแฟนเพจท่านนี้คือใคร แต่เห็นความตั้งใจจึงอยากมาเจอ อยากมาฟังข้อเสนอ เลยเดินทางมาขอนแก่นพร้อม อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รองอธิบดีกรมทางหลวง และผู้จัดการ บขส.

พอมาถึงขอนแก่นถึงทราบว่า ผู้ที่เสียชีวิตเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ชื่อ ครูนิค เป็นลูกครึ่ง สอนที่นี่มา 9 ปีแล้ว นักเรียนรักทั้งโรงเรียน คุณพ่อเป็นชาวอเมริกันอยู่เมืองไทยมา 19 ปีแล้ว คุณแม่เป็นคนไทย ทั้งคู่มีลูก 10 คน ตอนนี้อยู่ที่โคราช ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพ่ีน้องของครูนิคมาร่วมงานด้วย

บรรยากาศเศร้ามากครับ ผมร่วมเดินไปกับครอบครัวและนักเรียน ครู หลายร้อยคน จากโรงเรียนไปสถานีขนส่งที่ครูนิค ขึ้นรถเป็นครั้งสุดท้าย มีการอ่านข้อเสนอแนะของเครือข่ายเฝ้าระวังอุบัติเหตุจากรถโดยสาร (เพจของเครือข่าย https://www.facebook.com/Reorganize.PublicBus) จุดเทียน และ ร้องเพลงไว้อาลัย

ข้อเสนอของเครือข่ายมีดีๆหลายเรื่อง หลายอันเราก็ดำเนินการอยู่ ผมได้เน้นย้ำกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงว่าเราต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของผู้โดยสาร ทำเล่นๆ ไม่ได้ อุบัติเหตุที่เกิดแต่ละครั้ง มันกระทบกับชีวิตคนมากเหลือเกิน

ขอให้ครูนิคและผู้เสียชีวิตทุกท่านไปสู่สุคติครับ เราจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่สูญเปล่าครับ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา นายชัชชาติ ได้เดินทางไปที่ จ.ขอนแก่น เพื่อร่วมพิธีไว้อาลัย “ครูนิค” ร่วมกับญาติๆ และลูกศิษย์นับร้อยคน ที่ต่างก็ยังทำใจไม่ได้กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมกับมีความหวังว่าโศกนาฏกรรมลักษณะเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำบ่อยครั้งในสังคมไทยอีก

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

องค์การโทรคมนาคมของประเทศลาว เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 26 ต.ค.55 ที่ผ่านมา ทางการลาวได้ทดลองเปิดใช้เทคโนโลยี 4G แล้วในกรุงเวียงจันทน์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรปครั้งที่ 9 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5-6 พฤศจิกายนนี้

20131031140707

ทั้งนี้ เทคโนโลยี 4G จะถูกนำมาใช้ในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ซึ่งมีคณะผู้นำและแขกจากประเทศต่าง ๆ กว่า 50 ประเทศที่เข้าร่วมประชุม ส่วนต่างจังหวัดของลาวคาดว่าจะได้ใช้ 4G ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า

โดยความเร็วของเทคโนโลยี 4G มีความเร็วสูงสุดกว่า 100Mbps เร็วกว่าเทคโนโลยี 3G ถึง 5 เท่า ซึ่งจากการเปิดตัวดังกล่าว ทำให้ลาวเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ที่ได้นำ 4G มาใช้

เนื้อหาอ้างอิงจาก  mthai

ปีหน้าที่ทุกคนมองว่าเป็นโจทย์หินของ “ธุรกิจ” ทั้งกำลังซื้อที่ซบเซาต่อเนื่อง ภาวะการเมืองที่ยังคงวุ่นวายข้ามปี ทำให้การก้าวขึ้นปีใหม่ในปี 2557 ยังคง “อึมครึม” กลายเป็นโจทย์หลักของทุกผู้ประกอบการที่ต้องเตรียมรับมือ สู้ศึกกันอย่างหนักในปีม้าที่จะถึงนี้

“อนุวัตร เฉลิมไชย” นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เท่าที่พูดคุยกันในแวดวงธุรกิจ ตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงต้นปี 2557 ยังมีความอึมครึมไม่แน่นอนกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยคาดว่าไตรมาส 1 ปีหน้าทุกธุรกิจจะเหนื่อยในการกระตุ้นตลาดเพราะมู้ดจับจ่ายผู้บริโภคไม่ดี

“สินค้าจำเป็นน่าจะขับเคลื่อนไปได้ แต่ฟุ่มเฟือยก็อาจจะไม่ดี แต่อีกแง่หนึ่งสำหรับสินค้าที่เจาะกลุ่มไฮเอนด์อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อที่ไม่เซนซิทีฟในเรื่องของราคามากนัก แต่กลุ่มที่มุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คงจะลำบาก เพราะนักท่องเที่ยวลดลง”

สิ่งที่ธุรกิจต้องพิจารณาเป็นพิเศษ คือ กลยุทธ์การทำตลาดต้นปีหน้า การโฆษณา หรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ต้องเผื่อใจไว้ว่าอาจไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร เนื่องจากผู้บริโภคขณะนี้มุ่งสนใจการเมืองมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ดังนั้นงบฯที่ทำตลาดลงไปอาจไม่คุ้มค่า ดังนั้นการจะโปรโมตอะไรในปีหน้าก็ค่อนข้างลำบาก

“สัญญาณการจับจ่าย การบริโภคจริง ๆ ไม่ดีมาตั้งแต่ต้นปี 2556 แล้วจากนโยบายรถคันแรก ก่อนหน้านั้นในช่วงปลายปี 2554 ก็เกิดน้ำท่วม กระทบต่อกำลังซื้อมาต่อเนื่องคืออารมณ์ผู้บริโภคไม่ดีอยู่แล้วทุกค่ายก็คาดว่าสิ้นปีนี้จะมากระตุ้นกันอย่างเต็มที่ ก็ต้องมาเจอสถานการณ์การเมืองอีก”

หากประเมินจากจุดทางการเมืองของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกันขณะนี้ “อนุวัตร” ยอมรับว่า สถานการณ์ต่าง ๆ อาจจะยืดเยื้อ แต่ธุรกิจก็ควรจะสู้อย่างเต็มที่ในไตรมาส 1 ไม่ควรทิ้งไปเลย ดูตัวอย่างตลาดสหรัฐอเมริกา ที่เศรษฐกิจตกต่ำมา 2-3 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าวหลายบริษัทก็สามารถทำกำไรได้ดี

คำแนะนำในปีหน้า ในฐานะนายกสมาคมการตลาด เขามองว่า ธุรกิจยังต้องเดินหน้าทำตลาดต่อเนื่อง แต่ต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้นไม่ควรใส่เงินแบบเหวี่ยงแห เพราะจะไม่คุ้มค่า การใช้เงินต้องละเอียดมากขึ้น เนียนมากขึ้น ดูว่าตลาดเซ็กเมนต์ไหนทำได้ ทำไม่ได้ อาทิ พื้นที่ในต่างจังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะการเมือง จะสามารถไปจัดกิจกรรมหรือทำอะไรได้หรือไม่

“ระยะสั้นสิ่งที่น่าจะทำได้คือ การรุกดิจิทัล ซึ่งใช้งบประมาณไม่สูงและมีความคุ้มค่ากว่า ช่วงต้นปีหน้าธุรกิจอาจยังไม่ต้องใช้งบฯหว่านเจาะตลาดแมส จริง ๆ เดี๋ยวนี้ดิจิทัลทำได้หลายอย่าง ทั้งแจกคูปองหรือกิจกรรมออนไลน์ เจาะเป็นกลุ่ม ๆ ไป แม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่เจาะวงกว้างก็สามารถทำได้ อาทิ การรุกช่องทางจำหน่ายแต่ละช่องทางที่แตกต่างกัน เพราะค้าปลีกแต่ละค่ายกลุ่มลูกค้าก็แตกต่างกันอยู่แล้ว”

อย่างไรก็ตามด้วยภาวะที่ไม่มีอะไรแน่นอน เขาเชื่อว่าทุกค่ายก็คงจะเลือกการ “จัดโปรโมชั่น” เพื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน

“ไตรมาส 1 ปีหน้าโปรโมชั่นจะเต็มตลาด ทุกค่ายคงจัดกันอย่างเต็มที่ เพราะจะต่อเนื่องไปถึงตรุษจีนจนถึงปิดเทอม ลากยาวไป ทุกคนก็คงหนีตายกันแน่ ๆ”

เขาเชื่อว่า ภาวะที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิด “สงครามราคา” ที่รุนแรง ที่อาจไม่เป็นผลดีกับธุรกิจโดยเฉพาะในระยะยาว

“แนะนำว่าปีหน้าทุกคนไม่ควรเล่นแบบเดิม เพราะจะมี Fix Cost ที่สูงมาก แต่ควรวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจดี ๆ อย่าให้เกิดเป็นสงครามราคา เพราะจะพังกันหมด โดยเฉพาะแบรนด์รอง แบรนด์เล็ก”

ในมุมมองของเขา เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคา เขาเชื่อว่า ธุรกิจยังมีวิธีการอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นตลาดได้อีกมาก ดยการแก้ปัญหาระยะสั้นในสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากการเฝ้าสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว หากทุกอย่างบานปลายจริง ๆก็ต้องมีแผนสำรองเตรียมไว้เพื่อกระตุ้นตลาด ส่วนระยะยาว ทุกธุรกิจน่าจะหันมาเน้นการทำ “ต้นทุน” ให้สามารถแข่งขันได้ หาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วย ระบบซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ หรือหันมาเน้น Value Product สินค้าที่มีประโยชน์ให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า อาทิ ลดไซซ์ แพ็กเกจจิ้ง สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการซื้อจำนวนมาก ใช้เท่าไรซื้อเท่านั้น หรืออาจจะออกมาเป็นไซซ์จัมโบ้ให้รู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการลดราคา

“ในวิกฤตก็มีโอกาสที่เชื่อว่าจะสามารถพลิกได้ ในขณะที่หลายแบรนด์ถอย หรือเน้นทำแต่โปรโมชั่น บางแบรนด์อาจถือโอกาสช่วงนี้โปรโมตแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะการเล่นโซเชียลมาร์เก็ตติ้ง หรืออีกแง่หนึ่งก็เน้นทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมเพื่อปูพื้นในอนาคต เป็นการทำเพื่อระยะยาว ต้องหาช่องออกมา มองภาพในอนาคต”

สำหรับการเปิดตัวสินค้าช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า เขาเชื่อว่าหากสถานการณ์การเมืองยังคงวุ่นวาย สินค้าต่าง ๆ ก็คงจะยกเลิกการเปิดตัว การจัดอีเวนต์ก็อาจใช้วิธีอื่น เปลี่ยนไปเจาะหัวเมืองต่างจังหวัด อย่างไรก็ตามต้องดูเหมาะกับกาลเทศะหรือไม่

“ไม่ใช่ว่าทุกคนพูดเรื่องการเมือง เหตุการณ์วุ่นวาย แต่เรามาฉลองรื่นเริง แต่หากเป็นสินค้าดีมีประโยชน์ต่อผู้บริโภคก็สามารถเปิดตัวออกมาทำตลาดในช่วงนี้ได้”

อีกแง่หนึ่งในภาวะที่การทำตลาดติดขัด เขามองว่า น่าจะเป็นจังหวะเวลาที่ทุกบริษัทหันมาดูแลต้นทุน หรือดูเนื้อหาสินค้าและบริษัทว่าตอบโจทย์ผู้บริโภคหรือไม่อย่างไร

“เดิมภาพสินค้าของเราอาจดูฟุ่มเฟือย ไม่คุ้มค่า ก็ต้องปรับเรื่อง Value Propositionบางอย่าง”

ยิ่งในภาวะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า วัตถุดิบขึ้นราคา ค่าน้ำมัน ค่าขนส่งที่อาจจะปรับขึ้นในต้นปีหน้า ทำให้ต้นทุนสินค้าขึ้น เขาชี้ว่า ตรงนี้ถือว่า “ข่าวร้ายซ้ำสอง” และตอกย้ำสถานการณ์ตลาดในขณะนี้ที่อยู่ในภาวะ “ไร้ข่าวดี”

“ตอนนี้ภูมิต้านทานธุรกิจต้องสูง ในสภาพที่ไม่มีข่าวดี ช่วงเวลานี้ทุกธุรกิจควรกลับมาดูต้นทุนของตัวเอง ต้นทุนที่อาจจะขึ้นในปีหน้า ทุกธุรกิจควรจะคิดเผื่อไว้เลย ต้องลดต้นทุนเต็มที่ ไม่ใช่ผลักภาระให้ผู้บริโภค แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็คงต้องขึ้นราคาตามความจำเป็น”

เขาทิ้งท้ายว่า ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี สิ่งที่จะเป็นอีกตัวชี้วัดในปีหน้าคือ “ประสิทธิภาพ” ของธุรกิจ

“คนที่ต้นทุนดี แข็งแรง ก็จะได้เปรียบ พวกนี้เขาปรับมานาน ทำให้มีความพร้อมในการเผชิญปัญหา แต่คนที่ไม่พร้อมก็จะลำบากพอสมควรในปีหน้า”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

 

สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. จัดประกาศผล “10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม ประจำปี 2556” เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของภาคเอกชน และแสดงแนวโน้มของธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในประเทศไทย

ตั้งเป้าให้เกิดบรรยากาศการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง หวังกระตุ้นผู้ประกอบการไทยให้หันมาสร้างธุรกิจนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

…กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พยายามผลักดันการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ให้เกิดการลงทุนธุรกิจนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้ก้าวทันต่อการแข่งขันในประชาคมอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง

…”การประกาศ 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม 2556 นี้ เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสนช. ดำเนินการต่อเนื่องกันเป็นประจำทุกปี แสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนต่อการสนับสนุนเพื่อยกระดับทักษะความสามารถด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการ ตลอดจนสร้างความตื่นตัวด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการส่งเสริมความสำเร็จด้านนวัตกรรม เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมนวัตกรรมทั้งในระดับอุตสาหกรรม องค์กร และประชาชนทั่วไป เจ้าของผลงานทั้งสิบชิ้นถือเป็น “นวัตกรรม” ที่ประสบความสำเร็จ สร้างผลงานที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม” พีรพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าว

สุดยอดนวัตกรรมธุรกิจทั้ง 10 ชิ้น มีดังนี้

“คูลแคป”…สมุนไพรลดไข้จากบอระเพ็ด

บริษัท ซี.เอ.พี.พี. กรุ๊ป (ประเทศไทย) จํากัด

พัฒนาตำรับยาลดไข้แบบสูตรผสมด้วยการใช้สมุนไพรบอระเพ็ด มาผ่านกระบวนการทำมาตรฐานและควบคุมคุณภาพของสารสกัดด้วยเทคนิคการใช้ความร้อนสูงภายในระยะเวลาสั้น จึงทำไม่เกิดการเสื่อมสลายของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญ ยังผลให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการลดไข้ โดยสามารถนำมาใช้ทดแทนยาเคมีสังเคราะห์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วมากกว่า 7 ล้านบาท คาดว่าจะมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง

“สไมล์ฟีต”แผ่นรองรองเท้าเพื่อสุขภาพ

ห้างหุ้นส่วนจำกัด เฮลท์ อินโนเวชั่น แอนด์ ดีไซน์

แผ่นรองส้นเท้าที่มีคุณสมบัติการกระจายแรงกด (PPRI : Physical Pressure Release Innovation) โดยได้รับการออกแบบให้ถูกต้องตามสรีระด้วยทีมแพทย์และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ มีการปรับลักษณะ รูปร่างตามสรีระ โค้งเว้าให้รับกับเท้าของทุกคนและใช้เทคโนโลยีทางวัสดุที่เพิ่มความยืดหยุ่น และรองรับการกดกระแทกในขณะเดิน วิ่ง และออกกำลังกาย จึงใช้ได้ทั้งบุคคลทั่วไป และผู้ป่วยปวดส้นเท้า

“คูเน่”ผงปรุงรสจากหอมหัวใหญ่

บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด

เครื่องปรุงรสชนิดผง ในการนำหอมหัวใหญ่ที่มีคุณสมบัติให้ “รสอูมามิ” ซึ่งเป็นรสชาติของกลูตาเมตอิสระ ทำหน้าที่ให้รสชาติและเป็นตัวกระตุ้นความอยากอาหาร ใช้ทดแทนผงชูรสและอนุพันธ์ของผงชูรส โดยนำมาผ่านกระบวนการอบแห้งและปรุงรสร่วม กับเครื่องปรุงรสต่างๆ โดยมีเกลือเป็นตัวช่วยให้รสของอูมามิกลมกล่อมขึ้น

“ซูกาเวีย”

สารให้ความหวานจากธรรมชาติ

บริษัท ซูกาเวีย จํากัด

ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตสารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์จากหญ้าหวาน

เป็นการนำหญ้าหวานมาผ่านกระบวนการสกัดด้วยน้ำร้อน จากนั้นมาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์โดยการใช้เรซิ่นเพื่อดูดซับสารสำคัญ และชะล้างสารสำคัญออกจากเรซิ่นด้วยตัวทำละลาย ซึ่งจะทำให้ผลิตสารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์ที่มีความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 95 ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข

“ซูกาเวีย” มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ด้วยการผลักดันหญ้าหวานให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรที่เพาะปลูกหญ้าหวานมีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

“ฟิอูเม่”อ่างอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ

บริษัท บาธรูม ดีไซน์ จำกัด

การออกแบบรูปทรงและทำต้นแบบอ่างอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีรูปแบบการใช้งานและรูปลักษณ์ภายนอกแบบใหม่ที่แตกต่างจากอ่างอาบน้ำทั่วไปในท้องตลาด รวมถึงสามารถติดตั้งและใช้งานง่าย เหมาะสมต่อผู้สูงอายุและผู้ป่วย

วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ในร้านจำหน่ายสุขภัณฑ์ชั้นนำในประเทศไทย ราคาชุดละ 59,000-129,000 บาท คาดการณ์ยอดขายในปี 2557 จะอยู่ที่ประมาณ 200 ชุด หรือคิดเป็นมูลค่าราว 20 ล้านบาท

“สไปโรไจร่า ไบโอมาสก์”

เวชสำอางอินทรีย์จากสาหร่ายเทา

บริษัท สมาร์ทไลฟ์ พลัส จํากัด

เวชสำอางอินทรีย์จากสาหร่ายเทา โดยการนำสูตรตำรับของสารประกอบฟีนอลิกจากสาหร่ายเทาที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพสำคัญ มาขึ้นรูปเป็นแผ่นด้วยโพลีแซกคาไรด์ธรรมชาติจากสาหร่ายเทาและสารไฮโดรคอลลอยด์ ปรับแต่งคุณสมบัติให้เป็นฟิล์มไฮโดรเจลที่สามารถดูดซับน้ำไว้ภายในโครงสร้างสูง มีความยืดหยุ่น สามารถวางทาบและปรับดึงให้แนบสัมผัสกับผิวหน้าได้ดี รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส และยอมให้มีการแพร่ผ่านของสารออกฤทธิ์ต่างๆ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง

พร้อมกันนี้ ยังเพิ่มความแตกต่างด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยการเลือกใช้สารเติมแต่งที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อีกด้วย

“เฮมพ์ไทย”พรมรองพื้นรถยนต์

จากเส้นใยกัญชง

บริษัท ดีดี เนเจอร์ คราฟ จำกัด

นวัตกรรมระดับประเทศด้านผลิตภัณฑ์พรมรองพื้นรถยนต์จากเส้นใยกัญชง โดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตยางธรรมชาติเสริมแรงด้วยกัญชง และพัฒนาให้ยางพาราสามารถแทรกตัวและเชื่อมประสานกับผ้าทอจากกัญชง

พรมรองพื้นรถยนต์มีสมบัติลดการเกิดไฟฟ้าสถิตและลดกลิ่นภายในรถยนต์

“เซนส์”อุปกรณ์สื่อสารทางสายตา

สำหรับผู้ป่วยอัมพาต

บริษัท เมดิเทค โซลูชั่น จำกัด

ผลิตภัณฑ์ชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่รับคำสั่งการควบคุมเมาส์ด้วยสายตา โดยตรวจจับการกะพริบตาด้วยหลักการมอร์โฟโลยีในการตรวจจับหาตำแหน่งตาดำเพื่อวิเคราะห์ตรวจจับพฤติกรรมการกะพริบตาของผู้ใช้งานในการป้อนคำสั่งผ่านตัวอุปกรณ์ เพื่อให้ ผู้ป่วยอัมพาต และผู้ป่วยโรคเอแอลเอส ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนอื่นของร่างกายนอกจากตาได้ให้สามารถสื่อสารกับบุคคลรอบข้างผ่านอุปกรณ์นี้ได้

“บิ๊กเบา”รถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์

น้ำหนักเบาเชิงพาณิชย์

บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด

ผลิตภัณฑ์รถขนส่งอาหารสำหรับเครื่องบินแอร์บัส A380 ด้วยการออกแบบ และผลิตโครงสร้างแบบ x-frame โดยใช้วัสดุเหล็กกล้าเกรดที่มีความแข็งแรงสูงและมีน้ำหนักเบา จึงสามารถปรับระดับความสูงของโครงสร้างได้สูงสุด 9 เมตร พร้อมกันนี้ยังได้ประยุกต์ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับควบคุมความเสถียรภาพและการควบคุมช่องส่งอาหารแบบ 6 ทิศทาง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดเวลาการปฏิบัติงานเหลือ 2 ชั่วโมง

“สกรีนอีซ”

ชุดตรวจสอบอะฟลาท็อกซิน

บริษัท สยามอินเตอร์ควอลิตี้ จํากัด

ชุดตรวจสอบอะฟลาท็อกซินในผลผลิตเกษตร โดยใช้หลักการตรวจวิเคราะห์ทางหลักการภูมิคุ้มกันวิทยา และประเมินผลด้วย MicroELISA Reader ซึ่งชุดตรวจสอบ ดังกล่าวมีราคาถูกกว่าชุดตรวจสอบที่นำเข้าจากต่างประเทศ ประมาณ 3-5 เท่าทำให้ผู้ใช้งานมีต้นทุนค่าตรวจวิเคราะห์อะฟลาท็อกซินต่ำลง

ธุรกิจห้าดาวต่างประเทศตั้งเป้าเติบโต 25-30% ต่อปี วางกลยุทธ์เชิงรุก เร่งขยายสาขา
นายซานจีฟ แพนท์ รองกรรมการผู้จัดการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ในรอบปีที่ผ่านมาถือว่าธุรกิจห้าดาวที่เข้าไปทำตลาดในต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม พม่า บังกลาเทศ กัมพูชา ลาว จีน และมาเลเซีย ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียและเวียดนาม ถือว่าสามารถขยายโมเดลธุรกิจเกินเป้าที่ตั้งไว้ จากการตอบรับอย่างดีของผู้บริโภค และผู้ที่สนใจทำธุรกิจร่วมกับห้าดาว คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดอินเดียและเวียดนามจะสามารถขยายเป็นประเทศละ 1,000 สาขา พร้อมการเติบโตเฉลี่ยปีละ 25-30%
“ต้องถือว่าจากจุดเริ่มต้นของธุรกิจห้าดาวอินเดียเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ตั้งเป้าไว้ 50 สาขา แต่ด้วยการตอบรับที่ดีของผู้บริโภคและผู้สนใจทำธุรกิจร่วมกับเรา ทำให้ปัจจุบันธุรกิจห้าดาวในเมืองบังกาลอร์และเชนไนสามารถขยายถึง 75 สาขา เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคิดเป็นสัดส่วนของผู้ที่มาลงทุนทำธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ 75% และธุรกิจที่เราดูแลเอง 25%” นายซานจีฟ
สำหรับปี 2014 ธุรกิจห้าดาวอินเดียตั้งเป้าขยายให้ครบ 250 สาขา เพราะจัดเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก จากจำนวนประชากรที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยวางแผนขยายถึง 1,000 สาขา ภายใน 5 ปี โดยจะเข้าไปทำตลาดในหัวเมืองใหญ่ๆ ของอินเดีย 10-12 เมือง ในส่วนของธุรกิจห้าดาวเวียดนาม ปัจจุบันที่มีอยู่ 200 สาขา ตั้งเป้าว่าในปี 2014 จะขยายถึง 350 สาขา และเพิ่มเป็น 1,000 สาขา อีก 5 ปีข้างหน้า และเกือบ 100% เป็นโมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์.

ดร.การดี ม.ธรรมศาสตร์ ฉายภาพทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษในฐานะ The Call Center/BPO Hub

ธุรกิจบริการ Business Process Outsourcing (BPO) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรธุรกิจ เพราะช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวในการบริหาร การใช้ความเชี่ยวชาญจากภายนอกที่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ

ธุรกิจ BPO ในอาเซียนถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะอัตราการเติบโตสูง มีขีดความสามารถในการให้บริการสูง และที่สำคัญ ค่าจ้างต่างๆนับว่ายังถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ในการจัดอันดับ Top 100 Outsourcing Destinations Ranking and Report Overview ในปี 2013 ปรากฏว่าในรายชื่อเมืองที่มีความโดดเด่นด้านธุรกิจ outsourcing และมีความน่าสนในการทำธุรกิจนี้ ปรากฏว่ามีเมืองจากประเทศในอาเซียนถึง 14 เมืองด้วยกัน และอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ถึง 7 เมือง

ได้แก่ Manila, Cebu City, Davao City, Santa Rosa, Laguna, lloilo City, Bacolod City, Baguio City โดยเมือง Manila อยู่ในอันดับ 3 ของโลก และ Cebu City อยู่อันดับ 8 ของโลก ส่วนกรุงเทพฯก็ติดอันดับ Top 100 นี้ด้วยและอยู่อันดับที่ 83 ของโลก

ฟิลิปปินส์โดดเด่นเรื่อง BPO เราอาจจะรู้จักฟิลิปปินส์ในฐานะประเทศส่งออกแรงงานบริการขั้นสูง เช่น พยาบาล และแม่บ้าน ซึ่งนับว่าเป็นรายได้หลักของประเทศ ขณะเดียวกันฟิลิปปินส์ก็ใช้ประโยชน์จากการเป็นแรงงานที่มีศักยภาพและมีทักษะด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี มีค่าจ้างแรงงานถูกกว่าประเทศในแถบตะวันตก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับค่าจ้างในสหรัฐฯ ค่าจ้างชาวฟิลิปปินส์น้อยกว่าถึง 5 เท่า

ดังนั้น หลายประเทศในแถบตะวันตกจึงให้ความสนใจและนิยมจ้างงานในธุรกิจ BPO โดยเฉพาะธุรกิจประเภทให้บริการข้อมูลลูกค้าทางโทรศัพท์ หรือ คอลเซ็นเตอร์ ธุรกิจให้บริการออกแบบซอฟต์แวร์และไอที

ในปี 2011 ธุรกิจ BPO สร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 9 พันล้านเหรียญดอลลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.8 ของ GDP เมื่อมาดูข้อมูลส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ BPO ของฟิลิปปินส์ ก็พบว่าธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ มีสัดส่วนสูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ 61 ของมูลค่าธุรกิจ BPO และมีการเติบโตของรายได้ร้อยละ 15 ต่อปี หากมองย้อนไปธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ในฟิลิปปินส์ได้เริ่มต้นตั้งแต่ในปี 2000 ในกรุงมะนิลาหรืออาจเรียกได้ว่ากรุงมะนิลาเป็น “The Call Center/BPO Hub” ก็ว่าได้ และธุรกิจ BPO ที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมา คือ การบริการ Back-Office & Shared Service ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นร้อยละ 18.5

คอลเซ็นเตอร์ ฟิลิปปินส์แซงหน้าอินเดีย ถ้ามองธุรกิจ BPO ในภาพรวมฟิลิปปินส์กำลังไล่หลังประเทศอินเดียมาติดๆ แต่ถ้าในธุรกิจ คอลเซ็นเตอร์ ฟิลิปปินส์ได้ก้าวนำหน้าประเทศอินเดียไปแล้วทั้งจำนวนพนักงานและมูลค่าทางเศรษฐกิจ ฟิลิปปินส์มีพนักงานคอลเซ็นเตอร์ประมาณ 400,000 คน ในขณะที่อินเดียมี 350,000 คน

ในปี 2012 ฟิลิปปินส์มีรายได้จากธุรกิจคอลเซ็นเตอร์คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2016 ฟิลิปปินส์ จะมีรายได้จากธุรกิจคอลเซ็นเตอร์คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลลาร์ และจะก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 8 แสนคน ในทางกลับกันการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงาน ฟิลิปปินส์กำลังเร่งเต็มสูบในการสร้างแรงงานด้านเทคโนโลยีเพื่อป้อนเข้าสู่ธุรกิจนี้

รัฐบาลฟิลิปปินส์เองก็ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการในธุรกิจ BPO อย่างจริงจัง ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย เช่น AT&T, JPMorgan Chase, Expedia, Citibank, HP และ Oracle หันมาใช้บริการ Business Process Outsourcing ในฟิลิปปินส์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

* รายงาน / ผศ.ดร.การดี เลียวไพโรจน์

Operations Management Department Thammasat Business School

Facebook / Twitter: karndee

www.karndee.com

– See more at: http://eureka.bangkokbiznews.com/detail/552740#sthash.eqLi6NYG.dpuf

Brand, Branding

 

“แบรนด์” หรือ “ตราสินค้า” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและสามารถสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างมาก

กรุงเทพธุรกิจจัดหลักสูตร “Branding in Action” วันศุกร์และเสาร์ที่ 7, 8, 14, 15, 21, 22 มีนาคม 2557

 

“แบรนด์” หรือ “ตราสินค้า” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและสามารถสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างมาก

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์แกร่ง

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์เป็นที่จดจำ

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์เติบโต

 

กรุงเทพธุรกิจแนะนำหลักสูตรด้านการสร้างและการจัดการแบรนด์สินค้าจากสุดยอดกูรูอันดับ 1

ของประเทศไทย คุณดลชัย บุณยะรัตเวช กับหัวข้อ “Branding in Action”

 

นอกจากนี้ คุณดลชัย บุณยะรัตเวช และทีมแบรนด์กูรูเดนท์สุ พลัส เปิดห้องปฏิบัติการเข้มข้น Brand Therapy เพื่อเสริม

สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พร้อมชี้แนะแผนสร้างแบรนด์ให้ไปใช้ได้จริงอย่างประสบความสำเร็จ

 

เนื้อหา

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2557

Differentiation & Energized Differentiation

พัฒนาตัวตนของแบรนด์ที่ไม่แปรเปลี่ยนด้วยกลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง พร้อมเสริมพลังให้ความแตกต่างสดใหม่อย่าง

ยั่งยืน

 

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2557

Sustaining Relevancy

เรียนรู้กลยุทธ์การเจาะลึกความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแบบถึงแก่นอย่างแท้จริง

 

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2557

Creativity in Branding & How to Manage Intangible

Aspects of the Brand

ศิลปะในการแสดงออกของแบรนด์ในทุกมิติการสร้างสรรค์พร้อมศาสตร์แห่งการบริหารจัดการคุณค่าของแบรนด์ให้ถ่าย

ทอดออกมาอย่างเป็นรูปธรรม

 

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2557

Brand Interaction with Audience

กลยุทธ์ปฏิสัมพันธ์ของแบรนด์ในการสร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนกับกลุ่มเป้าหมาย และแพร่ขยายสู่การสร้างสังคมของคนรัก

แบรนด์

 

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2557

Well-Equipped Branding Strategy for AEC

ติดอาวุธขยายแบรนด์สู่เออีซี

 

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2557

Brand Health Check

เจาะวิเคราะห์สุขภาพแบรนด์เชิงลึกเพื่อเสริมพลังแบรนด์ให้ทะยานไกลเหนือคู่แข่งในทุกสมรภูมิการแข่งขัน

 

บรรยายโดย

1. ดลชัย บุญยะรัตเวช

นักสร้างแบรนด์มือหนึ่งของเมืองไทยประธานบริษัท (Chairman)  บริษัท เดนท์สุ พลัส จำกัด

2. พงศ์ศักดิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท Dentsu Plus จำกัด

3. วรวุฒิ วรกาญจน์

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer) บริษัท Dentsu Plus จำกัด

4. สุบรรณ โค้ว

ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ (Chief Creative Officer)บริษัท Dentsu Plus จำกัด

5. กิตติภัต ลลิตโรจน์วงศ์

นักวางแผนกลยุทธ์ทางด้านแบรนด์อาวุโส(Senior Brand Strategist)  บริษัท  Dentsu Plus จำกัด

6. วรางค์สุบรรณรัตน์

นักวางแผนกลยุทธ์อาวุโส (Senior Brand Strategist)

7. ชนินทร์ วิศาลบูชนีย์

ผู้อำนวยการทบวงการสร้างแบรนด์ Director of M.O.B. (Ministry of Branding)

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

อบรม  วันศุกร์และเสาร์ที่ 7, 8, 14, 15, 21, 22 มีนาคม 2557

สถานที่  บันยันทรี สาทรใต้

อัตรา   95,000 บาท (ยังไม่รวม VAT 7%)

เบอร์   0-2338-3705-7, 086-313-1903

ดูข้อมูลหลักสูตรได้ที่ http://www.nation-education.com/enews/Branding-Mar7/Outline.pdf

กรอกใบสมัครที่ http://goo.gl/LHq2q

www.facebook.com/Panyaturakij

1. เพื่อให้รับรสชาติซูชิให้ได้เต็มที่ที่สุด จงกินปลาตามลำดับที่ถูกต้อง

หลักการจริงๆแล้วคือ เริ่มกินจากปลาที่รสชาติอ่อนก่อน แล้วค่อยไล่ไปหาปลาที่รสชาติที่เข้มข้นมากขึ้นต่อๆไป การกินเรียงลำดับแบบนี้จะทำให้ปลาที่รสชาติเข้มข้นกว่า เช่น ปลาทูน่ามันๆ ไม่ไปกลบปลาที่รสชาติอ่อนกว่าอย่างปลาสีแดง ดังนั้นลำดับการกินที่ถูกต้องจะเป็นดังนี้

  1. เริ่มจาก ปลาสีขาว
  2. ตามด้วย ปลาสีเงิน
  3. ต่อด้วย ปลาสีแดง
  4. แล้วค่อยกินปลาที่มีรสเข้มข้นขึ้น เช่น แซลมอลและไข่ปลาแซลมอล
  5. กินปลาที่มันที่สุด เป็นอย่างสุดท้าย
  6. ไข่เป็นของหวาน
  7. การสั่งพวก rolls แบบธรรมดาๆ เช่น ทูน่า เป็นสัญญานบอกว่า คุณกำลังจบการสั่งอาหาร

2. อย่าถูตะเกียบ

ถ้าคุณอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นการถูตะเกียบหลังจากดึงแยกคู่ออกมาถือเป็นการกระทำที่หยาบคายมากๆ ถึงแม้คุณตั้งใจจะถูเพื่อเอาเสี้ยนไม้ออก แต่มันเป็นการบอกเชฟเป็นนัยๆว่า “อุปกรณ์กินอาหารของคุณนั้นเป็นของไม่ดีราคาถูกๆ”

3. วิธีการจิ้มซูชิกับซอสถั่วเหลืองอย่างถูกต้อง

อย่าจุ่มซูชิลงในถ้วยซอสจนเปียกโชก ให้จิ้มแค่นิดเดียวพอ ไม่งั้นคุณจะไม่ได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของปลาเลย เทคนิคการจิ้มซูชิที่ถูก คือ

  1. คีบซูชิด้วยตะเกียบ
  2. พลิกกลับด้าน
  3. จิ้มซอสถั่วเหลืองด้านเนื้อปลา อย่าใช้ด้านที่เป็นข้าวจิ้ม

ใช้ตะเกียบไม่เป็น? ไม่มีปัญหา! คุณสามารถใช้มือหยิบซูชิกินได้ซึ่งนั่นเป็นวิธีการกินซูชิแบบดั้งเดิมในญี่ปุ่น!

4. ขิงดองมีไว้เพื่ออะไร?

ขิงดองมีไว้ให้กิน “ล้างปาก” เพื่อปรับความรู้สึกในการรับรส กินขิงดองก่อนจะกินซูชิแบบถัดไป

5. เผ็ดร้อนวาซาบิ

ถ้าคุณกินวาซาบิแล้วรู้สึกว่าเผ็ดเกินไปให้หยุดหายใจทางปาก แล้วสลับไปหายใจผ่านทางจมูกทันที ทำแบบนี้แล้วอาการเผ็ดจะหายไปอย่างรวดเร็ว

6. การกินซุป

คุณสามารถื่มมิโสะจากถ้วยได้ทันทีโดยซดจากถ้วยเลย แต่ไม่ควรกินมิโสะเป็นของกินเล่น ให้กินหลังจากกินอาหารจานหลักเสร็จแล้ว

7. ทูน่า กับ โอโทโร่มันๆ เป็นปลาชนิดเดียวกันหรือไม่?

ใช่แล้ว! ทั้งคู่มาจากปลาชนิดเดียวกัน แต่เป็นเนื้อคนละส่วน ดังนี้

  • se-kami เนื้อสีแดงมีมัน
  • se-naka เนื้อสีแดงที่ดีที่สุด
  • se-shimo สีแดง+ไขมันเล็กน้อย
  • hara-shimo ไขมัน+สีแดงเล็กน้อย
  • hara-naka-chu-toro ทูน่ามันๆ
  • hara-kami-oh-toro ทูน่าส่วนที่มันสุดๆ

8. ซูชิดีสำหรับคุณ

ยกเว้นการกินโรลทอดเยอะๆพร้อมกับจิ้มมายองเนส นั่นไม่ดีนะ! ซูชิเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เมื่อคุณมองหาอะไรที่เรียบง่ายที่ประกอบด้วยอาหารทะเลและข้าว จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่ี่เป็นการกินซูชิที่ผิด ถ้าคุณกินแล้วอร่อยนั่นก็น่าจะหมายความว่าคุณกินถูกวิธีแล้วหละ 🙂

ที่มา – 8 things worth knowing about eating sushi by ilovecoffee.jp

กรุงเทพฯ 3 ม.ค. – ททท.นัดประชุมผู้ประกอบการท่องเที่ยวสัปดาห์หน้า เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ สืบเนื่องจากการนัดชัตดาวน์กรุงเทพฯ 13 ม.ค.นี้

นายศุกรีย์ สิทธิวนิช รองผู้ว่าการฝ่ายสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงกรณี กปปส.ประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 มกราคมนี้ ว่า ในส่วนของ ททท.มีหน้าที่เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ โดยในสัปดาห์หน้าจะนัดประชุมหารือกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย ฯลฯ โดยมีนายธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการ ททท. เป็นประธาน เพื่อพิจารณาว่าควรต้องปรับแผนหรือทำอะไรอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อภาพลักษณ์ของประเทศ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยแล้ว หรือที่กำลังจะเข้ามา ตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลที่ชัดเจน สำหรับประเทศต่างๆ ที่ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาประเทศไทยนั้น จนถึงขณะนี้ยังอยู่ที่ 40 ประเทศ. – สำนักข่าวไทย

 

 

บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด (ดูไบ) สร้างชื่อโดดเด่นในงานมหกรรมแสดงสินค้าและวัฒน ธรรมนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาหรับ “โกลบอลวิลเลจ ดูไบ” (Global Village Dubai 2013-2014) จัด ณ ดูไบแลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โดยจัดโซน “หมู่บ้านไทย 2556-2557” นำผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการไทยกว่า 240 ราย มาออกร้าน กล่าวคือ รวมอาณาจักรมหัศจรรย์เมืองไทยทุกมิติ ทั้งศูนย์นวดแพทย์ไทยมาตรฐานโลก ศูนย์แพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย ของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเวชภัณฑ์ไทย โชว์ผลงานหัตถกรรมจากเมืองไทยกว่า 70,000 ชนิด นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านไทยยังมีศูนย์รวมอาหารไทยเลิศรสนานาชนิดครั้งแรกในดูไบ

กลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย

  • ในการเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย บริษัทไทยจะต้องเริ่มจากการศึกษาตลาด เพื่อให้ทราบถึงลักษณะของตลาด และศักยภาพของตลาดสำหรับสินค้าที่ต้องการนำเข้ามาในตลาดอินโดนีเซีย
  • สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่จะต้องนำเข้ามาโดยผ่านผู้นำเข้าหรือผู้กระจายสินค้า(Distributors) ก่อนที่จะไปถึงผู้ค้าปลีก (Retailers) ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องหารายชื่อผู้นำเข้า/ผู้กระจายสินค้าในอินโดนีเซียก่อน ซึ่งผู้กระจายสินค้าดังกล่าวจะต้องสามารถเข้าถึงผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ๆ ในอินโดนีเซียได้ อันได้แก่ Carrefour Hero Hypermart และ Alfamart เป็นต้น
  • สำหรับสินค้าประเภทวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมจะสามารถจำหน่ายแก่อุตสาหกรรมผู้ใช้โดยตรงหรือโดยผ่านตัวแทนท้องถิ่นก็ได้ ดังนั้นบริษัทไทยจึงควรตั้งสำนักงานผู้แทน (Representative office) ในอินโดนีเซียเพื่อดูแลตลาด และการบริการหลังการขายก็มีความสำคัญสำหรับลูกค้า
  • การจำหน่ายสินค้าให้แก่รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจในอินโดนีเซีย บริษัทไทยควรมีสำนักงานตัวแทนที่จะประสานกับทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งส่วนใหญ่การซื้อสินค้าของรัฐบาล (Government procurement) จะดำเนินการโดยผ่านการประมูล ซึ่งผู้ยื่นประมูลจะต้องเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของอินโดนีเซีย โดยต้องเป็นบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทต่างชาติที่ร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นเท่านั้น
  • การจำหน่ายสินค้าให้แก่รัฐบาลนั้น โดยส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยบริษัทที่มีประสบการณ์ยาวนานกับทางรัฐบาล (Long experienced partners) ดังนั้นการร่วมประสานธุรกิจกับบริษัทท้องถิ่นที่สามารถเข้าถึงและมีประสบการณ์ยาวนานกับทางภาครัฐจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการจำหน่ายสินค้าให้รัฐบาล

ไบโอดีเซล

1. อินโดนีเซียผลิตไบโอดีเซลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 781 ล้านลิตรในปี 2553 เป็น 1.52 พันล้านลิตรในปี 2554 โดยใช้บริโภคภายในร้อยละ 10 และส่งออกร้อยละ 90 โดยในปี 2553 ส่งออกไบโอดีเซล ประมาณ 563 ล้านลิตร และในปี 2554 ส่งออกประมาณ 1.22
พันล้านลิตร ตลาดยุโรปเป็นตลาดส่งออกไบโอดีเซลสำคัญของอินโดนีเซีย

2. กรมอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (EBTKE) ของอินโดนีเซียพยายามส่งเสริมให้ใช้ไบโอดีเซลภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น

  1. สั่งการให้สถานีบริการของ Pertamina และบริษัทน้ำมันต่างชาติ เช่น SHELL, TOTAL และ PETRONAS
    จำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลที่ไม่ได้อุดหนุน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2555
  2. กำหนดให้บริษัทในธุรกิจเหมืองแร่ ใช้น้ำมันไบโอดีเซล อย่างน้อย ร้อยละ 2 ของพลังงานที่ใช้ เริ่มตั้งแต่ เดือน ก.ค. 2555
  3. บริษัทน้ำมัน Pertamin เพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลที่ไม่อุดหนุนจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7.5 เริ่มตั้งแต่เดือน ก.พ. 2555
  4. พลังงานและสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่วมกันที่จะอุดหนุนน้ำมันไบโอดีเซลที่ 3,000 รูเปียห์ต่อลิตร
    และอุดหนุนเอทานอลที่ 3,500 รูเปียห์ต่อลิตรในปี 2556
  5. นำเสนอสูตรคำนวณราคา biofuel ใหม่ โดยให้อ้างถึงถึงราคาและปัจจัยในท้องถิ่นมากขึ้น

 

เอทานอล

3. อินโดนีเซียผลิต บริโภค และนำเข้าเอทานอล เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเคมี (chemical industries) เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้ในอุตสาหกรรมขนส่ง เช่น ประเทศไทย แนวโน้มการผลิต การบริโภค และการส่งออกในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2549 สามารถผลิตได้ 163 ล้านลิตร (คิดเป็นร้อยละ 78 ของกำลังการผลิตเต็มศักยภาพที่ระดับ 209 ลิตร) และบริโภคภายในจำนวน
114 ล้านลิตร ส่งออกจำนวน 33 ล้านลิตร ไม่มีการนำเข้า ในปี 2555 สามารถผลิตได้ 220 ล้านลิตร (คิดเป็นร้อยละ 90 ของกำลังการผลิตเต็มศักยภาพที่ระดับ 245 ล้านลิตร) และบริโภคจำนวน 135 ล้านลิตร ส่งออก 85 ล้านลิตร และนำเข้า 0.8 ล้านลิตร ปัจจุบัน อินโดนีเซียมี บริษัทผลิตเอทานอล เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเคมีจำนวน 13 แห่ง โดยผู้ผลิตรายใหญ่ 4 ลำดับแรก ได้แก่ บ. Molindo, Medco, Indo Acidatama และ Sugar Group สามารถผลิตรวมกันได้ร้อยละ 75 ของกำลังการผลิตทั้งหมด อย่างไรก็ดี การนำเข้าเอทานอลในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ กล่าวคือ หลังจากการนำเข้าเป็นครั้งแรกในปี 2550 เป็นจำนวน 2.6 ล้านลิตร ต่อมาการนำเข้าก็ลดลงทุกปี เนื่องจากกำลังการผลิตภายใน สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตอินโดนีเซียคาดการณ์ว่าในปี 2556 อาจต้องนำเข้าเอทานอลประมาณ 1 ล้านลิตร เพราะอุตสาหกรรมเคมีขยายตัวอย่างต่อเนื่องในขณะที่กำลังการผลิตจากหลายแห่งเริ่มคงที่ และบราซิลเป็นแหล่งนำเข้าเอทานอลที่สำคัญของอินโดนีเซีย

4. อินโดนีเซียหยุดการผลิตเอทานอล เพื่อใช้เป็นส่วนผสมน้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่งตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ซึ่งการใช้เอทานอลเป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อการขนส่งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Pertamina เป็นผู้จัดจำหน่าย (distributor) หลักแต่โรงงานที่ผลิตเอทานอล เพื่อผสมน้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่ง ซึ่งมีประมาณ 4 โรงงานในปี 2551 ต้องหยุดการผลิตเพราะรัฐบาลอุดหนุนน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) จึงทำให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่มี margin และไม่สามารถแข่งขันกับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ ในท้องตลาดได้ อย่างไรก็ดี แนวโน้มการผลิตเอทานอล เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงอาจปรับตัวดีขึ้นบ้าง เพราะกระทรวงพลังงานและทรัพยากร แร่ธาตุ และสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่วมกันที่จะเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงจากเอทานอล 3,500 รูเปียห์/ลิตร ตั้งแต่ปี 2556 (ตามข้อ 2) และหากกระทรวงการคลังอนุมัติการปรับสูตรการคิดคำนวณราคา biofuel ก็น่าจะกระตุ้นให้เกิดการผลิตเอทานอลเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมขนส่งเพิ่มขึ้นเป็นถึง 20-30 ล้านลิตร/ปี

5. อินโดนีเซียกำลังเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอล โดยในปี 2553 มีการสร้างโรงกลั่นเพิ่มเติมหลายแห่ง อาทิ บริษัท PT. Perkebunan Nusantara X ซึ่งเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจสร้างโรงกลั่น 1 แห่ง กำลังการผลิตประมาณ 36 ล้านลิตร/ปี และบริษัท Molindo (เอกชน) สร้าง โรงกลั่นผลิตได้ประมาณ 55 ล้านลิตร/ปี โดยทั้งสองบริษัทนี้จะใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบในการผลิต และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2556 เป็นต้นไป บริษัท Celenese ซึ่งเป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกาจะสร้างโรงกลั่น 4 แห่งให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 โดยใช้วัตถุดิบจากถ่านหินความร้อนต่ำซึ่งอินโดนีเซียมีทรัพยากรประเภทนี้มาก และราคาไม่ค่อยผันผวนเหมือนกากน้ำตาล หากเสร็จจะสามารถกลั่นเอทานอลได้ประมาณ 1.3 พันล้านตัน/ปี/โรง ทั้งนี้ ผลผลิตโดยรวมในประเทศน่าจะเริ่มเพิ่มขึ้นจากระดับการผลิตปัจจุบันตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป แต่ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมเคมี ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนส่ง บริษัท Medco ซึ่งเป็นเอกชนอินโดนีเซียประกอบกิจการพลังงาน เริ่มประกาศหาผู้ร่วมทุนสร้างโรงกลั่นเอทานอลมาตั้งแต่กลางปี 2555 แต่จนกระทั่งปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถหาผู้ร่วมทุนได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยประสงค์จะส่งออกเอทานอลส่วนเกินมาจำหน่ายที่อินโดนีเซีย ก็จะต้องผ่าน บ. Pertamina ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักเพียงผู้เดียว

6. อินโดนีเซียใช้ดัชนีราคาเอทานอลของไทย คือ Argus Index (Thailand) (ประกาศโดย Argus ซึ่งเป็น Media ที่เป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับราคาประเมินในธุรกิจพลังงาน) เป็น benchmark ซึ่งนำมาใช้ในสูตรการคิดคำนวณราคาเอทานอลในประเทศโดยมีกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ธาตุอินโดนีเซียเป็นผู้กำหนด ปัจจุบัน สูตรการคิดคำนวณคือ Bioethanol = Argus Index (Thailand) x 780 kg/m3 x 1.05 แต่ขณะนี้ อยู่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแก้ไขสูตรการคิดคำนวณ โดยมีแนวโน้มจะเปลี่ยนการใช้ดัชนีราคาเดิมเพื่อให้สอดรับกับต้นทุนที่แท้จริงในการผลิตเอทานอลในอินโดนีเซียซึ่งได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากราคากากน้ำตาลที่ผันผวน และอาจคิดคำนวณสูตรที่อ้างอิงจากดัชนีท้องถิ่นไม่ใช่ดัชนีของไทย (Argus Index)

 

แหล่งข้อมูล:  สอท. ณ กรุงจาการ์ตา (มีนาคม 2556)

“ปีม้า จะเป็นปีแห่งการเดินทางของบอลลูนอาร์ท เราจะออกเดินทาง จะไม่อยู่แค่ที่ที่เราอยู่ แต่จะไปในทุกๆ ที่ ไปด้วยม้าของเราเอง ที่ไหนยังไม่รู้จักเรา เราจะไปอยู่ตรงนั้น และโตแบบก้าวกระโดดได้เหมือนม้า”

คำประกาศจาก “ภูมิใจ โลหะพรหม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอลลูนอาร์ท จำกัด ธุรกิจจัดจำหน่ายและตกแต่งสถานที่ด้วยลูกโป่ง เจ้าแรกในไทย ที่เปิดให้บริการมานานถึง 21 ปี (ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535)

ม้าของพวกเขาเริ่มออกเดินทาง หลังได้ไอเดียธุรกิจจากการไปต่างประเทศ แล้วเห็นว่ามีการนำลูกโป่งมาใช้จัดกิจกรรม ตกแต่งตามงานอีเว้นท์อยู่เยอะมาก ซึ่งเวลานั้นบ้านเรายังนิยมตกแต่งสถานที่ด้วยดอกไม้และป้ายโฆษณา ขณะที่ลูกโป่งยังถูกมองว่าเป็นแค่ “ของเล่น”

“ไอเดียใหม่” ไฉไลกว่า เลยน่าจะทำตลาดเมืองไทยได้

จึงได้เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ขึ้น โดยไม่มีหน้าร้าน มีแต่ทีมงานอยู่ 3-4 คน ที่มีทักษะด้านการใช้ลูกโป่งในการตกแต่งโดยเฉพาะ แล้วเริ่มจับตลาดอีเว้นท์เป็นหลัก

แต่จะทำให้ของใหม่ เปิดตลาดเมืองไทยได้ ก็ต้องเริ่มจากทำความเข้าใจกับลูกค้า ทำอย่างไรที่คนจัดงานจะเห็นความสำคัญของลูกโป่ง ว่าสามารถ “สร้างความแตกต่าง” และดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ แล้วจะทำอย่างไรคนถึงจะยอมจ่ายเงิน ให้กับของที่เขาคิดว่า “ราคาไม่กี่บาท” ด้วยเงินหลักร้อย หลักพัน หรือกระทั่งหลักหมื่น หลักแสนได้

“เราไม่ได้ขายแค่ลูกโป่ง แต่ขายไอเดีย ที่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของลูกค้า”

นั่นคือจุดขายของงานบริการที่มากไปกว่าแค่ “ลูกโป่ง” แต่เป็นการพัฒนา “ความคิดสร้างสรรค์” ใส่ลงไปในการทำงานทุกครั้ง เพื่อรับกับโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ลูกโป่งตกแต่ง (Balloon decorate) ของบอลลูนอาร์ท จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมใหญ่ๆ ที่หลายครั้งก็กลายเป็น “จุดขาย” สำคัญของงานด้วยซ้ำ แม้แต่งานกาลาดินเนอร์สุดหรู พวกเขาก็เนรมิตบรรยากาศคูลๆ ให้ได้

และเพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้น และรู้ว่าลูกโป่งยังมีอะไรอีกเยอะมาก เลยเปิดหน้าร้านของตัวเอง ชื่อ “บอลลูนอาร์ททูโก” (Balloonart2go) ขึ้นในปี 2540 เป็นร้านจำหน่ายลูกโป่งที่ปลุกกระแสให้ลูกโป่งเป็นของขวัญ เหมือนร้านดอกไม้

“ตอนนั้นเราเป็นร้านลูกโป่งร้านแรก ก็เป็นอะไรที่แปลกแหวกแนว เลยมีรายการมาถ่ายทำ เพื่อโปรโมทการให้ลูกโป่งเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ จุดกระแสการให้ลูกโป่งเป็นช่อของขวัญให้เกิดขึ้น”

ทำไมลูกโป่งถึง “ได้ใจ” กว่าดอกไม้ ภูมิใจ บอกว่า เพราะจุดขายคือ “คุณค่า” ที่ผู้รับได้รับ โดยลูกโป่งมีข้อความสื่อความหมายได้ มีดีไซน์น่ารักน่าชัง เดินไปไหนคนเห็นก็สะดุดตา ที่สำคัญ ด้วยคอนเซ็ปต์ขายไอเดีย และดีไซน์ วันนี้ลูกโป่งของพวกเธอ เลยมีทั้ง ลูกโป่งอัดเสียงได้ ร้องเพลงได้ เต้นระบำได้ แถมเรียงเป็นตัวอักษรประกาศความพิเศษสุดๆ กับผู้รับได้อีกด้วย

บอลลูนอาร์ททูโก มีลูกโป่งหลากหลายรูปแบบ โดยผลิตจากโรงงานในประเทศ 70% และนำเข้าอีก 30%

เพราะเป็นม้า ธุรกิจเลยหยุดวิ่งไม่ได้ ที่มาของการพัฒนาสู่ตลาดเป่าลม “บอลลูนเซิร์ฟ” (balloon Serv) สื่อโฆษณาเป่าลม จำพวกท่อผ้าเป่าลม บอลลูนลอยฟ้า บอลลูนโฆษณา เรียกว่าทำทุกอย่างที่เห็นโอกาส เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น

“อย่างอสังหาริมทรัพย์ใหม่อยากเชิญชวนให้ทุกคนมา แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าโครงการของคุณอยู่ไหน การมีบอลลูนลอยฟ้า ที่โครงการ ก็จะทำให้ทุกคนทราบพิกัดของโครงการได้ เราก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากตรงนี้ โดยทุกวันนี้อะไรก็ตามที่มีลม เราทำหมด”

เวลาเดียวกับการขายความคิดสร้างสรรค์ คือ พัฒนาบริการที่ดี ใช้ของมีคุณภาพ และรับผิดชอบต่อลูกค้า เช่นการใช้แก๊สฮีเลียมซึ่งเป็นแก๊สที่ไม่ติดไฟในการเป่าลม แม้จะมีราคาสูง แต่ก็เลือกใช้เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า

ธุรกิจบนความรับผิดชอบจึงค่อยๆ เติบโตขึ้น จากรายได้หลักแสนก็ขยับสู่หลักล้าน ด้วยโอกาสธุรกิจ ที่คนทำบอกว่า
“ตลาดยังกว้างมาก และยังมีอีกเยอะมากที่เขาไม่รู้จักเรา เป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่รอเราให้เข้าไปหา”

ที่มาของการทำตลาด เพื่อเจาะให้ถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น ตั้งแต่นำเสนอผลงานไปยังบริษัทออแกไนซ์ต่างๆ เพื่อให้มีไอเดียไปเสนอต่อลูกค้า สำหรับบอลลูนของขวัญ ก็ใช้วิธีลงโฆษณาตามสื่อต่างๆ จนมาปี 2543 เมื่อคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากขึ้น เลยเริ่มทำเว็บไซต์ขึ้น (www.balloonart2go.com )ในปีที่ผ่านมาก็ได้ลองใช้ Google AdWords การโฆษณาผ่าน Google สร้างโอกาสธุรกิจด้วยเทคโนโลยี

“การใช้โฆษณากับ Google ทำให้ได้ลูกค้าที่เขาต้องการเรา เขาจะเข้าหาเราเอง วิธีนี้สามารถวัดผลได้ และเห็นฟีดแบคกลับมาชัดเจนด้วย ที่สำคัญคือ ทำให้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใครกันแน่” คนทำสำเร็จบอกเราว่า การจะทำเรื่องนี้ได้ขอให้ลงมาศึกษาด้วยตัวเอง และลงไปในรายละเอียด โดยไม่แนะนำระบบ “จ้างทำ” เพราะนั่นจะไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้

ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน เวลาเจอสถานการณ์ไม่อำนวย อย่าง น้ำท่วม การชุมนุมทางการเมือง คนไม่อยากเที่ยว ไม่อยากไปงาน คงจะกระทบกับธุรกิจเอามากๆ แต่ใครจะเชื่อว่าท่ามกลางอุปสรรคเหล่านี้ พวกเขายังทำรายได้ในปี 2555 ถึง 30 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้าแบบ “เท่าตัว”

และปี 2556 ที่หลายคนยัง “วิกฤติ” แต่บอลลูนอาร์ทก็ยังลอยลมทำรายได้แตะ 50 ล้านบาทได้ กับเป้าหมายปีม้านี้ ที่จะโตแบบ “ก้าวกระโดด” ขยายสาขาจาก 5 สาขา เป็น 10 สาขา และขยายครบทุกจังหวัดใน 5 ปี ให้ได้!

“เราไม่ใช่ไม่เคยเจอวิกฤติ แต่วิกฤติทำให้เราเห็นโอกาส จากที่เคยอยู่แค่กรุงเทพ ก็เริ่มขยายสาขาไปต่างจังหวัด เริ่มไปรับงานในต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งโอกาสจากตรงนี้ ทำให้เราได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นเท่าตัว และไม่สั่นคลอนไปกับวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่ได้โชคดีนะ..แต่เราแค่สร้างมัน”

ความโชคดีที่ไม่ได้มาจากฟ้าประทาน แต่อาศัยการ “ลงมือทำ” ล้วนๆ ทั้งการสร้างทีมงาน สร้างผู้นำ พัฒนาคน ให้มีความคิดสร้างสรรค์และสนุกกับงาน ส่งไปแข่งขันในต่างประเทศเพื่อสร้างความภาคภูมิใจและได้คนเก่งกลับสู่บริษัท และทรัพยากรนับ 60 ชีวิต ที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็คือ ผู้นำความยิ่งใหญ่และยั่งยืนมาสู่ธุรกิจของพวกเขาในอนาคต

“สำหรับปีหน้าในฐานะผู้ประกอบการคนหนึ่ง ไม่มีอะไรต้องกังวล อยู่ที่ธุรกิจของคุณ คุณแค่ทำของคุณให้ดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เรามีตอนนี้ยังไม่ดีตรงไหน ก็ไปอุดตรงนั้น ส่วนที่ทำดีอยู่แล้ว ก็ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นๆ ไป ที่สำคัญต้องสร้างคน ทำให้เขามีโอกาส แล้วก็เติบโต เพราะเราคงทำคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องวิ่งไปพร้อมๆ กัน”

หนึ่งมุมคิดของคนทำธุรกิจ ที่ยังเชื่อมั่นว่า “ปีม้า” จะเป็นปีแห่งการเดินทาง เพราะม้าที่ดีย่อมไม่กินหญ้าที่เดิม แต่ต้องไปแสวงหาโอกาสใหม่ที่ไกลขึ้น พร้อมโตแบบก้าวกระโดดด้วย “แรงม้า” จากพลังทีมงานของพวกเขา

…………………..
Key to success
ก้าวกระโดดแบบบอลลูนอาร์ท
๐ พัฒนาธุรกิจไม่หยุดนิ่ง ทำทุกสิ่งที่เป่าลมได้
๐ ขายไอเดีย ดีไซน์ รับคอนเซ็ปต์ของลูกค้า
๐ อดทน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ ธุรกิจจึงเป็นที่ยอมรับ
๐ ไม่ก้มหน้ารับวิกฤติ แต่พร้อมพลิกเป็นโอกาส
๐ สร้างคน สร้างทีม ไม่มีผู้นำ แต่ต้องวิ่งไปพร้อมกัน
๐ ออกเดินทางไกลเหมือนม้า ไปให้ไกลกว่าจุดเดิม

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สื่อมวลชนจีนได้สรุปข่าวเด่นทางด้านเศรษฐกิจของจีนในปี 2556 ซึ่ง BIC เห็นว่าสามารถพาผู้อ่านมาทบทวนและทำความเข้าใจกับสภาพเศรษฐกิจของจีนในปี 2556 โดยขอนำเสนอ (ตามลำดับเวลาของข่าว) ดังนี้

1. ครม.จีนออกมาตรการคุมเข้มตลาดอสังหาริมทรัพย์

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 56 คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศมาตรการ 5 ประการ เพื่อควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนที่มีแนวโน้มเกิดฟองสบู่มากขึ้น โดยเรียกว่า กฎแห่งรัฐ 5 ประการ (国5条) หลังจากนั้น เมืองใหญ่ต่าง ๆ อาทิ กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และเมืองเซินเจิ้น ก็ทยอยออกมาตรการอย่างเข้มงวด เพื่อพยายามเพิ่มจำนวนที่ดินในการก่อสร้างบ้านสำหรับตลาดมวลชน (mass market) นอกจากนั้น ยังเพิ่มเงินดาวน์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 อีกทั้งนครเซี่ยงไฮ้ยังเพิ่มกฎระเบียบ ที่ทำให้คนต่างถิ่นเข้ามาซื้อบ้านหลังใหม่ในเมืองได้ยากขึ้นอีกด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแบบผสมผสานระหว่างชีวิตความเป็นอยู่กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่การยับยั้งการเก็งกำไรจากการซื้อขายบ้าน

2. จีนยุบ “กระทรวงการรถไฟ” จัดตั้งเป็นบริษัทแทน

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 56 จีนได้ประกาศยุบกระทรวงการรถไฟ และจัดตั้งกรมการรถไฟแห่งประเทศจีนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคมนาคมจีน และจัดตั้งบริษัทการรถไฟแห่งประเทศจีนเพื่อดำเนินกิจการในรูปแบบธุรกิจ รองรับหน้าที่เดิมของกระทรวงการรถไฟ การยุบกระทรวงการรถไฟครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการการลดจำนวนหน่วยงานระดับกระทรวง และเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล

3. ครม.จีนเร่งลดขั้นตอนการตรวจสอบและการอนุมัติการบริหาร

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 56 คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศยกเลิกขั้นตอนการตรวจสอบและการอนุมัติการบริหาร 117 รายการ หลังจากนั้น ยังวางแผนส่งเสริมการปฏิรูประบบการลงทะเบียนของบริษัทเพื่อผ่อนปรนเงื่อนไขของการลงทะเบียนให้มีความสะดวกมากขึ้น

4. ตลาดเงินทุนจีนขาดเงินสด อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้น

ในเดือนมิถุนายน ตลาดเงินทุนจีนได้เกิดภาวะสภาพคล่องหดตัวเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี

5. ธนาคารกลางจีนยกเลิกมาตรการต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 56 ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปล่อยการควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างรอบด้าน โดยยกเลิกมาตรการต่ำ

สุดที่เป็น 0.7 เท่าของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และปล่อยให้สถาบันการเงินกำหนดเอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของระบบดอกเบี้ยเงินกู้ของจีนที่เริ่มปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด

6. บริษัทหลักทรัพย์Everbrightเกิดปัญหาของระบบ

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 56 บริษัทหลักทรัพย์ Everbright ยอมรับเกิดปัญหาในระบบทำให้ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ภายใน 1 นาที ซึ่งทำให้บริษัทถูกปราบเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 523 ล้านหยวน จากหน่วยงานการควบคุมตลาดหลักทรัพย์

7. จีนจัดตั้งเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้อย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 56 ทางการจีนได้จัดพิธีเปิดตัวเขตทดลองการค้าเสรีจีน (เซี่ยงไฮ้) อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งสำคัญของจีน ที่สะท้อนถึงการเปิดกว้างสู่สากลด้วยนโยบายลดการ “คุมเข้ม” ลงตามลำดับขั้น โดยตามแผนเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลจะลดการแทรกแซงตลาดและขยายขอบเขตการลงทุนให้กว้างมากขึ้น รวมทั้งสร้างสรรค์การเปิดเผยธุรกิจการเงินเป็นต้น

8. บริษัท Alibaba ลงทุนร่วมมือกับบริษัทกองทุนหลักทรัพย์ ส่งเสริมธุรกิจการเงินทางอินเตอร์เน็ต

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. บริษัทAlibaba ประกาศลงทุน 1,180 ล้านหยวนในบริษัทกองทุนหลักทรัพย์ ทั้งสองบริษัทได้ร่วมมือกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์กองทุน (余额宝) ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ของธุรกิจการเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต

9. การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 ครั้งที่ เจาะลึกการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 9 – 11 พ.ย. 56 การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ชุดที่ 18 ครั้งที่ 3 ได้จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง โดยมีนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และในการชุมครั้งนี้ได้อนุมัติ “ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปเชิงลึกที่ครอบคลุม” ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางปฏิบัติฉบับใหม่ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของจีนโดยเฉพาะการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ

10. กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจีนออกใบอนุญาติ 4 G

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 56 กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจีนได้ออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ 4G ให้บริษัท China Mobile บริษัท China Unicom และบริษัท China Telecom ซึ่งแสดงว่า จีนได้เริ่มก้าวเข้าสู่ยุค 4G แล้ว

อย่างไรก็ดี 10 ข่าวเด่นทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2556 ได้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลจีนชุดใหม่กำลังพาจีนก้าวสู่การปฏิรูปเพื่อให้ตลาดมีความเสรีมากขึ้นและเปิดเผยต่อสากลกว้างขวางมากขึ้น ขอให้ผู้อ่านทุกท่านติดตามข่าวสารของ BIC อย่างที่ผ่านมานะคะ/ครับ

Last Update : 26 ธันวาคม 2556
โดย : น.ส.บุษกร หลี่
แหล่งข้อมูล : www.hexun.com (和讯网) (26 ธันวาคม 2556)

ราชบัณฑิตยสถานเตรียมบรรจุคำ”เกรียน-การเมืองบนถนน-กดไลค์-ขั้นเทพ-ซุปตาร์- มังกรการเมือง-มาคุ-เว้นวรรค-สุดซอย”ลงในคลังคำ หลังสังคายนาระบบฐานข้อมูลจัดทำพจนานุกรมครั้งใหญ่ ใช้เป็นฐานข้อมูลเจอปัญหามีกรรมการกว่า 90 คณะทำให้จัดพิมพ์ล่าช้า

 

p18db4jtsvifeo61kga1p01rak5

เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายอุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ ประธานคณะกรรมการการจัดทำฐานข้อมูลคำในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าคลังคำและแหล่งข้อมูลจากตำราหรือหนังสือสาขาวิชาต่างๆ ของราชบัณฑิตยสถาน เพื่อจัดทำพจนานุกรม หรือสารานุกรมสาขาต่างๆ มีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากปัจจุบันการจัดรวบรวมคำศัพท์และข้อมูลต่างๆ ในการจัดทำพจนานุกรมนั้นต้องพึ่งคณะกรรมการที่ทำงานวิชาการมีอยู่ประมาณ 90 คณะ จึงกังวลว่าในอนาคตหากขาดคณะกรรมการหรือว่าผู้เชี่ยวชาญไปบางคณะ งานของราชบัณฑิตอาจจะต้องสะดุดและไม่สามารถผลิตหนังสืออ้างอิงและมีแหล่ง ข้อมูลที่ทันสมัยได้ ที่ผ่านมาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเก็บคำที่มีอยู่ในภาษาไว้เป็นจำนวน น้อยมาก มีเพียงประมาณ 37,000 คำเท่านั้น ทั้งๆ ที่มีคำที่ใช้ในภาษาไทยจำนวนหลายแสนคำ

นายอุดมกล่าวว่า ที่สำคัญในอดีตการจัดทำพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานล่าช้ามาก ตลอดระยะเวลาเกือบ 80 ปีมีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพียง 4 ครั้ง คือ ฉบับปี 2493 ฉบับปี 2525 ฉบับปี 2542 และฉบับปี 2554 นับว่าน้อยมาก รวมถึงการจัดพิมพ์พจนานุกรมแต่ละครั้งก็ใช้เวลานาน ทุกครั้งที่มีการจัดพิมพ์ จำเป็นต้องระดมนักวรรณศิลป์ทุกคนในราชบัณฑิตยสถานให้ช่วยกันตรวจสอบความถูก ต้องและพิสูจน์อักษรคำต่างๆ ในพจนานุกรม ทำให้งานต่างๆ ต้องหยุดทันที ดังนั้นราชบัณฑิตยสถานมีมติว่าให้จัดทำโครงการจัดทำฐานข้อมูลคำในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ที่สำคัญการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อสร้างระบบฐานข้อมูลคำศัพท์และคลังคำที่จะใช้ ในการชำระพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานในอนาคต จัดเก็บคำศัพท์ที่เกิดขึ้นใหม่

“หลังจากนี้คณะกรรมการการจัดทำฐาน ข้อมูลคำในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานชุดนี้ต้องเร่งจัดทำหลักเกณฑ์และขอบ เขตการจัดเก็บคำศัพท์ที่จะคัดเลือกและเก็บในฐานข้อมูลที่อยู่ระหว่างการ ดำเนินการ เพื่อให้สะดวกในการนำคำศัพท์มาใช้ในการชำระพจนานุกรมและจัดทำพจนานุกรมคำ ใหม่ เป็นการพยายามรวบรวมคำศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่น และคำสแลง ที่นำเสนอผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ และสื่อต่างๆ วัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลและคำศัพท์ สำนวนที่ใช้กันแพร่หลายและติดปาก ที่สำคัญคือคำศัพท์เหล่านั้นเป็นคำศัพท์ที่ยังไม่ได้บรรจุอยู่ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อย่างไรก็ตามคาดว่าการดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2557 นี้” นายอุดมกล่าว

นายอุดมกล่าวอีกว่า ตามแผนงานเดิม ช่วงต้นปี 2557 ราชบัณฑิตยสถานต้องจัดพิมพ์พจนานุกรมรวบรวมคำศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่นที่ทันยุคสมัย และคำสแลงรวมถึงสำนวนที่ใช้จนติดปากกันอย่างแพร่หลาย ที่ผ่านมาพิมพ์มาแล้ว 3 เล่ม ส่วนเล่มที่ 4 ก็ได้รวบรวมแล้วบางส่วน แต่ก็มีมติเห็นตรงกันว่าให้ชะลอการจัดพิมพ์เล่มที่ 4 ไว้ก่อน เพื่อรอระบบฐานข้อมูลดังกล่าวและเกณฑ์การคัดเลือกคำที่เป็นมาตรฐาน เพราะที่ผ่านมาการคัดเลือกคำศัพท์ใหม่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน รวมถึงเรื่องความหมายของคำก็ยังไม่ครอบคลุมทุกด้าน ดังนั้นจึงให้ชะลอการจัดทำพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่

ส่วนคำศัพท์ที่จัดเก็บไว้ประมาณ 1,000 คำก็จะนำมาไว้ในฐานข้อมูลที่กำลังจัดทำ อาทิ คำว่า

เกรียน – พฤติกรรมก่อกวนและชอบละเมิดกฎระเบียบ

การเมืองบนถนน – การเล่นการเมืองนอกสภา

กดไลค์ – ไอคอน like หรือชอบ เป็นรูปชูหัวแม่มือหนึ่งข้าง

ขั้นเทพ – ดียิ่ง เก่งอย่างยิ่ง

ซุปตาร์ – นักแสดงหรือนักร้องที่มีคนชื่นชอบจำนวนมาก

มังกรการเมือง – นักการเมืองที่มีประสบการณ์การเมืองยาวนาน

มาคุ – อึมครึม วังเวง

เว้นวรรค – ลาออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่หรือยุติบทบาทชั่วคราว

สุดซอย – จากความหมายเดิมคือ ถึงที่สุดจนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่าช่วงปลายปี 2556 ที่ผ่านมาคำว่า สุดซอย ถูกนำมาใช้ในทางการเมือง

ดังนั้นก่อนที่จะนำคำศัพท์มาบรรจุในฐานข้อมูลก็จะมีการปรับเปลี่ยนความหมาย และคัดเลือกคำที่ทันสมัย รวมถึงคำที่กำลังนิยม ทั้งนี้หากจัดทำระบบฐานข้อมูลก็จะทำให้การชำระพจนานุกรมสามารถทำได้รวดเร็ว เพราะมีคำศัพท์ที่คัดเลือกไว้แล้ว ส่วนคำศัพท์ใหม่ก็จะมีความหลากหลายและคัดเลือกตรงตามหลักเกณฑ์มากขึ้น ที่สำคัญคำไหนที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่ก็สามารถค้นหาความหมาย เพื่อนำไปอ้างอิงได้

– See more at: http://home.truelife.com/detail/3063665#sthash.ckDJmdxx.dpuf

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดอบรมต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ทั้งด้านบุคลากร และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แก่ผู้ประกอบการก่อนเข้าสู่ช่วงทดลองปฏิบัติงานจริง

น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าสร้างนวัตกรรมการให้บริการรับงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) เพื่อทดแทนการรับงบการเงินในรูปแบบเดิมที่เป็นเอกสาร ซึ่งจะส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มช่องทางการให้บริการให้มีความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่ส่งงบการเงินตามกฎหมายโดยคาดว่าจะสามารถเปิดรับงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ครอบคลุมทุกประเภทนิติบุคคล ได้แก่ บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล นิติบุคคลต่างประเทศที่มาประกอบธุรกิจในประเทศไทย  หอการค้าและสมาคมการค้า รวมไปถึงธุรกิจหลักของประเทศ 10 ประเภท เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างอาคารทั่วไป  ธุรกิจประกันภัย บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบภายในเดือนมกราคม 2558

“กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นหน่วยงานให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและภาครัฐในการตัดสินใจและดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงได้ริเริ่มโครงการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี XBRL มาสนับสนุนการให้บริการในการรับงบการเงินในรูปแบบใหม่ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรกของประเทศ โดยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจัดทำรหัสรายการทางบัญชี (Taxonomy) ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เชื่อมโยงข้อมูลงบการเงิน เพื่อให้บริการ ณ จุดเดียว (Single Point) มีระบบประมวลผลแบบ Real Time โดยจะทดลองปฏิบัติงานจริง (Pilot  Implementation) กับธุรกิจ 100 รายแรก ภายในเดือนเมษายน 2557

ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมาย กรมฯ จึงจัดอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) แก่กลุ่มเป้าหมายในช่วง Pilot Implementation 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนิติบุคคลขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือ กลุ่มที่ใช้บริการสำนักงานบัญชีคุณภาพ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านบัญชีออกจำหน่าย (Software House) แบ่งเป็น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จัดไปแล้วในเดือนธันวาคม 2556 เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานระบบ e-Filing และเทคโนโลยี XBRL รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเข้าร่วม Pilot Implementation และครั้งที่  2  จะจัดขึ้นภายในเดือนมกราคม 2557 ซึ่งจะจัดในรูปแบบ Workshop สำหรับผู้ใช้ระบบงาน (User) ได้ฝึกปฏิบัติงานจริง เช่น    การลงทะเบียน การยืนยันตัวตน และการอนุมัติการนำส่งงบการเงิน รวมถึงการตอบข้อซักถามและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ระบบงาน”น.ส.ผ่องพรรณ กล่าว.-สำนักข่าวไทย