Category: ข่าวทั่วไป

ผ่านไปอีกปีสำหรับงานแจกรางวัลครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าคนออนไลน์ทุกสาขา ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ใครจะเป็นคุณ ขอแค่มีผลงานเข้าตาโดดเด่น ทำธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ารวดเร็วและมากมายเป็นเลิศบนโลกโซเชียล ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เอาไว้ เพื่อวัดผลไม่ใช่แค่ไลค์เยอะเหมือนครั้งก่อน ที่สำคัญสถิติต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้โดยทาง Zocial inc. ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะกับใครก็ตามที่ต้องการต่อยอดธุรกิจบนโลกโซเชียล

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ พ่อมดออนไลน์จากโซเชียลอิงค์ (Zocial inc) จัดงาน Thailand Zocial Awards 2014 presented by True Money แจกรางวัลให้แก่นักธุรกิจและบุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ตลอดปีที่ผ่านมา พร้อมวิเคราะห์ทิศทางการตลาดจากกระแสความนิยมและพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคบน Social Media

ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท โซเชียลอิงค์ จำกัด (Zocial inc.) กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่เราจัดงาน Thailand Zocial Awards ขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจ ให้ความรู้และมอบรางวัลให้แก่แบรนด์และบุคคลที่โดดเด่นในโลกออนไลน์ เนื่องจากงานปีที่แล้วได้รับเสียงตอบรับดีมาก นอกจากนี้ข้อมูลสรุปภายในงานสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดผลงานให้วงการ Social Media ผลิตงานที่มีคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ส่วนวัตถุประ สงค์ของการจัดงานนี้ เพื่อต้องการกระตุ้นและสร้างพื้นฐานให้วงการ Social Media ของไทย และเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตมากขึ้น เป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Social Media เช่น พฤติกรรมของคนบน Social Media, บทบาท, มูลค่าของอุตสาหกรรมออนไลน์

รวมถึงข้อมูลแยกย่อยสำหรับวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค อาทิ การโพสต์รูป คนไทยชอบการโพสต์รูปผ่านช่องทาง Facebook และ Twitter มากที่สุด, ช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งาน social network มากที่สุดคือ 22.00 น. หรือรูปแบบโพสต์สำหรับกิจกรรมการตลาดที่ผู้บริโภคไม่พึงใจที่สุดคือ ถ่ายภาพคู่ผลิตภัณฑ์ เป็นต้น สามารถพูดได้ว่าจากนี้ไปทางแบรนด์หรือนักการตลาด นักกลยุทธ์ จะต้องปรับการตลาดให้เหมาะสมและทันต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา

รวมทั้งนำไปวิเคราะห์ตีความให้การจัดกิจกรรมทางการตลาดเป็นไปในรูปแบบที่โดนใจผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งทั้งหมดทาง Zocial inc ได้รวบรวมสถิติในทุกมิติผ่าน ZocialRank และ ZocialEye ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ประกอบการทั่วประเทศมานาน จึงมั่นใจได้ในฐานข้อมูลที่เป็นจริงของเราในวันนี้”

นอกจากนี้ ภาวุธได้กล่าวถึงวงการตลาดออนไลน์ระดับโลกไว้ว่า “สำหรับภาพรวมในต่างประเทศนั้น ช่วงปีหลังๆ มานี้ ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการทำการตลาดเลยทีเดียว ซึ่งในเมืองไทยเองนับว่าเริ่มเติบโตขึ้น ดูได้จากตัวเลขการใช้เม็ดเงินลงทุนโดยสมาคมโฆษณาดิจิตอล (ประเทศไทย) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ในปี 2557 คาดการณ์งบประมาณการโฆษณาสื่อดิจิตอลไว้ที่ 5,863 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2556 คิดเป็น 38.03% ทำให้การตลาดออนไลน์ในไทยมีการแข่งขันสูงขึ้น โดยธุรกิจต้องแข่งขันกันในเรื่องการวางแผนกลยุทธ์และกิจกรรมต่างๆ ที่จะออกมาทางสื่อออนไลน์มากขึ้น และฟังเสียงผู้บริโภคออนไลน์ (Social Listening and Monitoring) กลุ่มนี้ เพื่อนำมาปรับประยุกต์ใช้ในการวางแผนได้อย่างทันท่วงที”

โดยนักธุรกิจที่ได้รับรางวัลในสาขาต่างๆ มีดังนี้1.Top Brand Engage on Social Media by Category

– Beverage รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมากที่สุดในประเทศไทย คือ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด มีค่าปฏิสัมพันธ์ 6,199,676 ครั้ง

– IT and Digital รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมไอทีและดิจิตอลมากที่สุดในประเทศไทย คือ บริษัท ไทยซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ จำกัด มีค่าปฏิสัมพันธ์ 15,036,738 ครั้ง

– Bank & Finance รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมการเงิน

และธนาคาร มากที่สุดในประเทศไทย คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีค่าปฏิสัมพันธ์ 3,438,002 ครั้ง

– Food รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมอาหารมากที่สุดในประเทศไทย คือ ผลิตภัณฑ์เลย์ มีค่าปฏิสัมพันธ์ 2,749,435 ครั้ง

– Automobile รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมเครื่องยนต์มากที่สุดในประเทศไทย คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มีค่าปฏิสัมพันธ์ 1,462,831 ครั้ง

2.รางวัล Best Branded Content on Social Media แบรนด์ที่ทำเนื้อหาบน Social Media ได้ยอดเยี่ยมในประเทศไทย คือ Campaign Share ACoke โดยบริษัท โอกิลวี่วันเวิลด์วายด์ จำกัด และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด

3.รางวัล Best Customer Service on Social Media แบรนด์ที่ดูแลและให้บริการบน Social Media ได้ยอดเยี่ยมในประเทศไทย คือ Oriental Princess Society

4.รางวัล Best Social Media Campaign แบรนด์ที่ทำกิจกรรมบน Social Media ได้ยอดเยี่ยมในประเทศไทย คือ Campaign ShareACoke โดยบริษัท โอกิลวี่วันเวิลด์วายด์ จำกัด และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด

5.Top Line Official Account on Business แบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย

– รางวัลแบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย TruemoveH มียอดติดตาม 16,659,463

– รางวัลแบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย รองอันดับ 1 Muang Thai Life มียอดติดตาม 15,094,375

– รางวัลแบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย รองอันดับ 2 Dtac มียอดติดตาม 14,000,839

6.The Fastest Respond Brand in Pantip แบรนด์ที่ตอบโต้บน Pantip เร็วที่สุดในประเทศไทย คือ Dtac ในนาม feedback@dtac.co.th – 3,498 วินาที หรือ 58 นาที

7.Top Brand growth of the Year แบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตบน Social network อย่างต่อเนื่องมากที่สุดในประเทศไทย คือ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด – 11,396,263 ครั้ง.

ที่มา : ไทยโพสต์

 

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ศูนย์ค้าส่งสินค้าอุปโภค และบริโภคครบวงจร สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร และบริการจัดเลี้ยง สนับสนุนผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานร้านอาหารในประเทศไทยนำโดยเชฟเอกชาตตระกูล (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วย เชฟจตุพร จึงมีสุข (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการบริหาร ไทยแลนด์ คูลินารี อะคาเดมี ฝึกซ้อมตัวแทนเชฟจากการแข่งขันการทำอาหารนานาชาติ ระดับประเทศ “แม็คโครโฮเรก้า ชาเลนจ์2013” เสริมทักษะในการทำอาหารและปรับปรุงสูตรอาหาร เพื่อเตรียมพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันการทำอาหารเวทีใหญ่ระดับเอเชีย ในงานแสดงนวัตกรรมสินค้าและอุปกรณ์ ด้านอาหาร ระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย “Food&Hotel Asia 2014 (FHA)”ระหว่างวันที่ 8-11 เมษายน นี้ ณ ประเทศสิงคโปร์

ขอบคุณ: ThaiPR.net

 

“เซ็นทรัล” เร่งเครื่องธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ยุบในแต่ละบียูรวบเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ “เซ็นทรัลออนไลน์” ชี้แบรนด์แข็งแกร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการันตีโปรโมชั่นเร้าใจดึง ลูกค้าให้ทดลอง-ส่งสินค้าฟรีภายใน 1 วัน
นายอรรณพ บุญทวีพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจออนไลน์ ภายใต้กลุ่มบริษัทออฟฟิศเมทกรุ๊ป กล่าวว่า แนวโน้มตลาดค้าปลีกออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซในปีนี้มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากหลายธุรกิจหันมาให้ความสนใจการทำตลาดออนไลน์มากขึ้น จากการที่กลุ่มลูกค้าขยายตัวในวงกว้าง ตัดสินใจในการสั่งซื้อที่ง่ายขึ้นและมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง นอกจากนี้ พฤติกรรมของคนไทยเองก็เริ่มหันมาเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์และทางสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ มากขึ้น

ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลได้ให้ความสนใจกับตลาดออนไลน์ด้วยการให้ “เว็บไซต์เซ็นทรัลออนไลน์” เป็นศูนย์รวมหลักของการขายสินค้าออนไลน์ในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลทั้งหมด จากเดิมที่แต่ละหน่วยธุรกิจจะมีการขายออนไลน์ของตัวเอง โดยเซ็นทรัลออนไลน์จะเป็นหน่วยธุรกิจที่อยู่ในกลุ่ม “ออฟฟิศเมทกรุ๊ป” ที่รวม 3 ธุรกิจหลัก คือ ออฟฟิศเมท บีทูเอส และเซ็นทรัลออนไลน์

ซึ่งเซ็นทรัลออนไลน์จะนำร่องขายสินค้า 12,000 รายการในช่วงแรกของกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บีทูเอส เพาเวอร์บายก่อนที่จะทยอยเพิ่มสินค้าในบียูอื่นๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายในปีแรกที่เริ่มทำตลาดแบบเต็มรูปแบบนี้ 300-500 ล้านบาท

“การสตาร์ตในช่วงแรกยอดขายอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้าลูกค้าได้เริ่มทดลองเข้ามาใช้บริการ จะติดใจและเห็นความสะดวกในการช็อปปิ้ง ที่สำคัญแบรนด์เซ็นทรัลที่แข็งแกร่งจะเป็นตัวการันตีและสร้างความเชื่อมั่น ให้ลูกค้ากล้าเข้ามาทดลองใช้บริการ”

ผู้บริหารเซ็นทรัลออนไลน์กล่าวว่า ได้ทดลองเปิดให้บริการเว็บไซต์ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อวัดประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบ พร้อมกันนี้ได้เตรียมแผนการตลาดเชิงรุกเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนออนไลน์ให้หันมา ช็อปปิ้งสินค้าต่างๆ ในเครือของเซ็นทรัลได้ง่าย เสมือนเดินในห้างจริง รวมถึงกลยุทธ์การตลาดแบบเรียลไทม์ นำความสดใหม่ และสินค้าไฮไลต์ต่างๆ มาสร้างความบันเทิงและกิจกรรมต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายในส่วนของออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือการแข่งขันในอนาคตที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการซื้อออนไลน์ ซึ่งจะดึงดูดและแตกต่างจากการเดินเข้าไปซื้อสินค้าในร้านเพื่อเป็นการดึง ลูกค้าให้เข้ามาทดลองใช้ รวมถึงพัฒนาระบบบริหารงานโลจิสติกส์และส่งสินค้าได้ตรงเวลา ด้วยการรับประกันสั่งสินค้าวันนี้สามารถได้รับสินค้าในวันรุ่งขึ้นได้ทันที นอกจากนี้เมื่อซื้อสินค้า 499 บาท บริการจัดส่งฟรี

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ศูนย์ข่าวศรีราชา – เครือสหพัฒน์ แตกไลน์ธุรกิจบริการด้วยการเปิดร้านอาหารสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ “อูมั่ย – U Mai Kai Ten Sushi” ประกาศเดินหน้าขยายสาขาครอบคลุมทั้งจังหวัด และหัวเมืองใหญ่ หากผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ

นายทนง ศรีจิตร์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมด้วยนายสายัญห์ อินทะปุระ รองประธานบริษัท พิทักษ์กิจ จำกัด ได้ร่วมกันทำพิธีเปิดร้านอาหารสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ “อูมั่ย – U Mai Kai Ten Sushi” ซึ่งตั้งอยู่ภายในโครงการ J-Park Sriracha ศูนย์รวมการจำหน่ายสินค้าแฟชั่น สินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคทั้งไทย และญี่ปุ่น ในเขต ต.สุรศักดิ์

ร้านดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อรองรับงานบริการที่ครบวงจร หลังเครือสหพัฒน์ ได้แตกไลน์ธุรกิจบริการและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รวมทั้งธุรกิจกีฬาในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และยังได้จัดพิธีซอฟโอเพ่นนิ่ง (Soft Opening ) โครงการ J-Park Sriracha ไปเมื่อปลายปี 2556 ที่ผ่านมา

นายทนง กล่าวว่า ร้านอาหารดังกล่าวเป็นร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ที่เน้นรสชาติแบบญี่ปุ่น พร้อมตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งชาวไทย และชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอาศัยอยู่ใน อ.ศรีราชา ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน จุดเด่นของร้านอยู่ที่การเสิร์ฟบนสายพาน (Kai Ten) ซึ่งคนไทยที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็สามารถหยิบอาหารที่เสิร์ฟผ่านสายพานได้โดยไม่ต้องสั่งผ่านพนักงาน และหากต้องการอาหารเมนูพิเศษก็สามารถสั่งตรงได้จากเชฟที่ผ่านมาฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ขณะที่สนนราคาก็ประหยัดกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป

“ร้านอาหารอูมั่ย ใช้งบลงทุนประมาณ 7 ล้านบาท และถือเป็นสาขาแรกของเรา ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติแบบญี่ปุ่นแล้ว ร้านแห่งนี้ยังตั้งอยู่ในศูนย์การค้าที่มีการตกแต่งในรูปแบบญี่ปุ่นทั้งสวนส่วนกลาง และรูปแบบอาคาร ซึ่งนอกจากจะสร้างความคุ้นชินให้แก่ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอาศัย และทำงานอยู่ในพื้นที่แล้ว ยังสร้างบรรยากาศเสมือนอยู่ในประเทศญี่ปุ่นให้แก่กลุ่มลูกค้าคนไทยได้มีโอกาสสัมผัสอีกด้วย ”

ขณะที่แผนขยายสาขาร้านอาหารญี่ปุ่น – อูมั่ย บริษัทฯ ตั้งเป้าจะขยายสาขาให้ครอบคลุมในหลายพื้นที่ของจังหวัดชลบุรี และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ รวมทั้งในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมที่บริษัทเข้าไปลงทุน โดยจะประเมินผลประกอบการของร้านดังกล่าวในช่วงปีนี้ เพื่อกำหนดจำนวนสาขาที่จะขยายเพิ่มในอนาคต

“ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เราถือเป็นกลุ่มลงทุนแรกที่มีการลงทุนด้านงานบริการทั้งธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ กีฬา และสวนอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เราได้เพิ่มงานบริการที่เข้าถึงชุมชนมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้รับงานบริการที่ดี และสัมผัสวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นโดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ โดยนำประสบการณ์ที่เกิดจากการลงทุนร่วมกับชาวญี่ปุ่นมานานมาใช้ให้เกิดประโยชน์” นายทนง กล่าว

 

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

แม็คโครบุกเกาะพะงัน เปิดสาขาใหม่รองรับความต้องการลูกค้า

สุราษฎร์ธานี – แม็คโครเปิดสาขาใหม่บนเกาะพะงัน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่บนเนื้อที่ 1,800 ตารางเมตร จำหน่ายอาหารที่จำเป็นกว่า 5,000 รายการ 
นายสันติ จันทร์แรม ผู้จัดการทั่วไป แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาเกาะพะงัน เปิดเผยว่า “ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บนเกาะพะงัน มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พื้นที่กว่า 170 ตารางกิโลเมตร ของเกาะพะงัน ประกอบไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย ทั้งชายหาดขาว น้ำตก อุทยานแห่งชาติ พร้อมกิจกรรมทางทะเลที่หลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำ เดินป่า ดูนก การชมวิถีชีวิตของชาวประมง ทำให้เกาะพะงันได้รับความสนใจ และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากขึ้นเป็นลำดับทุกปี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกว่า 3 แสนคนต่อปีซึ่งแม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาเกาะพะงัน เป็นสโตร์รูปแบบใหม่ของแม็คโคร เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบนเกาะพะงัน และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ได้รับการออกแบบเฉพาะโดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าสมาชิกกลุ่มร้านอาหารเป็นหลัก แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาเกาะพะงัน ถือเป็นสโตร์ฟูดเซอร์วิสแห่งที่ 4 ของแม็คโคร จำหน่ายสินค้าที่ร้านอาหารจำเป็นต้องใช้ในแต่ละวันมากกว่า 5,000 รายการ ทั้งอาหารแช่แข็ง อาหารแห้ง เครื่องปรุง เนื้อสัตว์ ไข่ ผักสลัด ชีส เบเกอรี และภาชนะบรรจุอาหาร พร้อมกันนี้ ยังจำหน่ายเนื้อนำเข้า และเครื่องดื่มสำหรับใช้ในร้านอาหารอีกด้วย บนพื้นที่จำหน่ายสินค้ากว่า 1,800 ตารางเมต
นายสันติ กล่าวอีกว่า ด้วยทำเลที่ใกล้ร้านอาหารและโรงแรมมากขึ้น จะทำให้ลูกค้าผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถซื้อวัตถุดิบ และสินค้าจำเป็นสำหรับร้านอาหารได้สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางนั่งเรือ นั่งรถเข้าตัวเมืองเพื่อซื้อของเหมือนที่ผ่านมา ช่วยประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อซื้อวัตถุดิบในแต่ละวัน ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร และโรงแรมให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มกำไร และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

 

ปักกิ่ง 24 ก.พ.- สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ของจีน ได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อกวาดล้างการทุจริตรับสินบนในแวดวงราชการ โดยจะกระจายการรวมอำนาจของส่วนกลาง เพิ่มความโปร่งใส และสร้างทัศนคติจะไม่ยอมทนต่อการทุจริต

นายกรัฐมนตรีหลี่ ประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ แต่ซินหัวเพิ่งรายงานเมื่อค่ำวานนี้ เขากล่าวว่า การที่รัฐบาลกลางควบคุมมากเกินไปและเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจจุลภาคโดยตรง นอกจากจะกระทบต่อความสามารถของตลาดในการตัดสินใจจัดสรรทรัพยากรแล้ว ยังจะทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นและเปิดช่องให้เกิดการทุจริตรับสินบน ปีที่แล้วรัฐบาลยึดเงินได้ 400,000 ล้านหยวน (ราว 2 ล้านล้านบาท) ระหว่างสอบสวนคดีทุจริต ลงโทษเจ้าหน้าที่ทำผิดวินัยแล้วกว่า 40,000 คน และไล่ออกไปแล้ว 10,000 คน รัฐบาลจะสร้างทัศนคติจะไม่ยอมทนต่อผู้ทุจริตในแวดวงราชการ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครจะต้องถูกสอบสวนจนถึงที่สุด

นายกรัฐมนตรีหลี่ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะเปิดเผยงบประมาณและบัญชีทั้งหมด รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้มงวดการยับยั้งชั่งใจของเครือญาติและเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชา.-สำนักข่าวไทย

 

คณะกรรมการจำนำ 2 ปีฉุดยอดส่งออกข้าว “กมลกิจ” หด 40% แก้เกมอัดงบฯ 600 ล้านบาท ขยายคลังสินค้า รีแบรนด์น้ำมันรำข้าวชิม มองไกลเร่งวิจัยและพัฒนาสู่เวชสำอาง-ยา ตั้งเป้าโกยรายได้ปี′57 ทะลุ 8,000 ล้านบาท

นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ ประธานกรรมการบริหาร กมลกิจกรุ๊ป ผู้ส่งออกข้าวนึ่ง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายหลังจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในช่วง 2 ปี นับจากปี 2554/2555 และปี 2555/2556 ยอดส่งออกข้าวของบริษัทลดลงประมาณ 40% เหลือเพียง 2,500 ล้านบาท และยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้ำมันรำข้าวด้วย เพราะโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมดทำให้วัตถุดิบรำข้าวในตลาดหายาก ไม่สม่ำเสมอ หรือบางครั้งมีปัญหาเรื่องคุณภาพด้วย ประกอบกับเกิดการแย่งชิงวัตถุดิบ หลังจากที่มีผู้ประกอบการได้ตั้งโรงสกัดน้ำมันรำข้าวขึ้นมาในตลาดเพิ่มขึ้นอีก 4-5 ราย เพื่อส่งออกไปยังตลาดเกาหลีและญี่ปุ่น และเพื่อจำหน่ายในประเทศให้กับลูกค้าในกลุ่มอาหารสัตว์

“ธุรกิจส่งออกข้าวไม่เคยแย่ขนาดนี้ เราเคยทำได้ถึงสูงสุดปีละ 6,000 ล้านบาท ปีนี้ธุรกิจส่งออกข้าวอาจจะต้องชะลอเพื่อดูจังหวะที่เหมาะสมในโอกาสต่อไป แต่เราคาดหวังว่าปีนี้การส่งออกข้าวไทยน่าจะกลับมาได้ และราคาคงไม่ถูกเกินไป”

นางสาวกอบสุขกล่าวว่า ในปีนี้ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มรายได้เป็น 8,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่รายได้ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาทเท่านั้น โดยยังคงสัดส่วนรายได้จากการส่งออกข้าวสัดส่วน 50% และน้ำมันรำข้าวสัดส่วน 50%

โดยเตรียมปรับแผนการลงทุน เพื่อเพิ่มรายได้จากธุรกิจคลังสินค้าที่ให้เช่าฝากเก็บสินค้า ซึ่งเดิมทีทางบริษัทได้ลงทุนสร้างคลังไปแล้ว 30,000 ตารางเมตร โดยปีนี้จะมีแผนขยายคลังเพิ่มอีก 30,000 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท เพราะเป็นการขยายในพื้นที่เดิมบริเวณ จ.ปทุมธานี และอาจจะมีซื้อที่ดินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง

“ธุรกิจคลังนี้มีแนวโน้มเติบโตดี เพราะทำเลของคลังเราอยู่ริมน้ำ มีท่าเรือขนถ่ายสินค้าได้ เชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมสะดวก พื้นที่คลังเดิม 30,000 ตารางเมตร มีลูกค้าเต็มหมด เรามีพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่คอยบริหารจัดการและหาลูกค้าให้ หลัก ๆ จะรับฝากสินค้า เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอุปโภคบริโภค และเคยรับฝากเก็บหัวรถไฟฟ้า แต่ไม่ได้ให้เช่าเก็บข้าวสารรัฐบาล เพราะค่อนข้างยุ่งยาก”

พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้เตรียมปรับรีแบรนด์น้ำมันรำข้าว “ชิม” ในช่วงกลางปีนี้ เพราะเป็นแบรนด์ดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมในต่างจังหวัดมาเป็นเวลานาน ดังนั้นควรจะมีการเพิ่มคุณสมบัติของน้ำมัน เช่น เพิ่มแกมม่าออริซานอลมากขึ้น ส่วนช่องทางจำหน่ายมีแผนจะเพิ่มการจัดจำหน่ายให้กลุ่มผู้ซื้อ ยี่ปั๊ว-ซาปั๊วในต่างจังหวัดมากขึ้น จากเดิมที่จัดจำหน่ายผ่านห้างโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก และอาจจะเพิ่มงบฯการทำโฆษณาในส่วนของสื่อสิ่งพิมพ์มากขึ้น จากปัจจุบันเน้นป้ายโฆษณาบนรถบัสขนาดใหญ่

“เราจะเน้นทำรีเทล ชิมน่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนตลาดในประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่เน้นส่งออกเป็นหลัก โดยมีแบรนด์อัลฟ่า วัน (Alfa one) เป็น International Brand เป็นหลัก แต่ก็มีขายในประเทศด้วย และแบรนด์ริซี่ (Rizi) ซึ่งเราพัฒนาให้เป็นสินค้าระดับบนสำหรับตลาดในประเทศ ส่วนแบรนด์โรซ่า เราพัฒนาสำหรับขายในประเทศแต่ไม่ติดตลาดเท่าที่ควร ผู้บริโภคจะคุ้นเคยกับชิมมากกว่า”

ทั้งนี้น้ำมันรำข้าว คิดเป็นสัดส่วน 5% ในตลาดน้ำมันพืชบริโภค และที่ใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งแบรนด์ของเรามีหลายแบรนด์อยู่ในระดับพอ ๆ กับแบรนด์คิง และล่ำสูง และยังมีโรงกลั่นสุรินทร์ที่เน้นส่งออกเท่านั้น

นอกจากนี้ยังจะเน้นเพิ่มการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดของสินค้าเกษตรคือ การผลิตยา และเวชสำอาง ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ที่เริ่มตื่นตัวให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

เป็นการตอกย้ำอีกครั้งของการเข้าไปลงทุนในประเทศ CLMV สำหรับเมืองไทย หากไทยจะไป ผู้ประกอบการไทยควรจะเตรียมตัวอย่างไร จากมุมมองของภาคเอกชนที่เข้าไปคลุกคลี บอกได้ว่าโอกาสของประเทศไทยยังมีอีกมาก

นางดวงใจ จันทร ประธานกรรมการ บริษัท นัทธกันต์ จำกัด ผู้ประกอบการที่ลุยตลาดพม่า กัมพูชา และเวียดนามมานาน กล่าวในงาน “CP ALL SMEs FORUM 2014 บุกตลาด CLMV…อนาคต SMEs ไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ว่า พม่า ลาว และกัมพูชายังพึ่งพาสินค้าจากไทยเยอะ โดยเฉพาะสินค้าอาหารที่ล้วนติดรสชาติอาหารไทย ซึ่งลาวและกัมพูชาจะสะดวกเรื่องภาษา การสื่อสาร ที่ได้ทั้งภาษาไทยและจีน ชาวกัมพูชาร้อยละ 20 ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง และเรื่องค่าเงินที่สามารถใช้ได้ทั้งเงินบาท และดอลลาร์

สิ่งสำคัญในการเข้าไปยังประเทศเหล่านี้ คือ สภาหอการค้า, ทูตพาณิชย์, สมาคมธุรกิจ เพื่อหาข้อมูลตลาดและหาตัวแทน ส่วนการแสดงสินค้าเป็นเพียงการเปิดตัว ไม่ได้ยืนยันว่าสินค้าจะติดตลาดและต้องหาลูกค้าใหม่ ในระยะ 6 เดือนก็รู้แล้วว่ารอดหรือไม่ ที่พนมเปญ มีสมาคมเอสเอ็มอีช่วยเรื่องเงินทุน ผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ มีเทคโนโลยี สามารถเข้าไปได้

ขณะที่ประเทศเวียดนาม สามารถแบ่งผู้บริโภคเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คือ เวียดนามเหนือ เวียดนามกลางเป็นเมืองท่องเที่ยว ขณะที่เวียดนามใต้เป็นเมืองเศรษฐกิจ เพราะเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรมากถึง 60 ล้านคน สินค้าที่ไปที่เวียดนามต้องผ่านกัมพูชา เพราะเสรีทางด้านภาษีมากกว่า

นายธีรพงษ์ ฤทธิ์มาก รองประธานสภานักธุรกิจไทยในเวียดนาม กล่าวในงาน “เปิดแนวรุก บุกตลาดเวียดนาม” จัดโดยสถาบันองค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ว่า เวลานี้คนเริ่มเข้าสู่ยุคกินดีอยู่ดี มีกำลังในการซื้อหาสินค้า และกลุ่มคนมีเงินจะซื้อสินค้าตามห้าง ในขณะที่สินค้าจากเมืองไทยมีโอกาสในทุกอุตสาหกรรม แต่ต้องมีการจัดการที่เป็นสากล ไม่ใช้ระบบญาติ

ส่วนสินค้าที่เข้าไปเปิดตลาด ควรจะมีระบบกฎหมาย มีการจ้างที่ปรึกษาเข้ามา ช่วยให้กฎหมายมีความรัดกุม เพราะมีกรณีที่สินค้าไทยถูกก๊อบปี้มาแล้ว กรณีเรดบูล และอีกหลายกรณี

ทางออกของเอสเอ็มอีก็คือ อย่าซื้อไลเซนส์จากยุโรปหรืออเมริกามาทำตลาดในเวียดนาม เพราะเมื่อสินค้าไปได้ดี

คู่ค้าหรือชาวเวียดนามที่เห็นโอกาส จะบินไปซื้อไลเซนส์มาเองขยายตลาดแข่ง หากเป็นสินค้าไทย เน้นการสร้างโนว์ฮาวนวัตกรรมเอง นำมาขยายตลาดในเวียดนาม โอกาสที่จะเติบโตสูงกว่า

นอกจากนี้ สินค้าประเภทยาหรือของมีแบรนด์ต่าง ๆ จะคล้ายกันกับไทย คือ ขณะที่มีสินค้าอยู่ที่ร้าน จะมีกองทัพมดหิ้วมาจำหน่ายแข่งในราคาถูกกว่าจำนวนมาก

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่หวังจะเข้าไปเปิดโรงงานและใช้แรงงานราคาถูกของชาวเวียดนาม แนะว่าให้ไปเลือกโรงงานที่มีการปิดตัว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีจำนวนมาก และน่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่าการไปตั้งโรงงานใหม่ ส่วนเครื่องจักรจากไทย หากเป็นเครื่องจักรที่เก่าไม่แนะนำ เพราะที่เวียดนามเครื่องจักรที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมเป็นเครื่องจักรที่ทันสมัยเกือบทั้งหมด

ข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์พบว่า การค้าชายแดนของไทยกับเพื่อนบ้าน ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2556 ของไทยกับ เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา มีตัวเลขที่น่าสนใจ

สินค้าที่เมียนมาร์นำเข้าจากไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และน้ำมันเบนซิน แต่สินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็ก และเหล็กกล้า เพิ่มขึ้น 139.34% เครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้างและส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 144.33% และเครื่องโทรสาร โทรพิมพ์ โทรศัพท์ อุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 199.85% โดยด่านที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ด่านศุลกากรแม่สอด, ระนอง และแม่สาย ตามลำดับ

สินค้าที่ลาวนำเข้าจากไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันดีเซล, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และน้ำมันเบนซิน ส่วนสินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงปี

ที่ผ่านมา 3 อันดับแรก ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น 78.70% ไก่ เพิ่มขึ้น 32.80% เหล็กและเหล็กกล้า เพิ่มขึ้น 19.67% ด่านที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ด่านศุลกากรหนองคาย, มุกดาหาร และพิบูลมังสาหาร

สินค้าที่กัมพูชานำเข้าจากไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์, เครื่องยนต์สันดาปในแบบลูกสูบ และเครื่องสำอาง เครื่องหอม และสบู่ ส่วนสินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันเบนซิน เพิ่มขึ้น 30.25% รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 30.25% ผ้าผืน และด้าย เพิ่มขึ้น 29.83% ด่านที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ด่านศุลกากรอรัญประเทศ, คลองใหญ่ และจันทบุรี

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

“ผมเป็นคนชอบเรื่องรถ เรื่องความเร็วมาตั้งแต่เด็กครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมสนใจก็หนีไม่พ้นเรื่องในแวดวงนี้” เปิดฉากการสนทนาด้วยความชอบส่วนตัวของเซเลบหนุ่ม “แบรนด์เนม-ปรกฤษฎ์ หงษ์โสภา” หลานทวดขุนนาคอรรณไวยโรจน์ (ชิด ประสิทธิ์สรจักร์) หลานของพลโทประชุมและคุณหญิงสวาท ประสิทธิ์สรจักร์ ผู้ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาในแวดวงนักธุรกิจรุ่นใหม่ของเมืองไทย ด้วยวัยที่ยังไม่ถึงเลข 3 แต่รักในความเป็นผู้นำ ทำให้มุมมองความคิดในการทำธุรกิจที่ทันสมัย หวังจะเปิดตลาดใหม่ไม่ให้ซ้ำกับที่มีอยู่เดิม

ขณะเดียวกัน ธุรกิจนั้นต้องมีความเป็นตัวเองอยู่ คือไม่หนีไปจากเรื่องราวในชีวิตของตนเองมากนัก แบรนด์เนมเติบโตขึ้นมาท่ามกลางธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องจักรอุตสาหกรรมนำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้เขามีความสนใจในนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่ตลอด บวกกับความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับแวดวงยานยนต์ เขาจึงเลือกจับธุรกิจอย่างคาร์แคร์มาเป็นธุรกิจของตนเองตั้งแต่อายุ 22 ปี ทำให้เขาคลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจคาร์แคร์มานานกว่า 4 ปี โดยไม่ได้ทำงานตามสายที่เขาร่ำเรียนมาในเส้นทางนิเทศศาสตร์ แต่เขาเลือกร่วมหุ้นกับเพื่อน ๆ เปิดคาร์แคร์ ล้างสี ดูดฝุ่น อัดฉีดทั่วไป

“ผมเชื่อว่าถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราสนใจ และมีความถนัด เราจะทำมันได้ดี สามารถใช้เวลาทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง อย่างเมื่อก่อนนั้นถึงผมจะมีธุรกิจล้างรถเป็นของตัวเอง ขณะเดียวกันผมก็คอยติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแวดวงยานยนต์อยู่เสมอ อีกทั้งยังไม่หยุดคิดต่อยอดแตกไลน์ธุรกิจใหม่จากธุรกิจเดิมที่เรามีอยู่ด้วย ทำให้ผมต้องคิดมากยิ่งขึ้น

ผมจะมองว่าการทำธุรกิจนั้นเราควรจะมองในช่องธุรกิจที่คนอื่นยังไม่มอง ทำให้ตัวเองเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่หายไป ซึ่งนั่นเหมือนเป็นช่วงโหว่ที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่า เราอยากเป็นคนทำให้มีอะไรเกิดขึ้นมา ในวันต่อ ๆ ไปเมื่อเวลามีใครพูดถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็จะนึกถึงเราก่อน ทีนี้จึงเกิดเป็นคำถามว่าแล้วอะไรล่ะที่บ้านเรายังไม่มี ฉะนั้นจึงยิ่งต้องศึกษาให้มาก”

ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ เมื่อคิดที่จะเป็นผู้นำ แบรนด์เนม ปรกฤษฎ์ จึงเฟ้นหาธุรกิจที่จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับแวดวงธุรกิจในประเทศไทย โดยต่อยอดจากร้านล้างรถแบบธรรมดาทั่วไป มาเป็นการล้างรถแบบไอน้ำรายแรกในประเทศไทยที่นำนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ล้างรถ

“เมื่อช่วงต้นปีที่แล้วผมรู้จักนวัตกรรมล้างรถแบบไอน้ำจากอินเทอร์เน็ต ผมชอบด้านนี้อยู่แล้ว ผมจึงลองสั่งเครื่องแรงดันไอน้ำออปติมา สตีมเมอร์ มาลองใช้กับรถของตัวเองดู ปรากฏว่าเวิร์กมาก ผมจึงอยากทำให้ธุรกิจนี้มีขึ้นมา”

ประสบการณ์ทำธุรกิจคาร์แคร์มาเกือบครึ่งทศวรรษของแบรนด์เนม ทำให้เขามองว่า การจะเปิดร้านสักแห่งต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่มีเงินลงทุนและสถานที่เท่านั้น ยังต้องมองไปถึงข้อจำกัดในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการน้ำ สิ่งสกปรก คราบฟองแชมพูต่าง ๆ คราบน้ำมัน ซึ่งอาจจะไปสร้างความรำคาญให้คนรอบข้างได้ ทำให้คาร์แคร์หลายสถานที่มักมีปัญหากับบุคคลโดยรอบ ๆ ซึ่งตัวเขาเองเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ควรจะมีทางออกแต่ยังไม่เห็นมีใครที่จะพัฒนาให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป หรืออย่างน้อยก็ทำให้ดียิ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจการล้างรถของบ้านเราก็มีมานานมากแล้ว และเทคโนโลยีก็ล้วนรุดหน้าไปมาก

“เมื่อผมเจอกับความแตกต่างและสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการคาร์แคร์บ้านเราผมเลยคิดว่าในเมื่อเราเจอสิ่งที่ดีกว่า หากเรานำมาต่อยอดก็จะสามารถสร้างให้เราเป็นผู้นำที่แตกต่างได้ แน่นอนว่าความยากจะต้องเกิดขึ้นในระยะแรก จากเมื่อกลางปีที่แล้วคือช่วง 3 เดือนแรกของผม ยอมรับว่ายากมาเลยครับ ผมต้องอธิบาย ประชาสัมพันธ์ ทำทุกอย่างให้ทุกคนรู้จักว่าการล้างรถไอน้ำคืออะไร ดีกว่ายังไง แต่เมื่อทุกคนได้ลอง ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยครับว่า ดีกว่า สะอาดกว่าจริง ๆล้างได้รวดเร็วกว่าด้วย ในขณะเดียวกันก็ยังไม่สร้างความสกปรกเลอะเทอะให้พื้นที่ประกอบการด้วยครับ”

ทันทีชที่ทดลองกับตัวเองและคนรอบข้างจนเกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจแล้ว ไอเดียที่จะจริงจังกับธุรกิจนี้ของแบรนด์เนม ปรกฤษฎ์ จึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ด้วยการลงมือสร้างสรรค์แบรนด์โปร-สตีม (Prosteam) โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำนวัตกรรมล้างรถแบบครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Quick&Cool

“เมื่อผมเห็นว่าตรงนี้สามารถตอบโจทย์ทุกคนได้แล้ว ผมยังนึกไปถึงเรื่องสำคัญอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแชมพูจากธรรมชาติ น้ำยาที่ใช้ในโปร-สตีม ทุกตัวจะมีค่ากลาง pH 0.5 หมด ทำให้รถทุกคันโดนสารเคมีน้อยที่สุด แวกซ์ขี้ผึ้งจากประเทศบราซิลที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลก เคลมได้เลยว่าเป็นมิตรกับธรรมชาติ 100% ซึ่งผมว่าเรื่องพวกนี้นอกจากจะเป็น CSR สำหรับการทำธุรกิจแล้ว ยังเป็นข้อดีที่เราช่วยโลกเราได้ ซึ่งโปร-สตีมสามารถทำได้จริงด้วยครับ”

หลังจากโปร-สตีมเริ่มเป็นที่รู้จัก แบรนด์เนม ปรกฤษฎ์จึงขยายไอเดียให้กว้างขึ้นอย่างรวดเร็วตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ไฟแรง โดยคิดจะทำโมบายคาร์วอตช์ให้ประสบความสำเร็จในไทย จริง ๆ แม้จะมีคนทำมาแล้ว แต่เขาคิดว่าเขาน่าจะทำให้บูมขึ้นได้กว่าเดิม ด้วยเครื่องแรงดันไอน้ำออปติมา สตีมเมอร์ที่เขาถือลิขสิทธิ์ในมือ เพราะสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก แถมมีเครื่องเดียวก็สามารถเปิดอู่ย่อม ๆ ได้ทันที เมื่อต้นทุนทุกอย่างจะลดลง เป็นมิตรกับธรรมชาติและยังเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ลูกค้า ขณะเดียวกันเขายังมองไปถึงธุรกิจการทำความสะอาดอื่น ๆ นอกจากนั้นยังอาจต่อยอดไปถึงล้างรถทุกประเภท เรือ รถไฟ เครื่องบิน ที่อยู่อาศัย ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมก็เป็นได้

“6 เดือนที่ผ่านมาถือว่าน่าประทับใจมากครับ เพราะนอกจากจะทำให้คนทั่วไปรู้จักเรายิ่งขึ้นแล้ว เรายังเปิดสาขาโปร-สตีมได้อีกหลายจังหวัดในประเทศ บางจังหวัดก็มองไปถึงความครอบคลุมในตลาดประเทศเพื่อนบ้านด้วยครับ”

ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็วบ่งบอกได้ชัดเจนว่านวัตกรรมใหม่ของแวดวงยานยนต์และไอเดียในการทำธุรกิจจากแบรนด์เนม ปรกฤษฎ์ หงษ์โสภา หนุ่มยุคใหม่คนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา
นายวรสิทธิ์ อิสระ เจ้าของเว็บไซต์ Guruwan.com

เมื่อด้านงานอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เร้าใจ เท่าการลงมือขายของออนไลน์ที่ทายาทตระกูล “อิสระ” เจ้าของโรงแรมชื่อดังเมืองภูเก็ต ‘ศรีพันวา’ ที่เขามองว่าเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ชเป็นธุรกิจแห่งโลกอนาคต ทุกคนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้ เขาตัดสินใจกระโดดลงมาเล่นกับธุรกิจเอสเอ็มอี เปิดเว็บ “guruwan.com” ขายสินค้าคุณภาพดี มีดีไซน์ไม่ซ้ำ โดยฝีมือคนไทยล้วนๆ

นายวรสิทธิ์ อิสระ หรือที่รู้จักกันในนามของ “ปลาวาฬ อิสระ” แห่งศรีพันวา ที่นอกจากจะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูในจังหวัดภูเก็ต และติดอันดับ 3 ของรีสอร์ทที่หรูหราที่สุดในประเทศไทย เขายังสนใจเทรนด์ธุรกิจออนไลน์ นำสินค้าไทยเกรดพรีเมียม ขายผ่านเว็บให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์คุณค่าสินค้าไทย

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

www.guruwan.com กำเนิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และได้รับการตอบดีจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย รงมถึงผู้ซื้อทั้งในและต่างชาติเรื่อยมา ทำให้ขณะนี้เขามีสินค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์แล้วกว่า 2,800 ชิ้น จาก 200 บริษัท แต่ไอเดียธุรกิจนี้ ไม่ได้เกิดมาจากความอยากลองธุรกิจทำด้านนี้เพียงอย่างเดียว แต่คุณปลาวาฬ มีการศึกษาตัวเลขอัตราการเติบโตในธุรกิจออนไลน์ และพฤติกรรมของคนทั่วโลกเกี่ยวกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

เขาเริ่มปิ๊งไอเดียธุรกิจจากกระแสมือถือแบล็คเบอร์รี่ (Blackberry) ฮิตติดลมบน และเป็นช่วงเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนที่เข้ามาบทบาทในชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแห่งอนาคตที่ต่อไปทุกคนจะเข้าสู่วงจรนี้อย่างแน่นอน รวมถึงเมื่อสังเกตจากการจองห้องพักที่ศรีพันวา พบว่ากว่า 40% ลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลกจองผ่านออนไลน์ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของเขาให้มุ่งสู่โลกธุรกิจออนไลน์ยิ่งขึ้น

แต่จะทำอย่างไรให้เว็บขายของออนไลน์น้องใหม่ในวงการอย่าง guruwan ไม่ซ้ำใคร รวมถึงรูปแบบการซื้อขายสินค้าต้องสะดวกทั้งผู้ประกอบการ เจ้าของเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลาง และลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก บังเอิญเขาได้มีโอกาสไปงาน BIH&BIH (งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน) ก็เกิดไอเดียที่จะนำสินค้าเหล่านี้มาขายบนเว็บ เพราะต้องการโชว์ศักยภาพสินค้าไทยที่มีคุณภาพ แถมยังได้รับการออกแบบที่ทันสมัยไม่แพ้สินค้าต่างชาติ

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

“ผมมีโอกาสไปเดินดูสินค้าที่งาน BIG ก็พบว่าสินค้าของไทยสวยๆ เยอะ แถมยังมีคุณภาพ ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ส่งออกระดับแนวหน้า ผมจึงอยากคัดเลือกสินค้าเหล่านี้มาขายผ่านเว็บไซต์ โดยเบื้องต้นผมติดต่อกับผู้ประกอบการเอง โดยเสนอเงื่อนไขการเป็นคู่ค้าร่วมกัน แต่ผู้ประกอบการไม่ต้องนำสินค้ามาให้กับ guruwan แต่เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ ก็จะแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบ เพื่อส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเอง ทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกดีเพราะได้แพคสินค้าเองกับมือ ถือเป็นการทำธุรกิจที่ทุกฝ่ายพอใจ และช่วงหลังๆ ก็มีเอสเอ็มอีเข้ามาติดต่อค้าขายกับเราโดยตรง”

แล้วเว็บ guruwan จะได้อะไร…

เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ เพราะดูเหมือน guruwan จะเป็นเพียงสื่อกลางและหน้าร้านให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คุณปลาวาฬ บอกว่า เขาจะมีรายได้ประมาณ 20% จากการขายสินค้าแต่ละชิ้น ในฐานะที่สร้างเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือและลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจ โดยที่ผ่านมาไม่น่าเชื่อว่าสินค้าประเภทเครื่องประดับ จิวเวอรี่ เป็นสินค้าขายดีในเว็บไซต์ ทั้งที่หลายคนมองว่า ต้องได้มาสัมผัสของจริงจึงจะตัดสินใจซื้อ แต่สำหรับชาวนอร์เวย์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย รัสเซีย กลับเลือกซื้อจากช่องทางนี้ รองลงมาเป็นสินค้าประเภทแฟชั่น และแอสเซสเซอรี่ (Accessories) ต่างๆ จะได้รับการตอบดีจากชาวเอเชีย

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

การคัดเลือกสินค้าก่อนที่จะนำมาขายในเว็บไซต์ guruwan ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณปลาวาฬ จะต้องเช็คข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่าเป็นผู้ประกอบการคนแรกที่ทำสินค้าดังกล่าวขึ้น ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร จากนั้นเดินทางไปดูสินค้าด้วยตัวเอง เพื่อเช็คคุณภาพ และเห็นสินค้าจริง โดยเขาตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์นี้มากกว่า 3 ล้านคน/เดือน มียอดขายสินค้าผ่านเว็บราว 90-130 ล้านบาท/ปี จากราคาสินค้าเริ่มต้นที่ประมาณ 500-7,000 บาทโดยจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต และระบบ Pay Pal สำหรับอนาคต guruwan จะลุยตลาดทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค อย่าง อินสตราแกรม ที่มีศักยภาพสูงในธุรกิจออนไลน์ ณ เวลานี้

       ***สนใจติดต่อ 0-2308-2198 หรือที่ www.guruwan.com*** 

ขอบคุณข้อมูลจาก ASTV

พบ SMEs กว่าล้านรายรู้จัก AEC แค่ผิวเผิน

ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 1.3 ล้านรายยังไม่เข้าใจกฎระเบียบ AEC อย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะการลดภาษีศุลภากร ขณะที่บางส่วนเผยยังไม่พร้อมเข้าสู่ AEC

ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2556 ถึงช่วงต้นเดือนมกราคม 2557 พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย ในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการถึง 1.3 ล้านรายยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน (เออีซี) ไม่ชัดเจน และยังไม่เข้าใจว่าธุรกิจของตนมีโอกาสหรือต้องเริ่มต้นลงทุนอย่างไรในเออีซี

โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 38.04% ให้เหตุผลว่าการประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจนว่าภาคธุรกิจแต่ละประเภทมีโอกาส อุปสรรคอย่างไรและต้องปรับตัวอย่างไร ผู้ประกอบการ 29.71% ตอบว่าเพราะการประชาสัมพันธ์ยังน้อย ผู้ประกอบการ 16.67% ตอบว่าไม่สนใจติดตามข้อมูลเออีซีเพราะไม่มีเวลาศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าควรมีการอบรมให้ความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเออีซีในธุรกิจแต่ละประเภทในเชิงปฏิบัติมากขึ้น

“ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นมาที่เริ่มมีการสำรวจผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเข้าใจภาพรวมของเออีซีของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ถึงปัจจุบันจะเห็นว่าผู้ประกอบการมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมเออีซีเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งโจทย์ในปัจจุบันนี้ ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่ใช่เพียงการให้ความรู้แค่เรื่องเออีซีอย่างเดียว แต่ควรเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าใจในธุรกิจของตัวเองมากขึ้นว่าจะมีโอกาสอย่างไรในเออีซี ต้องมีการลงทุนอย่างไรมากขึ้น”

สำหรับเรื่องที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่เข้าใจมากที่สุดคือ กรอบการลดภาษีศุลกากร การลดอัตราภาษี 13.80%, การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร 13.76%, การขจัดมาตรการที่มิใช่ภาษี 13.03%, มาตรฐานสินค้าร่วมของอาเซียน 12.41% ส่วนความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในเออีซี ผู้ประกอบการ 50.40% ตอบว่ายังไม่พร้อมที่จะแข่งขัน เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเออีซี เช่น กฎระเบียบของประเทศในเออีซี, การปรับตัวเข้าสู่เออีซี, การใช้ประโยชน์จากเออีซี เป็นต้น

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ASTV

 

มธ.กวาด 8 รางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ทั้งสายวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2556 และรางวัลผลงานวิจัย ทั้งทางด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มธ.มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สภาวิจัยแห่งชาติได้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้แก่นักวิจัยของ มธ.ทั้งในด้านรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติและรางวัลผลงานวิจัย และขอขอบคุณนักวิจัยทุกท่านที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่องและสร้างชื่อเสียงให้กับ มธ.ซึ่ง มธ.มุ่งเน้นในการสนับสนุนการผลิตผลงานวิจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงสาธารณะ เชิงนโยบาย เชิงพาณิชย์ เชิงสุนทรียภาพ หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสังคมอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ โดย มธ. มีจำนวนงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ และผลงานตีพิมพ์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ตอกย้ำนโยบายที่มุ่งเน้นการเป็นผู้นำในด้านการวิจัย เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้กับประเทศ

ทั้งนี้ สภาวิจัยแห่งชาติได้มอบรางวัล “นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2556 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย” แก่ ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ศ.ดร.สมนึก มีผลงานวิจัยเพื่อพัฒนาวงการก่อสร้างแบบยั่งยืนอย่างครบวงจร เช่น การพัฒนาวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ โดยการพัฒนาคอนกรีตและปูนซีเมนต์ชนิดใหม่ที่ใช้เถ้าลอย วิธีการควบคุมคุณภาพเถ้าลอยเพื่อการจัดจำหน่ายให้กับโรงไฟฟ้า รวมถึงวางแผนปรับมาตรฐานเถ้าลอยสำหรับประเทศไทย และการผลักดันการใช้ผงหินปูนในอุตสาหกรรมคอนกรีตอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุนการผลิตและช่วยเพิ่มคุณภาพของคอนกรีต นอกจากนี้ ยังเป็นผู้บุกเบิกการทำงานวิจัยด้านความคงทนและอายุการใช้งานของโครงสร้างคอนกรีตอย่างครบวงจรในประเทศไทย ศ.ดร.สมนึก ได้บูรณาการความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อการวางแผนการบำรุงรักษา การตั้งงบประมาณ การประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินการด้านบำรุงรักษา และการคำนวณค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศไทย

ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล กล่าวว่า “รางวัลที่ได้รับเป็นผลจาการทำวิจัยเกี่ยวกับวงการก่อสร้างตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการศึกษาและออกแบบโครงสร้างเพื่อทำให้โครงสร้างมีอายุยืนยาว การปรับปรุงวัสดุก่อสร้างให้มีคุณภาพคงทนแข็งแรงขึ้นและลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง และการบำรุงรักษาและซ่อมแซมเสริมกำลังโครงสร้างเก่าและแก้ไขความเสียหายเพื่อให้โครงสร้างเก่ามีประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน ทำให้โครงการก่อสร้างมีความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำมาตรฐานการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตโดยคำนึงถึงความคงทนและอายุการใช้งาน ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีพื้นฐานมาจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบโครงสร้างจริง และการ Simulation เพื่อให้มั่นใจว่า โครงสร้างจะมีอายุยืนยาวจริง ผลงานวิจัยเหล่านี้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงสร้างคอนกรีตได้ถึงหลักหมื่นล้านบาทต่อปีจากการใช้วัสดุที่มีคุณภาพและโครงสร้างมีอายุยืนยาวขึ้น”

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้รับรางวัลผลงานวิจัยต่างๆ ดังนี้
รศ.ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร และคณะ ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาพลาสมาและปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันของพลาสมาชนิดประสิทธิภาพสูงที่มี ETBs และ ITBs ในเครื่องโทคาแมค”
ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ และนายบุญเสริม นาคสาร ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยระดับดี สาขานิติศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “โครงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อการแก้ปัญหาของกฎหมายประเทศ”

รศ.ดร.ศากุน บุญอิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะ ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยระดับดี สาขาเศรษฐศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาผลกระทบเชิงสถานการณ์ของความไม่แน่นอนด้านภาวะแวดล้อมต่อความสัมพันธ์ของการบูรณาการซัพพลายเชนและสมรรถนะด้านการปฏิบัติการ”

รศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล คณะแพทยศาสตร์ ได้รับรางวัล “สิ่งประดิษฐ์คิดค้นระดับดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์” สำหรับผลงานประดิษฐ์เรื่อง “อุปกรณ์ช่วยพ่นยาที่สามารถประดิษฐ์ได้ด้วยตนเองสำหรับการรักษาโรคหืด”

ผศ.ดร.เขียนศักดิ์ แสงเกลี้ยง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ได้รับรางวัล “สิ่งประดิษฐ์คิดค้นระดับดี สาขาปรัชญา” สำหรับผลงานประดิษฐ์เรื่อง “ได้ทุกที่ รีสอร์ท”

ผศ.ดร.วราฤทธิ์ พาณิชกิจโกศลกุล คณะวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัล “วิทยานิพนธ์ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์” สำหรับวิทยานิพนธ์เรื่อง “การอนุมานเชิงพยากรณ์สำหรับกระบวนการอัตตสหสัมพันธ์”

อาจารย์ ดร.ภาณุมาศ ทองอยู่ คณะวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัล “วิทยานิพนธ์ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช” สำหรับวิทยานิพนธ์เรื่อง “การสังเคราะห์และการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของอนุภาคโปรตีนขนาดเล็กในกลุ่ม Cysteine Knot Microprotein”

สังคมไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมหรือการแต่งงานข้ามชาติระหว่างหญิงไทยและชายชาวตะวัน ตกมีจำนวนมากขึ้นและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

มีงานวิจัยหลายเรื่องศึกษาถึงการแต่งงานของหญิงไทยในสังคมชนบททางภาคอีสานกับชายชาวตะวันตก ระบุถึงสาเหตุและแรงผลักดันว่าเกิดจากความยากจนและความผิดหวังในชีวิตสมรสกับชายชาวไทย

เมื่อไม่นานนี้มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทยร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานสัมมนาประจำปี ในหัวข้อ “อีสาน-ลาว-ขแมร์ศึกษา ในกรอบประชาคมอาเซียน” ที่มหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี ภายในงานสัมมนา ดังกล่าวมีการจัดสัมมนาเรื่อง “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม (เขยฝรั่ง)”



ดร.ศิริจิต สุนันต๊ะ จากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒน ธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงแนวคิดการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมว่า การแต่งงานข้ามชาติในภาคอีสานของไทยเรานั้นยังคงยึดชาติเป็นหลัก ทำให้มองไม่เห็นถึงพลวัตทั้งทางด้านความแตกต่าง ความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ที่อยู่ภายในชาติ

“ในประเทศไทยยังมีความไม่เท่าเทียมอยู่ โอกาสทางสังคมไม่เท่าเทียมกัน และคนชนบทชาวบ้านภาคอีสานรับรู้ได้ถึงความไม่เท่าเทียมนี้ เพราะโอกาสทางสังคมที่ด้อยกว่าคนในเมืองและคนกรุงเทพฯ เกิดเป็นแรงผลักดันที่อยากก้าวข้ามความไม่เท่าเทียมนี้ และอยากมีชีวิตที่ดีทั้งตัวเองและครอบครัว”

ดร.ศิริจิตกล่าวด้วยว่าเขยฝรั่งทำให้สังคมอีสานเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การแต่งงานแบบเอาลูกเขยเข้าบ้านและการยึด ญาติฝ่ายหญิงเป็นศูนย์กลางเป็นวิถีปฏิบัติท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านอีสานปัจจุบันเห็นเขยฝรั่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและท้องถิ่นของครอบครัวและของชุมชน ในขณะที่ความรับผิดชอบของลูกสาวที่มีต่อพ่อแม่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้หญิงอีสานขวนขวายหาทางไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ด้าน ดร.พัชรินทร์ ลาภานันท์ จากสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหา วิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า อยากใช้คำว่า “การแต่งงานข้ามชาติ” แทนคำว่า “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม” เพราะต้องการให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์การแต่งงานระหว่างผู้หญิงอีสานหรือผู้หญิงไทยกับผู้ชายตะวันตกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเพื่อสะท้อนว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวมีลักษณะที่เฉพาะและแตกต่างไปจากการแต่งงานระหว่างผู้หญิงไทยกับผู้ชายตะวันตกในอดีต

“ความแตกต่างที่สำคัญคือในอดีตผู้หญิงอีสานที่แต่งงานกับทหารจีไอเมื่อแต่งงานแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะย้ายตามไปอยู่กับสามีไม่มีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านแตกต่างจากผู้หญิงอีสานที่แต่งงานกับผู้ชายฝรั่งในยุคปัจจุบันถ้าเราไปตามสนามบินไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี จะเห็นชาวบ้านในหมู่บ้านไปรับเขยฝรั่งที่กลับมาเยี่ยมบ้านซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ”

ดร.พัชรินทร์กล่าวว่าพลวัตท้องถิ่นเป็นผลจากการแต่งงานข้ามชาตินั้นมีความซับซ้อนและครอบคลุมหลายมิติทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เศรษฐกิจที่ประจักษ์ชัดในเชิงโครงสร้าง ทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมของชุมชน และความสัมพันธ์ของหญิงชายที่เชื่อมโยงกับพลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจในท้องถิ่น



“การแต่งงานข้ามชาติไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสู่การมีฐานะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นการทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ต้องสะท้อนความหลากหลายของเงื่อนไขต่างๆและความซับซ้อนของผลที่เกิดขึ้นต่อชุมชนรวมทั้งการมองปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยน แปลงสังคมภายใต้การเผชิญหน้าของท้องถิ่นกับโลกาภิวัตน์ซึ่งท้าทายต่อเพศสภาวะ ชนชั้น และบรรทัดฐานของสังคม”

ขณะที่ ดร.อิทธิวัตร ศรีสมบัติ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ให้มุมมองว่าเหตุผลที่ผู้หญิงเลือกชาวต่างชาตินั้นแม้หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าเป็นการเลือกในลักษณะทางเศรษฐกิจหรือเงินทองแต่ผู้หญิงเหล่านี้จะทำให้คนในหมู่บ้านรวมถึงตนเองเกิดการเรียนการใช้ชีวิตเรียนรู้ความอดทนเรียนรู้การวางแผนการใช้เงินและความรับผิดชอบ

“ผู้หญิงไทยที่ไปอยู่กับชาวต่างชาตินั้นไม่ได้เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาๆแต่ไปทำงานเพราะจริงๆ แล้วชาวต่างชาติไม่ได้ร่ำรวย ฝ่ายหญิงต่างหากที่ร่ำรวย เป็นเพราะค่าเงินที่แตกต่างกันทำให้มองดูว่าฐานะและเศรษฐกิจของฝรั่งนั้นรวยมากกว่าคนไทย” ดร.อิทธิวัตรกล่าว

ดร.จันทนี เจริญศรี คณะสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าการท่องเที่ยวของสามีฝรั่งจะใช้จ่ายในลักษณะที่ไม่ได้ใช้จ่ายในประเทศบ้านเกิดของเขา เวลามาเมืองไทยเขาอยากจะมีความสุข ให้มากที่สุด ซึ่งเชื่อมโยงกับภาพความเป็นไทยกับความเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นสวรรค์สำหรับชาวต่างชาติ

“สามีฝรั่งจำนวนมากมีโอกาสทางด้านเศรษฐกิจ มีหลายคู่ที่มาลงทุนทางธุรกิจในเมืองไทย เช่น ทำสวนยางพาราในภาคอีสาน ใช้แรงงานญาติของภรรยา โดยไม่ต้องทำอะไรนอกจากมีที่ดินและญาติภรรยา และยังเป็น ผู้อุปถัมภ์ญาติภรรยาอีกด้วย”

ดร.จันทนีกล่าวด้วยว่า ในเรื่องบ้านเกิดของภรรยากับภาพลักษณ์ความเป็นไทย สามีจำนวนมากบ่นว่าบ้านเกิดภรรยาไม่ใช่ตัวแทนภาพลักษณ์เมืองไทยอย่างที่เขารู้จักและรู้สึก ในขณะที่ภรรยาจะรบเร้าต้องการสร้างบ้านที่บ้านเกิดเพื่อจะได้อยู่ใกล้ญาติพ่อแม่พี่น้องและเครือข่ายความสัมพันธ์เดิมของตัวเอง

“แต่เมื่อถามสามีสามีจะบอกว่าที่บ้านเกิดภรรยาไม่มีอะไรเลยถ้าจะกลับไปอยู่เมืองไทยก็อยากไปอยู่ในเมืองท่องเที่ยว หรือใกล้ๆ ทะเลมากกว่า”

 

ที่มา : นสพ.ข่าวสด

 

1506496_727535303936882_1817213072_n
กระดูกสันหลังมีความสำคัญต่อบุคลิกภาพ วันนี้เรามี 10 วิธีที่คุณอาจเคยทำและไม่รู้ว่ามันทำร้ายกระดูกสันหลังของคุณมาบอกกัน ลองดูนะคะ 1.การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด 2.การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จนทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแล็คติก มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา 3.การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย 4.การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง 5.การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ 6.การนั่งกอดอก จะทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้ 7.การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว 8.การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม การยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง 9.การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋าโดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้เกิดการทำงานหนักอยู่ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้ 10.การขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคงให้หาหมอนข้างก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง —————————- กระดูกเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายทุกส่วน แต่กระดูกบางส่วน ควรดูแล และรักษาสุขภาพกระดูก ทั้งในเรื่องการกิน การออกกำลังกาย การอยู่ในอิริยาบทเดิมๆ เป็นเวลานาน มีภาวะเสี่ยง เปลี่ยนอิริยาบท ทุกๆ 5-10 นาที ก็ดีนะครับ —————————- ขอบคุณที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ และ sanook.com

F94B0CA13AC14678AB79E59E3B158F5A

ส่องร้านอาหารกลางดงม็อบ”ทั้งเฟื่องทั้งฟุบ”

สี่ แยกปทุมวัน นับว่าเป็นถนนอีกสายที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เนื่องจากมีห้างใหญ่ตั้งรายล้อมอยู่หลายแห่ง ทั้งห้างมาบุญครอง สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน  นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมตัวยอดฮิตของกลุ่มวัยรุ่นเด็กแนวอีกด้วย นอกจากนี้ย่านปทุมวันยังได้ชื่อว่าเป็นย่านที่มีร้านอาหารเก่าแก่ที่ใครไป ใครมาจะต้องแวะชิม……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1gDtomL

10DB0B496B7F4694930DF8B501F5876D

“ธรรม คัลเจอร์” จุดเปลี่ยนธุรกิจข้าว
จากธุรกิจทำข้าวกระสอบ และธุรกิจส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ ได้ปรับกลยุทธ์หันมาทำข้าวถุงภายใต้แบรนด์ “ธรรม คัลเจอร์” พร้อมกับชูเอกลักษณ์ การเป็นข้าวล้านนา รวมทั้งได้สินค้าเป็นชุด “ของขวัญ” รายแรกในประเทศ……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1h7j72o

 

 

ตลาดภูธร-กลุ่ม CLMV โอกาสทองธุรกิจอีเวนท์ไทย

หวังชิงส่วนแบ่งมูลค่าต่างประเทศ 1,412 ล้านบาท

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไปสู่ตลาดต่างจังหวัด และการส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญเป็นเมืองแห่งไมซ์ เป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว รวมถึงความต้องการการจัดงานอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV เป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยในต่างประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงาน มาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ในขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่อาจขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในยุคปัจจุบันผู้ประกอบการมีทางเลือกในการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการทำการตลาดในเชิงกิจกรรม หรือการจัดงานอีเวนท์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากผู้ประกอบการ เนื่องจากสามารถสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ความนิยมในการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการดังกล่าวนำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจบริหารการจัดงาน หรือธุรกิจอีเวนท์ ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนผู้ประกอบการให้การจัดงานอีเวนท์ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปี 57 ธุรกิจอีเวนท์ยังเติบโต

การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับช่วงปลายปีซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจะทุ่มงบประมาณในการจัดงานอีเวนท์ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ก็ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 จึงไม่เติบโตตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

สำหรับในปี 2557 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2556 ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ในช่วงต้นปีอยู่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาทิศทางการใช้งบประมาณของผู้ประกอบการในภาพรวมภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองแล้ว จะพบว่าผู้ประกอบการย่อมให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีแนวโน้มจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้น เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นการใช้งบประมาณสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมกับสินค้าและบริการสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้า (Two-way Communication) รวมถึงยังสามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างชัดเจนมากกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่เป็นเพียงการใช้งบประมาณสื่อสารจากผู้ประกอบการไปยังลูกค้าในทิศทางเดียว (One-way Communication) รวมถึงยังวัดผลความสำเร็จในการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ยาก หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่า ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งรวมถึงการจัดงานอีเวนท์ก็ยังสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้ดีกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ

จากแนวโน้มการจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดงานอีเวนท์มากขึ้น ประกอบกับการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไปหรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการในปี 2556 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการน่าจะทยอยกลับมาจัดงานอีเวนท์ในปี 2557 นี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 โดยแบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดภายในประเทศประมาณ 13,010-13,288 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 4 และเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดต่างประเทศประมาณ 1,290-1,412 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 21 สอดคล้องตามทิศทางการมุ่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่

ในอดีตที่ผ่านมา งานอีเวนท์เป็นรูปแบบการทำการตลาดที่ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการเป็นอย่างสูง ประกอบกับการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์สามารถเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี อย่างไรก็ตาม จากการที่ธุรกิจอีเวนท์มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ดังจะเห็นได้จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางด้านการเมืองในปี 2556 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น โดยพบว่าในปี 2556 นั้น ธุรกิจอีเวนท์มีมูลค่าติดลบกว่าร้อยละ 7 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ยืดเยื้อไปจนถึงช่วงกลางปี ประกอบกับมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ ที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการอนุมัติโครงการภาครัฐ รวมถึงภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ก็อาจส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 เติบโตได้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ในขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ไม่ยืดเยื้อ รวมถึงมีปัจจัยหนุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ธุรกิจอีเวนท์ก็จะสามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 5 ตามที่คาดการณ์ไว้ได้

ตลาดภูธรและกลุ่ม CLMV โอกาสอีเวนท์ไทย

แม้ว่าธุรกิจอีเวนท์จะอ่อนไหวต่อปัจจัยการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ยังมีช่องว่างในตลาดทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศที่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ตลาดต่างจังหวัดผลักดันให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว การขยายตัวของความเป็นเมือง ประกอบกับการเล็งเห็นถึงขนาดตลาดผู้บริโภคและศักยภาพทางเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่จะนำมาซึ่งกำลังซื้อของคนในพื้นที่ ผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ จึงหันมามุ่งขยายธุรกิจจากกรุงเทพฯ ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลให้มีความต้องการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ เราจะเห็นได้ว่า พื้นที่ต่างจังหวัดยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมืองน้อยกว่ากรุงเทพฯ จึงส่งผลให้การจัดงานอีเวนท์ในต่างจังหวัดมีโอกาสถูกชะลอหรือยกเลิกในระดับต่ำกว่าการจัดงานอีเวนท์ในกรุงเทพฯ

นอกจากธุรกิจอีเวนท์จะขยายตัวไปต่างจังหวัดสอดคล้องตามการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการแล้ว การส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา และภูเก็ต เป็นเมืองแห่งไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions: MICE) ประกอบกับความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดดังกล่าว เช่น สถานที่จัดประชุม พื้นที่การจัดแสดงสินค้า เส้นทางการคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค บริการด้านโรงแรมและที่พัก บุคลากร เป็นต้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ยังสามารถขยายตัวในต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดีจากการจัดงานโดยภาครัฐ ผู้ประกอบการ สมาคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งจะใช้บริการธุรกิจอีเวนท์ในรูปแบบของผู้บริหารจัดการประชุม สัมมนา และงานแสดงสินค้าอีกด้วย

CLMV ตลาดใหม่ธุรกิจอีเวนท์

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ที่ส่งผลให้ประชาชนในประเทศมีกำลังซื้อสูงขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ประเทศดังกล่าวเป็นเป้าหมายด้านการค้าการลงทุนของผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการไทย ส่งผลให้มีความต้องการการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV ยังจำกัด ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าในการเข้าไปให้บริการในประเทศดังกล่าว

นอกจากนี้ การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ก็ยังเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศกลุ่ม CLMV มีการขยายตัวยิ่งขึ้น และเอื้อให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยสามารถเข้าไปประกอบธุรกิจยังประเทศดังกล่าวได้สะดวกขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้เริ่มเข้าไปเจาะตลาดประเทศกลุ่ม CLMV

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเมียนมาร์ ที่ได้มีการรับจัดงานอีเวนท์และแคมเปญขนาดใหญ่ในปีที่ผ่านมา เช่น งานเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ งานเทศกาลสงกรานต์ งานมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 เป็นต้น รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยยังริเริ่มสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ของประเทศกลุ่ม CLMV ในหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น การร่วมหุ้นจัดตั้งบริษัท การร่วมก่อสร้างสถานที่จัดงานอีเวนท์เพื่อส่งเสริมให้ประเทศกลุ่ม CLMV มีสถานที่รองรับการจัดการงานที่จะสามารถต่อยอดธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ อีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้ เป็นต้น

แนะปรับกลยุทธ์การแข่งขัน

ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในระดับสูง การรับมือโดยการกระจายความเสี่ยงผ่านการขยายธุรกิจไปในต่างจังหวัด และเจาะตลาดใหม่ในต่างประเทศอาจไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์จึงควรปรับกลยุทธ์การแข่งขันควบคู่กันไปด้วย โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงานมาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร กล่าวคือ ประยุกต์ใช้จุดแข็งในด้านความเข้าใจความต้องการของผู้เข้าร่วมการจัดงานอีเวนท์ มาต่อยอดในการเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการจัดการงานอีเวนท์

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ สามารถใช้ข้อได้เปรียบทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ ผนวกกับเครือข่ายพันธมิตรที่มีอยู่ ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสื่อโฆษณา รวมถึงธุรกิจบันเทิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม CLMV ที่พบว่ารูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้คนมีความคล้ายคลึงกับคนไทย ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่สามารถนำองค์ความรู้ในด้านความเข้าใจในความต้องการของคนไทยประยุกต์ใช้กับผู้คนในประเทศดังกล่าวได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาถึงความแตกต่างด้านรูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมในบางประการที่เป็นประเด็นอ่อนไหวควบคู่กันไป เพื่อให้การขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความราบรื่น

ขอบคุณ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การชุมนุมปิดกรุงเทพฯ (ชัตดาวน์) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยภาพรวมการจำหน่ายสินค้ายังคงเป็นไปตามปกติ ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่อยู่ในย่านของการชุมนุม แม้จะปิดให้บริการเร็วขึ้น แต่ยังมีประชาชนเข้าไป จับจ่ายซื้อของเช่นเดิม ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ต้องการใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางมาซื้อ สินค้ามีอุปสรรคในเรื่องเส้นทาง เนื่องจากมีการชุมนุมปิดถนนและย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แต่ก็มีลูกค้าในกลุ่มของผู้ชุมนุมเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้าในย่านที่มีการ ชุมนุมด้วยเช่นกัน ขณะที่ร้านสะดวกซื้อมียอดขายดีขึ้น ร้านอาหารปรุงสำเร็จและร้านจำหน่ายสินค้าจิปาถะต่างๆ จะคึกคักขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากความต้องการบริโภคมีมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ของการชุมนุม ส่วนการจัดส่งสินค้ายังไม่พบปัญหา เนื่องจากผู้ค้าได้มีการเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า ทั้งการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าและการเตรียมเส้นทางสำรองในการขนส่งสินค้าภาย หลังจากที่มีการชุมนุมปิดเส้นทางสำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ หากการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ยืดเยื้อ 2 สัปดาห์คาดว่าจะมีผลกระทบกับการจำหน่ายสินค้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะในย่านธุรกิจที่เป็นพื้นที่ชุมนุม เช่น สยามและย่านราชประสงค์ ที่ยอดขายจะลดลงจากจำนวนลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวที่จะลดลง แต่ในส่วนของร้านค้าย่อยหรือร้านสะดวกซื้อคาดว่าจะยังคงคึกคัก แต่จะต้องมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เนื่อง จากร้านสะดวกซื้อสามารถสต๊อกสินค้าไว้ได้เพียง 3 วัน

ด้านนายวรวิทย์ เจริญวัฒนพันธ์ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย กล่าวถึงการขนส่งสินค้าในพื้นที่ที่ม็อบปิดกรุงเทพฯ ยังไม่พบปัญหาใดๆ ในการนำสินค้าไปส่งให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะห้างค้าปลีกใหญ่ได้สต๊อกสินค้าที่มีความจำเป็นไว้ล่าง หน้าแล้ว ยกเว้นเพียงสินค้าประเภทอาหารที่ยังต้องการเพิ่มเติม โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น ที่ยังต้องการสินค้าประเภทอาหารเข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมด้วย ซึ่งการขนส่งสินค้าก็ยังสามารถทำได้อยู่ เนื่องจากผู้ชุมนุมยังเปิดเส้นทางให้สัญจรไว้บ้าง และเท่าที่ติดตามสถานการณ์การชุมนุมยังมีเส้นทางที่สามารถขนส่งสินค้าเข้าไป ยังพื้นที่ชุมนุมและพื้นที่ใกล้เคียงยังสามารถทำได้อยู่เช่นเดิม

42688149AAAD43E3AF1FC3EF7D9AC79F

ทีวีไดเร็คตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต15% 17 มกราคม 2557 เวลา 20:11 น. |เปิดอ่าน 226 | ความคิดเห็น 0 0 1 More Sharing Services ทั้งหมด + ทีวีไดเร็ค ประกาศแผนธุรกิจปี 57 วาง  5  แนวทางธุรกิจ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1avrDam

D11004768-0

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เตรียมขยายธุรกิจทางภาคใต้ของประเทศไทย เดินหน้ารุกจังหวัดกระบี่เต็มแรง ล่าสุดเซ็นสัญญาเข้าบริหารรีสอร์ทใหม่ 3 แห่ง ในอำเภอคลองเมืองโดยจะดำเนินการพัฒนารีสอร์ททั้งหมดตามกรอบแผนแม่บทฉบับเดียวกันที่ได้วางไว้ สำหรับรีสอร์ทใหม่ จะมีชื่อว่า เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่   ทั้งนี้ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด เป็นเจ้าของพิลิแกนเบย์ผู้พัฒนาโครงการรีสอร์ททั้ง 3 แห่ง ได้เซ็นต์สัญญากับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เพื่อเข้าบริหารรีสอร์ท เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา   โดยเซ็นทาราได้เปิดให้บริการรีสอร์ทแล้วจำนวน 2 แห่งได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา กระบี่ โดยเปิดให้บริการ เมื่อปี 2549 และเซ็นทาราอันดาเทวีรีสอร์ทและสปา กระบี่ ในปี  2555   ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่ปีมานี้ จังหวัดกระบี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง รวมทั้งมีศักยภาพอย่างมหาศาลที่จะเติบโตในอนาคต”   “เรามีความภาคภูมิใจมากที่มีโอกาสได้เป็นผู้นำในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดกระบี่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว สำหรับกิจการรีสอร์ทใหม่ทั้ง 3 แห่งนี้ มีส่วนช่วยกำหนดขอบเขตที่ดีเยี่ยมในการดำเนินธุรกิจของเราในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสวยงามมากๆ” ธีระยุทธ กล่าวอย่างภูมิใจ   คริส เบลีย์ รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่าการเพิ่มรีสอร์ทอีก 3 แห่งในจังหวัดกระบี่ จะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ให้เติบโตมากขึ้น โดยระบุว่า  “รีสอร์ททั้ง 3 แห่งจะนำเสนอประสบการณ์วันหยุดใน 3 รูปแบบที่แตกต่างกัน บนพื้นที่ที่โดดเด่นด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และยังจะสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาลให้กับการวางกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา และจะช่วยสร้างชื่อเสียงของจังหวัดกระบี่ให้เป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพอีกด้วย”   ทั้งนี้ เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท จะเปิดให้บริการเป็นแห่งแรก โดยขณะนี้ กำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในกลางปี 2557 นี้  รีสอร์ทฯ ประกอบด้วยห้องพักสำหรับพักอาศัยจำนวน 92 ยูนิต ห้องอาหาร 1 แห่ง, สระว่ายน้ำ, มุมธุรกิจ และบีชคลับ   ส่วน เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่ เตรียมวางแผนงานและการออกแบบในช่วงกลางปีนี้ โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในไตรมาสแรกของปี 2560  ประกอบด้วยห้องพัก 210 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ห้องอาหาร 2 แห่ง บาร์ 1 แห่ง สระว่ายน้ำพร้อมสแน็คบาร์, สปาเซ็นวารี, ห้องจัดเลี้ยง, ศูนย์ธุรกิจ, ห้องออกกำลังกาย และคิดส์คลับ  ขณะที่เซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่ จะเป็นรีสอร์ทสไตล์วิลลาเต็มรูปแบบ โดยวิลลาจำลองได้ถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ และจะเริ่มดำเนินการในส่วนของแผนแม่บทและการก่อสร้าง พร้อมๆ กันกับเซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา โดยคาดการณ์ว่ารีสอร์ททั้ง 2 แห่ง จะเปิดให้บริการในช่วงเวลาเดียวกันคือ ไตรมาสแรกของปี 2560   ปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราเป็นเชนโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย มีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งสิ้น 65 แห่ง โดยตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย 47 แห่ง และในต่างประเทศ 18 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม มัลดีฟส์ ศรีลังกา เซี้ยงไฮ้ บาหลี อินโดนีเซีย เกาะมอริเชียส มหาสมุทรอินเดีย และเอธิโอเปีย โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อตอบ สนองความต้องการของแขกผู้เข้าพักทุกกลุ่ม ทั้งคู่รัก ครอบครัว และกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมทั้งผู้ที่ต้องการจัดประชุมและสัมมนา   นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ “สปาเซ็นวารี” ซึ่งเป็นสปาแบรนด์ไทยที่ให้บริการ สปาระดับแนวหน้ามาตรฐานสากลทั้งหมด 27 สาขา อีกทั้ง “เซนส์” บายสปาเซ็นวารี สปาแบรนด์ใหม่ที่เน้นการให้บริการ สปาทรีตเม้นท์ตอบสนองความต้องการของนักเดินทางในราคาที่คุ้มค่า และคิดส์คลับที่มีกิจกรรมสนุกสนานให้กับเด็กเล็กและเด็กโตในรีสอร์ทสำหรับ กลุ่มครอบครัวซึ่งอยู่ในเครือเซ็นทาราทั่วโลก นอกจากนี้ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารายังให้บริการห้องประชุมและคอนเวนชันที่ เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัย สามารถรองรับการประชุมและการสัมมนาขนาดใหญ่ได้ถึง 4 แห่ง โดยอยู่ในกรุงเทพฯ  2 แห่ง และ อีก 2 แห่ง ในภาคอิสาน ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ ขอนแก่น แบรนด์โรงแรมใหม่ล่าสุด ได้แก่ “โคซี่” ซึ่งเป็น  แบรนด์โรงแรมราคาประหยัด เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ ปานกลาง นิยมจองห้องพักออนไลน์และชื่นชอบความสะดวกสบายในราคาที่เป็นมิตร ขณะนี้เตรียมเปิดโรงแรมแห่งแรกในปี พ.ศ. 2559     สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เซ็นสัญญาเข้าบริหาร “เซ็นทาราพีลีแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพีลีแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพีลีแกนเบย์วิลลา กระบี่”  กับ พรชัย งามศัพพศิลป์ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด โดยมี ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ (ที่ 3 จากขวา), สุภรัฐ จิราธิวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) และ ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ (ขวาสุด) พร้อมด้วย กัณวัล งามศัพพศิลป์ (ที่ 3 จากซ้าย), ขัณชรส งามศัพพศิลป์ (ที่ 2 จากซ้าย), แอนดรูว์ งามศัพพศิลป์ (ซ้ายสุด) ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ห้องโลตัส 10 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

ขอบคุณข้อมูลจาก : มติชน

นามบัตร ดีไซน์ได้ทั้งตัดและต่อโอกาส
โดย อาจารย์บอย ไพ่ผ่อง
ทุกวันนี้ แม้เทคโนโลยีการสื่อสารจะก้าวไกลเพียงใด แต่เมื่อต้องไปพบปะติดต่อธุรกิจครั้งใด สิ่งที่เมื่อคู่เจรจาพบกันครั้งแรกจะกระทำนอกจากการทักทายแนะนำตัวแล้วก็อาจจะแลก “นามบัตร” (name card) กันเพื่อให้ผู้รับได้ใช้ในการติดต่อ หรือสานสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเจ้าของนามบัตรในอนาคต ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านามบัตรใบเล็กๆ นี้ก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมโชค เพิ่มโอกาสให้แก่เจ้าของได้บ้าง เพราะจะเห็นว่านามบัตรบางใบเมื่อได้รับ ผู้รับจะมองด้วยความสนใจ ชื่นชม ขณะที่บางใบเมื่อรับแล้วก็เพียงเก็บไว้เฉยๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรื่อง “ฮวงจุ้ยของนามบัตร” ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจหลักการออกแบบนามบัตรที่ดีตามหลักฮวงจุ้ยเบญจธาตุกันครั ทั้งนี้ก่อนที่เราจะเลือกใช้สีใดเป็นสีพื้นนามบัตร สีตัวอักษร รวมถึงสีตัวเลขๆ ก็ต้องทราบก่อนว่า เจ้าของนามบัตรเป็นคนธาตุใด วิธีการหาธาตุสำคัญประจำตัวบุคคลมีหลายวิธี ผู้อ่านสามารถดูได้จากรหัสบุคคล และนำรหัสมาเทียบว่าตนเองเป็นคนธาตุอะไร หรืออาจจะใช้ปีนักษัตรในการหาธาตุประจำตัวก็ได้ การใช้ธาตุตามปีนักษัตรแม้จะไม่ผิด แต่ก็ไม่ละเอียด ดังนั้นจึงขอสรุปสำหรับธาตุประจำ 12 นักษัตรไว้ดังนี คนเกิดปีชวด        เป็นคนธาตุน้ำ คนเกิดปีฉลู        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีขาล        เป็นคนธาตุไม้ คนเกิดปีเถาะ        เป็นคนธาตุไม้ คนเกิดปีมะโรง        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีมะเส็ง        เป็นคนธาตุไฟ คนเกิดปีมะเมีย        เป็นคนธาตุไฟ คนเกิดปีมะแม        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีวอก        เป็นคนธาตุทอง คนเกิดปีระกา        เป็นคนธาตุทอง คนเกิดปีจอ        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีกุน        เป็นคนธาตุน้ำ อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าจะต้องนับแบบจีน คือจะเปลี่ยนปีนักษัตรในวันตรุษจีน เช่น ปี 2556 วันตรุษจีนคือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ดังนั้น ก่อนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นับเป็นปีนักษัตรมะโรง ธาตุดิน ส่วนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ถือเป็นปีนักษัตรมะเส็ง ธาตุไฟ จากนั้นผู้อ่านควรทราบถึงกฎ หรือ วัฏจักรของการก่อกำเนิดธาตุไว้พอสังเขปว่าแยกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือการกำเนิด คือการเกื้อกูล เป็นการส่งผลดี ได้แก่ น้ำ กำเนิด ไม้ ไม้ กำเนิด ไฟ ไฟ กำเนิด ดิน ดิน กำเนิด ทอง ทอง กำเนิด น้ำ ส่วนการทำลาย หรือการเป็นศัตรู ก่อให้เกิดผลเสีย ต้องหลีกเลี่ยงคู่ที่ทำลายกันก็คือ น้ำ ดับทำลายไฟ ไฟ เผาหลอมทำลายทอง ทอง ตัดฟันทำลายไม้ ไม้ ชำแรกทำลายดิน ดินกั้นขวางทำลายน้ำ เมื่อเราทราบถึงหลักการเกื้อกูล และทำลายแล้ว เราก็สามารถกำหนดสีในนามบัตรให้แก่บุคคลธาตุต่างๆ ได้โดยง่ายดังนี้ บุคคลธาตุน้ำ  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีขาว , สีบรอนซ์เงิน , สีบรอนซ์เทา, สีฟ้า, สีฟ้าคราม, สีน้ำเงิน, สีดำ, สีม่วง และ สีเขียว บุคคลธาตุไม้  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีเขียว , สีม่วง , สีคราม , สีฟ้า , สีน้ำเงิน , สีฟ้าน้ำทะเล , สีดำ  , สีเทา , สีแดง , สีชมพู , สีโอรส , สีส้ม , สีอิฐ และสีแสด บุคคลธาตุไฟ  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีสีแดง , สีชมพู , สีโอรส , สีส้ม , สีอิฐ , สีแสด , สีเหลือง , สีครีม , สีน้ำตาล , สีทอง และสีเขียว บุคคลธาตุดิน  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีเหลือง , สีครีม , สีน้ำตาล , สีทอง , สีบรอนซ์ทอง , สีบรอนซ์เงิน , สีขาว , สีแดง , สีส้ม , สีโอรส , สีอิฐ , สีชมพู และสีแสด บุคคลธาตุทอง  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีทอง , สีบรอนซ์ทอง , สีบรอนซ์เงิน , สีขาว , สีฟ้า , สีน้ำเงิน , สีฟ้าน้ำทะเล , สีเทอร์คอยส์ , สีดำ , สีเทา และสีม่วง เมื่อได้ทราบถึงสีหลักๆ ในแต่ละส่วนบนนามบัตรที่เป็นสีมงคลของท่านแล้ว ทีนี้ก็แค่สังร้านรับทำนามบัตรให้ชัดเจนว่าต้องการสีอะไรตรงไหน แล้วก็ตรวจสอบก่อนพิมพ์จริงอีกครั้ง เพียงเท่านี้ ท่านก็จะได้นามบัตรเสริมโชคลาภให้กับตนเอง เมื่อผสานกับวาจาที่มีศิลปะเข้าใจคู่สนทนาแล้ว รับรองว่าโชควาสนาย่อมอยู่ในมือทุกท่านแน่นอนครับ ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยพาณิชย์

คาร์บอนเครดิต รายได้ใหม่ของไทย

 

“คาร์บอนเครดิต” เป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา หลายคนได้ยินชื่อแล้วอาจงุนงง ก็เหมือนกับตอนที่เรา ได้ยินคำว่า ISO ใหม่ๆนั่นแหละความจริงแล้วคำนี้แยกเป็นสองคำ คือ คำว่า “คาร์บอน” หมายถึงปริมาณก๊าซ ที่เราปล่อยขึ้นไปในอากาศ และทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ก๊าซมีเทน ส่วน“เครดิต” คือความรับผิดชอบ ความน่าเชื่อถือ การทำ “คาร์บอนเครดิต” ก็คือการมีความรับผิดชอบในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นในในอากาศว่าจะไม่มีปริมาณมากเกินไปจนก่อปัญหากับโลกใบนี้นั่นเอง หรือภาษาทางการเรียกว่า “การดำเนินกลไกการพัฒนาที่สะอาด” เรียกเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆว่า CDM (Clean Development Mechanism) แนวคิดนี้เกิดขึ้นในการประชุมของประเทศมาชิกอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC โดยมีการประชุมที่กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น จึงเรียกข้อตกลงในการประชุมครั้งนั้นว่า “ข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต” โดยข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าให้ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินอัตรา ลดการปล่อยก๊าซลง หากไม่สามารถกระทำได้ต้องจ่ายค่าปรับตามจำนวนที่ปล่อยเกิน ยกตัวอย่างเช่น กำหนดให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงปีละ 10 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆสามารถลดการปล่อยก๊าซได้เพียง 5 ล้านตัน ส่วนที่ลดไม่ได้จะต้องโดนปรับตันละ 500 บาท อย่างไรก็ตาม ยังมีทางออกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเกินกำหนดไปซื้อ “คาร์บอนเครดิต” จากประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ากำหนดได้ เช่น ประเทศที่มีการปลูกป่ามาก มีการใช้พลังงานทดแทนมาก และมีโรงงานอุตสาหกรรมน้อย ซึ่งประเทศเหล่านี้นอกจากจะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าข้อกำหนดแล้ว ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซได้อย่างต่อเนื่อง โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่โดนปรับก็จะมาซื้อ “คาร์บอนเครดิต” จากประเทศเหล่านี้ในราคาที่ถูกกว่าค่าปรับ เช่น ราคาตันละ 200 บาท เป็นต้น ความจริงแล้วโรงงานอุตสาหกรรมที่โดนปรับในฐานะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด นอกจากจะเสียค่าปรับแล้ว ยังเสียเครดิตในทางการค้าอีกด้วย เพราะสินค้าจากโรงงานเหล่านี้จะไม่สามารถส่งไปขายในประเทศที่เข้าร่วมข้อตกลงในพิธีสารเกียวโตได้ เพราะฉะนั้นทุกโรงงานจึงพยายามสร้างเดรดิตด้วยการผลิตสินค้าใช้วัสดุที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม มีเทคโลยีการผลิตที่สะอาด ลดการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ ดังที่เราเริ่มเห็นคำว่า “Green” แปะอยู่บนสินค้าประเภทต่างๆ หรือการเปลี่ยนการใช้ถุงพลาสติกมาใช้ถุงผ้าก็เป็นการสร้าง “คาร์บอนเครดิต” ชนิดหนึ่ง กิจการใดที่ไม่รักษาสภาพแวดล้อม ไม่มีเทคโนโลยีที่สะอาด ขาดประสิทธิภาพในการ จัดการกับสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้ต้องปล่อยสารคาร์บอนออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดมลพิษตามมาดังกล่าวข้างต้น กิจการนั้นจะต้องโดนค่าปรับจำนวนมหาศาลตามที่ตกลงกันไว้ เว้นแต่จะต้องไปหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชย หลายโรงงานในบ้านเราเริ่มหันมาทำเรื่องนี้โดยมีเป้าหมายนอกจากการสร้างเครดิตให้กับตัวโรงงานเองแล้ว ยังสามารถขายเครดิตให้กับโรงงานในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเกินกำหนดอีกด้วย ไม่ใช่เฉพาะโรงงานใหญ่ๆเท่านั้นที่ขายคาร์บอนเครดิตได้ ชาวบ้านทั่วไปก็ทำได้เหมือนกัน แต่อาจทำในรูปเครือข่าย อย่างเช่นกรณีที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สวพ.มช.) ร่วมกับ ธนาคารโลก (World Bank) พัฒนาโครงการ CDM ขนาดเล็กสำหรับฟาร์มสุกรในประเทศไทย เพื่อนำกลไกการพัฒนาที่สะอาดมาใช้เพิ่มคุณค่าของพลังงานก๊าซชีวภาพ นำมูลสุกรไปผลิตเป็นแก๊สขี้หมู ก่อให้เกิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถึงปีละ 30 ล้านหน่วย สามารถทดแทนการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ปีละกว่า 9 ล้านลิตร โดยมีการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิตจาก สวพ. มช.ไปเมื่อเร็วๆนี้ การดำเนินงานโครงการฯ ในระยะแรกมีฟาร์มสุกรทั่วประเทศเข้าร่วมจำนวน 36 ฟาร์ม คิดเป็นสุกรประมาณ 600,000 ตัว  ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมได้มากกว่าปีละ 240,000 ตัน ทำให้เกิดการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศจากการขายคาร์บอนเครดิตได้มากถึงปีละ 115 ล้านบาท นอกจากจะได้รับประโยชน์จากการขายคาร์บอนเครดิต ฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วยังช่วยลดปัญหากลิ่นเหม็นและแมลงที่เป็นพาหะแพร่เชื้อโรคได้ รวมทั้งลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยนำก๊าซชีวภาพมาใช้ประโยชน์เป็นพลังงานความร้อนหรือใช้ผลิตไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม หากเหลือใช้ยังสามารถจำหน่ายให้กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้อีกด้วย ถือเป็นรายได้ใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ!!! ขอบคุณ – (ผู้เขียน : จตุรงค์ กอบแก้ว)

 

ศอ.รส. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการเตรียมความพร้อมรับมือการชุมนุม ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค. มีรายละเอียดโดยย่อดังนี้ ช่วงการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. กระทรวงสาธารณสุข พยายามอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบสำหรับผู้ที่ไม่ สามารถเดินทางไปรับยาหรือไป รพ.ได้ตามที่แพทย์นัดหมาย สามารถโทรสอบถามข้อมูลได้ ส่วนผู้ป่วยจิตเวช กรมสุขภาพจิต ได้เลื่อนนัดผู้ป่วยให้มารับยาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสามารถรับยาได้ในสถานพยาบาลที่ใกล้เคียง โดยเปิดสายตรง 1323 ไว้บริการประชาชน สามารถโทรสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชม. โดยสถานพยาบาลแต่ละแห่งจะมีการลิงก์ข้อมูลถึงกัน
นอกจากนี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สพฉ. ยังกำหนดให้หน่วยพยาบาลทุกหน่วย ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ และวางตัวเป็นกลาง ในการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม เน้นความปลอดภัยทั้งตัวบุคลากรและประชาชน มีการประสานงานทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากประชาชนเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ ต้องการให้รถพยาบาลไปรับ สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1669-1646 จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยพร้อมกัน

อ้างอิง : blueskychannel.tv

พีออลล์ รุกตลาดอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ เปิดตัว บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด ให้บริการช็อปออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมพัฒนาระบบปฏิบัติการ, การขนส่ง และคลังสินค้ารองรับการเติบโต ตั้งเป้าปีม้า 4,300 ล้านบาท

นายอำพา ยงพิศาลภพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช็อปปิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ซีพีออลล์ ได้ขยายธุรกิจใหม่ภายในปี 2557 ภายใต้ชื่อบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด (24 shopping Co.,Ltd) เพื่อเป็นการพัฒนาต่อยอดจากธุรกิจ เซเว่นแคตตาล็อก (7Catalog) โดยจะเป็นการแยกทีมกับ บมจ.ซีพีออลล์โดยสิ้นเชิง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในด้านการบริหารมากยิ่งขึ้น โดยมีทุนจดทะเบียนกว่า 30 ล้านบาท และมี บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้น 99.99% ซึ่งบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด จะเป็นผู้ให้บริการในด้านการสั่งจองสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้า ผ่านช่องทางการจำหน่ายดังนี้ 1.การจำหน่ายสินค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (Catalog on shelf) 2.จำหน่ายผ่านทางนิตยสารเซเว่นแคตตาล็อก (Catalog on book) 3.การสั่งสินค้าผ่านลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลข 0-2711-7666 4.จำหน่ายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ 4 เว็บไซต์ www.7catalog.com, www.shopat7.com, amuletat7.com, www.booksmile.com และ 5.ให้บริการเป็นตัวแทนศูนย์กลางในการรับสั่งจอง และส่งมอบสินค้าให้แก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้การก่อตั้งบริษัทฯ เป็นการขยายธุรกิจของเซเว่น อีเลฟเว่น ไปสู่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบ โตมาโดยตลอด และจะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ด้วยการพัฒนาการให้บริการในการรับสั่งสินค้าเป็นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวัน และการพัฒนาระบบ AMOS จากทีมงานต่างประเทศ ด้วยงบลงทุนกว่า 200ล้านบาท เพื่อสำรวจวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เพื่อคัดเลือกสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และการเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 2,000 ตารางเมตร เพื่อให้การส่งสินค้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งเป้ารายได้ปี 2557 อยู่ที่ 4,300 ล้านบาท จากปีที่แล้ว 3,700 ล้านบาท

ซึ่งสินค้าภายในช่องทางการจำหน่ายของ บริษัทฯ ประกอบไปด้วยสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภายในประเทศมากกว่า 100 ราย ซึ่งรวมเป็นสินค้ากว่า 2,000 รายการ และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็น 30% ภายในปี 2557 รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยการพัฒนาการจัดส่งในรูปแบบการ ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำสินค้ามาเก็บไว้ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนที่รถขนส่งจากศูนย์กระจายสินค้าของเซเว่นแคตตาล็อกจะนำไปส่ง เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านการขนส่งให้แก่ผู้ประกอบการ และเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถเติบโตควบคู่ไปกับ บริษัทฯ ได้ ซึ่งปัญหาของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในขณะนี้คือการที่ไม่สามารถผลิตสินค้า ออกมาได้ครบจำนวนตามความต้องการของลูกค้า

“ต้องยอมรับว่าตอนนี้สังคมไทยให้ความสำคัญ กับการเลือกซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้ามากกว่าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ คาดว่ายอดขายวันศุกร์-อาทิตย์จะไม่ดีแน่ ซึ่งการลงสินค้าผ่านแคตตาล็อกหรือเว็บไซต์ จะต้องให้ความสำคัญกับสี และคุณภาพกับสินค้าอย่างมาก เพราะไม่สามารถจับต้องสินค้าได้” นายอำพา กล่าว

 

อ้างอิงจาก : banmuang.co.th

แฟรนไชส์ญี่ปุ่นรุกไทยพุ่ง3เท่า

น.ส.มาซามิ ทาจิมะ ประธาน บริษัท แฟรนไชส์ แอ๊ดวานซ์ คอร์ปอเรชั่นส์ หรือเอฟซีเอ ผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาธุรกิจแฟรนไชส์ จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากปัญหาการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1a5omyl

Mind Map : กิจกรรม CoP อาเซียน โอกาสทางการแข่งขันของไทย (คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร)

 

ส.ส.ชัชชาติ โพสต์ซึ้ง อาลัย “ครูนิค“ เหยื่อบัสตกเหว สะพานห้วยตอง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (6 ม.ค.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รักษาการฯ รมว.คมนาคม ได้โพสต์ภาพและข้อความบันทึกการทำงานลงในเฟซบุ๊ก Chadchart Official โดยกล่าวถึงประเด็นอุบัติเหตุครั้งร้ายแรง ส่งท้ายปี 2556 ที่ผ่านมา บริเวณสะพานห้วยตอง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ที่เกิดเหตุรถทัวร์โดยสาร์เสียหลักตกสะพานและพุ่งลงเหวลึก เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556

นายชัชชาติ ได้โพสต์ข้อความไว้ว่า “เมื่อวันที่ 3 ม.ค.57 หลังจากที่ผมโพสเรื่องรถตกเหวที่หล่มสักและมีผู้เสียชีวิต 29 ราย มีแฟนเพจได้ส่งข้อความมาหาผมว่า

‘ผมรู้สึกเสียใจและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งกับอุบัติเหตุซ้ำซากที่เกิดขึ้นบนประเทศไทย ผมเบื่อที่เรื่องราวเหล่านี้เป็นแค่ข่าวหนังสือพิมพ์ 2-3 วันแล้วก็หายไป ทำไมเราต้องเอาชีวิตที่อุตส่าห์สร้างมาด้วยความลำบาก ไปฝากกับคนขับรถ หรือรถโดยสารที่ไม่ได้คุณภาพ แลกกับเศษเงินประกัน แลกกับความพิการหรือเสียชีวิต วันนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผม มันเกิดกับคนที่ผมรัก ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก และผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะเกิดกับคนอื่นๆ หรือแม้แต่เราเอง” และ ขอให้ผมมารับข้อร้องเรียนและพบญาติผู้เสียชีวิตที่สถานีรถปรับอากาศขอนแก่น ในวันที่ 6 ม.ค.’

ผมไม่ทราบรายละเอียดว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร ไม่รู้ว่าแฟนเพจท่านนี้คือใคร แต่เห็นความตั้งใจจึงอยากมาเจอ อยากมาฟังข้อเสนอ เลยเดินทางมาขอนแก่นพร้อม อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รองอธิบดีกรมทางหลวง และผู้จัดการ บขส.

พอมาถึงขอนแก่นถึงทราบว่า ผู้ที่เสียชีวิตเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ชื่อ ครูนิค เป็นลูกครึ่ง สอนที่นี่มา 9 ปีแล้ว นักเรียนรักทั้งโรงเรียน คุณพ่อเป็นชาวอเมริกันอยู่เมืองไทยมา 19 ปีแล้ว คุณแม่เป็นคนไทย ทั้งคู่มีลูก 10 คน ตอนนี้อยู่ที่โคราช ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพ่ีน้องของครูนิคมาร่วมงานด้วย

บรรยากาศเศร้ามากครับ ผมร่วมเดินไปกับครอบครัวและนักเรียน ครู หลายร้อยคน จากโรงเรียนไปสถานีขนส่งที่ครูนิค ขึ้นรถเป็นครั้งสุดท้าย มีการอ่านข้อเสนอแนะของเครือข่ายเฝ้าระวังอุบัติเหตุจากรถโดยสาร (เพจของเครือข่าย https://www.facebook.com/Reorganize.PublicBus) จุดเทียน และ ร้องเพลงไว้อาลัย

ข้อเสนอของเครือข่ายมีดีๆหลายเรื่อง หลายอันเราก็ดำเนินการอยู่ ผมได้เน้นย้ำกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงว่าเราต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของผู้โดยสาร ทำเล่นๆ ไม่ได้ อุบัติเหตุที่เกิดแต่ละครั้ง มันกระทบกับชีวิตคนมากเหลือเกิน

ขอให้ครูนิคและผู้เสียชีวิตทุกท่านไปสู่สุคติครับ เราจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่สูญเปล่าครับ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา นายชัชชาติ ได้เดินทางไปที่ จ.ขอนแก่น เพื่อร่วมพิธีไว้อาลัย “ครูนิค” ร่วมกับญาติๆ และลูกศิษย์นับร้อยคน ที่ต่างก็ยังทำใจไม่ได้กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมกับมีความหวังว่าโศกนาฏกรรมลักษณะเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำบ่อยครั้งในสังคมไทยอีก

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

องค์การโทรคมนาคมของประเทศลาว เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 26 ต.ค.55 ที่ผ่านมา ทางการลาวได้ทดลองเปิดใช้เทคโนโลยี 4G แล้วในกรุงเวียงจันทน์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรปครั้งที่ 9 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5-6 พฤศจิกายนนี้

20131031140707

ทั้งนี้ เทคโนโลยี 4G จะถูกนำมาใช้ในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ซึ่งมีคณะผู้นำและแขกจากประเทศต่าง ๆ กว่า 50 ประเทศที่เข้าร่วมประชุม ส่วนต่างจังหวัดของลาวคาดว่าจะได้ใช้ 4G ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า

โดยความเร็วของเทคโนโลยี 4G มีความเร็วสูงสุดกว่า 100Mbps เร็วกว่าเทคโนโลยี 3G ถึง 5 เท่า ซึ่งจากการเปิดตัวดังกล่าว ทำให้ลาวเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ที่ได้นำ 4G มาใช้

เนื้อหาอ้างอิงจาก  mthai

 

สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. จัดประกาศผล “10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม ประจำปี 2556” เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของภาคเอกชน และแสดงแนวโน้มของธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในประเทศไทย

ตั้งเป้าให้เกิดบรรยากาศการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง หวังกระตุ้นผู้ประกอบการไทยให้หันมาสร้างธุรกิจนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

…กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พยายามผลักดันการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ให้เกิดการลงทุนธุรกิจนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้ก้าวทันต่อการแข่งขันในประชาคมอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง

…”การประกาศ 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม 2556 นี้ เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสนช. ดำเนินการต่อเนื่องกันเป็นประจำทุกปี แสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนต่อการสนับสนุนเพื่อยกระดับทักษะความสามารถด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการ ตลอดจนสร้างความตื่นตัวด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการส่งเสริมความสำเร็จด้านนวัตกรรม เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมนวัตกรรมทั้งในระดับอุตสาหกรรม องค์กร และประชาชนทั่วไป เจ้าของผลงานทั้งสิบชิ้นถือเป็น “นวัตกรรม” ที่ประสบความสำเร็จ สร้างผลงานที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม” พีรพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าว

สุดยอดนวัตกรรมธุรกิจทั้ง 10 ชิ้น มีดังนี้

“คูลแคป”…สมุนไพรลดไข้จากบอระเพ็ด

บริษัท ซี.เอ.พี.พี. กรุ๊ป (ประเทศไทย) จํากัด

พัฒนาตำรับยาลดไข้แบบสูตรผสมด้วยการใช้สมุนไพรบอระเพ็ด มาผ่านกระบวนการทำมาตรฐานและควบคุมคุณภาพของสารสกัดด้วยเทคนิคการใช้ความร้อนสูงภายในระยะเวลาสั้น จึงทำไม่เกิดการเสื่อมสลายของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญ ยังผลให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการลดไข้ โดยสามารถนำมาใช้ทดแทนยาเคมีสังเคราะห์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วมากกว่า 7 ล้านบาท คาดว่าจะมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง

“สไมล์ฟีต”แผ่นรองรองเท้าเพื่อสุขภาพ

ห้างหุ้นส่วนจำกัด เฮลท์ อินโนเวชั่น แอนด์ ดีไซน์

แผ่นรองส้นเท้าที่มีคุณสมบัติการกระจายแรงกด (PPRI : Physical Pressure Release Innovation) โดยได้รับการออกแบบให้ถูกต้องตามสรีระด้วยทีมแพทย์และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ มีการปรับลักษณะ รูปร่างตามสรีระ โค้งเว้าให้รับกับเท้าของทุกคนและใช้เทคโนโลยีทางวัสดุที่เพิ่มความยืดหยุ่น และรองรับการกดกระแทกในขณะเดิน วิ่ง และออกกำลังกาย จึงใช้ได้ทั้งบุคคลทั่วไป และผู้ป่วยปวดส้นเท้า

“คูเน่”ผงปรุงรสจากหอมหัวใหญ่

บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด

เครื่องปรุงรสชนิดผง ในการนำหอมหัวใหญ่ที่มีคุณสมบัติให้ “รสอูมามิ” ซึ่งเป็นรสชาติของกลูตาเมตอิสระ ทำหน้าที่ให้รสชาติและเป็นตัวกระตุ้นความอยากอาหาร ใช้ทดแทนผงชูรสและอนุพันธ์ของผงชูรส โดยนำมาผ่านกระบวนการอบแห้งและปรุงรสร่วม กับเครื่องปรุงรสต่างๆ โดยมีเกลือเป็นตัวช่วยให้รสของอูมามิกลมกล่อมขึ้น

“ซูกาเวีย”

สารให้ความหวานจากธรรมชาติ

บริษัท ซูกาเวีย จํากัด

ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตสารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์จากหญ้าหวาน

เป็นการนำหญ้าหวานมาผ่านกระบวนการสกัดด้วยน้ำร้อน จากนั้นมาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์โดยการใช้เรซิ่นเพื่อดูดซับสารสำคัญ และชะล้างสารสำคัญออกจากเรซิ่นด้วยตัวทำละลาย ซึ่งจะทำให้ผลิตสารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์ที่มีความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 95 ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข

“ซูกาเวีย” มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ด้วยการผลักดันหญ้าหวานให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรที่เพาะปลูกหญ้าหวานมีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

“ฟิอูเม่”อ่างอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ

บริษัท บาธรูม ดีไซน์ จำกัด

การออกแบบรูปทรงและทำต้นแบบอ่างอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีรูปแบบการใช้งานและรูปลักษณ์ภายนอกแบบใหม่ที่แตกต่างจากอ่างอาบน้ำทั่วไปในท้องตลาด รวมถึงสามารถติดตั้งและใช้งานง่าย เหมาะสมต่อผู้สูงอายุและผู้ป่วย

วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ในร้านจำหน่ายสุขภัณฑ์ชั้นนำในประเทศไทย ราคาชุดละ 59,000-129,000 บาท คาดการณ์ยอดขายในปี 2557 จะอยู่ที่ประมาณ 200 ชุด หรือคิดเป็นมูลค่าราว 20 ล้านบาท

“สไปโรไจร่า ไบโอมาสก์”

เวชสำอางอินทรีย์จากสาหร่ายเทา

บริษัท สมาร์ทไลฟ์ พลัส จํากัด

เวชสำอางอินทรีย์จากสาหร่ายเทา โดยการนำสูตรตำรับของสารประกอบฟีนอลิกจากสาหร่ายเทาที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพสำคัญ มาขึ้นรูปเป็นแผ่นด้วยโพลีแซกคาไรด์ธรรมชาติจากสาหร่ายเทาและสารไฮโดรคอลลอยด์ ปรับแต่งคุณสมบัติให้เป็นฟิล์มไฮโดรเจลที่สามารถดูดซับน้ำไว้ภายในโครงสร้างสูง มีความยืดหยุ่น สามารถวางทาบและปรับดึงให้แนบสัมผัสกับผิวหน้าได้ดี รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส และยอมให้มีการแพร่ผ่านของสารออกฤทธิ์ต่างๆ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง

พร้อมกันนี้ ยังเพิ่มความแตกต่างด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยการเลือกใช้สารเติมแต่งที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อีกด้วย

“เฮมพ์ไทย”พรมรองพื้นรถยนต์

จากเส้นใยกัญชง

บริษัท ดีดี เนเจอร์ คราฟ จำกัด

นวัตกรรมระดับประเทศด้านผลิตภัณฑ์พรมรองพื้นรถยนต์จากเส้นใยกัญชง โดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตยางธรรมชาติเสริมแรงด้วยกัญชง และพัฒนาให้ยางพาราสามารถแทรกตัวและเชื่อมประสานกับผ้าทอจากกัญชง

พรมรองพื้นรถยนต์มีสมบัติลดการเกิดไฟฟ้าสถิตและลดกลิ่นภายในรถยนต์

“เซนส์”อุปกรณ์สื่อสารทางสายตา

สำหรับผู้ป่วยอัมพาต

บริษัท เมดิเทค โซลูชั่น จำกัด

ผลิตภัณฑ์ชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่รับคำสั่งการควบคุมเมาส์ด้วยสายตา โดยตรวจจับการกะพริบตาด้วยหลักการมอร์โฟโลยีในการตรวจจับหาตำแหน่งตาดำเพื่อวิเคราะห์ตรวจจับพฤติกรรมการกะพริบตาของผู้ใช้งานในการป้อนคำสั่งผ่านตัวอุปกรณ์ เพื่อให้ ผู้ป่วยอัมพาต และผู้ป่วยโรคเอแอลเอส ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนอื่นของร่างกายนอกจากตาได้ให้สามารถสื่อสารกับบุคคลรอบข้างผ่านอุปกรณ์นี้ได้

“บิ๊กเบา”รถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์

น้ำหนักเบาเชิงพาณิชย์

บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด

ผลิตภัณฑ์รถขนส่งอาหารสำหรับเครื่องบินแอร์บัส A380 ด้วยการออกแบบ และผลิตโครงสร้างแบบ x-frame โดยใช้วัสดุเหล็กกล้าเกรดที่มีความแข็งแรงสูงและมีน้ำหนักเบา จึงสามารถปรับระดับความสูงของโครงสร้างได้สูงสุด 9 เมตร พร้อมกันนี้ยังได้ประยุกต์ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับควบคุมความเสถียรภาพและการควบคุมช่องส่งอาหารแบบ 6 ทิศทาง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดเวลาการปฏิบัติงานเหลือ 2 ชั่วโมง

“สกรีนอีซ”

ชุดตรวจสอบอะฟลาท็อกซิน

บริษัท สยามอินเตอร์ควอลิตี้ จํากัด

ชุดตรวจสอบอะฟลาท็อกซินในผลผลิตเกษตร โดยใช้หลักการตรวจวิเคราะห์ทางหลักการภูมิคุ้มกันวิทยา และประเมินผลด้วย MicroELISA Reader ซึ่งชุดตรวจสอบ ดังกล่าวมีราคาถูกกว่าชุดตรวจสอบที่นำเข้าจากต่างประเทศ ประมาณ 3-5 เท่าทำให้ผู้ใช้งานมีต้นทุนค่าตรวจวิเคราะห์อะฟลาท็อกซินต่ำลง

ธุรกิจห้าดาวต่างประเทศตั้งเป้าเติบโต 25-30% ต่อปี วางกลยุทธ์เชิงรุก เร่งขยายสาขา
นายซานจีฟ แพนท์ รองกรรมการผู้จัดการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ในรอบปีที่ผ่านมาถือว่าธุรกิจห้าดาวที่เข้าไปทำตลาดในต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม พม่า บังกลาเทศ กัมพูชา ลาว จีน และมาเลเซีย ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียและเวียดนาม ถือว่าสามารถขยายโมเดลธุรกิจเกินเป้าที่ตั้งไว้ จากการตอบรับอย่างดีของผู้บริโภค และผู้ที่สนใจทำธุรกิจร่วมกับห้าดาว คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดอินเดียและเวียดนามจะสามารถขยายเป็นประเทศละ 1,000 สาขา พร้อมการเติบโตเฉลี่ยปีละ 25-30%
“ต้องถือว่าจากจุดเริ่มต้นของธุรกิจห้าดาวอินเดียเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ตั้งเป้าไว้ 50 สาขา แต่ด้วยการตอบรับที่ดีของผู้บริโภคและผู้สนใจทำธุรกิจร่วมกับเรา ทำให้ปัจจุบันธุรกิจห้าดาวในเมืองบังกาลอร์และเชนไนสามารถขยายถึง 75 สาขา เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคิดเป็นสัดส่วนของผู้ที่มาลงทุนทำธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ 75% และธุรกิจที่เราดูแลเอง 25%” นายซานจีฟ
สำหรับปี 2014 ธุรกิจห้าดาวอินเดียตั้งเป้าขยายให้ครบ 250 สาขา เพราะจัดเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก จากจำนวนประชากรที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยวางแผนขยายถึง 1,000 สาขา ภายใน 5 ปี โดยจะเข้าไปทำตลาดในหัวเมืองใหญ่ๆ ของอินเดีย 10-12 เมือง ในส่วนของธุรกิจห้าดาวเวียดนาม ปัจจุบันที่มีอยู่ 200 สาขา ตั้งเป้าว่าในปี 2014 จะขยายถึง 350 สาขา และเพิ่มเป็น 1,000 สาขา อีก 5 ปีข้างหน้า และเกือบ 100% เป็นโมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์.

Brand, Branding

 

“แบรนด์” หรือ “ตราสินค้า” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและสามารถสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างมาก

กรุงเทพธุรกิจจัดหลักสูตร “Branding in Action” วันศุกร์และเสาร์ที่ 7, 8, 14, 15, 21, 22 มีนาคม 2557

 

“แบรนด์” หรือ “ตราสินค้า” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและสามารถสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างมาก

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์แกร่ง

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์เป็นที่จดจำ

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์เติบโต

 

กรุงเทพธุรกิจแนะนำหลักสูตรด้านการสร้างและการจัดการแบรนด์สินค้าจากสุดยอดกูรูอันดับ 1

ของประเทศไทย คุณดลชัย บุณยะรัตเวช กับหัวข้อ “Branding in Action”

 

นอกจากนี้ คุณดลชัย บุณยะรัตเวช และทีมแบรนด์กูรูเดนท์สุ พลัส เปิดห้องปฏิบัติการเข้มข้น Brand Therapy เพื่อเสริม

สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พร้อมชี้แนะแผนสร้างแบรนด์ให้ไปใช้ได้จริงอย่างประสบความสำเร็จ

 

เนื้อหา

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2557

Differentiation & Energized Differentiation

พัฒนาตัวตนของแบรนด์ที่ไม่แปรเปลี่ยนด้วยกลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง พร้อมเสริมพลังให้ความแตกต่างสดใหม่อย่าง

ยั่งยืน

 

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2557

Sustaining Relevancy

เรียนรู้กลยุทธ์การเจาะลึกความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแบบถึงแก่นอย่างแท้จริง

 

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2557

Creativity in Branding & How to Manage Intangible

Aspects of the Brand

ศิลปะในการแสดงออกของแบรนด์ในทุกมิติการสร้างสรรค์พร้อมศาสตร์แห่งการบริหารจัดการคุณค่าของแบรนด์ให้ถ่าย

ทอดออกมาอย่างเป็นรูปธรรม

 

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2557

Brand Interaction with Audience

กลยุทธ์ปฏิสัมพันธ์ของแบรนด์ในการสร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนกับกลุ่มเป้าหมาย และแพร่ขยายสู่การสร้างสังคมของคนรัก

แบรนด์

 

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2557

Well-Equipped Branding Strategy for AEC

ติดอาวุธขยายแบรนด์สู่เออีซี

 

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2557

Brand Health Check

เจาะวิเคราะห์สุขภาพแบรนด์เชิงลึกเพื่อเสริมพลังแบรนด์ให้ทะยานไกลเหนือคู่แข่งในทุกสมรภูมิการแข่งขัน

 

บรรยายโดย

1. ดลชัย บุญยะรัตเวช

นักสร้างแบรนด์มือหนึ่งของเมืองไทยประธานบริษัท (Chairman)  บริษัท เดนท์สุ พลัส จำกัด

2. พงศ์ศักดิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท Dentsu Plus จำกัด

3. วรวุฒิ วรกาญจน์

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer) บริษัท Dentsu Plus จำกัด

4. สุบรรณ โค้ว

ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ (Chief Creative Officer)บริษัท Dentsu Plus จำกัด

5. กิตติภัต ลลิตโรจน์วงศ์

นักวางแผนกลยุทธ์ทางด้านแบรนด์อาวุโส(Senior Brand Strategist)  บริษัท  Dentsu Plus จำกัด

6. วรางค์สุบรรณรัตน์

นักวางแผนกลยุทธ์อาวุโส (Senior Brand Strategist)

7. ชนินทร์ วิศาลบูชนีย์

ผู้อำนวยการทบวงการสร้างแบรนด์ Director of M.O.B. (Ministry of Branding)

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

อบรม  วันศุกร์และเสาร์ที่ 7, 8, 14, 15, 21, 22 มีนาคม 2557

สถานที่  บันยันทรี สาทรใต้

อัตรา   95,000 บาท (ยังไม่รวม VAT 7%)

เบอร์   0-2338-3705-7, 086-313-1903

ดูข้อมูลหลักสูตรได้ที่ http://www.nation-education.com/enews/Branding-Mar7/Outline.pdf

กรอกใบสมัครที่ http://goo.gl/LHq2q

www.facebook.com/Panyaturakij

1. เพื่อให้รับรสชาติซูชิให้ได้เต็มที่ที่สุด จงกินปลาตามลำดับที่ถูกต้อง

หลักการจริงๆแล้วคือ เริ่มกินจากปลาที่รสชาติอ่อนก่อน แล้วค่อยไล่ไปหาปลาที่รสชาติที่เข้มข้นมากขึ้นต่อๆไป การกินเรียงลำดับแบบนี้จะทำให้ปลาที่รสชาติเข้มข้นกว่า เช่น ปลาทูน่ามันๆ ไม่ไปกลบปลาที่รสชาติอ่อนกว่าอย่างปลาสีแดง ดังนั้นลำดับการกินที่ถูกต้องจะเป็นดังนี้

  1. เริ่มจาก ปลาสีขาว
  2. ตามด้วย ปลาสีเงิน
  3. ต่อด้วย ปลาสีแดง
  4. แล้วค่อยกินปลาที่มีรสเข้มข้นขึ้น เช่น แซลมอลและไข่ปลาแซลมอล
  5. กินปลาที่มันที่สุด เป็นอย่างสุดท้าย
  6. ไข่เป็นของหวาน
  7. การสั่งพวก rolls แบบธรรมดาๆ เช่น ทูน่า เป็นสัญญานบอกว่า คุณกำลังจบการสั่งอาหาร

2. อย่าถูตะเกียบ

ถ้าคุณอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นการถูตะเกียบหลังจากดึงแยกคู่ออกมาถือเป็นการกระทำที่หยาบคายมากๆ ถึงแม้คุณตั้งใจจะถูเพื่อเอาเสี้ยนไม้ออก แต่มันเป็นการบอกเชฟเป็นนัยๆว่า “อุปกรณ์กินอาหารของคุณนั้นเป็นของไม่ดีราคาถูกๆ”

3. วิธีการจิ้มซูชิกับซอสถั่วเหลืองอย่างถูกต้อง

อย่าจุ่มซูชิลงในถ้วยซอสจนเปียกโชก ให้จิ้มแค่นิดเดียวพอ ไม่งั้นคุณจะไม่ได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของปลาเลย เทคนิคการจิ้มซูชิที่ถูก คือ

  1. คีบซูชิด้วยตะเกียบ
  2. พลิกกลับด้าน
  3. จิ้มซอสถั่วเหลืองด้านเนื้อปลา อย่าใช้ด้านที่เป็นข้าวจิ้ม

ใช้ตะเกียบไม่เป็น? ไม่มีปัญหา! คุณสามารถใช้มือหยิบซูชิกินได้ซึ่งนั่นเป็นวิธีการกินซูชิแบบดั้งเดิมในญี่ปุ่น!

4. ขิงดองมีไว้เพื่ออะไร?

ขิงดองมีไว้ให้กิน “ล้างปาก” เพื่อปรับความรู้สึกในการรับรส กินขิงดองก่อนจะกินซูชิแบบถัดไป

5. เผ็ดร้อนวาซาบิ

ถ้าคุณกินวาซาบิแล้วรู้สึกว่าเผ็ดเกินไปให้หยุดหายใจทางปาก แล้วสลับไปหายใจผ่านทางจมูกทันที ทำแบบนี้แล้วอาการเผ็ดจะหายไปอย่างรวดเร็ว

6. การกินซุป

คุณสามารถื่มมิโสะจากถ้วยได้ทันทีโดยซดจากถ้วยเลย แต่ไม่ควรกินมิโสะเป็นของกินเล่น ให้กินหลังจากกินอาหารจานหลักเสร็จแล้ว

7. ทูน่า กับ โอโทโร่มันๆ เป็นปลาชนิดเดียวกันหรือไม่?

ใช่แล้ว! ทั้งคู่มาจากปลาชนิดเดียวกัน แต่เป็นเนื้อคนละส่วน ดังนี้

  • se-kami เนื้อสีแดงมีมัน
  • se-naka เนื้อสีแดงที่ดีที่สุด
  • se-shimo สีแดง+ไขมันเล็กน้อย
  • hara-shimo ไขมัน+สีแดงเล็กน้อย
  • hara-naka-chu-toro ทูน่ามันๆ
  • hara-kami-oh-toro ทูน่าส่วนที่มันสุดๆ

8. ซูชิดีสำหรับคุณ

ยกเว้นการกินโรลทอดเยอะๆพร้อมกับจิ้มมายองเนส นั่นไม่ดีนะ! ซูชิเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เมื่อคุณมองหาอะไรที่เรียบง่ายที่ประกอบด้วยอาหารทะเลและข้าว จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่ี่เป็นการกินซูชิที่ผิด ถ้าคุณกินแล้วอร่อยนั่นก็น่าจะหมายความว่าคุณกินถูกวิธีแล้วหละ 🙂

ที่มา – 8 things worth knowing about eating sushi by ilovecoffee.jp

กรุงเทพฯ 3 ม.ค. – ททท.นัดประชุมผู้ประกอบการท่องเที่ยวสัปดาห์หน้า เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ สืบเนื่องจากการนัดชัตดาวน์กรุงเทพฯ 13 ม.ค.นี้

นายศุกรีย์ สิทธิวนิช รองผู้ว่าการฝ่ายสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงกรณี กปปส.ประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 มกราคมนี้ ว่า ในส่วนของ ททท.มีหน้าที่เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ โดยในสัปดาห์หน้าจะนัดประชุมหารือกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย ฯลฯ โดยมีนายธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการ ททท. เป็นประธาน เพื่อพิจารณาว่าควรต้องปรับแผนหรือทำอะไรอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อภาพลักษณ์ของประเทศ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยแล้ว หรือที่กำลังจะเข้ามา ตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลที่ชัดเจน สำหรับประเทศต่างๆ ที่ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาประเทศไทยนั้น จนถึงขณะนี้ยังอยู่ที่ 40 ประเทศ. – สำนักข่าวไทย

 

 

บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด (ดูไบ) สร้างชื่อโดดเด่นในงานมหกรรมแสดงสินค้าและวัฒน ธรรมนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาหรับ “โกลบอลวิลเลจ ดูไบ” (Global Village Dubai 2013-2014) จัด ณ ดูไบแลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โดยจัดโซน “หมู่บ้านไทย 2556-2557” นำผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการไทยกว่า 240 ราย มาออกร้าน กล่าวคือ รวมอาณาจักรมหัศจรรย์เมืองไทยทุกมิติ ทั้งศูนย์นวดแพทย์ไทยมาตรฐานโลก ศูนย์แพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย ของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเวชภัณฑ์ไทย โชว์ผลงานหัตถกรรมจากเมืองไทยกว่า 70,000 ชนิด นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านไทยยังมีศูนย์รวมอาหารไทยเลิศรสนานาชนิดครั้งแรกในดูไบ

“ปีม้า จะเป็นปีแห่งการเดินทางของบอลลูนอาร์ท เราจะออกเดินทาง จะไม่อยู่แค่ที่ที่เราอยู่ แต่จะไปในทุกๆ ที่ ไปด้วยม้าของเราเอง ที่ไหนยังไม่รู้จักเรา เราจะไปอยู่ตรงนั้น และโตแบบก้าวกระโดดได้เหมือนม้า”

คำประกาศจาก “ภูมิใจ โลหะพรหม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอลลูนอาร์ท จำกัด ธุรกิจจัดจำหน่ายและตกแต่งสถานที่ด้วยลูกโป่ง เจ้าแรกในไทย ที่เปิดให้บริการมานานถึง 21 ปี (ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535)

ม้าของพวกเขาเริ่มออกเดินทาง หลังได้ไอเดียธุรกิจจากการไปต่างประเทศ แล้วเห็นว่ามีการนำลูกโป่งมาใช้จัดกิจกรรม ตกแต่งตามงานอีเว้นท์อยู่เยอะมาก ซึ่งเวลานั้นบ้านเรายังนิยมตกแต่งสถานที่ด้วยดอกไม้และป้ายโฆษณา ขณะที่ลูกโป่งยังถูกมองว่าเป็นแค่ “ของเล่น”

“ไอเดียใหม่” ไฉไลกว่า เลยน่าจะทำตลาดเมืองไทยได้

จึงได้เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ขึ้น โดยไม่มีหน้าร้าน มีแต่ทีมงานอยู่ 3-4 คน ที่มีทักษะด้านการใช้ลูกโป่งในการตกแต่งโดยเฉพาะ แล้วเริ่มจับตลาดอีเว้นท์เป็นหลัก

แต่จะทำให้ของใหม่ เปิดตลาดเมืองไทยได้ ก็ต้องเริ่มจากทำความเข้าใจกับลูกค้า ทำอย่างไรที่คนจัดงานจะเห็นความสำคัญของลูกโป่ง ว่าสามารถ “สร้างความแตกต่าง” และดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ แล้วจะทำอย่างไรคนถึงจะยอมจ่ายเงิน ให้กับของที่เขาคิดว่า “ราคาไม่กี่บาท” ด้วยเงินหลักร้อย หลักพัน หรือกระทั่งหลักหมื่น หลักแสนได้

“เราไม่ได้ขายแค่ลูกโป่ง แต่ขายไอเดีย ที่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของลูกค้า”

นั่นคือจุดขายของงานบริการที่มากไปกว่าแค่ “ลูกโป่ง” แต่เป็นการพัฒนา “ความคิดสร้างสรรค์” ใส่ลงไปในการทำงานทุกครั้ง เพื่อรับกับโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ลูกโป่งตกแต่ง (Balloon decorate) ของบอลลูนอาร์ท จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมใหญ่ๆ ที่หลายครั้งก็กลายเป็น “จุดขาย” สำคัญของงานด้วยซ้ำ แม้แต่งานกาลาดินเนอร์สุดหรู พวกเขาก็เนรมิตบรรยากาศคูลๆ ให้ได้

และเพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้น และรู้ว่าลูกโป่งยังมีอะไรอีกเยอะมาก เลยเปิดหน้าร้านของตัวเอง ชื่อ “บอลลูนอาร์ททูโก” (Balloonart2go) ขึ้นในปี 2540 เป็นร้านจำหน่ายลูกโป่งที่ปลุกกระแสให้ลูกโป่งเป็นของขวัญ เหมือนร้านดอกไม้

“ตอนนั้นเราเป็นร้านลูกโป่งร้านแรก ก็เป็นอะไรที่แปลกแหวกแนว เลยมีรายการมาถ่ายทำ เพื่อโปรโมทการให้ลูกโป่งเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ จุดกระแสการให้ลูกโป่งเป็นช่อของขวัญให้เกิดขึ้น”

ทำไมลูกโป่งถึง “ได้ใจ” กว่าดอกไม้ ภูมิใจ บอกว่า เพราะจุดขายคือ “คุณค่า” ที่ผู้รับได้รับ โดยลูกโป่งมีข้อความสื่อความหมายได้ มีดีไซน์น่ารักน่าชัง เดินไปไหนคนเห็นก็สะดุดตา ที่สำคัญ ด้วยคอนเซ็ปต์ขายไอเดีย และดีไซน์ วันนี้ลูกโป่งของพวกเธอ เลยมีทั้ง ลูกโป่งอัดเสียงได้ ร้องเพลงได้ เต้นระบำได้ แถมเรียงเป็นตัวอักษรประกาศความพิเศษสุดๆ กับผู้รับได้อีกด้วย

บอลลูนอาร์ททูโก มีลูกโป่งหลากหลายรูปแบบ โดยผลิตจากโรงงานในประเทศ 70% และนำเข้าอีก 30%

เพราะเป็นม้า ธุรกิจเลยหยุดวิ่งไม่ได้ ที่มาของการพัฒนาสู่ตลาดเป่าลม “บอลลูนเซิร์ฟ” (balloon Serv) สื่อโฆษณาเป่าลม จำพวกท่อผ้าเป่าลม บอลลูนลอยฟ้า บอลลูนโฆษณา เรียกว่าทำทุกอย่างที่เห็นโอกาส เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น

“อย่างอสังหาริมทรัพย์ใหม่อยากเชิญชวนให้ทุกคนมา แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าโครงการของคุณอยู่ไหน การมีบอลลูนลอยฟ้า ที่โครงการ ก็จะทำให้ทุกคนทราบพิกัดของโครงการได้ เราก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากตรงนี้ โดยทุกวันนี้อะไรก็ตามที่มีลม เราทำหมด”

เวลาเดียวกับการขายความคิดสร้างสรรค์ คือ พัฒนาบริการที่ดี ใช้ของมีคุณภาพ และรับผิดชอบต่อลูกค้า เช่นการใช้แก๊สฮีเลียมซึ่งเป็นแก๊สที่ไม่ติดไฟในการเป่าลม แม้จะมีราคาสูง แต่ก็เลือกใช้เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า

ธุรกิจบนความรับผิดชอบจึงค่อยๆ เติบโตขึ้น จากรายได้หลักแสนก็ขยับสู่หลักล้าน ด้วยโอกาสธุรกิจ ที่คนทำบอกว่า
“ตลาดยังกว้างมาก และยังมีอีกเยอะมากที่เขาไม่รู้จักเรา เป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่รอเราให้เข้าไปหา”

ที่มาของการทำตลาด เพื่อเจาะให้ถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น ตั้งแต่นำเสนอผลงานไปยังบริษัทออแกไนซ์ต่างๆ เพื่อให้มีไอเดียไปเสนอต่อลูกค้า สำหรับบอลลูนของขวัญ ก็ใช้วิธีลงโฆษณาตามสื่อต่างๆ จนมาปี 2543 เมื่อคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากขึ้น เลยเริ่มทำเว็บไซต์ขึ้น (www.balloonart2go.com )ในปีที่ผ่านมาก็ได้ลองใช้ Google AdWords การโฆษณาผ่าน Google สร้างโอกาสธุรกิจด้วยเทคโนโลยี

“การใช้โฆษณากับ Google ทำให้ได้ลูกค้าที่เขาต้องการเรา เขาจะเข้าหาเราเอง วิธีนี้สามารถวัดผลได้ และเห็นฟีดแบคกลับมาชัดเจนด้วย ที่สำคัญคือ ทำให้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใครกันแน่” คนทำสำเร็จบอกเราว่า การจะทำเรื่องนี้ได้ขอให้ลงมาศึกษาด้วยตัวเอง และลงไปในรายละเอียด โดยไม่แนะนำระบบ “จ้างทำ” เพราะนั่นจะไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้

ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน เวลาเจอสถานการณ์ไม่อำนวย อย่าง น้ำท่วม การชุมนุมทางการเมือง คนไม่อยากเที่ยว ไม่อยากไปงาน คงจะกระทบกับธุรกิจเอามากๆ แต่ใครจะเชื่อว่าท่ามกลางอุปสรรคเหล่านี้ พวกเขายังทำรายได้ในปี 2555 ถึง 30 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้าแบบ “เท่าตัว”

และปี 2556 ที่หลายคนยัง “วิกฤติ” แต่บอลลูนอาร์ทก็ยังลอยลมทำรายได้แตะ 50 ล้านบาทได้ กับเป้าหมายปีม้านี้ ที่จะโตแบบ “ก้าวกระโดด” ขยายสาขาจาก 5 สาขา เป็น 10 สาขา และขยายครบทุกจังหวัดใน 5 ปี ให้ได้!

“เราไม่ใช่ไม่เคยเจอวิกฤติ แต่วิกฤติทำให้เราเห็นโอกาส จากที่เคยอยู่แค่กรุงเทพ ก็เริ่มขยายสาขาไปต่างจังหวัด เริ่มไปรับงานในต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งโอกาสจากตรงนี้ ทำให้เราได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นเท่าตัว และไม่สั่นคลอนไปกับวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่ได้โชคดีนะ..แต่เราแค่สร้างมัน”

ความโชคดีที่ไม่ได้มาจากฟ้าประทาน แต่อาศัยการ “ลงมือทำ” ล้วนๆ ทั้งการสร้างทีมงาน สร้างผู้นำ พัฒนาคน ให้มีความคิดสร้างสรรค์และสนุกกับงาน ส่งไปแข่งขันในต่างประเทศเพื่อสร้างความภาคภูมิใจและได้คนเก่งกลับสู่บริษัท และทรัพยากรนับ 60 ชีวิต ที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็คือ ผู้นำความยิ่งใหญ่และยั่งยืนมาสู่ธุรกิจของพวกเขาในอนาคต

“สำหรับปีหน้าในฐานะผู้ประกอบการคนหนึ่ง ไม่มีอะไรต้องกังวล อยู่ที่ธุรกิจของคุณ คุณแค่ทำของคุณให้ดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เรามีตอนนี้ยังไม่ดีตรงไหน ก็ไปอุดตรงนั้น ส่วนที่ทำดีอยู่แล้ว ก็ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นๆ ไป ที่สำคัญต้องสร้างคน ทำให้เขามีโอกาส แล้วก็เติบโต เพราะเราคงทำคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องวิ่งไปพร้อมๆ กัน”

หนึ่งมุมคิดของคนทำธุรกิจ ที่ยังเชื่อมั่นว่า “ปีม้า” จะเป็นปีแห่งการเดินทาง เพราะม้าที่ดีย่อมไม่กินหญ้าที่เดิม แต่ต้องไปแสวงหาโอกาสใหม่ที่ไกลขึ้น พร้อมโตแบบก้าวกระโดดด้วย “แรงม้า” จากพลังทีมงานของพวกเขา

…………………..
Key to success
ก้าวกระโดดแบบบอลลูนอาร์ท
๐ พัฒนาธุรกิจไม่หยุดนิ่ง ทำทุกสิ่งที่เป่าลมได้
๐ ขายไอเดีย ดีไซน์ รับคอนเซ็ปต์ของลูกค้า
๐ อดทน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ ธุรกิจจึงเป็นที่ยอมรับ
๐ ไม่ก้มหน้ารับวิกฤติ แต่พร้อมพลิกเป็นโอกาส
๐ สร้างคน สร้างทีม ไม่มีผู้นำ แต่ต้องวิ่งไปพร้อมกัน
๐ ออกเดินทางไกลเหมือนม้า ไปให้ไกลกว่าจุดเดิม

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สื่อมวลชนจีนได้สรุปข่าวเด่นทางด้านเศรษฐกิจของจีนในปี 2556 ซึ่ง BIC เห็นว่าสามารถพาผู้อ่านมาทบทวนและทำความเข้าใจกับสภาพเศรษฐกิจของจีนในปี 2556 โดยขอนำเสนอ (ตามลำดับเวลาของข่าว) ดังนี้

1. ครม.จีนออกมาตรการคุมเข้มตลาดอสังหาริมทรัพย์

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 56 คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศมาตรการ 5 ประการ เพื่อควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนที่มีแนวโน้มเกิดฟองสบู่มากขึ้น โดยเรียกว่า กฎแห่งรัฐ 5 ประการ (国5条) หลังจากนั้น เมืองใหญ่ต่าง ๆ อาทิ กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และเมืองเซินเจิ้น ก็ทยอยออกมาตรการอย่างเข้มงวด เพื่อพยายามเพิ่มจำนวนที่ดินในการก่อสร้างบ้านสำหรับตลาดมวลชน (mass market) นอกจากนั้น ยังเพิ่มเงินดาวน์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 อีกทั้งนครเซี่ยงไฮ้ยังเพิ่มกฎระเบียบ ที่ทำให้คนต่างถิ่นเข้ามาซื้อบ้านหลังใหม่ในเมืองได้ยากขึ้นอีกด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแบบผสมผสานระหว่างชีวิตความเป็นอยู่กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่การยับยั้งการเก็งกำไรจากการซื้อขายบ้าน

2. จีนยุบ “กระทรวงการรถไฟ” จัดตั้งเป็นบริษัทแทน

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 56 จีนได้ประกาศยุบกระทรวงการรถไฟ และจัดตั้งกรมการรถไฟแห่งประเทศจีนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคมนาคมจีน และจัดตั้งบริษัทการรถไฟแห่งประเทศจีนเพื่อดำเนินกิจการในรูปแบบธุรกิจ รองรับหน้าที่เดิมของกระทรวงการรถไฟ การยุบกระทรวงการรถไฟครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการการลดจำนวนหน่วยงานระดับกระทรวง และเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล

3. ครม.จีนเร่งลดขั้นตอนการตรวจสอบและการอนุมัติการบริหาร

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 56 คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศยกเลิกขั้นตอนการตรวจสอบและการอนุมัติการบริหาร 117 รายการ หลังจากนั้น ยังวางแผนส่งเสริมการปฏิรูประบบการลงทะเบียนของบริษัทเพื่อผ่อนปรนเงื่อนไขของการลงทะเบียนให้มีความสะดวกมากขึ้น

4. ตลาดเงินทุนจีนขาดเงินสด อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้น

ในเดือนมิถุนายน ตลาดเงินทุนจีนได้เกิดภาวะสภาพคล่องหดตัวเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี

5. ธนาคารกลางจีนยกเลิกมาตรการต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 56 ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปล่อยการควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างรอบด้าน โดยยกเลิกมาตรการต่ำ

สุดที่เป็น 0.7 เท่าของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และปล่อยให้สถาบันการเงินกำหนดเอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของระบบดอกเบี้ยเงินกู้ของจีนที่เริ่มปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด

6. บริษัทหลักทรัพย์Everbrightเกิดปัญหาของระบบ

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 56 บริษัทหลักทรัพย์ Everbright ยอมรับเกิดปัญหาในระบบทำให้ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ภายใน 1 นาที ซึ่งทำให้บริษัทถูกปราบเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 523 ล้านหยวน จากหน่วยงานการควบคุมตลาดหลักทรัพย์

7. จีนจัดตั้งเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้อย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 56 ทางการจีนได้จัดพิธีเปิดตัวเขตทดลองการค้าเสรีจีน (เซี่ยงไฮ้) อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งสำคัญของจีน ที่สะท้อนถึงการเปิดกว้างสู่สากลด้วยนโยบายลดการ “คุมเข้ม” ลงตามลำดับขั้น โดยตามแผนเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลจะลดการแทรกแซงตลาดและขยายขอบเขตการลงทุนให้กว้างมากขึ้น รวมทั้งสร้างสรรค์การเปิดเผยธุรกิจการเงินเป็นต้น

8. บริษัท Alibaba ลงทุนร่วมมือกับบริษัทกองทุนหลักทรัพย์ ส่งเสริมธุรกิจการเงินทางอินเตอร์เน็ต

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. บริษัทAlibaba ประกาศลงทุน 1,180 ล้านหยวนในบริษัทกองทุนหลักทรัพย์ ทั้งสองบริษัทได้ร่วมมือกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์กองทุน (余额宝) ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ของธุรกิจการเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต

9. การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 ครั้งที่ เจาะลึกการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 9 – 11 พ.ย. 56 การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ชุดที่ 18 ครั้งที่ 3 ได้จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง โดยมีนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และในการชุมครั้งนี้ได้อนุมัติ “ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปเชิงลึกที่ครอบคลุม” ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางปฏิบัติฉบับใหม่ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของจีนโดยเฉพาะการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ

10. กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจีนออกใบอนุญาติ 4 G

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 56 กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจีนได้ออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ 4G ให้บริษัท China Mobile บริษัท China Unicom และบริษัท China Telecom ซึ่งแสดงว่า จีนได้เริ่มก้าวเข้าสู่ยุค 4G แล้ว

อย่างไรก็ดี 10 ข่าวเด่นทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2556 ได้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลจีนชุดใหม่กำลังพาจีนก้าวสู่การปฏิรูปเพื่อให้ตลาดมีความเสรีมากขึ้นและเปิดเผยต่อสากลกว้างขวางมากขึ้น ขอให้ผู้อ่านทุกท่านติดตามข่าวสารของ BIC อย่างที่ผ่านมานะคะ/ครับ

Last Update : 26 ธันวาคม 2556
โดย : น.ส.บุษกร หลี่
แหล่งข้อมูล : www.hexun.com (和讯网) (26 ธันวาคม 2556)

ราชบัณฑิตยสถานเตรียมบรรจุคำ”เกรียน-การเมืองบนถนน-กดไลค์-ขั้นเทพ-ซุปตาร์- มังกรการเมือง-มาคุ-เว้นวรรค-สุดซอย”ลงในคลังคำ หลังสังคายนาระบบฐานข้อมูลจัดทำพจนานุกรมครั้งใหญ่ ใช้เป็นฐานข้อมูลเจอปัญหามีกรรมการกว่า 90 คณะทำให้จัดพิมพ์ล่าช้า

 

p18db4jtsvifeo61kga1p01rak5

เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายอุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ ประธานคณะกรรมการการจัดทำฐานข้อมูลคำในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าคลังคำและแหล่งข้อมูลจากตำราหรือหนังสือสาขาวิชาต่างๆ ของราชบัณฑิตยสถาน เพื่อจัดทำพจนานุกรม หรือสารานุกรมสาขาต่างๆ มีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากปัจจุบันการจัดรวบรวมคำศัพท์และข้อมูลต่างๆ ในการจัดทำพจนานุกรมนั้นต้องพึ่งคณะกรรมการที่ทำงานวิชาการมีอยู่ประมาณ 90 คณะ จึงกังวลว่าในอนาคตหากขาดคณะกรรมการหรือว่าผู้เชี่ยวชาญไปบางคณะ งานของราชบัณฑิตอาจจะต้องสะดุดและไม่สามารถผลิตหนังสืออ้างอิงและมีแหล่ง ข้อมูลที่ทันสมัยได้ ที่ผ่านมาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเก็บคำที่มีอยู่ในภาษาไว้เป็นจำนวน น้อยมาก มีเพียงประมาณ 37,000 คำเท่านั้น ทั้งๆ ที่มีคำที่ใช้ในภาษาไทยจำนวนหลายแสนคำ

นายอุดมกล่าวว่า ที่สำคัญในอดีตการจัดทำพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานล่าช้ามาก ตลอดระยะเวลาเกือบ 80 ปีมีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพียง 4 ครั้ง คือ ฉบับปี 2493 ฉบับปี 2525 ฉบับปี 2542 และฉบับปี 2554 นับว่าน้อยมาก รวมถึงการจัดพิมพ์พจนานุกรมแต่ละครั้งก็ใช้เวลานาน ทุกครั้งที่มีการจัดพิมพ์ จำเป็นต้องระดมนักวรรณศิลป์ทุกคนในราชบัณฑิตยสถานให้ช่วยกันตรวจสอบความถูก ต้องและพิสูจน์อักษรคำต่างๆ ในพจนานุกรม ทำให้งานต่างๆ ต้องหยุดทันที ดังนั้นราชบัณฑิตยสถานมีมติว่าให้จัดทำโครงการจัดทำฐานข้อมูลคำในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ที่สำคัญการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อสร้างระบบฐานข้อมูลคำศัพท์และคลังคำที่จะใช้ ในการชำระพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานในอนาคต จัดเก็บคำศัพท์ที่เกิดขึ้นใหม่

“หลังจากนี้คณะกรรมการการจัดทำฐาน ข้อมูลคำในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานชุดนี้ต้องเร่งจัดทำหลักเกณฑ์และขอบ เขตการจัดเก็บคำศัพท์ที่จะคัดเลือกและเก็บในฐานข้อมูลที่อยู่ระหว่างการ ดำเนินการ เพื่อให้สะดวกในการนำคำศัพท์มาใช้ในการชำระพจนานุกรมและจัดทำพจนานุกรมคำ ใหม่ เป็นการพยายามรวบรวมคำศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่น และคำสแลง ที่นำเสนอผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ และสื่อต่างๆ วัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลและคำศัพท์ สำนวนที่ใช้กันแพร่หลายและติดปาก ที่สำคัญคือคำศัพท์เหล่านั้นเป็นคำศัพท์ที่ยังไม่ได้บรรจุอยู่ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อย่างไรก็ตามคาดว่าการดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2557 นี้” นายอุดมกล่าว

นายอุดมกล่าวอีกว่า ตามแผนงานเดิม ช่วงต้นปี 2557 ราชบัณฑิตยสถานต้องจัดพิมพ์พจนานุกรมรวบรวมคำศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่นที่ทันยุคสมัย และคำสแลงรวมถึงสำนวนที่ใช้จนติดปากกันอย่างแพร่หลาย ที่ผ่านมาพิมพ์มาแล้ว 3 เล่ม ส่วนเล่มที่ 4 ก็ได้รวบรวมแล้วบางส่วน แต่ก็มีมติเห็นตรงกันว่าให้ชะลอการจัดพิมพ์เล่มที่ 4 ไว้ก่อน เพื่อรอระบบฐานข้อมูลดังกล่าวและเกณฑ์การคัดเลือกคำที่เป็นมาตรฐาน เพราะที่ผ่านมาการคัดเลือกคำศัพท์ใหม่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน รวมถึงเรื่องความหมายของคำก็ยังไม่ครอบคลุมทุกด้าน ดังนั้นจึงให้ชะลอการจัดทำพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่

ส่วนคำศัพท์ที่จัดเก็บไว้ประมาณ 1,000 คำก็จะนำมาไว้ในฐานข้อมูลที่กำลังจัดทำ อาทิ คำว่า

เกรียน – พฤติกรรมก่อกวนและชอบละเมิดกฎระเบียบ

การเมืองบนถนน – การเล่นการเมืองนอกสภา

กดไลค์ – ไอคอน like หรือชอบ เป็นรูปชูหัวแม่มือหนึ่งข้าง

ขั้นเทพ – ดียิ่ง เก่งอย่างยิ่ง

ซุปตาร์ – นักแสดงหรือนักร้องที่มีคนชื่นชอบจำนวนมาก

มังกรการเมือง – นักการเมืองที่มีประสบการณ์การเมืองยาวนาน

มาคุ – อึมครึม วังเวง

เว้นวรรค – ลาออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่หรือยุติบทบาทชั่วคราว

สุดซอย – จากความหมายเดิมคือ ถึงที่สุดจนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่าช่วงปลายปี 2556 ที่ผ่านมาคำว่า สุดซอย ถูกนำมาใช้ในทางการเมือง

ดังนั้นก่อนที่จะนำคำศัพท์มาบรรจุในฐานข้อมูลก็จะมีการปรับเปลี่ยนความหมาย และคัดเลือกคำที่ทันสมัย รวมถึงคำที่กำลังนิยม ทั้งนี้หากจัดทำระบบฐานข้อมูลก็จะทำให้การชำระพจนานุกรมสามารถทำได้รวดเร็ว เพราะมีคำศัพท์ที่คัดเลือกไว้แล้ว ส่วนคำศัพท์ใหม่ก็จะมีความหลากหลายและคัดเลือกตรงตามหลักเกณฑ์มากขึ้น ที่สำคัญคำไหนที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่ก็สามารถค้นหาความหมาย เพื่อนำไปอ้างอิงได้

– See more at: http://home.truelife.com/detail/3063665#sthash.ckDJmdxx.dpuf

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดอบรมต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ทั้งด้านบุคลากร และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แก่ผู้ประกอบการก่อนเข้าสู่ช่วงทดลองปฏิบัติงานจริง

น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าสร้างนวัตกรรมการให้บริการรับงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) เพื่อทดแทนการรับงบการเงินในรูปแบบเดิมที่เป็นเอกสาร ซึ่งจะส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มช่องทางการให้บริการให้มีความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่ส่งงบการเงินตามกฎหมายโดยคาดว่าจะสามารถเปิดรับงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ครอบคลุมทุกประเภทนิติบุคคล ได้แก่ บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล นิติบุคคลต่างประเทศที่มาประกอบธุรกิจในประเทศไทย  หอการค้าและสมาคมการค้า รวมไปถึงธุรกิจหลักของประเทศ 10 ประเภท เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างอาคารทั่วไป  ธุรกิจประกันภัย บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบภายในเดือนมกราคม 2558

“กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นหน่วยงานให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและภาครัฐในการตัดสินใจและดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงได้ริเริ่มโครงการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี XBRL มาสนับสนุนการให้บริการในการรับงบการเงินในรูปแบบใหม่ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรกของประเทศ โดยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจัดทำรหัสรายการทางบัญชี (Taxonomy) ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เชื่อมโยงข้อมูลงบการเงิน เพื่อให้บริการ ณ จุดเดียว (Single Point) มีระบบประมวลผลแบบ Real Time โดยจะทดลองปฏิบัติงานจริง (Pilot  Implementation) กับธุรกิจ 100 รายแรก ภายในเดือนเมษายน 2557

ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมาย กรมฯ จึงจัดอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) แก่กลุ่มเป้าหมายในช่วง Pilot Implementation 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนิติบุคคลขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือ กลุ่มที่ใช้บริการสำนักงานบัญชีคุณภาพ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านบัญชีออกจำหน่าย (Software House) แบ่งเป็น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จัดไปแล้วในเดือนธันวาคม 2556 เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานระบบ e-Filing และเทคโนโลยี XBRL รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเข้าร่วม Pilot Implementation และครั้งที่  2  จะจัดขึ้นภายในเดือนมกราคม 2557 ซึ่งจะจัดในรูปแบบ Workshop สำหรับผู้ใช้ระบบงาน (User) ได้ฝึกปฏิบัติงานจริง เช่น    การลงทะเบียน การยืนยันตัวตน และการอนุมัติการนำส่งงบการเงิน รวมถึงการตอบข้อซักถามและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ระบบงาน”น.ส.ผ่องพรรณ กล่าว.-สำนักข่าวไทย

1524691_709547535730236_541108747_n

ขอเรียนเชิญ
ชุมชนนักปฏิบัติ (ชุมชนคนโชติเวช)
เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ
เรื่อง “อาเซียน : โอกาสการแข่งขันของไทย
(การมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานทางด้านการศึกษาสู่อาเซียน)”
ในวันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2556 เวลา 13.30-14.30 น.
ณ ห้องประชุมบัวชมพู อาคารเรือนปัญญา ชั้น 2

งานจัดการความรู้ (KM HEC)

จับตาธุรกิจร้านกาแฟ 7.2 พันล้านฟัดกันเดือด แบรนด์ยักษ์แห่ทุ่มงบผุดสาขาครอบทั่วประเทศ ขณะที่ระดับกลางเร่งปรับภาพลักษณ์ยกระดับจับคนรุ่นใหม่

6667_393125707458655_1901502759_n

 

จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าในปี 2556 ธุรกิจร้านกาแฟที่เป็นเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 7.23 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 11% จากปี 2555 ซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 6.49 พันล้านบาท โดยพบว่าในปีนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่ อาทิ สตาร์บัคส์ มีการพัฒนาร้านในรูปแบบสแตนด์อะโลน พร้อมให้บริการในแบบไดรฟ์ ทรู เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น ขณะที่ร้านกาแฟดังอย่างอเมซอน ก็พัฒนารูปแบบร้านจากเดิมที่เปิดให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน ก็หันไปเปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้า ภายใต้ชื่อ “The Amazon’s Embrace” รวมทั้งยังมีเชนร้านกาแฟดังจากอังกฤษอย่าง “คอสต้า คอฟฟี่” ที่เข้ามาเปิดให้บริการในเมืองไทย ส่งผลให้บรรยากาศการแข่งขันในธุรกิจร้านกาแฟกลับมาคึกคักขึ้นอีกครั้ง

แนวโน้มการแข่งขันของร้านกาแฟในปีหน้า เชื่อว่าจะมีผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวทั้งในด้านการคิดค้นเมนูที่เป็นสูตรเฉพาะหรือเมนูซิกเนเจอร์ รวมถึงการบริการและคุณภาพของสินค้า

เครื่องมือการจัดการ ความรู้ มีอยู่หลายชนิด หลายแบบ การเลือกมาใช้หากสามารถเลือกให้เหมาะกับงาน เหมาะกับคน

เหมาะกับโอกาส จึงจะได้ประโยชน์จริง เพราะเครื่องมือทุกชิ้นจึงมีประโยชน์ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับคนใช้งาน ถ้าเลือกเอาไป

ใช้ได้ไม่ถูกวิธีแล้วบอกว่าไม่ได้เรื่อง คงไม่ได้ เพราะเราใช้ผิดวิธี ไม่เหมาะกับเราเอง

ในการจัดการความรู้ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นั้น เราสามารถใช้รูปแบบหรือกระบวนการได้หลายรูปแบบ หลายชนิดเพื่อให้เราได้เลือกใช้ เช่น

1. ชุมชนนักปฏิบัติ Community of practice : Co P เป็นการจัดกลุ่มคุณกิจที่ทำเรื่องเดียวกัน มารวมตัวกันด้วยเรื่องที่สนใจเรื่องเดียวกัน (Domain) มาพบปะกันสม่ำเสมอ (Community) และมาพัมนาวิธีการทำงานในเรื่องนั้นๆให้ดีขึ้น (Best practice)

2. การศึกษาดูงาน (Study tour) เป็นการขอไปเรียนลัดจากประสบการณ์ของผู้อื่นโดยเข้าไปดูสถานที่จริง การปฏิบัติจริงๆของเขา หรืออาจใช้ในหน่วยงานตนเองโดยการให้เพื่อนที่ทำดีๆสาธิตหรือทำเป้นตัวอย่าง ให้เราดู ให้เราเรียนรู้ก็ได้

3. การทบทวนหลังปฏิบัติการหรือการถอดบทเรียน : After action review (AAR) เมื่อทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสร็จแล้ว ก็มีการมานั่งทบทวนร่วมกันผ่านทางการเขียนและการพูด ด้วยการตอบคำถามง่ายๆว่า วันนี้ที่ทำนี่เพื่ออะไรหรืออยากได้อะไร ทำแล้วได้ตามที่คาดหวังไว้ไหม ทำไมถึงได้มากกว่าหรือน้อยกว่า ได้อะไรดีๆเพิ่มขึ้นมาบ้างและถ้าจะทำแบบนี้อีกควรปรับปรุงอย่างไร ในระยะหลังมีคนคิดการทบทวนก่อนปฏิบัติ (Before action review : BAR)ขึ้นมาใช้และการทบทวนขณะปฏิบัติ (During action review : DAR)

4. การเรียนรู้ร่วมกันหลังงานสำเร็จ : Retrospect เป็น กิจกรรมที่ทีมทำงานสำเร็จไปแล้วระยะหนึ่ง ก็นัดเจอกันเพื่อทบทวนย้อนหลังงานนั้นๆ เช่นทบทวนการดูแลผู้ป่วย การสัมนาผู้ป่วย เป็นต้น

5. เรื่องเล่าเร้าพลัง : Springboard Storytelling เป็นการถอดความรู้ฝังลึกโดยการมอบหมายให้ผู้ที่มีผลงานดีหรือมีวิธีการทำงาน ที่ดี มาเล่าให้คนอื่นๆฟังว่าทำอย่างไร คนเล่าจะต้องเล่าให้สนุก น่าฟัง เร้าใจ เล่าให้เห็นการปฏิบัติ เห็นบุคคล ตัวละครในเหตุการณ์ ใช้ภาษาเชิงปฏิบัติจริง เล่าสิ่งที่ตนเองทำจริงๆกับมือ ไม่ปรุงแต่ง ใส่สีตีไข่ เล่าเหมือนเล่านิทานเด็กฟัง

6. การค้นหาสิ่งดีๆรอบๆตัว : Appreciative Inquiring เป็นการมองเชิงบวก พยายามค้นหาสิ่งดีๆ ความสุข คำชื่นชม ความดีงามที่อยู่ในตัวคน ในองค์การ ในการทำงานหรือนวัตกรรมต่างๆเพื่อนำมาเผยแพร่ให้คนอื่นๆได้ทราบ

7. เวทีเสวนา : Dialogue เป็นจัด กลุ่มพูดคุยกันเพื่อเอาสิ่งดีๆที่แต่ละคนมีอยู่ในตัวเองหรือในการปฏิบัติออก มา โดยไม่ขีดวงที่ชัดเจนมากเกินไป มีเพียงการกำหนดประเด็นกว้างๆในเรื่องที่จะสนทนากัน ไม่รู้คำตอบสุดท้ายว่าคืออะไร ไม่กำหนดเวลาสนทนาของแต่ละคน เปิดกว้างด้านเวลา สถานที่ บุคคลและเปิดกว้างทางใจของทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมกัน บรรยากาศสบายๆ บรรยากาศเชิงบวก พูดเรื่องเก่า ท้าวความหลังที่ดีๆ พูดถึงสิ่งที่ทำจริงๆในอดีต ไม่ใช่ความคิดเห็นที่จะทำในอนาคต ลักษณะสำคัญของการเข้ากลุ่มสุนทรียสนทนาในการจัดการความรู้จึงมีลักษณะสำคัญ 4 ประการคือพูดอย่างจริงใจ ฟังอย่างตั้งใจ ถามอย่างซาบซึ้งใจและจดอย่างเข้าใจใส่ใจ

8. เพื่อนช่วยเพื่อน : Peer Assist เชิญทีมอื่นมาแบ่งปันประสบการณ์ดีๆให้เรา มาแนะ มาสอน มาบอก มาเล่าให้เราได้ฟังเพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานเรา

9. Action Learningการเรียนรู้โดยการปฏิบัติ เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ปฏิบัติเพื่อจะแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่ง โดยการวิเคราะห์สาเหตุ วิเคราะห์ทางเลือก เลือกทางเลือกที่เหมาะสมแล้วนำไปปฏิบัติ พร้อมทั้งติดตามประเมินผลเพื่อปรับให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในภาษานักคุณภาพเขาเรียกทำ CQI Story

10. Benchmarkingมาตรฐานเปรียบเทียบ เป็นการตกลงกันเองในกลุ่มผู้ปฏิบัติอาจเป้นระดับบุคคล งาน แผนก ฝ่าย กลุ่มงานหรือองค์การก็ได้ กำหนดประเด็นร่วมกันแล้วนำมาเปรียบเทียบกันเพื่อร่วมมือกันในการยกระดับงาน ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เปรียบเทียบเพื่อแข่งขันเอารางวัลกัน แต่เปรียบเทียบเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน ในการเปรียบเทียบมาตรฐานปฏิบัติมี 2 แบบคือ Process Benchmarking และ Result Benchmarking เครื่องมือที่นำหลักการเปรียเบทียบมาตรฐานปฏิบัติมาใช้คือเครื่องมือชุดธาร ปัญญา

11. Coachingการสอนงาน เป็นการขับเคลื่อนความรู้ข้ามบุคคลที่ง่ายและใกล้ตัวคนทำงานมากที่สุด ให้ผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าหรือรุ่นพี่ที่มีผลงานดี มาแนะนำ สอน ให้คนที่มาใหม่หรือคนที่มีผลงานไม่ดีได้เรียนรู้ปรับปรุงวิธีการทำงาน มักใช้ในกลุ่มผู้ปฏิบัติหรืองานระดับปฏิบัติการ

12. Mentoringการเป็นพี่เลี้ยง เป็นการให้คนทำงานที่อยู่คนละฝ่ายหรือกลุ่มงานหรือแผนกหรือแผนกเดียวกันก็ ได้ มาช่วยแนะนำวิธีการทำงาน ช่วยเหลือสนับสนุน คอยให้คำปรึกษาชี้แนะ มักใช้ในการเรียนรู้ในกลุ่มผู้บริหารหรือผู้ที่จะก้าวไปเป็นผู้บริหาร

13. Portfolio แฟ้มงานเพื่อการพัฒนา เป็นการบันทึกผลงานดีๆ นวัตกรรมในการทำงาน คำชื่นชม ความภาคภูมิใจทั้งระดับบุคคล ระดับแผนกหรือระดับองค์การ เรียกอีกอย่างว่าบัญชีความสุข

14. บทเรียนจากความผิดพลาด : Lesson Learned ผมมักเรียกกิจกรรมนี้ว่า ผิดเป็นครู ในทางการแพทย์มักจะมีการทำอยู่บ่อยๆเพื่อลดความผิดพลาดในการรักษาผู้ป่วย ที่เรียกว่า Dead case conference ในการทำกิจกรรมผิดเป็นครูนี้ ถ้าเริ่มทำKMใหม่ๆ ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะคนยังไม่มีความสัมพันธ์กันดีพอ ยังไม่เปิดใจเข้าหากัน อาจเป็นบ่อเกิดของการโทษกันหรือทะเลาะกินใจกันได้ กิจกรรมผืดเป็นครูที่ดี ควรเป็นคนที่ทำผิดพลาดหรือทำงานไม่สำเร็จ เป็นผู้ที่นำเอาความผิดพลาดนั้นมาเล่าให้คนอื่นๆฟังอย่างเต็มใจ เล่าให้เห็นวิธีการ เหมือนทำเรื่องเล่าเร้าพลัง เล่าโดยไม่พยายามปกป้องตนเอง คนฟังก็ต้องฟังอย่างเข้าใจ เห้นใจ ไม่ตำหนิ ไม่ว่ากล่าวโทษ ไม่หาผู้กระทำผิด แต่เป็นการเรียนรู้จากเหตุการณ์เพื่อหาสาเหตุของความผิดพลาด จะได้วางระบบเพื่อป้องกันความผิดพลาดนั้นๆ ไม่ให้คนอื่นๆผิดพลาดซ้ำอีก ในการทำคุณภาพจะมีการทำการบริหารความเสี่ยง (Risk management : RM) ก็เป็นไปตามหลักการนี้ กิจกรรมผิดเป็นครูนี้ ดีมากสำหรับการเรียนรู้ของตนเอง เพราะถ้าเราเรียนรู้แบบผิดเป็นครู ก็จะไม่เกิดสภาพที่ว่า ผิดเป็นกู(ทุกที)

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล

http://gotoknow.org/blog/practicallykm/119306

เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เผยสถานที่น่ากลัวและหลอนที่สุดในเอเชีย วัดพระศรีสรรเพชญ์ในอยุธยา ติดโผ

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า รายการ “I Wouldn’t Go In There” ของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เปิดเผย 10 สถานที่ที่หลอนและน่ากลัวที่สุดในเอเชีย ปรากฏว่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยาติดโผ ส่วนสถานที่สุดหลอนในเอเชียทั้ง 10 อันดับ ได้แก่สถานที่ต่อไปนี้

1. โรงเรียนทัตทัก ฮ่องกง มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่หลอนที่สุดในฮ่องกง โดยหลังจากโรงเรียนแห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งร้าง ก็มีผู้คนมาฆ่าตัวตาย และมีรายงานการพบเห็นผีผู้หญิงชุดแดงอยู่บ่อย ๆ คนท้องถิ่นบางคนหลีกเลี่ยงแม้กระทั่งทางที่ผ่านโรงเรียนนี้ด้วยซ้ำ เพราะโอบล้อมไปด้วยสุสาน และมีเรื่องเล่าที่หลอนมาก

2. ตึกเก่าลาวังเซวู อินโดนีเซีย อาคารโบราณในจังหวัดชวากลางแห่งนี้สร้างในยุคล่าอาณานิคม และเมื่อช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นและเมืองอินโดนีเซียมาสู้รบกันหน้าอาคารแห่งนี้ และมีการจับคนไปเป็นเชลยและทรมานจนตายในห้องใต้ดินด้วย

3. ถ้ำชิบิชิริ เมืองโอกินาวาของญี่ปุ่น ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นถูกสั่งให้พากันฆ่าตัวตาย แทนการยอมจำนนต่อกองทัพสหรัฐฯ เป็นผลให้พวกเขาก็ปลิดชีวิตกันเอง หรือบางคนก็ฆ่าตัวตายเองตามถ้ำต่าง ๆ ดังนั้น จึงพบเห็นโครงกระดูกและกะโหลกมนุษย์กันเกลื่อน

4. โรงพยาบาลคลาร์ก ฟิลิปปินส์ ที่นี่เคยเป็นโรงพยาบาลทหารของสหรัฐฯ ก่อนจะเกิดภูเขาไฟระเบิดจนกองทัพสหรัฐฯ ย้ายออกไปในปี ค.ศ. 1991 ซึ่งแน่นอนว่าในระหว่างที่โรงพยาบาลเปิดบริการ คงมีทหารหลายนายที่เสียชีวิตที่นี่ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีคนเจอดี พบเห็นวิญญาณของทหารอยู่เนือง ๆ

5. เรือนจำบากัว ไต้หวัน ตั้งอยู่บนเกาะกรีนทางตอนใต้ของไต้หวัน ปัจจุบันเป็นเกาะท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย โดยเกาะแห่งนี้ ครึ่งหนึ่งเคยเป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมือง และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่สุดหลอน หลังจากที่มีผู้พบเห็นวิญญาณของคนที่เสียชีวิตในยุคต่อต้านความโหดเหี้ยม (ค.ศ. 1949-1987)

6. บ้านผีสิงในเมืองกยองซัง เกาหลีใต้ บ้านหลังนี้มีเรื่องเล่าสุดหลอนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตายของหญิงวัยรุ่นหลังถูกแฟนหนุ่มสลัดรัก ซึ่งหลังจากเสียชีวิตวิญญาณของเธอก็ไม่ไปไหน วนเวียนอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีวิญญาณทหารที่เสียชีวิตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ศพของพวกเขาถูกฝังไว้บริเวณไม่ไกลจากบ้านหลังนี้ด้วย

7. เนินเขาผีสิง เมืองปีนัง มาเลเซีย ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามที่มีประวัติน่าสะพรึงไม่น้อย เพราะครั้งหนึ่งเคยมีการประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งด้วยการตัดหัวประจานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีเรื่องเล่าว่ามีคนเจอดีอยู่เรื่อย ๆ

8. วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดหลวงในพระราชวังโบราณ ต้นแบบของวัดพระแก้วในปัจจุบัน ถูกพม่าเผาเอาทองไปตั้งแต่สมัยเสียกรุงครั้งที่ 2 ซึ่งความโบราณที่หลายจุดกลายเป็นซากปรักหักพังนี้ ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูขลังและหลอนในสายตาของชาวต่างชาติไม่น้อย

9. ค่ายกักกันนักโทษฟูบิน เวียดนาม เป็นค่ายกักกันที่สร้างโดยกองทัพฝรั่งเศสและสหรัฐฯ เพื่อใช้สำหรับคุมขังและทรมานนักโทษเวียดนาม นอกจากนี้ยังเป็นที่ทรมานเชลยศึกเวียดกงด้วย

10. หอแห่งความเงียบ เมืองดิอู อินเดีย หรือที่เรียกกันว่า ดั๊กมา เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นสำหรับนำศพไปทิ้งเพื่อให้อีแร้งมาจิกทึ้งกินศพ น่าสยดสยองแบบนี้ก็เลยทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สุดหลอนในเอเชียอย่างไม่ต้องสงสัย

ที่มา : National Geographic

ร้านขายของฝากที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 ใครมาภูเก็ตก็ต้องแวะร้านคุณแม่จู้ ร้านนี้มีอะไรดีถึงอยู่มานานกว่า 70 ปี คุณแม่จู้คือใคร ของฝากอะไรที่น่าซื้อติดมือกลับบ้านบ้าง มาดูกันครับ

fb-share

คุณแม่หงวดจู้ สันติกุล เป็นผู้ริเริ่มทำแกงไตปลาและน้ำพริกกุ้งเสียบจนเป็นที่รู้จักของชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวมากกว่า 70 ปี จากร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองเล็กๆ ได้ขยายมาเป็นร้านค้ากว้างขวางขึ้น สะดวกสบาย และด้วยมาตรฐานความอร่อย เป็นที่ยอมรับทั่วไปจนได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย และเราได้รับการคัดสรรเป็น สุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ดีเด่นระดับ 5 ดาว ณ วันนี้ ทายาทรุ่นลูก – รุ่นหลาน ของคุณแม่จู้ ได้ร่วมกันพัฒนาสินค้ามากมายมาโดยตลอด ภายใต้ชื่อของการค้าว่า “คุณแม่จู้” เท่านั้น

ด้านบนนี้คือประวัติโดยย่อที่อยู่ในโบร์ชัวร์ของร้าน ปัจจุบันร้านคุณแม่จู้มีสองสาขา คือที่ อ.ถลาง ซึ่งอยู่ใกล้สนามบินเพียง 10 นาที และที่หมู่บ้านสะปำ โดยสาขาที่ผมแวะไปคือสาขา อ.ถลาง ซึ่งเป็นร้านติดแอร์ ตกแต่งหรูหราสไตล์จีนๆ

ที่มา : มาโครอาร์ต ดอท เน็ท

วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดหลักสูตรนานาชาติ ด้านการจัดการสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อต้อนรับการเปิดประชาคมอาเซียน สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่จะผลักดันประเทศไทย ให้เป็น “Medical Hub” โดยจะเปิดเรียนในเดือนกันยายนนี้เป็นรุ่นแรก

ผู้บริหารสถานพยาบาล แพทย์ และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจการเปิดหลักสูตร “การจัดการมหาบัณฑิต(หลักสูตรนานาชาติ) สาขาวิชาการจัดการสุขภาพแบบองค์รวม” ของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

นี่ถือเป็นหลักสูตรใหม่ที่มุ่งเน้นให้นักศึกษา มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการธุรกิจสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2555 กว่าร้อยละ 10 หรือประมาณ 2 ล้าน 5 แสนคน มีเป้าหมายเข้ามาเพื่อรักษาโรค ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง

รวมทั้งยังเป็นการต้อนรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2555 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในตลาดอาเซียนกว่า 4 พัน 5 ร้อยล้านบาท และคาดการณ์ว่า จะมีรายได้เพิ่มขึ้นหลังเปิดเออีซี เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพในอาเซียน หรือ “Medical Hub”

นอกจากความรู้จากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรนี้ยังสร้างความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อให้นักศึกษามีความพร้อมรับมือกับปัญหา และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสถานการณ์จริง

หลักสูตร “การจัดการมหาบัณฑิต(หลักสูตรนานาชาติ) สาขาวิชาการจัดการสุขภาพแบบองค์รวม” จะเปิดภาคเรียนในเดือนกันยายนนี้ โดยเปิดรับสมัครนักศึกษารุ่นแรก จำนวน 30 คน ระยะเวลาเรียน 18 เดือน มีค่าใช้จ่ายทั้งหลักสูตรประมาณ 4 แสนบาท ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา : Voice TV

ชมรม’Kelab’จัดงานกระชับสัมพันธ์AEC
ชมรม Kelab มาเลเซีย ประเทศไทย จัดงานกระชับสัมพันธ์ AEC 9 พ.ย. นี้ ตื่นตัวรับอาเซียน จัดงานกระชับสัมพันธ์ประเทศสมาชิก ตอกย้ำความร่วมมือด้านธุรกิจ สังคม การเมือง
นายแอนดรู นานัง ประธานชมรม Kelab มาเลเซีย ประเทศไทย (Kelab Malaysia of Thailand:KMT) เปิดเผยว่า ชมรม Kelab มาเลเซีย ประเทศไทย เตรียมจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ (ASEAN Dinner Nite) ขึ้นในวันที่ 9 พ.ย.นี้ ที่โรงแรมแชงกรี ล่า กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ใน 3 เสาหลัก คือ ด้านสังคม เศรษฐกิจและ การเมือง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี2558 ภายใต้สโลแกน “มิตรภาพไร้พรมแดน” (Togetherness Beyond Borders) โดยมีหลายภาคส่วนเข้าร่วม อาทิ เอกอัคราชทูตของประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทย นักธุรกิจที่ทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในเมืองไทย
นอกจากนี้ การจัดงานดังกล่าวยังเป็นการรวมตัวของอาเซียนคลับ ประเทศไทย (ASEAN Club Thailand) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารของประชาชนของประเทศสมาชิก ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศสมาชิก เพื่อเป็นจุดหมายการค้าการลงทุนของนักธุรกิจจากทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม รายได้จากงานนี้ส่วนหนึ่งจะมอบให้แก่มูลนิธิซายมูฟเม้น (ZY Movement Foundation: ZMF) ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวและครอบครัว นำเงินไปช่วยเหลือและพัฒนาเด็กที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและวางแผนที่จะขยายไปสู่ประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งมีเด็กที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวกว่า 10 ล้านคน ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้ามาร่วมงานกว่า 500 คนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ที่มา : คม ชัด ลึก

อนาคตเศรษฐกิจไทยภายใต้ประชาคมอาเซียน

ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และคุณสราญภัทร อนุมัติราชกิจ ผู้อำนวยการกองอาเซียน สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดนิทรรศการในส่วนของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community: ASCC) ซึ่งมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานประสานงานหลัก (Focal Point) ของประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนเมื่อเร็วๆนี้

ที่มา : ไทยโพส ดอท เน็ท

กรุงเทพฯ–8 พ.ย.–อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น
สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย จัดงาน MARKETING DAY 2013 ในหัวข้อ THE “ FOMO” MARKETING ERA เชิญชวนนักการตลาดศึกษาพฤติกรรมและแนวทางการทำการตลาดกับกลุ่มคน Generation Y-Z พบกับ งานวิจัยเรื่องพฤติกรรมของ Gen-Y-Z อัพเดทพฤติกรรมใหม่ของวัยรุ่นที่เรียกว่า FOMO รวมทั้งศึกษาเรื่อง การทำตลาดบนโทรศัพท์มือถือ แนวโน้มในการทำตลาดของธนาคารและ เครดิตคาร์ด การทำธุรกิจผ่านสื่อออนไลน์ และเตรียมรับและปรับตัวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค และเทคโนโลยีต่างๆ พิเศษกับ The FOMO SHOWCASE ที่จะมาถ่ายทอดที่มาแห่งความสำเร็จของผลงานยอดนิยมแห่งปี เรื่องพี่มากพระโขนง, ซีรีส์เรื่อง ฮอร์โมน, ซีรีส์ เรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ โดย กูรูที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์ อาทิ คุณดั่งใจถวิล อนันตชัย, คุณปรัธนา ลีลพนัง, คุณชัยยศ จิรบวรกุล, คุณรัชดา เสริมศิลปะกุลคุณสุภี พงษ์พาณิช, คุณชาติชาย พยุหนาวีชัย, คุณสมรักษ์ ณรงค์วิชีย, คุณจีน่า โอสถศิลป์, ในวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2556 เวลา 08.00 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ข่าวทั่วไป ThaiPR.net — ศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 15:29:39 น.

160454

ได้ยินอย่างนี้สาว ๆ หลายคนคงทำตาลุกวาวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อได้ทราบว่า การกินช็อกโกแลต สามารถช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีในแสงแดดได้ โดยนี่เป็นผลจากการทดลองของคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยดัสเซสดอล์ฟ ประเทศเยอรมนี แต่อย่างไรก็ตามสาว ๆ อย่าเพิ่งเลิกทาครีมกันแดดแล้วหันไปกินช็อกโกแลตกันเสียหมดนะคะ เพราะการวิจัยครั้งนี้ได้ทำการทดสอบกับอาสาสมัครหญิงเพียง 24 รายเท่านั้น และยังไม่ได้รับการยืนยันถึงประสิทธิภาพของการกันแดดจากช็อกโกแลตอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นสัญญาณอันดีว่าเจ้าช็อกโกแลตที่สาว ๆ ชอบ ก็พอจะมีประโยชน์แก่ร่างกายอยู่บ้างแน่นอนค่ะ (จะได้ไม่รู้สึกผิดมากนักยามเอร็ดอร่อยกับช็อกโกแลตแท่งโปรดไงคะ)

สารสำคัญที่เป็นหัวใจของคุณสมบัติที่ทำให้ผิวแข็งแรง ต้านทานรังสียูวีในแสงแดดได้ดีขึ้นนั้นมีชื่อว่า “ฟลาโวนอยด์” ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในช็อกโกแลตนั่นเอง จากการทดลองพบว่า ผิวของหญิงที่ดื่มโกโก้ที่มีปริมาณของสารฟลาโวนอยด์สูง สามารถต่อต้านรังสียูวีในแสงแดดได้นานกว่าปกติ ทั้งยังมีผิวที่ดูเรียบ และชุ่มชื่นกว่า เรียกง่าย ๆ ว่าดูสุขภาพดีกว่า เมื่อเทียบกับผิวของหญิงรายอื่น ๆ ที่ไม่ได้ดื่มโกโก้นั่นเอง

นอกจากนี้สารฟลาโวนอยด์ ยังมีบทบาทในการกระตุ้นการทำงานของกรดแอสคอร์บิคหรือวิตามินซี ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังเส้นเลือด ทั้งยังทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย ยามเมื่อได้กินช็อกโกแลต หรือจิบโกโก้แก้วโปรดด้วยล่ะค่ะ

เอาล่ะ ทีนี้สาว ๆ ก็ลองหันมากินช็อกโกแลตเป็นของว่างแบบเบา ๆ ดูได้นะคะ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แถมยังแอบได้ประโยชน์ให้ผิวแข็งแรงต้านแดดได้ดีกว่าเดิมด้วยล อ้อ! แต่อย่าลืมเลือกกินแบบที่เป็นดาร์กช็อกโกแลต รวมทั้งควบคุมปริมาณการกินต่อวันด้วยนะคะ

เอสซีจี เคมิคอลส์ มั่นใจก้าวเป็นธุรกิจปิโตรเคมีรายแรกที่เติบโตครอบคลุมทุกประเทศในอาเซียน หลังเปิดเออีซี ผนึกไทย เวียดนาม อินโดฯ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขันสร้างเครือข่ายใหญ่สุดในอาเซียนภายในปี 2561 พร้อมลงทุนด้านวิจัย 2,000 ล้านบาทต่อปี ดันยอดขายโต 5-10% ต่อปี ภายใน 5 ปีนี้
นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ เปิดเผยว่า เอสซีจียืนยันจะเป็นกลุ่มแรกที่ขยายการลงทุนด้านปิโตรเคมีครอบคลุมเกือบทุกประเทศในอาเซียน ภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยจะใช้กลยุทธ์หลัก 2 ด้าน ได้แก่ 1.การสร้างเครือข่ายปิโตรเคมีครบวงจร โดยเชื่อมโยงการบริหารธุรกิจของโรงงานของเอสซีจีที่อยู่ในไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนด้านการจัดหาวัตถุดิบ การผลิตวัตถุดิบที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจปิโตรเคมีในอาเซียน โดยยืนยันว่าฐานธุรกิจหลักด้านปิโตรเคมีของเอสซีจียังอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทั้งนี้มั่นใจว่าจะทำให้กลุ่มเอสซีจีเคมิคอลส์จะเป็นธุรกิจปิโครเคมีที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใน 5 ปี หรือภายใน พ.ศ.2561
และกลยุทธ์ 2.การพัฒนาสินค้าให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ด้วยการเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยภายในปี 2561 จะใช้งบด้านการวิจัยและพัฒนาประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาธุรกิจพลาสติกหลัก โดยเฉพาะพลาสติกชนิดเอชวีเอ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายอยู่ 4 หมื่นล้านบาท จากยอดขายรวมทั้งหมด 2.1 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายให้ยอดขายเพิ่มเป็น 60% ของยอดขายรวมต่อไป และจะทำให้กลุ่มธุรกิจปิโตรของเอสซีจีเติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 5-10% ภายใน 5 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่เอสซีจีมุ่งพัฒนา แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.สินค้าพลาสติกประเภทเอชวีเอ ซึ่งเป็นสินค้า อาทิ พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ท่อสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและสาธารณูปโภค พลาสติกที่ใช้ในวงการแพทย์และสาธารณสุข 2.สินค้าเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคลือบเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับเตาเผา และสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากน้ำมันอ้อย เช่น ท่อพีวีซี เป็นต้น.

ที่มา : ไทยโพส ดอท เน็ท

นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Edinburgh ที่ประเทศสก็อตแลนด์ พบว่าความรู้สองภาษาสามารถช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้ แม้ว่าคนจะเริ่มเรียนภาษาที่สองเมื่อตอนโตแล้วก็ตาม

การวิจัยชิ้นนี้มาจากประเทศอินเดีย โดยศึกษากลุ่มตัวอย่างเกือบ 650 คน ที่มีอายุเฉลี่ย 66 ปี ในจำนวนนี้มีผู้เป็นโรคอัลไซเมอร์ 240 คน นอกจากนั้น 391 คนพูดได้สองภาษาเป็นอย่างน้อย

ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่รู้สองภาษามีอาการเริ่มต้นโรคอัลไซเมอร์ช้ากว่าคนรู้ภาษาเดียวประมาณสี่ปีครึ่ง อย่างไรก็ตามผู้ที่รู้ภาษาที่สามหรือมากกว่านั้นไม่ได้เปรียบคนที่พูดได้สองภาษาในการศึกษาครั้งนี้

นักวิจัยพบว่าระดับการศึกษาไม่เกี่ยวข้องกับผลที่นักวิจัยต้องการศึกษา นอกจากนั้นเด็กที่โตมาพร้อมกับการเรียนสองภาษาไม่ได้เปรียบผู้ที่เรียนรู้อีกภาษาในภายหลัง ในเรื่องการชะลออาการเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์

รายงานชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Neurology

 : ทางด้าน อ็อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ ได้ทำการวิจัยออกมาแล้วพบว่า ลิโอเนล เมสซี่ มีความสามารถที่เหนือกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อย่างแน่นอนเพราะถนัดเท้าซ้าย

ล่าสุดได้มีการเปิดเผยข้อมูลการวิจัยขึ้นหลังจากทาง อ็อกซ์ฟอร์ด ได้ร่วมมือกับทั้ง เซนต์ แอนดรูวส์ และ บริสตอล รวมทั้งสถาบันอีกหลายแห่งจากออสเตรเลีย เพื่อทำการวิจัยความสามารถของนักฟุตบอลที่ถนัดเท้าข้างซ้าย

ซึ่งผลปรากฎว่านักฟุตบอลกลุ่มนี้จะมีความสามารถที่เหนือกว่านักฟุตบอลที่ถนัดเท้าข้างขวา เนื่องจากผู้ที่ถนัดเท้าซ้ายจะมีการทำงานของสมองมากกว่า ทำให้ยากต่อการคาดเดาจิตใจรวมทั้งมักทำสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามคาดไม่ถึง

ซึ่งผู้เล่นชื่อดังที่ถนัดซ้ายก็ประกอบไปด้วย ลิโอเนล เมสซี่, ดาบิด ซิลบา, แกเร็ธ เบล, ดีเอโก้ มาราโดน่า, และ ไรอัน กิ๊กส์ เป็นต้น

นอกจากนี้บรรดาทีมงานแมวมองทั้งหลายต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันด้วยว่าการพิจารณาฝีเท้าของบรรดาผู้เล่นดาวรุ่งที่ตนตามดูฟอร์มนั้นจะนำการถนัดเท้าซ้ายเข้าไปพิจารณาอีกด้วย เพราะส่วนใหญ่เด็กที่ถนัดเท้าซ้ายมักจะทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาออกมาได้มากกว่า

ดังนั้นผู้เล่นที่ถนัดเท้าซ้ายจึงสามารถสร้างสรรค์เกมได้มากกว่า สามารถคิดค้นเทคนิคใหม่ๆออกมาได้เอง หรือแม้กระทั่งการทำประตูจากโอกาสเพียงเสี้ยววินาที จากการวิจัยนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่า เมสซี่ เหนือกว่าคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แน่นอน

 

ที่มา : Sanook Football

นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สสว.เดินหน้าพัฒนาระบบเตือนภัย SMEs มุ่งให้ครอบคลุมงบการเงินนิติบุคคลกว่า 3 แสนรายใน 961 หมวดธุรกิจ พร้อมจัดทำอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ และพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ระบบเตือนภัยธุรกิจ (BWS) เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลทันสมัย เพื่อสร้างประโยชน์แก่ SMEs และหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน

นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ได้ดำเนินโครงการจัดทำอัตราส่วนทางการเงินของ SMEs พร้อมพัฒนาปรับปรุงระบบเตือนภัยธุรกิจ ในชื่อเว็บไซต์ “ระบบเตือนภัยธุรกิจ” (Business Warning System : BWS) มาตั้งแต่ปี 2553 และมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ทันสมัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SMEs อย่างแท้จริง

โดยในปี 2556 นี้นับเป็นการพัฒนาปรับปรุงฐานข้อมูลปีที่ 3 ซึ่ง สสว.ได้ร่วมกับสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ดำเนินการปรับปรุงข้อมูลระบบเตือนภัยธุรกิจ และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1. ข้อมูลงบการเงิน พ.ศ. 2553 และ 2554 ของนิติบุคคล จำนวนไม่ต่ำกว่า 300,000 ราย ครอบคลุมหมวดธุรกิจจำนวน 961 หมวดธุรกิจ 2. จัดทำอัตราส่วนทางการเงินของนิติบุคคล พ.ศ. 2553 และ 2554 แยกตามหมวดธุรกิจ เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญจำนวน 24 อัตราส่วนทางการเงิน และทำการวิเคราะห์-สังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการใช้งาน และ 3. พัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ระบบเตือนภัยธุรกิจ Business Warning System หรือ BWS เพื่อแสดงผลอัตราส่วนทางการเงิน ผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอัตราส่วนทางการเงิน พ.ศ. 2553 และ 2554 ให้บุคคลและองค์กรต่างๆ เข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้โดยสะดวก

สำหรับโครงการจัดทำอัตราส่วนทางการเงินของ SMEs พร้อมพัฒนาปรับปรุงระบบเตือนภัยธุรกิจได้เริ่มดำเนินการเป็นครั้งแรกในปี 2553 โดยร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดทำข้อมูลและรายงานการวิเคราะห์ รายงานสถานการณ์ต่างๆ ของ SMEs เริ่มจากการนำข้อมูลด้านการเงินของสถานประกอบการจำนวน 2,500 กิจการมากลั่นกรองและจัดทำระบบเตือนภัยธุรกิจ ผ่านการแสดงผลในรูปแบบของสัดส่วนทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาศักยภาพ หรือสมรรถภาพในการดำเนินธุรกิจ หรือเรียกว่าระบบดัชนีสมรรถนะธุรกิจ (Business Performance Index : BPI) จัดทำรายงานเชิงลึก 3 สาขา ได้แก่ สาขาการผลิตยางแผ่นและยางแท่ง สาขาการผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค และสาขาธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และห้องชุด

ในปี 2554 ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมปรับปรุงและพัฒนาระบบเตือนภัยธุรกิจ โดยสำรวจข้อมูลด้านการเงินปี 2552 และ 2553 จากผู้ประกอบการจำนวน 1,500 กิจการ รวมถึงจัดทำรายงานวิเคราะห์เชิงลึกในสาขาผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ และสาขาผู้ผลิตแม่พิมพ์ นอกจากนี้ได้เพิ่มระบบเหมืองข้อมูล หรือ Data Mining : DM ซึ่งสามารถแสดงผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ BPI สำหรับ 3 สาขาธุรกิจ โดยมีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ 3 หัวข้อ ได้แก่ ด้านพลังงาน ด้านแรงงาน และประสิทธิภาพเครื่องจักร

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลให้ทันสมัย เพื่อให้ผู้ประกอบการใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาศักยภาพหรือสมรรถภาพในการดำเนินธุรกิจ การบริหารจัดการ การตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงองค์กรของตนเอง และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย/แผนงานในการส่งเสริม สนับสนุน SMEs ให้เป็นกำลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยผู้สนใจสามารถใช้บริการระบบเตือนภัยธุรกิจของ สสว.ได้ที่ www.sme.go.th/bws

นอกจากนี้ ภายใต้การดำเนินโครงการดังกล่าวได้จัดให้มีงานสัมมนา “SMEs ไม่หลงทางด้วย BWS” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม SMEs ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเข็มทิศสำหรับการทำธุรกิจ การวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจต่างๆ เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์จากไม้ โรงแรม-ที่พัก บริการขนส่ง ธุรกิจก่อสร้าง ฯลฯ รวมถึงการใช้งานระบบ Business Warning System ด้วยตัวเอง และระบบ Web Matching System เชื่อมโยงธุรกิจประเทศญี่ปุ่น

โดยกำหนดจะจัดใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคใต้ จ.สงขลา วันที่ 8 พ.ย. 2556 ณ โรงแรมหาดใหญ่ พาราไดซ์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ วันที่ 13 พ.ย. 2556 ณ โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น วันที่ 22 พ.ย. 2556 ณ โรงแรมบุษราคัม และภาคกลาง กรุงเทพมหานคร วันที่ 29 พ.ย. 2556 ณ ห้อง Lotus LL Floor โรงแรม Lotus Sukhumvit Bangkok ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม SMEs เข้าใจวิธีการใช้งานและนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ – SMEs

 

images

มีปลั๊กอินดีๆ มาแนะนำครับ ปลั๊กอินบางตัวผมก็ใช้งานอยู่บนเว็บ Blog ส่วนปลั๊กอินบางตัวก็เหมาะกับการทำ SEO

1. TinyMCE Advanced
เพิ่มฟีเจอร์ในการเขียน content
http://wordpress.org/plugins/tinymce-advanced/

2. PP Auto Thai URL
ปลั๊กอินที่จะเปลี่ยน url ภาษาไทยให้ยาว (ไม่ถูกตัดสั้นจนกุด) ช่วยให้ SEO ดีขึ้นด้วยครับ
http://wordpress.org/support/view/plugin-reviews/pp-thai-url

3. Advanced Custom Fields
เพิ่มฟิวด์ตามความต้องการ
http://wordpress.org/plugins/advanced-custom-fields/

4. Advanced Custom Fields และ Location Field add-on
กำหนดฟิลด์ให้ทำงานร่วมกับแผนที่ Google map เช่น การทำแผนที่ที่ตั้งของสาขาต่างๆ
http://www.advancedcustomfields.com/add-ons/google-maps/

5. Captcha
แคปช่าง่ายๆ รูปแบบตัวเลข บวก ลบ คูณ หาร เช่น 2+6 = ?
http://bestwebsoft.com/plugin/captcha-plugin/

6. Facebook Like Button
ใส่ปุ่ม Facebook Like ให้กับเว็บ
http://bestwebsoft.com/plugin/facebook-like-button-plugin/

7. Advanced Custom Fields – Location Field add-on
http://www.advancedcustomfields.com/add-ons/google-maps/

8. Relevanssi
เปลี่ยนการค้นหาแบบเดิมๆ โดยการค้นหาบางส่วนของเนื้อหาที่ตรงกับคำค้นหา ของเนื้อหาทุกประเภทและทำดัชนีการค้นหา สามารถกำหนดการให้น้ำหนักความสำคัญได้ เช่น หัวข้อเนื้อหา, คอมเม้นท์ เป็นต้น (ยังไม่รอรับการค้นสำหรับเว็บ 2 ภาษา [TH/EN] เช่น หน้าเว็บเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าค้นหาด้วยข้อความภาษาไทย จะไม่พบผลลัพธ์) มีฟีเจอร์สำหรับใช้งานร่วมกับ WPML Limit results to current language:[] If this option is checked, Relevanssi will only return results in the current active language. Otherwise results will include posts in every language.
http://wordpress.org/plugins/relevanssi/
http://www.relevanssi.com/download/

9. WPML Multilingual CMS และ WPML String Translation
มีทั้งแบบจ่ายตังค์ (Subscription) และฟรี (Non-Profits) สำหรับเว็บไซต์ที่ไม่หวังผลกำไร สมัครสมาชิกใช้ปลั๊กอินฟรีแต่มีข้อแม้ว่าต้องให้ credit กับ WPML ที่ footer
http://wpml.org/
http://wpml.org/purchase/non-profits/

10. AdRotate
จัดการ ads ลงโฆษณาง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นดูยอดผู้เยี่ยมชม, จำนวนคลิกแบนเนอร์
http://www.adrotateplugin.com/

11. WordPress SEO Plugin
เป็นปลั๊กอินสำหรับทำ SEO เพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ ฟีเจอร์ต่างๆ
http://yoast.com/wordpress/seo/

หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะครับ :-

2238969281_b75876fbc3

นโยบายด้านเทคโนโลยีของบารัค โอบามาที่ปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ Change.gov (เว็บไซต์สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่านการรับตำแหน่ง) นั้นชัดเจนว่า โอบามาต้องการสร้างนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตของอเมริกา เป็นทางเลือกในระยะยาวเพียงอย่างเดียวเพื่อผ่านพ้นวิกฤตทางตันของระบอบทุนนิยมที่กำลังเริ่มต้นอยู่ในขณะนี้ จากการศึกษาของประเทศอังกฤษโดยบริษัท PriceWaterhouseCoopers พบว่างบประมาณทุก 1 ปอนด์ที่รัฐบาลลงทุนในการศึกษาด้านเทคโนโลยี จะเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจเป็นมูลค่า 2.05 ปอนด์ โดยมีอัตราการคืนทุน 3 ปี ((ข้อมูลจาก BusinessWeek))

แกนกลางสำคัญในแผนด้านเทคโนโลยีของโอบามา คือ การปรับปรุงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนในสหรัฐอย่างเร่งด่วน ทั้งจ้างครูสายวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม อุดหนุนทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ปรับปรุงวิธีการสอบวัดผลให้เหมาะสำหรับวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ สนับสนุนให้แรงงานในอุตสาหกรรมพัฒนาทักษะการทำงานตัวเองให้ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่น่าสนใจในแผนการนี้คือการประกาศว่าจะตั้งประธานฝ่ายเทคโนโลยี (CTO – Chief Technology Officer) ของประเทศเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อมาคุมงานด้านวิทยาศาสตร์โดยตรง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของโอบามา และความคาดหวังของเขาว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะช่วยแก้ปัญหาในระยะยาวให้กับเขาได้

ผู้บริหารระดับสูงชื่อดังหลายคนของบริษัทไฮเทคต่างๆ ในซิลิคอน วัลเลย์ ถูกมองว่าเป็นตัวเก็งสำหรับตำแหน่งนี้ ไม่เว้นแม้แต่บิล เกตส์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟท์ อย่างไรก็ตาม ตัวเก็งอันดับหนึ่งคือ เอริค ชมิดต์ (Eric Schmidt) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกูเกิล และผู้สนับสนุนคนสำคัญของโอบามาระหว่างการหาเสียงได้ออกมาปฏิเสธตำแหน่งนี้แล้ว โดยให้เหตุผลว่าเขายังอยากทำงานในภาคเอกชนอยู่

ในแผนการของโอบามานั้นกล่าวถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในภาพรวม ระบุถึงตัวเทคโนโลยีโดยเฉพาะน้อยมาก อย่างไรก็ตามในแผนฉบับนี้ได้เอ่ยชื่อเทคโนโลยีที่อเมริกาต้องลงทุนอย่างเร่งด่วนในระยะเวลาสิบปีข้างหน้า 3 ชนิด คือ พลังงานทดแทน, ชีวการแพทย์ (biomedical) และสเต็มเซลล์ ซึ่งน่าจะช่วยให้เราเข้าใจทิศทางคร่าวๆ ที่วงการเทคโนโลยีของอเมริกาจะมุ่งไป ได้การนำของรัฐบาลโอบามาได้

สิ่งที่ไม่ถูกกล่าวถึงในนโยบายด้านเทคโนโลยีฉบับนี้ แต่อาจมีผลต่ออุตสาหกรรมไฮเทคของประเทศไทยก็คือนโยบายด้านเศรษฐกิจของโอบามา ที่ประกาศว่าจะดึงงานด้านซอฟต์แวร์ที่เคยเอาต์ซอร์ส (outsource) มายังประเทศต่างๆ ในเอเชีย เช่น อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน และรวมทั้งประเทศไทย กลับไปยังอเมริกาเพื่อแก้ปัญหาการปลดพนักงานของอุตสาหกรรมไอทีสหรัฐ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในประเทศไทยซึ่งส่วนหนึ่งรับงานเอาต์ซอร์สจากต่างประเทศ​ (โดยเฉพาะสหรัฐ) จึงต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ.​ 2552 ที่กำลังจะมาถึง

ภาพประกอบจาก Flickr โดย Steve Rodes
ใช้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons

นโยบายด้านเทคโนโลยีของโอบามา-ไบเดน

ต้นฉบับจาก http://change.gov/agenda/technology_agenda/

บารัค โอบามา และโจ ไบเดน ((รองประธานาธิบดี)) นั้นมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีพลังอานุภาพเพียงใดใน การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนอเมริกัน พวกเขาจะส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเสรีบนอินเทอร์เน็ต นำเทคโนโลยีช่วยสร้างประชาธิปไตยที่โปร่งใสและเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมมาก ขึ้น ส่งเสริมการสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมที่ทันสมัยเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ แข่งขันของสหรัฐอเมริกา และใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการแก้ปัญหาร้ายแรงที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ เช่น พลังงานสะอาด, ค่าใช้จ่ายด้านประกันสุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชน เป็นต้น

ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี ผ่านอินเทอร์เน็ตเสรีและสื่ออื่นๆ

ธำรงความเปิดกว้างของอินเทอร์เน็ต: สนับสนุนหลักการความเท่าเทียมของการส่งข้อมูลบนเครือข่าย (network neutrality) ((หลักการ network neutrality นั้นกำลังเป็นที่ถกเถียงในสหรัฐอเมริกา เพราะบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องการจัดความสำคัญของชนิดการเชื่อมต่อบนอินเทอร์เน็ต เช่น การส่งข้อมูลแบบพิเศษที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม จะมีความสำคัญสูงกว่าการส่งข้อมูลแบบปกติ ซึ่งฝ่ายที่คัดค้านมองว่าเป็นการสร้างความไม่เท่าเทียมกันของการส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต)) เพื่อรักษาข้อดีของอินเทอร์เน็ตเสรีเอาไว้
ส่งเสริมการแข่งขันของวงการสื่อ: สนับสนุนให้เจ้าของสื่อกระจายเสียงไม่กระจุกตัวเฉพาะแค่ในกลุ่มทุนบางกลุ่ม ส่งเสริมการพัฒนาสื่อใหม่ๆ เพื่อเป็นเวทีสำหรับความคิดเห็นที่หลากหลาย และแยกแยะภารกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมให้เจ้าของสื่อกระจายเสียงที่ครอบ ครองความถี่อยู่แล้วทราบอย่างชัดเจน
ปกป้องเด็กและเยาวชน ไปพร้อมกับการรักษาสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ: มอบเครื่องมือและคำแนะนำให้กับบรรดาผู้ปกครอง เพื่อใช้ปกป้องภัยร้ายที่ลูกหลานของพวกเขาจะได้รับจากทีวีและอินเทอร์เน็ต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีตาม ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขครั้งแรก ((รู้จักกันในชื่อ First Amendment)) เพิ่มบทลงโทษที่รุนแรง บังคับให้กฎหมายให้เคร่งครัดมากขึ้น และส่งเสริมความร่วมมือระว่างภาคเอกชนและภาครัฐผู้บังคับใช้กฎหมาย เพื่อแยกแยะและจัดการกับผู้ประสงค์ร้ายต่อเด็กๆ ของเราโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ
ปกป้องความเป็นส่วนตัว: เพิ่มระดับการป้องกันข้อมูลส่วนตัวในยุคดิจิทัล และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการละเมิดความเป็นส่วนตัวทั้งจากภาค รัฐและภาคธุรกิจ
สร้างประชาธิปไตยที่โปร่งใสและมีส่วนร่วมของประชาชน

ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงรัฐบาลได้มากขึ้น: โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยสร้างความโปร่งใสของรัฐบาลที่ตรวจสอบได้ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนอเมริกาต่อการทำงานของรัฐบาล
เตรียมรัฐบาลให้พร้อมสู่ศตวรรษที่ 21: ปฏิรูปรัฐบาลโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย พัฒนาการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างรัฐบาลกลางและประชาชน ในขณะเดียวกันต้องรักษาความมั่นคงในเครือข่ายของเรา แต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Office – CTO) ภาครัฐคนแรก เพื่อเป็นผู้ประสานงานกลางระหว่างประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) และประธานเจ้าหน้าที่สารสนเทศ (CIO) ของหน่วยงานรัฐแต่ละแห่ง เพื่อให้หน่วยงานรัฐได้ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงานมากที่สุด และเรียนรู้ข้อดีข้อเสียจากหน่วยงานแห่งอื่น
วางโครงข่ายการสื่อสารที่ทันสมัย

โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งอนาคต: นำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่แท้จริงไปยังชุมชนทุกแห่งใน อเมริกา โดยใช้วิธีปฏิรูปกองทุนพัฒนาโทรคมนาคม (Universal Service Fund) ((กองทุนที่เก็บเงินจากผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม เพื่อนำไปพัฒนาโครงข่ายด้านการสื่อสารในจุดที่ยังขาดแคลน)) ผสมกับการจัดสรรคลื่นความถี่แบบใหม่ที่มีประสิทธิผล ระบบภาษีและเงินกู้แบบใหม่ที่จูงใจ เป้าหมายคืออเมริกาในฐานะผู้นำของประเทศที่มีอัตราส่วนผู้ใช้งาน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ((ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาอยู่อันดับ 15))
พัฒนาศักยภาพในการแข่งขันของอเมริกา

ส่งเสริมธุรกิจของอเมริกันในต่างประเทศ: สนับสนุนนโยบายการค้าเสรีที่รักษาประโยชน์ของสินค้าและบริหารอเมริกันในตลาด ต่างแดน ต่อสู้เพื่อสนธิสัญญาการค้าที่เป็นธรรมสำหรับบริษัทอเมริกัน
ลงทุนในวิทยาศาสตร์: เพิ่มงบประมาณภาครัฐด้านการวิจัยทั่วไปเป็น 2 เท่าภายในเวลา 10 ปี เปลี่ยนทัศนคติของรัฐบาลกลางให้มาลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น
ลงทุนในการวิจัยระดับมหาวิทยาลัย: ขยายขอบเขตการวิจัยของมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษา สร้างแหล่งทุนใหม่ๆ สำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่ที่โดดเด่นภายในประเทศ
นำนโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับการวิจัยมาใช้อย่างถาวร: ลงทุนในการวิจัยที่เชี่ยวชาญ การพัฒนาบุคคลากร และโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี นำนโยบายการลดหย่อนภาษีสำหรับการวิจัยมาใช้อย่างถาวร เพื่อให้บริษัทภาคเอกชนสามารถวางแผนการลงทุนวิจัยในเทคโนโลยีระยะยาวได้ง่าย ขึ้น
ธำรงไว้ซึ่งตลาดเสรี: ส่งเสริมภาคธุรกิจและกฎระเบียบเพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถอยู่ได้ ผู้ที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเองสามารถทำได้ง่าย และองค์กรขนาดใหญ่สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันผู้ออกกฎระเบียบและผู้บริโภคทั่วไปต้องได้รับการคุ้มครองจาก ภาคเอกชนที่ละเมิดกฎ ทบทวนสภาพบังคับใช้กฎหมายผูกขาดเพื่อรักษาหลักการทุนนิยม
ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกาในต่างแดน: ทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอเมริกาจะต้องถูกปกป้องในตลาดต่างประเทศ และเน้นการทำงานร่วมกับมาตรฐานระดับนานาชาติที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้เทคโนโลยีของเราสามารถเข้าแข่งขันได้กับตลาดอื่นๆ ในโลกทุกแห่ง
ปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกาภายในประเทศ

ปรับปรุงและปฏิรูประบบลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร เพื่อความโปร่งใส-เปิดเผยของข้อมูลสาธารณะ แต่ก็ยังต้องช่วยให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญานั้นได้รับความเป็นธรรม
ปฏิรูประบบสิทธิบัตร: ตรวจสอบว่าระบบกฎหมายสิทธิบัตรของเรานั้นปกป้องสิทธิ์ของผู้คิดค้น แต่ไม่ไปทำลายความคิดสร้างสรรค์หรือความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน มอบทรัพยากรแก่สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า (Patent and Trademark Office – PTO) ให้มากขึ้น เปิดกระบวนการจดสิทธิบัตรเพื่อส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ลดความเสี่ยงจาการฟ้องร้องกันแบบไร้สาระ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ถ่วงรั้งนวัตกรรของอเมริกาอยู่
นำแนวคิดที่นิยมกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์: เผยแพร่การตัดสินใจของรัฐบาลเท่าที่ทำได้ ประเด็นที่เสนอคือการตัดสินใจของภาครัฐจะต้องอิงจากข้อมูลและหลักฐานทาง เศรษฐกิจที่รัดตัว ไม่ใช่อิงจากความเชื่อส่วนบุคคล
เตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนอเมริกันสู่ศตวรรษที่ 21

ประกาศให้การศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นวาระแห่งชาติ: รับสมัครครูที่จบการศึกษาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โดยตรง และช่วยให้ครูกลุ่มนี้เรียนรู้จากครูที่มีประสบการณ์การสอนอยู่แล้ว ส่งเสริมการเข้าถึงเนื้อหาและสื่อการสอนด้านวิทยาศาสตร์ที่มีคุณภาพในทุก ระดับชั้น
พัฒนาคุณภาพการสอบวัดความทางวิทยาศาสตร์: ทำงานร่วมกับผู้ว่าการรัฐและนักการศึกษาเพื่อปรับปรุงวิธีการสอบวัดความรู้ ให้สามารถวัดผลทักษะการคิดเชิงที่เป็นเหตุเป็นผล เช่น การอนุมานเหตุผล ตรรกะ และการวิเคราะห์ข้อมูล ไม่ใช่การสอบวัดความรู้ที่เน้นความจำ
แก้ปัญหาเด็กออกจากโรงเรียนก่อนจบการศึกษา: อุดหนุนงบประมาณให้กับเขตการศึกษาสำหรับพัฒนายุทธศาสตร์แก้ปัญหาเด็กออกจาก โรงเรียนระดับชั้นมัธยมต้น ตัวอย่างยุทธศาสตร์เหล่านี้ได้แก่ การวางแผนการศึกษาเฉพาะของนักเรียนแต่ละคน การใช้ครูสอนเป็นทีม การดึงผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วม การแนะแนว การสอนทักษะการอ่านและคณิตศาสตร์อย่างจริงจัง และการเรียนนอกเวลา เป็นต้น
สนับสนุนทุนเรียนด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดับอุดมศึกษา: สร้างฐานข้อมูลออนไลน์สำหรับว่าที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีศักยภาพ ให้เข้าถึงข้อมูลความช่วยเหลือด้านค่าเล่าเรียนที่มีอยู่ในสายงานวิจัย ทั้งจากภาครัฐ ภาคสาธารณะ และภาคเอกชน
เพิ่มจำนวนบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์: ปรับปรุงคุณภาพการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมปลาย เพื่อเตรียมนักศึกษาให้พร้อมสู่การเรียนระดับมหาวิทยาัลย เพิ่มจำนวนบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม และสนับสนุนให้บัณฑิตเหล่านี้ศึกษาต่อปริญญาโทหรือเอก เพิ่มอัตราส่วนของนักศึกษาหญิงและนักศึกษาที่มีชาติพันธุ์อื่นๆ ในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของอเมริกาให้เป็นประโยชน์สำหรับความต้องการ แรงงานมีฝีมือที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เตรียมความพร้อมผู้ใหญ่วัยทำงานให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่

การเรียนรู้ตลอดชีพ: แก้ไขกฎหมายการพัฒนาฝีมือแรงงาน และเพิ่มงบประมาณให้กับวิทยาลัยชุมชน รวมถึงโครงการการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่ เพื่อให้ประชาชนอเมริกันสามารถพัฒนาทักษะอาชีพได้ตลอดชีวิต ปรับปรุงระบบช่วยเหลือแรงงานที่โดนปลดหรือลดชั่วโมงการทำงาน ((trade adjustment assistance)) โดยเพิ่ม อุตสาหกรรมภาคบริการเข้ามาด้วย สร้างระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นเพื่อให้แรงงานสามารถเข้ามาใช้พัฒนาทักษะของตัวเองได้ตลอดเวลา
สร้างเครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน ((Safety Net)) ที่พึ่งพิงได้: ถึงแม้ว่าโอบามาและไบเดนได้เสนอนโยบายการประกันสุขภาพ ประกันสังคม และประกันการว่างงานไปแล้ว แต่ทั้งสองคนยังจะต้องพัฒนานโยบายสำหรับช่วยเหลือคนอเมริกันที่ต้องเปลี่ยนงานจากภาวะเศรษฐกิจโลก
ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาร้ายแรงที่ประเทศกำลังเผชิญ

เทคโนโลยีและการสื่อสารในศตวรรษที่ 21 ได้เปลี่ยนโครงสร้างของตลาดแรงงาน และวิธีในการติดต่อสื่อสารอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดช่วงที่มีนวัตกรรมเกิดขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเชื่อมต่อกับประชาคมโลกได้ทั่วถึง เราสามารถนำพลังของเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบการประกันสุขภาพ พัฒนาพลังงานสะอาดที่ใช้งานได้จริง พัฒนาการศึกษาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และสนับสนุนให้อเมริกาเป็นประเทศผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของโลกต่อไป

โอบามาและไบเดนจะ:

ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยลงทุนในระบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์: ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ ลงทุนปีละ 1 พันล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อพัฒนาระบบประกันสุขภาพของสหรัฐให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด รวมถึงประวัติการรักษาที่เป็นอิเล็กทรอกนิกส์ด้วย
ลงทุนในการพัฒนาพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ลงทุนปีละ 150 ล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อให้วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และผู้ประกอบการด้านพลังงานสามารถพัฒนาพลังงานชีวภาพ และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานขึ้นมาใหม่ เร่งให้การนำรถยนต์ไฮบริดมาใช้งานจริงได้เร็วขึ้น ส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนภาคเอกชน และมุ่งเป้าสู่ระบบผลิตไฟฟ้าแบบดิจิทัล ((digital electricity grid)) การลงทุนจะเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และเกิดการจ้างงานใหม่อีก 5 ล้านตำแหน่ง
ปรับปรุงโครงข่ายความปลอดภัยสาธารณะ: นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น บรอดแบนด์ และวิธีการสื่อสารแบบใหม่ๆ มาพัฒนาระบบรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้าให้รับมือได้ทันท่วงทีมากขึ้น
ลงทุนในการวิจัยด้านชีวการแพทย์ (biomedical): สนับสนุนการวิจัยด้านชีวการแพทย์ เช่นเดียวกับวิชาการแพทย์ และการสาธารณสุขอื่นๆ ลงทุนในการวิจัยด้านชีวการแพทย์ และส่งเสริมความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ และภาคีนอกภาครัฐอื่นๆ
ลงทุนในการวิจัยสเต็มเซลล์ (stem cell): สนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์ อนุญาตให้รัฐบาลกลางสามารถลงทุนด้านสเต็มเซลล์เป็นจำนวนเงินมากขึ้นได้

บทความชิ้นนี้เป็นบทย่อความจากงานแปลเรื่อง “Future Direction in Human Resource Development (HRD) Practice : Chapter II) ของ Lyle Yorks (2005) และรายงานการบรรยายของ Professor Dr. William Ball จาก Michigan University เรื่อง “Oragnizations and Management in Tommorow’s World” ซึ่งสรุปความได้ว่า

Lyle Yorks กล่าวถึง การทำนายกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์การบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD) ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดภาวะเสี่ยงทางธุรกิจ (Risky Business) ตั้งแต่เริ่มต้นศตวรรษที่ 21 การจะเข้าสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญได้นั้นคงต้องอาศัยกลยุทธ์การเรียนรู้ซึ่งนำมาจากความรู้สึกของความไม่แน่นอนจากความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคตที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพทางด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้พยายามจัดเตรียมแบบอย่างที่มีคุณค่าต่อการดำเนินงานขององค์การของเขาและสำคัญที่สุดคอยติดตามและเฝ้าดูผลการทำงานในการประกอบอาชีพของตนอย่างต่อเนื่อง
Yorks ได้อ้างถึงแนวคิดของเชอร์มัค, ลินแฮมและเราน่า (Chermack, Lynham and Ruona) ที่กล่าวถึง แนวโน้มภาวะวิกฤตและความไม่แน่นอนก่อผลกระทบต่อการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จากแนวโน้มทางสังคม เศรษฐกิจและการฝึกฝนให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบันจนเกิดเป็นศักยภาพที่ก่อผลกระทบต่อการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยอ้างถึงแนวคิดของฮอดจ์สันและชวาสซ์ (Hodson and Schwartz) ที่กล่าวว่า แนวโน้มการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอนาคตมีผลกระทบที่ไม่แน่นอนและเป็นภาวะวิกฤตที่รุนแรงเพราะว่าไม่สามารถคาดเดาไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งเชอร์มัคและคณะได้สรุปถึงความไม่แน่นอนที่อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบการดำเนินงาน 6 ประการคือ
1. การแข่งขันด้านความรู้ความชำนาญและทักษะเฉพาะด้านในระดับสูง (Competition for the Expertise Elite)
2. โลกาภิวัฒน์ (Globalization)
3. สถานที่หรือที่ทำงานในการควบคุมการดำเนินการขององค์การหรือบุคลากร (Locus of Control Qrganizational or Individual)
4. ความรู้ความสามารถด้านการตลาด (Marketability of Knowledge)
5. ยุคสมัยต่อไป (Next Age) และ
6. ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Technological Explosion)
ลำดับแรก 2 ประการสำคัญคือ ความก้าวหน้าของโลกาภิวัฒน์และการเกิดนวัตกรรมใหม่ทางด้านเทคโนโลยี เราไม่สามารถพยากรณ์หรือคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร ลำดับถัดมาคือการเข้าถึงตลาดเพราะเราไม่สามารถจำแนกหรือเข้าใจถึงความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้นได้อย่างแน่นอน ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่สำคัญ “เราไม่รู้ว่าความรู้ด้านการบริหารธุรกิจเป็นอย่างไร” (We are not in the Knowledge Management Business)”
ส่วนผลกระทบลำดับสุดท้าย 3 ประการ กล่าวคือ ในยุคสมัยต่อไปความรู้ความสามารถแบบเดิมจะล้าสมัย พฤติกรรมองค์การจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ มีความเป็นร่วมสมัยและคนที่มีคุณภาพขององค์การจะมีลักษณะเชาวน์ปัญญาดี รู้จักการปรับตัวและมีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว องค์การจะมีการปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงตามกลยุทธ์ด้านโอกาสและเงื่อนไขทางด้านธุรกิจ การจัดเตรียมคนจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและขยายขอบเขตให้กว้างขวางออกไปเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือบ้านซึ่งจะเป็นแหล่งเรียนรู้และการประกอบธุรกิจที่สำคัญที่ทำให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับรากฐานทางสังคมกับความเข้าใจเรื่อง “ระบบเศรษฐกิจใหม่” ที่มิใช่เฉพาะความต้องการด้านผลกำไรเหมือนอดีตเพียงเท่านั้น แต่การดำรงอยู่ในระบบอย่างยาวนานและยั่งยืนก็คือความสามารถในการปรับตัวให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งอาจจะเรียกให้เหมาะสมที่สุดก็คือ “ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารสนเทศ (Information Age)” หรือ “ยุคแห่งความรู้ (Knowledge Age)” และที่สุดสถานที่สำหรับการประกอบธุรกิจไม่จำเป็นต้องอาศัยสถานที่ที่ใหญ่โตและมีพนักงานจำนวนมากเหมือนในอดีต นักธุรกิจจะอยู่พื้นที่ใดของโลกก็ได้ขอให้มีเพียงโทรศัพท์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ทได้ ซึ่งมีลักษณะเป็น E – Commerce ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานร่วมกันในทุกระดับได้ด้วย นอกจากนี้การระดมความคิดเห็นใช้การประชุมแบบเสมือนจริงที่ผู้เข้าร่วมประชุมอยู่กันคนละสถานที่แต่สามารถร่วมประชุมกันได้โดยอาศัยอุปกรณ์โทรคมนาคม เช่น โทรทัศน์วงจรปิด (Virtual Teleconferences) ฯลฯ หรือจากเครือข่ายพื้นฐานจากห้องคุยกัน (Web – base Chat Rooms) โดยอาศัยความเชื่อมั่นในการคัดเลือกเครือข่ายที่มีมาตรฐาน
การลดขนาดองค์การและการจัดการให้มีขนาดเล็กลง (Authoritarian Control and Micromanagement) จากกระบวนการที่เรียกว่า Down Sizing เป็นการลดขนาดองค์กรให้เล็กลง ย่นเส้นทางการบังคับบัญชาให้สั้นและรวดเร็วแต่มีประสิทธิภาพประเภท “จิ๋วแต่แจ๋ว”
และได้นำเสนอความคิดของเบนสัน, จอห์นสันและคูชิงเก้ (Benson, Johnson and Kuchinke) จำแนกการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็น 3 ลักษณะที่มีผลกระทบต่อการเป็นเจ้าของกิจการในยุคที่เปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งประกอบด้วย
1. ขอบเขตการวิเคราะห์ความต้องการและการออกแบบโปรแกรม (The Scope of needs Analysis and the Design of Programs)
2. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกอบรมหรือผู้ให้การศึกษากับผู้เรียนในกระบวนการเรียนรู้ (The Relationship between Trainers/Educator and Learners in the Learning Process)
3. โอกาสในการปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ (Enhanced opportunities for Informal Learning)
ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ประเมินการออกแบบโปรแกรมการเรียนรู้เป็น 2 แนวทาง คือ ทักษะทางด้านเทคโนโลยีของผู้เรียนและระดับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและได้นำความคิดของลี, โอเวนและเบนสัน (Lee, Owen and Benson) ที่สรุปว่า การออกแบบอะไรนั้นควรได้พิจารณาถึงการเรียนรู้และระบบที่ดีที่สุดที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโปรแกรม การออกแบบต้องอาศัยข้อมูลจากภายนอกและระดับ ของผู้สอนกับเทคนิคของผู้เรียนประกอบกันเพื่อตอบสนองความต้องการด้านความสำเร็จของระบบ การพิจารณาถึงความจำเป็น 2 ประการ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) และความสามารถทางด้านเทคโนโลยี (Abliity of Technology) โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีอิเลคทรอนิกส์ (E – learning Technology) ซึ่งมีลักษณะเป็นคนที่มีทักษะใหม่ ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพทางด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งหลายเชื่อว่าแนวโน้มจะมีผู้สมัครเรียนเทคโนโลยีเหล่านี้จนเกิดความรู้ความสามารถและมีความชำนาญที่มีศักยภาพเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น ซึ่งบทสรุปจากบทความของ Lee กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้เรียนกับเทคโนโลยีจะเป็นเพื่อนคู่ขากันอย่างต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีจะค่อย ๆ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเชี่ยวชาญในโอกาสต่อไป ฉะนั้น งานด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มากขึ้นทุกที่ในเครือข่ายการเรียนรู้พื้นฐานรวมทั้งโครงการที่มีความสลับซับซ้อนสำหรับทักษะระดับการจัดการและบูรณาการร่วมกับเนื้อหาความรู้ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ผู้ออกแบบการสอนหรือผู้แนะนำรวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางด้านการผลิตสื่อการเรียนรู้เหล่านั้นด้วย
นอกจากนั้น Lee ยังมีความเชื่อว่ารายละเอียดต่าง ๆ ในการเรียนรู้จะทำให้การทำงานเกิดทักษะและง่ายขึ้นเมื่อมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบตัวต่อตัว แม้แต่ปัญหาจากความคิดเห็นที่ขัดแย้งยิ่งทำให้เกิดความสามารถเฉพาะตัวหรือเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบที่ต้องอาศัยกระบวนการผสมผสานเทคนิควิธีและปัจจัยประกอบอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ
เบนสันและคณะ. (Benson et al.) เสนอข้อสังเกต “ศักยภาพที่สมบูรณ์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกสามารถสนับสนุนการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ” สอดคล้องกับความคิดของเดนเนนและหวัง (Dennen and Wang) ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้ว่า เราสามารถช่วยเหลือหรือสนับสนุนโอกาสหรือวิธีการเข้าถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทางเทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วยลักษณะ 2 ประการคือ
1. การเรียนรู้ในการพิจารณาการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (Learning how to Eonduct Efficien Searchs) และ
2. การเรียนรู้ในการเข้าร่วมหรือก่อตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (Learning how to Establish the Validity of what they Aecess)
การบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การใดที่มีความสามารถในการจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ด้านความรู้ความสามารถที่ขัดแย้งกันภายในสนามแข่งขันระหว่างการบริหารการพัฒนาทรัพยากรกับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารสารสนเทศ (Human Resource Development and Information Technology/HRD and IT) องค์การใดจะครอบคลุมขอบเขตหรืออาณาจักรการจัดการองค์ความรู้ได้มากกว่ากัน ในความเป็นจริงถ้าทั้งสองฝ่ายร่วมกันคิดร่วมกันทำจะมีส่วนช่วยให้ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการได้รับการสนับสนุนและเกิดศักยภาพในความร่วมมือให้บรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ตกลงกันไว้ได้
ถึงแม้ว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงความจริงใจของแต่ละฝ่าย แต่กระแสแห่งแฟชั่นในโลกปัจจุบันก็พยายามบีบบังคับให้เกิดการเรียนรู้ช่องว่างระหว่างกลางแห่งองค์ความรู้เหล่านั้นไม่ว่าจะใช้วิธีการประนีประนอมหรือผสมผสานการใช้ประโยชน์กับเทคโนโลยี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สามารถทำให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและช่วยประสานความร่วมมือร่วมใจตามทักษะที่กำหนดไว้ตามเกณฑ์ขั้นพื้นฐานเพื่อจะได้นำเข้าสู่โปรแกรมการเรียนรู้ที่ได้เลือกสรรไว้อย่างเหมาะสม
โลกาภิวัฒน์สามารถให้ทางเลือกแก่กิจการแต่ละองค์การในการจะเลือกเข้าสู่กระแสโลกาภิวัฒน์หรือไม่ อย่างไรก็ดีโปรแกรมการฝึกอบรมทั้งหลายของแต่ละองค์การสามารถก่อประโยชน์จากเอกสาร ตำราหรือหนังสือ รวมทั้งสื่อมวลชนที่หลากหลาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุและหนังสือพิมพ์ ฯลฯ (Text Multimedia) ครอว์ฟอร์ด เบอเวอริดจ์ (Crawford Beveridge) ประธานกรรมการบริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ของซันไมโครซิสเท็มส์ (Sun Microsystems) เน้นความคิดในการก่อตั้งสถาบันสำหรับการเรียนรู้ของทีมงานในหลายประเทศเพราะตระหนักถึงความหมายและความสำคัญต่อความท้าทายและการแข่งขันด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ความแตกต่างระหว่างกลุ่มพลังและกลุ่มพลวัตรใหม่กับกลุ่มประเพณีวัฒนธรรมแบบเก่า ๆ จะให้ความสำคัญกับการพิจารณาไตร่ตรองเพื่อการออกแบบการเรียนรู้ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายซึ่งเปรียบเทียบระหว่างองค์การแบบใหม่ของสหรัฐอเมริกากับแบบวัฒนธรรมเก่าของเกาหลีใต้ เป็นประเด็นสำคัญทำให้เกิด Kim’s Point ซึ่ง คิม (Kim) กล่าวว่า ถึงแม้นวัตกรรมใหม่ขององค์การจะกำหนดสถานที่ที่มีความพิเศษเฉพาะสามารถเคลื่อนไหวได้ทั่วไปเพื่อตอบสนองการทำงานของยุคโลกาภิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เน้นถึงความร่วมมือในการเรียนรู้พฤติกรรมที่ผูกติดกับวัฒนธรรมที่ปรากฏให้เห็นในที่นี้ได้อธิบายถึง “บทบาทความรับผิดชอบและการเปลี่ยนแปลง” (Responsibility and Changes)” ซึ่งประกอบด้วยประเด็นต่าง ๆ 12 ประการ คือ
1. การสร้างความร่วมมือระหว่างงานวิจัยกับแบบแผนการปฏิบัติ (Creating Synergy between Research and Practice)
2. การพัฒนาเทคโนโลยีระดับสูงขึ้นทำให้การเรียนรู้เกี่ยวกับคนและสังคมหายไป (Leveraging Technology without Losing the Human and Social Compoment of Learning)
3. การสร้างความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว (Striking a Balance between and Personal Life)
4. ความตั้งใจที่จะนำความคิดสร้างสรรค์ให้ที่ทำงานมีความเมตตากรุณาความเอื้ออาทรต่อกัน (Striving Toward the Creation of Humane Workplace)
5. ยอมรับทุนทางปัญญามีความสำคัญที่สุดรวมทั้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในระดับล่างขององค์การ (Acknowlegding Intellectual Capital as Lifeblood or Truebottom Line of Organizations)
6. การพัฒนาที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Developing Social Responsibility)
7. ความร่วมมือหรือการเป็นหุ้นส่วนในบทบาทการศึกษาภาวะการเปลี่ยนแปลง (Part nering in the Changing Role of Education)
8. การพัฒนาการทำงานร่วมกันในลักษณะหุ้นส่วนทั้งภายในและภายนอกองค์การ (Developing Collaborative Partnerships Bothinside and Outside the Organization)
9. การเข้าร่วมรับรู้โลกาภิวัฒน์ (Embracing Globalization)
10. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Multiculturalism)
11. การจัดการองค์ความรู้และการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ (Managing Knowledge and Learning Effectively)
12. สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Fostering Lifelong Learning)

บทสรุป
ตลอดช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง การบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นกระบวนการเพื่อการเตรียมตัวเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อความมั่นคงในระบบสังคมและเศรษฐกิจที่มีพลังอันเข้มแข็งโดยเฉพาะเทคโนโลยีและโลกาภิวัฒน์จะเป็นพลังขับเคลื่อนต่อความเปลี่ยนแปลงที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีสิ่งที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องต่อความมีคุณค่าต่อผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคมและโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ “การพัฒนาองค์การสู่องค์การแห่งการเรียนรู้” เพื่อจะชนะในการแข่งขันซึ่งประกอบด้วย 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuos Improvement) และการปรับเปลี่ยนสู่องค์กรอัจฉริยะหรือองค์การแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการ (Integration Development)

เนื้อหาของบท

ความคิดเห็นของผู้แปล
จากการแปลและศึกษาเนื้อหาความรู้สรุปได้ว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนมีประเด็นที่อาจจะก่อผลกระทบมากมายโดยเฉพาะการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD) ดังที่ Lyle Yorks ได้นำเสนอความคิดของ Chermack และคณะ 6 ประการ Benson และคณะของประเด็นบทบาท HRD ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น Denen และ Wang เสนอความคิดสนับสนุนการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ และ Kim พยายามนำปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงอยู่ในองค์การอย่างเหมาะสมกับกาลเวลาและความเรียบง่ายด้วย Kim’s point 12 ประการ เมื่อหลอมความรู้ทั้งหมดพอสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญคือเมื่อกระแสโลกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว องค์การทุกองค์การจะปรับตัวเองให้สอดคล้องและเคลื่อนไหวตามอย่างเหมาะสมเพื่อให้กิจการของตนดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนโดยเฉพาะกระบวนการ HRD เป็นตัวขับเคลื่อนอย่างสำคัญโดยอาศัยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นตัวเร่งที่มีพลวัตรในตัวมันเองแต่ก็ต้องไม่พยายามลืมคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานในองค์การ แนวโน้มในอนาคตก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่หยุดนิ่งจนไม่สามารถจะกำหนดหรือบอกว่าแบบอย่างที่เหมาะสมในการบริหารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อะไรที่ดีที่สุดจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพองค์ประกอบของแต่ละองค์การไม่ว่าจะเป็น คน เทคโนโลยีและเป้าหมายในการดำเนินงานขององค์การสอดคล้องกับแนวความคิดของศาสตราจารย์ ดร. วิลเลี่ยม บอลล์ (Prof. Dr. William Ball) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาบรรยายที่มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2549 ในหัวข้อเรื่อง “Organizations and Management in Tomorow’s World” ซึ่ง อารักษ์ ชัยมงคล (2549 : 2-3) ได้สรุปความไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันคือยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) เป็นกระบวนการที่แตกต่างจากยุคอดีตอย่างสิ้นเชิง จนยากที่จะพยากรณ์ได้ว่าการบริหารองค์การและการจัดการ (Organizations and Management) ในอนาคตจะมีรูปลักษณ์และแบบอย่างอย่างไรองค์ความรู้และทฤษฎีทางการบริหารเก่า ๆ อาทิ POCCOC, POSDCORB, PPBS หรือแม้แต่ MBO จะเป็นเพียงหลักฐานทางวิชาการที่อยู่ในตำราเรียนว่ายุคสมัยหนึ่งทฤษฎีต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีผลต่อการบริหารองค์การที่ได้รับการยอมรับ รวมไปถึงแนวคิดในการบริหารแบบต่าง ๆ ในยุคที่ผ่านมา ได้แก่ แบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor, Max Weber, Gulick & Urwick และ Frank Gilbreth แบบมนุษยนิยม (Humanistic) ของ Lilian M. Gilbreth, Henry Fayol และ Mary Parker Follet ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องคนในองค์การมากขึ้นจนมาถึง Chester I. Barnard บิดาแห่งองค์การแบบไม่เป็นทางการ (Informal- Organization Theory) อธิบายถึง ความสัมพันธ์องค์การแบบไม่เป็นทางการที่แฝงตัวและมีอิทธิพลต่อองค์การแบบเป็นทางการ จนเข้าสู่แบบมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) และแบบทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources) ประกอบด้วยนักคิดที่มีชื่อเสียง อาทิเช่น Elton Mayo, Fritz Roethlisberger and others (Hawthorn Study) ช่วงปี ค.ศ. 1924 -1933 ซึ่งเน้นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในองค์การ ต่อมาแนวคิดเรื่องทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของ Abraham H.Maslow ที่กล่าวถึงความต้องการในระดับต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานในองค์การและทฤษฎี X – Y ของ Douglas Mcgregor ที่แบ่งแยกพฤติกรรมมนุษย์เป็น 2 กลุ่มซึ่งมามีบทบาทมากในประเทศญี่ปุ่นและประสบความสำเร็จในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศจนสามารถเทคโอเวอร์บริษัทอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และ อื่น ๆ ของอเมริกา ในช่วงยุค ค.ศ. 1980 เป็นต้น
จนมาถึงเมื่อประมาณ 20 -25 ปีที่ผ่านมา โลกได้เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากคลื่นลูกที่ 2 การผลิตในกระบวนการอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร (Information Technology) หรือยุคหลังสมัยใหม่ (Post – modernism) โลกทั้งโลกแคบลงด้วยการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายอินเตอร์เนต หรือเรียกว่า ยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) เป็นการบริหารจัดการฐานข้อมูล (Management of Database) องค์การใดมีระบบการจัดการฐานข้อมูลได้ดี และสามารถรวบรวมข้อมูลไว้ได้มากจะเป็นผู้ได้เปรียบ ดังเช่น ธุรกิจของไมโครซอพท์ได้สร้างปรากฏการณ์ในการบริหารจัดการรูปแบบใหม่จนทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วครอบครองอาณาจักรทั่วโลก อันเป็นกระบวนการที่เรียกว่า American Way ทำให้ธุรกิจของอเมริกาที่เคยล้าหลังและทรุดโทรม กลับมาเติบโตและแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นได้ ในขณะที่ญี่ปุ่นเริ่มประสบปัญหาอย่างมากมายด้วยคงรักษาวัฒนธรรมองค์การที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตและไม่พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์การและการจัดการ จนเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยและมาเลเซียได้ขับเคลื่อนแนวคิดของ Information Technology เข้าสู่ประเทศ ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนแนวทางในการพัฒนาประเทศใหม่ และมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเหนือกว่ากลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม พม่าและแม้แต่เกาหลีเหนือ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) ในยุคข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุด ประกอบด้วยการพัฒนาแบบบูรณาการ โดยแบ่งระดับบุคคลออกเป็น 3 ระดับด้วยกันคือ ระดับบุคคล (Individual Level) ระดับทีมหรือกลุ่มงาน (Team or Group or Department Level) และระดับองค์การ (Corporate Level) โดยเน้นโครงสร้างองค์การแบบแบนราบ (Flat Organization) มิติในการพัฒนามนุษย์เป็น 3 มิติคือ พัฒนาโดยการใช้การศึกษาและการฝึกอบรม มิติการพัฒนาอาชีพ (Career Development) คือการพัฒนาให้เป็นมืออาชีพที่จะตอบสนององค์การและการจัดการได้ เช่น รู้จักการประเมินตนเพื่อศึกษาว่าตนเองมีความสามารถ มีบุคลิกภาพและแรงจูงใจในอาชีพแบบใด รวมถึงการเป็นนักบริหารมืออาชีพที่มีทักษะในการจัดการเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ การสรรหาและการคัดเลือก การพัฒนา การประเมินผลและการสร้างทายาททดแทน และมิติสุดท้ายคือ การพัฒนาองค์การ (Organization Development) คือปรับเปลี่ยนไปสู่ “องค์การแห่งการเรียนรู้” (Learning Organization) เพื่อชนะในการแข่งขันซึ่งประกอบด้วย 2 แนวทาง คือ การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การทำ TQM (Total Quality Management) หรือกลยุทธ์การแข่งขันเวลา และการปรับเปลี่ยนเป็นองค์การอัจฉริยะ หรือองค์การแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการ (Integration Development) ซึ่งประกอบด้วย
1. เข้าใจเรื่องราวของธุรกิจในด้านวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ โครงสร้างองค์การ รูปแบบใหม่และวัดผลสำเร็จเชิงกลยุทธ์
2. เข้าใจมิติการบริหารและพัฒนาคนที่ครอบคลุมทั้งเรื่องการพัฒนารายบุคคล การพัฒนาอาชีพและการพัฒนาองค์การ
3. เข้าใจถึงระดับของการพัฒนาองค์การในรูปแบบใหม่ทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับบุคคล ระดับทีมงานและระดับองค์การ บนพื้นฐานการแข่งขันหลากหลายรูปแบบและวิธีการ
องค์การในอนาคตไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ที่แน่นอนหรือขนาดที่ใหญ่โต สามารถเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลาตามผู้ให้บริการหรือการให้บริการถึงสถานที่ของผู้รับโดยอาศัยเพียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ และคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่ใช้อินเตอร์เนตได้มีลักษณะเป็น E – commerce องค์การจะมีบุคลากรไม่มากนัก ผู้บริหารจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานและทำงานร่วมกับผู้ร่วมงานในทุกระดับได้ด้วย
ในทัศนะของผู้ศึกษาเห็นว่า แนวคิดของ Professor Ball เหมาะสมกับองค์การภาคธุรกิจเป็นสำคัญและต้องให้เวลากับการเปลี่ยนแปลงในภาครัฐ แต่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับภาคประชาชน กล่าวคือ เมื่อองค์การธุรกิจเข้มแข็งย่อมมีส่วนกระตุ้นและเร่งเร้าให้ภาคประชาชนตอบสนองคือการบริโภคและเป็นการบริโภคที่เกินภาวะจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทำให้เกิดการสูญ เสียทรัพยากร และกระบวนการผลิตต้องเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะทำให้องค์การธุรกิจเติบโตและร่ำรวยขณะที่ภาคประชาชนจะยากจนลง เพราะไม่สามารถหารายได้เพียงพอต่อความต้องการการบริโภคยิ่งในประเทศไทยเห็นได้ชัดยิ่งว่าประชาชนส่วนใหญ่ขาดศักยภาพในการเพิ่มรายได้ จากกรณีตัวอย่างกองทุนหมู่บ้าน เมื่อรัฐมีนโยบายกระจายทุนสู่ภาคชนบทระดับรากหญ้าเพื่อให้ประชาชนมีทุนนำไปลงทุนเพิ่มผลผลิตและแก้ปัญหาหนี้ กลับกลายเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้มากขึ้น ทำให้ขาดความสุขในการดำรงชีวิต เมื่อเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง น่าจะเป็นแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภาคประชาชนให้พอมีอยู่มีกินและมีความสุขในชีวิตได้มากกว่า ซึ่งแนวโน้มในอนาคตคาดว่า ภาครัฐและธุรกิจเอกชนคงให้ความสนใจมากขึ้นเพราะจะทำให้สมาชิกในองค์การร่วมกันทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ต้องกังวลกับการแข่งขันจนเกินไป เติบโตและมีการพัฒนาแบบยั่งยืน (Sustainable Development) เหมือนกับหลายประเทศที่สนใจแนวพระราชดำริและนำไปปรับใช้ในประเทศของเขา
ฉะนั้น โลกอนาคต จะเป็นโลกแห่งการแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม (Innovation) เป็นปัจจัยหลักเพื่อขับเคลื่อนความกินดีอยู่ดีของคนในสังคม การแข่งขันและความร่วมมือระหว่างชุมชนและประเทศอื่น ๆ ไม่ใช่แข่งขันเพื่อความต้องการในการสะสมปัจจัย (Factor Accumulation) เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ทุนหรือแรงงานเป็นปัจจัยหลักเหมือนอดีตที่ผ่านมา
การสร้างนวัตกรรมต้องอาศัยความรู้และกิจกรรมที่จะสร้างความมั่งคั่งจากความรู้นั้น ยิ่งใช้มากยิ่งมีแต่ความเจริญงอกงามดังคำกล่าวที่ว่า “ยิ่งใช้ ยิ่งงอกงาม” แต่ความมั่งคั่งจากทรัพยากรธรรมชาติ ทุนและแรงงาน ยิ่งใช้ยิ่งหมดไป การพัฒนาแนวทางแรกจึงเป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจแบบพอเพียงคือใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ทุนและแรงงานอย่างพอเหมาะพอควร โดยเน้นการใช้ภูมิปัญญา ประสบการณ์และการรู้จักกินรู้จักใช้เหมาะแก่ฐานะ ซึ่งแตกต่างกับแนวทางหลังที่เป็นแบบไม่ยั่งยืน นั่นคือจะได้รับประโยชน์เฉพาะบุคคล เฉพาะกลุ่มเฉพาะยุคสมัย ได้แก่ผู้ที่สะสมทรัพยากรและทุนไว้มากก็จะได้เปรียบแต่จะทำให้เกิดผลกระทบระยะยาวในอนาคต
สรุปได้ว่า โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ( Knowledge Based Society and Economy) ทุกสังคมจะต้องมีความสามารถในการนำความรู้มาสร้างนวัตกรรม สำหรับเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม ประเทศและโลก ความรู้และนวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้น จะต้องก่อประโยชน์ต่อสังคมและส่วนต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลายอย่างทั่วถึงและเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจเพื่อการแข่งขันและเศรษฐกิจพอเพียงอย่างสมดุล สังคมไทยจึงต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรู้เท่าทันและสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของทั้งสังคม (Paradigm Shift หรือ Mindset Change) สังคมไทยจึงจะอยู่รอดได้จากสภาพบีบคั้นจากสภาพแวดล้อมรอบด้าน โดยเฉพาะสภาพบีบคั้นจากกระแสโลกาภิวัฒน์นั่นเอง