Category Archives: การทำงาน

การรับมือเพื่อนร่วมงานสารพัดนิสัย

          เชื่อไหมว่า ต่อให้ใครก็ตามที่กำลังแฮปปี้กับงานของตัวเองอยู่นั้น มีจำนวนไม่น้อยที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้า หรือกำลังอดทนอดกลั้นกับนิสัยเพื่อนร่วมงานที่เข้าข่ายสร้างความเดือดร้อนสารพัดให้กับเรา หรืออาจรวมไปถึงคนอื่น ๆ ในออฟฟิศด้วย ครั้นอยากพูดหรืออยากทำอะไรตรง ๆ ดังที่ใจคิด เกรงจะเกิดปัญหาลุกลามใหญ่โต ส่งผลถึงงานที่ก่อให้เกิดความไม่ราบรื่นตามมาอย่างมหาศาลได้ ทำอย่างไรดีล่ะ ค่อนข้างน่าเห็นใจกับปัญหานิสัยเสีย ๆ ของเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานเดียวกัน ที่ใน 1 วัน ต้องทำงานถึง 8 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องอยู่กับเพื่อนร่วมงานด้วยตลอดทั้งวันเช่นกัน จะว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยได้เหมือนกันนะ แต่อย่างที่บอกอาจเป็นปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียวแต่ส่งผลเดือดร้อนกันทั้งบริษัทได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ
ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวใคร อาจไม่ซาบซึ้งถึงความกดดันที่ส่งผลถึงความเครียดได้ จึงอยากขอเตือนคนทำงานทุกคนทุกราย ว่าอย่าชะล่าใจนัก วันเวลาที่หมุนเปลี่ยนเวียนไป แต่ละบริษัทมีพนักงานเวียนเข้าเวียนออกอยู่กันอย่างสม่ำเสมอ เชื่อเถอะว่า ไม่วันใดวันหนึ่ง คุณต้องเจอเพื่อนร่วมงานนิสัยไม่พึงประสงค์เข้าสักวันได้อย่างแน่นอน!!! แต่ก่อนอื่นเหนือสิ่งอื่นใด พึงประจักษ์ในใจไว้เลยว่า มืออาชีพนั้นจะแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันอย่างได้ผล และคนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่ ทำให้นิสัยใจคอ รวมถึงพฤติกรรมการแสดงออก ความคิด ย่อมแตกต่างกันเป็นของธรรมดา ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์ดีพร้อม ดังนั้นเราจะเรียนรู้ที่ใช้ชีวิตให้อยู่กับผู้คนที่มีนิสัยแตกต่างราวฟ้ากับดินในสังคมได้อย่างไร

เพื่อนร่วมงานประเภทปากร้ายใจดี
ข้อดีของเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ แม้จะปากร้ายไปหน่อย แต่ก็มีความหวังดีต่อเพื่อนคนอื่นอยู่ เรียกว่ามีความจริงใจให้เห็นกันยิ่งเพื่อนที่ไม่มีปากมีเสียงด้วยแล้ว จะรักเพื่อนคนนั้นเสียเหลือเกิน ไม่เชื่อลองสังเกตเพื่อนขาง ๆ ที่มีนิสัยแบบนี้ดูสิ จุดอ่อนของพวกปากร้าย ปากเปราะ เอะอะอะไรก็ขอต่อว่าต่อขานคนอื่นเอาไว้ก่อน หลงผิด คิดว่าตัวเองถูกเสมอ ซ้ำดีซ้ำร้ายโยนความผิดให้คนอื่นซะเฉย ๆ ก็ทำได้
สิ่งที่ควรทำ นอกจากทำใจไม่ถือสา ไม่เก็บคำพูดของเขามาคิดเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในความสามารถเรา อย่าให้ใครมาดูหมิ่นได้ เวลาไหนที่เพื่อนเจ้าพระคุณประเภทนี้กำลังวีนแตก ทำทุกอย่างให้เธอ (เขา) ใจเย็นลงมารวดเร็วที่สุด มิฉะนั้นบรรยากาศการทำงานคงไม่น่าอภิรมย์นัก และพยายามจะเอาชนะใจเขาให้ได้ เพราะเมื่อทำได้ล่ะก็ เขาจะรักและจริงใจด้วยอย่างไร้ข้อกังขา ขอความช่วยเหลืออะไร แทบทำให้คุณชนิดถวายหัว สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด
ห้ามเถียงกลับ หากต้องมีการชี้แจงใด ๆ ให้ทำตอนที่แก้ไขเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว และพอเขาใจเย็นลงหรืออารมณ์ปกติลง ค่อย ๆ เล่าให้เขาฟังถึงการทำงานร่วมกับคนอื่นให้ประสพความสำเร็จควรทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้มีทางเลือกที่ดีกว่า เอาแต่มีน้ำโหไปซะทุกครั้งอย่างไร้เหตุผล

เพื่อนร่วมงานประเภทปากดีแต่ใจร้าย
สำหรับประเภทนี้เปรียบเปรยได้อีกอย่างหนึ่ง คือ
ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เป็นพวกที่เต็มไปด้วยจริตมารยา เจตนาหลอกใช้คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทำเป็นพูดดีนัก แต่ไร้ความจริงใจโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมงานแบบนี้จะน่ากลัวที่สุด ข้อดีของเพื่อนร่วมงานปากดีแต่ใจร้าย คือ ปากหวาน ฟังรื่นหูดูดี ทำงานในแบบที่ต้องใช้การสื่อสารโดยไม่เผชิญหน้าได้ดีมาก เข้าสังคมเก่ง เพราะชำนาญในการใส่หน้ากาก จุดอ่อนของพวกปากดี ใจร้ายเป็นคนเพ้อเจ้อ และประมาทคิดว่าคนอื่นไม่ทันตัวเอง จึงทำให้ถูกหลอกและใช้ง่าย (ถ้าต้องการ)ทุกคนที่เขาคบหาในสังคมไม่มีจริงใจกับใคร จับจองแต่จะเอาประโยชน์จากกันทั้งนั้น สิ่งที่ควรทำ ทำงานด้วยกันนั้นให้กำหนดสัญญาต่าง ๆ ให้ชัดเจน และให้มีระยะเวลาที่จำกัดสั้น ๆ อย่ายืดเยื้อ ไม่งั้นคนพวกนี้หาผลประโยชน์กับคุณแม่ สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด อย่าเพ้อเจ้อไปตามเขา และอย่าไปดูหมิ่นความฝันหรือความคิดเขา คิดซะว่าทุกคนมีสิทธิ์ฝัน แต่อย่าหวังความสัมพันธ์ระยะยาวกับคนเช่นนี้ เขาไม่เคยจริงใจกับใครอย่างแท้จริงอยู่แล้ว พึงระวังไว้ว่ายิ่งยืดยาวยิ่งเจ็บลึก

เพื่อนร่วมงานประเภทใจดีเหลือเกิน   สาธุ!!! โชคดีของคุณที่ได้เพื่อนดี มีน้ำใจ แต่ระวังไว้ว่า บางทีดีจนตามใจกันไปเรื่อย ทำให้ชิ้นงานที่ทำร่วมกันเกิดการพัฒนาช้าหรือไม่พัฒนาเลย โดยข้อดีของคนประเภทนี้ จะมีความหวานแหววอยู่ด้วยแล้วอบอุ่นแน่นอน แต่อย่าฝันหวานเกินไปล่ะ แม้เพื่อนร่วมงานจะหวาน แต่โลกนี้ไม่ได้หวานด้วยหรอกนะ จุดอ่อนของคนใจดี มีแนวโน้มเข้าข่ายหน่อมแน้ม ไม่ทันคน ไม่ทันเหตุการณ์ สิ่งที่ควรทำ ตัวคุณควรรับผิดชอบงานให้ดี ขวนขวายที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่าย่ำอยู่กับที่ หูตาต้องไววิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ให้รอบด้าน จงเป็นคนหนักแน่น แข็งแกร่งไว้ในการคบหากับเราจริง ๆ พร้อมให้กำลังใจและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เพื่อนดี ๆ หายากนัก ฉะนั้นอย่าไปซ้ำเติมเลย นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาจากวันนี้เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่วันหน้าอาจเป็นหุ้นส่วนธุรกิจด้วยกันก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ ห้ามเด็ดขาด อย่าคิดร้ายกับเพื่อนดี ๆ ผลกรรมจะสนองเร็วไว

เพื่อนร่วมงานจอมงก ไร้น้ำใจ  เพื่อนประเภทนี้มักเอาแต่ได้อย่างเดียว จะให้คนอื่นเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น หรือให้ไปแล้วจะต้องได้อะไรกลับมาเป็นการทดแทน อยู่กับเพื่อนจอมงกค่อนข้างอึดอัด เพราะเขาจะเห็นเงินมีค่ามากกว่าคน ใครเอาประโยชน์มาให้ก็ว่าดี ใครทำให้เสียประโยชน์แม้เพียงน้อยนิดก็ว่าคนอื่นชั่วได้แล้ว เพื่อนจอมงกจนขาดน้ำใจเป็นคนทำอะไรถี่ถ้วนมาก เพราะเขาต้องคิดสะระตะให้ตัวเองได้ประโยชน์ นั้น ๆ มากที่สุด ไม่เสียเวลากับอะไรง่าย ๆ ไม่ค่อยยอมคนด้วย จุดอ่อนเพื่อนร่วมงานจอมงก เอาดีในโลกกว้างไม่ได้หรอก เพราะใจและความคิดแคบเกินไป ชีวิตแห้งแล้ง ไร้ความสุข อยู่ด้วยความหวาดระแวง อะไรที่มีแนวโน้มว่าได้ประโยชน์จะตาโต ใจแตก อย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำให้ทำงานพลาดได้ง่าย ๆ สิ่งที่ควรทำ พยายามแบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันให้ชัดเจน แล้วต่างคนต่างรับผิดชอบ แยกย้ายทำงานกันไป แต่เพื่อนร่วมงานแบบนี้ หากทำงานร่วมกันไปจะพบว่า เขาเป็นทรายดูด อยู่ด้วยแล้วแห้งแล้งและจมไป เรื่อย ๆ ระวังนิสัยใจคอจะได้ของเขาติดตัวกลับมาแยกตัวออกมาได้ให้แยกออกมาเป็นการด่วน ห้ามทำเด็ดขาด ห้ามชวนเล่นการพนัน หรืออย่าชวนทำบุญที่ไม่เห็นผลชัด

เพื่อนร่วมงานนิสัยเปิดเผย จริงใจ  เพื่อนประเภทนี้เป็นพวกปากกับใจตรงกัน บางครั้งมักพูดมาก และจะเอาเรื่องสัพเพเหระมาเล่าให้เราฟังจนหูแฉะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัว ได้สารพัด ไม่มีลับลมคมใน ทำงานด้านปฏิสัมพันธ์เก่งมาก แต่มักทำงานใหญ่ ๆ ยาก ไม่ได้ดีเท่าไหร่ เป็นคนคบกับใครง่าย ผูกพันง่าย แต่ทิ้งยาก จุดอ่อนของคนเปิดเผย จริงใจ คนแบบนี้เหมือนกับเป็นคนหลวม ๆ ทำให้ผู้ไม่หวังดีทำลายได้ง่าย บางทีสร้างความน่ารำคาญกับสารพัดเรื่องที่เขามาเล่าให้ฟัง สิ่งที่ควรทำ หาทางพักหูซะบ้าง จัดห้องทำงานให้เป็นส่วนตัว ให้ความจริงใจตอบกลับ เปิดใจ แต่ไม่จำเป็นต้องเผยซะทุกเรื่องหรอกนะ เฉพาะที่เกี่ยวกับงานหรือที่มีผลกระทบต่องานก็พอแต่จำไว้ คนพูดมากมักลืมง่าย มักเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ให้ดีทำเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในสิ่งที่เขาพูดมา ป้องกันไว้ก่อนที่เขาจะโมเมเอาว่าไม่ได้พูด ห้ามทำที่สุด อย่าไปต่อต้านหรือเออออห่อหมกกับคำพล่ามของเขาโดยทันที คิดพิจารณากันเป็นเรื่อง ๆ ไป ชั่งน้ำหนักคำพูดทุกคำพูด

เพื่อนร่วมงานเจ้าระเบียบ  เพื่อนประเภทนี้จุกจิกจู้จี้แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างต้องให้เข้าที่เข้าทาง อะไรไม่เป็นระเบียบจะบ่นแล้วบ่นอีก แต่ไม่มีอะไรไม่อาฆาตหรือคาดโทษยาว ทำงานเรียบร้อย มีระบบระเบียบ มองโลกในแง่ใหม่ไปตามเหตุการณ์เนือง ๆ จุดอ่อนของคนเจ้าระเบียบ ขี้บ่นจนน่าเบื่อ สิ่งที่ควรทำ ทำตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยด้วย จะอยู่และทำงานในออฟฟิศด้วยความสบาย แต่ไม่ใช่ทำตัวเจ้าระเบียบจัดตามเขาไป ทุกอย่างยึดอยู่กับความพอดี ห้ามทำเป็นอันขาด ทำตัวเองหรือโต๊ะทำงานสกปรก เลอะเทอะไร้ระเบียบวินัย โดยเฉพาะหากว่านั่งทำงานอยู่ใกล้เคียงกันด้วยแล้ว อย่านะที่ตัวเองทำสกปรกลุกลามไปถึงโต๊ะทำงานคนอื่นเขา โดยเฉพาะไปจุ้นจ้านบนโต๊ะเขายิ่งไม่เป็นอันควร

เพื่อนร่วมงานประเภทเจ้าชู้ไก่แจ้   พวกนี้ส่วนใหญ่บุคลิกดี มีเสน่ห์ ชอบล่าหัวใจเพศตรงข้าม เพื่อขยี้สวาท ตามนิสัยของคนที่ชอบเอาชนะทั้งใจและกาย ข้อดีคงเป็นในเรื่องลีลาแพรวพราว ทำให้หัวใจเพื่อนร่วมงานสาวเช่นคุณได้ลุ้นเป็นพัก ๆ จุดอ่อนพวกเจ้าชู้ สร้างความวุ่นวายในหมู่เพื่อนร่วมงาน ทำให้เกิดการแตกแยกกันได้ หากถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กัน อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดอำนาจมากกว่า จึงทำต่อไปด้วยความลำบากไม่ใช่น้อย สิ่งที่ควรทำ หากเพื่อนพวกนี้มาปิ๊งปั๊งคุณแล้วล่ะก็ อยากให้คุณรักษาความน่าสนใจหมายปองของตัวเองต่อเขาไว้ให้นานที่สุด อย่ายอมลงเอยง่าย ๆ คนประเภทนี้จะชอบของยาก ชอบลุ้น หากให้เขาลุ้นไปตลอดเราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะหากถูกชิมไปแล้ว ค่าของเราลดลงสำหรับเขาได้ หือหากคุณไม่อยากเล่นด้วย พยายามเปลี่ยนจุดสนใจให้เขาอยากเอาชนะการแข่งขันในเรื่องมาตรฐานงานแทนที่มามัวบ้าสวาทกับคนรอบข้างอยู่เรื่อย ห้ามทำเด็ดขาด อย่าตามใจตัวเองรวมทั้งอย่าตามใจเขา ต้องเข้มแข็ง (ยกเว้นว่าเป็นความรู้สึกตอบกลับที่ทำให้คุณเจริญและเป็นสุขจริง ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว) ดังนั้นประเมินให้ดีและเที่ยงตรงด้วย อย่าเข้าข้างกิเลสเป็นอันขาด

เพื่อนร่วมงานร่ำรวยและถือตัว   พวกนี้ส่วนใหญ่บ้าเงิน ชอบอวดร่ำอวดรวย พอมีเงินคิดว่าตัวเองวิเศษเลิศเลอ มักดูหมิ่นคนจนและชอบใช้เงินซื้อทุกอย่างแม้แต่หัวใจคน นิสัยของพวกถือตัวและอวดรวยนั้นมักควักจ่ายอะไรยากนะ ต้องมีโครงการที่เข้าท่าและนำพาประโยชน์มาให้หรอกนะ จึงจะยอมควักกระเป๋าตัวเองกัน จุดอ่อนพวกถือตัวเองว่าร่ำรวย เจอคอที่มีเงินมากกว่ามักอ่อนและยอมโดยง่าย ถูกหลอกล่อได้ด้วยผลประโยชน์ กรรมจากการดูหมิ่นคนอื่นทำให้เขาเป็นที่รังเกียจ หมั่นไส้ หรือขบขันในหมู่คนทั่วไป แม้จะมีเงินมากก็ตาม สิ่งที่ควรทำ ทำการใดให้เคลียร์เรื่องระบบผลตอบแทนระหว่างกันและกันให้ชัดตั้งแต่ต้น แต่อย่าแสดงความอยากมากนัก เขาจะกลัวเสียก่อน อยู่กับคนแบบนี้อยากมากก็ไม่ได้ ยอมตามก็ไม่ดี ต้องจัดระบบกำกับตัวเองเข้าไว้ ห้ามทำเป็นที่สุด อย่าประจบสอพลอกับเพื่อนร่วมงานนิสัยแบบนี้เป็นอันขาด จะทำให้เขาประเมินค่าของคุณต่ำทันที อย่าอยากได้เงินของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง จะทำให้คุณเป็นทาสเขา รวยแค่ไหนอย่าไปสน อนาคตคุณเองก็สามารถรวยได้เท่าเทียมเขาเช่นกัน หรือมากกว่าด้วยซ้ำ หากคุณประสพความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเอง อย่าไปยุ่งกับตัวตนของเขา ให้เขาแบกไปเถอะ ใครแบกก็หนักเอง จำไว้ว่าของใครของมัน

เพื่อนร่วมงานประเภทพูดมากแต่ทำน้อย  เพื่อนร่วมงานนิสัยแบบนี้ดีแต่พูด ขี้เกียจ เอาแต่สั่ง เอาแต่ใช้ และเอาเปรียบคนอื่น โดยจะเป็นคนพล่ามไปเรื่อย ไร้สาระ ทั้งที่เกี่ยวกับงานและไม่เกี่ยวกับงาน จนทำให้บรรยากาศการทำงานและบริษัทวุ่นวายสับสน เต็มไปด้วยขยะเรื่องราวที่ไม่สร้างสรรค์ผลงานใด ซ้ำร้ายยังบั่นทอนประสิทธิภาพงานด้วย หากถามถึงข้อดี ๆ ของพวกนิสัยดีแต่พูด คงเป็นแค่ช่วยให้บรรยากาศในออฟฟิศไม่เงียบงัน บางครั้งก็ครึกครื้นเท่านั้นเอง จุดอ่อนพวกที่เอาแต่พูด เป็นพวกไร้สาระ ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานต่ำมาก สร้างปัญหาให้หมู่คณะอยู่เนือง ๆ มีแนวโน้มเป็นพวกชอบป้ายความผิดให้คนอื่นในที่ทำงานเดียวกัน ในยามไม่รู้จริงในหน้าที่ของตน สิ่งที่ควรทำ เพื่อนไม่ยอมทำงานไม่เป็นไร แต่คุณต้องทำให้จริงจังจนงานสำเร็จ แต่รักษาผลประโยชน์ทางปัญญาให้ดีล่ะ เพราะเพื่อนร่วมงานนิสัยเอาแต่พูดมักทึกทักเอาว่า เป็นผลงานของเขา และหากเขาชอบพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงาน คุณอาจไม่ฟังหรือไม่ตอบก็ได้ ปล่อยให้เพื่อนพวกนี้อยู่คนเดียวบ่อย ๆ หากคุณและเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ พร้อมใจให้เขาอยู่คนเดียว จะเป็นการช่วยให้เขาคิดหาสาระให้กับตัวเองมากขึ้น ห้ามทำเด็ดขาด อย่าพูดมากทำน้อยตามเพื่อนคนนี้ไปซะอีก ไม่ดีกับงานคุณแน่ ๆ อย่าไปต่อว่าตอขานกับคำพูดเขา อยากพูดให้พูดไป พยายามหาประโยชน์จากการพูดของเขา เช่น จัดโปรแกรมให้ออกไปประชาสัมพันธ์บริษัทหรือโครงการภายนอกก็จะดี เพราะหากสามัคคีคือพลังในการทำงานใดให้สำเร็จ
  ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำงานอย่างมีความสุข สนุกกับงาน เพื่อนร่วมงานนั้นมีบทบาทสำคัญ นั่นหมายความว่าคุณจะมองข้ามการผูกใจเพื่อนร่วมงานไม่ได้เด็ดขาด หากสามารถทำให้แต่ละคนทำงานเข้าขากับเราแล้วล่ะก็ เส้นชัยแค่เอื้อมเท่านั้น
ที่มา:
petchprauma.com  

ทำ 4 ข้อก็สุขได้จากท่าน ว.วชิรเมธี

ทำ 4 ข้อก็สุขได้จากท่าน ว.วชิรเมธี

1. อย่าเป็นนักจับผิด 
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง 'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีกคนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข

> 2. อย่ามัวแต่คิดริษยา  
'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน  ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน คน เราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวรถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน   ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป
> 3. อย่าเสียเวลากับความหลัง 
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น'
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา
> 4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ  
'ตัณหา'ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ  ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็มทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม  เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์  เราต้องถามตัวเองว่า 'เิกิดมาทำไม' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ คำว่า 'พอดีคือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี'    รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข'

7ขั้นตอนรับมือการทำงานไม่เครียด

7ขั้นตอนรับมือการทำงานไม่เครียด

พอพูดถึงเรื่องทำงาน ก็ต้องบวกเรื่องความเครียดเข้าไปด้วย ทุกวันนี้ งานมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่จะทำอย่างไรที่เราจะไม่เครียดกับการทำงาน 

1. เตรียมพร้อมตั้งแต่ที่บ้าน
     นอกจาก นอนหลับให้เต็มอิ่ม วิธีผ่อนคลายง่ายๆคือ ควรเลือก สวมชุดทำงานที่มีเนื้อผ้านุ่มสบาย ไม่รัดแน่น หรือพอดีตัวจนอึดอัด ยิ่งเป็นเนื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติจะยิ่งดี และควรรับประทานอาหารเช้า เพราะเป็นมื้อสำคัญที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี

2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
     จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก เพราะเห็นแล้วจะยิ่งทำให้จิตใจเครียด ไม่แจ่มใส พานรู้สึกว่าสะสางอย่างไรก็คงไม่เสร็จเสียที นอกจากนี้ควร สร้างบรรยากาศด้วยภาพ เช่น การติดภาพธรรมชาติ หรือภาพคนที่รัก รวมถึงสีที่เห็นแล้วสบายตา เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า ซึ่งช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น หรือการวางผลไม้สดไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและลดความเครียดได้อีกวิธีคือ ปลูกต้นไม้ไว้ใกล้ที่ทำงาน เพราะการได้เห็นสีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยคลายเครียดได้ดี

3. เตรียมกาย - ใจก่อนทำงาน เริ่มจาก
     - หลับตานิ่งๆ สัก 1 - 2 นาที และสลัดทิ้งภาพที่พบเจอมาตลอดเช้าไม่ว่าจะเป็นสภาพการจราจรที่แน่นขนัด ผู้คนแออัด หรือเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์ใดๆ 
     - หากเป็นไปได้ควรดื่มน้ำผลไม้สักแก้วก่อนเริ่มงาน จะช่วยให้แจ่มใสขึ้น
     - จัดลำดับงานว่าชิ้นไหนควรทำก่อน - หลัง นอกจากช่วยบริหารเวลา นการทำงานได้ ยังช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

4. การสร้างมุมมองที่ดีในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น
     -ต้องทำงานอย่างมีวินัย คิด และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักเหตุและผล
     - เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและไม่คาดคิดมาก่อน
     - เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นรวมถึงตัวเอง เพราะไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์
     - เรียนรู้ที่จะปล่อยวางปัญหาเล็กๆ ที่ยิ่งเก็บมาคิดจะยิ่งเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ

5. วิธีรับมือกับความเครียด
     ในกรณีที่แม้คุณจะพยายามทำตามทุกขั้นตอนข้างต้นมาแล้ว แต่ความเคร่งเครียดบางอย่างที่อาจควบคุมไม่ได้ยังคอยตามมากดดันตัวคุณอีก ลองใช้วิธีต่อไปนี้
           -  หยุดสิ่งที่ทำให้เครียด แล้วเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่น
           -  พักสั้น ๆ ด้วยการลุกไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำล้างหน้าหรือออกไปยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย
           -  จดบันทึกทุกครั้งที่เครียด เพื่อตรวจเช็คความถี่และพิจารณาว่าปัญหาใดที่ทำให้เราเครียดได้บ่อยที่สุดเมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงถูก
           -  หาตัวช่วยในการคิด อาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเราดีหรือคนใกล้ชิดก็ได้ เนื่องจากการเล่าปัญหาจะช่วยให้เรายอมรับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น

6. หาวันหยุดให้กับตัวเองบ้าง
     ถือเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ เพราะเป็นการชาร์จพลังที่ดีเพื่อจะกลับมาเริ่มงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ควร ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะการให้ของขวัญตัวเองจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการทำงานได้มากขึ้น

7. ทิ้งทุกเรื่องของงานไว้ที่โต๊ะ
     และกลับบ้านด้วยใจที่โล่ง ไม่คั่งค้าง และควรระลึกไว้เสมอว่า เมื่อไรที่จิตใจเครียด ร่างกายก็จะเครียดตาม และทำให้ป่วยได้ง่ายขึ้น                                    

 ที่มา : Thai-healthcare.com

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ ต้องประกอบด้วย

1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานที่ต้องการทำให้องค์การบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำเนินงานให้เป็นไปตามภารกิจขององค์การ

2. ความเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานเป็น ทีมที่มีประสิทธิภาพ สมาชิกในทีมจะต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แก้ปัญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ การแสดงความเปิดเผยของสมาชิกในทีมจะต้องปลอดภัย พูดคุยถึงปัญหาอย่างสบายใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นในด้านความต้องการ ความคาดหวัง ความชอบหรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและอารมณ์ รวมทั้งความรู้สึก ความสนใจนิสัยใจคอ

3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน สมาชิกในทีมจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยทีละคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง สามารถทำให้เกิดการเปิดเผยต่อกัน และกล้าที่จะเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี

4. ความร่วมมือและการให้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ผู้นำกลุ่มหรือทีมจะต้องทำงานอย่างหนักในอันที่จะทำให้เกิดความร่วมมือในการสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น ในการสร้างความร่วมมือเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกันและมีบุคคลอยู่สองฝ่าย ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้เมื่อฝ่ายผู้ให้เต็มใจและยินดีจะให้ความร่วมมือ เหตุผลที่ทำให้ขาดความร่วมมือไม่ช่วยเหลือกัน คือ การขัดผลประโยชน์ ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า สัมพันธภาพไม่ดี วัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกับวิธีทำงานขาดความพร้อมที่จะร่วมมือ หรืองานที่ขอความร่วมมือนั้น เลี่ยงภัยมากเกินไป หรือเพราะความไม่รับผิดชอบต่อผลงานส่วนรวม  ส่วนการขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันตามความคิด หรือ การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนขึ้นไป หรือระหว่างกลุ่ม โดยมีลักษณะที่ไม่สอดคล้อง ขัดแย้ง ขัดขวาง ไม่ถูกกัน จึงทำให้ความคิดหรือการทำกิจกรรมร่วมกันนั้น เสียหาย หรือดำเนินไปได้ยากไม่ราบรื่นทำให้การทำงานเป็นทีมลดลง นับเป็นปัญหา อุปสรรคที่สำคัญยิ่ง

5. กระบวนการการทำงาน และการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนถือเป็นหัวใจสำคัญด้วยเหตุนี้จุดมุ่งหมายควรต้องมีความชัดเจนและสมาชิกทุกคนมีความเข้าใจอย่างดี เพราะจะนำไปสู่แนวทางแนวทางในการทำงานว่าต้องทำ

อย่างไร จึงจะบรรลุตามเป้าหมายของงาน ให้ได้ผลของงานออกมาได้อย่างดีที่สุด การตัดสินใจสั่งการเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานของการบริหารงาน ผู้บริหารหรือผู้นำทีม  เป็นบุคคลสำคัญในการที่จะมีส่วนในการตัดสินใจ วิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจหลายวิธีคือ ผู้บริหารตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหา โดยไม่ต้องซักถามคนอื่นหรือผู้บริหารจะรับฟังความคิดเห็นก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ ผู้บริหารยังคงตัดสินใจด้วยตนเองแต่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้บริหารได้รับมาจากสมาชิกของทีม บางครั้งผู้บริหารอาจจะตัดสินใจร่วมกับทีมงานที่คัดเลือกมาโดยที่ผู้บริหารนำเอาปัญหามาให้ทีมงานอภิปราย แล้วให้ทีมงานตัดสินใจหรือทีมงาน อาจจะมอบหมายการตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มย่อยที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้

 ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

อันตรายที่สุดสำหรับชีวิตคนเรา คือ การคาดหวัง

การทำงานเป็นทีม

การทำงานในสมัยปัจจุบันหรือการบริหารงานแนวใหม่นี้จะทำแบบข้ามาคนเดียวหรือ วันแมนโชว์หรือศิลปินเดี่ยวหรือ อัศวินม้าขาวหรือ อื่น ๆ ดูจะเป็นไปได้ยาก การทำงานเป็น ทีม  - Team ” ทีม (Team) หมายถึง บุคคลที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่ม กล่าวคือ เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในการทำงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ทีมงาน (Team Work) หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและคงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน

โดยร่วมกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงานการทำงานเป็นทีม”  เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่ มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ต้องชัดเจน มีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) ในการทำงาน มีผลการทำงาน (Performance)

ความแตกต่างระหว่างการทำงานแบบทีมและกลุ่ม (Teams vs Groups ) การทำงานแบบกลุ่ม (Work group) คือ การรวมกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วมเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกันและช่วยในการตัดสิ้นใจให้แก่สมาชิกในกลุ่มที่จะทำงานภายในขอบข่ายที่รับผิดชอบของแต่ละคนนั้น ในการทำงานของกลุ่มไม่จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีการเชื่อมโยงทรัพยากรและใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลในทางบวก นั่นคือเราใส่การทำงานของแต่ละคนเข้าไปผลงานที่ออกรวมกันแล้วจะได้เท่ากับที่ใส่เข้าไปหรืออาจจะน้อยกว่าก็ได้

การทำงานแบบทีม ( Work teams) เป็นการทำงานร่วมกันและส่งเสริมกันไปในทางบวก ผลงานรวมของทีมที่ได้ออกมาแล้วจะมากกว่าผลงานรวมของแต่ละคนมารวมกัน

ชนิดของทีมงาน การแบ่งทีมในองค์กรสามารถที่จะแบ่งประเภท ตามวัตถุประสงค์ได้ 4 รูปแบบคือ

1. ทีมแก้ปัญหา (Problem - Solving Teams) ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และผู้บริหารซึ่งเข้ามารวมกลุ่มด้วยความสมัครใจ และประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออภิปรายหาวิธีการสำหรับการแก้ปัญหา โดยทั่วไปทีมแก้ปัญหาทำหน้าที่เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น แต่จะไม่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดการกระทำ ตามคำแนะนำ ตัวอย่างของทีมแก้ปัญหาที่นิยมทำกัน คือ ทีม QC (Quality Circles)

2. ทีมบริหารตนเอง (Self - Managed Teams) หมายถึง ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วนรับผิดชอบต่อลักษณะทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงานโดยทั่วไป มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงานทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และสามารถให้สมาชิกมีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน

 3. ทีมที่ทำงานข้ามหน้าที่กัน (Cross - Function Teams) เป็นการประสมประสานข้ามหน้าที่งาน ความสามารถในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกันจากหน้าที่ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสมรรถภาพในด้านความแตกต่าง โดยเป็นการใช้กำลังแรงงาน ตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคณะกรรมการ (Committees) เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน, พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหา และทำโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่ ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งานที่แตกต่าง ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และสร้างการทำงานเป็นทีมเนื่องจาก แต่ละคนมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน

4. ทีมเสมือนจริง (Virtual Teams) ลักษณะการทำงานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำงานจะแยกกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความสำเร็จของงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกทางสังคมในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามในบางกรณีผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ดังนั้น ผู้บริหารต้องทำการประเมินว่างานใดควรทำคนเดียว และงานประเภทใดที่ต้องใช้ความร่วมมือของทีม

เคล็ดลับในการบริหารองค์กร

ในองค์กร หรือบริษัทขนาดกลางหรือขนาดย่อมที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัว จำเป็นจะต้องมีผู้บริหารที่มีความรู้และทักษะในงานบริหารจัดการที่ดี จึงจะสามารถบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพและนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และนำพาองค์กรให้ก้าวหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มุ่งสู่ความเป็นที่หนึ่งในอนาคต ดังนั้น ในการเป็นผู้บริหารที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีเคล็ดลับในการบริหารองค์กรด้วย ซึ่งมีเทคนิคที่จะเสนอดังต่อไปนี้
1.รู้จักและรู้ใจลูกค้าของตน ผู้บริหารที่ดีจะต้องรู้จักลูกค้าของตนเองให้ดีก่อนจึงค่อยมาทำการพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับลูกค้าของตน โดยสิ่งที่ผู้บริหารต้องรู้เกี่ยวกับลูกค้าและสินค้า คือ คุณค่าของสินค้าที่ลูกค้าต้องการคืออะไรและทำไม กระบวนการในตัดสินใจซื้อของลูกค้าเป็นอะไรและมีกำหนดกรอบเวลาในการตัดสินใจอย่างไร เป้าหมายของสินค้าคืออะไร ต้นทุนสินค้าเป็นเท่าใด ควรจะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านใดมาเพื่อพัฒนาสินค้าของตนเป็นต้น

2.รู้จักวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของลูกค้า ลูกค้าแต่ละรายล้วนมีความแตกต่างกัน วัฒนธรรมหรือไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละประเทศย่อมต่างกันไปด้วย ผู้บริหารต้องคิดให้กว้างไกล เพื่อที่จะดำเนินการ ให้เหมาะกับประเทศที่ลูกค้าอยู่ ซึ่งสิ่งนี้จำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องรู้และเข้าใจวิธีชีวิตของลูกค้าในประเทศที่ต้องการไปนำเสนอสินค้า การเข้าไปคลุกคลีกับลูกค้า เพื่อทำการศึกษาและหาข้อมูลเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถคัดสรรสินค้าที่ต่างกันและเหมาะกับลูกค้าของตนในแต่ละประเทศได้ การพัฒนากลยุทธ์ให้เหมาะกับแต่ละประเทศเป็นปัจจัยสำคัญให้ผู้บริหารประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ
3.เป้าหมายชัดเจนวัดผลได้ ควรกำหนดเป้าหมายและวิธีการวัดผลเป้าหมาย เช่น ยอดขาย ส่วนแบ่งตลาด กำไรก่อนภาษี ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม เช่น วัดเป็นจำนวน เปอร์เซ็นต์ มูลค่าเงิน เป็นต้น เป้าหมายต้องสำเร็จได้ เป็นจริงได้ และต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม
4.กำหนดแผนงานไว้ให้ชัดเจน ผู้บริหารต้องรับผิดชอบในการกำหนดกลยุทธ์ระยะยาวและแผนงานประจำปี เพื่อเป็นแนวทางให้ไปถึงเป้าหมายที่มุ่งหวังได้ แผนงานจะรวมถึงข้อความที่กำหนดนิยาม ของคุณค่าที่จะให้กับลูกค้า และข้อเปรียบเทียบในเชิงแข่งขันกับคู่แข่ง นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ กลยุทธ์และกลวิธีก็ควรจะมีการระบุให้ชัดเจนและต้องให้ทุกคนในทีมงานรับรู้ และเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน
5.ต้องเรียนรู้วิธีเข้าถึงทรัพยากรที่ต้องการ ผู้บริหารจะต้องรู้ว่า องค์กรจะต้องมีทรัพยากรในด้านใดจึงจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินงานไปได้ และที่สำคัญคือ จะต้องรู้ว่าจะได้ทรัพยากรเหล่านั้นมาได้อย่างไร เช่น คน เวลา ทุน ผู้บริหารต้องขายความคิดเหล่านี้ให้กับพนักงานเพื่อให้ทุกคนรับรู้และสนับสนุนการทำงานของผู้บริหารในการพัฒนาสินค้าใหม่ขึ้นมาในทิศทางเดียวกัน
6.พัฒนาทักษะในการบริหารบุคลากร ทักษะในการบริหารบุคลากร เป็นสิ่งที่จะวัดความสามารถของผู้บริหารในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้ ผู้บริหารจะต้องมีความเป็นผู้นำและสามารถกระตุ้น ให้ทุกคนตระหนักในการทำงาน การเข้าถึงพนักงานด้วยการสอบถามพนักงาน จะช่วยให้ผู้บริหารรับรู้ปัญหาในการทำงาน และนำมาแก้ไขเพื่อให้สามารถปรับปรุงการทำงาน ให้ดีขึ้นได้ และสิ่งสำคัญผู้บริหารจะต้องบอกให้ทุกคนในองค์กรรู้ว่าผู้บริหารต้องการสิ่งใดจากพวกเขา
7.สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาดอยู่เสมอ การแข่งขันในระยะยาวจำเป็นจะต้องมีสินค้าใหม่ ๆ ออกมาสู่ตลาดอยู่เสมอ ผู้บริหารจะต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เช่น คน โรงงาน อุปกรณ์ เพื่อให้สามารถ ออกสินค้าใหม่ได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ในการแข่งขัน ยิ่งถ้าสินค้าใดมีต้นทุนคงที่ต่ำ ยิ่งต้องพยายามออกสินค้านั้นให้เร็วที่สุด เนื่องจากสินค้าลักษณะนี้ จะถึงจุดคุ้มทุนได้เร็ว
8.คำว่า"ขอบคุณ"ใช้ให้ชินปาก ผู้บริหารต้องเรียนรู้ในการพูดคำว่า "ขอบคุณ" กับทุกคนในองค์กรไม่ว่าจะมีตำแหน่งสูงหรือต่ำ คำว่า "ขอบคุณ" เป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลัง เมื่อใช้อย่างเหมาะสม เช่น การที่ผู้บริหารกล่าวขอบคุณพนักงานระดับปฏิบัติที่สามารถแสดงความคิดเห็นที่ดีในการแก้ปัญหาในการทำงาน ย่อมจะทำให้พนักงานรู้สึกดีเป็นอย่างมากและมีกำลังใจในการทุ่มเทการทำงานให้เต็มที่ยิ่งขึ้นไปอีก ผู้บริหารที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่บ้าอำนาจจะเป็นที่รักของลูกน้อง และพนักงานทุกระดับ การทำงานอย่างมีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกลและเป็นไปได้ จะช่วยเติมไฟ และพลังในการทำงานในพนักงานทุ่มเททำงานอย่างมุ่งมั่น และสนุกกับงานที่ทำ อันจะส่งผลให้องค์กรก้าวหน้าสู่ความเป็นหนึ่งในที่สุด

ขอฝากคำคมไว้ว่า

อย่ากลัวล้มทั้งๆที่ยังไม่เริ่มต้น

กลยุทธ์ของการบริการ ด้วยวิธีชนะใจลูกค้าด้วยการบริการ

ในปัจจุบัน ธุรกิจมีการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นต่างฝ่ายต่างงัดเอายุทธวิธีทางการตลาดขึ้นมาใช้ไม่ว่าจะเป็นการลดแลกแจกแถม การคิดค้นสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกธุรกิจจะขาดเสียไม่ได้คือ กลยุทธ์ของการบริการ ซึ่งหมายถึงวิธีชนะใจลูกค้าด้วยการบริการ เบื้องหลังความสำเร็จทางธุรกิจ เรามักพบว่างานบริการเป็นเครื่องมือสนับสนุนงานด้านต่างๆ เช่นงานประชาสัมพันธ์ งานต้อนรับ งานฝ่ายการตลาด เป็นต้นเพราะถ้าบริการดี ลูกค้าเกิดความประทับใจ ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งการบริการยังถือเป็นหน้าเป็นตาขององค์กรทว่าการบริการจะดีหรือไม่ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวของพนักงาน และอีกส่วนขึ้นกับความใส่ใจขององค์กรที่จะพัฒนางานด้านบริการนี้ขึ้นมา
พนักงานนักบริการอย่างแท้จริง
วิธีสร้างนักบริการมืออาชีพองค์กรต้องสรรหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติบุคลิกภาพที่เหมาะสม จากนั้น จึงพัฒนาเทคนิคการบริการให้กับบุคลากร ซึ่งในแต่ละเรื่อง มีรายละเอียด ดังนี้
คุณสมบัติของผู้ให้บริการ สิ่งที่ผู้ให้บริการควรมีเป็นอันดับแรกคือความเป็นคนที่รักในงานบริการ เพราะคนที่รักในงานบริการจะมีความเข้าใจและให้ความสำคัญต่อลูกค้ามีความกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือลูกค้ายิ้มแย้มแจ่มใสและเอาใจใส่ดูแลลูกค้าอดทนอดกลั้นเมื่อถูกลูกค้าตำหนิต่อว่า นอกจากนี้ พนักงานที่ให้บริการควรเป็นผู้รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีด้วย
บุคลิกภาพทั้งลักษณะการแต่งกายที่แลดูสะอาดเรียบร้อยรวมไปถึงอากัปกิริยาที่แสดงออก เช่น การยิ้ม การหัวเราะ การแสดงท่าทางประกอบการพูด สิ่งเหล่านี้ควรเป็นไปโดยธรรมชาติ
เทคนิคการให้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนทนาเพราะการสนทนาเป็นสื่อกลางระหว่างลูกค้ากับผู้ให้บริการการสนทนาให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ มีวิธีการง่ายๆ ดังนี้ สร้างความเป็นกันเอง เพื่อให้ลูกค้าเกิดความอุ่นใจ แสดงความเป็นมิตรโดยอาจแสดงออกทางสีหน้า แววตา กิริยาท่าทางหรือน้ำเสียงที่สุภาพ อ่อนโยน มีหางเสียง อาทิเช่น ขอประทานโทษครับ(ค่ะ) มีอะไรให้ผม(ดิฉัน)ช่วยประสานงานได้บ้างครับ(ค่ะ) กรุณารอสักครู่นะครับ(ค่ะ) เป็นต้น การพูดจาต้องชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจ และไม่เร็วหรือรัวจนลูกค้าไม่รู้เรื่อง
เน้นการฟังเป็นหลัก คือ ผู้ให้บริการควรตั้งใจฟังด้วยความอดทนขณะที่ลูกค้าพูดไม่ควรแสดงอาการที่ไม่พอใจออกมาสบตากับลูกค้าเป็นระยะพร้อมกิริยาตอบรับ
ทวนคำพูด เพื่อแสดงให้ลูกค้าทราบว่าผู้ให้บริการกำลังตั้งใจฟังในเรื่องที่ลูกค้าพูดอยู่
องค์กรเป็นเยี่ยมบริการเป็นยอด
องค์กรมีส่วนสำคัญที่จะช่วยพัฒนางานด้านบริการเป็นอย่างมากเพราะองค์กรถือเป็นแกนหลักในการกำหนดแนวทางการให้บริการเพื่อตอบสนอง ต่อความพึงพอใจของลูกค้าและเทคนิคการพัฒนาระบบงานขององค์กรให้เกิดความสะดวกสบายต่อผู้ใช้บริการ มีดังนี้ จัดระบบการทำงานให้เกิดความคล่องตัว องค์กรควรปรับลดขั้นตอนที่ยุ่งยากให้ง่ายขึ้น เพื่อสร้างการบริการที่สะดวกรวดเร็ว จัดทำลำดับขั้นตอนการให้บริการองค์กรควรจัดทำขั้นตอนการบริการให้ง่ายและไม่ซับซ้อนเพื่อเป็นแนวทางให้ลูกค้าสามารถทำตามได้อย่างถูกต้องและไม่สับสน เรียนรู้ความต้องการของลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ตู้รับความคิดเห็น การสอบถามพูดคุยจากคำตำหนิติเตียนและคำชมเชยต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางปรับปรุงงานบริการในครั้งต่อไป ฝึกอบรมพนักงานให้เกิดทักษะการบริการที่ดีเพื่อนำไปปรับใช้กับส่วนงานที่ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา ไม่มีออฟฟิตใดไร้ความขัดแย้ง ถ้าคุณบอกว่าชีวิตการทำงานที่ผ่านมา 10 ปีของคุณราบรื่นทุกวัน แสดงว่าคุณเพิ่งตื่นจากความฝันหรือไม่ก็กำลังโกหกตัวเองค่ะ เว้นเสียแต่ว่าคนไม่ต้องทำงานกับคนไม่ต้องพบปะมนุษย์เดินดินค่ะ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีมนุษย์สองคนหรือสามคนขึ้นไป มาอยู่รวมกัน จะเพื่อทำงานหรือพบปะสังสรรค์กันด้วยเรื่องใดก็ตาม เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ถกเถียง ขัดแย้ง แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกัน ปะทะกันด้วยคารมและอารมณ์ที่ควบคุมได้ยาก
คนทุกคนมีทั้งด้านบวกและด้านลบในตัวเอง ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคนๆนั้นทำงานโดยใช้ด้านลบของตัวเอง แทนที่จะใช้ด้านบวก ปัญหาอาจเกิดขึ้นโดยขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ หรือมีอะไรบางอย่างมาผลักดันให้ทำลงไป บุคคลผู้ก่อปัญหาส่วนใหญ่มักไม่รู้เลยว่า การกระทำของตนเองนั้นได้ส่งผลต่อความรู้สึกของคนอื่นและไม่รู้ด้วยว่า เมื่อได้ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นแล้ว ผลเสียของสิ่งที่ตนกำลังทำลงไปจะวนกลับมาส่งผลกระทบต่อตนเองในที่สุด
ในโลกของการทำงานอันยุ่งเหยิงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลักเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบุคคลปัญหา ผู้ซึ่งทำให้งานของเรายากขึ้นในทุกวันของชีวิต คนเหล่านี้อาจสร้างปัญหาร้ายแรงที่ทำให้เราโกรธจนทำอะไรไม่ถูก หรือแค่สร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆประจำวันให้เรารำคาญใจ แต่ก็ล้วนทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นในการที่จะทำงานของเราให้ลุล่วง ที่ผ่านมาคุณอาจเคยแก้ปัญหาด้วยการตอบโต้ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งคุณก็รู้ดีว่าการระเบิดอารมณ์ใส่กันนั้น เป็นการแก้ปัญหาแค่ชั่วครู่ชั่วยาม คุณรู้ว่าการข่มขู่โดยใช้อำนาจทำให้คู่กรณียอมจำนน เพราะเถียงสู้ไม่ไหว เป็นวิธีที่ง่ายแต่ไม่พึงประสงค์เลยสำหรับมืออาชีพ ใครจะอยากคาดเข็มขัดแชมป์หรา อยากสวมเหรียญทองคำ เดินกร่างไปมาในที่ทำงาน ที่ไม่มีใครชอบเราเลยสักคน
แม้มนุษย์โหยหาชัยชนะ แต่ก็ไม่อาจมีความสุขอยู่ได้กับชัยชนะที่ปราศจากมิตรภาพ ไม่มีใครเดินชมสวนดอกไม้อย่างเป็นสุขได้ ถ้ารู้ว่ามีคนซุ่มรอลอบยิงอยู่ตามทางเดิน ความก้าวร้าวรุนแรงอาจนำมาซึ่งชัยชนะในระยะสั้น แต่เมื่อทำร้ายจิตใจผู้อื่นบ่อยครั้ง ผู้นั้นจะเริ่มกำชัยชนะกลับบ้านด้วยความโดดเดี่ยวที่อ้างว้าง เพราะชัยชนะ บนความปวดร้าวของผู้อื่น ไม่เคยนำความสุขที่แท้จริงมาให้ใคร ความสำเร็จในการทำงานไม่ได้อยู่ที่คุณทำงานเก่งกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่อยู่ที่การได้รับการยอมรับและชื่นชมจากคนอื่นด้วย งานนั้นต่อให้ยากเย็นเข็ญใจ แต่เมื่อเรามีความสามารถและความเพียร เราย่อมเอาชนะได้ในที่สุด แต่ความสามารถและความเพียรอาจไม่ช่วยให้คนเก่งเอาชนะหัวใจคนได้ คนที่อยู่ท่ามกลางบุคคลปัญหาสารพัดพิษ แต่ยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข และสามารถจัดการงานจนสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิผล นี่สิคือ คนเก่ง อย่างแท้จริง ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่า การเอาชนะใจคนที่เอาชนะยาก เป็นสิ่งท้าทายความสามารถที่สุดในการทำงาน ความจริงที่บาดใจ ก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนสร้างปัญหาและคุณเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่อาจเป็นตัวสร้างปัญหาด้วยเช่นกัน ท่านผู้ฟังค่ะจากที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดนี้เราจะมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร วิธีการที่ดีก็คือ การชนะตนเองให้ได้ก่อนชนะคนอื่น ซึ่งมีความสำคัญมาก คุณจะรับมือกับบุคคลปัญหาไม่ได้ ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เพราะทันทีที่คุณตอบโต้อย่างขาดสติ คุณจะกลายเป็นผู้ร่วมสร้างปัญหาไปโดยปริยาย ดังนั้นขอให้คุณตั้งมั่น อดทน ฝึกฝนเอาชนะใจตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าคุณสามารถปฏิบัติเช่นนี้แม้กับตัวปัญหาที่เจ้าอารมณ์ที่สุดในสำนักงาน ใครๆที่เห็นเหตุการณ์จะหันมามองคุณด้วยความนับถือ และพร้อมจะเข้าข้างคุณ และแม้ความพยายามที่จะ เอาชนะตัวเอง ให้ได้ อาจไม่ส่งผลดีต่อทันตาเห็นในชั่วโมงนี้ แต่รับรองว่าคุณจะได้รับผลดีของมันแน่นอนในอนาคต เมื่อวันหนึ่งคุณเดินเข้ามาในสำนักงานแล้วพบว่า ใครๆก็อยากทำงานร่วมกับคุณ

ผู้นำองค์กรต้องมีทั้งความเก่งและความดี

แม่ทัพใหญ่ นำทัพต่อสู้ให้อยู่รอดและประสบชัยชนะได้นั้นเป็นเรื่องไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ สภาพเศรษฐกิจที่ประสบปัญหากันทั่วโลก สังคมที่มีประชากรโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด มีสภาพขาดแคลน มีไม่พอ ทั้งยังเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ภาวะโลกร้อน การเกิดภัยทางน้ำเช่นคลื่นยักษ์ การเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่ทำลายบ้านเมืองเช่นที่เกิดที่ประเทศจีน ภาวะการขาดแคลนพลังงาน น้ำมันแพง สิ่งแวดล้อมภายนอก เกิดผลกระทบที่สำคัญต่อองค์กร สิ่งแวดล้อมภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน การขัดแย้งกันที่นำไปสู่ความแตกแยก การขาดความสามัคคี ปัญหาด้านจิตใจนั้นใหญ่กว่าปัญหาด้านวัตถุเป็นอันมาก ผู้นำองค์กรต้องมีทั้งความเก่งและความดี มีการปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ และรวดเร็วทันกับความเปลี่ยนแปลง คอยเสริมดี เพิ่มดี เติมดีอยู่เสมอ พื้นฐานแห่งความสำเร็จ คือ ความตั้งใจ ความเพียร สนใจใส่ใจ และหมั่นทบทวนพิจารณาเพื่อปรับปรุงอยู่เสมอ การนำองค์กร อย่างมีขั้นตอนมีดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 1. เป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางให้แก่องค์กร กำหนดวาระในการเปลี่ยนแปลง (Strategic Change Agenda) และกำหนดกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 2. เป็นผู้นำในการวางแผนกลยุทธ์ จัดทำแผนที่กลยุทธ์ (Strategy Maps) กำหนดเป้าหมายที่เหมาะสมในการปรับปรุงพัฒนา และเพื่อดึงให้คนในองค์กรมาร่วมมือกัน
ขั้นตอนที่ 3. เป็นผู้นำในการสร้างความสอดคล้อง (Alignment)ให้เกิดกับทุกหน่วยงาน สื่อสารถึงทิศทางและกลยุทธ์ให้กับทุกคนในองค์กร
ขั้นตอนที่ 4. เป็นผู้นำในการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงกระบวนการที่จำเป็นต่อการดำเนินกลยุทธ์ และเชื่อมโยงแผนกลยุทธ์เข้ากับแผนดำเนินงานและงบประมาณ
ขั้นตอนที่ 5. เป็นผู้นำในการติดตามผลดำเนินงาน ติดตามผลในการดำเนินกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 6. เป็นผู้นำในการปรับปรุงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนดังกล่าวนั้นเป็นการบริหารกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเป็นวงจร หรือที่เรียกว่า Close loop management system ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวเปรียบเสมือน Master Plan จะผูกเครื่องมือในการบริหารย่อยทั้งหมดอีกหลายชนิด
ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญของกองทัพ คือ ขวัญและกำลังใจ หรือพลังจิตของคนในองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ หากผู้นำสูญเสียพลังใจแล้วคงไม่สามารถรบได้ถึงร้อยครั้ง อาจสูญสิ้นตั้งแต่การต่อสู้ในครั้งแรก แต่หากมีพลังใจที่ดีแล้ว สู้ไม่ถอย จะเกิดความพร้อมทั้งแรงกายและแรงใจ อีกทั้งสติปัญญา สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในที่สุด

การก้าวขึ้นสู่การเป็นหัวหน้างาน

ในการปฏิบัติงานในทุกตำแหน่งหน้าที่ ทุกคนปราถนา ถึงความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น แต่การก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นนั้น ต้องทำให้หลายต่อหลายคนที่ต้องประสบปัญหาแตกต่างกันไป การจะก้าวขึ้นสู่การเป็นหัวหน้างาน เป็นผู้บังคับบัญชาคนอื่นหลายคน อาจต้องผ่านความยากลำบาก แต่หลายคนอาจจะไม่ต้องฝ่าฟันอะไรมากนักด้วยเหตุอาจจะเพราะโอกาส หรือจังหวะของชีวิต หรือระดับการศึกษา แต่คนทั้งสองกลุ่มจะหลีกไม่พ้นที่จะต้องพบและเจอเหตุการณ์ และสภาวะใหม่ ๆ ที่ไม่เคยชิน ในตำแหน่งงานของเป็นหัวหน้างานที่คล้าย ๆ กัน บางคนไม่สามารถฝ่าด่านการเป็นหัวหน้างานที่มีประสิทธิภาพได้ จนต้องกลับไปเป็นพนักงานเช่นเดิม หลายคนต้องใช้เวลา และโอกาสหลาย ๆ ครั้งหรือการเปลี่ยนงานหลาย ๆ องค์กร ในการเรียนรู้ ยิ่งถ้าหากการก้าวขึ้นเป็นหัวหน้างานภายในองค์กรก็ยิ่งจะลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ได้รับการโปรโมท หรือได้รับการแต่งตั้งภายในองค์กร ในหน่วยงานเดิม เพราะลูกน้องในวันนี้คือเพื่อนร่วมงานของเราเมื่อวานนี้ ไม่รู้ว่าจะสั่งงานอย่างไรดี จะตำหนิหรือพูดอย่างไรเพื่อน (ลูกน้องใหม่) ถึงจะเข้าใจ ทั้งนี้หากจะมองสภาพที่มาของปัญหาในการเป็นหัวหน้างานมือใหม่ พอจะสรุปได้ดังนี้ค่ะ
1.ปัญหาจากภายใน
ได้แก่ปัญหาที่เกิดจากภายในของตัวผู้ที่เป็นหัวหน้างานมือใหม่เอง ที่ยังคงวางบทบาทตัวเองเป็นเหมือนเก่า ยังคิดว่าเขาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม หรือบางคนก็คิดในมุมกลับมากเกินไปว่าวันนี้เราเป็นหัวหน้าแล้วจะต้องเป็นอย่างที่หัวหน้าคนเดิมเคยเป็น สั่งอะไรได้ทุกอย่าง เพื่อนร่วมงานจะต้องเชื่อฟังในทันทีที่มีตำแหน่งปะหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การยอมรับนับถือไม่ได้มาจากตำแหน่งหน้าที่เพียงอย่างเดียว องค์ประกอบที่สำคัญคือบารมี บารมีสร้างได้โดยอาศัยอำนาจที่มีให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ใช่ว่ามีอำนาจแล้วบารมีจะต้องมาทันที หลายคนบารมีกลับหดหายเมื่อคิดว่ามีอำนาจสั่งการได้ทุกอย่าง เพราะการที่คนเราจะมีบารมีหรือได้รับการยอมรับกับคนอื่นนั้น ต้องรู้จัก “การให้” ก่อน โดยที่มาของบารมี และการยอมต่อคนที่เป็นหัวหน้างานนั้น มีที่มาที่นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของตำแหน่งงาน จาก “การให้” จากทางใด ทางหนึ่งดังนี้
1. มาจากความรู้ ความชำนาญในงาน ความสามารถในการแก้ปัญหางาน ที่มากกว่าคนอื่น การยอมรับของคนเรามักจะยอมรับคนที่เก่งกว่าตนเองค่อนข้างง่าย ในประเด็นนี้มักจะเป็นปัญหาใหญ่กับหัวหน้ามือใหม่ค่อนข้างมาก เพราะหัวหน้างานมือใหม่มักจะเจอข้อจำกัดสองขั้น ขั้นแรกเป็นความใหม่ ความน้อยของประสบการณ์ จึงอาจทำให้การแสดงความรู้ความสามารถไม่รวดเร็ว ชัดเจน และแม่นยำ ไม่ตรงกับความคาดหวังของผู้อื่นเท่าที่ควร ยิ่งต้องเป็นตำแหน่งงานที่เคยมีคนเก่าทำไว้ดีอยู่แล้วยิ่งทำให้ผลงานเกิดการเปรียบเทียบกันมากยิ่งขึ้น เพราะลูกน้องหรือคนดูมักจะเปรียบผลงานในวันสุดท้ายของคนเก่าซึ่งผ่านประสบการณ์มามากแล้ว มาเปรียบกันวันแรก ๆ ของคนใหม่ซึ่งยังไม่ประสบการณ์ เมื่อมองเห็นความผิดพลาดบ่อย ๆ ครั้งเข้าความเชื่อถือก็จะค่อย ๆ ลดลง บางครั้งกลายเป็นความฝังใจไปเลยก็มี ข้อจำกัดขั้นที่สองที่หัวหน้างานมือใหม่มักเจอในกรณีนี้ก็คือ ช่วงห่างของฝีมือ ประสบการณ์ระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้องที่เคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมงาน ยังไม่ห่างกันมากนัก เวลาที่ผ่านมาส่วนใหญ่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในบทบาทหน้าที่ตำแหน่งงานเดียวกัน ทำให้ความรู้สึกในการยอมรับนับถือยังมีน้อย และการแสดงฝีมือ และความสามารถต้องอาศัยเวลา หรืออาจจะต้องเป็นฝีมือหรือความสามารถที่ชัดเจนจริง ๆ
2. ที่มาของบารมี ที่มาจาก “การให้” อีกอย่างหนึ่งคือ การให้ในเชิงความเข้าใจ ให้ในเชิงเข้าใจความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างการเป็น “หัวหน้า” กับ “ลูกน้อง” ต้องเข้าใจว่าลูกน้องกำลังรู้สึกอย่างไรกับ “หัวหน้างานมือใหม่” เพราะลูกน้องเองก็ยังยึดติดกับแนวทางของหัวหน้างานคนเก่าอยู่ รวมทั้งยังเกิดความไม่มั่นใจกับฝีมือ ความสามารถของหัวหน้างานคนใหม่ บางทีบางคนยึดมีใจที่รู้สึกริษยาอยู่ลึก ๆ ถึงการที่ตนเองไม่มีโอกาสเช่นเดียวกับหัวหน้างานมือใหม่ ซึ่งเป็นธรรมชาติปกติของมนุษย์ ดังนั้นการบริหาร สั่งงานจึงควรต้องใช้จิตวิทยาการบังคับบัญชา โดยควรสั่งงานด้วยวิธีที่นุ่มนวล เป็นการขอความร่วมมือ มากกว่าจะเป็นการสั่งการหรือการใช้อำนาจ โดยทั้งสองด้านของที่มาของบารมี เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่หัวหน้างานต้องมี ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง หากไม่มีฝีมือหรือความสามารถในเชิงเทคนิคที่ชัดเจนแล้ว หัวหน้างานจะต้องมีฝีมือ และความสามารถในทางการบริหารและความเข้าใจทีมงาน หากมีทั้งสองด้าน จะทำให้หัวหน้างานนั้นประสบความสำเร็จในการบริหารงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาของหัวหน้างานมือใหม่คือควรจะต้องวิเคราะห์ตนเองในขณะนี้ว่า ทั้งสองด้านของที่มาของบารมีที่กล่าวมานั้น ตนเองมีช่องทางในการสร้างบารมีด้านใดได้ง่ายที่สุด หากมีฝีมือ หรือความสามารถในงานที่โดดเด่น ก็ค่อนข้างจะง่ายในการสร้างการยอมรับจากทีมงาน แต่หากตนเองมีปัญหาของความเป็น “มือใหม่” ทั้งหน้าที่ และบทบาท รวมทั้งความรู้ที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานใหม่แล้ว ขอแนะนำให้รีบดำเนินการสร้างบารมีและการยอมรับในด้านที่สอง คือการบริหารทีมงานด้วยความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วม ขอความร่วมมือจากทีมงาน ควบคู่ไปกับการฝึกฝนพัฒนาความรู้ ความสามารถด้านเทคนิค
2.ปัญหาจากภายนอก
สิ่งที่สำคัญที่หัวหน้างานมือใหม่มักจะรู้สึกแปลกแตกต่าง กับบทบาทหน้าที่ใหม่ก็คือ คนอื่นๆ โดยเฉพาะแผนกอื่น ๆ ผู้บังคับบัญชาในระดับที่สูงขึ้นมักจะจ้องจับผิด หรือตำหนิการทำงานอยู่เสมอ ไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อนเลย ในความจริงแล้วตัวเราเองยังรู้สึกว่าตัวเราเป็นแบบเดิม และรู้สึกกับคนอื่นเหมือนเดิม แต่ในทางตรงกันข้ามคนอื่น โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงานแผนกอื่น ๆ จะเริ่มมองเราด้วยภาพที่แตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้เกิดจากความคาดหวัง เกิดจากความต้องการรับรู้ในผลงานของเราในตำแหน่งใหม่ ๆ ไม่ใช่เกิดจากการที่ต้องการจะจับผิดแต่อย่างใด สิ่งที่หัวหน้างานมือใหม่ต้องทำ ก็คือ การปรับตัว เตรียมใจ เข้าสู่บทบาทใหม่ ให้ลืมวันสุดท้ายของตำแหน่งเก่า ๆ แต่ให้คิดว่าวันนี้คือวันแรกของตำแหน่งใหม่แล้ว ถ้าเราเป็นหัวหน้าเราจะคาดหวังอย่างไรกับ “หัวหน้างานมือใหม่” และ สำคัญคือต้องมีความพร้อมในการวางบทบาทของตัวเองกับตำแหน่งงานใหม่
จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับหัวหน้างานมือใหม่ เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่คนทำงานทุกคนต้องเจอ เพียงแต่จะเจอเร็วหรือเจอช้า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่คนรอบข้าง ตำแหน่งหรือสิ่งแวดล้อม แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่าเราจะวางตัว รับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร