Category Archives: เรื่องเล่า/นิทาน

นิทาน แว่นตาชีวิต

อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน  ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า….

….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่  ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา  ….อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา  ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

…….เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน ……ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน  แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

………ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน  ……..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

………ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย  ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน

คุณเห็นด้วยไหมว่า แว่นตาชีวิตนี่ช่างเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด  ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก

 

นิทาน ทรายเต็มแก้ว

เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม
พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?’ เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท
แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกันเต็มแล้ว…’
เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ  หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ  กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก  เหยือกเต็มหรือยัง ?’
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ เต็มแล้ว…’

เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก  เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง เหยือกเต็มหรือยัง ?’   เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน  หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น

คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์
แน่ใจนะ
แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไงเขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา  ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้

เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์ ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา  ชีวิตเต็มแล้วเต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน

ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า  เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข  ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา

นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?’

เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ

 

นิทาน ปลูกอะไร ได้สิ่งนั้น

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไปเขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดี  ผ่านไปสามสัปดาห์ พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโต แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5  สัปดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป  ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน… จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่” ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้  เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ  เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ” พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก   เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิม  ท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”  จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร และแล้วท่านประธานก็พูดว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม” “ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”

คติธรรม เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ

นิทาน...ไม่พอใจในสิ่งที่มี

มีอีกาฝูงหนึ่งหลังจากกินอาหารเสร็จก็มาประชุมถกปัญหากัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เหล่าอีกาไม่พอใจก็คือ ขนสีดำของมันนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นสีดำสนิทเงางาม แต่พวกมันกลับไม่ชอบ พวกอีกากลับหลงไหลขนอันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ของหงษ์ และก็พากันอิจฉาอยากมีขนสีขาวๆ เหมือนหงส์บ้าง   กาตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า "ข้าว่าเป็นเพราะหงษ์ชอบลงอาบน้ำบ่อยๆ และได้อาศัยอยู่ข้างลำธาร จึงทำให้ขนเป็นสีขาว"    อีกตัวจึงได้พูดตอบว่า "เออ คิดๆ ดูอาจจะจริงอย่างที่นายว่าก็ได้ถ้างั้ นพวกเราควรจะว่ายน้ำกันบ่อยๆ และพักอยู่ใกล้สระน้ำซะเลย เราจะไดัมีขนสีขาวเหมือนหงษ์ไง ..โห..แค่คิดก็เท่ห์แล้ว"       เมื่อทุกตัวลงความเห็นเหมือนกันเรียบร้อยแล้ว พวกอีกาทั้งหมดได้พากันละทิ้งรังเก่าของตัวเอง ที่อยู่กันมานานแสนนาน แล้วอพยพกันไปอยู่ใกล้ๆ กับริมลำธาร เมื่อมาถึงพวกอีกาพากันเฮโลลงไปอาบน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยลืมไปว่าตัวเองนั้นเป็นอีกา พากันเล่นน้ำตลอดทั้งวันทั้งคืนเพราะคิดว่า ยิ่งแช่น้ำนานเท่าไหร่ ยิ่งขาวได้เร็วขึ้นเท่านั้น  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ขนก็ยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม เมื่อกาทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยพากันขึ้นจากน้ำไม่ทันข้ามวัน แต่ละตัวเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ จากนั้นไม่นานก็พากันป่วยไข้ไปตามๆ กัน  อีกาทั้งหลายก็พากันเจ็บป่วยล้มตายกันทีละตัวสองตัว ในที่สุด....ก็เหลือแต่ซากความทรงจำสุดท้าย ของอีกาที่อยากจะเป็นหงส์

นิทาน ...ช่วยให้ผีเสื้อได้บิน

มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพักจนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น 

     เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ 
     
กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกมาจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ ที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอที่จะบินได้ ด้วยความปรารถนาดีของชายผู้นั้น ผีเสื้อตัวดังกล่าวปีกจึงเหี่ยวย่น ไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีกดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน 

      อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคนก็คล้ายๆ กันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อตัวนี้เผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี เราจะคาดหวังว่าคนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน 

นิทาน สุนัขจิ้งจอกกับแพะ

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง กระหายน้ำเป็นอันมาก มันเดินซอกซอนหาน้ำดื่มไปจนทั่ว จนในที่สุดก็พบกับบ่อน้ำบ่อหนึ่งเข้า จึงตรงเข้าไปที่บ่อน้ำนั้น อย่างกระหาย และคิดที่จะดื่มกินให้สมใจอยาก แต่แล้ว ด้วยความประมาท ร่างของมันก็ตกลงไปในบ่อน้ำ มันพยายามปีนขึ้นมาเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีแพะตัวหนึ่งเดินมาที่บ่อน้ำ เห็นร่างของสุนัขจิ้งจอกลอยคออยู่ในบ่อ
     จึงร้องถามขึ้นว่า "ท่านลงไปในบ่อนั้นทำไมกันรึ" สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้นก็คิดอุบายขึ้นได้ทันที
     "ที่ข้าลงมาอยู่ในบ่อนี้ก็เพราะว่าน้ำในนี้มันอร่อยมากน่ะสิ อร่อยจนข้าคิดที่จะดื่มให้หมดเลย"
     "อย่างนั้นเชียวรึ ! " เจ้าแพะผู้โง่เขลาร้องถาม และด้วยความเชื่อมันเลยกระโดดลงไปในบ่อน้ำนั้นโดยไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย สุนัขจิ้งจอกได้โอกาสจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังแพะแล้วปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำได้ในที่สุด ปล่อยให้เจ้าแพะหน้าโง่ลอยคออยู่ในบ่อน้ำนั้น
    "ท่านหลอกลวงข้า" เจ้าแพะโง่กล่าว "เพื่อหวังผลประโยชน์จากข้าเท่านั้น !"
     "ก็คงใช่" สุนัขจิ้งจอกตอบโต้ "  แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความโง่เขลาของเจ้าเอง ที่กระโดดลงไปโดยไม่คิดแม้แต่น้อย ข้าเชื่อว่าขนที่หนวดบนคางของเจ้าน่ะ มีมากกว่ามันสมองของเจ้าที่มีอยู่น้อยนิดเสียอีก"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า::  คนโง่มักตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดเสมอ

นิทาน ใช้ชีวิตอย่างสมดุล

นานมาแล้ว มีพระราชาผู้ซึ่งบอกกับคนขี่ม้าของเขาว่า
ถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไหร่ก็ตาม พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา  คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขาไปอย่างรวดเร็วเพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้  เขาเร่งควบม้าไปเรื่อยๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว  เมื่อเขาหิวหรือเหนื่อย
  เขาไม่หยุดควบม้า เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเขามาถึงจุดหนึ่ง เขาหมดแรง  และกำลังจะตาย เขาจึงถามตัวเองว่า ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน?ตอนนี้เรากำลังจะตายและเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็กๆเพื่อฝังศพตัวเอง  เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตพวกเราพวกเราผลักดันตัวเองอยู่ทุกวันเพื่อให้ได้เงินมาก มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ วกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพ ให้เวลากับครอบครัวและชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว และงานอดิเรกที่เรารัก วันหนึ่งที่เรามองกลับไป พวกเราจะตระหนักว่าเราไม่ได้ต้องการมันมากนัก  แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราพลาดไป ชีวิตไม่ใช่การสร้างเงิน สร้างอำนาจ หรือการยอมรับ ชีวิตไม่ใช่การทำงาน งานเป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุกกับความงามและความพึงพอใจของชีวิต ชีวิตคือความสมดุลของงานและการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว

คุณได้ตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตคุณอย่างไร กำหนดลำดับความสำคัญของคุณเอง  ตระหนักว่าอะไรที่คุณสามารถยอมรับได้ แต่จงตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณของตัวคุณเอง
ความสุขคือความหมายและจุดมุ่งหมายของชีวิต  จุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์
     ดังนั้น สร้างมันง่ายโดยทำในสิ่งที่คุณต้องการจะทำ และซาบซึ้งกับธรรมชาติชีวิตนั้นเปราะบาง ชีวิตนั้นสั้น ใช้ชีวิตอย่างสมดุลในรูปแบบของคุณเองและสนุกกับมัน

นิทาน หมากับเงา

วันหนึ่งมีหมาหิวโซและเห็นแก่ตัวมากตัวหนึ่งเดินหาของกิน มาตามทางด้วยความหิว..< หอมดีจัง? เอ๊ะ..นี่ข้ากำลังได้กลิ่นอะไรนี่..>และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมองหา มันก็ได้แลเห็นหมาตัวเล็ก ๆ ที่ดูท่าทางว่าจะอ่อนแอมากตัวหนึ่งกำลังยืนคาบก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ ที่ดูน่าอร่อยมากยืนอยู่ที่ตรงข้างหน้า...มันจึงเห่าขึ้นแล้วยังแถมแยกเขี้ยวเข้าใส่ ทันที " โฮ่ง ๆๆๆๆ " หมาน้อยตัวเล็กตัวนั้น จึงปล่อยชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่นั้นให้ หลุดออกมาจากปาก แล้วยังแถมหันหลังออกวิ่งโกยอ้าวหนีไปจากที่ตรงนั้นใน ทันทีทันใดเสียอีกด้วย...... " มันจะต้องอร่อยอย่างมากเลยนะนี่..." มันว่าแล้วก็ ตรงเข้าไปงับชิ้นเนื้อนั้นไว้ในปากหมายกินให้หายหิว แต่แล้วมันก็เกิดคิด ขึ้นมาได้ว่าถ้าเกิดมีหมาตัวอื่นที่ได้กลิ่นเหมือน ๆ กันกับมัน แล้วเดินผ่านมา.. บางทีไม่แน่..มันก็อาจที่จะโดนแย่งเอาเนื้อชิ้นนี้ไปได้อยู่เหมือนกัน.. " ไปหาที่อื่นที่เงียบ ๆ กินดีกว่า " และเมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว มันจึงได้ออกวิ่ง...แล้วมันก็ได้วิ่งมาจนถึงที่สะพานข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ขณะที่มันกำลัง เดินอยู่ที่บนสะพานอยู่นั้น มันได้มองลงไปที่ข้างล่าง แล้วได้มองเห็นสุนัขอีกตัวหนึ่ง ซึ่งก็กำลังคาบชิ้นเนื้อที่น่าอร่อยมากชิ้นใหญ่อยู่ที่ในปากเหมือน ๆ กันกับมัน " อ้ายหมาตัวนั้นหน้าตาของมันดูชั่งโง่เขลาสิ้นดี! ..แล้วก็คงถ้าจะไม่แข็งแรง ไปกว่าข้าอย่างแน่นอน...ข้าจะกระโดดลงไป แล้วแย่งเอาเนื้อชิ้นนั้นมาเป็นของข้า อีกอันท่าจะดี " มันรำพึงขึ้นด้วยเกิดความโลภขึ้นมาอย่างมาก " โฮ่ง ๆๆๆๆ " ด้วยลืมตัวมันเห่าขึ้นด้วยเสียงอันดัง ในตอนนั้นชิ้นเนื้อที่มัน งับอยู่ในปากก็มีอันต้องหลุดออกจากปาก แล้วยังแถมตกลงไปที่ด้านล่างทันที...มันต้องสูญเสียชิ้นเนื้อที่มันคาบ มาอย่างน่าเสียดาย ในความเป็นจริง....สิ่งที่มันเห่านั้น ก็คือภาพจินตนาการหรือเงาของตัวมันเอง ที่สะท้อนให้เห็น หมาหิวโซตัวนั้นจึงต้องกลับมาท้องว่าง ด้วยความหิวโหยอย่างเดิม แล้วในที่สุดมันก็เดินจากไปจากที่ตรงนั้น อย่างช้า ๆ...นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า      ความโลภอยากได้ทุกสิ่ง บางทีก็อาจที่จะทำให้สูญเสียของที่สำคัญของตัวเอง ไปได้อยู่เหมือนกัน

นิทาน สามัคคีสยบสิงห์

สิงห์โตวัยหนุ่มตัวที่น้องๆ เห็นอยู่นี้ เป็นสิงห์โตที่เกเรมาก มันมีเพื่อนคู่ใจที่มีนิสัยพอๆ กัน คือ เจ้านกกาทั้งสองจะไปไหนด้วยกันเสมอส่วนเจ้านกกานั้นก็ชอบยุแหย่เจ้าสิงห์โตให้ระรานไปทั่วฝ่ายเจ้าสิงห์โต พอโดนเจ้านกกายกย่องยุแหย่ก็บ้าลูกยอ ฮึกเหิมลำพองใจ" นี่เจ้าสิงห์ ในป่านี้ หรือในโลกนี้ก็ว่าได้ เจ้านะทั้งเก่ง ทั้งเท่ห์ ที่สุดเลยสมกับเป็นเจ้าป่าจริงๆ ข้านะคิดถูกแล้วที่มาคบกับเจ้าเนี่ย!.." เจ้ากาพูดอะ ฮ้า..แน่น๊อน แม้แต่ช้างตัวโตที่สุดบนผืนแผ่นดินนี้ ยังไม่กล้ามายุ่งกะข้าเลยหรือว่าไม่จริง ฮ่าๆๆ..ๆๆ..เอิ๊ก" เจ้าสิงห์คุยซะใหญ่โตด้วยความที่ไม่มีใครมายุ่งและไม่กลัวใคร ก็เลยระรานเขาไปทั่ว  ทั้งสองเดินเที่ยวกันอย่างเพลิดเพลิน จนไปเจอเข้ากับมดแดงรังหนึ่งเจ้ากาพูดยุแหย่ "เอ้ย..ดูนั่นสิเจ้าสิงห์ เจ้าเห็นรังมดแดงนั่นไหม  ช่างใหญ่น่าเตะเสียนี่กระไร ขยี้มันเลยดีกว่าเจ้าพวกตัวกระจ้อยร่อยหมั่นไส้ ดูสิทำเป็นขยัน มันทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอกเจ้าสิงห์ตัวมันเล็กนิดเดียวเอง ขนาดช้างยังกลัวเจ้าเลย เอาเลย"ว่าแล้วเจ้าสิงห์โตผู้ทรนงก็เข้าไปลุยเตะรังมดกะว่าให้บ้านมดพังกระจุยไปเลย พลางบ่นว่า " แก้เซ็งดีกว่าอยู่เฉยๆ เน๊าะฝ่ายเจ้ามดแดงเมื่อรู้ว่าโดนทำร้าย ก็เฮโลเรียกพวกมาช่วยกันต่อต้านเจ้าสิงห์ด้วยการกัดไปตามจุดอ่อน เช่น เข้าไปกัดในรูหู กัดตา กัดในรู จมูก เจ้าสิงห์ถึงกับวิ่งหนีแบบไม่มีทิศทาง ช่างเจ็บปวดยิ่งนัก ฝ่ายเจ้ามดก็พากันดีใจที่สามารถเอาชนะปราบปรามเจ้าสิงห์ได้หัวหน้ามดจึงพูดว่า  " นี่คือผลจากความสามัคคีของพวกเราพี่น้องทุกคน สามารถทำให้เจ้าสิงห์โตเกเรตัวใหญ่หนีไปได้  แม้ว่าเราตัวเล็กแต่ถ้าเราร่วมมือสามัคคีกัน ศัตรูก็ทำอะไรเราได้ยาก ฝ่ายเจ้าสิงห์จอมเกเรต้องมานั่งช้ำใจ ต้องเจ็บตัว และเกิดความสำนึก  ที่มองข้าม ดูถูกสัตว์ตัวเล็กๆ นึกว่าจะรังแกได้ง่าย ยิ่งปวดใจเข้าไปอีก  เมื่อเจ้านกกาจอมยุแหย่บินหนีไปไม่ช่วย สิงห์โตคอตกคิดได้ และคงต้องเลิกเกเรอีกต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า " สามัคคีคือพลัง ร่วมด้วยช่วยกันกระทำการใดก็สำเร็จไปด้วยดี "

การบริหารงานแบบ เจงกิสข่าน

ดิฉันมีเรื่อง เคล็ดลับการบริหารของ เจงกิสข่าน นับรบผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของมองโกเลีย มาเล่าให้ฟังค่ะ   ในวัยเด็กของเด็กชายเตมูจิน ซึ่งลูกชายคนโตของครอบครัวที่บิดาเสียชีวิตในการต่อสู้ระหว่างเผ่า ส่วนมารดาและน้องๆของเค้า ถูกข้าศึกทอดทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว หวังให้อดตาย แต่เตมูจินก็ดิ้นรนด้วยปัญญาสมวัยและนำครอบครัวรอดมาได้ แต่ก็ต้องมาถูกตามล่าในเวลาต่อมาจากศัตรูเก่าของบิดา สัญชาตญาณเอาตัวรอดแต่เด็กทำให้เตมูจินผูกมิตรกับเพื่อนร่วมสาบานของบิดา และได้จามูคา ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานหนุนหลังอีกราย จึงนับว่าการผูกมิตรครั้งนี้  ทำให้เตมูจินได้ตั้งหลักและลืมตาอ้าปากได้

 เจงกิสข่าน จากเดิมเป็นเพียงหัวหน้าเผ่ามองโกล เร่ร่อน เผ่าเล็กๆ เท่านั้น จากเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง จนกระทั่งสามารถได้รับ การสนับสนุนด้านกองกำลัง จากพันธมิตร บวกกับ บุคลิกที่สามารถเป็นผู้นำได้ของเตมูจิน ทำให้เขามองไกลกว่า  การเอาชนะแค่เป็นครั้งๆไป เจงกิสข่านเชื่อว่ามี บัญชาสวรรค์ที่ให้เขาเป็นผู้นำโลก เขาจึงทำในสิ่งที่ ไม่เคยมีหัวหน้าเผ่ามองโกลคนใดเคยทำ นั่นก็คือ ต่อสู้และรวบรวมชนเผ่าต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้ทัพของมองโกล มีชนชาติอื่นๆที่ถูกมองโกลปราบได้รวบรวมอยู่เป็นจำนวนมาก  ท่านผู้ฟังค่ะได้มีผู้กล่าวไว้ว่า ชาวรัสเซียมีกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของมองโกลว่า  แม้แต่สุนัขก็ยังเห่าไม่ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจาก บาตูข่านผู้ยิ่งใหญ่  ต่อมาเจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ชาวเผ่า เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกันทั้งหมด โดยมีเจงกิสข่าน เป็นกษัตริย์องค์แรก ซึ่งต่อมามีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออกจดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันตกไปยังแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางใต้นั้น เจงกิสข่าน เหยียบไปถึงแผ่นดินในเมืองพุกามของประเทศพม่า  จนทำให้มองโกเลียกลายเป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา

ท่านผู้ฟังค่ะ นอกเหนือจากการขยายอาณาจักรออกไปอย่าง กว้างไกลแล้ว เจงกีสข่าน นอกจากจะมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมค่ะ  เนื่องจากให้เสรีในการนับถือศาสนา โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน และเจงกิสข่านก็สามารถพิสูจน์ตัวเองต่อชาวโลกว่า เค้าไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยมเผาบ้านเมืองรวมทั้งถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ประการเดียวค่ะ  รวมทั้งยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ ของฝ่ายตรงข้าม โดยเค้าจะส่งบรรดาช่างฝีมือและผู้มีความรู้เหล่านั้น รวมทั้งทรัพย์สินเงินทอง
ที่ยึดมาได้ จากการบุกโจมตีอาณาจักรเหล่านั้น กลับไปยังมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้ถ่ายทอดวิชาความรู้เหล่านั้นแก่ชาวมองโกเลีย ให้มีความก้าวหน้าในศิลปะวิทยาการต่างๆ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลกโดยไม่มีใครต้านพลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ ตลอดช่วง สหัสวรรษเดียวกันนี้ได้เลยค่ะนักประวัติศาสตร์หลายท่าน ให้ความเห็นตรงกันว่า หากเจงกิสข่านรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่านจะได้ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรกและองค์เดียว ที่ครองโลกได้  ท่านผู้ฟังค่ะโลกในยุคนั้น มีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแถบประเทศจีนไล่ไปจนถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรม กองทัพเจงกิสข่าน จึงตะลุยยึดรัสเซียได้กว่าค่อนประเทศ บุกต่อไปถึงยุโรปกลางและเยอรมัน เตรียมบุกยึด เกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน
กลยุทธ์การจัดกระบวนทัพของเจงกิสข่าน เป็นแบบที่ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยการเดินทัพไปเลี้ยงสัตว์ไป เช่น วัว ควาย
และแพะ ตลอดจน ม้าศึก เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็วและสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ