Category Archives: เรื่องเล่า/นิทาน

สามก๊ก : ซุนกวน

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการในสามก๊ก มาเล่าให้ฟังค่ะ  

ซุนกวน เป็นบุตรชายคนที่สองของซุนเกี๋ยน และเป็นน้องชายของซุนเซ็ก พ่อและพี่ชายซึ่งเป็นนักรบเก่งกล้าสามารถมาก หลังจากซุนเซ็กพี่ชาย เสียชีวิตจึงได้ขึ้นครองแคว้นกังตั๋ง เมื่ออายุเพียง 18 ปี เมื่อเอ่ยถึงซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาของซุนกวนนั้น มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุ 17 ปีโดยแสดงความกล้าหาญในการปราบโจรสลัด จากนั้นทำการปราบปรามกบฎโจรโพกผ้าเหลืองจนได้เป็นเจ้าครองเมืองเตียงสา เคยเข้าร่วมรบกับอ้วนเสี้ยว ในการนำทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองอันมี อ้วนสุด โตเกี๋ยม กองซุนจ้าน ม้าเท้ง โจโฉ ต่อต้านตั๋งโต๊ะที่ยึดเมืองหลวงไว้ การรบครั้งนั้น ทัพพันธมิตรมีจำนวนมาก แต่ออกรบแบบประปราย มีแต่โจโฉและซุนเกี๋ยนเท่านั้นที่นำทัพออกไปรบกับทัพตั๋งโต๊ะ และทั้งสองก็พ่ายแพ้กลับมาทั้งคู่  โจโฉสู้ไม่ได้ เพราะทัพมีกำลังคนน้อยกว่า แต่ซุ่นเกี๋ยนนั้นได้เปรียบในการรบ ซ้ำยังสามารถสังหารแม่ทัพเอกฮัวหยงของตั๋งโต๊ะได้ แต่ต้องถอยทัพกลับเพราะ อ้วนสุดไม่ยอมส่งกำลังสนับสนุนและเสบียงให้ ซุนเกี๋ยนเอาชนะตั๋งโต๊ะและลิโป้ได้ ยึดได้เมืองลกเอี๋ยง หรือ ลั่วหยาง ซึ่งถูกตั๋งโต๊ะเผาเมืองทิ้งไป  แต่ซุนเกี๋ยนต้องจบชีวิตลงในวัย 37 ปีเพราะความลำพอง และประมาทศัตรู ในการทำศึกกับเล่าเปียว ซุนเกี๋ยนบุกเดี่ยวไล่ล่าขุนพลหองจอขุนศึกของเล่าเปียว เลยถูกมือเกาทัณฑ์ซุ่มระดมยิงจนเสียชีวิต ขณะนั้นซุนเซ็กพี่ชายของซุนกวน อายุได้ 18 ปีจึงต้องสืบทอดภาระและกองทัพต่อจากครอบครัว

ซุนเซ็กออกศึกร่วมรบกับบิดาตั้งแต่อายุ 15 ปีมีความห้าวหาญไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ เก่งกาจ มีความสามารถในการบริหารคน สามารถชักจูงคนเก่งๆมาเป็นพวก หลังบิดาเสียชีวิต ซุนเซ็กเข้าไปพึ่งอ้วนสุด เนื่องจากยังไม่มีฐานที่มั่นและทุนทรัพย์ ทั้งๆที่รู้ว่าบิดาและอ้วนสุดบาดหมางกัน อ้วนสุด ใช้ซุนเซ็กในการขยายอิทธิพล จนซุนเซ็กสะสมทุนและเสบียงจนเข้มแข็ง จึงตีจากอ้วนสุดและนำทัพบุกแคว้นกังตั๋งสร้างเป็นฐานที่มั่น ด้วยความที่ซุนเซ็ก ประสพความสำเร็จตั้งแต่หนุ่ม จึงลำพองในฝีมือและประมาทคู่ต่อสู้ออกล่าสัตว์เพียงตามลำพังเป็นประจำ จึงถูกกลุ่มนักฆ่าดักรอลอบสังหารด้วยเกาทัณฑ์พิษ และจบชีวิตด้วยวัยเพียง 26 ปี ซุนกวนจึงได้ขึ้นครองแคว้นกังตั๋งแทนพี่ชาย

ซุนเซ็กเอาใจใส่น้องชายคนนี้มากและให้ติดตามตลอดไม่ว่างานประชุมหรือสังสรรค์  เพื่อปลูกฝังให้น้อง   มีประสพการณ์ด้านการเมืองและการปกครอง ก่อนตาย ซุนเซ็กได้สั่งเสียน้องชายว่า เรื่องภายในให้ปรึกษาเตียวเจียว   เรื่องภายนอกให้ปรึกษาจิวยี่ ซุนกวน  รับตำแหน่งใหม่ๆขุนนางหลายคน ไม่มั่นใจในตัวนาย คิดตีจากไปสวามิภักดิ์กับขุนศึกอื่น ในช่วงวิกฤตนี้ได้ เตียวเจียวและจิวยี่ คอยประคับประคองและสนับสนุน รับรองการเป็นผู้นำ ทำให้คลื่นใต้น้ำในแคว้นกังตั๋งสงบลงได้ ซุนกวน ไม่ใช่นักรบผู้เก่งกล้าดังเช่นพ่อและพี่ชาย จึงไม่ค่อยได้รับการยกย่องเฉกเช่นผู้นำทั่วไปในสมัยนั้น ที่ยึดถือผู้นำต้องรบเก่ง แต่ซุนกวนมีจุดแข็งอยู่ที่  การบริหารปกครองและการบริหารคนที่ทำให้ก๊กของเขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้เป็นก๊กตัวแปรในสามก๊ก ซุนกวนปกครองโดย ให้มีการประชุมขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นในรูปแบบที่ปรึกษาในลักษณะการวิพากษ์วิจารณ์และถกประเด็น แต่การตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่ซุนกวน เนื่องจากแคว้นของซุนกวนอยู่ปากแม่น้ำแยงซีเกียง จึงเป็นแหล่งรวบรวมบัณฑิตและนักปราชญ์ที่หนีภ้ยสงครามมาอยู่อาศัย ทำให้สามารถเลือกใช้คนได้อย่างมากมาย  ซุนกวนมีคนให้เลือกใช้มากกว่าเล่าปี่ ที่พึ่งแต่ขงเบ้ง ซึ่งทำให้ซุนกวนไม่เคยออกรบด้วยตัวเองเลย

สิ่งที่เน้นความสำเร็จของซุนกวน คือ การที่เขาสามารถอยู่ในบังลังค์ของกษัตริย์ ง่อก๊ก ได้ถึง 30 ปีจนสิ้นอายุ  และส่งต่อให้ลูกหลาน ก่อนที่ง่อก๊กจะเสื่อมและถูกยึดโดยสุมาเอี๋ยน แต่เขาก็ไม่สามารถยิ่งใหญ่เทียบพี่ชายและบิดาของเขา ที่เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่คนกล่าวขานกันมา ซุนกวนจึงเป็นได้แค่ผู้นำที่สืบสานความสำเร็จจากพ่อและพี่ชายและบริหารให้ก๊กตัวเองอยู่รอด หลักการบริหารของซุนกวน ผู้นำแห่งง่อก๊ก มีจุดเด่นในการประสานความสามารถของคนรุ่นต่างๆ ได้อย่างลงตัว มิให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ร่วมงาน จนส่งผลต่อการทำงานในภาพรวม โดยแบ่งบทบาท อำนาจหน้าที่ (Authority) อย่างชัดเจน เห็นได้จากซุนกวน ไม่ค่อยนำทัพออกลุยเองเหมือนกับเล่าปี่และโจโฉ แต่ทำหน้าที่ผู้นำทางบริหาร และตัดสินใจในนโยบายสำคัญของแคว้นอย่างเต็มที่มากกว่า

นิโคไล เลนิน

ดิฉันมีเรื่อง วิธีการบริหารจัดการของนักปฏิวัติคนสำคัญผู้ร่วมมือกับ นิโคไล เลนิน ปฏิวัติการเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศรัสเซียให้เป็นสังคมนิยม ต่อมาได้เป็นผู้นำสูงสุดของ ประเทศสหภาพโซเวียตและเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในประเทศแถบยุโรปตะวันออกอีกด้วยซึ่งบุคคลท่านนี้ก็คือ โจเซฟ สตาลิน มาเล่าให้ฟังค่ะ
โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อนี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า) เขาเกิดที่ รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เป็นลูกของช่างทำรองเท้า ส่วนมารดาเป็นคนรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าให้กับบ้านเศรษฐีม่ายคนหนึ่ง พ่อของเค้าเป็นคนอ่อนแอผิดกับแม่ซึ่งเข้มแข็ง ความอ่อนแอของพ่อนี่เองที่ทำให้เขาสงสารพ่อและเกียจแม่ สตาลิน หนีออกจากบ้าน หลังจากทะเลาะกับบิดา แล้วถูกตบด้วยรองเท้า เค้าได้รับการศึกษาที่ไม่มากนัก ด้วยฐานะยากจนและหัวไม่ดี ต่อมาในช่วงปี 1900 สตาลิน เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และปล้นธนาคารในบ้านเกิดของเขาเอง เพื่อเอาเงินไปสนับสนุนพรรค แต่เขาถูกจับได้และถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย บ้างก็ว่าสมัยเขาอยู่จอร์เจีย เค้าได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งไม่มีบันทึกชื่อในประวัติศาสตร์) และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน เมื่อสตาลิน กลับมาจากไซบีเรีย เค้าได้ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ต่อ และตำแหน่งการงานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นคนมีความมักใหญ่ไฝ่สูงมาก จน เลนิน ก็รู้สึกกลัวคนๆ นี้ เพราะเขาเป็นคนไม่มีการศึกษา กิริยาท่าทางก็หยาบคาย แต่ความก้าวหน้าของเขาเป็นได้ จากความจงรักภักดีต่อพรรคของเขานั้นเอง ช่วงราวๆปีคศ. 1910-1920 นี้เอง สตาลินแต่งงานแบบมีบันทึกในประวัติศาสตร์ มีลูกชาย 1 คน (ต่อมาทำหน้าที่เป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่ 2) และลูกสาวอีก 1 คน (ต่อมาแต่งงานกับชาวยิว และลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในอเมริกาหลัง สตาลินตาย)
เมื่อ เลนินตายปี 1923 เขาเสนอชื่อชื่อตัวเองเข้ารับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์ตอนนั้นคู่แข่งของเขาคือ ลีออง สตรอยคอฟ ลังเลเพียงเสี้ยวนาทีในการตัดสินใจเสนอชื่อตนเอง ลีออง เลยต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ เม็กซิโก เพื่อรักษาชีวิตตนเอง แต่เขาก็ถูก สตาลิน ส่งคนไปฆ่า
ในปี 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ คอมมูน มาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรค หรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไปค่ายกักกันและเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไม่มีการสำรวจประชากรว่า ระหว่างที่เขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียต้องตายไปเท่าไร ในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบ นารวม มีคนอดตายอีกเป็นล้านๆ คน โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน เขาสั่งพัฒนาประเทศต่อไปอย่างไม่รีรอ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นกับรัสเซีย สตาลินก็นำสหภาพโซเวียตเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้ โซเวียตอยู่ในฐานะผู้ชนะสงคราม และกลายเป็นหนึ่งในสองอภิมหาอำนาจของโลก สหภาพโซเวียตจึงกลายเป็นประเทศอภิมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกาและเป็นการเริ่มต้นของยุคสงครามเย็นที่มีความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ
สตาลินเสียชีวิตในปี 1953 เมื่ออายุได้ 74 ปี ด้วยเส้นเลือดในสมองแตกขณะเถียงกับ ครุฟซอฟ เรื่องเนรเทศยิวกลุ่มใหม่ไปไซบีเรีย งานศพของเขา มีคนเหยียบกันตายราว 3,000 คน
หลังสตาลินตาย ครุฟซอฟ ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้ง ประณาม ขุดคุ้ย ความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุกๆ ที่ ที่มีรูปปั้น สตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้างๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลิน

ผู้นำแบบ อับราฮัม ลิงเคิล์น

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารจัดการของ อับราฮัม ลิงเคิล์น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 16 หนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยความวิริยะอุสาหะ และด้วยนโยบายเลิกทาส ที่นำอเมริกาสู่สงครามกลางเมือง อันเนื่องจากความไม่พอใจของบุคคลผู้มีอำนาจในบางรัฐ แต่ในที่สุดเขาสามารถชนะสงครามนี้ได้ แต่ความไม่พอใจก็ยังคงครุ
กรุ่นอยู่ และนำมาซึ่งจุดจบในชีวิตของท่าน มาเล่าให้ฟังค่ะ
อับราฮัม ลิงเคิล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลิงเคิล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลิงเคิล์น และแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนา เค้าเกิดในครอบครัวที่ยากจนและลำบาก ในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลิงเคิล์น มาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก มลรัฐเพนซิลวาเนีย ไปยัง มลรัฐเวอร์จิเนีย บางครั้งโธมัส ลิงเคิล์น พ่อของอิบราฮัม ลิงเคิล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน มลรัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อนำเงินสด 200$ นำไปใช้หนี้[4] ครอบครัวของลิงเคิล์น ชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลิงเคิล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย
ในปี ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลิงเคิล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่ เพอร์รี่ มลรัฐอินดีแอนา[5] จากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส
เมื่อลิงเคิล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของลิงเคิล์นเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และอับราฮัม ลิงคอร์นก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน[6]
ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลิงเคิล์น จึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ[7] เมคอน มลรัฐอิลลินอยส์ หลังจากที่พายุฤดูร้อน พัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ปีถัดมา พ่อของลิงเคิล์น ย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ มลรัฐอิลลินอยส์
ลิงเคิล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลิงเคิล์น ยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วย[8] ลิงเคิล์นหลีกเลี่ยงการล่าสัตว์ การตกปลา เพราะเขาไม่ชอบฆ่าสัตว์[9
อับราฮัมเป็นผู้ที่ความอดทน และไม่ย้อท้อต่อตวามลำบากเคยทำแม้กระทั่งคนล้างจานในร้านอาหาร เขาเคยรับราชการเป็นทหารอาสา ได้ยศร้อยเอกในสงครามกับอินเดียนแดง คือสงครามแบล็กฮอว์ก เขาได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติในปีค.ศ.1840 ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1860 ลิงคอร์น ประกาศว่าเขาต่อต้านระบบทาสในสหรัฐอเมริกา[1][2] ลิงคอร์นชนะตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในปี ค.ศ. 1860 และได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในปีถัดมา ระหว่างการดำรงตำแหน่ง ลิงคอร์นได้ช่วยรักษาประเทศ โดยการเป็นผู้นำ ในการถอนตัวออกจาก ผู้สมรู้ร่วมคิดในสงครามประชาชนอเมริกัน ของรัฐบาลกลางสหรัฐในสงครามอเมริกัน เขายังได้แนะนำมาตรการในการเลิกทาส ซึ่งนโยบายอันนี้ได้ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1863 และได้รับการผลักดันให้บรรจุเข้าไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 ในปี ค.ศ. 1865 หลังจากนั้นได้มีการต่อต้านนโยบายของเขาจากรัฐต่างๆ ทำให้เกิดสงครามขึ้น แต่ในที่สุดฝ่ายของเขาก็ได้รับชัยชนะ และได้มีการปลดปล่อยทาส ให้เป็นอิสระในรัฐต่างๆ อับราฮัม ลิงเคิล์น ได้ติดตามในความพยายาม ในการทำสงครามเพื่อชัยชนะอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง ลิงเคิล์นได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ละกลุ่มในพรรครีพับลิกัน เป็นอย่างดี การนำมาของผู้นำแต่ละกลุ่มเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรีของเขา และบังคับให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมมือกัน ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการลดความรุนแรงของสงคราม ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว (Trent Affair) กับสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1864
ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับสงคราม (Copperheads) ได้วิจารณ์ลิงเคิล์นเกี่ยวกับการปฏิเสธ การทำข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการเลิกทาส ความขัดแย้ง โดยเฉพาะพวกรีพับลิกันที่เป็นพวกหัวรุนแรง หัวหน้ากลุ่มที่มีความคิดในการเลิกทาสในพรรครีพับลิกัน ได้วิจารณ์ว่า ลิงเคิล์นออกมาเคลื่อนไหวช้าเกินไป ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการปลุกระดมมวลชนโดยการพูดโน้มน้าวใจประชาชนในที่สาธารณะ อับราฮัม ลิงเคิล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญราคา 1 เซนต์ ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน
อับราฮัม ลิงเคิล์นถูกยิงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1865 เป็นประธานาธิบดีคนแรก ที่ถูกลอบสังหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และทำให้เขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อความสามัคคีของคนในชาติในความคิดของประชาชนคนรุ่นหลัง

นิทาน...ความรัก

ดิฉันมีนิทาน เรื่อง  ความรัก    มาเล่าให้ฟัง  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเรื่องเล่าระหว่างสาวสวยและหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งรักกันอย่างดูดดื่ม...ทั้งสองได้สาบานว่าแม้ความตายก็มิอาจจะพรากรักอันแสนจะมั่นคงนี้ลงได้และในครั้งนั้นยังมีแม่มดตนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะแน่นอนเท่าความไม่แน่นอน แม่มดไม่เชื่อว่าความรักของทั้งสองจะมั่นคงจึงคิดหาทางพิสูจน์ขึ้นมา นางกล่าวว่าหากพวกเจ้ามั่นใจในรักของอีกฝ่าย ซึ่งยั่งยืนแม้ว่าความตายจะพรากดังนั้นข้าก็อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร...ข้าขอสาปให้นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกสักกี่ชาติ บุรุษนี้จะไม่มีทางจำเจ้าได้ เขาจะไม่สามารถจำได้ว่าเคยรักเจ้า และตรงกันข้ามกับเจ้า  เจ้าจะเป็นคนที่จำทุกอย่างได้ เพราะเจ้าจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป  ไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่มีวันตาย จะอยู่อย่างนี้นิรันดร์...เจ้าจะจำเวลาที่เคยรักเขา  เคยเป็นที่รักและต้องเฝ้ารอการกลับมาของเขาในชาติแล้วชาติเล่าตลอดกาล...
"วันใดก็ตามที่เจ้าทำให้เขารู้ตัวว่ารักเจ้าทำให้เขาจำเจ้าได้
วันนั้น...คือวันที่ความเป็นนิรันดร์ของเจ้าสิ้นสุดลง...เจ้าจะแก่และตายตามสภาพ ของอายุขัยที่ควรเป็น...และคราวนี้ก็จะเป็นทีของเจ้าหนุ่มนั่นแทน...เขาจะต้องเป็นคนที่ค้นหาเจ้าบ้าง..."
หลังจากนั้นมาปีแล้วปีเล่าเวลาผ่านไปศตวรรษทบศตวรรษที่หญิงสาวเฝ้าตามหาชายหนุ่มคนรัก  และทุกครั้งที่เธอได้พบเขาในสภาพของใครคนหนึ่ง  ที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย...เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาจำเธอได้

แต่มันไม่เคยสำเร็จชาติแล้วชาติเล่า...หลังจากการเกิดและดับของเขาผ่านไปนับสิบครั้ง  เขาก็ยังไม่อาจระลึกได้ถึงความรักของเธอ...ความทุกข์ทรมานของหญิงสาว  ถูกเฝ้าดูอย่างเย้ยเยาะโดยนางแม่มดผู้รอคอยเวลาที่หญิงสาวจะยอมรับว่า... รักแท้ที่แม้ความตายก็ไม่อาจพรากไม่มีจริง แล้วนางแม่มดก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ในช่วงหลังๆ มาหญิงสาวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ชายหนุ่มระลึกถึงตน ไม่พยายามให้ชายหนุ่มรักตนแต่กลับทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้เขามีความสุข และทำให้เขาเกิดรอยยิ้มแทน...แล้ววันหนึ่งนางแม่มดก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
จึงปรากฏตัวเพื่อเอ่ยถามกับตัวหญิงสาวเอง... "...เจ้าได้ละทิ้งความพยายามของเจ้าเสียแล้วล่ะหรือ...ความพยายามที่จะพิสูจน์
ให้ข้าเห็นอำนาจและพลังของรักแท้ที่เหนือกว่าอำนาจใดๆ แม้กระทั่งคำสาปของข้า..." "จริงๆ แล้ว ข้าก็มีเหตุผลของข้า"
หญิงสาวตอบนางแม่มดกลับไป"...ข้าไม่ได้ละทิ้งความพยายาม...เพียงแต่...ข้ากลัวว่าความพยายามของข้าจะสัมฤทธิ์ผล...แล้ว"
"แล้วเจ้าก็ต้องแก่และตาย"นางแม่มดต่อให้ด้วยเสียงเย้ยหยัน
" ที่แท้เจ้าก็กลัวที่จะตาย เจ้ากลัวจะสูญเสียความเป็นอมตะของเจ้า...เฮอะ นี่หรือรักแท้ของเจ้า"  หญิงสาวไม่ปฏิเสธ นางเผชิญหน้ากับนางแม่มดและรับคำกล่าวหานั้น  "อาจใช่...มันเป็นความจริงที่ข้ากลัวว่าหากข้าทำให้เขาจำข้าและรักข้าได้ข้าจะต้องตายจากเขาไป"  "และเจ้าก็ไม่เชื่อใจว่าเขาจะทำให้เจ้าจำได้เช่นนั้นหรือ?"  หญิงสาวจ้องหน้าแม่มดนิ่งอยู่ ก่อนตอบ
สิ่งที่ข้าเกรงไม่ใช่เรื่องนั้น...ท่านรู้อะไรไหม...
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ข้าเฝ้าเดินทางตามหาเขาเฝ้ารอคอยวันแล้ววันเล่า รอวันที่เขาจะกลับมาหาข้าอีกครั้ง...ตลอดเวลาที่ข้าเฝ้ามองการเกิดและการตายของเขา  มันคือความทรมานอันยาวนานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด...  และสำหรับข้าความทุกข์อันแสนสาหัสคือ การได้เห็นความทรมานของผู้เป็นที่รัก
โดยที่เราไม่อาจเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือได้...
หลายครั้งที่ข้าอยากให้ตัวข้าเห็นแก่ตัวพอที่จะพยายามทำให้เขารักทำให้เขาระลึกถึงข้าได้อีกครั้ง   เพื่อที่ข้าจะได้เป็นอิสระต่อการพันธนาการนี้...แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมัน  ความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับเนื่องจากการรอคอยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ทำให้ข้าคิดได้
...ข้าไม่อาจให้เขาต้องแบกรับความรู้สึกทรมานเช่นที่ข้าได้รู้สึก...
ความรักของข้าอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะตัดสินใจพยายามให้เขาจำข้าได้ต่อไป และจากนี้ต่อไป แม้ว่าข้าจะต้องรอคอยไปชั่วนิรันดร์ สิ่งเดียวที่ข้าจะทำคือ ข้าจะทำให้เวลาของเขามีแต่ความสุขเท่าที่พลังของข้าจะทำได้ ข้าอาจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาก็จริง  แต่ข้าก็ยังอยากเห็นรอยยิ้มของเขา...ข้าอาจเป็นคนอ่อนแอในสายตาของท่านอย่างไรก็ตาม  นี่ก็คือความรักของข้า
คือสิ่งที่ข้าเป็น...แม้ชีวิตของข้าจะต้องเดียวดายตลอดกาลแต่ข้าก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า  คนที่ข้ารักจะไม่มีวันเดียวดายเช่นตัวข้า...เพราะเขาจะมีข้าข้างกายเขาชั่วนิรันดร์ "........................

นิทานเรื่องนี้ไม่มีตอนจบเพราะอยากให้คนที่อ่านจินตนาการถึงตอนจบเอาเอง  ในชีวิตของเรามีหลายช่วงต่อหลายช่วงที่เราคิดว่าเรารักใครสักคนมากมายเหลือเกิน  และหลายต่อหลายครั้งที่ความรักของเราก็ต้องการความรักตอบกลับมา  หลายคนฟูมฟายกับโชคชะตาว่ารักที่ไม่ได้รักตอบคือการสูญเวลาเปล่า...

แต่มีหลายต่อหลายคน...ที่ดีใจกับโชคชะตาที่เกิดมาสักครั้ง
แต่ยังได้รักใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ...  ทุกอย่างในชีวิตมีทางเลือก...ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกทางไหน...หรือ
คุณจะเลือกหรือไม่?คุณจะเลือกทางไหน  ...เปิดประตูรับความรักเข้ามาเพื่อเติมความอบอุ่นให้กับหัวใจแม้เพียงช่วงหนึ่งของชีวิต...   หรือจะมัวแต่ฟูมฟายโทษตัวเองกับความรักที่ให้ไปแต่ไม่ได้รักตอบ...??  ...ทางเลือกเป็นของคุณ...

นิทาน...สิงโตติดหล่ม

ดิฉันมีนิทาน เรื่อง  สิงโตติดหล่ม    มาเล่าให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขา ด้านล่างของเชิงเขาเป็นสระน้ำสระใหญ่ มีหญ้าเขียวสดอ่อนไสวขึ้นตามเชิงเลนขอบสระ สัตว์เล็ก ๆ เช่น กระต่าย แมวป่า ฯลฯ ต่างมาเที่ยวเล่น เล็มหญ้าอยู่ตามเชิงเลนขอบสระกันมากมาย วันหนึ่ง ขณะที่ราชสีห์ยืนมองลงไปที่เชิงเขา ก็พบเนื้อตัวหนึ่งมาเล็มหญ้าอยู่ ราชสีห์ต้องการจับเนื้อนั้นมาเป็นอาหาร จึงกระโดดจากภูเขาสุดกำลัง หวังจับเนื้อให้ได้ แต่ปรากฏว่าราชสีห์ตกลงไปติดในเชิงเลนขึ้นไม่ได้ เท้าทั้ง 4 ฝังลงไปดังเสา ต้องยืนอดอาหารอยู่ถึง 7 วัน ระหว่างนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งหากินเพลินอยู่ก็มาพบเข้าก็ตกใจกลัว ทำท่าจะหนี ราชสีห์จึงขอร้องให้ช่วย "อย่าหนีเลย เราติดหล่มขึ้นไม่ได้มา 7 วันแล้ว ช่วยชีวิตเราทีเถิด"     สุนัขจิ้งจอกเข้าไปใกล้สีหะ พลางกล่าวว่า "เรากลัวว่าเมื่อช่วยท่านได้แล้ว ท่านจะจับเรากินเป็นอาหารเสีย" ราชสีห์ยืนยันว่าอย่ากลัวเลย พร้อมรับรองว่าจะไม่กินสุนัขจิ้งจอก หากแต่จะสนองคุณที่ช่วย สุนัขจิ้งจอกรับคำมั่นสัญญาแล้ว ก็ช่วยคุ้ยเลนรอบ ๆ เท้าของราชสีห์ออก ขุดลำรางให้น้ำไหลเข้ามา ทำให้เลนเหลว จากนั้นก็มุดเข้าไปใต้ท้องราชสีห์ เอาศีรษะดันท้อง พร้อมร้องดัง ๆ ว่า "นาย พยายามเข้าเถิด"   สีหะออกแรงตะกายขึ้นมาจากเลนได้ ก็วิ่งไปยืนบนบกพักเหนื่อยครู่หนึ่ง แล้วลงสระล้างโคลนอาบน้ำระงับความกระวนกระวาย จากนั้นจึงจับกระบือตัวหนึ่ง ฆ่าให้ตาย แล้วฉีกเนื้อมาวางไว้ข้างหน้าสุนัขจิ้งจอก ขอให้สุนัขจิ้งจอกกินก่อน ส่วนตนจะกินทีหลัง   สุนัขจิ้งจอกคาบเอาเนื้อชิ้นหนึ่งวางไว้ เมื่อสีหะถามว่าเนื้อชิ้นนี้เพื่อใคร สุนัขจิ้งจอกก็บอกว่า เพื่อนางสุนัขจิ้งจอก ราชสีห์จึงตอบว่า จงเอาไปเถิด เราเองก็จะเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อนางสิงห์เหมือนกัน  สัตว์ทั้งสองกินเนื้อจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็คาบเนื้อไปฝากนางสุนัขจิ้งจอกและนางสิงห์ โดยราชสีห์ได้ชวนครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกไปอยู่กับตนบนถ้ำที่ภูเขา รับว่าจะเลี้ยงดูให้มีความสุข   สัตว์ 2 ตระกูลนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์ นางสิงห์กับนางสุนัขจิ้งจอกและลูกๆ ของสัตว์ทั้งสองก็สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างดี 

      กาลล่วงมา นางสิงห์คิดว่าไฉนหนอ ราชสีห์สามีเราจึงรักนางสุนัขจิ้งจอกและลูก ๆ ของมันนัก อาจจะเคยลอบได้เสียกันหรือไม่ จึงได้เสน่หามากมาย อย่ากระนั้นเลย เราจะหาอุบายให้นางสุนัขจิ้งจอกไปเสียจากที่นี่ คิดได้ดังนั้นแล้ว ระหว่างที่สีหะสามีตนและสุนัขจิ้งจอกไปหากิน ก็กลั่นแกล้งข่มขู่นางสุนัขจิ้งจอกนานัปการ อาทิว่า ทำไมอยู่ที่นี่นานนัก ไม่ไปที่อื่นบ้าง ส่วนลูกสิงห์ก็ข่มขู่ลูกสุนัขจิ้งจอกเช่นกันเมื่อสุนัขจิ้งจอกกลับมา นางสุนัขจิ้งจอกก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้สามีฟัง และตั้งข้อสงสัยว่า ไม่ทราบว่าที่นางสิงห์ทำไปนั้น ทำไปโดยพลการ หรือทำตามคำสั่งของราชสีห์  สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปหาสีหะและพูดว่า "นาย ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักของท่านก็นานแล้ว ผู้อยู่ร่วมกันนานเกินไป ทำให้ความรักจืดจางลงได้ ผู้ใดไม่พอใจให้คนอื่นอยู่ในสำนักของตนก็ควรจะขับไล่ไปเสียเถิด จะเหน็บแนมเอาประโยชน์อะไรกัน" พร้อมเล่าพฤติการณ์ของนางสิงห์ให้ราชสีห์ฟังทุกประการ พร้อมกับถามว่า" พญาเนื้อผู้มีกำลังอยากให้ใครไป ก็ย่อมไล่ไปได้ นี้เป็นธรรมดาของผู้มีกำลังทั้งหลาย ดูกร ท่านผู้มีเขี้ยวโง้งโปรดทราบเถิดว่า บัดนี้ ภัยเกิดจากที่พึ่งเสียแล้ว"
              ราชสีห์ ฟังคำสุนัขจิ้งจอกแล้วก็ถามนางสิงห์ว่า เป็นความจริงหรือที่ขู่เข็ญนางสุนัขจิ้งจอก นางสิงห์รับว่าเป็นความจริง ราชสีห์จึงว่า นางไม่รู้หรือ เมื่อเราไปหากินครั้งโน้นนานมาแล้ว เราไม่กลับมาถึง 7 วัน เพราะเหตุไร นางสิงห์ตอบว่าไม่ทราบ  สีหราช จึงเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนติดหล่มให้นางสิงห์ฟังและว่า สุนัขจิ้งจอกนี้เป็นสหายผู้ช่วยชีวิตเรา มิตรที่สามารถดำรงมิตรธรรมไว้ได้ ชื่อว่าอ่อนกำลังย่อมไม่มี ตั้งแต่นี้ไปอย่าได้ดูหมิ่นสหายของเราและครอบครัวของเขาเลย พร้อมย้ำว่า" แม้ว่ามิตรเขามีกำลังน้อย แต่เขาดำรงอยู่ในมิตรธรรม เขานับว่าเป็นทั้งญาติ ทั้งพี่น้อง ทั้งมิตรสหาย เธออย่าได้ดูหมิ่นสุนัขจิ้งจอกที่ช่วยชีวิตเราไว้"  นางสิงห์รู้ว่าตนเข้าใจผิด จึงขอขมาโทษ ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งสองสกุลก็กลมเกลียวรักใคร่กันดังเดิม เมื่อพ่อแม่สิ้นชีวิตลงแล้ว ลูกของสัตว์ทั้งสองก็มีไมตรีต่อกันมาถึง 7 ชั่วอายุ

นิทานสอนใจ สิงโตติดหล่ม นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- คนดี หรือแม้สัตว์ที่ดี ย่อมรู้อุปการะที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน และพยายามหาทางทำตอบแทนเท่าที่กำลังความสามารถของตนมีอยู่

นิทาน...ปลาใหญ่กับปลาเล็ก

ดิฉันมีนิทานเรื่อง ปลาใหญ่กับปลาเล็ก   มาเล่าให้ฟัง

ในทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น ตามธรรมชาติก็จะมีพวกสัตว์น้ำต่าง ๆ อาศัยรวมกันอยู่อย่างมากมาย จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และก็แน่นอนที่ในท้องทะเลนั้น จะมีพวกปลาชนิดต่าง ๆกำเนิดขึ้น และพวกปลาเหล่านั้นโดยทั่วไปก็ จะมาอยู่รวม ๆ กันเป็นฝูง ๆ ปลาในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้มี ปลาตัวใหญ่ที่มีนิสัยตะกะตะกาม โลภมากและเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดอยู่ฝูงหนึ่ง พวกมันจะจับ กลุ่มรวมกันอย่างเหนียวแน่น คล้าย ๆ กับพวกนักเลงประจำท้องทะเลแห่งนั้นก็ไม่ปาน ว่ายออก หาอาหารไปเรื่อยๆ พอเจอฝูงปลาที่ตัวเล็กกว่าก็จะตรงเข้าแกล้งและพูดเบ่งบารมี และมักจะแขวะ เอาเสมอ ๆ ว่า
" เจ้าปลาจิ๋ว เจ้าเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กไหมล่ะ ! ฮ่า ๆๆ ถ้าไม่อยากตายเร็ว ๆ ก็ถอยออกไป ให้ไกล ๆ พวกหอย, กุ้ง, ปูและอาหารที่มีอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี้ เป็นของพวกข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์กิน หรอกวุ้ย.. ฮ่า ๆๆ "

เจ้าปลาจิ๋วรีบตอบ
"จ๊ะ ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ ผู้ที่อ่อนแอย่อมต้องถูกกำจัด พวกเราเข้าใจดีจ๊ะ" ว่าแล้ว ก็รีบว่ายหนีหลบไปอยู่ใกล ๆ ทุกฝูงไป ปลาใหญ่นั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งเหิมเกริมบ้า อำนาจมากขึ้นทุกวัน และเมื่อ อาหารนั้นหากินได้อย่างง่ายเพราะไม่มีใครกล้ามาแย่ง พวกมันก็เลยยิ่งตัวใหญ่ขึ้นและอ้วนขึ้นจนจะกลาย เป็นปลายักษ์เข้าไปทุกที ๆ เลยทีเดียว...ส่วนพวกปลาเล็กนั้นเมื่อโดนแย่งพวกอาหารกินเสียจนหมด ไม่ค่อย ได้กินอะไรจึงอยู่กันด้วยความหิวโซมาตลอด นับวันก็จะยิ่งตัวเล็กลง ๆ และผอม จนเหลือแต่กระดูกทุกตัวไป ก็ว่าได้....

และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ได้มีชาวประมงที่เห็นว่าแถวนี้ได้มีปลาว่ายมารวมกันอยู่อย่างมากมาย จึงลงอวน เพื่อจับพวกปลาเหล่านั้น ฝูงปลาต่าง ๆ และเจ้าปลาใหญ่ฝูงนั้นก็เช่นกัน ด้วยไม่ทัน ระวังตัวจึงติดอวนของชาว ประมงเสียแล้ว...พวกปลาต่าง ๆ ตกใจและพยายามว่ายหนีกัน ให้เป็นการใหญ่ เจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายก็พยายาม ที่จะว่ายหนีกัยเขาด้วยเหมือนกัน

แต่ด้วยพวกเจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายนั้นเพราะตัวของพวกมันใหญ่มากอย่างกะปลายักษ์อย่างที่รู้ จึงไม่สามารถที่จะหนีไปทางไหนได้เลย จึงจำต้องติดอวนของชาวประมงไปอย่างน่าสงสาร ส่วน ฝูงปลาเล็กนั้นด้วยตัวเล็กและผอมกันจนจะเหลือแต่กระดูกจึงสามารถว่ายลอดอวนออกมาได้ อย่างง่ายดาย เจ้าปลาจิ๋วเมื่อหลุดรอดออกมาได้ ก็ว่ายไปหาปลาใหญ่ที่ติดอวนอยู่และกำลัง จะถูกยกขึ้นไปสู่ด้านบนอยู่นั้น แล้วพูดว่า
"ปลาใหญ่เอ๋ย ท่านคืออาหารของคน แต่เราไม่ใช่ เราดีใจที่อ่อนแอกว่าท่าน"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า       "เล็กก็เล็กพริกขี้หนู ในบางกรณีการยินยอมเป็นผู้ที่ด้อยกว่านั้นอาจพ้นภัยได้อยู่เหมือนกัน"

นิทาน...หนูบ้านนอกกับหนูในเมือง

นิทานเรื่อง หนูบ้านนอกกับหนูในเมือง      มาเล่าให้ฟังหนูบ้านนอกได้เขียนจดหมายเชิญเพื่อนของมันที่อยู่ที่ในเมือง ให้มาเที่ยวที่บ้านนอก ขึ้น...หนูในเมืองเมื่อได้รับจดหมายแล้ว ก็ตกลงใจเดินทางมาเยี่ยมเยียนในทันที...หนูใน เมืองส่ายหัวและบุ่ยปาก พูดอย่างดูถูกว่า..." อะไรจะ อย่างนี้ เป็นไม่มีอีกแล้ว ดูสิจะมีก็แต่บ้านเก่า ๆกับโรงนาและทุ่งนาแต่เพียงอย่างเดียว ...เฮ้อ..นายทนอาศัยอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร? " หนูในเมืองบ่น แต่หนูบ้านนอกก็ ได้เชื้อเชิญให้เพื่อนเข้าไปในโรงเก็บ ของเก่า ๆหลังหนึ่งที่ตนได้ใช้อาศัยเป็นที่อยู่อย่างนอบน้อม...

"ทำไมถึงได้สกปรกอย่างนี้ก็ไม่รู้ " หนูในเมืองยังบ่นต่อทั้งที่เข้ามาข้างในแล้วก็ตาม หนูบ้านนอก จัดการเอาอาหารที่ตนคิดว่าดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด ออกมาวางไว้บนโต๊ะ..มีถั่ว,ข้าวโพดและเนยก้อนเล็ก ๆ.. " ไม่มีอะไรมากมายหรอก แต่เชิญท่านกินให้ หายเหนื่อยเถอะ" หนูในเมืองมองอาหารบนโต๊ะแล้วพูดว่า
" จริง ๆ ด้วย ไม่เห็นมีอะไรดี ๆเลย " หนูในเมืองพูดจบก็หยิบข้าวโพด ขึ้นมาแทะไปได้คำหนึ่งมันก็คายออกมาแล้วพูดว่า " ของอย่างนี้เรากินไม่ได้หรอก ไม่เห็นจะอร่อยเลย นายทนอยู่อย่างนี้ได้ ยังไง ไปหาเราที่ในเมืองสิ..เราจะ เลี้ยงนายด้วยอาหารที่อร่อยที่สุดและแน่นอนนายจะต้องไม่เคยได้เห็น ให้อิ่มเต็มท้องเลยทีเดียว"

จากนั้นต่อมาอีกไม่นาน หนูบ้านนอกก็ตกลงใจที่จะเดินทางไปหาหนูผู้เพื่อนที่อยู่ที่ใน เมืองตามคำเชิญ แต่เมื่อมันได้เดินทางมาถึงมันต้องตกใจ...เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรที่ มันโกลาหลและขวักไขว่แบบนี้มาก่อนเลย แล้วทันใดนั้น ! ก็มีเสียง..การ่า..การ่า...การ่า...ของรถม้า ดังขึ้น... " จ๊าก..จู้ ๆๆ..ช่วยด้วย" หนูบ้านนอกกระโดดลงไปหลบในท่อน้ำข้างทาง...
"โอ้ย..เกือบแย่เพราะมัว แต่ยืนงง..เกือบจะโดนรถม้าทับตายเลยเห็นไหมนี่?..แค๊กๆๆ" หนูบ้านนอกเดินอ่อนระทวยทั้งเหนื่อยทั้งหิวเพราะต้อง พบปะแต่สิ่งน่ากลัวมากมายจนมาถึงจุด หมายปลายทางคือบ้านที่หนูในเมืองอาศัยอยู่.. " โอ่..ยินดีต้อน รับเพื่อนรักมาพอดีกับเวลาอาหารเย็นและตรงกับที่อาหารกำลังขึ้นสำรับ พอดิบพอดีเสียด้วย..จู้ๆๆ " และเมื่อมันได้ถูกพาเข้ามาในบ้านแล้ว มีโคมไฟอันใหญ่ส่องแสงแวววาว สวยงามอยู่บนเพดาน ใช่แล้วห้องนั้นเป็นห้องอาหาร ที่ใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน...หนูบ้านนอก ล่ะให้เป็นตื่นเต้นไปหมด..

หนูในเมืองได้บอกให้มันปีนขึ้นไปบนโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงกลางห้อง ตั้งแต่เกิดมามันยังไม่เคยเห็น อาหารอะไรมากมายและ น่ากินแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ... " ว้าว..น่ากินทั้งนั้นเลย " และด้วยกำลังหิวจึง ตรงเข้าไปหาอาหารที่เห็นข้างหน้าทันที ! แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลิ้มรสสิ่งใดเลยสักนิด..พลัน!ก็มีเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้น " ว๊าย ! ไอ้หนูขี้ขโมย ! เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวฆ่าให้ตายหมดเลย..โคร่า !.." คนใช้ที่เป็นคนทำอาหารนั่นเอง..เขาฉวย ไม้กวาดได้ก็ไล่ตี..ควับ .!.ควับ !.ให้ทันที... หนูทั้งสองตกใจ วิ่งหลบไม้กวาดมรณะกันให้วุ่นวายไปหมด พอลงมาจากโต๊ะได้ก็พร้อมใจกันวิ่งแจ้น หนีเข้าไปหลบในรูที่อยู่ตรงข้างฝา ทันทีทันใด ! ด้วยความกลัวอย่างสุด ๆ....

" แฮ๊ก ๆ ๆ ..ตกใจหมดเลย ! แต่ไม่เป็นไร ?หรอกเพื่อนรัก..เดี๋ยวหายเหนื่อยแล้ว เราจะพา นายไปกินอีกที่..เป็นการแก้ตัวแล้วกัน " หนูบ้านนอกเอามือทาบอก ด้วยความเหนื่อย แล้วพูดกับ หนู ในเมืองว่า " แต่ว่า..เห็นทีว่าเราจะไม่ขอเล่นด้วยแล้ว ! เราต้องขอขอบคุณในความหวังดีของท่าน แต่ อาหารที่สุดสยอง ! ต้องเสี่ยงและต้องแลกกับมันด้วยความเป็นความตาย..เราไม่อยากกินแล้ว! ต่อให้มัน อร่อยแค่ไหนก็ตามเถอะ ! เราคิดว่าเรากลับไปกินพืชผักที่บ้านนอก ของ เราดีกว่า ถึงจะไม่อร่อยแต่ก็ไม่ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลกที่เป็นอยู่มา เราก็มีกินอิ่มท้องทุกวันและอยู่อย่าง มีความสุขดีแล้ว..." หนูบ้านนอกตอบหนูในเมืองเสร็จ ก็ลากลับไปที่บ้านนอกของมันทันที......นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า      ความพอดีและพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เลิศที่สุด..ชีวิตที่เพียงพอและเรียบง่ายย่อม เป็นสุขกว่าชีวิตที่ต้องคอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา...ว่าไหม                                                        

นิทาน...ลิงล้างหู

วันนี้ดิฉันมีนิทานเรื่อง ลิงล้างหู    มาเล่าให้ฟังกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าใหญ่มีลิงอยู่ฝูงหนึ่ง พญาลิงที่เป็นจ่าฝูงเป็นลิงเผือก มีรูปร่างงดงามมาก วันหนึ่งนายพรานไปพบลิงงามตัวนี้เข้า ก็นึกอยากได้รางวัล จึงไปทูลพระราชาว่า มีลิงรูปร่างงดงามมากอยู่ในป่า พระราชาก็รับสั่งให้ไปจับมาถวาย พอเห็นพญาลิงเข้าท่านก็รัก เพราะงาม และฉลาด เป็นลิงโพธิสัตว์ ท่านก็อ้อนวอนให้ลิงอยู่ในวัง และให้อิสระ จะเดินเที่ยวเล่นในวังอย่างไรก็ได้        
       เมื่อได้รับอิสระ พญาลิงนั้นก็ได้ออกเที่ยวตามตำหนักต่าง ๆ แต่ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด ก็ได้ยินคนพูดกันแต่เรื่องตัวเอง (หรือก็คือ การยึดถือในตัวกู ของกู) ทั้งเงิน บ้าน ทรัพย์สิน อะไร ๆ ก็เป็นเรื่องของตัวเองไปทั้งหมด เมื่อพญาลิงอยู่ในสิ่งแวดล้อมดังกล่าวนานวันเข้า จิตใจก็อ่อนแอ นอนเพลีย ไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ผู้ดูแลเกิดความวิตก เกรงว่าพญาลิงจะไม่สบาย จึงไปทูลพระราชาให้ทรงทราบ       
       พระราชาได้ยินดังนั้นจึงเสด็จมาเยี่ยม แล้วทรงถามว่า "เป็นอะไรไปล่ะถึงไม่กินข้าวกินปลา"
       พญาลิงตอบว่า "ถ้าอยากจะให้กินข้าวกินปลา ขอได้โปรดปล่อยหม่อมฉันเข้าไปอยู่ในป่าตามเดิมเถิด เพราะไม่อยากได้อะไรทั้งนั้นแล้ว"       
       พระราชาจึงประทานอนุญาตให้คนพาพญาลิงเข้าไปส่งในป่า              พอไปถึงในป่า พวกลูกน้องลิงพากันออกมาต้อนรับด้วยความดีใจที่พญาลิงได้กลับมาอยู่ป่าตามเดิม และขอให้พญาลิงเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ไปเห็นมาว่าในบ้านเมือง ตำหนักราชวังเขามีอะไรบ้าง หรือมนุษย์เขาคุยกันเรื่องอะไรบ้าง
           พญาลิงได้ยินคำถามก็เบือนหน้าหนี บอกว่า อย่าถามเลย ไม่อยากพูด แต่ก็ยิ่งทำให้พวกบริวารลิงยิ่งเซ้าซี้ สุดท้ายพญาลิงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร จึงตัดใจเล่าให้ฟังว่า      
       "สิ่งที่พวกมนุษย์พูดกันนั้น ไม่เห็นมีอะไร นอกจากของกู ไอ้นั่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู"
              บริวารได้ยินดังนั้นจึงรีบร้องให้พญาลิงหยุดเล่า พร้อมปิดหูพากันวิ่งลงน้ำ เอาน้ำล้างหูที่ได้ยินคำสกปรกอย่างนั้น โดยฝูงลิงเห็นว่า พวกมนุษย์มีแต่ความเห็นแก่ตัว อะไรก็จะเอาเป็นของกู ทั้ง ๆ ที่ต้องเบียดเบียนคนอื่นกว่าจะได้มา ซึ่งหากเราพิจารณาธรรมชาติ เราจะเห็นต้นหมากรากไม้ สัตว์ป่า ไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่ ต้นเล็กต้นใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ไม่เห็นแก่ตัว แต่มนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ฝูงลิงพากันไปล้างหูเพราะรู้สึกว่าสกปรกหูมากเหลือเกินที่ได้ยินถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์       
       และเมื่อมีพญาลิงกลับมาอยู่เป็นจ่าฝูงตามเดิม ลิงทั้งฝูงก็อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่สนใจสังคมมนุษย์อีกเลย

นิทาน ...กว่าจะมาเป็นวันขึ้นปีใหม่

ในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2555 นี้  ดิฉันมีเรื่อง  กว่าจะมาเป็นวันขึ้นปีใหม่    มาเล่าให้ฟัง  เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ เผลอเดี๋ยวเดียว ปี พ.ศ. 2554 ก็สิ้นสุดลง เริ่มต้นศักราชใหม่ ปี พ.ศ. 2555 กันแล้ว เรื่องราวความเป็นมาของวันขึ้นปีใหม่นั้นนับว่ามีประวัติยืดยาว กว่าจะมาเป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยและความเหมาะสมมาไม่น้อย   เริ่มต้นจากยุคแรก ๆ ที่ชาวบาบิโลเนีย คิดค้นใช้ปฏิทินโดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี แต่การนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาลจะมีระยะเวลาต่างกันอยู่ จึงเพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน รวมเป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี
ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนีย มาดัดแปลงแก้ไขอีกหลายครั้งเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้น จนถึงสมัยกษัตริย์จูเลียส ซีซาร์ ปรากฏว่าการนับวันเดือนปีทางจันทรคติได้คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงถึง 3 เดือน แทนที่จะเป็นฤดูหนาวกลับยังเป็นฤดูใบไม้ร่วง พระองค์จึงนำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ที่ชื่อโยซิเยนิส มาปรับปรุงซึ่งเป็นการยกเลิกการนับตามจันทรคติและให้ใช้การนับทางสุริยคติแทนโดยการคำนวณขยายปีออกไป ให้เดือนและฤดูกาลตรงกับความเป็นจริง ให้ปีหนึ่งมี 365 กับ ¼ วัน แต่เพื่อความสะดวกจึงให้ปีปกติมี 365 วัน และทุก ๆ 4 ปี ให้เพิ่มวันอีก 1 วัน เรียกกันว่าปีอธิกสุรทิน คือปีที่มี 366 วัน ซึ่งเป็นการนับปฏิทินตามระบบซีซาร์ ประกาศใช้เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 497 (46 ปีก่อนคริสตศักราช) คือกำหนดให้เดือนต่าง ๆ มี 31 และ 30 วันสลับกันไป เว้นแต่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน แต่ถ้าเป็นปีอธิกสุรทิน จึงเพิ่มเป็น 30 วัน แต่พอถึงสมัยจักรพรรดิ ออกุสตุสก็ได้ปรับปรุงปฏิทินเป็นแบบยูเลียน กำหนดให้เดือนหนึ่งมี 30 วัน และมีวันเพิ่ม 5 วันเรียกอธิกวาร ลดเดือนกุมภาพันธ์เหลือ 28 วัน ปีไหนเป็นปีอธิกสุรทินจึงมี 29 วัน และเพิ่มวันในเดือนสิงหาคมจาก 30 วันเป็น 31 วัน แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องทำให้วันเวลาผิดไปจากความจริงคือทุก 128 ปีจะมีวันเกินความเป็นจริงไป 1 วัน ถ้าทิ้งไว้ก็จะคลาดเคลื่อนมากขึ้นทุกที เพราะวันในปฏิทินจะยังไม่ตรงกับฤดูกาลจริง คือเวลาในปฏิทินจะยาวกว่า ทำให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน  และในวันที่ 21 มีนาคม ตามปีปฏิทินของทุกปี จะเป็นวันที่เวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออกและตกตรงทิศตะวันตกพอดี ในวันนี้นี่เองทั่วโลกจึงมีเวลา 12 ชั่วโมงเท่ากัน เรียกกันว่า เป็นวันทิวาราตรี เสมอภาคมีนาคม (Equinox in March) แต่พอเอาเข้าจริง ในปี พ.ศ. 2125 วันที่ว่านี้ กลับไปเกิดในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม พระสันตะปะปาเกรกอรี่ที่ 13 แห่งโรม จึงได้ประกาศเลิกใช้ปฏิทินแบบยูเลียน ได้ปรับปรุงหักวันออกจากปีปฏิทิน 10 วัน โดยกำหนดให้หลังวันที่ 4 ตุลาคม เป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทนเฉพาะในปี พ.ศ2125 เท่านั้น และกำหนดเพิ่มว่าหากปีไหนตรงกับปีศตวรรษ ห้ามให้เป็นปีอธิกสุรทิน ยกเว้นปีนั้นจะหารด้วย 400 ลงตัว เช่น ปี ค.ศ. 1600, 2000, 2400 ฯลฯ จึงจะเป็นปีอธิกสุรทินได้
แต่ถึงกำหนดไว้เช่นนั้น วันเวลาก็ยังจะมีการคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่ก็ต้องใช้เวลากว่าสามพันปีจึงจะผิดไป 1 วัน การคำนวณปฏิทินแบบใหม่นี้เรียกว่าปฏิทินเกรกอเรียน ซึ่งนิยมใช้มาจนถึงทุกวันนี้ และได้ประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เกี่ยวกับวันขึ้นปีใหม่ของไทยเราเอง ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งเหมือน กัน ซึ่งพอจะสรุปได้เป็น 4 ระยะด้วยกัน
เริ่มต้นที่จารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ ได้ถือเอาวันแรม 1 ค่ำเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคติแห่งพุทธศาสนาและเหมือนหลาย ๆ ชาติที่ถือเอาฤดูหนาวเป็นการเริ่มต้นของปี เพราะคนสมัยก่อนเห็นว่า ฤดูหนาวเป็นช่วงที่ผ่านพ้นฤดูฝนอันมืดครึ้ม สว่างเหมือนเวลาเช้า ส่วนฤดูร้อนเป็นช่วงที่สว่างเหมือนเวลากลางวัน และฤดูฝนเป็นเวลามืดหม่นคล้ายเวลากลางคืน เขาจึงนับฤดูหนาวซึ่งมักตรงกับเดือนอ้ายของไทยที่สว่างเหมือนเวลาเช้าเป็นการเริ่มต้นแห่งปี นับช่วงฤดูร้อนเป็นกลางปี และช่วงฤดูฝนเป็นปลายปี
ต่อมาในระยะที่สอง ไทยเราได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 คือราว ๆ ช่วงสงกรานต์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนไปถือตามคติพราหมณ์ที่นับวันทางจันทรคติ โดยใช้ปีนักษัตร (ชวด ฉลู ขาล เถาะ ฯลฯ) และการเปลี่ยนจุลศักราชเป็นเกณฑ์
วันขึ้นปีใหม่ แม้จะเป็นเพียงสิ่งที่คนเราสมมุติขึ้นมาก็ตาม แต่ก็มีความหมายและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์และเป็นสิ่งที่ดี เหมือนมีหลักให้เราได้มีเวลาพักตั้งตัวและเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้งในแต่ละช่วงของชีวิต เราน่าจะใช้วันขึ้นปีใหม่เป็นโอกาสในการพิจารณาและทบทวนตนเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านไป 1 ปี เราได้ใช้เวลาเหล่านั้นอย่างคุ้มค่าหรือไม่ เราได้กระทำคุณงามความดีหรือทำสิ่งไม่ถูกต้องไว้อย่างไรบ้าง แล้วหาโอกาสกระทำความดี ปรับปรุงแก้ไข และวางแผนดำเนินชีวิตตนเองให้ก้าวหน้าต่อไป
วันขึ้นปีใหม่เป็นช่วงที่ดีแห่งการเริ่มต้นและการรับสิ่งใหม่อันเป็นมงคลแก่ชีวิตเข้ามา เราจึงควรใช้ฤกษ์ที่ดีงามนี้ตั้งจิตอธิษฐานให้รู้จักรักตัวเองให้มากขึ้น ด้วยการดูแลรักษาตัวเราให้ดีพร้อมทั้งกาย วาจา และใจ ตลอดจนเผื่อแผ่ความรักนี้ไปยังเพื่อนร่วมโลก เพื่อให้โลกของเราเป็นโลกที่น่าอยู่ตลอดไปคะ

พอมาถึงระยะที่สาม เนื่องจากวันสงกรานต์ตามวันทางจันทรคติ เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติ มีความคลาดเคลื่อนกันไปในแต่ละปี ดังนั้น ในวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปี พ.ศ. 2432 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงทรงเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เมษายน นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเพื่อให้วันปีใหม่ตรงกันทุกปี ซึ่งนับเป็นการใช้ปฏิทินแบบใหม่ตามสุริยคติอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ในยุคนั้นจึงถือเอาเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี แต่ถึงแม้เราจะใช้ปฏิทินทางสุริยคติแล้วก็ตาม เราก็ยังใช้การนับทางจันทรคติควบคู่กันไปด้วย
ส่วนในระยะที่สี่ คือ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลสมัย จอมพล ป. พิบูลสงครามได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ไทยให้เป็นไปตามแบบสากลนิยม คือวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี โดยให้เหตุผลว่า วันดังกล่าวกำหนดขึ้นโดยการคำนวณด้วยวิทยาการทางด้านดาราศาสตร์ และเป็นที่นิยมใช้มากว่าสองพันปี อีกทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิ ศาสนา หรือการเมืองของชนชาติใด กลับสอดคล้องกับจารีตประเพณีไทยแต่โบราณที่ใช้ฤดูหนาวเป็นต้นปี จึงทำให้เรามีวันขึ้นปีใหม่ตรงกับนานาประเทศเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา
ฟังธรรม ถือศีลปฏิบัติธรรม บ้างก็ทำบุญตักบาตร

นิทาน... สิบสองนักษัตร

นิทานจีน ก็เล่ากันมาว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว โลกนี้ยังไม่มีวิธีนับวัน นับเดือน นับปี คนในโลกยังไม่มีใครรู้วันเดือนปี ไม่รู้จักอายุกัน ตอนนั้นเง็กเซียนฮ่องเต้เจ้าแห่งสวรรค์มีดำริว่า ชีวิตคนเกี่ยวข้องผูกพันกับสัตว์มากมาย หากจะใช้ชื่อสัตว์มาเป็นชื่อนับปีก็จะง่ายแก่การจดจำ ท่านจึงคิดจะทำการคัดเลือกประเภทของสัตว์เพื่อมาตั้งชื่อปีอย่างยุติธรรม จึงได้มีประกาศให้ทราบว่าจะมีการแข่งขันว่ายน้ำเพื่อคัดเลือกสัตว์แต่ละชนิดมาเป็นชื่อของปี จำนวน 12 ชื่อ โดยจะตั้งชื่อตามลำดับ สัตว์ต่าง ๆ ก็พากันตระเตรียมตนเองอย่างเต็มที่ ตอนนั้นหนูยังเป็นเพื่อนกับแมวอยู่ พอหนูรู้ว่าแมวจะไปแข่งขันด้วยก็วางแผนหลอกแมว บอกว่าวันรุ่งขึ้นที่จะมีการแข่งขันสัตว์โลกนั้น พี่แมวไม่ต้องห่วง พี่แมวนอนรออยู่ที่บ้านเถอะ หนูจะมาปลุกเอง แล้วเราจะเดินทางไปด้วยกัน เข้ารอบพร้อมกัน แมวก็ชะล่าใจคิดว่าหนูเป็นเพื่อนที่ดีเห็นแมวชอบนอนหลับ กลัวจะไปแข่งขันไม่ทันเลยจะมาปลุก ไม่ได้รู้เลยว่าถูกหนูหักหลังซะแล้ว พอวันรุ่งขึ้นที่เป็นวันแข่งขัน หนูไม่มาปลุก แมวก็เลยไม่ได้ไปเข้าร่วมแข่งขันด้วย เพราะเอาแต่นอนเพลิน  หนูหลอกแมวแล้ว ก็รอจนฟ้าสางไม่ยอมนอน พอถึงวันแข่งขันซึ่งเง็กเซียนนฮ่องเต้ให้สัญญาณ หนูก็รีบออกวิ่งทันที แต่มาจนแต้มเมื่อมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ เพราะมันว่ายน้ำไม่เก่ง น้ำไหลเชี่ยวด้วย ไม่รู้จะทำยังไง เห็นวัวมาถึงก็ไปบอกวัวว่าให้ช่วยพาข้ามน้ำไปด้วยเถอะ ถ้าถึงเส้นชัยแล้วจะสละตำแหน่งให้วัว  วัวสงสารหนู ก็เลยให้หนูขี่หัวข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน ครั้นพอไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง หนูก็ลงจากหัววัววิ่งพรวดพราดถึงเส้นชัยก่อนวัว เง็กเซียนฮ่องเต้จำต้องตัดสินให้หนูเป็นผู้ชนะเพราะมันมาถึงก่อนตามกติกา ปีแรกนี้จึงเป็นปีหนูเรียกว่าปีชวด วัวมาถึงเป็นอันดับที่สอง เราจึงเรียกปีที่สองซึ่งเป็นปีวัวว่าปีฉลู
ส่วนเสือนี่แม้จะได้เปรียบสัตว์อื่นเพราะเป็นพญาแห่งสัตว์ป่า มีกำลังแข็งแรง ฝีเท้าดี แต่วิ่งมาถึงเป็นลำดับที่สามเพราะมัวแต่รังแกข่มเหงและจับสัตว์เล็ก ๆ กินตามทางเรื่อยมา เราเรียกปีเสือว่าปีขาล
ส่วนกระต่ายแม้จะกระโดดได้คล่องแคล่วว่องไว แต่ที่มาช้าเพราะกลัวเสือจะจับกิน ก็เลยต้องหลบไปหลบมาอยู่หลังเสืออย่างระมัดระวัง จึงมาถึงเป็นอันดับที่สี่ เราเรียกปีกระต่ายว่าปีเถาะ
มังกรหรืองูใหญ่เป็นสัตว์ที่เก่งสุด เผ่นโผนโจนทะยานในเมฆหมอก ว่ายน้ำก็เก่ง เง็กเซียนฮ่องเต้เห็นมันได้เปรียบสัตว์อื่น เกรงไม่ยุติธรรม จึงมีคำสั่งให้มังกรหรืองูใหญ่ไปทำหน้าที่โปรยฝนที่มณฑลเจียงตงก่อน แล้วจึงมาแข่งขัน จึงทำให้มังกรมาถึงล่าช้าเล็กน้อยได้เป็นอันดับที่ห้า เราเรียกปีงูใหญ่ว่าปีมะโรง
งูเล็กนั้น แรก ๆ ก็ว่าจะไม่กระโดดเข้าสนามแข่งหรอก แต่ถูกเย้ยหยันจากลิงว่าต่อให้เลื้อยจนสันหลังหัก ก็สู้ใครไม่ได้หรอก รอให้มีขางอกก่อนแล้วค่อยไปแข่งดีกว่า งูเล็กเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เกิดความฮึกเหิมเลื้อยอย่างรวดเร็วจนนำหน้าลิงไป เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หก เราเรียกปีงูเล็กว่าปีมะเส็ง
ส่วนม้าแม้เป็นสัตว์ที่วิ่งเร็ว แต่ใจร้อน หลับหูหลับตาวิ่งจนหลงทาง กว่าจะเข้ามาตามเส้นทางที่เขากำหนดก็เสียเวลาไปมาก จึงมาถึงเป็นอันดับที่เจ็ด เราเรียกปีม้าว่าปีมะเมีย
แพะนี้เข้าแข่งขันอย่างซื่อสัตย์จริงจัง ก้มหน้าก้มตาวิ่งเพื่อฝึกฝนความอดทนของตนเอง ไม่ได้คิดแข่งขันกับใครเพื่อเอาชื่อเสียง เวลาวิ่งไปก็ยิ้มไป เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่แปด เราเรียกปีแพะว่าปีมะแม

แต่เจ้าลิงที่มัวแต่เยาะเย้ยงูและเล่นซุกซน หยอกล้อ รังแกผู้อื่น วิ่งขวางทางบ้าง มัวแต่ทำเล่นจนกระทั่งกวางดาวตัวหนึ่งรำคาญเจ้าลิงเจ๊าะแจ๊ะนี้มาก ถึงกับยอมออกจากสนามแข่งขันไป แต่ลิงนี่ขนาดมันซุกซนเที่ยวยุ่งเรื่องชาวบ้านเขามันยังเข้ามาติดอันดับที่เก้า เราเรียกปีลิงว่าปีวอก
เจ้าไก่เป็นสัตว์ปีกก็เข้าแข่งขันกับเขาด้วย มันบินก็ไม่เก่ง ว่ายน้ำก็ไม่ค่อยได้ พอมาถึงแม่น้ำ มันก็อาศัยเกาะขอนไม้ท่อนหนึ่งลอยเคลื่อนตามผู้อื่นไป เรียกว่ายังมีความฉลาดเฉลียวอยู่พอสมควร กระนั้นก็มาถึงเส้นชัยเป็นอันดับที่สิบ เราเรียกปีไก่ว่าปีระกา
ส่วนหมานั้นชอบเล่นสนุกสนาน ตอนวิ่งมาก็ทำเวลาได้ดี แต่พอมาเห็นน้ำก็มัวเพลินมุดน้ำเล่นไปมา มารู้ตัวอีกทีก็เห็นคู่แข่งเขาวิ่งไปไกลแล้ว มันมาถึงเส้นชัยเป็นอันดับที่สิบเอ็ด เราเรียกปีหมาว่าปีจอ
เมื่อมาถึงหมู หมูเอาแต่กินกับนอนไม่สนใจการแข่งขัน จนเที่ยงแล้วมันยังนอนไม่ลุก พอได้ยินเสียงเขาแข่งขันกันก็ยังทำท่าขี้เกียจ ครั้นพอได้ยินเสียงดังมาก ๆ คล้ายกับกำลังแย่งอาหารกัน เห็นสัตว์วิ่งไล่กันไป เพราะความอยากกินนี่ล่ะ มันก็เลยรีบวิ่งอย่างรวดเร็ว ตามสัตว์อื่น ๆ ไปถึงเส้นชัยได้อย่างไม่น่าเชื่อ คำแรกที่หมูไปถึงเส้นชัยมันถามเพื่อน ๆ ว่ามีอะไรอร่อย ๆ ให้กินหรือ เวลานั้นมันจึงได้รู้ว่าที่เขาวิ่งกันมาเพราะเขาแข่งขันกัน มันมาถึงเส้นชัยนับเป็นอันดับที่สิบสอง ตัวสุดท้ายพอดี เราเรียกปีหมูว่าปีกุน
ส่วนแมวที่ถูกหนูหลอกก็โมโหที่ถูกหักหลัง ตั้งแต่นั้นมามันจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับหนูมาโดยตลอดเป็นคู่กัดกันมาจนทุกวันนี้ และว่ากันว่าที่แมวชอบเอามือถูหน้า ก็เพื่อไม่ให้มันรู้สึกง่วงนอนนั่นเอง ถ้าหนูไม่ใช้เล่ห์เพทุบายกับแมวแล้วล่ะก็ บางทีเราก็อาจจะมีปีแมวอยู่ในปีนักษัตรกันแล้ว
ในเชิงของโหราศาสตร์ สิบสองนักษัตรนี้ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งในด้านพยากรณ์ศาสตร์ทั้งในตำราไทยและจีน โดยนักโหราศาสตร์จีนโบราณค่อย ๆ สังเกตเห็นว่า เหตุการณ์บนโลกมักจะมีแนวโน้มไปตามวิถีโคจร 12 ปี และคนที่เกิดในปีเดียวกันก็มักจะมีอุปนิสัยพื้นฐานบางอย่างใกล้เคียงกัน

เมื่อเรื่องเหล่านี้ได้รับการยืนยันเนิ่นนานเข้า จึงมีการตั้งชื่อเรียกแต่ละปีโดยใช้สัตว์ที่มีลักษณะเด่นใกล้เคียงกับคุณสมบัติของคนในแต่ละปีมากที่สุดมาเป็นสัญลักษณ์ ดังนั้น ในปัจจุบันจึงเชื่อกันว่าพวกเราแต่ละคนจะต้องมีลักษณะเด่นประจำตัวตามปีเกิด เช่น อาจเป็นหนู วัว เสือ กระต่าย งูใหญ่ งูเล็ก ม้า แพะ ลิง ไก่ หมา หรือหมู ก็เป็นได้