Monthly Archives: May 2010

วิธีการใช้ทักษะฟื้นสัมพันธ์ (Reconcile)

วิธีการใช้ทักษะฟื้นสัมพันธ์ (Reconcile) ทักษะนี้เป็นวิธีการช่วยคนที่กลับใจ คืนสำนึกผิดและต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้มีกำลัง เพื่อเอาชนะชีวิตเก่าที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ประกอบด้วย 4 ประการ ย่อว่า FREE ได้แก่
1. Forgive ให้อภัย เป็นการตัดสินใจของเราที่แม้ถูกกระทำ แต่ด้วยความรักที่มีต่อผู้กระทำผิด เราไม่ถือโกรธ เราไม่จองเวร เราให้อภัยในสิ่งที่เขากระทำผิดต่อเรา อันจะทำให้เรารู้สึกปลดปล่อย สุขสงบ
2. Recall สัมผัสการอภัยที่ตนเคยได้รับ จะทำให้ตัวเราเองเข้าใจคน และโกรธช้าลง ให้อภัยคนอื่นได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
3. Excuse ขอโทษ เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่กระทำผิดได้ทบทวนตนเอง ได้กล่าวสารภาพผิด ได้เรียนรู้ อันนำมาซึ่งการฟื้นสัมพันธ์
4. Encourage ให้กำลังใจ เป็นการให้แรงใจ ให้โอกาสแก่คนที่สำนึกผิด ได้แก้ไขในสิ่งผิด ตลอดจนหนุนนำในสิ่งดี เพื่อเขาจะทิ้งชีวิตเก่าที่ไม่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิง และเริ่มชีวิตใหม่อย่างมีอนาคต
ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว

นิทานการบริหารจัดการ เรื่อง บิดาและบุตรสองคน

ท่านผู้อ่านและแฟนๆประจำที่ติดตาม KM Blog เคล็ดลับพิชิตงาน กับอ.หลิว มาคราวนี้ ดิฉันมีเรื่อง บิดาและบุตรสองคน ของดร. นพ. ยุทธนา ภาระนันท์ มาเล่าให้ฟัง
ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า 'บิดาเจ้าข้า ขอทรัพย์ที่ตกเป็นส่วนของข้าพเจ้าเถิด' บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง ต่อมาไม่กี่วันบุตรคนเล็กนั้นก็รวบรวมทรัพย์ทั้งหมดแล้วไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์ของตนที่นั่นด้วยการเป็นนักเลง เมื่อใช้ทรัพย์หมดแล้วก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงขัดสน เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา
เขาใคร่จะได้อิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว จึงพูดว่า 'ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด”
แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า 'บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และต่อท่าน ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป'
แต่บิดาสั่งบ่าวของตนว่า 'จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมให้เขา และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก'
เมื่อบุตรคนนี้รู้ตัวว่าได้กระทำผิด เขาแสดงออกอย่างไร หากเขาไม่ยอมรับผิด ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร หรือหากเขาเสียใจแล้วเอาแต่ปรักปรำตนเอง ไม่กลับไปหาบิดา จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขา แต่เมื่อเขาเสียใจที่ได้กระทำผิดและกลับใจอย่างแท้จริง กลับไปหาบิดา บิดาปฏิบัติต่อเขาอย่างไร ที่ช่วยเสริมกำลังเขาให้ลุกขึ้นเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
ท่านผู้อ่านค่ะ คนที่สำนึกผิดและตั้งใจเริ่มต้นใหม่ หลายคนยังไม่สามารถทิ้งชีวิตเก่าที่ผิดบาปได้อย่างสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะขาดกำลัง รู้สึกปรักปรำตนเอง ทางออกของเรื่องนี้คือ การให้อภัย (Forgiveness) จิตวิทยาเชิงบวกมองว่า การให้อภัยเป็นยาที่จะช่วยลดการกล่าวโทษตนเอง เปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด และยังเป็นการเสริมกำลังใจให้แก่ผู้นั้นในการก้าวเดินในเส้นทางที่ถูกต้องชอบธรรมต่อไป

วิธีสร้างความสุขในการทำงาน

ท่านเคยรู้สึกเช่นนี้บ้างไหม ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงานรู้สึกหดหู่ เบื่อหน่ายเคยรู้สึกไหมว่า แต่ละวันในการทำงานมันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้บ้างไหม คือชอบหาโอกาสลางาน หรือหลีกเลี่ยงงานอยู่เสมอ
ทั้งหมดนี้เป็นคำถาม หรืออาการแสดงเพื่อให้คุณเริ่มสำรวจตัวเองว่า คุณกำลังมีความสุข หรือมีความทุกข์กับการทำงานของคุณ ความสุขของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย ความจริงข้อหนึ่งของความสุขก็คือ ความสุข ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบุคคลมากพอๆ กับปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ดังนั้นการ บริหารจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความสุขให้กับตัวคุณเองได้ เช่น การฝึกจิต จึงมีวิธี สร้างความสุขในการทำงานแบบง่ายๆ มาแนะนำ ดังนี้ค่ะ
“อย่า”คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อย
อย่า เก็บทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด หรือนำมาเป็นอารมณ์ซะทุกเรื่อง ให้คิดว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากมัวแต่เสียเวลาคิดว่า วันนี้โดนหัวหน้าตำหนิว่าทำงานแย่มาก เพื่อนร่วมงานพูดจากระแนะกระแหน หรือพูดจาเสียดสีคุณ แม้คุณจะปฎิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมของคนอื่นมีผลทำให้คุณมีความสุข หรือมีความทุกข์ได้ก็ตามค่ะ สิ่งเหล่านี้มี ผลกระทบทำให้คุณไม่มีเวลาคิดจะสร้างหรือพัฒนางานของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะคิดมากกว่า ดังนั้นคุณต้องฝึกให้ตัวเองใช้เวลาในแต่ละวันคิดถึงเป้าหมายและวิธีที่จะไป สู่เป้าหมาย ความคิดนี้จะส่งผลให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงาน และสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลามากกว่าค่ะ
“อย่าต่อว่าองค์กร
องค์กร เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง คุณต้องใช้เวลาในชีวิตประจำวันของคุณอยู่ที่ทำงาน มากกว่าอยู่ที่บ้านของตัวเองเสียอีก หลายต่อหลายคนมักจะมีความรู้สึกว่า ทำงานเพื่อรอรับเงินเดือน และมักจะต่อว่าองค์กรในทางที่ไม่ดีเสมอ บ่นว่าเงินเดือนก็น้อย โบนัสก็ได้แค่นี้เอง สวัสดิการไม่เอาไหน และอื่นๆ อีกมากมาย คิดในมุมกลับไม่มีองค์กรไหนที่ไม่เห็นความสำคัญของตัวคุณ นอกจากองค์กร ที่คุณกำลังทำงานอยู่ เพราะเขายอมรับและให้โอกาสคุณเข้ามาร่วมงาน นั่นเพราะองค์กรเห็นศักยภาพ และความสามารถในตัวคุณ ซึ่งไม่เหมือนกับองค์กรอื่นที่ปฎิเสธและไม่ยอมรับคุณ หากคุณคิดได้เช่นนี้ ก็น่าจะทำให้คุณมีความรู้สึกดีๆ ต่อองค์กรแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดต้องรักหรือผูกพันก็ได้
“อย่า”เลือกทำงานที่รัก
ขอให้ “เลือกรักงานที่ทำ” เพื่อให้มีความสุขและสนุกกับงานที่กำลังทำอยู่ลองพิจารณาคำถามเหล่านี้ดูนะคะ
งานที่คุณกำลังทำคืออะไร
คุณได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานนั้น
คุณต้องปรับปรุงพัฒนางานอย่างไร
คุณต้องปรับปรุงความสามารถด้านใด
งานที่ทำอยู่มีอะไรนำไปใช้กับอนาคตของคุณ
ง่ายๆ ก็คือ คุณต้องมีเป้าหมายในการทำงานนั่นเอง หากตอบคำถามทั้ง 5 ข้อแล้วคุณจะค้นพบ “คุณค่า (value)” ที่เกิดขึ้นในตัวคุณ คุณค่านี้จะทำให้คุณมีความสุขกับการทำงาน ตื่นตัว กระตือรือร้น และอยากพัฒนาตนเองในทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา
“อย่า”ให้ร้ายหัวหน้า
ใน ชีวิตการทำงาน คุณไม่สามารถเลือกทำงานกับหัวหน้าที่เป็นแบบฉบับที่คุณชอบได้หรอกค่ะ คุณอาจต้องนั่งกุมขมับทุกวัน เพราะเข้ากับหัวหน้าไม่ได้ หัวหน้าบางคนเจ้าอารมณ์ บางคนสั่งอย่างเดียว บางคนชอบให้ประจบ บางคนทั้งวันทำแต่งาน ไม่ให้พักผ่อนยืดหยุ่นบ้างเลย เนื่องจากเลือกหัวหน้า ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือ ควรเข้าใจเหตุผลของการคิดและการกระทำของหัวหน้าคุณ เคารพและให้เกียรติ หัวหน้าคุณ คอยให้การสนับสนุนและช่วยเหลือหัวหน้าเท่าที่จะทำได้
“อย่า”ดูถูกเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้าง
ไม่ มีใครประสบความสำเร็จในการทำงานโดยลำพังได้ ทุกคนมีศักยภาพมีคุณค่าในตัวเขา อย่าดูถูกความคิดหรือความสามารถของคนอื่น ทุกคนมีความเด่น ด้อยแตกต่างกัน คุณสามารถทำงาน ของตนเองได้ดี แต่ไม่สามารถทำงานของคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นควรให้เกียรติเพื่อนร่วมงานหรือ คนรอบข้าง เพราะในความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้วัดความสามารถของคน เช่น การควบคุม อารมณ์ และการปรับตัว สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ ศึกษาและปรับตัวให้เข้ากับคนได้ทุกประเภททุกระดับ

ปัจจัยที่คนประสบความสำเร็จในอาชีพงาน

ดิฉันมีผลการทำวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เรื่อง “ปัจจัยที่คนประสบความสำเร็จในอาชีพงาน” พบว่า มีถึงร้อยละ 85 ที่มาจากทัศนคติ และร้อยละ 15 ที่เกิดจากความรู้และทักษะ จะเห็นว่าระดับการศึกษาสูงไม่ได้เป็นเครื่องมือรับประกันว่าจะประสบความสำเร็จ จากงานค้นคว้าของ รศ.พญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ ที่เขียนไว้ในหนังสือ “เทคนิคการสร้าง 3Q เพื่อความสำเร็จ” ได้บอกไว้ว่า ผู้ที่ติดอันดับอภิมหาเศรษฐี 400 คนแรกของโลก ประมาณ 50% ไม่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา และ จากการศึกษาจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กรชั้นนำ 500 แห่ง พบว่ามีเพียง 25% ที่มี IQ สูงกว่าคนปกติ และมีถึง 75% มี IQ เท่ากับคนทั่ว ๆ ไป เป็นอย่างไรบ้างค่ะ เมื่อได้ฟังแล้วหลายท่านที่คิดว่าเรามี IQ ปกติเหมือนคนทั่วไป ก็คงมีพลังใจต่อไปในการต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆอีกมากเลยใช่ไหมค่ะ

หน้าที่ประการสำคัญของผู้นำองค์กร ก็คือการรับฟังความทุกข์ร้อนพนักงาน

หน้าที่ประการสำคัญอย่างหนึ่งของผู้นำองค์กร ก็คือการรับฟังความทุกข์ร้อนพนักงาน นอกจากการสื่อข้อความภายในองค์การแล้ว การส่งเสริมให้พนักงานได้มีโอกาสร้องทุกข์หรือระบายความในใจต่อผู้บังคับบัญชา ถ้าเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรจัดให้มีขึ้น การจัดให้มีระบบนี้ เป็นทางหนึ่งในการลดความตึงเครียดในการทำงานของพนักงาน บริษัทชั้นนำบางแห่งในประเทศไทย เคยจัดให้มีหมอซึ่งเชี่ยวชาญทางจิตวิทยาไปให้พนักงานเข้าพบ เพื่อระบายความในใจ บริษัทบางแห่งสร้างระบบ พี่และเพื่อนที่ดีในองค์การ โดยแสดงให้พนักงานเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาในแต่ละระดับเป็นผู้เปิดเผย และพร้อมที่จะรับฟังความทุกข์ร้อนและให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ กรรมการผู้จัดการบริษัทแห่งหนึ่งได้แสดงนโยบายอย่างเปิดเผยว่า หากพนักงานได้ปรึกษาหารือกับผู้บังคับบัญชาตามสายงานแล้ว แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขให้พนักงานเข้าพบกับเขาได้ นักบริหารหลายต่อหลายคนมักจะมีข้อผิดพลาดในเรื่องนี้ เช่น การจะเข้าขอพบจะยากมาก ต้องผ่านเลขาหรือต้องนัดล่วงหน้าหรือไม่มีเวลาว่างให้เข้าพบ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการถ่วงให้เกิดช่องว่างของความไม่เข้าใจให้เกิดขึ้นในองค์การ การจัดให้มีระบบนี้ มีข้อควรระวังก็คือ การคาดหวังที่สูงจนเกินไปจากพนักงาน อย่างไรก็ตามหากมีระบบการสื่อข้อความและการจัดการที่ดีแล้ว ระบบนี้จะช่วยลดความตึงเครียดในการทำงาน พร้อมกับที่ช่วยลดปัญหาต่างๆ

นิทานการบริหารจัดการเรื่อง คนตัดไม้

ดิฉันมีเรื่อง คนตัดไม้ มาเล่าให้ฟัง
นานมาแล้วยังมีคนตัดไม้คนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันขันแข็ง ใช้ขวานสับต้นไม้เพื่อให้โค่นลงมา เขาขยันมาก วันแรกเขาตัดได้ถึง ๒๐ ต้นต่อวัน แต่ยิ่งตัด นานวันเข้าจำนวนซุงที่เขาตัดได้วันหนึ่งมีคนเดินผ่านมาเห็นชายตัดไม้กำลังใช้ขวานสับต้นไม้อยู่อย่างแข็งขัน
จากการสังเกตอยู่ราวชั่วโมงหนึ่งชายคนที่เดินผ่านมาจึงเอ่ยปากกับชายตัดไม้ว่า"ทำไมท่านไม่หยุดพักก่อน และ ลับคมขวานเสียให้คมกริบ จะได้ตัดไม้ได้เร็วขึ้น"คนตัดไม้บอกว่า " ไม่ได้หรอก ถ้าเราหยุด ก็จะทำให้ตัดไม้ได้น้อยลงสิ" ชายคนที่เดินผ่านทางพูดว่า "ลองหยุดพักสักนิด และมองหาข้อผิดพลาดจากการทำงาน และจะได้ปรับปรุงการทำงานที่ดีขึ้น" คนตัดไม้ไม่เชื่อ ยังตงตัดไม้ด้วยขวานที่ทื่อย่างมากต่อไป จนในที่สุดจำนวนซุงที่เขาตัดได้น้อยลงๆ จนนายจ้างไล่เขาออก เขาตกงาน และไม่มีงานทำ เข้ากลับบ้านพร้อมขวานที่ทื่อๆเล่มหนึ่ง กลับลงลดเรื่อยๆ จนเหลือ ๑๐ ต้นต่อวัน ทั้งๆที่เขาไม่ได้อู้เลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า
1. การทำงานนอกจากจะรักงาน หรือ มีฉันทะ ,มีความเพียร(วิริยะ) ความตั้งใจเอาใจจดจ่ออยู่กับงาน(จิตตะ) ยังไม่พอ ต้องใช้ สติปัญญาทบทวน ใคร่ครวญหาสาเหตุข้อบกพร่องของงานเพื่อทำให้ดียิ่งขึ้น
2. การทำงานโดยไม่หยุดพัก ทำให้เราพลาดโอกาสในการมองเห็นความสุขของเนื้องาน การมุ่งแต่เป้าหมายไม่สนใจระหว่างทางก็ทำให้เราไม่ซาบซึ้งกับความสุขที่ได้ทำงาน

ลักษณะของผู้นำคุณภาพ

ท่านผู้อ่านคะ ด้วยสถานการณ์ในบ้านเมืองเราในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เรากำลังอยู่ในภาวะที่ยากจะสรรหาถ้อยคำใดๆ มาบรรยาย โดยเฉพาะความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ตลอดทั้งวันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2553 และล่วงเลยมาถึงวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม 2553 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หลายต่อหลายจุด ที่ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้าย-ประชาชนผู้บ้าคลั่ง-มือที่สามที่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ซึ่งก็ทำได้จริงและทำให้ประเทศไทยอยู่ในสภาพการเป็นประเทศที่ต้องโดนเผาบ้านเผาเมืองอย่างแท้จริง นี่คือความผิดหวัง ความเศร้าโศกเสียใจ ความทุกข์ระทมของคนไทยทั้งชาติ
บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินประโยคว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” โดยลืมมองกลับกันไปว่า บางทีวีรบุรุษเองก็ชอบสร้างให้เกิดสถานการณ์ ถ้าเป็นสถานการณ์ที่ตั้งอกตั้งใจทำ เพื่อพาชาติพ้นภัยก็ดีไป แต่ถ้าทำแล้วชาติกระโจนเข้ากองไฟ ยังไงก็หนีไม่พ้นชะตากรรมวิกฤติ ที่ต้องแบกรับร่วมกันทั้งคนในองค์กร และคนในชาติ
ลักษณะของผู้นำคุณภาพ อลิสโตเติล กล่าวว่า "Quality is not an action ,it is a habit" คุณภาพไม่ใช่สิ่งที่เป็นเพียงการปฏิบัติในครั้งหนึ่งครั้งใดเท่านั้น แต่ต้องทำจนเป็นนิสัยต่อเนื่องกัน
ซึ่งลักษณะของผู้นำคุณภาพมีดังต่อไปนี้ค่ะ
1.ต้องเป็นผู้นำวิสัยทัศน์ (visionary Leadership) และสามารถกระจายวิสัยทัศน์ไปยังบุคคลต่างๆได้ ในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า " Without vision the people perished" โดยให้ความสำคัญของวิสัยทัศน์ว่า " ถ้าผู้นำขาดวิสัยทัศน์ ประชาชนก็สาบสูญ " ซึ่งนับว่าวิสัยทัศน์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหาร ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ จึงต้องมีความรู้และประการณ์ในการบริหารเป็นอย่างดี ต้องรู้จักสะสมความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มั่นศึกษาค้นคว้าหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งต้องมองการณ์ไกล สามารถวางแผนระยะยาว ( Long term plan ning ) สามารถแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด เปลี่ยนวิกฤติสู่โอกาสได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญ สามารถวางแผนกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงองค์การให้เจริญก้าวหน้าและอยู่รอดปลอดภัย สามารถต้านทานต่อวิกฤติการณ์ที่มากระทบได้อย่างมั่นคง
2. ต้องใช้หลักการกระจายอำนาจ และการมีส่วนร่วม ผู้นำคุณภาพ คงมิใช่ผู้นำแบบอัศวินที่มีลักษณะเก่งคนเดียว ทำงานคนเดียว ผู้นำจึงถือคติที่ว่า " Two heads are better than one." รู้จักทำงานเป็นทีม ไม่ทำงานแบบตัวใครตัวมัน โดยเฉพาะผู้นำคุณภาพจะต้องเป็นผู้จุดประกายในด้านนี้ ในขณะเดียวกันผู้นำต้องหยั่งรู้ลักษณะบุคคลากรว่าแต่ละคนมีประสบการณ์ความคิด ความเชื่อ ความสามารถในด้านใด เพื่อมอบหมายงานให้ตรงกับความถนัดของแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
3. ต้องเป็นผู้มีความสัมพันธ์กับบุคลากร ทั้งภายในและนอกองค์กร การสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบุคลากร ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อหน่วยงานเป็นผลทางด้านจิตวิทยา ทำให้ทุกคนเกิดการยอมรับ ศรัทธา
4. ต้องมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ขงจื้อกล่าวว่า " แม่ทัพที่มีความสามารถอาจถูกแย่งไปด้วยกำลัง แต่ความมุ่งมั่นไม่สามารถแย่งชิงไปได้" ผู้นำคุณภาพจึงต้องมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ขณะเดียวกันต้องตั้งความหวังไว้สูง (High Expectation) เพื่อให้เกิดผลงานที่ดีที่สุด นอกจากนี้การทำงานต้องเน้นที่ผลงานเป็นหลัก สังเกตได้จากผู้นำที่ประสบความสำเร็จ จะต้องมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อให้งานประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ความมุ่งมั่นจะประกอบด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เพราะในการทำงานย่อมมีอุปสรรคและปัญหาคอยทำลายความตั้งใจ และสมาธิ หลวงวิจิตรวาทการเคยกล่าวไว้ว่า " ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง อุปสรรค และปัญหาคือหนทางแห่งความสำเร็จ " ซึ่งต้องเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร เราต้องมองว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรานั้น เป็นไม้บรรทัดวัดความอดทนและความมุ่งมั่นในการทำงานของเรา เช่น ถ้าว่าวจะขึ้นได้ต้องมีลมต้าน ปลาเป็นย่อมว่ายทวนน้ำ มีแต่ปลาตายเท่านั้นที่ลอยตามน้ำ
5. ผู้นำคุณภาพจะต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีและใช้ข้อมูลสถิติในการวิเคราะห์และตัดสินใจ ซึ่งมีลักษณะเป็นผู้นำนวัตกรรม (Innovation leader ship) มีความสามารถในการจัดการกับความรู้ (Knowedge Mangement) และใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งใช้ข้อมูลทางสถิติและงานวิจัยมาประกอบในการตัดสินใจ ผู้นำต้องใช้การบริหารที่ยึดความจริงเป็นหลัก โดยไม่ใช้ความรู้สึก ต้องกล้าพูดความจริงเกี่ยวกับปัญหาไม่ปิดปัญหาหรือการแก้ไขแบบสร้างวิมานในอากาศคงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก ให้ระลึกไว้เสมอว่า "คุณภาพมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่คุณภาพเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ

5. ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือลูกน้อง

ลักษณะของผู้นำคุณภาพที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ต้องสนับสนุนและช่วยเหลือลูกน้องทั้งในด้านส่วนตัวและส่วนรวม ในด้านส่วนตัวผู้นำต้องให้ความช่วยเหลือในกรณีที่ลูกน้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ผู้นำต้องหาความช่วยเหลืออย่างทันที ในกรณีที่ไม่สามารถช่วยเหลือด้วยตนเอง ก็ควรแนะนำและชี้ทางให้ ไม่ควรปฏิเสธอย่างขาดเยื่อ

6. ต้องมีความสามารถในการสื่อสาร

ผู้นำจะต้องสามารถสื่อสารกับบุคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำจึงต้องมีบุคลิกภาพที่ดีมีการพูดจาที่น่าเชื่อถือ มีวาทศิลป์สามารถพูดจูงใจได้ขณะเดียวกัน ควรมีลักษณะอ่อนน้อมอ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ ซึ่งเป็นบุคลิกภาพที่ดีต่อการบริหารและการจัดการ ซึ่งผู้นำที่เข้มแข็งมิได้หมายถึงผู้นำที่แข็งกระด้าง

7.ต้อง มีความสามารถในการใช้แรงจูงใจ

การใช้แรงจูงใจในการทำงานนับว่ามีความสำคัญต่อการบริหารและการจัดการเพื่อให้งานประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งแรงจูงใจนั้นมีทั้งแรงจูงใจภายในและภายนอก ผู้นำจึงต้องวิเคราะห์แยกแยะบุคลากร และใช้ความสามารถในการใช้แรงจูงใจ เพื่อผลักดันให้บุคคลทำงานอย่างเต็มกำลังสามารถ

8. ต้อง เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ( Chang Leadership )

ผู้นำคุณภาพจะต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไปสู่ความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่ ความคิดที่ออกนอกกรอบหรือกฏเกณฑ์เดิม เพื่อประยุกต์งานให้เกิดความก้าวหน้า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า " การแก้ปัญหาในเรื่องเดิม จะต้องใช้วิธีการใหมเท่านั้นจึงจะประสบผลสำเร็จ " ถ้าเรายังมัวย่ำอยู่กับปัญหาเดิม ๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการมีแต่จะสะสมปัญหาไปเรื่อย ๆ เหมือนดินพอกหางหมู และในที่สุดก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง
สุภาษิตจีนกล่าวว่า "เข้าถ้ำเสือ จึงจะได้ลูกเสือ" ผู้นำจึงต้องอาศัยความเสี่ยงในการตัดสินใจต่อความเสี่ยงนั้นจะทำให้งานเกิดความก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะการทำงานนอกเหนือจากหน้าที่แล้วได้ผลดี ถือว่าเป็นงานชิ้นโบแดงที่ควรแก่ความภูมิใจ ดูตัวอย่างพระเจ้าตากสินที่ให้แม่ทัพนายกองทุบหม้อข้าวแล้วปลุกใจให้ไพล่พลฮึกเหิมเพื่อตีเมืองจันทบุรีเพื่อจะไปกินข้าวในเมืองเป็นต้น ซึ่งเป็นการใช้หลักของการบริหารความเสี่ยงเพื่อให้เกิดชัยชนะเป็นต้น ดังนั้นในปัจจุบันนี้การบริหารที่รอนโยบายหรือ " การทำงานแบบขุนพลอยพยักหรือนายว่าขี้ข้าพลอย "ควรหมดสมัยได้แล้ว