Monthly Archives: August 2010

ผลการประชุมจะถูกบันทึกไว้อย่างไร (On the Record)

ท่านผู้อ่านค่ะ เวลามีการประชุมหรือสัมมนาที่เป็นทางการ ผู้เข้าร่วมประชุม จะได้รับแจ้งล่วงหน้าในเรื่อง หัวข้อของการประชุม ใครเข้าร่วมประชุมบ้าง สถานที่ และกำหนดการต่างๆ ถ้าการประชุมเน้นเรื่องของการแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม บางครั้งผู้จัดจะเพิ่มรายละเอียด ว่า การประชุมจะเป็นแบบการสนทนาโต๊ะกลม (Conversations in the Circle) ซึ่งหมายความว่า ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการแสดงความคิดเห็น ผลของการประชุมจะถูกบันทึกไว้ (On the Record) โดยมีรายละเอียดชัดเจนว่า ใครเข้าประชุมบ้าง ระเบียบวาระการประชุมคืออะไร ใครแสดงความเห็นอย่างไร และอะไรคือข้อสรุปที่ได้จากการประชุม บางครั้งในระหว่างประชุมอาจมีการแสดงความคิดเห็นบางอย่างซึ่งละเอียดอ่อน ผู้เข้าร่วมประชุมอาจตกลงร่วมกันที่จะไม่บันทึกการถกเถียงดังกล่าวไว้ในบันทึกการประชุม (Off the Record) ข้อน่าสังเกตก็คือ การบันทึกรายละเอียดว่าใครได้แสดงความคิดเห็นอย่างไรในที่ประชุม ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมบางคนลังเลที่จะแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา หรือเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่แสดงความเห็น ขณะที่การไม่จดบันทึกเลย ก็อาจทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมบางคนรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่าที่จะมีส่วนร่วมแสดงความเห็น เพราะท้ายที่สุดแล้วก็จะไม่มีการนำประเด็นที่พูดไปพิจารณา หรือดำเนินการเพิ่มเติมในภายหลัง   วันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

" คนที่ทำได้อาจพูดไม่ได้...คนที่พูดได้อาจทำไม่ได้.!!"

นิทาน เงินหกหยวน

สำเร็จ   เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่าน ดิฉันได้มีโอกาสไปเข้าร่วมประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นในการผลิตสื่อการเรียนการสอน สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม เลยโชคดีได้ไปรู้จักกับCEO จาก บริษัท Sabina Public Company Limited คุณบัญชัย  ปัญฑุรอัมพร ซึ่งท่านได้เป็นนักเขียนประจำ คอลัมพ์ CEO Blog ของหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ที่ดิฉันเป็นแฟนประจำคอลัมพ์อยู่ด้วยค่ะ รายการในช่วงที่ 2 นี้ดิฉันขอนำเรื่อง เงินหกหยวน  จากCEO Blog มาเล่าให้ฟัง ดังนี้ค่ะ

ในวันหยุดวันนี้   CEO หนุ่ม  เขาได้นั่งเครื่องบินกลับมาเยี่ยมแม่ที่บ้านคิดว่าจะอยู่บ้านเฉยๆ อยู่เป็นเพื่อนแม่ดูทีวี หรือคุยกันเรื่อยเปื่อย วันรุ่งขึ้น แม่ชวนเขาไปเป็นเพื่อนซื้อไข่ไก่
พอได้ยิน เขาอดยิ้มไม่ได้ ที่สำนักงาน เขาคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีเลขาฯ และคนขับรถส่วนตัว  แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับได้ครับแม่พอออกจากบ้าน แม่ก็บอกว่าต้องไปซื้อที่ซุปเปอร์โน้นนะ เขาถามว่า ทำไมไม่ซื้อที่ซุปเปอร์ใกล้บ้านเราเล่า
แม่กระพริบตา ทำท่าเหมือนผู้ชนะ บอกว่า
ที่ร้านโน้นไข่ไก่ถูกกว่า ชั่งละสามหยวนสองเอง แต่ที่ร้านนี้ต้องสามหยวนสี่ เขาทำท่าห่อปาก แบบว่าโอ๊ะโอ๋ เพิ่งรู้นะเนี่ย
พอเดินมาถึงข้างถนน เขาทำท่าจะโบกมือเรียกรถแท็กซี่
แต่แม่บอกว่า ไปรถเมล์สาย 12 กันเถอะนะ  เขาถาม ทำไมต้องสาย 12 ด้วย  แม่บอกว่า สาย 12 เป็นรถรับส่งของทางห้างนี้ ไม่ต้องเสียค่ารถ  ถ้านั่งรถสายอื่น ต้องเสีย 2 หยวน เขาอดยิ้มไม่ได้ แต่ก็บอกกับแม่ไปว่า ดีครับ  พอขึ้นนั่งบนรถสาย 12 ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ  ล้วนแต่สนิทสนมกับคุณแม่ทั้งนั้น
พอทราบว่าเขาเป็นเพื่อนแม่มาซื้อไข่ไก่ ต่างมองเขาด้วยสายตาที่อบอุ่น  เหมือนกับว่า เขาก็เป็นลูกชายของพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน  ส่วนใจของเขาในตอนนั้น.. อบอุ่น
ไม่แพ้กัน
หลังจากซื้อไข่ไก่ได้ 10 ชั่ง แม่ดึงให้เขานั่งรอที่เก้าอี้หน้าห้าง บอกว่าต้องรออีก 1 ชั่วโมง รถสาย 12 คันเดิมถึงจะกลับมารับอีก
ต้องรออีกตั้ง 1 ชั่วโมง เขารู้สึกหัวใจร้อนรุ่มคุกรุ่นขึ้นมาทันที
แต่ก็ข่มใจไว้ ใช้ความอดทนข่มจิตให้เย็นลง 
แม่ก็ชวนเขาคุยไปเรื่อย พูดถึงเรื่องราวตอนที่เขายังไปโรงเรียน  เผลอแผล็บเดียว เวลา 1 ชั่วโมงก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน  ในที่สุด ก็ได้นั่งสาย 12 กลับมาบ้าน  พอถือไข่ไก่เหล่านั้นลงจากรถได้ เขาเป่าปากระบายอย่างโล่งอก คุณแม่ดูเหมือนจะมีความสุขมาก นับนิ้วให้ฟังว่า ไข่ไก่ 10 ชั่งประหยัดไปได้ 2 หยวน ประหยัดค่ารถไปกลับสองคนอีก 4 หยวน รวมแล้วประหยัดตั้ง 6 หยวน แต่ในสมองเขากลับคิดคนละอย่าง ตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงตอนนี้ ปาเข้าไป 4 ชั่วโมง หากให้เขาใช้เวลา 4 ชั่วโมงนี้ในที่ทำงาน เขาสามารถทำเงินได้อีกไม่ต่ำกว่าหมื่นหยวน.. เขาได้แต่แอบถอนใจเบาๆ
ตอนใกล้จะถึงบ้าน เดินผ่านร้านขายผลไม้ร้านหนึ่ง แม่ใช้เงิน 6 หยวนซื้อแตงโมลูกโตลูกหนึ่ง  พอกลับถึงบ้าน จัดแจงผ่าแตงโมทันทีเนื้อแตงโมแดงสด น่ารับประทานมาก ตัวเขาเองรู้สึกกระหายน้ำตั้งนานแล้ว ก็เลยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม หยิบแตงโมได้หนึ่งชิ้น ก็งับเลย  แตงโมหวานมาก เขากินแบบตะกรุมตะกราม เหมือนหมูเลย นานแล้วที่ไม่ได้กินผลไม้อย่างฉ่ำใจเช่นนี้
พอเงยหน้า เห็นแม่กำลังมองเขาอยู่ ในตามีแววเปียกชื้น บนหน้ากลับระบายไปด้วยความสุขและเปี่ยมรัก  ทันใดนั้น ใจเขาเหมือนเส้นพิณที่ถูกดีดจนสั่นสะท้าน ภาพแบบนี้ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ  ตอนยังเล็ก ฐานะทางบ้านยากจน และเขาเป็นเด็กที่ชอบกินมาก(ตะกละ ว่างั้นเถอะ) ตอนเย็นๆ เขามักแอบไปเก็บเอาแตงโมที่บ้านอื่นกินเหลือแต่เปลือก เอามาล้างในคลอง แล้วแทะกินอย่างตะกละ (เห็นมั้ย) พอแม่รู้เข้า แม่ใช้เวลา 3 วันเพื่อที่จะทอเส้นเชือก แล้วเอาไปขายเพื่อซื้อแตงโมมาให้เขา แล้วนั่งดูเขากินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนหมู
เขาจ้องดูแม่ด้วยความสะท้าน กลืนแตงโมที่เต็มปากลงไป  ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าเขาเริ่มเข้าใจคุณแม่บ้างแล้ว  ยามยากลำบาก แม่ขยันและอดออม ส่งให้เขาเรียน เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่  พอเริ่มมีอันจะกิน ความขยันและอดออม ได้กลายเป็นรูปแบบดำรงชีวิตของแม่ ที่ยังคงทำให้แม่พอใจและมีความสุขอยู่เสมอ  รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา รู้สึกดีใจที่วันนี้ยอมทนเป็นเพื่อนแม่ ทำให้แม่ประหยัดเงินได้ 6 หยวน
เงิน 6 หยวนนี้ เทียบกับการที่ตัวเองสามารถหาได้เป็นหมื่นหยวนจากการทำงาน คุณค่าไม่ต่างกันเลย
   เพราะ บางที..
เวลาและเงินทองจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีรักด้วยเท่านั้น

ทำอย่างไร จะเป็นผู้นำระดับ Superstar

ท่านผู้อ่านคะ  ท่าน รศ.ดร. ศิริยุพา รุ่งเริงสุข จาก สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวไว้ว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ว่าจะต้องเป็นคุณสมบัติอะไรบ้าง เพราะ Leadership Differentiators คือ คุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้นำคนหนึ่ง  แค่เป็นผู้นำธรรมดาๆ ในองค์กร ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน จะให้เป็นผู้นำขั้นเทพหรือขั้น เซเลบที่มีอันดับติดชาร์ทของ BusinessWeek หรือนิตยสาร Fortune อย่าง Steve Jobs หรือ Lou Gestner อย่างนี้ ก็ต้องทำการบ้านกันหนักหน่อย เพราะก่อนจะก้าวเป็นขั้นเทพก็ต้องผ่านการฝึกวิทยายุทธระดับขั้นธรรมดาก่อน

ตามความเห็นของ Dave Ulrich และ Norm Smallwood ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Leadership Brand ทั้งสองได้แจกแจงไว้ชัดเจนว่า กลุ่มคุณสมบัติของผู้นำระดับธรรมดากับผู้นำระดับซูเปอร์สตาร์นั้นต่างกันอย่างไร ทั้งนี้ก่อนจะเป็นผู้นำระดับซูเปอร์สตาร์นั้น ผู้นำทั่วๆ ไปควรมีคุณสมบัติที่ Ulrich และ Smallwood เรียกว่า “DNA” หรือ “Leadership Code” ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

1. ผู้นำต้องมีความพร้อมและความชำนาญเฉพาะตัว (Personal Proficiency) ก็คือต้องเริ่มจากการพัฒนาตัวเองให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ผู้นำต้องดูแลสุขภาพของตนเองให้มีพลานามัยดีเสมอ มีอารมณ์คงเส้นคงวาไม่ใช่ว่ามู้ดสวิงง่ายๆ มีสัมพันธภาพและมีเครือข่ายทางสังคมที่ดี มีความสนใจใคร่เรียนรู้ข่าวสารข้อมูลใหม่ๆ เสมอๆ และมีศีลธรรมมีจริยธรรมประจำใจ

2. ผู้นำต้องเป็นนักวางกลยุทธ์ (Strategist) การเป็นนักวางกลยุทธ์ที่ดี เกิดจากการตรวจสอบข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์สิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อมองหาประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับธุรกิจ และเพื่อกำหนดเป้าธุรกิจได้ชัดเจน จากนั้นก็เริ่มวางกลยุทธ์และ โรดแมพเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีขั้นตอน

3. ผู้นำต้องเป็นนักปฏิบัติ (Executor) เพื่อให้การปฏิบัติได้รับการยอมรับ และสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน ผู้นำต้องสามารถชี้ให้เห็นว่าผลลัพธ์หรือรางวัลที่จะได้รับจากการปฏิบัติงานชิ้นใดๆ คืออะไร เพื่อที่ผู้ร่วมงานจะมีแรงจูงใจในการทำงาน ผู้นำต้องมีความสามารถและระบบขั้นตอนในการตัดสินใจที่ดี มีการสร้างทีมทำงาน และประเมินตรวจสอบความสามารถของทีม มีหลักการในการบริหารการเปลี่ยนแปลง มีความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานที่ให้คนตรวจสอบได้ และสร้างความมั่นใจแก่ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการทำงาน สร้างระบบในการเรียนรู้ที่ดีในองค์กร

4. ผู้นำต้องเป็นนักพัฒนาต้นทุนมนุษย์ (Human Capital Developer) คงยากที่ผู้นำจะทำงานได้สำเร็จและได้รับการยอมรับจากพนักงาน หากว่าเขาไม่มีความสามารถในการบริหารคน จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำต้องมีความสามารถในการวางแผนกำลังคน สามารถกำหนดแนวทางพัฒนาทางสายอาชีพให้พนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวทางพัฒนาธุรกิจขององค์กร และรู้จักกระจายมอบหมายอำนาจให้พนักงานสามารถคิด ตัดสินใจและลงมือปฏิบัติการด้วยตนเองได้อย่างเหมาะสม

5. ผู้นำต้องเป็นผู้จัดการพนักงานที่มีความสามารถสูงที่ดี (Talent Manager) ถึงแม้ผู้นำจะไม่ได้ทำงานด้าน HR โดยตรงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาต้องมีความรู้ความเข้าใจพนักงานที่มีความสามารถสูง (Talent Management) ผู้นำต้องทราบว่าด้านการจัดการองค์กรต้องการพนักงานระดับ Talent ที่มีคุณสมบัติและความสามารถอะไร ต้องสามารถกำหนดนโยบายในการดึงดูดให้ Talent อยากมาทำงานกับองค์กร ต้องสร้างวัฒนธรรมค่านิยมที่เอื้อให้ Talent อยากทำงานกับองค์กร และผู้นำก็ต้องเป็นนักสื่อสารที่สามารถถ่ายทอดนโยบาย และจูงใจพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คุณสมบัติ 5 ข้อที่กล่าวมาทั้งหมดคือ DNA ที่ผู้นำองค์กรระดับธรรมดาๆ ทั่วไปพึงมีเป็นพื้นฐานที่จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ และสำหรับผู้นำระดับซูเปอร์สตาร์ที่กลายเป็นตำนานอย่าง Jack Welch, Warren Buffett หรือ Oprah Winfrey คุณสมบัติที่พวกเขามีที่สร้างแบรนด์ความเป็นผู้นำที่โดดเด่นแตกต่างนั้น  Ulrich และ Smallwood เรียกคุณสมบัติที่สร้างความแตกต่างนี่ว่า Leadership Differentiatorsซึ่งไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าจะต้องเป็นคุณสมบัติอะไรบ้าง เพราะ Leadership Differentiators คือ คุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้นำคนหนึ่ง เช่น มีความสามารถทางการเงินอย่างยอดเยี่ยม เช่น Warren Buffet มีความสามารถด้านนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างยอดเยี่ยม เช่น Bill Gates มีความสามารถในการสื่อสารที่ประทับใจคน     อย่างท่านมหาตมะคานธี เป็นผู้ที่เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อความสุขส่วนรวมเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนเช่น แม่ชีเทเรซาผู้ล่วงลับเป็นต้น  นี่คือ ปัจจัยที่สร้างความแตกต่าง” (Differentiators) ของผู้นำเหล่านี้ดิฉันมีความเห็นว่าผู้นำระดับสุดยอดของโลกเหล่านี้มีคุณสมบัติอยู่ 2 ประการที่ตรงกันคือมี “Passion” (ฉันทะหรือความรัก) ในงานหรือในเรื่องอะไรที่พวกเขาเหล่านั้นสนใจอย่างจดจ่อไม่วอกแวก และคุณสมบัติข้อที่สองก็คือ วิริยะหรือความเพียรไม่ท้อถอยที่จะทำงานที่รักให้สำเร็จให้จงได้ท่านที่อยากเป็นผู้นำขั้นเทพ คงจะได้แนวทางปฏิบัติเพื่อไปปรับปรุงตัวเองแล้วนะคะ แต่มีข้อเตือนใจอยู่ประการหนึ่งว่า บรรดาผู้นำขั้นเทพเหล่านี้ล้วนทำงานหนักกันทั้งนั้น

นิทาน เรียนรู้อะไรมา

แฟนๆประจำ Blog ค่ะ วันนี้ดิฉันมีเรื่อง รียนรู้อะไรมา  มาเล่าให้ฟัง

               มีบัณฑิตหนุ่มนั่งบนเรือกลับบ้าน  ชวนคนพายเรือคุย  ว่าคิดอย่างไรกับคนอิรัก   คนพายเรือไม่รู้  บัณฑิตใหม่ ก็เลยบอกว่า  คนพายเรือสูญเสียไป  25%   แล้ว คิดอย่างไรกับภาคใต้ที่มีปัญหาความขัดแย้ง  วางระเบิดกันรายวัน  คนเรือก็บอกว่าไม่ทราบอีก  บัณฑิตบอกว่า  คนพายเรือสูญเสียไปอีก  25ถามคนเรือถึงเศรษฐกิจยุคอดีตนายกทักษิณ  คนพายเรือก็ตอบไม่รู้อีก  ถามถึงตลาดหุ้นก็ตอบไม่รู้  แถมยังถามกลับมาอีกว่า ตลาดหุ้นเขาขายอะไรกัน  ที่เห็นก็มีตลาดขายปลา  บัณฑิตก็บอกว่าคนเรือสูญเสียไปอีก  25% 

ทันใดนั้นพายุมา  คนพายเรือ เลยถามบัณฑิตว่า  ท่านว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า  บัณฑิตตบอกว่าไม่มีเวลาไปเรียน  คนเรือบอกว่า  เรือต้องแตกแน่ๆ  เพราะพายุมาเรือจะจม  ทางรอดคือจะต้องว่ายน้ำเป็น  ว่ายเข้าหาฝั่ง  ชีวิตของท่านบัณฑิตกำลังจะสูญเสีย  100

          ท่านผู้อ่านค่ะ บัณฑิตสมัยใหม่  กระโดดตึกตาย  มีความรู้มากๆ  แต่เกิดปัญหานิดเดียว  ก็ฆ่าตัวตาย      คนเราต้องรู้จักตัวเอง     ถ้าเราไม่รู้ทิศทางของชีวิต  เราจะต้องพบกับปัญหาแน่ๆค่ะ

หากถามมนุษย์เงินเดือนว่า วันไหนสำคัญที่สุด

หากถามมนุษย์เงินเดือนว่า วันไหนสำคัญที่สุด คำตอบย่อมต้องเป็นวันเงินเดือนออก และมีหลายคนที่คิดถึงวันนี้ตั้งแต่ยังไม่ถึงกลางเดือนด้วยซ้ำไป   ดังนั้นทุกองค์กรไม่ว่าภาครัฐ หรือเอกชน จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องการจัดการเงินเดือนเป็นอย่างดี  ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก น้ำท่วม ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ..หรือ ติดม็อบ  อย่างไรเสียเงินเดือนก็ต้องออก เพราะเงินไม่ได้งานก็ไม่เดิน

นอกจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าเชื่อว่า คนทำงานจะถูกประเมินว่าเป็นคนแบบไหน น่าเชื่อถือหรือเปล่า มีประสิทธิภาพแค่ไหน จากสภาพของโต๊ะทำงานหรือใครโชคดีหน่อยมีพื้นที่ หรือห้องส่วนตัวก็จะถูกประเมินจากสภาพพื้นที่ทำงานของตนเอง  ที่อาจจะแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ เป็นการประเมินที่ส่วนใหญ่คนประเมินเองก็ไม่ได้ตั้งใจ หลายครั้งมีรู้ตัวด้วยซ้ำ แต่เป็นไปโดยอัตโนมัติ

 สมมุติว้าเราเดินเข้าไปในบริเวณที่ทำงานของเพื่อน แล้วสิ่งแรกที่เห็นคือ กรอบรูปที่โชว์ภาพท่านพุทธทาส พร้อมคำสอน ที่กล่าวว่า เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา  จงเลือกเอาสิ่งดีเขามีอยู่... โดยไม่ทันรู้ตัวเรารู้สึกตัวทันทีเลยว่า เจ้าของโต๊ะตัวนี้หรือห้องนี้ ต้องเป็นคนดีขึ้นมาทันที  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราจะปล่อยให้ภาพลักษณ์ของเราเป็นไปตามยถากรรมได้อย่างไรใช่ไหมค่ะ ยังไงก็ต้องมีการบริหารจัดการภาพลักษณ์กันซะหน่อย หรือตามภาษาชาวบ้านพูดว่า  มาสร้างภาพกันเถอะ 

                เริ่มต้นของการสร้างภาพก็คือ การทำความเข้าใจว่าอะไรคือภาพลักษณ์ที่เราต้องการเป็นในสายตาผู้อื่น ซึ่งผู้อื่นในที่นี้อาจหมายถึงเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้าก็เป็นได้ค่ะ  จากบทความใน Psychology Today และ จากผลการศึกษาในงายวิจัยของSamuel Gosling นักจิตวิทยาจาก มหาวิทยาลัย เท๊กซัส ออสติน สหรัฐอเมริกา  ได้กล่าวไว้ว่า สิ่งของในพื้นที่ทำงานสามารถสะท้อน บุคลิกภาพของเจ้าของพื้นที่และสิ่งของแต่ละอย่างสามารถบ่งบอก บางอย่างกับคนที่ผ่านมาพบเห็น ซึ่งแสดงให้รู้ถึงลักษณะบุคลิกภาพของเจ้าของเช่นเดียวกันค่ะ   อย่างเช่นต้นไม้ที่มีใบไม้สีเขียวสดใส มองดูแล้วรู้ทันทีว่ามันได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของ ซึ่งแสดงให้เห็นภาพบวกของเจ้าของต้นไม้ต้นนั้น บ่งบอกถึงเจ้าของต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกน่ารัก เอาใจใส่และตั้งใจจะทำงานที่นี่ต่อไป  ในทางตรงกันข้าม ถ้าต้นไม้แห้งตาย ก็จะสะท้อนภาพลบของเจ้าเช่นกัน

                และถ้าใครอยากให้คนอื่นมีความรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนเปิดเผยไม่ชอบปิดตัวเอง ชอบพูดคุยกับคนรอบข้าง ดิฉันขอแนะนำว่าให้เอาถ้วยใส่ลูกอม หรือท๊อฟฟี่ มาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ซึ่งจะดูเหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้คนอื่นที่ผ่านไปผ่านมาแวะมาทักทายเปรียบเสมือนป้านยินดีต้อนรับเชียวละค่ะ ส่วนท่านใดที่ชอบใช้ Post it Note ต้องระวังอย่าติดไว้ให้มากเกินงามนะค่ะ เพราะจะมองเป็นโต๊ะทำงานที่เห็นแต่กระดาษโพสอิส แปะเต็มไปหมด มันทำให้รู้สึกว่าเจ้าของโต๊ะมีงานล้นมือที่ยังเคลียไม่ได้อีกมากเชียวค่ะ  ถ้าอยากให้มีภาพลักษณ์ที่ว่าท่านเป็นคนที่ผูกพัน ใส่ใจ ทุ่มเทและรักงานที่กำลังทำอยู่ ก็ลองติดภาพหรือคำพูดคมๆ ที่ออกแนวสร้างแรงบันดาลใจ และติดไว้ในตำแหน่งที่คนอื่นมองเห็นได้ชัดเจนด้วยนะค่ะ  ดิฉันเชื่อว่าหลายๆท่านที่ชอบวางสิ่งของส่วนตัวเช่น ตุ๊กตา รูปภาพส่วนตัว ของที่ระลึก หรือแม้แต่ของกระจุกกระจิกอื่นไว้บนโต๊ะทำงาน หรือตกแต่งตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เป็นการสะท้อนถึงระดับความรู้สึกสบายใจที่อยู่ที่ทำงาน มีการศึกษาพบว่ามันเป็นการสร้าง Productivity ในการทำงานเชียวล่ะค่ะ

                บางครั้งความเคยชินหรือวัฒนธรรมก็มีอิทธิพลมาก เช่น โต๊ะทำงานที่สะอาดเรียบร้อย จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า เจ้าของโต๊ะเป็นคนเนี๊ยบ ประณีต นั้นอาจป็นแค่ความรู้สึก เพราะโต๊ะคนทำงานที่รก อาจหยิบของเจอทุกครั้งและทำงานได้เรียบร้อยก็เป็นได้ แต่คงต้องยอมรับว่าบางครั้งภาพลักษณ์ความเป็นคนเนี๊ยบก็ดูดีกว่าในสายตาของเจ้านาย หรือเพื่อนร่วม ใช่ไหมค่ะ

หลายต่อหลายครั้งค่ะ ที่ดิฉันแอบสำรวจสำนักงานหรือโต๊ะทำงานผู้อื่นอยู่ในใจเช่น ทำไมต้องหรือสำนักงานแห่งรกจัง ทำไมไม่ทำ 5 ส. น่ะ รวมทั้งที่ทำงานส่วนตัวดิฉันเองด้วยค่ะ เพราะเราทำกิจกรรม 5 ส.กันก็จริง แต่ ส.สุดท้ายคือ สร้างสุขนิสัย มันทำกันยากส์ ค่ะ

คำพูดที่หลายๆกล่าวว่าต้อง  "จัดหาคนให้เหมาะกับงาน" (put the right man in the right job) แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องคิดควบคู่กันไปคือ "จัดที่ทางให้เหมาะกับคน"  (design the right workplace for the right person) ด้วยเหตุผลที่ว่า แม้คนที่มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถในตำแหน่งหน้าที่ที่จัดเตรียมไว้ให้ แต่หากสภาพแวดล้อมการทำงานไม่เอื้อต่อการทำงาน ย่อมส่งผลลดทอนศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเขาไปได้อย่างน่าเสียดาย

         ผู้บริหารหรือผู้นำองค์กรจำนวนไม่น้อย อาจไม่ค่อยได้ใส่ใจหรือให้ความสำคัญต่อ การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม สอดคล้องกับคนทำงานมากนัก เพราะอาจไม่ได้ตระหนักหรือคิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้ว สภาพแวดล้อมในที่ทำงานสามารถส่งอิทธิพลทั้งในมุมบวกและมุมลบได้อย่างมากทีเดียว    การจัดโต๊ะทำงานเหมือนกันหมดทุกแผนกในองค์กร โดยไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดถึงวิธีการทำงานของแต่ละฝ่าย อาจเท่ากับเป็นการละเลยคุณภาพการทำงานของบางฝ่ายไปก็เป็นได้       สำนักงานบางแห่งต้องการประหยัดต้นทุน จึงกำหนดเวลาเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ เช่น ให้เปิดพัดลม และเปิดหน้าต่างระบายอากาศในตอนเช้าแทน เพราะคิดว่าอากาศภายนอกจะยังเย็นสบาย แต่นโยบายเช่นนี้ อาจมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน เพราะหากอากาศภายนอกร้อนอบอ้าว อากาศภายในก็อบอ้าว ย่อมทำให้คนทำงานเกิดความอึดอัด อ่อนเพลีย ไม่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แทนที่จะประหยัดต้นทุนกลับกลายเป็นต้องเสียต้นทุนเพิ่มมากขึ้นไปอีก

         เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจะต้องสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กร ควรจัดสภาพแวดล้อมที่ปรากฏภายนอกให้สอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานขององค์กร เพื่อให้ผู้ที่มาติดต่อและพนักงานทุกคนตระหนัก     ในตัวตนขององค์กรร่วมกัน เมื่อลูกค้าเข้ามาติดต่อในสำนักงานจะเกิดความประทับใจในองค์กร ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และการบริการ และที่สำคัญ เป็นการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร  วันนี้ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก

 

 

ผู้บริหารต้องทำเพียงเรื่องเดียว คือ เรื่องของคน

เราเพิ่งผ่านสัปดาห์วันแม่กันมา รวมทั้งวันหยุดยาวถึง 4 วัน ท่านทั้งหลายแฟนๆประจำ Blog ก็คงได้ทำกิจกรรมร่วมกับคุณแม่และครอบครัวกันนะค่ะ รวมทั้งได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลยใช่ไหมค่ะ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการทำงานกันนะค่ะ

งานของผู้บริหารหลายๆ คนอาจจะบอกว่ามีงานหลายอย่างที่ต้องทำ ก็เลยทำให้ยุ่งและไม่ค่อยมีเวลา และเวลาที่หมดไปก็คิดว่าหมดไปกับเรื่องที่สำคัญ  เรื่องที่ต้องทำทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงไปลุยหน้างานเองบ้าง เรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล  เรื่องของการวางแผนต่างๆ เรื่องของการมีนัดหมาย ไหนจะไปประชุม ไปพูดคุยกับคู่ค้า  ไปเยี่ยมลูกค้าบ้าง แต่ที่ทำให้เวลาหมดไปมากที่สุดก็คือ เรื่องของการประชุม ดูแล้วยุ่งจริงๆ เลยใช่ไหมค่ะ  งานทั้งหมดนี้เป็นงานที่ ผู้บริหารระดับธรรมดาๆทำกันอยู่ทุกวัน และก็ยุ่งกับงานแบบนี้ทุกวัน ตลอดทั้งปีทั้งชาติ แต่เชื่อหรือไม่ว่า งานที่ผู้บริหารชั้นยอดทำจะทำงานพวกนี้ให้น้อยที่สุด หรือแทบไม่ค่อยได้ทำซะด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่างานธรรมดาๆ ที่มีทั้งสำคัญและไม่สำคัญแบบนี้ ให้คนอื่นทำได้ จะเสียเวลาไปทำเองทำไม!   ส่วนงาน ที่ควรทำจริงๆ และทำแล้วก่อให้เกิดประสิทธิภาพกับหน่วยงาน กับองค์กร หลักๆ มีเพียงเรื่องเดียวที่ควรทำ ก็คือ เรื่องของคน  เพราะผู้บริหารชั้นยอดจริงๆ ต่างก็รู้ว่า คนโดยเฉพาะคนที่เป็นทีมงานของตนเอง เป็นทั้งสาเหตุ ที่จะทำให้งานเกิดปัญหา หรือ ทำให้ปัญหาหมดไป  รู้ว่า คนจะทำให้งานอื่นๆ ที่ดูเหมือนว่าตนเองต้องทำ แต่คนเหล่านี้สามารถทำแทนได้ และยิ่งทำคนที่เป็นทีมงานยิ่งเก่งด้วยซ้ำ ผู้บริหารระดับธรรมดาๆ อาจจะดูเหมือนเก่ง เพราะทำเองเกือบทุกอย่าง ทำได้เกือบทุกอย่าง ….อย่างนี้เรียกว่าเก่งไม่จริง

ส่วนผู้บริหารชั้นยอด จะเน้นไปที่การสร้างคน ไม่ใช่การแก้ปัญหาเรื่องคนรายวัน จนหมดแรง การสร้างคนก็ไม่ใช่หมายถึงการส่งคนไปฝึกอบรมแล้วคิดว่าคนของเราจะดีขึ้นทันที ซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้น  เรื่องเดียวที่ผู้บริหารชั้นยอดทำในเรื่องคน จะทำอย่างสร้างสรรค์ เริ่มตั้งแต่….

1. ทีมงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน….ใครบ้างที่สามารถสร้างได้ (สร้างเพื่อให้คิด ให้ทำในสิ่งที่ควรทำ ลดภาระงานของผู้บริหาร และสร้างเพื่อเป็นมือขวา มือซ้ายในแต่ละด้านของงาน เป็นต้น)

2.ทีมงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน…..ใครบ้างที่ควร ซ่อมและสร้างควบคู่กันไป เช่นบางกลุ่มบางคน มีฝีมือแต่มีปัญหาในเรื่องความเฉื่อยชา หรือมีทัศนคติในแง่ลบที่พอจะแก้ไขได้ ก็จะสร้างและพัฒนากลุ่มนี้หลากหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่จำเป็นต้องทำก็คือการ Coaching อย่างเป็นระบบ และสร้างสรรค์

3.ทีมงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน..ใครบ้าง ที่ยากแก่การสร้าง แต่ควรให้โอกาส ให้เวลาที่เหมาะสม Coaching แล้ว พยายามแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ และยอมเปลี่ยนทัศนคติที่ลบมากๆ หรือไม่ยอมแก้ไข ยังสร้างปัญหาอย่างต่อเนื่องก็ถึงเวลาที่ต้องแยกจากกัน

เพราะฉะนั้นผู้บริหารที่ ยุ่งกับการทำเพียงเรื่องเดียว คือเรื่องของคน จะยุ่งเล็กน้อยในช่วงแรก แต่จะไม่ยุ่งอีกเลยเพราะทีมงานแต่ละกลุ่มสามารถทำแทนได้ หรือแม้กระทั่งคิดแทนได้ด้วยซ้ำค่ะ ส่วนผู้บริหารที่ยุ่งมันไปซะทุกเรื่อง รวมทั้งการแก้ปัญหาเรื่องคนวันๆ ก็จะยุ่งไปตลอดชีวิต ปัญหาก็คือ ยิ่งยุ่ง ผลงานก็ยิ่งแย่ คุ้มมั้ยล่ะค่ะ  ลองไปพิจารณาดูนะค่ะว่า ทุกวันนี้ ในฐานะผู้บริหาร (ทุกระดับและทุกส่วนงาน) เราทั้งมุ่งมั่นทั้งวุ่นวายกับการทำอะไรต่อมิอะไรไปกี่เรื่องต่อวัน แต่จริงๆ แล้วเรื่องเดียวที่เราควรทำ และทำอย่างต่อเนื่อง ทนทำซะหน่อยแล้วต่อไปท่านจะรู้ว่า  ถ้าทำเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก ป่านนี้ชีวิตคงดีขึ้นเยอะไปนานแล้ว

ต้นแอปเปิ้ล กับ เด็กน้อย

เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศวันแม่ ครั้งดิฉันมีเรื่อง   "ต้นแอปเปื้ล กับ เด็กน้อย"   มาเล่าให้ฟัง ค่ะ

กาล...ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แต่ไม่ได้นามจนลืมนะค่ะ (เพื่อไม่ให้เสีย concept การขึ้นต้นนิทาน)   มีต้นแอปเปื้ลใหญ่อยู่ต้นนึง  และก็มีเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และเล่นรอบๆ ต้นไม้นี้ทุกๆ วัน   เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม่ และก็กินผลแอปเปิ้ล แล้วก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปื้ลเด็กน้อยรักต้นไม้และต้นไม้ก็รักเขา
        เวลาผ่านไป..... เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆ ต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว วันหนึ่งเด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้  เด็กน้อยดูเศร้าๆ "มาหาฉัน จะมาเล่นกับฉันเหรอ"  ต้นไม้ถาม
"ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆ ต้นไม้อีกแล้ว  ตอบ "ฉันไม่มีเงินหรอก...เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ  แล้วเอาเงินไปซื้อของเล่น" ต้นไม้ตอบ เด็กน้อยเก็บแอปเปิ้ลไปหมดต้นแล้วจากไปไม่กลับมาเล่นกับต้นไม้ ต้นไม้ดูเศร้า......
วันหนึ่งเด็กน้อยกลับมา  เขาดูโตขึ้น    ต้นไม้รู้สึกดีใจตื่นเต้นมากที่ได้เจอ"มาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม "ฉันไม่มีเลามาเล่นหรอก  ฉันมีครอบครัวแล้ว และต้องทำงาน ตอนนี้เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม" "ฉันไม่มีบ้าน  แต่..ตัดกิ่งก้านฉันไปสิ...แล้วเอาไปสร้างบ้าน" ดังนั้นเด็กน้อยคนนั้นจึงตัดกิ่งก้านทั้งหมดไปและจากไปอย่างมีความสุขเป็นอีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดายและเศร้า...และวันหนึ่งในฤดูร้อน  เด็กน้อยคนเดิมก็กลับมาอีก ต้นไม้ดีใจมาก"มาหาฉันเหรอ  มาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม"เปล่า  ฉันรู้สึกผิดหวังในชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น  ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"
"ใช้ลำต้นของฉันซิ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือมีความสุข" ต้นไม้ตอบ ดังนั้น เด็กน้อยจึงตัดลำต้นไม้ไป เขาล่องเรือไปและไม่กลับมาอีกนาน จนกระทั่งหลายปีผ่านไป  ในที่สุดเด็กน้อยคนเดิมก็กลับมา คราวนี้เขาดูแก่มากๆ
"ฉันเสียใจ  ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว  สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย"ต้นไม้พูด"ฉัน ไม่มีฟันจะกินแล้ว  ฉันปีนไม่ไหว และฉันแก่แล้ว ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"  เด็กน้อยตอบ
"งั้นมานั่งลงข้างๆฉันสิ....แล้วหลับให้สบาย" เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และน้ำตาไหล.......end......
   ท่านผู้อ่านค่ะ นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆ คน  ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่  เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ  เรารักที่จะเล่นกับพ่อแม่... เมื่อเราโตขึ้น  บางคนทอดทิ้งพ่อแม่ให้เดียวดาย และกลับไปหาท่านเมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อมีปัญหา   ไม่ว่าอย่างไร..พ่อและแม่เราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำได้   หวังเพียงให้เรามีความสุข..

ทำอย่าไร? จะได้การเก่งแบบผู้ตาม

ยุคนี้หมดสมัยแล้วนะค่ะสำหรับการทำงานประเภท ข้าคนเดียว เพราะองค์กรจะประเมินคุณค่าของคุณ จากความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นนอกจากจะต้องแสดงบทบาทวิศวกร นักออกแบบ นักการตลาด นักวิจัยต่างๆแล้ว คุณยังต้องมีความสามารถในการแสดงบทบาทอื่นๆอีกด้วย นั่นหมายถึงว่า คุณต้องเก่งแบบผู้ตาม เก่งแบบผู้นำ และไม่ลืมทำงานเป็นทีมที่เรามักเรียกกันติดปากว่า Teamwork ค่ะ
การเก่งแบบผู้ตาม เชื่อว่าหลายคนที่ตอนเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เคยถูกพ่อแม่ว่าแกมประชดคล้ายๆแบบนี้ว่า ชอบทำตามเพื่อนนักเหรอ นี่ถ้าเพื่อนไปตาย ก็จะไปตายกับเค้าด้วยใช่ไหม? คำกล่าวนี้นอกจากจะบอกถึงความเป็นผู้ตามที่ไม่ค่อยดีแล้ว ยังแสดงให้เห็นอีกด้วย คนส่วนใหญ่ไม่อยากยอมรับบทบาทผู้ตามสักเท่าไหร่ ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะขาดความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของผู้ตามที่เก่งค่ะ การเป็นผู้ตามที่เก่ง หมายถึง การเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ อย่างกระตือรือร้น โดยมีความคิดเป็นของตนเองในเรื่องเป้าหมาย การทำงาน การตัดสินปัญหา และวิธีทำงานต่างๆ มีความสามารถในการทำงานกับผู้นำ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายขององค์กรได้ ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็มีบทบาทสำคัญในการวางแผนกระบวนงาน และทำให้งานเหล่านั้นดำเนินไปจนถึงที่สุด จากการวิจัยของ Robert E. Kelly พบว่า ความสำเร็จขององค์กร 90% เกิดจากการทำงานของผู้ตาม ส่วนอีก 10 % ที่เหลือเป็นผลงานของผู้นำ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ตามมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้นำเลย
เทคนิคในการทำงานของคนเก่งแบบผู้ตาม สำหรับพนักงานทั่วไปนั้น อาจจะคิดว่าการเชื่อฟังทำตามคำสั่ง ไม่คุกคามผู้นำ และไม่ทำอะไรเกินเลยหน้าที่ คือเทคนิคในการเป็นผู้ตามที่ดี แต่สำหรับคนเก่งงานแล้ว เทคนิคการทำงานแบบผู้ตามของเราก็คือ การรู้จักนำตัวเอง และแสดงออกถึง ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะทำให้ผู้นำ เกิดความไว้วางใจที่จะมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบต่างๆให้แก่เรา เกิดความเคารพในความคิดของเรา จากนั้นเราต้องมี ความมุ่งมั่นและพันธะหน้าที่ต่อประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัวซึ่งคำว่า ส่วนตัว ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเราคนเดียว แต่รวมถึงหัวหน้าผู้บังคับบัญชาเราด้วย การซื่อสัตย์ต่อหัวหน้าเป็นสิ่งที่ดี แต่การทุ่มเททำอะไรตามความต้องการ ตามเป้าหมายของหัวหน้าโดยไม่ลืมหูลืมตานั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะบางครั้งเป้าหมายของหัวหน้า ก็อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของทีมหรือองค์กรก็เป็นได้ ซึ่งหน้าที่ของเราในส่วนนี้ก็คือ พยายามดึงผู้นำให้หันกลับมามองเป้าหมายของส่วนรวมค่ะ การปฏิบัติตนต่อมาก็คือ รู้จักพัฒนาความสามารถ และสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตัวเอง เพื่อจะได้มีอำนาจในการสั่งงานตัวเองสูงสุด คนที่ได้ตำแหน่งสูงๆมาโดยไม่ชอบธรรม ไร้ความสามารถอย่างไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้น เวลาพูดอะไรคนก็มักไม่เชื่อถือ ไม่ทำตาม ตัวอย่างเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยความสามารถอันแท้จริงของเรา คนอื่นๆจะประเมินความสามารถของเรา จากการรู้จักบริหารตนเอง ทักษะและความสามารถในงานต่างๆ รู้จักแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองตลอดเวลา ไม่ต้องรอเจ้านายมาสั่งให้ไปงานสัมมนานั้นสิ ไปเข้าร่วมโครงการอบรมนี้ซิ แต่จะเป็นฝ่ายบอกเจ้านายเองว่ามีโปรแกรมอะไร ที่ตนเห็นว่าจะพัฒนาความสามารถของผู้ร่วมงานและของตัวเราเองได้ ส่วนการ ปฏิบัติงานอย่างมีสำนึกผิดชอบชั่วดี ควบคุมอัตตา อารมณ์ ของตนเองในการทำงานร่วมกับผู้นำ คนเก่งงานจะทำหน้าที่ผู้ตามของตนเองให้สมบูรณ์แบบ โดยการทำงานร่วมกับผู้นำให้ได้เป็นอันดับแรก ทำให้งานของผู้นำง่ายขึ้น ไม่ใช่คอยเป็นหอกข้างแคร่ แต่ต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือผู้นำอย่างเต็มอกเต็มใจ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อมีการทำงานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปความขัดแย้งก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็ต้องพยายามควบคุมอัตตาของตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งนั้นลุกลามใหญ่โต ซึ่งการจะทำให้ผู้นำยอมรับฟังความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกับความคิดของเขา และไม่ทำให้เกิดผลเสียใดๆต่อหน้าที่การงานของเราตามมานั้น เราต้องพยายามเข้าใจและมองผู้นำในแง่บวก ค้นหาข้อเท็จจริง แสวงหาข้อแนะนำ ดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และต้องรู้จักวิธีโน้มน้าวจิตใจผู้นำรวมทั้งการหาแนวร่วม เพราะว่าหลายเสียงย่อมดีกว่าเสียงเดียว แต่การแสวงหาแนวร่วมนี้ต้องเป็นไปด้วยเหตุ ด้วยผล มิใช่การใช้จิตวิทยามวลชนและมีอาการ พวกมาก ลากไปค่ะ

รับฟังวิทยุรายการ จาก KM Blog : เคล็ดลับพิชิตงาน กับอ.หลิว

ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนๆประจำ KM  Blog ขณะนี้ท่านสามารถรับฟังรายการวิทยุ ที่ดิฉันเป็นผู้ดำเนินรายการ โดยการนำเนื้อหาจาก KM Blog จาก เคล็ดลับพิชิตงานกับ อ.หลิว   มาเล่าในฟังในรายการวิทยุ คนสำราญงานสำเร็จ ทางสถานีวิทยุ FM.90.75 MHz. ทุกวันเสาร์ เวลา 10.00-10.30 น.  หรือติดตามรายการจาก Website ด้านล่างนี้นะค่ะhttp://teched.rmutp.ac.th/fusion/viewpage.php?page_id=78