Monthly Archives: October 2010

Leader หรือ ผู้นำ จะต้องมีความรู้สึกต้องการ รับใช้ ช่วยเหลือ อยากจะให้ผู้อื่นได้ดี

นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เคยให้คำนิยามของคำว่า   ผู้นำไว้ว่า ผู้นำคือใครก็ตามที่ผู้อื่นอยากจะเดินตาม”    ดไว้ท์ ดี ไอเซ่นฮาวเออร์ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ก็เคยให้คำจำกัดความของคำว่าผู้นำไว้ว่า  “ผู้นำคือผู้ที่ทำให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่เขาต้องการ   โดยผู้นั้นเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะทำเอง   ลอร์ด มอนต์โกเมอร์รี่ ผู้นำทางการทหาร กล่าวว่า  การเป็นผู้นำคือ  ความสามารถและความตั้งใจ  ที่จะปลุกเร้าผู้คนทั้งชายหญิงให้มีเป้าหมายเดียวกัน   และไปในทิศทางเดียวกัน  เป็นบุคลิกที่ดลใจให้คนอื่นเกิดมีความมั่นใจ

       ในความคิดของคนทั่วๆ ไป คำว่า ผู้นำ”   หมายถึง อำนาจ  ศักดิ์ศรีและเกียรติ ผู้นำที่ดีต้องเริ่มที่ความอยากจะรับใช้ผู้อื่น  Robert K. Greenleaf    ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารของ AT&T  ระบุไว้เลยว่า  Leader หรือ ผู้นำ    จะต้องมีความรู้สึกต้องการ รับใช้  ช่วยเหลือ  อยากจะให้ผู้อื่นได้ดี  และจากความรู้สึกดังกล่าว จนถึงอยากจะเป็นผู้นำและประเด็นสำคัญคือ  ต้องอย่าให้ความทะเยอทะยานของตนเอง อยู่เหนือความถูกต้องที่ควรจะเป็น   ได้ลักษณะของผู้นำไว้  1ประการ ดังนี้

        คุณลักษณะแรกคือต้องมีทักษะในการฟัง (Listening)   จะต้องเป็นผู้ฟังที่ดี และพร้อมที่จะรับฟังผู้อื่นอย่างจริงใจ    โดยจะต้องเป็นผู้ที่สนใจและพร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

       คุณสมบัติประการที่สองคือ ความเข้าใจในผู้อื่น (Empathy)   จะต้องมีความพยายามในการทำความเข้าใจผู้อื่น     เนื่องจากบุคคลต่างๆ นั้น  ต้องการให้เป็นที่ยอมรับในความแตกต่างของแต่ละ      

        คุณสมบัติประการที่สามคือ  ความสามารถในการกระตุ้นและให้กำลังใจผู้อื่น (Healing)    เนื่องจากบุคคลต่างๆ ในองค์กรจะประสบกับปัญหา และอุปสรรคต่างๆ นานัปการ    และอาจจะนำไปสู่การบาด เจ็บ (ทางจิตใจ)

       คุณสมบัติระการที่สี่ คือ ความตระหนัก (Awareness)     โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตระหนักในตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง   เนื่องจากถ้าเราตระหนักและรู้จักตนเองเป็นอย่างดีแล้ว จะทำให้เรามองปัญหาต่างๆ ด้วยความรอบคอบจากมุมมองต่างๆ ที่กว้างขึ้น

       คุณสมบัติประการที่ห้า คือ ความสามารถในการเกลี้ยกล่อมผู้อื่น (Persuasion)   จะไม่เน้นการสั่งการตามตำแหน่งหน้าที่ที่มี แต่จะเน้นการเกลี้ยกล่อม หรือชี้ชวนให้ผู้อื่นเห็นด้วยและทำตาม

       คุณสมบัติประการที่หก คือ  ความสามารถในการมองภาพในเชิงองค์รวม  (Conceptualization)  จะไม่มองภาพเป็นจุดๆ หรือเป็นปัจจุบันเท่านั้น   แต่จะมองสิ่งต่างๆ ในเชิงองค์รวม และไม่ได้มองเฉพาะสิ่งที่เป็นเป้าหมายในปัจจุบัน     แต่จะมองภาพใหญ่และสิ่งที่ต้องการไปสู่ในอนาคต

       คุณสมบัติประการที่เจ็ด คือความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่จะเกิดในอนาคต (Foresight)   

 คุณลักษณะนี้ค่อนข้างใกล้เคียง กับคุณสมบัติประการที่หก     จะเป็นผู้ที่สามารถคาดการณ์หรือมองเห็นถึงแนวโน้ม หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งผลกระทบต่างๆ ของสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป

       คุณสมบัติประการที่แปดคือ  เป็นความสามารถในการจัดการ การบริหารดูแล (ในบ้านหรือองค์กร) จะต้องทำหน้าที่เช่นคนต้นเรือนที่ดูแล บริหารจัดการบุคคลภาย ใต้ความดูแล  โดยมุ่งมั่นในการเตรียมองค์กรให้สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม

       คุณสมบัติประการที่เก้าได้แก่การให้ความสำคัญต่อการเติบโต และพัฒนาของผู้อื่น (Commitment to the Growth of People) จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ที่จะให้บุคคลอื่นในองค์กรได้มีการเติบโต 

       คุณสมบัติประการสุดท้าย คือ   การ สร้างบรรยากาศการทำงาน ค่ะ

ท่านอยากจะประเมินตนเองว่าเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่

แฟนๆประจำ Blog ค่ะ จากบทความเรื่อง พฤติกรรมของผู้นำที่มีปัญหา. โดย : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ ท่านได้กล่าวไว้ว่า ให้เราลองทบทวนและประเมินตัวท่านเองดูนะค่ะว่า ปัจจุบันท่านเป็นผู้นำหรือเจ้านายที่มีลักษณะอย่างไร เป็นเจ้านายที่ดีหรือเจ้านายที่ไม่ดี เชื่อว่าแฟนๆประจำ Blog จำนวนมากคงจะประเมินตัวท่านเองว่าเป็นผู้นำหรือเจ้านายที่ดี หรือถ้าไม่ถึงขั้นดีเด่นหรือดีมาก ก็คงไม่ได้เป็นผู้นำหรือเจ้านายที่แย่ แต่นั้นเป็นเพียงแค่ผลจากที่ตัวท่านเองประเมินตัวเองนะค่ะ แฟนๆประจำ Blog ค่ะ ต้องอย่าลืมว่า โดยทั่วไปแล้ว คนเรามักจะไม่เก่งในการหาจุดอ่อน หรือข้อผิดพลาดของตนเอง อีกทั้งไม่ค่อยยอมรับต่อความผิดพลาด ล้มเหลว หรือไม่ดีของตนเอง และยิ่งเป็นบุคคลที่ไม่ค่อยมีความสามารถเท่าใด ก็ยิ่งมักจะคิดว่าตนเองเก่งหรือโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จึงมีข้อที่น่าคิด น่าสงสัยนะค่ะว่าจริงๆ แล้วท่านเป็นเจ้านายที่ดีจริงตามที่ท่านประเมินตนเองหรือไม่
 

ถ้าท่านอยากจะประเมินตนเองว่าเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่ดีนั้น ลองถามตนเองด้วยคำถามเหล่านี้ก็ได้ค่ะ 1. การดำเนินงานของกลุ่มงานหรือหน่วยงานของท่านเริ่มตก ลง เนื่องจากผลการดำเนินงานของหน่วยงานเป็นผลสะท้อนที่ชัดเจนถึงความสามารถของตัวผู้นำ ดังนั้น ถ้าผลการดำเนินงานของหน่วยงาน หรือกลุ่มบุคคลที่ท่านรับผิดชอบเริ่มตก ลง ก็เป็นสัญญาณอันตรายประการหนึ่งที่สะท้อนถึงความสามารถหรือพฤติกรรมของผู้นำ อย่างไรก็ดี ข้ออ้างประการหนึ่งที่มักจะพบจากบรรดาผู้นำต่างๆ เมื่อผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่ตนเองรับผิดชอบเริ่มมีปัญหาหรือตกลง ก็มักจะไม่ได้มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความสามารถในการบริหาร หรือพฤติกรรมของตนเอง แต่ชอบที่จะโทษถึงปัจจัยต่างๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยภายนอกต่างๆ ซึ่งก็ถือเป็นจุดอ่อนโดยปกติของมนุษย์เรา ที่เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็มักจะไม่ได้มองว่าเกิดขึ้นจากตนเองแต่มักจะโทษปัจจัยภายนอกต่างๆ 

2. เริ่มมีแรงกดดันจากผู้บริหารระดับสูงขึ้นไป ถ้าเราทำงานได้ดีอยู่แล้ว ผู้ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปมักจะไม่ค่อยมายุ่งเกี่ยวหรือกดดันต่อเราเท่าไร แต่เมื่อใดที่เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ว่าจะความสามารถในการบริหาร หรือจากพฤติกรรมในการบริหาร คนที่เป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นไป ก็จะเริ่มเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น รวมทั้งอาจจะเพิ่มแรงกดดันมากขึ้น

3. เพื่อนร่วมงานและพันธมิตรเริ่มเหินห่าง จริงๆ แล้ว การที่ลูกน้องมีการพูดคุยหรือนินทาลับหลังเจ้านายนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตาม เพื่อนร่วมงานและบรรดาพันธมิตรในการทำงานของท่านเริ่มหันหลังให้กับท่านแล้วเมื่อนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วค่ะว่าเราเริ่มจะมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
 4. ผู้นำที่มีปัญหาในที่ทำงานส่วนใหญ่ มักจะเป็นผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารความสัมพันธ์ของบุคคลผู้นั้นทั้งในที่ทำงานและในชีวิตส่วนตัวที่มีปัญหาทั้งคู่ 5. สัญญาณสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ เมื่อลูกน้องเริ่มหมดความสุข ความสนุกในการทำงานค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าลูกน้องมีความรู้สึกว่าต้องทนทุกข์ในการทำงานกับเรา ถือเป็นสัญญาณอันตรายทีเดียวค่ะ ที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมของคนที่เป็นเจ้านาย ผู้นำที่ดีนั้น จะต้องรู้จักและรู้เวลา โดยรู้ว่าในช่วงเวลาไหนที่ควรจะรุก ควรจะผลักดัน หรือขับเคลื่อนลูกน้อง ในขณะเดียวกัน ก็ควรจะรู้ว่าเวลาไหนที่ควรจะผ่อนหรือถอยหลังออกมา ในขณะเดียวกัน ผู้นำที่ดีจะต้องสามารถอ่านหรือมองเห็นถึงปฏิกิริยาของลูกน้องแต่ละคน เพื่อปรับสไตล์การบริหารให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลในแต่ละสถานการณ์ จะเห็นได้นะค่ะว่าในปัจจุบันคนที่เป็นผู้นำที่ดีได้นั้น จะต้องมีทักษะที่สำคัญหลายอย่าง แต่ทักษะที่สำคัญที่สุดนั้น หนีไม่พ้นเรื่องของการเป็นผู้ฟังที่ดี ผู้นำนั้นจะต้องคอยกระตุ้น และสนับสนุนให้ลูกน้องได้แสดงความคิดเห็น และรับฟังข้อเสนอแนะจากลูกน้อง ในขณะเดียวกัน เมื่อลูกน้องพูดก็ต้องไม่ไปขัดหรือพูดแซงขึ้นมาและไม่อารมณ์เสียขึ้นมาง่ายๆเมื่อพบว่าลูกน้องทำผิด มีข้อที่น่าสังเกต คือ ผู้นำที่ไม่ดีนั้นจะมีส่งผลกระทบทั้งระดับความรุนแรงและระยะเวลานานกว่าผู้นำที่ดี ในต่างประเทศนั้น เขาจะมีคำกล่าวว่า "Bad is stronger than good" แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ไม่ดีนั้น มีผลกระทบที่รุนแรงและยาวนานกว่าสิ่งที่ดี มีงานวิจัยที่ศึกษาความรัก และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และพบว่าเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลยืนยาวนั้น จำนวนครั้งของความสัมพันธ์ที่ดี จะต้องมากกว่าจำนวนครั้งของความสัมพันธ์ที่ไม่ดีอย่างน้อย 5:1 เท่า โดยถ้าตัวเลขน้อยกว่านี้เมื่อไรจะพบว่าอัตราความสุขจากการแต่งงานจะลดน้อยลงและอัตราการหย่าร้างจะสูงขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่พบอีกนะค่ะว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างเจ้านายกับลูกน้องนั้น มีระดับความรุนแรงมากกว่าความสัมพันธ์ที่ดีถึงห้าเท่า แสดงให้เห็นว่าถ้าเจ้านายไม่ดี และก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับลูกน้องแล้ว ผลกระทบจะรุนแรงกว่าการทำดีมาตลอด แสดงว่าผู้นำหรือเจ้านายที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้นจะส่งผลร้ายต่อความสุข ความกระตือรือร้นในการทำงานของคนที่เป็นลูกน้องและสุดท้ายผลการดำเนินงานขององค์กรก็จะแย่ลง
                อย่าลืมสำรวจตัวเองดูนะค่ะว่าตกลงแล้วท่านเป็นเจ้านายประเภทไหน แล้วอย่าลืมว่า เรามักจะมีแนวโน้มที่จะประเมินตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงนะค่ะ

การจัดการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องปรับก่อนนำไปใช้

การจัดการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ การรู้จักนำเอาความรู้ต่างๆ (ทฤษฎีความรู้เกี่ยวกับการบริหาร) ที่มีกฏเกณฑ์แน่นอน ช่วยเป็นแนวทางมาปรับใช้ (ศิลปะ)ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่จริง เพื่อให้ได้ผลในทางปฏิบัติ ถูกต้องตามที่ต้องการมากที่สุด หลักการบริหาร จะช่วยเป็นแนวทาง (Guidelines) ให้นักบริหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการมีหลักเกณฑ์ ย่อมช่วยให้นักบริหารไม่ต้องไปเสียเวลาเสี่ยงทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย การมีวิชาความรู้ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีศิลปะหรือประสบการณ์และความชำนาญในการปรับใช้ให้ตรงกับปัญหาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้ว ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใดแต่กลับจะเป็นอันตรายแก่ตนเอง” “ การมีประสบการณ์หรือความชำนาญอย่างเดียว ไม่มีความรู้ที่เป็นวิชาการมาสนับสนุน ก็ย่อมหมายถึงการที่จะต้องล่าช้าและหยุดอยู่กับที่ เพราะทักษะบางอย่างที่เราขาดไปอาจจะอยู่ในตำราก็ได้

 

วันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

กําลังใจเป็นสิ่งสําคัญ    หัดเติมให้คนอื่น

แล้วเขา     จะกลับมาเติมให้คุณเอง

นิทาน พี่น้องซัมซุงและฮุนได

คราวนี้ ดิฉันมีเรื่องราวชีวิตของ พี่น้องคู่หนึ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเจ้าของบริษัทซัมซุงและฮุนได    มาเล่าให้ฟังค่ะ

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคนอายุน้อยกว่าฉัน3ปี วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกันจากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาดฉันกลัวมาก ฉันไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า'ผมขโมยเองครับ' ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่องพ่อโกรธมากพ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย' คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมดแต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก  น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้แล้วพูดว่าพี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อหลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง  ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี..เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า ' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว' พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้  วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆนะ.... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า.......ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ.......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3   วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักเพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า 'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ เห็นตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ฉันถามเขาว่า'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'น้องชายของฉันตอบยิ้มๆว่า 'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่เพื่อนๆจะได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี' ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไงเธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'      จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง' ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20ปีส่วนฉันอายุ23ปี. หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิมน้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป...เขาบอกกับฉันว่า'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง' สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัทแต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาลฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการหา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง' คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความคิดเดิมของเขา 'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขย เพิ่งจะได้เป็นประธานส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....ฉันบอกกับน้องว่า
'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...''ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปีส่วนฉันอายุ29ปี...เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิง ในที่ทำงานที่เดียวกันในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า ' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ'.....และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถมโรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้านวันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่งพี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่งและเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้าง เดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาวเธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ'เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน  คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก....... 'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้  น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีก...

จงรักและห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขาคุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคน คนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม                             
ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
ส่วนน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า 'ซัมซุง'

ท่านเสพติด......สื่อออนไลน์หรือเปล่า

ท่านผู้อ่านคะ  เวลาที่เรานึกถึงสิ่งเสพติดนั้น เรามักจะนึกถึงสารเสพติดต่างๆ แต่ยังมีสิ่งเสพติดอีกชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลต่อการทำงานของสมองเรา ซึ่ง ดร.พสุ  เดชะรินทร์ ได้กล่าวถึง สิ่งเสพติดชนิดใหม่หรือข้อมูล ไว้ว่า    ที่ปัจจุบันเราเสพกันติดโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ ข้อมูล ค่ะ  ดูเหมือนว่าด้วยเทคโนโลยีและพฤติกรรมของเราในปัจจุบัน จะทำให้คนทำงานและนิสิตนักศึกษาจำนวนมากเป็นพวกที่จะต้องออนไลน์ตลอดเวลา และคนเหล่านี้จะต้องคอยรับข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา ท่านลองสังเกตพฤติกรรมของตัวท่านเองและบุคคลรอบข้างดูซิค่ะว่า ท่านจะรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ แบบออนไลน์ทั้งอีเมล ข้อความต่างๆ ความคิดเห็นใน Twitter/Facebook หรือการติดต่อผ่านทาง MSN ผ่านทางทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาหรือไม่ ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยี และกระแสความนิยมในมือถือรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น เจ้า BB ที่ทำให้ทุกข้อความหรืออีเมลที่ส่งมาหาท่านจะถูกแจ้งให้ท่านทราบโดยทันที ซึ่งต่างจากในอดีตที่ว่าเราจะทราบว่าเรามีเมลใหม่เข้ามาต่อเมื่อเราได้เข้าไปตรวจสอบ แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน แค่วางมือถือไว้ข้างหน้า เมื่อมีเมลฉบับใหม่เข้ามาเราก็จะทราบแล้ว และโดยส่วนมากที่ดิฉันพบเห็นจากคนรอบตัว ก็คือ เมื่อคนเหล่านี้พบว่ามีเมล หรือข้อความใหม่เข้ามา ก็มักจะอดไม่ได้ที่จะเข้าไปอ่าน ท่านเป็นพวกที่เสพติดต่อข้อมูลออนไลน์เหล่านี้หรือเปล่าค่ะ ถ้าใช่ก็ขอแจ้งให้ทราบต่อเลยนะค่ะว่ามี งานวิจัย จาก University of London ที่ระบุว่า การเสพติดต่อข้อมูลแบบออนไลน์นั้น จะส่งผลต่อความสามารถในการทำงานของสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ระดับไอคิวของคนเราลดลงในระดับที่มากกว่าการสูบสารเสพติดอย่างเช่น ฝิ่นถึงสองเท่า แสดงว่า<a href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=การเสพติดต่

เรื่อง ต้องกำจัด “เก้าอี้” ถึงจะมี “กำไร”

ดิฉันมีหนังสือ เรื่อง ต้องกำจัด เก้าอี้ถึงจะมี กำไรซึ่งเป็นศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการแบบญี่ปุ่นของ คุณซากะมากิ  ฮิซาชิ ประธานบริษัทแคนนอนอิเล็กทรอนิกส์  ที่ได้นำมาใช้เพื่อกำจัดความสูญเปล่าทางด้านเวลา มาเล่าให้ฟัง

คุณซากะมากิ ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการทดลองของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่ทำร่วมกับองค์การ NASA ในหัวข้อเรื่อง เวลาที่นั่ง กับเวลาที่ยืน เวลาไหนทำให้เกิดไอเดียมากกว่ากันซึ่งผลการวิจัยที่ออกมาเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งค่ะ เพราะไม่ว่าจะนั่งหรือยืน ไอเดียที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน แต่ความเร็วในการเกิดไอเดียนั้น พบว่าขณะที่ยืนจะเกิดไอเดียเร็วกว่าตอนที่นั่งถึง 30% ดังนั้นคุณซากะมากิ จึงเกิดความคิดว่า ถ้ายืนแล้วทำให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีกว่าถึง 30% การยืนทำงานน่าจะให้ผลที่ดีกว่าการนั่งทำงาน จึงนำมาทดลองใช้กับพนักงานของตนเอง และก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ          ดังนั้น หากเรานำวิธีการนี้มาปฏิบัติ แล้วทำให้ความสูญเปล่าทางด้านเวลาในการเกิดไอเดียลดลง ก็ถือเป็นการประหยัดวิธีการหนึ่งค่ะ เพราะลดเวลาที่ใช้ลงได้ถึง 30% (น่าสนใจนะค่ะหากนำวิธีการนี้ไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน หากการยืนเรียนจะทำให้นักเรียนเข้าใจเร็วขึ้นถึง 30%)

ท่านผู้อ่านค่ะ เราทุกคนรู้ว่า หนทางสู่กำไรในยุคที่การแข่งขันสูง มีอยู่หนทางเดียวคือ ลดต้นทุนซึ่งก็มีหลากหลายวิธี แต่ CEO ของที่นี่ มีวิธีที่ไม่เหมือนใคร การประชุมผู้บริหารที่ยืดเยื้อเป็นวัน
แต่พอให้เอาเก้าอี้ ออกจากห้องประชุม ก็ทำให้ประชุมเสร็จเร็วขึ้นเอาเก้าอี้ออกแล้วประชุมอย่างไร?” หลายคนอาจสงสัย
ไม่มีเก้าอี้ก็ต้องยืนซิค่ะถูกต้องแล้วค่ะ ที่นี่จะใช้วิธีการยืนประชุม แม้ผู้บริหารบางคน จะมีปัญหาสุขภาพ แต่เชื่อหรือไม่ว่า การยืนที่ถูกวิธี ก็ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น!พอผู้บริหารเริ่มทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นมันก็ง่ายขึ้น ที่จะให้ลูกน้องทำตาม
บางองค์กร ผู้บริหารชอบคิด ชอบสั่ง แต่ตัวเองไม่ทำเป็นตัวอย่าง ผลงานจากการคิดเลยไม่ถึงไหน นอกจากห้องประชุมแล้ว บริษัทนี้ก็เริ่มกำจัดเก้าอี้ออกไปจากหน่วยงาน ทีละฝ่าย ทีละแผนก
พอไม่มีเก้าอี้ ก็ทำให้งานไหลลื่นขึ้น จากที่เคยขี้เกียจลุก เดินไปคุยงานที่แผนกอื่น แต่พอไม่มีเก้าอี้ ความขึ้เกียจก็หายไป
ไอเดียของCEOที่นี่ช่างแยบยลจริงๆนอกจากนั้น การยืนทำงาน ก็ช่วยให้พนักงานได้กระชับกระเฉง เพราะแน่นอนว่า คงไม่มีใครยืนหลับและที่ได้มากกว่านั้นคือ ประหยัดพื้นที่ทำงาน (จ่ายค่าเช่าตึกน้อยลง)ประหยัดค่าใช้จ่ายซื้อเก้าอี้ (ทั้งซ่อม ซื้อใหม่ และเปลืองพื้นที่วาง) อ้อ แต่เขาไม่ได้เอาเก้าอี้ออกไปทั้งบริษัทหรอกนะค่ะ หน่วยงานไหนที่จำเป็นก็ต้องมี  ถ้ายังไม่เชื่อดิฉันที่ดิฉันเล่า ก็ลองลุกขึ้นแล้วยืนดูซิค่ะ รู้สึกดีขึ้นไหม? แต่ระวังนะค่ะอาจมีผู้ไม่ปรารถนาดี แอบคอยเลื่อยขาเก้าอี้คุณอยู่ก็เป็นได้ค่ะ

คนที่เดินอยู่หน้าเรา 3 คนนั้น มี 1 คนที่ให้เราผูกมิตรและเรียนรู้จากเขา

วันนี้ดิฉันมีบทความเรื่อง คู่หูหรือคู่แข่ง ของคุณแจ๊ด มินทร์ อิงค์เธศ มาเล่าให้ฟังค่ะ ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า องค์ประกอบแห่งความสำเร็จขององค์กร ส่วนใหญ่มักจะเทคะแนนให้ ผู้นำเป็นสำคัญ อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาองค์กรทุกแห่งล้วนต้องอาศัยกลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ของผู้นำเป็นหลักนำองค์กรฝ่าฟันมรสุมทางเศรษฐกิจ แนวคิดเช่นนี้อาจใช้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ความเป็นจริงหลายๆ องค์กรกลับเกิดปัญหา เพราะกำลังสำคัญของเขาไม่ได้มีแค่ผู้นำ หรือผู้บริหาร แต่กลับกลายเป็นพนักงานฝ่ายระดับปฏิบัติการ ไปจนถึงระดับล่างอีกหลายร้อยหลายพันคน การให้ความสำคัญกับบุคลากรเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นและเราจะใช้มุมมองบริหารแบบเดิมๆ จัดการไม่ได้ ลองย้อนนึกไปถึงตัวเราเองก่อน ที่จะขึ้นมาเป็นผู้บริหารก็น่าจะพอเห็นภาพ นั่นคือการแบ่งเพื่อนร่วมงานออกเป็นกลุ่มที่คิดตรงกับเรา มีนิสัยตรงกับเรา ซึ่งในที่สุดก็จะกลายเป็นเพื่อนสนิทที่ทำงานร่วมกันอย่างสบายใจและมีความสุข กลับกันถ้าเจอเพื่อนร่วมงานที่รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกใจ ถ้าระดับเบาก็จะรู้สึกว่าเขาจะแข่งกับเรา กลายเป็นคู่แข่ง หรือถ้าระดับหนัก อาจกลายเป็นศัตรูกัน ไม่อยากทำงานร่วมกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อองค์กร เพราะทำให้การประสานงานไม่ราบรื่น ทุกครั้งที่ปรับเปลี่ยนองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาประจำปี หรือปรับโครงสร้างใหม่ พนักงานส่วนใหญ่อาจให้ความสำคัญกับผู้บริหาร ทั้งๆ ที่จำนวนผู้บริหารอาจมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ขณะที่พนักงานระดับเดียวกันหรือระดับหัวหน้างานที่ทำงานกับเรา โดยตรงอาจมีมากมายหลายสิบไปจนถึงหลายร้อยคน  นั่นก็คือ เรามีเพื่อนร่วมงานมากมาย แต่เรากลับหลงลืมไปว่าพวกเขาสำคัญต่อเรา และมีอิทธิพลต่อเราสูงมาก หากวิเคราะห์ให้ดี เพื่อนร่วมงานที่อยู่รอบข้างเราและมีผลต่อเราไม่น้อยไปกว่าเจ้านาย ถ้าโชคดีได้เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี เขาจะมีอิทธิพลต่อเราทั้งระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น เพื่อนร่วมงานจะต้องทำงานร่วมกันไปทุกวัน หากเขาเป็นปัจจัยที่ทำให้เราทำงานอย่างสบายใจ ก็ย่อมเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ เพื่อนร่วมงานที่ดี จึงทำให้เราเป็นคนมีคุณค่าต่อองค์กร และทำให้เราก้าวหน้าได้ แม้แต่ภาษิตจีนโบราณก็สอนเราเอาไว้ว่า คนที่เดินอยู่หน้าเรา 3 คนนั้น มี 1 คนที่ให้เราผูกมิตรและเรียนรู้จากเขาได้ ซึ่งเรื่องนี้หากทุกคนเข้าใจ เราก็ย่อมมีโอกาสเจอคนที่เก่งกว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานเรา และเราก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้จากเขาได้ ทางกลับกัน ถ้าเจอเพื่อนร่วมงานที่ความสามารถด้อยกว่า เราก็ต้องทำงานหนักขึ้น แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะสามารถฝึกความเป็นผู้นำให้ตัวเอง ด้วยการสอนให้เรารู้จักวิธีสอนคน กระตุ้นคน เรียนรู้เทคนิคการบริหาร การถ่ายทอด และฝึกฝนคนที่ไม่เก่งให้เก่งขึ้นมา และทำงานกับเราเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้ ถือเป็นผู้มีบุญคุณกับเราเช่นกัน แล้วกับคนที่มีความสามารถพอๆ กัน จะถือว่าเขาเป็นคู่แข่ง เป็นศัตรูที่ต้องห้ำหั่นกันไหม ซึ่งแม้ว่าหลายๆ องค์กรจะแข่งขันกันลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติ แต่การเรียนรู้ซึ่งกันและกันน่าจะเปิดโอกาสให้องค์กรได้มากกว่า โดยเฉพาะยุคที่ต้องใช้ Positive Competition คนเหล่านี้ก็ถือเป็นคนที่มีบุญคุณต่อเราเพราะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราอยากเรียนรู้ อยากเอาชนะ และทำให้เราเจริญก้าวหน้า