Monthly Archives: January 2011

เคล็ดลับการเป็นหัวหน้างาน

การหาคนที่ทำงานเก่งและเป็นคนดี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากแล้ว แต่การจะเก็บรักษาคนดีเอาไว้นี่สิดูเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า ในบริษัทไหน ๆ หากมีคนที่มีลักษณะที่พึงประสงค์เหล่านี้ไว้ก็มักจะหาวิธีการต่าง ๆ นานาเพื่อให้พนักงาน (อยาก) อยู่กับบริษัทไปนานเท่าที่จะนานได้ เพื่อผลประโยชน์ที่มุ่งหวังของบริษัท การที่พนักงานอยากจะทำงานกับบริษัทต่อหรือไม่นั้นก็อาจจะขึ้นอยู่กับคนที่เป็นหัวหน้าด้วยเช่นกัน การที่จะเป็นหัวหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานนั้นมีเคล็ดลับง่าย ๆ ดังนี้

1. สร้างความเท่าเทียมและเสมอภาค บริษัทจำเป็นต้องสร้างความรู้สึกเท่าเทียมให้เกิดในหมู่พนักงาน ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่พนักงานที่ถูกละเลย แปลกแยกหรือแตกต่าง มีความเท่าเทียมกับพนักงานคนอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ในบริษัท สามารถเข้าถึงและรู้เห็นเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างโปร่งใส อีกทั้งบริษัทยังต้อง ทำให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทเห็นคุณค่าและความสำคัญของพนักงานทุกคน และการที่หัวหน้างานสามารถจดจำชื่อลูกน้องได้จะยิ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่า ตนเองมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร อย่าให้พนักงานรู้สึกว่าเจ้านายกำลังเลือกที่รักมักที่ชังเป็นอันขาด เพราะนั่นจะบั่นทอนความรู้สึกของพนักงานที่มีต่อบริษัทเป็นอย่างมาก

2. สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน การส่งเสริมการทำงานเป็นทีมไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อผลสำเร็จของการทำงานเท่านั้น ยังทำให้เกิดการรวมน้ำใจกันของพนักงาน สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทีม เกิดการมีส่วนร่วมและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ยิ่งเมื่อทำให้เขารู้สึกว่า การทำงานในบริษัทเหมือนการอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะยิ่งทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน พร้อมที่จะทุ่มเทการทำงานให้กับบริษัทอย่างเต็มที่ ยังช่วยป้องกันการเกิดความรู้สึกสงสัยเคลือบแคลงว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่อใคร เพราะเขารู้แน่แกใจอยู่แล้วว่าเขานั้นทำงานเพื่อบริษัทอย่างแท้จริง และต้องไม่ลืมที่จะมอบความซื่อสัตย์ให้กับพนักงาน หากหวังจะได้สิ่งนั้นตอบกลับจากพนักงาน

3. ให้กำลังใจเมื่อผิดพลาด คนเรามีโอกาสที่ทำผิดกันได้แม้จะระมัดระวังมากเพียงใดก็ตาม ในโลกของการทำงานเองก็เช่นเดียวกัน มักจะเกิดความผิดพลาดทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เมื่อพนักงานทำผิด หัวหน้าควรแสดงออกถึงความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นผ่านเลยไป โดยที่ไม่ได้ถามถึงที่มาที่ไปของปัญหา เพียงแต่ต้องไม่ให้พนักงานรับเอาความผิดนั้นไปเพียงผู้เดียว และอาจให้โอกาสในการปรับปรุงตัวหากสามารถทำได้ การให้กำลังใจเมื่อทำผิดพลาดจะทำให้พนักงานรู้สึกถึงความเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นของหัวหน้า เมื่อได้รับโอกาสในการแก้ไขก็จะยิ่งทำให้รู้สึกซาบซึ้ง และทำให้โอกาสที่จะทำผิดพลาดไม่เกิดขึ้นอีกหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด

4. ให้ความก้าวหน้าในการทำงาน  หัวหน้างานต้องคอยสอดส่องความเป็นไปของพนักงาน อย่าปล่อยให้พนักงานทำงานที่ไม่เหมาะสมกับความสามารถของเขา เพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจจะรู้สึกได้ว่าไม่มีโอกาสที่จะก้าวหน้าใด ๆ เลยในบริษัทแห่งนี้ และเพื่อพิสูจน์ถึงความสามารถที่เขามี เขาอาจจะเริ่มมองหาบริษัทใหม่ในการทำงาน หลายบริษัทอาจจะขาดคนเก่ง คนดี คนมีความสามารถไปโดยไม่รู้ตัว เพราะมัวปล่อยให้เขาทำงานที่ไม่ได้พิสูจน์ความสามารถ บริษัทต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่าทุกขณะของการทำงานนั้นเขามีโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าเสมอ ไม่ใช่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม อีกทั้งหัวหน้ายังต้องอำนวยความสะดวกให้การทำงานให้พนักงานบ้างในบางครั้ง เพื่อให้รู้สึกว่าการทำงานนั้นราบรื่น ไม่ติดขัด เพียงเท่านี้หัวหน้างานก็จะเป็นหัวหน้าในฝันที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานให้กับพนักงาน อีกทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้พนักงานยังคงอยากทำงานกับบริษัทต่อไปอย่างไม่ยากเย็น

ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ตัดกระดาษต้องใช้กรรไกร  แต่ตัดใจต้องใช้เวลา

นิทาน เรื่องข่าวดีและข่าวร้ายที่ไม่มีใครที่นี่ใส่รองเท้าเลย

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการแบบ   เรื่องข่าวดีและข่าวร้ายที่ไม่มีใครที่นี่ใส่รองเท้าเลย   มาเล่าให้ฟังมีบริษัทผลิตรองเท้าบริษัทหนึ่ง ประสบความสำเร็จมาก วันหนึ่งฝ่ายบริหารประชุมกันและพิจารณาที่จะเปิดตลาดในทวีปแอฟริกา จึงส่งพนักงานขายอันดับ 1ไปยังแอฟริกาเพื่อทำการศึกษาศักยภาพของตลาด เมื่อไปถึงแอฟริกา เซลล์แมนสังเกตว่าชาวแอฟริกัน ส่วนมากเดินด้วยเท้าเปล่า เขาก้อเลยส่งข่าวกลับไปด้วยข้อความที่ว่า  “ข่าวร้าย ที่นี่ไม่มีใครสวมรองเท้าเลย”  และก็ส่งรายงานตามไปอีกว่า ไม่มีตลาดรองเท้าในทวีปแอฟริกานี้  ฝ่ายบริหารก็พิจารณาว่า ควรจะหาข้อมูลเป็นครั้งที่ 2 เพื่อให้แน่ใจ  จึงตัดสินใจที่จะส่งเซลล์แมนอีกคนหนึ่งไปเพื่อประเมินตลาดแห่งนี้ พนักงานขายคนที่ 2 เมื่อไปถึงแอฟริกาก็มีความตื่นเต้นมาก และส่งข่าวกลับมาทันทีด้วยข้อความว่า ข่าวดี ไม่มีใครที่นี่ใส่รองเท้าเลย” เขารีบเดินทางกลับและรายงานแก่ฝ่ายบริหารว่าสุภาพบุรุษทั้งหลาย เรากำลังจะรวย เพราะมีตลาดใหญ่มากในแอฟริกา และสิ่งสำคัญที่เราต้องทำคือ ให้การศึกษาแก่ชาวแอฟริกันว่าประโยชน์และความสำคัญของการใส่รองเท้าคืออะไร
   นิทานเรื่องนี้ ที่ให้คุณได้เห็นมุมมองในเรื่องของความคิดของคน ที่แตกต่างกันซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เราจะรับรู้อย่างไร ชีวิตมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ในทุกๆเรื่อง ชีวิต ก็คือ เราจะรับรู้อย่างไร มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ในทุกๆเรื่องทุกๆเหตุการณ์ท่านสามารถที่จะมองว่า แก้วใบหนึ่งเต็มอยู่ครึ่งหนึ่ง หรือ ว่างเปล่าอีกครึ่งหนึ่งท่านสามารถที่จะมองเห็น รูโดนัท หรือตัวโดนัทเอง ทางเลือกอยู่ที่ตัวท่านเอง หรือท่านเพียงผู้เดียวที่จะตัดสินใจได้  แต่จำไว้ว่า ทางเลือกที่ท่านเลือกจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของท่านเอง

คิดเห็นไม่ตรงกัน ให้พูดจากันดีที่สุด

คุณจำลักษณ์ ขุนพลแก้ว ได้เขียนไว้ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า ถ้าข้อคิดเห็นไม่ตรงกัน ให้พูดจากันดีที่สุด               Work like a pro ให้ทุกฝ่ายลืมสิ่งที่เรียกว่า My way หรือ Your way ออกไปเสีย เพื่อที่จะเดินหน้าหา Our way ดูจะดีที่สุดระหว่างความเชื่อกับความจริง บางครั้งก็ไปในทิศทางเดียวกัน แต่หลายครั้งก็สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง บางคนก็ใช้ความเชื่อนำความจริง ในขณะที่บางคนก็ใช้ความจริงนำความเชื่อ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะเชื่อ แม้ว่าจะรู้ทั้งรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร                                เพราะถ้าความจริงบางส่วนที่เรารู้นั้นมันไม่ได้สร้างประโยชน์ แถมบางครั้งกลับเป็นโทษเสียด้วยซ้ำ จึงเป็นความตั้งใจของคนคนนั้นที่จะหยิบยกเอาความเชื่อ ที่แม้ว่าจะไม่มีเอกสารหลักฐานมาสนับสนุน แต่ก็ใช้กลุ่มคนจำนวนมากที่เห็นพ้องต้องกันมาเป็นเครื่องยืนยัน และหลายครั้งที่ความเชื่อของคนจำนวนมากที่ไม่มีพื้นฐานความจริงสนับสนุนอย่างเด่นชัด ก็มักจะได้รับการตัดสินใจจากทุกคน ให้เป็นตัวเลือกสำหรับทางออกของปัญหาหรืออุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่  ประเด็นคือแต่ละคนอาจมีความเชื่อที่เหมือนกันทั้งหมด เหมือนกันบางส่วน แตกต่างกันบ้าง หรือแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ได้ แต่ความจริงยังไงมันก็จริงอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าจะมีคนกี่หมื่น กี่แสน หรือกี่ล้านแสดงความเชื่อไปในทิศทางที่ต่างออกไป ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อก็ไม่ได้เลื่อนลอยเสียทีเดียว ย่อมต้องมีฐานอยู่พอสมควรที่ทำให้แต่ละคนคิดเห็นไปเช่นนั้น อาทิ พฤติกรรมที่สะท้อนจากความชอบ ความรัก ความหลง หรือแม้แต่ความชัง ผลประโยชน์ส่วนตน บุญคุณที่เคยมีต่อกัน ประสบการณ์ในอดีต ความกล้า และความกลัวที่มีอยู่ในตัว เป็นต้น ดังนั้นขึ้นชื่อว่าคน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์อันแสนประเสริฐ มีวิจารณญาณการคิดวิเคราะห์แล้ว โอกาสในการเห็นต่างแต่ถ้านำมาสร้างสรรค์ ก็ทำให้เกิดคุณประโยชน์ได้มากมาย แต่ถ้านำมาห้ำหั่นกันก็มีแต่จะเสียหายไปในที่สุด และเหตุการณ์ในลักษณะนี้กลับพบเห็นได้ในหลายสถานที่ ตั้งแต่ระดับครอบครัว องค์กร สังคม จนถึงประเทศชาติ แม้แต่ระดับระหว่างประเทศก็มีมาแล้ว แค่เพียงเรียกชื่อโบราณสถานต่างกันก็เป็นเรื่องได้ ทั้งๆ ที่ก็พูดถึงสิ่งเดียวกันแท้ๆ ทางออกของความคิดเห็นที่แตกต่างกัน สามารถคลี่คลายได้ด้วยการหันหน้ามาพูดจากัน แต่ต้องมีเงื่อนไขว่า ต้องไม่มีเงื่อนไขระหว่างกันนั่นคือต้องไม่พกเอาความเชื่อของตนมาด้วย หรือคิดหนทางของตนไว้แล้ว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นทุกคนก็จะมาเพื่อพูด มากกว่าจะมาเพื่อฟัง ดังนั้นทำใจให้ว่างตั้งสติและสมาธิ เพื่อมาร่วมหาทางเลือกที่เห็นพ้องต้องกันดีกว่า ในการเจรจาไม่ว่าจะสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย ทางเลือกที่เห็นชอบร่วมกันเกิดเป็นฉันทามติ (Consensus) นั้นดีที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีข้อเสียคือเยิ่นเย้อเนิ่นนานกว่าจะให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันได้สำเร็จ แต่ก็มักจะไม่มีผลข้างเคียง (Side effect) ติดออกไปนอกห้องเจรจา ในขณะที่การใช้พวกมากลากไปด้วยการยกมือโหวตนับคะแนนเสียงนั้น ดูเหมือนดีสรุปจบง่ายได้ทางออกเบ็ดเสร็จแต่เห็นทุกครั้งมันก็ไม่ไปสู่ความสำเร็จที่ทุกคนมุ่งหวังเสียที ดังนั้นการหันหน้าพูดจาด้วยการปลดอาวุธที่เป็นอคติออกจากตัวแล้วกองไว้หน้าห้อง โดยให้ทุกคนทุกฝ่ายลืมสิ่งที่เรียกว่า My way หรือ Your way ออกไปเสีย เพื่อที่จะเดินหน้าหา Our way ภายในห้องดูจะดีที่สุด แล้วก็เริ่มต้นด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่จะไปร่วมกัน คิดถึงทางข้างหน้าอย่ามัวแต่ไปถกเถียงกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ในอดีตของการแข่งขันกันทางธุรกิจก็มักจะเอากันให้ตาย หรือต้องให้ฝ่ายตรงข้ามพ่ายไปในที่สุด ยิ่งทำให้อยู่ในจุดที่เพี้ยงพล้ำชนิดไม่สามารถกลับมาต่อกรได้อีกยิ่งดี แต่ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่าการแข่งขันกันอย่างโปร่งใสและยุติธรรม ไม่จำเป็นจะต้องชนะหรือแพ้กันอย่างราบคาบไปเสียทั้งหมด ดังนั้นผลลัพธ์อาจจะไม่ได้มีแค่ฝ่ายหนึ่งแพ้และอีกฝ่ายหนึ่งชนะเสมอไป มีบ่อยครั้งที่สามารถชนะด้วยกันได้ทั้งสองฝ่าย (win-win situation) นั่นคือต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์โดยที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ขอเน้นย้ำและขีดเส้นใต้ตรงคำว่า ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครเพราะถ้า 2 ฝ่ายที่หันหน้ามาคุยกันแล้วได้ประโยชน์ แต่กลับโยนภาระหรือความเสียหายไปให้แก่คนนอกวงเจรจา มันก็จะเข้าตำรา ฮั้วกันหรือร่วมกันหาประโยชน์ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าจะเร่งรัดผลสำเร็จจากการเจรจาในครั้งแรก แล้วจะบรรลุเป้าหมายที่ร่วมกันตกลง โดยไม่มีใครเสียประโยชน์ในทันที ยิ่งเรื่องที่ยากและมีความซับซ้อน อาจจะหารือกันไปมาหลายรอบกว่าจะได้ข้อสรุป แต่ถ้าบรรยากาศดีสมานฉันท์ผลของมันก็จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไปข้างหน้า ถ้าไม่เลิกราไปเสียก่อน ย่อมต้องบรรลุข้อตกลงร่วมกันในที่สุด สถานการณ์ของการพูดคุยที่ยังหาทางออกที่ดีที่สุดของทุกฝ่ายไม่ได้ในทันที ก็อาจจะกลับไปคิดไตร่ตรองในรายละเอียดซ้ำใหม่ก็ยังไหว แล้วเมื่อเกิดปัญญาในสิ่งใหม่ก็กลับมาเจรจากันใหม่ สถานการณ์แบบนี้เรียกว่า (win-win or no deal) คือไม่จบคราวนี้ค่อยว่ากันใหม่คราวหน้า สิ่งที่กลัวกันมากตอนนี้ก็คือ สังคมยุคใหม่ที่รีบเร่งรีบด่วนกันจนเคย มันได้ทำให้ความละเอียดรอบคอบหายไป ความรู้สึกที่จะอดรนทนอะไรนานๆ ไม่ได้นั้น เป็นตัวบั่นทอนสติปัญญาและความนึกคิดที่ดีไปเสียหมด ซึ่งเราได้เห็นผลเสียหายมากมายทั้งในแง่วิกฤตสังคม วิกฤตการเมือง หรือแม้แต่วิกฤตเศรษฐกิจ ที่เป็นผลพวงมาจากความเร่งร้อนที่จะเผด็จศึก หรือยึดหัวหาดเพื่อชิงความได้เปรียบทางการแข่งขัน อย่างกรณีของธุรกิจยานยนต์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้นการกลับมาทบทวนกระบวนการผลิต กระบวนการจัดจำหน่าย กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนกระบวนการพัฒนาคน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วันนี้เรามาทำอะไรให้ช้าลงกันบ้างดีไหม ทานอาหารให้ช้าลง อยู่กันให้นานขึ้น พูดคุยกันให้มากขึ้น และใช้เทคโนโลยีเท่าที่จำเป็น เชื่อว่าถ้าคุยกันมากขึ้น ความเข้าอกเข้าใจกันจะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรไหนๆ จะใหญ่หรือจะเล็กก็ตามที

คนเก่ง ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

การแข่งขันในตลาดแรงงานปัจจุบันมีความเข้มข้นขึ้นทุกวัน คนเก่งเท่านั้นที่จะได้โอกาสเติมเต็มตำแหน่งงานว่าง ในบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีความมั่นคง พูดอย่างนี้หลายคนอาจจะท้อใจว่า ถ้าเรียนไม่เก่ง เกรดไม่ดีก็จะหางานทำไม่ได้ใช่ไหม ความจริงคำว่า คนเก่ง ไม่ได้หมายถึง คนที่เรียนเก่งเท่านั้น เพราะคนที่เรียนเก่งอาจไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ คนที่นายจ้างต้องการจะต้องเก่งในเรื่องอื่น ๆ ด้วย อยากทราบแล้วใช่ไหมว่าการเป็น คนเก่ง นั้นจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร บุคลิกดี  First Impression ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณได้งานหรือไม่ บุคลิกดี ไม่จำเป็นต้องสวย หล่อ เพียงแค่เป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติ เป็นคนมีความมั่นใจในแบบฉบับของตัวเอง พูดจาฉะฉาน ฉลาดที่จะพูด คนที่มีบุคลิกดี ย่อมเด่นสะดุดตานายจ้าง และโอกาสที่คุณจะได้งานที่คุณสมัครนั้นก็มีสูงด้วย  

ไหวพริบดี แก้ปัญหาไว ในชีวิตเราย่อมต้องมีปัญหาผ่านเข้ามาให้เราได้แก้ไขและเรียนรู้ การฝึกคิดแก้ปัญหาบ่อย ๆ จะทำให้เรารู้เท่าทันปัญหา และสามารถหาทางแก้ไขได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ และเมื่อเราได้โอกาสในการสัมภาษณ์งาน ก็ควรจะบอกให้นายจ้างทราบในประเด็นนี้ด้วย ว่าเราเคยมีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง เมื่อนายจ้างเห็นว่าคุณเป็นคนมีไหวพริบในการแก้ปัญหา คุณก็จะโดดเด่นขึ้นอันดับในใจของเขาแล้ว เพราะหากเขารับคุณเข้าทำงาน เขาสามารถมั่นใจได้ว่าคุณแก้ปัญหาเองเป็น โดยไม่ต้องแบกปัญหามาให้เขาแก้ไขให้ตลอดเวลา

มนุษย์สัมพันธ์ดี ใคร ๆ ก็ชอบคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่น ๆ ได้ง่าย ปรับตัวได้ง่าย เพราะในการทำงานนั้น เราไม่อาจทำงานได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องอาศัยหลาย ๆ ฝ่ายร่วมกัน ดังนั้นคนที่จะทำงานกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น จำเป็นต้องมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีด้วย

ใช้คอมพิวเตอร์เป็น ด้วยความที่โลกของเราก้าวหน้าไปมาก จะมัวแต่นั่งพิมพ์ดีดอยู่ก็คงจะไม่ทันคนอื่น เพราะคอมพิวเตอร์ช่วยให้การทำงานเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว คนทำงานสมัยใหม่จึงต้องมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมพื้นฐาน อย่างเช่น ไมโครซอฟท์ออฟฟิศ สำหรับการใช้งานสำนักงาน หรือหากต้องติดต่อลูกค้าก็จำเป็นต้องรับ-ส่ง
อีเมลได้  เป็นต้น

กระตือรือร้นในการทำงาน นายจ้างชอบคนมีไฟ มีพลังในการทำงาน ดังนั้นคุณต้องแสดงให้นายจ้างเห็นถึงความปรารถนาที่จะทำงานในหน่วยงานของเขา และพร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับบริษัทของเขา พาให้หน่วยงานของเขาก้าวหน้า ด้วยแผนงานใหม่ ๆ ที่คุณคิดขึ้นเพื่อให้บริษัทพัฒนาขึ้นเสมอ ๆ

มีวินัย ความตรงต่อเวลาแสดงถึงความมีวินัยของบุคคลนั้น ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี การมาทำงานตรงเวลา ส่งงานตรงเวลา จะทำให้การดำเนินการไม่สะดุดติดขัด หรือเสียจังหวะในการส่ง-รับไม้ในขั้นตอนต่าง ๆ งานก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่มีการเอาเปรียบหรือกินแรงใคร  อดทนต่อความเหนื่อยยาก  คนที่หนักเอาเบาสู้ ไม่กลัวความลำบากย่อมจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคได้ดีกว่าคนที่ยอมแพ้และถอดใจง่าย ๆ คนเราถ้ากลัวความลำบากก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ คนที่มีความอดทนย่อมเป็นที่หมายปองของบริษัท เพราะเขาสามารถมั่นใจได้ว่า คนที่มีความอดทนจะไม่ทิ้งงานไปกลางคันหรือทำให้เขาได้รับความเดือนร้อนเสียหายอย่างแน่นอน

รู้จักบริหารข้อมูล คนที่รู้จักบริหารข้อมูล ก็จะรู้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องไหนควรจะเก็บไว้ที่ใด เรื่องไหนควรจะทิ้งไปบ้าง เวลาเจ้านายเรียกหาข้อมูลเรื่องไหนจะได้ค้นได้สะดวก รวดเร็วทันใจ แถมบนโต๊ะยังดูสะอาดตา เป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย

รู้ลึกในงานที่ทำ ความรู้เฉพาะด้านเป็นสิ่งที่จำเป็น การรู้ลึกรู้จริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ทำให้คุณได้เปรียบกว่าคนอื่น ๆ แล้ว ตอนที่คุณเรียน คุณอาจรู้แค่พื้นฐาน แต่หากคุณได้ลองศึกษาเพิ่มเติมก่อนสมัครงาน เช่น ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หรือหาซื้อหนังสือดี ๆ มาอ่านสักเล่ม คุณก็จะมีความรู้มากกว่าคนอื่น ๆ แล้ว ซึ่งจะทำให้คุณได้เปรียบ และมีโอกาสได้งานมากกว่า

รู้หลายภาษาย่อมได้เปรียบ  ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติ หรือบริษัทที่ต้องติดต่อกับชาวต่างชาติ แต่ในบ้านเราก็ไม่ได้มีบริษัทต่างชาติเฉพาะที่ใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น บริษัทของจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมันก็มีมาก หรือแม้จะทำงานในบริษัทฝรั่งหรือบริษัทคนไทย ก็อาจต้องติดต่อกับคนต่างชาติจากประเทศเหล่านั้น การมีความรู้หลาย ๆ ภาษาจะช่วยให้คุณมีตัวเลือกมากขึ้น

ทันโลกทันเหตุการณ์ ติดตามข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอเพื่อให้คุณเป็นคนที่ทันสมัย คิดงานและนำเสนอผลงานได้เหมาะสมกับยุคสมัย ไม่ล้าหลัง ตกยุค และการรู้ความเคลื่อนไหวของเรื่องต่าง ๆ ยังทำให้คุณเข้ากับเพื่อนฝูงได้ง่าย คุยกันรู้เรื่อง นอกจากนั้น การคุยกันยังทำให้คุณได้รู้จักพูด รู้จักคิดมากขึ้น และที่สำคัญ ทำให้รู้จัก รู้นิสัยใจคอฝ่ายตรงกันข้ามดีขึ้นอีกด้วย  หากคุณอยากเป็นคนเก่งในสายตานายจ้าง ลองปรับเปลี่ยนตนเองตามคำแนะนำข้างต้นกันดูนะคะ ทุกข้อที่กล่าวมาไม่ยากเกินความตั้งใจจริงของคุณอย่างแน่นอน ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ไม่มีการชนะใดๆ ที่ยิ่งใหญ่เหนือการชนะใจตนเองให้ได้

พ่อครับ ขอยืมตังค์หน่อย

ดิฉันมีนิทาน จาก ฟอร์เวิดน์เมล์ เรื่อง พ่อครับ ขอยืมตังค์หน่อยมาเล่าให้ฟัง
ชายคนหนึ่ง เมื่อเสร็จจากงาน ถึงบ้าน เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว เขาเดินเข้าบ้านที่ดูเงียบเหงา เนื่องจาก ภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปี

กลาย โดยทิ้งลูกชายคนเดียว ไว้ กับเขา  ให้เค้าหาเลี้ยงลูกตามลำพังดีว่าเจ้าหนูน้อยพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง อาหารก็กิน อาหารปิ่นโต ที่ผูกประจำ หากินเองได้ทำให้ ไม่เป็นภาระมากมาย นัก
เข้ามาในบ้าน เหงื่ออาบแก้มยังไม่ทันได้พัก ผู้เป็นพ่อเห็นหน้าลูกชายวัยซน ที่รอรับเอ่ยปาก ทักพ่อครับวันนี้ทำงานเหนื่อยมั้ยครับ    เหนื่อยสิ ลูกแล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จ แล้วเหรอ
ผู้เป็นพ่อตอบเนือยๆ พร้อมกับ ถาม ต่อ ด้วยความเคยชิน
เสร็จหมดแล้วครับ คือ ผม มีเรื่องบางอย่างอยากจะถามพ่อน่ะ พ่อว่างหรือยังครับ ลูกชายตัวน้อย ถาม ต่อ    เดี๋ยวพ่อจะไปอาบน้ำ หาข้าวกินข้าวซัก หน่อย แล้วคงจะเข้านอนวันนี้เหนื่อย เหลือเกินว่าแต่แก จะถามอะไรพ่อเหรอ   ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า  คือผมอยากรู้ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันละเท่าไรครับ  ลูกชาย ถามด้วยน้ำ เสียงใสซื่อ  เค้าหันมามองหน้าลูกชาย พร้อมกับ ขมวดคิ้วด้วย ความสงสัย แล้วผู้เป็นพ่อ แต่ก็ตอบไปว่า วัน ละ สี่ร้อย   งั้นผม ขอยืม ตังค์ พ่อ ซักสองร้อยได้ มั้ยครับ  ลูกชายตัวน้อยเอ่ยปากด้วยสายตาวิงวอน  หา แกว่าไง นะผู้เป็น พ่อ ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์  ก่อนที่จะ หันมา พูดกับ ลูกชายด้วยเสียงเข้มขึ้น กว่าเดิม  นี่ฟังนะ แกคิดว่า เงินทอง หาได้ง่ายๆ เหรอ กว่าพ่อจะได้เงิน สี่ร้อย บาท ต้องทำงานเหนื่อยตั้งแต่เช้ายันค่ำแต่พอกลับมาถึงบ้านเจอแกรอขอยืมเงินพ่อ ง่ายๆแบบนี้นี่นะแกลองไปคิดดูให้ดี สิว่าแกทำประโยชน์อะไรให้พ่อบ้างพ่อถึงจะต้องให้ เงินสองร้อยนี่ให้แก ยืม   เด็กชายยืนนิ่ง มองหน้าพ่อ ไม่มีเสียงหลุดออก จาก ปาก แต่น้ำตาไหลซึม ลงอาบร่องแก้มทั้ง สองข้าง ก่อนที่จะหัน หลังเดินกลับห้อง ตัวเอง อย่างซึมเซา  หลังจากอาบน้ำ เสร็จ แวะเข้าครัว หาข้าวปลากินเรียบร้อย เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เดินไป ที่ ระเบียง ความรู้สึกเคร่งเครียดที่ได้ รับมาจากงานนอกบ้าน เริ่มผ่อนคลาย คิดไป ถึงอดีตที่ผ่านและงานที่ทำมาทั้งวัน แล้วก็ ย้อน กลับคิดไปถึงลูกชายตัวน้อยลูกเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเร ไม่ เคยเอ่ยปากขอเงิน เพิ่มนอกจากเงินค่าขนม ที่เขาให้ประจำวันเท่านั้น แต่วันนี้ทำไม ถึงเอ่ยปากยืมเงินเมื่อสักครู่ เขา เหนื่อยเกินไป หรือเครียดเกินไปหรือป่าว  ถึงได้ใช้อารมณ์ กับ ลูกไปอย่างนั้น เมื่อได้คิด เขาดับ บุหรี่ แล้วเดินไปที่ห้องลูกชายไฟในห้องนอนดับแล้วเมื่อเปิดประตูเข้าไปเอื้อม มือเปิดไฟในห้อง หนูน้อยนอนตะแคง หน้าตายังคงลืมจ้องมองมาที่ประตูแก้มที่แนบกับหมอน ชุ่มด้วย น้ำตาพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆอยู่คน เดียว   เขาเดิน ไปนั่งที่ขอบเตียงมือลูบผม ลูกชายเบาๆ พร้อมกับ เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเครือ จุกคอ
พ่อขอโทษนะลูก เมื่อกี้ พ่อเหนื่อยมามากเลยใช้อารมณ์ กับลูกมากไปหน่อย จริงๆตะกี้พ่อไม่ได้ถามลูกด้วยซ้ำว่า ลูกอยากยืม เงินพ่อไปทำไมลูกอาจจะมี เหตุจำเป็นที่จะ ต้องใช้เงินก็ได้ เงินแม้ว่าจะหาได้ลำบากไม่ได้ได้มา ง่ายๆ แต่ถ้าลูกมีเหตุผลเพียงพอ พ่ออาจจะให้ยืม ก้อ ได้ เพราะว่า ลูกน่ะสำคัญสำหรับพ่อเหนือ สิ่งอื่นใด และพ่อรักลูกจ้ะ   ว่าแต่ ไหน ลูกลองบอกพ่อสิว่า ลูกอยากยืม เงินสองร้อยไปทำ อะไร  ผู้เป็นพ่อถามลูกชายที่มอง หน้าพ่อนิ่ง ด้วยน้ำเสียงปราณี เต็มเปี่ยมด้วยความ รัก
ลูกชายตัวน้อย ส่งเสียงสะอื้นจากลำคอ  พ่อครับ ตั้งแต่แม่ ตาย ผมเห็นพ่อต้องทำงาน หนักเพื่อหาเงินทุกวัน จนไม่ได้พัก ไม่ได้อยู่กับผม เลย เราแทบ ไม่มีเวลาได้อยู่ด้วย กัน  ผมเลย ค่อยๆเก็บค่าขนมของผมไว้ ตลอดมาจนถึงตอน นี้ผมเก็บได้สองร้อยบาทแล้ว แต่พอผมรู้จากพ่อ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันล่ะสี่ร้อยผม จึงอยากยืมพ่อเพิ่มอีกสองร้อย ให้เป็นสี่ร้อยเพื่อจะได้ใช้เป็นค่าจ้างให้พ่อได้พัก ได้อยู่กับผม ซักวันนึง ครับ  

ท่านผู้อ่านค่ะ เงินทอง อาจจะจำ เป็น ต่อการดำรงชีวิต แต่ ครอบครัว ยังคงต้องการ ความรัก   ความ อบอุ่น และ เวลาที่มีให้ แก่กัน  แล้วคุณล่ะค่ะ อย่าห่วงงานจนลืม ครอบ ครัว และ คนที่คุณ รัก นะคะ

คนฉลาดทำไมถึงโง่

จากหนังสือทันโลกทันธรรม โดย พระมหาดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒได้กล่าวไว้ในหัวข้อที่ดิฉันชื่นชอบประโยคนี้มากค่ะที่ว่า คนฉลาดทำไมถึงโง่  ได้มีข้อคิด ที่ฝากไว้ว่า คน  คนเดียวกันเวลาต่างกัน ความเฉลียวฉลาดไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นใจเขานิ่งขนาดไหน ขณะเดียวกันคนสองคนถ้าบอกว่า คนหนึ่งหัวดีกว่าอีกคนหนึ่ง ฉลาดกว่าอีกคนหนึ่ง ก็ไม่แน่เสมอไป เราพบว่าในบางสถานการณ์ นาย ก ก็ดูเหมือนฉลาดกว่านาย ข ถ้ารบกันก็ชนะ แต่บางครั้งนาย ข ก็กลับฉลาดกว่านาย ก ได้ ถามว่าเป็นเพราะอะไร ตรงนี้สำคัญ คนจำนวนมากมองข้าม จึงมองจุดบกพร่องของตัวเองไม่ออก  เราต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนว่า ในสถานการณ์หนึ่ง เมื่อพิจารณาด้วยดีแล้วผู้มีปัญญาก็มองออกว่า ควรตัดสินใจอย่างไรที่จะให้ผลดีที่สุด แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ใจของเขาถูกกิเลสเข้าครอบงำ จะเป็นด้วยความอยากเด่นอยากดั  งก็ตาม ด้วยความระแวงก็ตาม ด้วยความอวดดื้อถือดีก็ตาม เขาก็จะตัดสินใจไปอีกแบบ ทั้งที่จริง ๆ ตนเองก็รู้ว่าตัดสินใจอย่างนี้ไม่ถูก มันควรต้องตัดสินใจอีกแบบ แต่เพราะว่าการตัดสินใจอีกแบบที่ถูกต้อง มันมาขัดกับกิเลสที่เข้าครอบงำอยู่ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเดี๋ยวมันไม่เด่นมันไม่ดัง ก็เลยไปเลือกทำอีกแบบที่คิดว่ามันจะเด่นมันจะดัง เลือกทำอีกแบบที่เป็นลักษณะการมีทิฏฐิอวดดื้อถือดี ปัญญาที่มีจึงเหมือนไม่มี เพราะไม่เลือกทำตามที่ปัญญาเห็น แต่กลับไปทำตามที่กิเลสสอน สุดท้ายก็พลั้งพลาดเสียทีไป

ใครเคยอ่านสามก๊ก คงจะจำบังทองได้ เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับขงเบ้ง ท่านว่ามีความฉลาดทัดเทียมกันเลย แต่สุดท้ายบังทองเพิ่งจะนำทัพออกรบช่วยเล่าปี่แค่ยกสองยกก็ตายเสียแล้ว ก่อนจะบุกเสฉวนก็ตายเสียก่อน ถูกข้าศึกวางกลลวงล้อมยิงด้วยเกาทัณฑ์จนตายถามว่ามือขนาดบังทองฉลาดแสนฉลาด ทำไมถูกกลศึกลวงเอาง่าย ๆแบบนั้น คำตอบเป็นเพราะความแข่งดีอยากจะเอาหน้าเอาตา ให้เหนือกว่าขงเบ้ง บังทองรู้สึกว่าตัวเองมาทีหลังขงเบ้ง จึงอยากจะสร้างผลงาน ทั้งที่จริงตนก็รู้ว่าบุกอย่างนี้ไม่ปลอดภัย เสี่ยงมากที่จะถูกกลศึก แต่ทั้ง ๆ รู้ก็ยังฝืนทำ เพราะหวังว่าถ้าสำเร็จจะได้หน้าได้ตา สุดท้ายก็เจอกลศึกข้าศึกจริง ๆ ถูกรุมยิงด้วยเกาทัณฑ์แย่ไปทั้งกองทัพตนเองก็ตายกลางศึก นี่เขาเรียกว่ากิเลสมันมาบังปัญญา ปัญญา ที่มีอยู่ก็เลยเหมือนกับไม่มี  โจโฉว่าเก่งแสนเก่งพออวดดื้อถือดีเข้าก็ย่ำแย่เสียหลายตอนบางครั้งสถานการณ์บังคับเตรียมจะสั่งถอยทัพอยู่แล้ว แต่เผอิญถูกขุนพลคนหนึ่งที่ตนเองหมั่นไส้อยู่ คือเอียวสิ้ว มารู้ทันความคิดตัวเองก็เลยสั่งจับเอียวสิ้วไปตัดคอเสีย แล้วฝืนไม่ถอยทัพ เพราะมีทิฏฐิจะทำให้เหมือนกับว่าเอียวสิ้วไม่ได้รู้ทันตัวเอง สุดท้ายกองทัพก็เลยย่ำแย่ถูกตีแตก ตนเองก็แทบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อถูกทิฏฐิมานะมาบดบัง ปัญญาของโจโฉที่มีก็เหมือนไม่มี   เพราะฉะนั้นพวกเราหากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่าให้กิเลสในตัวเป็นเครื่องชี้นำ ไม่ต้องไปแข่งดีกับใครเลย ขอเพียงให้เราตั้งใจสู้กับกิเลสในตัว สำรวจตัวเองให้ดีหมั่นแก้ไขข้อบกพร่องในตัวแก้ข้อบกพร่องตัวเองไปได้มากเท่าไร เราก็จะโดดเด่นขึ้นมา โดยไม่ต้องไปแข่งกับใคร ไม่ต้องไปยกตัวเองขึ้นมาเลย มันจะเด่นขึ้นมาเองไม่ต้องไปสู้กับใครเขาหรอก สู้กับกิเลสในตัวของเรานี่แหละ นี่คือหน้าที่หลักของทุกคน ท่านบอกว่าคนที่รบชนะคนอื่นเป็นร้อย ก็สู้คนที่รบชนะตัวเองคนเดียวไม่ได้ รู้หลักอย่างนี้แล้ว เรามีสติปัญญามากเท่าใดขอให้ใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ให้กิเลสทั้งหลายมาเป็นจุดอ่อนในตัวเรา จะเป็นทิฏฐิมานะก็ตาม ความอวดดื้อถือดีก็ตาม ความอยากเด่นอยากดังก็ตาม อย่าให้มาบดบังปัญญาของเราได้ เอากิเลสเหล่านี้ออกไป ปัญญาของเราก็จะฉายชัดมากขึ้น ๆ ซึ่งจะทำได้ด้วยการหมั่นทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้มีสติดีและใจมีพลังเอาชนะอำนาจกิเลสในตัวได้ค่ะ

ความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงาน

คนทำงานเกือบทุกคนมักจะประสบปัญหาในเรื่องความเครียดที่เกิดขึ้นจากการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานเป็นลูกจ้าง ความเครียดนั้นอาจจะมีสาเหตุมาจากหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือตัวงานเอง แน่นอนว่าถ้าเรายังไม่สามารถเลือกทำในงานที่เราชอบหรือเรารักได้ ความเครียดย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เราไม่ได้ทุ่มเทใจให้กับงานร้อยเปอร์เซ็นต์  ถึงแม้เราจะไม่สามารถป้องกันปัญหาจากการทำงานได้ แต่เราก็สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดความเครียดได้โดยการเปลี่ยนความเครียดให้เป็นความสุขได้ เปลี่ยนความเครียดให้เป็นบทเรียนหรือข้อคิดได้  ซึ่งความสุขในการทำงานเกิดจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ  การได้ทำงานที่เรารัก และ วิธีการจัดการกับปัญหาในการทำงาน  ดิฉันเชื่อว่าถึงแม้เราจะได้ทำงานที่เรารักแล้วก็ตาม แต่ปัญหาอุปสรรคก็ย่อมเกิดขึ้นถึงแม้จะมีไม่มากเท่ากับการทำงานที่เราไม่รักก็ตาม ดังนั้น คนที่จะมีความสุขในการทำงานได้  จะต้องสามารถจัดการกับปัญหาอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสรรคทางใจของตัวเองให้ได้ค่ะ งานทุกงานไม่มีงานไหนที่น่าเบื่อ ไม่มีงานไหนที่มีความสุข แต่ความสุขหรือทุกข์ในการทำงานอยู่ในใจของเราเองมากกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถทำใจให้รักงานได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถจัดการปัญหาในการทำงานได้ดีเพียงใดมากกว่า งานทุกงานมักจะมีทั้งคนทำงานที่มีความสุข และคนทำงานที่มีความทุกข์ ดังนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้วละค่ะ ว่าเราจะเลือกเป็นคนทำงานกลุ่มไหน ดังนั้นการทำงานให้มีความสุขไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนงาน แต่อยู่ที่การเปลี่ยนของเราเองนั่นแหละค่ะ หวังว่าวันนี้ทุกท่านคงจะทำงานอย่างมีความสุขนะค่ะก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

คนเราทุกคนต้องหัดเรียนรู้จากคนอื่นให้มากขึ้น

ฟังกันให้มากขึ้น คิดร่วมกับผู้อื่นให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของทุกฝ่าย

นิทานเรื่อง ความรัก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกัน ทั้งความสุข ความเศร้า ความรู้และอื่นๆ รวมทั้งความรัก วันหนึ่งมีประกาศไปยังความรู้สึกทั้งหมดว่า เกาะกำลังจะจม  ดังนั้นทั้งหมดจึงเตรียมเรือเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะ  ความรักเท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่บนเกาะ
ความรักต้องการที่จะอยู่จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
เมื่อเกาะเกือบจะจมแล้วความรักจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ
ความรวยแล่นเรือผ่าน ความรวยตอบว่า...
ไม่ได้หรอกฉันรับเธอไม่ได้ เพราะเรือฉันน่ะ
เต็มไปด้วยทองและเงินแล้วมันไม่มีที่ให้คุณ
ความรักจึงตัดสินใจจะถามความเห็นแก่ตัวซึ่งผ่านมาเหมือนกันด้วยเรือลำงาม ความเห็นแก่ตัวช่วยฉันด้วย
ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอก ความรักคุณน่ะเปียก อาจจะทำให้เรือฉันเปียกด้วยความเศร้าได้พายเรือผ่านมา
ความรักก็ได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออีก
ความเศร้าตอบว่า โอ้ความรักฉันกำลังเศร้ามากเลย ฉันต้องการอยู่คนเดียว ขอโทษนะ 
ความสุขได้ผ่านความรักไปเหมือนกัน
แต่เขาไม่ได้ยินแม้เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของความรัก
เพราะมัวแต่กำลังสุข  ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมามานี่ความรักฉันจะรับคุณไปเองเสียงนั้นเป็นของคนแก่คนหนึ่ง
ความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่างมากจนลืมถามชื่อว่าใครเป็นผู้ใจดีคนนั้น เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง คนแก่ก็จากไปตามทางของเขา ความรักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อคนแก่คนนั้นความรักจึงถามความรู้และคนแก่คนอื่นๆ
ใครเหรอที่เป็นคนช่วยฉันความรู้ตอบว่า เวลา
ความรัก แต่ทำไมเวลาจึงช่วยฉันล่ะ ?”
ความรู้ยิ้มในความรอบรู้ของตัวเอง แล้วตอบความรักว่า
ก็เพราะว่ามีเพียงเวลาเท่านั้นที่เข้าใจว่าความรักยิ่งใหญ่แค่ไหนน่ะ

ประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน คือ มรดกอันล้ำค่า

ชีวิตคนเราอย่างน้อยต้องใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งไปกับการทำงาน ขณะที่ในสนามของอาชีพการงานนั้นมักเต็มไปด้วยเรื่องน่าเบื่อหน่ายและไร้เหตุผลนานาประการใช่ไหมค่ะเพราะปัญหามีไว้ให้แก้ไงล่ะค่ะ  ในวันนี้ดิฉันมีข้อ คิดสู่ความสำเร็จสำหรับคนทำงานยุคใหม่ คุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของมนุษย์คือการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งได้ ทำให้มนุษย์เรามีความก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าปัจจุบันพัฒนากว่าอดีต และอนาคตต้องพัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน ใครก็ตามที่ไม่ยอมเรียนรู้ประสบการณ์ในอดีต ย่อมมีโอกาสผิดพลาดซ้ำกับคนรุ่นก่อน ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าน้อยกว่าคนอื่น ในสังคมของคนทำงานมีคนอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆคือ คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ แต่คนในสองกลุ่มนี้ก็สามารถแบ่งออกได้สองกลุ่มเช่นกันคือ กลุ่มคนที่ยึดติดกับอดีตไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง กับกลุ่มคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การเป็นคนทำงานยุคใหม่หรือยุคเก่าจึงไม่ได้อยู่ที่อายุตัวหรืออายุงาน แต่อยู่ที่การปรับตัวในการทำงานมากกว่า เราจะเห็นว่าคนที่มีอายุตัวหรืออายุงานมากบางคน เป็นคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ไม่กลัวเทคโนโลยี พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในขณะที่คนรุ่นใหม่บางคนชอบทำงานแบบคนรุ่นก่อนๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ทำงานแบบไหนก็อยากทำเหมือนเดิมไปตลอด จึงสรุปไม่ได้ว่าคนทำงานยุคใหม่คือคนที่มีอายุน้อยเท่านั้น เพื่อให้คนทำงานที่มีความคิดทันสมัย(ทั้งคนที่อายุมากและอายุน้อย)มีเส้นทางการทำงานที่สดใส จึงขอนำเสนอข้อคิดและแนวทางในการทำงานสู่ความสำเร็จดังนี้ค่ะ

ประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนคือมรดกอันล้ำค่า
คนเราเกิดมามีชีวิตเพียงรอบเดียว ไม่เหมือนเกมส์คอมพิวเตอร์ที่มีชีวิตที่หนึ่ง สอง สาม ตายแล้วเล่นใหม่ได้ ดังนั้น ในช่วงชีวิตโดยเฉพาะชีวิตแห่งการทำงาน คนทำงานรุ่นใหม่จึงควรป้องกันความผิดพลาดให้กับตัวเองโดยการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งมีทั้งประสบการณ์ที่เป็นความผิดพลาดที่สามารถนำมาใช้ในการวางแผนป้องกันไม่ให้เราผิดพลาดซ้ำเรื่องเดียวกันกับคนรุ่นก่อน และนำเอาประสบการณ์ที่ดีของคนรุ่นก่อนมาเป็นสะพานในการก้าวไปสู่ความสำเร็จในการทำงาน ดังนั้น อย่าดูถูกหรือมองข้ามประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนว่าโบราณคร่ำครึ ไม่ทันสมัย บริหารงานแบบใหม่ แต่ใส่ใจในการบริหารคนแบบเก่า ใครอยากจะประสบความสำเร็จในการทำงาน จงเรียนรู้เทคโนโลยีและเครื่องมือการบริหารจัดการสมัยใหม่ให้มาก แต่ควรนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหลือน้อยลง เช่น ใช้อินเตอร์เน็ตในการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงาน แต่ควรจะมีเวลาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานแบบซึ่งหน้าบ้าง ไม่ใช่อะไรๆก็ให้เทคโนโลยีพูดแทน นอกจากนี้ เราจะเห็นว่าคนทำงานรุ่นก่อนๆมีความสัมพันธ์กันดีมาก คนที่เคยทำงานในองค์กรเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะจากกันไปกี่ปีก็ตาม เวลามาเจอกันความสัมพันธ์ก็ยังแน่นแฟ้นเหมือนเดิม จึงอยากให้คนทำงานรุ่นใหม่ อย่าลืมวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันของคนรุ่นก่อนๆ เพราะยิ่งเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากเท่าไหร่ คนที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องเข้าใจคนมากขึ้นด้วย  

มีวินัยในตัวเองนำพาตัวเองให้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจ   ความก้าวหน้า ความทันสมัยในด้านต่างๆมักจะเป็นดาบสองคมเสมอ ยิ่งเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คนเกิดกิเลศมากขึ้นเท่านั้น เช่น เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้า ยิ่งทำให้คนอยากได้โทรศัพท์มือถือ มีธุรกิจบัตรเครดิต มีธุรกิจซื้อสินค้าแบบเงินผ่อน ฯลฯ ยิ่งทำให้คนเกิดความอยากที่จะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น คนทำงานรุ่นใหม่จึงต้องเจอกับสิ่งล่อตาล่อใจ ที่จะทำให้เกิดกิเลสมากกว่าคนทำงานรุ่นก่อนๆ พูดง่ายๆคือคนรุ่นใหม่มีความยากลำบากในการดูแลตัวเองมากกว่าคนรุ่นเก่า เพราะสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น คนทำงานรุ่นใหม่จึงต้องมีความเข้มงวดกับการปกครองและดูแลตัวเอง ให้มากกว่าคนทำงานรุ่นก่อนๆ

จัดระบบการเก็บสะสมสะเบียงเพื่อชีวิตในอนาคต คนทำงานรุ่นก่อนๆบางคนเกษียณอายุไปแล้ว ไม่มีเงินติดไม้ติดมือกลับไปอยู่บ้านก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะที่บ้านมีมรดกที่ดินเรือกสวนไร่นาจากพ่อแม่ หรือไม่ก็สามารถดำรงชีพแบบพอเพียงแบบชาวบ้านได้ แต่คนรุ่นใหม่เรียนจบมาพร้อมกับการขายนาขายไร่ของพ่อแม่ ถ้าทำงานไปแบบไม่เก็บสะสมอะไรไว้เลย แล้วจะใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างไร สิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรจะสะสมเป็นสะเบียงให้กับชีวิตตัวเองในระยะยาวคือ ประสบการณ์ชีวิตทั้งในงานและนอกงาน สะสมความดีที่ทำให้กับตัวเองและผู้อื่น สะสมเงินทองเพื่อไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น สะสมความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงไว้บ้าง และสุดท้ายอาจจะต้องสะสมธรรมะเก็บไว้ในใจบ้าง เพราะชีวิตคนเรายิ่งอยู่นานมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งรุมเร้าที่จะเข้ามาในชีวิตเรานั้นมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาทางกายและปัญหาทางใจ ดั้งนั้น การสะสมธรรมะไว้ก็จะนำไปใช้ได้ในยามจำเป็น ไม่ใช่เพิ่งไปสวดมนต์ก็ตอนป่วย ไม่ใช่ไปทำดีช่วยเหลือคนอื่น ตอนที่ตัวเองตกทุกข์ได้ยากแล้ว ใช่ไหมค่ะ ท่านผู้ฟังค่ะเพียงเราเริ่มต้นด้วยการรักและมีใจให้กับงานเป็นสิ่งแรก แล้วไม่ว่างานจะหนักสักแค่ไหน หรือยากสักเพียงใด เราก็จะสามารถฟันฝ่าจนประสพความสำเร็จได้ค่ะ

นิทานเรื่อง...กล่องกระดาษของพ่อ

ครั้งนี้ดิฉันมีเรื่อง   กล่องกระดาษของพ่อ ซึ่งเล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากหนังสือ "ด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว"   มาเล่าให้ฟัง

มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษา หาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง "ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด" ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป "ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา" ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ "แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง" ผู้เป็นพ่อถามต่อ"ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่า ผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง" พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอ ใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ! ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า "ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง" ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า"อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก" ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญาเป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง "พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก "ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด"
ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม"เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก" พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น "พ่อครับ ไม่! มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ" ลูกชายบอกกับพ่อของเขา "พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ" ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า " พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน" แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยึดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น "ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ" คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า "วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง"   ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า "ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก" "ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเรียบ "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน" ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน "โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า " ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ" "กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว" แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ "ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ"  แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า "เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกจะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา" "อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ" ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

ท่านผู้ฟังค่ะ ลองคิดเล่นๆดูนะค่ะว่า คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ   และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก  สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต