Monthly Archives: June 2011

การบริหารคนให้ได้ผลดี ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างในทางที่ดี

*       การบริหารคนให้ได้ผลดี ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างในทางที่ดีให้แก่ลูกน้อง มีการวางตัวที่เหมาะสม ทำให้ลูกน้องเคารพ และทำตามในสิ่งดีๆ ในทางกลับกันถ้าผู้นำเป็นต้นแบบในทางที่ไม่ดี ลูกน้องก็จะทำตามในสิ่งที่ไม่ดีนั้นเช่นกัน จะตำหนิลูกน้องก็ไม่ได้ ในเมื่อตัวเองยังทำไม่ได้แล้วจะบอกให้ลูกน้องทำ ก็คงไม่มีทาง ในที่สุดก็จะพากันเสื่อมทั้งหัวหน้าทั้งลูกน้อง ดังนั้น นายที่ดีต้องทำเป็นตัวอย่าง เช่น  เข้างานตรงเวลา และอย่าออกก่อนเวลา ถ้าไม่อยากให้ลูกน้องมาทำงานสาย จงไปทำงานแต่เช้าทุกวัน และอย่าสร้างนิสัยออกก่อนเวลาให้กับลูกน้อง   อย่าขอให้พวกเขาทำอะไรที่นอกเหนือไปจากเรื่องงาน เว้นเสียแต่ว่าคนๆ นั้นเป็นผู้ช่วยประจำตัวของคุณ   คุณไม่ใช่เพื่อนของพวกเขา การเป็นผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องราวความรัก ให้ลูกน้องฟัง ถึงแม้ว่าคุณอยากจะให้ลูกน้องรู้สึกผ่อนคลายและยอมเล่าปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาในครอบครัวให้คุณฟังก็ตาม รับผิดชอบในความผิดพลาด ในฐานะหัวหน้าเมื่อลูกน้องของคุณทำความผิดพลาดใดๆ ก็ตาม คุณต้องเป็นคนรับผิดชอบในความผิดนั้น เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ในส่วนของลูกน้องที่มีปัญหา คุณควรเพิ่มความเอาใจใส่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ให้เขามีโอกาสได้ฝึกอบรมเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของเขาให้ดีขึ้น  บริหารจัดการ แต่ไม่จู้จี้จุกจิก ลูกน้องชอบผู้นำที่เอาใจใส่และคอยให้คำปรึกษา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการเป็นตัวของตัวเอง และได้แสดงความสามารถของพวกเขาอย่างเต็มที่ ดังนั้นคุณอย่าได้ทำตัวจู้จี้จุกจิก หรือคุมเข้มทุกกระเบียดนิ้ว เพราะจะทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกอึดอัด และเบื่อหน่ายในการทำงานไปเสียก่อน

 ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่ คุณอยากจะเป็น

นิทาน คุณให้หรือทำอะไร เพื่อสังคมบ้าง

ดิฉันมีเรื่อง คุณให้หรือทำอะไร เพื่อสังคมบ้าง
มาเล่าให้ฟัง

มีชาวเดนมาร์คคนหนึ่ง นอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก เขาก็ตกลงไปด้วย
นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงนรกแล้ว"
ที่นั่นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อยมีคุณค่าทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าก็บอกว่า "นี่สัตว์นรก"
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
... นางฟ้าบอกว่า ที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้
แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเอง
คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที...
อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก
พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
จึงผอมโซเพราะอดอาหาร
ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ
แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้
นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงสวรรค์แล้ว"
ห้องที่สองนี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหารประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก
มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่า "นี่เทวดาบนสวรรค์"
แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
... ดูว่าเขากินอาหารอย่างไร ทั้งๆ ที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกับที่นรก
"เอ... ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก? ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง"
พอดูดีๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ เขาตักอาหารด้วยช้อนยาวๆ
เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้
ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย
สรุปว่า... ที่นรกนั้นคนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น
แต่ที่สวรรค์นั้น... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน
... ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคม...

จอมโปรเจกต์ วาดฝันสวยหรูแต่ไม่เคยลงมือทำ

การบริหารทรัพยากรบุคคลให้บรรลุเป้าหมาย แล้วต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่โดยทั่วไปมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 4 ประการ ก็คือ

สรรหา คือการเสาะแสวงหา เลือกสรรคนดีมีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถเหมาะกับงาน
พัฒนา พยายามทำให้คนดี มีความรู้ มีความสามารถเพิ่มขึ้น ตลอดจนทำให้มีทัศนคติ มีพฤติกรรมที่ดีในการทำงาน
รักษาไว้ พยายามทำให้คนทำงานรู้สึกพอใจในการทำงาน ได้รับความดีความชอบด้วยความเป็นธรรม มีความสุขในที่ทำงาน ไม่คิดโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
ใช้ประโยชน์ คือการใช้คนให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ใช้คนให้ตรงกับงาน ตรงกับความรู้ความสามารถ ไม่เอารัดเอาเปรียบบริษัทหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่น
หากคุณลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณเป็นคนโมโหร้ายหรือเปล่า
สังเกตดูสิว่า เวลาโมโหทีไรเป็นต้องระเบิดอารมณ์ทั้งคำพูดและการกระทำ เช่น ด่าว่า ทำลายข้าวของ หรือลงมือลงไม้โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แล้วมานั่งเสียใจภายหลังว่าไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใจเย็นลงได้  โดยกรมสุขภาพจิตมีคำแนะนำดังนี้
         ถ้าคุณรู้สึกโกรธ พยายามบอกตัวเองให้หยุดคิดสักอึดใจหนึ่งก่อน ช่วงนี้ให้พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ พร้อมทั้งนับหนึ่งถึงสิบในใจไปด้วย     ถ้าเป็นไปได้ควรหลบเลี่ยงให้พ้นจากบุคคลหรือสถานการณ์ที่ทำให้โกรธชั่วคราว เพราะมันจะช่วยลดอารมณ์โกรธให้น้อยลง และตัดโอกาสที่คุณจะทำอะไรรุนแรงลงไปได้ หลังจากนั้น ให้ระบายอารมณ์โกรธในทางที่เหมาะสม เช่น เตะลูกฟุตบอล ชกกระสอบทราย ซักผ้าแล้วขยี้แรงๆ วิ่งไกลๆ ให้ได้เหงื่อ เป็นต้น จะช่วยสลายความโกรธไม่ให้สะสมอยู่ในใจ
           นอกจากนี้คุณควรหาทางผ่อนคลายความเครียดเป็นประจำทุกวัน เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ ร่างกายจะได้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จิตใจแจ่มใส ไม่หงุดหงิดโกรธง่ายอย่างแต่ก่อน และถ้าฝึกสมาธิได้ก็จะเป็นการดี จิตใจของคุณจะสงบเยือกเย็นลงกว่าเดิม แต่ถ้าลองทำดูแล้วไม่ได้ผลก็ควรไปหาแพทย์ เพื่อรับการรักษาต่อไป
           การเป็นคนโมโหร้าย นอกจากตัวคุณเองไม่มีความสุขแล้วจะพลอยทำให้คนใกล้ชิดรอบข้างเดือดร้อน หรือไม่มีความสุขตามไปด้วย
          โปรโมตลูกน้องให้ได้ดี   การโปรโมตลูกน้องให้มีตำแหน่งที่สูงขึ้นหรือเพิ่มเงินเดือนให้นั้น ส่วนมากเกิดจากสถานการณ์บังคับ คือลูกน้องมีข้อต่อรองที่เป็นต่อ เช่น จะยกทีมออก หรือลาออกไปอยู่กับคู่แข่ง ลำพังหัวหน้าหรือบริษัทเองไม่มีความคิดที่จะเพิ่มรายจ่ายในส่วนนี้หรอก โดยเฉพาะในสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างนี้

แต่ถ้าบริษัทมีนโยบายให้คุณเป็นหัวหน้า ช่วยคัดเลือกว่าจะส่งเสริมพนักงานคนไหน คุณจะทำอย่างไรดี เพราะถ้าเลือกไม่ดี ได้คนไม่เหมาะสมมา (หรือเอาคนของตัวเองขึ้นมา) ผลงานย่อมไม่ได้ตามที่ต้องการแน่ และคนดีๆ คนอื่นอาจจะหมดกำลังใจทำงาน การบริหารเกิดความยุ่งยาก ไม่มีใครให้คามร่วมมือ เกิดความระส่ำระสายแบ่งพวกแบ่งฝ่ายไปทั่วองค์กร
การเลือกโปรโมตคนนอกจากจะดูที่นิสัยใจคอ และบุคลิกภาพเหมาะกับตำแหน่งแล้ว ความรู้ความสามารถที่พร้อมจะทำงานนั้นได้เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง   คนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าหรือรับผิดชอบงานใหญ่โตนั้น จะต้องวิเคราะห์งานเป็น สามารถคิดงานใหม่ สานงานเก่า ไม่ใช่รอคำสั่งอย่างเดียว    สามารถทำงานประจำและงานจรจนสำเร็จลุล่วงตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่ใช่พอเป็นหัวหน้างานแล้วทำตัวยุ่งจนงานไม่เสร็จสักอย่าง อย่าลืมว่าตำแหน่งสูงขึ้นก็ต้องรับผิดชอบงานกว้างขึ้น ต้องบริหารเวลาเป็น เพราะจะมีงานนอกเหนือความรับผิดชอบมาให้ทำอยู่เรื่อยๆ
         หัวหน้างานควรผ่านการทำงานชนิดนั้นมาก่อน จะได้รู้ว่าทำอย่างไร มีรายละเอียด ขั้นตอนอย่างไรบ้าง ต้องรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร ไม่ใช่เอาใครจากที่ไหนมาก็ไม่รู้ ยิ่งประเภทจอมโปรเจกต์ วาดฝันสวยหรูแต่ไม่เคยลงมือทำนะ จะทำให้ลูกน้องหรือผู้ร่วมงานอึดอัดใจเปล่า ๆ        หัวหน้างานต้องทำงานเป็นทีม รู้วิธีดึงความสามารถของลูกน้องมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับงาน รู้จักพูดจูงใจคน นอกจากนี้ต้องประสานงานกับฝ่ายอื่นได้ดี ไม่ดูถูกคนอื่น ยกย่องให้เกียรติทุกคน ไม่ใช่ดีแต่แผนกของตัวเอง เข้าข้างแต่แผนกของตัวเอง แต่ไม่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือฝ่ายอื่น พายเรือคนละทิศแบบนี้สักวันบริษัทก็ตรงอยู่ตรงนั่นเอง    
         คนจะเป็นใหญ่เป็นโตต้องรู้จุดดีจุดด้อยของตัวเอง พร้อมจะหาคนมาช่วยเสริมจุดด้อยโดยไม่รู้สึกเสียหน้า คนที่เอาแต่เขม่นหรือหมั่นไส้คนที่เก่งกว่า ไม่สมควรให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้ลูกน้องเก่งๆ หนีหมด
หัวหน้างานต้องมองภาพรวมเป็น รู้เป้าหมายใหญ่คืออะไร เป้าหมายรองอยู่ไหน ไม่ใช่มองแต่ผลสำเร็จเล็กๆ แคบๆ ในส่วนของตนเท่านั้น ต้องสนับสนุนงานส่วนอื่นที่จะทำให้เป้าหมายใหญ่บรรลุผลสำเร็จร่วมกันด้วย    ยิ่งตัวคุณเองซึ่งมีหน้าที่เลือกคนมาโปรโมตด้วยแล้ว ต้องมองทั้งภาพกว้างภาพไกล รอบคอบและยุติธรรม มองประโยชน์ขององค์กรเป็นที่ตั้ง จะได้เลือกคนไม่ผิด    คนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้างานหรือรับผิดชอบงานใหญ่ได้นั้น จะต้องวิเคราะห์งานเป็นสามารถคิดงานใหม่สานงานเก่า ไม่ใช่รอแต่คำสั่งอย่างเดียว

ทางออกที่ดีที่สุดของการทำงานที่เราไม่ชอบ คือ ตั้งสติ

หลายคนมีความฝันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบว่าอยากทำงานนั้น งานนี้ วาดฝันงานกันไว้ล่วงหน้า แต่พอถึงเวลาที่ต้องมาทำงานจริง ๆ เป็นอันต้องฝันสลาย เพราะเหตุผลหลาย ๆ ประการ และคงจะมีส่วนน้อยที่ได้ทำงานในฝัน และงานที่เรารัก แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ทำงานที่เรารักจะทำอย่างไรกัน จึงจำเป็นจะต้องมีแนวทางในการปรับทัศนคติเพื่อความสำเร็จในการทำงาน แน่นอนว่าเมื่อมาทำงานแล้วก็จะต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ เข้ามา อย่างปัญหาการทำงานที่ตัวเองไม่รักไม่ชอบ   ปัญหาในเรื่องของสถานที่ทำงาน เพื่อนร่วมงาน อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงาน ปัญหาจากผู้บังคับบัญชา ค่าตอบแทนรวมทั้งสวัสดิการที่พึงจะได้รับ ทำให้หลายคนเลือกที่จะลาออก จากที่เดิมไปอยู่ที่ใหม่ แต่ผลที่ได้คือ กลับเจอปัญหาต่าง ๆ ในที่ใหม่หนักกว่าที่เดิมเสียอีก ทำให้ต้องลาออกเพื่อไปหางานใหม่ต่อไปอีก เลยทำให้เสียความก้าวหน้าในงาน หรือเสียประวัติการทำงานไป เนื่องจากทำงานอยู่ในแต่ละองค์กรไม่นานนัก
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของการทำงานที่เราไม่ชอบ คือ ตั้งสติแล้วลองปรับทัศนคติใหม่ อย่ามัวแต่หนีปัญหา เพราะจะทำให้คุณเสียโอกาสหลาย ๆ อย่างเลยทีเดียว ซึ่งมีแนวทางในการคิดตามหลักอิทธิบาท 4 ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนในยุคสองพันกว่าปีที่แล้ว ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้จนถึงปัจจุบัน ดังนี้

1. ฉันทะ  ความพึงพอใจ รักในงานที่ทำ
ไม่ได้ทำงานที่รัก แต่ก็สามารถจะรักงานที่ทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าแม้แต่ท่านที่เป็นเจ้าของตำแหน่งงานนี้ ซึ่งต้องรับผิดชอบงานนี้อยู่โดยตรงยังไม่รักงานที่เราทำ ไม่เห็นความสำคัญในงานของเราเอง แถมยังดูถูกงานที่เรารับผิดชอบ แล้วท่านจะให้ใครเขามารักงานของเรา หรือเห็นความสำคัญในงานที่เราทำ ก็ในเมื่อเรายังดูถูกงานของเราเอง ตัวอย่างเรื่องเล่าที่อยากให้คิดตาม มีช่างก่ออิฐ 3 คนกำลังทำงานอยู่

ช่างคนที่ 1 ก่ออิฐไปด้วยความรู้สึก เบื่อหน่าย เซ็ง เฉื่อยชา

ช่างคนที่ 2 ก่ออิฐไปมองนาฬิกาไป คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาพักเสียที

ช่างคนที่ 3 ทำงานอย่างกระฉับกระเฉงว่องไว เอาใจใส่ในงาน

ถามช่างทั้ง 3 คนว่ากำลังทำอะไรอยู่

ช่างคนที่ 1 "กำลังก่ออิฐ"

ช่างคนที่ 2 "กำลังก่อกำแพง"

ช่างคนที่ 3 "ผมกำลังมีส่วนสำคัญในการสร้างโบสถ์และเป็นบุญของเขาที่ได้มาทำงานนี้"

งานของช่างทั้ง 3 คนก็เป็นงานเดียวกัน แต่ทัศนคติหรือวิธีคิดของช่างแต่ละคนไม่เหมือนกัน มองได้เลยว่าช่างคนไหนจะประสบความสำเร็จในอาชีพช่างมากกว่ากัน ดังนั้น คนคิดบวกชีวิตจะมีแนวโน้มไปทางดีขึ้นอยู่เสมอ ส่วนคนคิดลบชีวิตก็มักจะมีแนวโน้มไปในทางที่ตัวเองคิดเช่นเดียวกัน
2. วิริยะ  ความพากเพียร ขยันหมั่นเพียรในการทำงาน
เมื่อเริ่มรักงาน และเห็นความสำคัญของงานที่ทำ ท่านก็จะมีความมานะพยายามที่จะทำงานนั้นให้ประสบความสำเร็จอย่างดีที่สุด หรือรับผิดชอบงานนั้นอย่างเต็มกำลังความสามารถที่เรามีอยู่ และก็จะพยายามทำงานนั้นให้ดีที่สุดอยู่เสมอ ๆ
3. จิตตะ  ความเอาใจใส่ในงาน
เมื่อมีความมานะ อยากจะทำงานที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด เราก็จะมีความใส่ใจในงานที่เรารับผิดชอบ มีความตั้งใจจริง มีความเอาใจใส่ในงานของเรามากขึ้น และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานที่เรารับผิดชอบไปสู่ผลสำเร็จ
4. วิมังสา  ความหมั่นตริตรอง ค้นหาเหตุผลเพื่อพัฒนางานให้ดีขึ้น    มีการปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม จนอาจนำมาสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน หรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ ที่ทำให้งานที่เรารับผิดชอบมีความรวดเร็วมากขึ้น มีคุณภาพในงานมากขึ้น หรือเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับงานของเรา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตนั่นเอง
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ในวันนี้ ดิฉันขอฝาก

  คำคมไว้ว่า

ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้น

ที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

พระเจ้าสร้างมา

ดิฉันมีเรื่อง พระเจ้าสร้างมา   มาเล่าให้ฟัง

ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลก
พระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า
'วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้น
ในฐานะของวัว เพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน  แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว 50 ปี'
วัวย้อนกลับว่า
'ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปีน่ะหรือ?
ฮึ! เมิน เสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ'
เอาคืนไปเลย 30 ปีถ้าได้ก็โอเค'
และพระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะของสุนัข
หน้าที่ของเจ้าคือ นั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา
แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปี'
สุนัขได้ฟัง ก็พูดขึ้นว่า
'นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี!
ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้
ขอคืนชีวิต 10 ปีก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะของลิง
หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน
และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิง หลอกล่อคนให้หัวเราะ
แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปี'
ลิงได้ฟัง จึงตอบว่า
'อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ ตั้ง 20 ปีนะเหรอ?
ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่10 ปีก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ
กิน นอน เที่ยว เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ
เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี'
มนุษย์ได้ฟัง ก็ต่อรองว่า
'ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปีนะเหรอ
เอาอย่างนี้ดีกว่า เราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี
และลิง 10 ปี มาเป็นของเรา เพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม?'
พระเจ้าตอบตกลง
นั่นเป็นเหตุผลว่า...ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรกจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่นและไม่ต้องทำอะไรมากมาย
30 ปี ต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว
10 ปี ต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา
10 ปี ต่อมา เป็นปู่/ย่า ตา/ยาย ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆเพื่อหลอกล่อหลาน!

ถึงเวลาแล้วที่คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

เราจำเป็นต้องทำงานอย่างมืออาชีพเพื่อทุกคนที่ทำงานร่วมกับเรา เกิดความเคารพในตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ผู้จัดการ แม้ว่าชีวิตการทำงานจะพบกับความเครียด แต่เราก็ต้องควบคุมอารมณ์ของเราให้ดีที่สุด เพราะเมื่อเราแสดงความโกรธและระบายความไม่พอใจของเราออกไป คนรอบข้างจะเกิดความรู้สึกไม่ดี และรู้สึกอึดอัดที่จะพูดคุยติดต่อกับคุณ  ทุกคนจึงควรได้รับการปลูกฝังในเรื่องการรู้จักตนเอง เพื่อให้เราสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น ด้วยหลัก 5 ประการในการสร้างมารยาทในการทำงาน ดังนี้

 

·       ไม่ควรนินทาลับหลังเพื่อนร่วมงาน เพราะมันไม่ส่งผลดีต่อตัวคุณเลย อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง และไม่ลงรอยกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกัน

·     ไม่ควรพูดคุยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานในเวลางาน เจ้านายของคุณอาจมองว่าคุณเอาแต่คุย และไม่เป็นอันทำงาน ดังนั้น ควรเก็บเรื่องส่วนตัวของคุณไว้คุยในช่วงพักกลางวัน หรือหลังเลิกงานจะดีกว่า

·     ไม่ควรให้คำแนะนำแก่เพื่อนร่วมงานโดยที่เขาไม่ได้เรียกร้อง และไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของผู้อื่นไม่ควรพูดถึงปัญหาสุขภาพของตนเอง เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการเลื่อนขั้นของคุณ หากจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน คนเดียวที่คุณจะพูดด้วยก็คือ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล 

       ในยุคที่ social network กำลังแพร่หลาย คุณควรระวังการโพสต์ข้อความต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ค หรือบล็อกของคุณ และควรมั่นใจว่าข้อความหรือรูปที่อัพโหลดขึ้นไปจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อหน้าที่การงานของคุณ  มารยาทในการทำงานที่ดีนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตการทำงานของทุกคน คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่คุณจะรักษามารยาททั้ง 5 ข้อนี้ไว้ให้มั่น เพื่อให้ชีวิตการทำงานของคุณนั้นราบรื่นและยาวนาน

หากสไตล์การทำงานของคุณเป็นแบบเรื่อย ๆ เรียบ ๆ ไม่หวือหวา โดดเด่น ไม่ชอบแข่งขันกับใครแล้วล่ะก็ ระวัง! คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกลืม โลกแห่งการแข่งขันไม่เคยปรานีใคร เมื่อถึงช่วงเวลาการประเมินผลงานเพื่อพิจารณาโบนัส ขึ้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง หรือแม้แต่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดขนาดองค์กร ลดพนักงาน เมื่อนั้น อาจช้าเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง    คนที่โดดเด่น คือคนที่จะถูกนึกถึงก่อน ส่วนคนที่ไม่โดดเด่น ก็จะถูกมองข้ามไป เพราะไม่มีความสำคัญเพียงพอ ถึงเวลาแล้วที่คนไม่สำคัญ ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพิ่มความโดดเด่น และสร้างคุณค่าในตนเอง ให้ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ จะได้ไม่พลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิต   

1. เพิ่มการประชาสัมพันธ์ตัวเอง

การที่หัวหน้ามองข้ามคุณไปนั้น อาจเป็นเพราะคุณประชาสัมพันธ์ตัวเองน้อยเกินไป คุณจึงไม่อยู่ในสายตาของหัวหน้า หัวหน้าอาจไม่รู้ว่าคุณกำลังทำงานโปรเจ็กต์ไหนอยู่ และอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว ความคืบหน้าเป็นอย่างไร ดังนั้น คุณควรส่งรายงานความคืบหน้าการทำงานของคุณให้หัวหน้าทราบอย่างต่อเนื่อง และหากคุณได้รับคำชื่นชม หรือคำขอบคุณจากผู้ที่ร่วมงานด้วย ก็ควรนำเสนอหัวหน้า เพื่อเป็นโพรโฟล์ที่ดีของคุณต่อไป

2. อย่าเป็นเพียงไม้ประดับ   ในการประชุมทีม หรือประชุมแผนก เป็นโอกาสอันดีที่คุณจะเพิ่มบทบาท และเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ก่อนเข้าประชุมควรมีเตรียมข้อมูลสำหรับประเด็นที่จะหารือกัน การนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ เสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อทีมงาน จะทำให้คุณมีคุณค่ามากขึ้นกว่าการเป็นเพียงผู้เข้าร่วมประชุมที่พร้อมจะทำตามข้อตกลงของที่ประชุม

3. รู้จุดอ่อน จุดแข็งของตัวเอง   ก่อนที่คุณจะหาวิธีการต่าง ๆ ในการนำเสนอตัวเองให้มีบทบาทโดดเด่นขึ้น คุณจะต้องรู้ตัวก่อนว่า คุณมีจุดอ่อน และ จุดแข็งอะไรบ้าง การรู้จุดอ่อนของตัวเอง ก็เพื่อปรับปรุง พัฒนาทักษะ ความสามารถที่ยังพร่องไปให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน คุณต้องทำให้จุดแข็งของคุณเพิ่มคุณค่าและชื่อเสียงในด้านที่คุณเชี่ยวชาญด้วย

4. ขันอาสาช่วยเหลืองานส่วนอื่น  เมื่อมีโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น และต้องการอาสาสมัครเพื่อรับผิดชอบงานชิ้นพิเศษ คนส่วนใหญ่มักจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เสนอตัวรับงานเพิ่มให้ลำบากกาย แต่นี่คือโอกาสของคุณที่จะทำให้คนอื่น ๆ มองเห็นคุณมากขึ้น ยืดอกรับอาสาทำงานไปเลย แสดงให้ทุกคนเห็นว่าคุณมีศักยภาพ แล้วคุณก็จะเป็นที่ยอมรับของทุกคน

5. ช่วยองค์กรประหยัดค่าใช้จ่าย  ในยุครัดเข็มขัดเช่นในปัจจุบัน ทุกองค์กรต่างหันมาให้ความสำคัญกับการลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กร คุณก็สามารถช่วยได้ เสนอความคิดเห็นของคุณให้กับนายจ้างในการช่วยองค์กรลดค่าใช้จ่าย และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงลงมือทำให้เป็นตัวอย่างแก่พนักงานคนอื่น ๆ นายจ้างก็จะจดจำคุณขึ้นมาได้ทันที

       ถึงเวลาแล้วที่คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ ที่โดดเด่น เข้าตานายจ้างและเพื่อนร่วมงาน จากนี้ไปคุณก็จะเป็นคนที่ทุก ๆ คนนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ในองค์กร  

มาสร้างพฤติกรรมให้พวกนายรัก...นายหลงกันดีมั๊ย

เคยสงสัยไหมว่าทำงานที่ไหนแล้วก็ไม่ค่อยรุ่งไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานของเจ้านาย  หลังจากสังเกตพฤติกรรมของพวกนายรักนายหลงเลยได้ข้อสรุปมาดังนี้

1.ยิ้มทักทายเวลานายเดินผ่าน (เท่านั้น)

ข้อนี้นำเสนอโดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านการบริการ  เช่นโรงแรมหรือสายการบิน เคยมีคำถามในใจว่าแล้วใครมันจะยืนยิ้มได้ตลอดเวลาโดยไม่มีเหตุผล(เพราะจะโดนว่า ว่าทำไมไม่ยิ้ม) จนตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่า ก็ยิ้มเฉพาะตอนนายเดินผ่านซะสิ หลังจากได้ทำการทดลองแล้ว ได้ผล  ฉีกยิ้มจากปากถึงหูขณะนายมาหลังจากนั้นก็รอดพ้นข้อกล่าวหานี้ไปได้ ข้อแนะนำเล็กน้อยคือคุณต้องหูตาไวว่านายจะเดินมาตอนไหนอย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว

 2.ทำเป็นขยันและยุ่งต่อหน้านาย

ถ้าคุณเป็นประเภทชอบทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนนายมา ต่างจากประเภทที่นายไม่อยู่ตรูไม่ทำแล้วล่ะก็ หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้ เพราะคำตอบก็คือนายคุณไม่ใช่เทพเจ้าที่ไหนที่จะรู้ได้ว่าคุณเป็นพวกปิดทองหลังพระ ดังนั้น ขุดทองที่อยู่หลังคุณทั้งหมดมาโปะไว้ข้างหน้ากันได้แล้ว ก็ทำงานตามปกติ แต่พอนายมาปุ๊ปก็ต้องทำเป็น Active 2 เท่า เอาโทรศัพท์ติดต่องาน พิมพ์งาน ติดต่อแผนกอื่น ทำเป็นยุ่งเข้าไว้ เจ้านายทุกคนชอบ

 3.นำเสนอเวลาเข้าประชุม

อย่าเบื่อ อย่าง่วงเวลาเข้าประชุม เพราะเวลาการประชุมของคุณคือเวลาที่คุณจะได้หน้ามากที่สุด เวลานายพูดอะไรก็ทำหน้าตั้งใจฟัง ถึงแม้ในหัวจะกลวงๆก็เถอะ พยักหน้าเข้าใจไว้ เป็นผู้ฟังที่ดี พอจะปิดประชุมแล้วถามว่ามีใครจะเสนออะไรไหม เสนอเลย เสนอทุกอย่างที่คิดว่าเป็นประโยชน์ อันนี้ต้องทำการบ้านมาล่วงหน้า ว่าจะประชุมเรื่องอะไรอย่าเสนออะไรที่เค้าเสนอกันไปหมดแล้วหรือเรื่องที่มันไม่มีประโยชน์ ไม่งั้นจะเสียหน้ามากกว่าได้หน้า ต้องพยายามปรับนิสัยจากคนที่ไม่อยากพูดในที่ประชุมมาเป็นคนนำเสนอ ไม่งั้น ถึงเวลาคุณออกจากงาน นายอาจจะยังไม่รู้ว่าคุณมีตัวตนอยู่ในบริษัทเลยก็ได้

4.ไม่ลืมวันสำคัญต่างๆที่เกี่ยวกับนาย

อันนี้ต้องใช้ความสามารถในการเป็นนักสืบเรื่องชาวบ้านพอตัว แบบว่าวันเกิดนายเดี๋ยวนี้มันธรรมดาไปแล้วเพราะทุกคนในออฟฟิศก็ต้องรู้ เราต้องทำลึกขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง วันเกิดสามี ภรรยาหรือลูกนายต้องจำให้ได้  ลูกอยู่ชั้นไหน สอบเข้าโรงเรียนอะไร ยิ่งถ้านายพาลูกมาที่ออฟฟิศล่ะก็ กรุณารักเด็กขึ้นมาทันที ทำแบบนางงามรักเด็กเลย

 5.มาก่อนกลับหลังนาย

อดทนจ๊ะอดทน ท่องไว้ในใจ ว่าเพื่ออนาคตของตัวเรา มาก่อนนายก็ไม่ต้องนานมากเอาแค่แป๊ปเดียวก็พอ ส่วนกลับหลังก็เก็บของทุกอย่างให้พร้อม แบบว่านายออกจากบริษัทปุ๊ปคุณถึงหน้าประตูบริษัทแล้ว แต่ต้องระวังนะว่า ที่เรากลับหลังนายไม่ใช่ว่าเราทำงานไม่เสร็จ ต้องทำให้เสร็จก่อนนะ ความทุ่มเทในงานของคุณต้องแสดงออกให้คนอื่นเห็น โดยเฉพาะกับเจ้านาย รับรองรุ่ง

6.ชมนายแบบพองาม

เยี่ยมไปเลยครับนาย ยอดไปเลยครับท่าน เสื้อนายเท่มากใส่สีนี้แล้วดูดีมากเลยครับ ผมทรงนี้เข้ากับนายมากเลย ยกยอปอปั้นเข้าไป แต่ต้องพองามนะอย่าเกินงาม คนเรายังไงก็ต้องชอบคนชม หยอดนิดหยอดหน่อย ไม่ใช่นิ่งเป็นศาลเจ้า เดี๋ยวนายเดินผ่านจะยกมือไหว้ซะก่อน

7.เสนอตัวรับผิดชอบ

งานนี้ผมรับผิดชอบได้ครับนาย เพื่อนๆจะได้ไม่ต้องลำบาก เรียกอีกอย่างว่าเอาหน้า อะไรที่มันดูยากๆแล้วก็ไม่มีใครทำ รับรองนายจะจดจำคุณได้แน่นอนถ้าคุณทำได้ดี คุณก็จะได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายเต็มๆ แต่ต้องดูความสามารถของตัวคุณเองด้วยนะ ถ้าทำไม่ไหวจริงๆก็อย่าอาสา เดี๋ยวคำชมจะกลายเป็นคำด่าไปซะก่อน

                สุดท้ายคำโบราณที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน หรือค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ก็ยังใช้ได้เสมอ แต่ถ้าให้นายรู้ในสิ่งที่คุณทำ คุณเป็น ยิ่งดีใหญ่เลย ชีวิตคุณจะเจริญรุ่งเรืองในการงานแน่

วันนี้เวลาของเราก็หมดลงแล้ว ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

มี เพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือ ความล้มเหลว

ชายหนุ่มไฟแรง

วันนี้ ดิฉันมีเรื่อง  ชายหนุ่มไฟแรง จากForword mail  มาเล่าให้ฟัง

มีชายหนุ่มไฟแรง ที่มุมานะทำงานอย่างมุ่งมั่น เขามีความฝันจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับแฟนสาว  เธอจะมารอ..ที่หน้าประตูบ้าน..ของเขา หลังจากที่เขาเลิกงาน  เขาพบเธอ..ก็ยิ้มแย้ม ..ยินดีต้อนรับ.. สนทนากัน..แล้วเธอก็กลับไป  วันนี้เขากลับถึงบ้าน ช้ากว่าปกติมาก  แต่แปลกที่ยังเห็นเธอยืนรอที่หน้าบ้านเขา.. เช่นทุกวัน โทษทีนะที่รัก วันนี้มีงานด่วน เลยกลับมาช้าไปหน่อย
เธอยังยิ้มให้เขา
คุณทำงานจนมีรถ มีบ้านอย่างที่ตั้งใจแล้ว
ทำไมยังทำงานหนักอีกล่ะ
?”  ผมอยากมีบ้านที่มีบริเวณมากกว่านี้ มีรถที่ดูโอ่อ่ามากกว่านี้ ..เพื่อคุณนะจ๊ะ เวลาผ่านไป 1 ปี
หญิงสาวมาหาเขาบ้าง ไม่มาบ้าง แต่เขาไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องอย่างนี้ วันหนึ่งเธอเอ่ยถามเขา
คุณมีเงินมากพอจะซื้อบ้านหลังใหญ่รึยัง?” ขอเวลาอีกสักหน่อย ผมอยากซื้อแหวนวงใหม่ มาเปลี่ยนให้คุณด้วย เขาจุมพิตมือที่สวมแหวนทองวงเล็กเบาๆ
ฉันบอกหรือว่า ฉันอยากได้แหวนวงใหม่?” ผมอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ...ที่รัก  3 เดือนแล้ว..ที่เขาไม่เห็นเธอที่หน้าประตูบ้าน วันนี้เขามีบ้านหลังใหญ่  เขาจึงตัดสินใจลางาน 1 วัน เพื่อไปหาเธอ   เขาขับรถคันหรู ผ่านเส้นทางที่ขรุขระ อย่างยากลำบาก
เธอต้องใช้ทางเส้นนี้มาหาเราทุกวันเหรอเนี่ย?’ เขารำพึง
เมื่อมาถึง แม่ของเธอออกมาต้อนรับและมอบกล่องไม้ใบหนึ่งให้เขา และบอกเส้นทางที่เป็นสถานที่ ที่เธออยู่ ที่ซึ่งเขาจะพบเธอได้
เนินเขาเล็ก ๆ รายล้อมไปด้วยดอกไม้ มีแท่นหินสลักชื่อหญิงสาว ตั้งอยู่กลางเนิน น้ำตาของลูกผู้ชายไหลรินออกมา มือสั่นเทาของเขา เปิดกล่องไม้อย่างช้า ๆ
ข้างในกล่องอัดแน่นไปด้วยกระดาษแผ่นเล็ก ๆ
เขาเริ่มอ่านข้อความ..ทีละใบ...ทีละใบ....
วันนี้ ..คุณกลับมาช้า ..ฉันรอ 2 ชั่วโมง ..ไม่เป็นไร ..ฉันรักคุณ
วันนี้ฝนตก ..ฉันยังรอ ..แต่ไม่เจอคุณ.. ไม่เป็นไร ..แต่ฉันยังรักคุณ
ฉันเริ่มป่วย.. จนไปหาคุณไม่ได้ ..คุณคงไม่ทันได้สังเกต.. ไม่เป็นไร..แต่ฉันยังรักคุณ
วันนี้ ..คุณบอกจะเปลี่ยนแหวนวงใหม่..
คุณคงลืมว่า..ฉันตอบตกลง..จะแต่งงานกับคุณ ..เพราะแหวนวงนี้
แต่ไม่เป็นไร..ฉันยังรักคุณ

ชายหนุ่มได้เรียนรู้แล้วว่า.......
บางทีสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาตลอดชีวิต อาจเทียบไม่ได้กับสิ่งเล็กน้อย ที่เขาเคยได้รับ จนเป็นเรื่องปกติของทุกวัน
รถคันหรูแล่นไกลออกไป เหลือไว้เพียงกล่องแหวนเพชร ราคาแพง หน้าหลุมศพ  ที่ดูไม่เหลือค่าอะไร ..สำหรับเขา..อีกต่อไป
ผมมีบ้านหลังใหญ่..แต่คงกว้างไป สำหรับการที่จะต้องอยู่คนเดียว   ผมมีรถราคาแพง แต่ไม่รู้จะขับไปรับใคร ให้มานั่งเคียงคู่ ..เพื่อไปที่ไหน ๆด้วยกัน  ผมมีเวลาอยู่กับงานครึ่งชีวิต แต่ไม่เคยมีเวลา ที่จะได้อยู่กับคนที่..ผมรัก  ตอนนี้ผมมีเงินมากมาย แต่ไม่อาจซื้อเวลาเพียง 1 นาที ที่จะบอกว่า รักเธอ’.. ผมมีทุกอย่างเพียบพร้อมตามที่ผมฝัน แต่ขาดส่วนที่สำคัญที่สุด ..ที่อยากให้ย้อนกลับมา..จะได้ไหม?”
.....ลองก้าวออกจากโต๊ะทำงานก่อนตะวันจะตกดินสักวันสองวันต่อสัปดาห์  หันกลับไปเอาใจใส่คนที่รักเราบ้าง อาจจะไม่ใช่แค่แฟนหรือคนรัก บางที พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ก็เฝ้ารอ 1 นาทีจากเราเหมือนกัน ณ วันนี้...อย่างน้อยเราก็ยังมีเวลาเหลือมากกว่า 1 นาทีที่บางคนโหยหา... อย่าปล่อยให้อะไรๆ มันสายเกินไป...
ชีวิตคน...ถึงมันจะไม่สั้นนัก...แต่มันก็ใช่ว่าจะยาวนานตลอดไป ............. เงินทองที่มากมายจากการทำงานหักโหม...
บางทีอาจได้คืนกลับมาเพียงแค่โลงราคาแพงจากน้ำพักน้ำแรงในครึ่งชีวิตที่ผ่านมา ..............

อ่านตัวเราและเชื่อมั่นในตัวเรา เพราะศักยภาพในตัวเรามีมากกว่าที่เราคิด

เมื่อเข้าสู่วัยเรียน หลายคนมองว่าเครียด เรียนยากบ้าง การบ้านเยอะบ้าง ไม่รู้จะเรียนจบไหม แต่ในที่สุดก็ผ่านในช่วงเวลานั้นกันมาได้ จนมาถึงวัยทำงาน กลับต้องร้องขึ้นมาทีเดียว เพราะเรียนที่ว่ายากแสนยากนั้น เมื่อมองกลับไป ทำไมมันง่ายอย่างนั้น เรียนนี่แหละสบายที่สุดแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เรียน เรียน เรียนอย่างเดียว แต่การทำงานนี่สิ ที่ยากแสนยาก ถ้าไม่ขยัน และเก่งพอ ก็คงโดนเด้งเอาง่าย ๆ ซึ่งก็ถือว่าฝึกความอดทนของเราได้เป็นอย่างดี   แต่บางคนกลับหมกมุ่นอยู่กับการทำงานหนักจนเกินไป อันนี้ก็ถือว่าเครียดเกินไป เราจึงต้องรู้จักการแบ่งเวลาให้เป็น ถึงแม้งานจะหนักสักแค่ไหน เราก็มีวิธีรับมือกันได้ง่าย ๆ

เริ่มด้วยการวางแผนและจัดลำดับความสำคัญของงาน ไม่ใช่พอเริ่มรู้สึกว่างานหนัก มีแรงกดดันจากคนรอบข้างมากขึ้น แล้วจึงค่อยลงมือทำ ได้มีการวินิจฉัยว่า งานที่ทำเป็นงานที่สามารถทำได้คนเดียว หรือต้องทำร่วมกันเป็นทีม ถ้าเป็นงานที่ทำได้คนเดียว การวางแผนและจัดลำดับความสำคัญอาจสับสนวุ่นวายน้อยกว่ากรณีที่ต้องทำกันเป็นทีม

หากงานที่ได้รับต้องทำกันเป็นทีม สิ่งสำคัญที่สุด คือการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นหัวหน้าทีมด้วยแล้ว โปรดอย่าคิดเอาเองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทุกคนในทีมคงเข้าใจงานที่ต้องทำตรงกัน เพราะประสบการณ์และสถิติยืนยันว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นไปได้ ควรมีการประชุมทีมเสมอ ๆ ทั้งการประชุมรวมกันทั้งทีม และการแยกประชุมกับสมาชิกในทีมแต่ละคน เพื่อตรวจสอบความคืบหน้า รับทราบปัญหา หาทางแก้ไขและป้องกัน รวมทั้งเตรียมตัวรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า

หลายคนมองว่าการทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันเป็นสิ่งที่ดี แต่ผลการวิจัยเกี่ยวกับการทำงานของสมองคนเราพบว่า การทำอะไรหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ทำให้มีข้อมูลจำนวนมากวิ่งเข้ามาในสมอง ซึ่งสมองของคนเราไม่สามารถรองรับข้อมูลได้ทั้งหมด ปัญหาก็คือ งานหลุด หรือขาดรายละเอียดที่ควรมี   ดังนั้น เมื่อเราต้องเผชิญกับการทำงานหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่เราเลือก แต่เกิดจากการถูกสั่ง หรือเหตุการณ์บังคับให้ต้องทำ จึงมีแนวทาง และหลักการในการทำงาน ดังนี้

- มองโลกในแง่บวก เพราะคนรอบ ๆ ตัวคุณอาจทำงานหนักและมีความเครียดเหมือนกับคุณ หรืออาจจะมากกว่าคุณก็เป็นได้ คุณอาจรู้สึกดีขึ้นได้ ว่าเราไม่ได้เป็นคนคนเดียวที่ต้องทำงานหนัก

- กระจายออก หรือกำจัดไป หลังจากที่ได้จัดลำดับความสำคัญของงานแล้ว อาจพบว่ามีงานบางอย่างที่สามารถส่งต่อให้คนอื่นทำได้ และอาจจะมีงานบางอย่างที่สามารถกำจัดทิ้งไปได้เลย แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องทำให้คนอื่นเห็นว่างานที่กระจายหรือกำจัดไปนั้น เป็นงานที่ไม่จำเป็นต้องทำ หรือเป็นงานที่ไม่สามารถทำได้ หรือเป็นงานที่ทำได้ แต่อาจจะไม่ดีเท่าให้คนอื่นทำ หรือหากคุณใช้เวลาในการทำงานชิ้นนั้นไปทำงานอย่างอื่น จะได้ผลลัพธ์ในภาพรวมที่ดีกว่า เป็นต้น

- หาเวลาในการออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะคนเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ที่จะสามารถทำงานได้ตลอดเวลา ดังนั้น จึงควรเรียนรู้ที่จะดูแลตนเอง เรียนรู้จังหวะของชีวิต จะทำให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรง และเพิ่มพลังในการทำงานให้กับตัวคุณเองได้ต่อไป

- มีเป้าหมายในการทำงาน และการดำเนินชีวิตเสมอ แม้ในตอนนี้อาจจะยังไม่เห็น หรือยังไม่เชื่อ แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากคุณเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้ ทัศนคติเกี่ยวกับงานของคุณจะดีขึ้น ให้มองว่า งานที่ทำอยู่กำลังสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับตัวเอง แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดมากมายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ศักยภาพความสามารถของแต่ละคน มีไม่เท่ากันอยู่แล้ว บางคนมีมากก็จริง แต่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกมา บางคนก็แสดงออกมาอย่างเต็มที่ จนบางครั้งทำให้คนรอบข้างเกิดอาการหวั่นกลัว ประหม่าและไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมา จนทำให้คิดว่าเรามีศักยภาพไม่เพียงพอเมื่อไปเทียบกับเขา แต่ความเป็นจริงแล้วคนเราทุกคนต่างก็มีศักยภาพในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่แสดงออกมาให้คนอื่นรู้ก็เท่านั้นเอง เพียงขอให้ลองมองตัวเรา อ่านตัวเรา หาตัวเราให้พบ และให้เชื่อมั่นในตัวเรา เพราะศักยภาพในตัวเรามีมากกว่าที่เราคิด