Monthly Archives: October 2011

“Job & Career”

บทความของ คุณยูซุฟ อบูบักรฺ ตั้งชื่อบทความว่า “Job & Career” ซึ่งเมื่ออ่านเนื้อหาแล้ว ยิ่งโดนใจ จนอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดออกมา      คงไม่มีใครปฏิเสธว่า มนุษย์ทุกคนต่างต้องดิ้นรนประกอบอาชีพ หลากหลายผู้คนที่เป็นลูกจ้าง เป็น มนุษย์เงินเดือน ทั้งที่เป็นโดยเต็มใจ และที่เป็นโดยจำใจ แต่จะด้วยเหตุใดก็ตาม เมื่อถึงวันสิ้นเดือน เขาก็จะได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทน ทั้งๆ ที่บางคนฝืนใจทนทำงานนั้นอย่างเบื่อหน่าย วันๆ นั่งนับชั่วโมงนับนาที ลุ้นให้เวลางานผ่านไปไวๆ ทั้งๆ ที่เช้านั้นก็มาสาย แถมวันๆ ก็คอยแต่หลบเลี่ยงงาน อู้ได้เป็นอู้ แอบหลับได้เป็นหลับ ตกเย็นกลายเป็นคนตรงต่อเวลา ได้เวลาเลิกงานข้าเผ่นทันทีคนเช่นนี้มีอยู่มากมายแทบทุกองค์กร พอถึงสิ้นปีไม่ได้โบนัสก็โวยวาย เงินเดือนขึ้นน้อยกว่าเพื่อนก็ก่นด่าเจ้านายว่าไม่ยุติธรรม เล่นพรรคเล่นพวก ชอบแต่คนคอยประจบเอาใจ น้อยคนนักที่จะมองและทบทวนตัวเอง        พนักงานเหล่านั้นมักจะคิดว่าฉันทำเต็มที่แล้ว’ ‘ทำงานมาก ก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา’ ‘ผู้บริหารชอบเอาเปรียบ’ ‘ทำงานมาก แต่เงินเดือนน้อย’ ‘ขาดไม่ได้ มีแต่หักเงิน เพิ่มไม่เคยมี’ ‘ฉันไม่มีทางเลือก มีเมื่อไหร่ฉันจะไปทันทีซึ่งเป็นความคิดที่อยู่คู่กับพนักงาน แทบทุกองค์กร ยากที่จะสลัดให้หลุดออกจากสมองจากหัวคิดของ มนุษย์เงินเดือนซึ่งเป็นผู้ทำงานตามคำนิยามของคำว่า “Job” นั่นเอง 

Job หมายถึง การทำงานที่หวังเพียงค่าตอบแทน ทำเท่าที่เป็นหน้าที่ นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่งานของเราก็ไม่ทำ ไม่ต้องช่วย ทนทำให้ถึงสิ้นเดือนเพื่อเงินเดือนที่ตั้งตารอ เป็นงานที่แสนทรมานและหนักอึ้ง งานที่ต้องทนทำอย่างทรมานมักทำให้การทำงานนั้นไม่มีความสุข และไม่ค่อยมีอนาคต เพราะสักที่จะทำให้พ้นไปวันๆ ตลอดเวลาที่ทำงานรู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ที่อาคารหรือห้องสี่เหลี่ยม แต่หัวใจล่องลอยโบยบินแสวงหาที่ทำงานแห่งใหม่อยู่ร่ำไป

ส่วน Career หมายถึง งานในฝัน งานในอุดมคติ เป็นความเปี่ยมสุขที่ได้ทำงานชิ้นนั้น ถึงแม้รางวัลการตอบแทนจะน้อยนิด แต่มีความรู้สึกว่าภาคภูมิใจและตั้งใจทำอย่างทุ่มเท ซึ่งบางครั้งงานที่ทำอยู่อาจจะไม่ใช่งานที่เคยใฝ่ฝัน แต่เมื่อลงมือกระทำอย่างตั้งใจ ทุ่มเท เสียสละ จนงานนั้นสำเร็จลุล่วงด้วยดี ก็ก่อให้เกิดความสุขใจได้ จึงกลายเป็นงานในฝันของคุณไปโดยปริยาย  เป็นเรื่องที่น่าแปลก..ในงานชิ้นเดียวกันหรืออาชีพเดียวกัน คนหนึ่งทำเหมือนกับแบกภูเขาไว้บนอกสุดแสนจะทรมาน แต่อีกคนกลับทำอย่างมีความสุข ทุ่มเท เสียสละ ไม่คำนึงถึงเวลาที่เสียไป และไม่ติดยึดอยู่กับค่าตอบแทนหรือของขวัญรางวัล นั่นคือ ความแตกต่างของคนที่ทำงานแค่ “Job” กับคนที่ทำงานในฝัน “Career”   ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถเลือกงานที่ทำได้ เราจะต้องพยายามเปลี่ยน Job งานของเราให้เป็น Career งานในฝันให้ได้ ด้วยกับการเปลี่ยนพฤติกรรม       ดังนั้น Job งานที่เราเคยทำเพื่อแลกกับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด สามารถเปลี่ยนให้เป็น Career งานในอุดมคติหรืองานในฝัน ที่ทำแล้วมีความสุข และได้รับภาคผลบุญเป็นการตอบแทนก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ

นิทาน คนโง่

ดิฉันมีเรื่อง  คนโง่    มาเล่าให้ฟัง 

เด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีนิสัยรั้น ชอบอวดเก่ง เห็นใครทำอะไรเขาก็ทำตามได้ และคิดว่าตนเองทำได้ดีกว่าผู้อื่นเสมอ วันหนึ่ง เด็กหนุ่มเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ พลันสายตาเหลือบเห็นผู้เฒ่าสองท่านกำลังนั่งตกปลา แต่ละท่านเต็มไปด้วยมาดเคร่งขรึม แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชำนาญการตกปลาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ผู้เฒ่ากระตุกคันเบ็ด ก็ได้ปลาทุกครั้ง  ทันใดนั้น ผู้เฒ่าท่านหนึ่งลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเอง ผู้เฒ่าท่านนี้กระโดดไปบนผิวน้ำทีละก้าว...ที่ละก้าว จนไปถึงฝั่งตรงข้าม เพื่อหยิบเหยื่อปลา แล้วกระโดดที่ละก้าวกลับมาที่เดิม   และในเวลาต่อมาไม่นานนัก ท่านผู้เฒ่าท่านที่สอง ได้ลุกขึ้น พร้อมกระโดดที่ละก้าว....ทีละก้าว..... ข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำเหมือนผู้เฒ่าคนแรก นำปลาที่เพิ่งตกได้ใส่ข้อง  แล้วกระโดดกลับมานั่งที่เดิม   เด็กหนุ่มถึงกลับตะลึง ไม่คาดฝันว่าผู้เฒ่าทั้งสอง สามารถเดินบนผิวน้ำได้ เหมือนมี
วิชาตัวเบา  เด็กหนุ่มเห็นดังนั้น ด้วยความอววดเก่งไม่คิดหน้า คิดหลัง จึงลองกระโดดเหมือนผู้เฒ่าบ้าง แต่เขากลับจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำทันที   สองผู้เฒ่าได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มจนขึ้นฝั่งได้แล้ว ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งมองเด็กหนุ่มด้วย  ความสมเพช แล้วจึงบอกว่า  " เจ้าเด็กโง่... พวกเรานั่งตกปลาที่นี่มานานนับสิบปี เรารู้ดีว่า ที่แม่น้ำนี้ตรงไหนมีตอไม้ให้เราเหยียบได้บ้าง เราก็เลยกระโดดข้ามไปได้เหมือนมีวิชาตัวเบาสามารถเหยียบบน
ผิวน้ำได้ เจ้าเด็กโง่... เจ้ายังไม่รู้อะไร เจ้าจะทำตามได้อย่างไร เจ้าเด็กโง่ "  ก่อนเด็กหนุ่มจะได้รู้เคล็ดลับของผู้เฒ่า เล่นเอาเขาเกือบจมน้ำตาย นิทานเรื่องนี้สอนว่า การที่จะทำอะไรให้ประสพผลสำเร็จ เราต้องศึกษาให้ถ่องแท้ว่าผู้ที่เขาประสบความสำเร็จ เขามีเคล็ดลับอะไร มีประสบการณ์มาอย่างไร อย่าตัดสินว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันง่าย เหมือนอย่างที่เราเห็น เพราะมันสามารถทำให้เราจมน้ำตายได้

อวัยวะส่วนไหนของร่างกายที่สลับซับซ้อนที่สุด

อวัยวะส่วนไหนของร่างกายที่สลับซับซ้อนที่สุด เป็นอวัยวะที่มนุษย์เราทำความเข้าใจน้อยที่สุด แต่ก็เป็นอวัยวะที่ถ้าได้รับความกระทบกระเทือนหรือเสียหายในส่วนต่างๆ ที่แตกต่างกันแล้ว ก็จะส่งผลต่อคนแต่ละคนต่างกัน เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะเดาได้นะค่ะว่า เป็น "สมอง" นั่นเอง ในช่วงหลังมีความพยายามของบรรดาแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ที่จะศึกษาและอธิบายปรากฏการณ์ การทำงานของสมองเรา เพื่อทำความเข้าใจและหาแนวทางในการพัฒนา และปรับปรุงการทำงาน และทำให้การดำรงชีวิตของเราดีขึ้น    ดิฉันเองมีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Brain Rules เขียนโดย John Medina ซึ่งเป็นการรวบรวม บรรดาการทดลองต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสมองไว้แล้วนำมาสรุปเป็นกฎง่ายๆ สิบสองข้อเกี่ยวกับการทำงานของสมองเรา ซึ่งดิฉันเองก็ได้เคยนำเสนอกฎบางข้อในหนังสือเล่มนี้ ผ่านทางบทความนี้มาบ้างแล้ว ดังนั้น วันนี้เลยอยากจะมาสรุปสาระ หรือประเด็นที่สำคัญที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอไว้ เผื่อเป็นแนวทางสำหรับท่านผู้อ่านในการทำความเข้าใจ และหาทางพัฒนาและปรับปรุงสมองเรานะค่ะ
          เริ่มจากความทรงจำค่ะ สมองเรามีความทรงจำระยะสั้น ที่เรียกว่า Short-Term Memory โดยเจ้า ความทรงจำระยะสั้นนั้นจะสามารถเก็บข้อมูลได้ไม่เกินเจ็ดชิ้นไว้ได้นานสุดประมาณแค่สามสิบวินาที หลังจากนั้น สิ่งที่เราพยายามจดจำนั้นก็จะสลายไปหมด ดังนั้น การที่จะจดจำสิ่งต่างๆ ได้นาน จะต้องคอยตอกย้ำตลอดเวลา เหมือนกับการจำหมายเลขโทรศัพท์ค่ะ เราจะจำได้ต่อเมื่อเราท่องแล้วท่องอีก    นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการนอนหลับกับการทำงานของสมอง เราค่ะ ตอนที่เราหลับนั้นร่างกายเราหยุดทำงาน แต่สมองของเราไม่ได้หยุดไปด้วยค่ะ นักวิทยาศาสตร์พบว่าช่วงที่คนเราหลับนั้น จะเป็นช่วงที่สมองของเราทำงานอยู่ตลอดเวลา และพบอีกว่าคนเราจะเรียนรู้หรือแก้ปัญหาต่างๆ ที่พบเจอได้ดีขึ้น ถ้าได้นอนหลับมีการทดลองหลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อให้โจทย์ปัญหาให้กลุ่มทดลอง แล้วเปิดโอกาสให้กลุ่มทดลองได้นอนหลับประมาณแปดชั่วโมง      กลุ่มที่ได้มีโอกาสนอนหลับจะสามารถแก้ไขโจทย์ปัญหาได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้นอนหลับ แสดงว่าระหว่างที่เราหลับนั้นสมองเราก็มีการเรียนรู้และทำงานไปด้วย ในขณะเดียวกัน การนอนหลับก็ทำให้สมองเราแจ่มใส มีสมาธิ ทำงานได้ดีขึ้น
          ในขณะเดียวกัน การที่เราได้นอนกลางวันก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้สมองเราทำงานได้ดีขึ้น มีการทดลองที่ NASA แล้วพบว่าการได้นอนหลับตอนบ่ายเพียง 26 นาที จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของนักบินได้ถึงร้อยละ 34 ดังนั้น ถ้าผู้บริหารองค์กรต่างๆ พยายามที่จะแสวงหาหนทางหรือแนวทางในการเพิ่มความสามารถในการทำงานของลูกน้องท่าน ลองให้พวกเขาได้งีบหลับตอนบ่ายสักช่วงหนึ่งซิค่ะ อาจจะเป็นวิธีเพิ่มความสามารถของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนที่สุดก็ได้ค่ะ      สำหรับ การรับรู้ข้อมูลของสมอง นั้น เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงทราบอยู่แล้วว่า เราจะรับรู้ต่อสิ่งที่เป็นรูปแบบได้ดีกว่าตัวอักษรหรือตัวเลขเฉยๆ ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อเราได้ยินข้อมูลใดก็ตาม อีกสามวันให้หลังเราจะจำได้เพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้นเองค่ะ แต่ถ้าเราเห็นรูปใดก็ตาม อีกสามวันให้หลังเราจะจำได้ถึงร้อยละ 35 และจะให้ดีที่สุด คือได้ยินทั้งเสียงและเห็นทั้งรูปภาพ อีกสามวันให้หลังเราจะจำได้ถึงร้อยละ 65
          ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลใดก็ตาม ไม่ควรจะเน้นไปที่การบรรยายหรือนำเสนอแต่ตัวอักษรอย่างเดียว แต่ควรจะมีภาพที่ทำให้คนสามารถจดจำได้ง่าย ท่านผู้อ่านอาจจะต้องกลับไปรื้อ หรือทำ Powerpoint ของท่านใหม่แล้วนะค่ะ มิฉะนั้น ถ้า Powerpoint ของท่านเต็มไปด้วยตัวอักษรและคำอธิบาย ผู้ฟังก็จะจำไม่ได้หรอกค่ะ          ในขณะเดียวกัน สมองและร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้นั่งทำงานหรือนั่งประชุมติดต่อกันเป็นเวลานานๆ หรอกค่ะ ผลการทดลองต่างๆ พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของสมองเรากับการออกกำลังกายค่ะ การนั่งอยู่กับที่เพื่อพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ อาจจะได้ผลไม่ได้เท่ากับการเดินไปแก้ไขปัญหาไปก็ได้นะค่ะ เนื่องจากร่างกายและสมองเราถูกออกแบบมาให้คิดได้ดีเมื่อเราเคลื่อนไหว  ลองสังเกตดูซิค่ะว่า ถ้านั่งอยู่กับโต๊ะทำงานทั้งวันบางครั้งสมองเราก็ไม่แล่น แต่ถ้าได้ออกเดินเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง สมองเราอาจจะคิดอะไรได้ดีกว่าการนั่งเฉยๆ ที่โต๊ะทำงานก็ได้ ท่านผู้อ่านลองหาทางผสมผสานการเคลื่อนไหว หรือการออกกำลังกายเข้ากับการทำงานซิค่ะ อาทิเช่น รับโทรศัพท์ไปเดินไป หรือยืนประชุม หรือเดินออกไปรับประทานอาหารข้างนอก สิ่งต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ อาจจะช่วยให้สมองเราทำงานได้ดีขึ้นก็ได้นะค่ะ   ลองนำเคล็ดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไปปรับใช้ดูนะค่ะ

มนุษยสัมพันธ์กับการทำงาน

มนุษยสัมพันธ์ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดหรือสถานภาพใดก็ตาม เพราะผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีย่อมเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น มีความคล่องตัวในการ

ติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นในเรื่องการงาน ธุรกิจ และสังคมทั่วไป

การมีมนุษยสัมพันธ์ เป็นปัจจัยความสามารถในด้านหนึ่งที่ทำให้การทำงานประสบผลสำเร็จซึ่งการมีมนุษยสัมพันธ์ หมายถึง การสร้างความเป็นมิตรหรือความสัมพันธ์เชิงบวกกับบุคคลอื่น

โดยการเริ่มต้นทักทาย การสนับสนุนและช่วยเหลือ การรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลรวมทั้งการให้เกียรติบุคคลอื่น โดยทั่วไปบุคคลที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมักจะมีคนอยากเข้ามาหา มาพูดคุยปรึกษาหารือด้วย และที่สำคัญจะได้รับความช่วยเหลือ ความร่วมมือในการทำงาน รวมทั้งการได้รับข้อมูลข่าวสารต่าง จากบุคคลรอบข้างด้วยเช่นกัน ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ปัจจุบันละเลยเรื่องเล็กน้อย ภายหน้าเสียใจอย่างใหญ่หลวง  

นิทาน ผู้หญิงไม่เคยทำอะไร

วันนี้ดิฉันมีเรื่อง นิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา   เรื่อง   ผู้หญิงไม่เคยทำอะไร มาเล่าให้ฟัง 

ดาหวันสมัครเข้าทำงานในบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเธอก็ได้รับโอกาสให้ทำงานเป็นเลขาฯ ของชาคริต ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้ ดาหวันตั้งใจทำงานมาก เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่ได้งานนี้หน้าที่ของดาหวันคือ เข้าไปจัดห้องทำงานเตรียมพร้อมไว้ก่อนที่ชาคริตจะเข้าบริษัทฯ และคอยเป็นมือขวาช่วยติดต่อประสานงานต่าง ๆ ให้ การจัดห้องทำงานของชาคริตทำให้ดาหวันรู้สึกว่าเจ้านายของเธอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เพราะเขาตั้งรูปถ่ายที่ถ่ายร่วมกับภรรยาและลูกสาวเอาไว้บนโต๊ะทำงานด้วย       "ภรรยาคุณชาคริตสวยมาก ลูกสาวก็น่ารักน่าชัง คุณชาคริตคงรักครอบครัวของเขามาก" ดาหวันพูดกับตัวเอง มาภายหลังเธอจึงรู้ว่าภรรยาของเจ้านายชื่อ กันยา       แต่ผ่านไปสามเดือน ดาหวันก็จับข้อสังเกตอย่างหนึ่งได้ เธอไม่เคยเห็นกันยามาหาชาคริตที่บริษัทเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ออกจากบ้านไปไหนเลยด้วยซ้ำ ดาหวันเห็นเจ้านายของเธอแอบแวบไปห้างสรรพสินค้าในเวลาพักเที่ยงบ่อย ๆ เพื่อหาซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้าน บางครั้งทั้ง ๆ ที่งานยุ่ง แต่ถ้ามีโทรศัพท์จากกันยามาสั่งซื้อของ ชาคริตจะหาเวลาไปซื้อสิ่งนั้นมาเก็บไว้ในรถเพื่อนำกลับไปให้เธอในตอนเย็นจนได้         ดาหวันเฝ้ามองการกระทำของเจ้านายด้วยความแปลกใจ เหตุใดผู้ชายคนหนึ่งจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อภรรยาของเขาได้ถึงขนาดนี้ เธอไม่เคยเห็นสามีคนไหนเป็นแบบชาคริตมาก่อน และก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนไม่ยอมทำอะไรเองสักอย่างแบบกันยามาก่อนด้วย       วันหนึ่งชาคริตงานยุ่งมาก เขามีประชุมด่วนติดต่อกันถึงสามแห่ง จึงไหว้วานดาหวันให้ช่วยไปรับลูกสาวจากโรงเรียนอนุบาล และซื้อของใช้บางอย่างกลับไปให้ภรรยาของเขาที่บ้านด้วย       "ได้ค่ะเจ้านาย" ดาหวันยิ้มรับคำ แต่ในใจนึกอิจฉากันยาว่า ทำไมถึงเกิดมาสบาย และเป็นที่รักของสามีอย่างนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร อยากได้สิ่งไหน สามีก็จัดหา หรือทำให้หมด ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเองสักอย่างเดียว       "คุณส่งลูกสาวผมแค่หน้าปากซอยก็พอ ผมโทรฯ บอกให้พี่เลี้ยงของเขาออกมารอรับอยู่แล้ว ข้าวของที่ซื้อมาก็ฝากพี่เลี้ยงกลับไปได้เลย"       "ค่ะ" ดาหวันรับคำอีก แต่ในใจก็นึกปรามาสกันยาขึ้นมา    "แม้แต่ลูกของตัวเองก็ยังไม่ออกมารับ ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยหรือไงนะ"      ยอมรับว่าดาหวันจะอิจฉากันยามากขึ้น เจ้านายของเธอก็ไม่เห็นจะเคยปริปากบ่นที่ภรรยาของเขาไม่ทำเลยสักอย่าง ซ้ำยังดูเหมือนจะมีความสุขที่ได้ทำทุก ๆ อย่างให้ภรรยาและลูกด้วยตัวเองอีกด้วย ดาหวันอิจฉากันยาเสียจริง นี่เธอจะมีโอกาสได้สามีที่แสนดีอย่างนี้บ้างไหมนะ    วันหนึ่ง กันยาโทรศัพท์เข้ามาขอสายสามี แต่ชาคริตไม่อยู่ ดาหวันเป็นผู้รับสาย เธอบอกไปว่า"คุณชาคริตไปพบลูกค้า ติดต่อไม่ได้ คิดว่าคงจะปิดโทรศัพท์มือถือไปแล้วล่ะค่ะ"       "แย่จริง ดิฉันต้องการความช่วยเหลือจากเขาด่วนเสียด้วยสิ"กันยาบอก       ดาหวันรู้สึกไม่พอใจ นี่ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้างหรืออย่างไรนะ ต้องใช้ให้สามีช่วยนั่นช่วยนี่ตลอด แต่ดาหวันก็พูดออกไปอย่างรักษามารยาทว่า       "คุณกันยามีอะไรเดือดร้อนล่ะคะให้ดิฉันช่วยแทนไหม"       "ดิฉันปวดฟันมากเหลือเกินค่ะ อยากให้สามีพาไปหาหมอฟัน แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะกินยาแก้ปวดไปพลาง ๆ ก่อน ถ้าเขามาแล้ว รบกวนคุณช่วยบอกเขาให้รีบกลับบ้านด้วยนะคะ"  ดาหวันวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดใจ ทำไมเจ้านายของเธอถึงไปเลือกผู้หญิงอย่างนี้มาเป็นภรรยานะ ดูเธอสิ ขยันขันแข็งทำนั่นทำนี่สารพัด แต่ไม่เห็นจะมีผู้ชายดี ๆ มาชอบสักคน สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย       ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ชาคริตยังไม่กลับมา แม้ดาหวันจะไม่พอใจกันยา แต่เธอก็รู้สึกว่าคนที่เป็นเลขาฯ ควรจะทำทุก ๆ อย่างแทนเจ้านายได้ ดังนั้นดาหวันจึงตัดสินใจขับรถไปหากันยาที่บ้าน เผื่อว่าจะพอช่วยแบ่งเบาภาระอะไรชาคริตได้บ้าง       เมื่อไปถึง ดาหวันไม่เห็นใครอยู่บ้านเลย กดกริ่งเรียกเท่าไรก็ไม่มีคนมาเปิด ดาหวันลองผลักประตูรั้วดู ประตูไม่ได้ใส่กุญแจไว้ เธอจึงเดินเข้าไปในบ้าน พยายามมองหาใครสักคน จนมาถึงห้องห้องหนึ่ง เธอจึงได้ยินเสียงผู้หญิงในห้องร้องขึ้นอย่างดีใจว่า       "คุณคะ คุณกลับมาแล้วหรือ ฉันรอคุณมานานแล้ว"       ดาหวันจำได้ว่า เสียงนี้คือเสียงของกันยา เธอตอบกลับไปว่า "ไม่ใช่ค่ะคุณกันยา ดิฉันดาหวัน เลขาฯ ของคุณชาคริตค่ะ"       ตอนนั้นเองที่กันยาผลักประตูเปิดออกมา ดาหวันจึงได้เห็นกันยา ภรรยาของเจ้านายเป็นครั้งแรก ดาหวันตกใจจนเผลอหลุดปากร้องออกมา    "คุณพระช่วย!"       กันยามีหน้าตาที่งดงามดังเช่นภาพถ่าย แต่เธอต้องนั่งรถเข็นเพราะเธอไม่มีขาทั้งสองข้าง       "คุณดาหวันมาถึงที่นี่ มีอะไรรึเปล่าค่ะ" กันยาถาม ดูเหมือนว่าเธอไม่ถือสากับคำอุทานนั่นเลย "อะ..เอ่อ...คือคุณชาคริตยังไม่กลับมาเลยค่ะ ดิฉันก็เลยแวะมาดูคุณกันยา เผื่อว่าคุณต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน"

กันยายิ้มแล้วตอบว่า "ขอบคุณค่ะ ดิฉันปวดฟันมากจริง ๆ แต่มีแค่ชาคริตเท่านั้นที่จะพาดิฉันไปได้ เพราะเขาแข็งแรงพอที่จะอุ้มฉันขึ้นลงจากรถเข็นได้ แล้วยังพับเก็บรถเข็นได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย แต่สำหรับคนอื่นดิฉันคงเป็นภาระมากทีเดียว"
        จากนั้นกันยาจึงเชิญดาหวันไปที่ห้องรับแขกและเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเธอให้ดาหวันฟัง       "ดิฉันแต่งงานกับคุณชาคริตมาได้สามปีถึงมีลูกสาวคนนี้ คืนหนึ่งเราสองคนขับรถกลับจากต่างจังหวัด และเกิดอุบัติเหตุอาการสาหัสทั้งคู่ คุณชาคริตรักษาตัวจนหายดี แต่ดิฉันต้องเสียขาทั้งสองข้างไป"       "ดิฉันเสียใจด้วยนะคะ" ดาหวันบอก และรู้สึกสงสารกันยาขึ้นมาอย่างจับใจ    กันยายิ้มแล้วบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนนี้ดิฉันไม่เสียใจอีกแล้วที่ต้องเสียขาทั้งสองข้างไป เพราะสิ่งนี้เองทำให้ดิฉันรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก มีสามีที่ดีซึ่งรักและจริงใจกับดิฉัน ไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามยาก"
เมื่อกันยาพูดจบ ชาคริตก็ปรากฏกายขึ้นพอดี เขามองดาหวันด้วยความแปลกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะพบเธอที่นี่ ก่อนจะตรงรี่เข้ามาหอมแก้มภรรยาแล้วถามเธอว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง       "คุณกันยาปวดฟันมากค่ะเจ้านาย ดิฉันแวะมาดูแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้ คงมีแต่เจ้านายเท่านั้นละค่ะที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด" ดาหวันตอบแทนกันยา และขอตัวลากลับ ชาคริตจึงอาสาเดินมาส่งเธอหน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวว่า  "ขอบคุณมากนะครับคุณดาหวันที่อุตส่าห์แวะเข้ามาดูแลภรรยาของผม ถ้าไม่รังเกียจคุณจะเข้ามาคุยกับเธอบ่อย ๆ ก็ได้ ท่าทางกันยาจะชอบคุณมาก เพราะตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุเธอก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนไหนเลย"  ดาหวันยิ้ม และตอบชาคริตว่า "ดิฉันเองก็ชอบคุณกันยามาก และจะแวะมาคุยกับเธอบ่อย ๆ แน่นอนค่ะ"ดาหวันคิดจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ เธอรู้สึกผิดมากที่เคยอิจฉากันยาโดยไม่รู้ว่ากันยาต้องตกอยู่ในสภาพที่ลำบากขนาดไหน ต่อไปดาหวันจะทำดีกับกันยาให้มาก และขอเป็นเพื่อนที่จริงใจที่สุดคนหนึ่งของเธอ       
       เรื่องนี้สอนใจว่า ความอิจฉาไม่ทำให้ใครมีความสุขขึ้นมาได้หรอก ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ความอิจฉาเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความคิดไม่ดี และความคิดไม่ดีก็มักจะบีบรัดหัวใจของเราให้เจ็บแสนเจ็บ ปวดแสนปวด ถ้าเราเจ็บเพราะความอิจฉา มีแค่วิธีเดียวที่จะทำให้เรารอดพ้นจากความเจ็บนั้นนั่นก็คือเลิกอิจฉาเสีย    
       เมื่อเห็นใครได้ดีมีความสุข ขอจงร่วมยินดีไปกับเขาเถิด อย่าได้อิจฉา อย่าได้คิดไม่ดีกับเขา อย่าได้เฝ้ารอวันที่ความสุขของเขาจะจางลงหายไป ใช่ล่ะ บางคนดูเหมือนจะมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตตลอดเวลา แต่รู้หรือเปล่าว่า สำหรับบางคน ความสุขที่ทำให้ต้องอิจฉาจนเผลอคิดไม่ดีกับเขานั้น อาจเป็นเรื่องดี ๆ เพียงเรื่องเดียวที่ทั้งชีวิตของเขาเพิ่งพบเจอมาก็ได้ แล้วจะไปซ้ำเติมเขาด้วยความอิจฉาของเราอีกทำไม       ดังนั้น จงร่วมดีใจในความสุขของผู้อื่นเสมือนนั่นคือความสุขของเราเอง แล้วเราจะได้รับความสุขจากสิ่งนั้นโดยมิต้องขวนขวายให้เหนื่อยแรงแต่อย่างใด       

ปรัชญาพุทธ 12 ข้อคิด เพื่อชีวิตที่ดีของการทำงาน

ปรัชญาพุทธ 12 ข้อคิด เพื่อชีวิตที่ดีของการทำงาน

1. มนุษย์สัมพันธ์:   ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เพื่อนๆที่ทำงานไม่ชอบ ไม่อยากคุยด้วย หรือ เข้ากับเพื่อนในที่ทำงานไม่ได้เลย คงต้องถึงเวลาพิจารณา และ ปรับปรุง ทักษะด้านสัมพันธ์กันเร่งด่วนแล้วละคะ อย่ามัวแต่หลอกตัวเองว่า เราดีแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกเพราะถ้าเราดีจริงแล้วเราจะไม่มีเพื่อนเอาเลยหรือคะ มนุษย์สัมพันธ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ ถ้ามนุษย์สัมพันธ์คุณแย่มากๆ ต่อให้คุณเก่งแค่ไหนก็ตาม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และ แน่นอนคุณเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องติดต่อกับคนอื่น   และถ้าคนในองค์กรคุณยังไม่สามารถทำได้ดี ก็คงลำบากถ้าจะให้หัวหน้าคุณเห็นว่า คุณจะสามารถทำได้ดีกับคนภายนอกองค์กร เพราะฉะนั้น เรามาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ ในองค์กรกันก่อนดีกว่านะคะ  สร้างมนุษยสัมพันธ์ สร้างความคิดที่ดี ชีวิตการทำงานก็จะเป็นสุข         

 2. ทีม: คุณทำงานเป็นทีมได้หรือเปล่า เคยสังเกตตัวเองไหมคะว่า คุณทำงานเป็นทีมได้ดีแค่ไหน หรือว่า ต้องทำงานคนเดียวถึงจะดี?  

         ในอนาคต การทำงานจะเน้นบุคคลที่ทำงานเป็นทีมได้ดีมากกว่าคนที่ชอบทำงานคนเดียว คุณทราบหรือไม่ว่า ในขณะนี้ทุกมหาวิทยาลัยในอเมริกา มีคอร์สฝึกสอนการทำงานเป็นทีมเพื่อรองรับความต้องการตลาดแรงงานในอนาคต ทำไมต้องเน้นเป็นทีมนะหรือคะ? ก็ต่อไปโลกเราก็จะแคบลงเพราะการพัฒนาในด้านต่างๆมีมากขึ้น การทำงานก็ต้องเป็นทีมมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นผู้มีทักษะในการทำงานเป็นทีม และ เป็นผู้ร่วมทีมที่ดีจะเป็นข้อจำเป็นในการทำงานทุกที่

          3. Committed: หรือ ข้อตกลงในการทำงานระหว่างคุณกันคนอื่นๆไงคะ นึกไว้เสมอเลยนะคะว่า อะไรที่คุณรับปากกับใครก็แล้วแต่ คุณต้องรับผิดชอบ และ ทำให้ได้ตามที่รับปาก ถ้าไม่ได้ หรือว่าล่าช้ากว่าที่เรารับปาก คุณต้องแจ้งล่วงหน้าให้แก่บุคคลที่คุณรับปากอย่างน้อยสองหรือสามวัน อันนี้เป็นมารยาททางการทำงานที่ดี เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะรับปากใครในเรื่องของการทำงาน คิดให้รอบคอบก่อนนะคะ

          4. ฉันเป็นฉันเอง: ประเภทสาวมั่น หนุ่มมั่น ที่เราอาจจะเห็นจากทีวี หรือ ภาพยนตร์ ถ้าจะนำมาใช้คุณต้องดูเวลา และ สถานที่ให้ดีก่อนนะคะ ไม่งั้นแทนที่จะช่วยเสริมให้คุณดูดี มีภาพพจน์ กลับจะทำลายอนาคต ทางการทำงานของคุณไปเลย หลักการที่ดี ก็คือ ดูบุคคลที่เราติดต่อด้วย และ จะมั่นใจอะไร ก็ควรกระทำอย่างพอดี และเราจะเป็นที่ชื่นชมว่าเป็นคนมีมารยาท และประสบความสำเร็จในการติดต่อทางธุรกิจ

          ในความเป็นจริงการติดต่อธุรกิจ คุณไม่สมควรใช้เหตุผลของสาวมั่นหรือหนุ่มมั่นมาใช้มากกว่าการเป็นคนเรียบร้อยมีมารยาท เพราะฉะนั้นข้อนี้ต้องระวังให้ดีนะคะ ใช้ให้ถูกที่ และ ถูกเวลา

          5. ขออยู่เงียบๆคนเดียว: ข้อนี้สำคัญมาก อย่าพยายามทำตัวไม่แคร์ใคร ไม่รู้จักใคร เพราะสุดท้ายคุณจะเวียนไปหัวข้อแรก และ แน่นอน คุณจะเป็นคนแรกที่ทุกคนลืม อย่าเป็นคนที่เครียดง่าย สนุกยาก ใครๆเข้าหายาก คงจะดีกว่า ถ้าคุณจะทำตัวเป็นคนที่ยิ้มง่าย และ เป็นมิตรกับทุกคน เวลาเศร้า เก็บไว้กับคนสนิท และรู้ใจดีกว่านะคะ

          6. ธุระส่วนตัว: ธุระทุกประเภทที่เป็นส่วนตัวของคุณ คุณอย่าใช้เวลาทำงานมาทำเป็นอันขาดเชียวนะคะ จำไว้เลยนะคะ เบอร์โทรศัพท์เอาไว้ให้เฉพาะลูกค้าที่จะโทรติดต่อเรื่องงาน อย่าให้เบอร์ที่ทำงานกับเพื่อนหรือแฟน แล้วก็คุยกันนอกเรื่องกันเป็นวันๆ รับรองได้ว่า อนาคตทางการงานของคุณคงจะไม่รุ่งแน่นอน เพื่อให้ประสบความสำเร็จทางการทำงานบางท่านถึงกับตั้งกฎไว้กับตัวเองเลยก็มีว่า ในชั่วโมงการทำงาน เขาจะไม่ทำอะไรที่ไม่ใช่งาน เช่น ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่คุยโทรศัพท์ส่วนตัว ไม่ไปธนาคาร สำหรับธุระส่วนตัวก็จะใช้เวลาที่ไม่ใช่เวลางานเท่านั้น

          7. ความรัก: ไม่ได้เด็ดขาดสำหรับความคิดที่จะมีความรักในที่ทำงานเดียวกัน จริงๆคุณก็ทำได้ แต่รับรองได้ว่า มันจะทำลายอนาคตการทำงานของคุณ เพราะทุกคนจะมองเหมือนจับผิดว่าคุณใช้เวลาในการทำงาน มาสร้างตำนานรักมากกว่า อย่าเสี่ยงจะดีกว่านะคะ

          8. เป้าหมาย: เป้าหมาย และ เป้าหมาย เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับเจ้านายของคุณ ถ้าคุณทำงานแบบมีเป้าหมายว่า งานแต่ละอย่างที่อยู่ในความรับผิดชอบของคุณมีแผนการเสร็จเมื่อไหร่ คุณมีเป้าหมายในการทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จตามที่หัวหน้า หรือ บริษัทตั้งเป้า ถึงคุณจะทำไม่ได้จริง [แต่คุณต้องพยายามเต็มที่แล้วนะ] รับรองได้ว่า หัวหน้าคุณคงมองคุณแบบไม่ธรรมดา และจะเป็นโอกาสที่ดีของคุณในการทำตัวให้น่าเชื่อถือ แต่ระวังอย่าใช้เป้าหมายมาพูดและทำไม่เคยได้เลย เพราะจะกลายเป็นการคุยอวดมากกว่า

          9. บุคลิก: สุภาษิตที่ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ยังคงใช้ได้ดีเสมอ บุคลิก และ การแต่งกาย เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่จะช่วยกำหนดความสำเร็จทางการทำงานของคุณ อย่าพยายามแต่งกายมากเกินไป หรือ น้อยเกินไป และที่สำคัญ อย่าแต่งกาย แบบที่ไม่ใช่คุณ คุณอาจจะเห็นดารา นางแบบ ใส่เสื้อตัวหนึ่งสวย แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะสวยเหมือนนางแบบถ้าคุณเอามาใส่  การแต่งกายที่ดี สำหรับการทำงาน ก็คือ สุภาพ และ โชว์บุคลิกเฉพาะของคุณออกมา

          ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่า แต่งกายแบบไหนเหมาะกับคุณ ขอแนะนำให้ถามคนที่คุณสนิท และจริงใจกับคุณ คุณก็จะได้แนวการแต่งกายที่เหมาะกับคุณ หรือถ้ามีตังค์ก็อยากแนะนำให้หาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ แต่ก็ต้องระวังนะคะ หลายสถาบันสอนบุคลิกภาพ ชอบสอนให้แต่งตัวแบบเหมือนๆกันหมด จนบังความมีเสน่ห์ของคุณไปเลยก็ได้ ดีไม่ดีกลายเป็นหุ่นยนต์รุ่นต่างๆที่เราเห็นก็ทราบทันทีว่าไปเข้าสถาบันสอนบุคลิกภาพที่ไหนมา ทางที่ดีต้องปรึกษาหลายคนๆก่อนตัดสินใจนะคะ

          10. หัวหน้า: หัวหน้าก็คือหัวหน้า อันนี้คุณต้องระวังอย่างมาก อย่าทำตัวสนิทกับหัวหน้า จนคุณเผลอ ทำตัวไม่เคารพ หรือ เผลอเล่นจนเกินงาม สำหรับหัวหน้า สิ่งที่ดีและ เป็นประโยชน์กับคุณมากที่สุด ก็คือ การให้เกียรติ และ แน่นอน ทุกครั้งที่คุณอยู่กับหัวหน้า หน้าที่หลักของคุณคือ การทำให้หัวหน้าของคุณ ดูดี อยู่เสมอในสายตาผู้อื่น จะด้วยคำพูด การกระทำ คุณก็ไม่มีสิทธ์ทำให้หัวหน้าของคุณกลายเป็นตัวตลก เสียหน้า หรือ ดูไม่ดีในสายตาคนอื่น โดยเด็ดขาด

          11. นินทา: อย่าได้เผลอตัวไปอยู่ในกลุ่มของการนินทาใดๆในที่ทำงานโดยเด็ดขาด เพราะสุดท้ายคุณจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด หรือดีไม่ดี กลายเป็นผู้เริ่มการนินทา โดยคุณไม่ได้ทำ ถ้าคุณต้องเจอภาวะการณ์คุยแบบไม่ได้ประโยชน์ หรือ การนินทาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทางออกที่ดีของคุณก็คือ อย่าพูดเห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย โดยเด็ดขาด คุณทำได้แค่ นั่งฟัง โดยไม่ออกความคิด ให้บอกว่าไม่แน่ใจ หรือ ไม่รู้ หรือขอตัวออกจากวงสนทนา อ้างว่าไปห้องน้ำหรือมีธุระต้องทำ ที่นี้คุณก็ไม่เสียเพื่อน และ ก็ไม่เสียงานอีกต่างหาก

          12. สร้างสรรค์: หัวใจของความสำเร็จทางการทำงาน คือ ความคิดสร้างสรรค์ อย่าพยายามเป็นคน ใครว่าอะไร ฉันก็เห็นด้วยไปเสียทุกอย่าง คุณไม่จำเป็นต้องเถียง หรือ โต้แย้ง ถ้าคุณยังไม่มีข้อมูล หรือ ยังไม่กล้าพูด แต่ คุณต้องพยายามฝึกสมองของคุณให้คิดในแบบของคุณอยู่เสมอ ทุกการทำงานของคุณ คุณต้องพยายามคิดว่า คุณจะทำอะไรเพิ่มเติมให้งานที่ทำอยู่ปัจจุบัน ดีขึ้น สะดวกขึ้นกว่าเดิมได้ไหม หลักของการเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ง่ายๆ ก็คือ กล้าคิด คิดให้บ่อย คิดให้มาก และคุณก็จะเป็นคนคิดสร้างสรรค์

          ทั้งหมด 12 ข้อ เป็นสิ่งที่เราจะต้องระลึกอยู่เสมอในการทำงาน เพื่อส่งเสริมการทำงานของเราให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ที่นี้เราก็สามารถมั่นใจได้ว่า นอกจากเราจะเก่งงานที่รับผิดชอบ เรายังเก่งในการเป็นเพื่อน และ ผู้ทำงานที่ดีขององค์กรด้วย

ทำอย่างไร ถึงจะเป็นดาว

ทำอย่างไรให้เป็นคนทำงานดาวเด่น หลายคนวาดฝันจะเป็นคนที่ทำงานเก่ง และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง แต่คุณสมบัติดังกล่าวต้องอาศัยประสบการณ์ในการทำงานมาช่วยเสริมด้วย เรานำเคล็ดลับในการทำงานง่าย ๆ มาฝาก ซึ่งจะช่วยให้คุณกลายเป็นคนทำงานดาวเด่นที่เต็มไปด้วยความสามารถอย่างแน่นอนค่ะ

·                     ทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย

การทำงานให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมายในการทำงาน ควรวางแผนให้ดีว่าในแต่ละวันที่มาทำงานนั้น จะทำงานชิ้นใดให้เสร็จก่อน หรือทำงานใดในลำดับต่อมา เพื่อจัดสรรเวลาในการทำงานไม่ให้ทับซ้อนกัน จนอาจเกิดความผิดพลาดและความล่าช้าในการทำงาน ไม่ควรทำงานไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน และเมื่อจบวันก็ลองมาทบทวนดูว่างานที่ทำจบลงไปนั้นมีสิ่งใดที่เราต้องแก้ไข ปรับปรุงส่วนไหนหรือไม่ พร้อมกับวางแผนการทำงานในวันต่อไป

·                     หยุดทำงานแบบผัดวันประกันพรุ่ง

การผัดวันประวันพรุ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้คุณขาดประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะการทำงานแบบสบาย ๆ ไม่คำนึงถึงกำหนดเวลา ไม่เพียงแต่จะทำให้การทำงานล่าช้าเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณต้องมีงานค้างสะสมเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ การทำงานแบบนี้จะทำให้คุณเหนื่อยหนักมากกว่าเดิม ปัญหานี้สามารถแก้ได้ด้วยการเริ่มต้นทำงานอย่างมีขั้นตอน และทำให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ไป ไม่ปล่อยให้งานในวันนี้ต้องไปทำต่อในวันพรุ่งนี้ จนคุณไม่สามารถทำงานได้ทัน และอาจจะไม่มีเวลาพักผ่อนในที่สุด

·                     ทำงานอย่างมีสมาธิ

นอกจากความสามารถแล้ว สมาธิก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยในการทำงาน เพราะหากคุณขาดสมาธิ ผลงานที่ออกมาก็จะขาดประสิทธิภาพตามไปด้วย ดังนั้น คุณต้องไม่ลืมที่จะทำงานอย่างมีสมาธิ โดยหามุมสงบซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถผลิตงานออกมาได้ดี มีสมาธิในการทำงานอย่างเต็มที่ ไม่วอกแวก หรือรับโทรศัพท์ตลอดเวลา แต่บางครั้งคุณอาจหาสถานที่เงียบสงบได้ยาก คุณอาจทำให้ด้วยการฝึกสมาธิให้จดจ่ออยู่กับงานให้มากที่สุดแทน

·                     เพิ่มเติมความรู้เพื่อผลงานคุณภาพ

การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ จะช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการทำงานของคุณให้มีมากขึ้น ไม่ว่าคุณทำงานอยู่ในสายงานใดก็ตาม คุณจำเป็นต้องเตรียมพร้อมตัวเองให้รับรู้ข้อมูลใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ข่าวสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข่าวสารบ้านเมือง เทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดจนข่าวสารเกี่ยวกับหน้าที่การงาน จะช่วยให้คุณเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง และแก้ปัญหาได้อย่างทันสมัยมากขึ้น อีกทั้งการขวนขวายหาความรู้ใหม่ ๆ จะทำให้คุณไม่ยึดติดอยู่กับกรอบการทำงานแบบเก่า ๆ ซึ่งช่วยให้หน้าที่การงานของคุณพัฒนาไม่หยุดยั้ง

·                     จดทุกอย่างให้เป็นระบบ

ในการทำงาน แม้ว่าคุณจะมีความจำที่ดีเพียงใดก็ตาม แต่เชื่อได้เลยว่าคุณไม่สามารถเก็บทุกรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานได้จนหมด เมื่อคุณขยันจำแล้ว คุณต้องไม่ลืมที่จะขยันจดด้วย คุณจึงควรมีสมุดเล่มเล็ก ๆ สำหรับจดรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานไว้ด้วย เพราะจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น นอกจากนี้ การจดประเด็นเกี่ยวกับการทำงานที่เป็นแนวคิดใหม่ ๆ ยังสามารถนำไปใช้ในการแก้ไข และแลกเปลี่ยนแนวคิดในการทำงานกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ได้ด้วย

ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่าง ต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย   

นิทาน คนขายสุนัขกับลูกสุนัขทั้งเจ็ด

ดิฉันมีเรื่อง      มาเล่าให้ฟัง  คนขายสุนัขกับลูกสุนัขทั้งเจ็ด

 มีร้านค้าแห่งหนึ่งติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าวก็มีเด็ก ๆ แวะเวียนเข้ามาเล่นมาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง
 วันหนึ่งขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่า "มีอะไรให้ช่วยหรือไม่"
  "เพื่อนของผม บอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ?" เด็กชายบอกอย่างสุภาพ    "อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ" เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดีแล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา
 เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาทีละตัว เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น  "ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?" เด็กชายถาม       เจ้าของร้าน ตอบว่า "อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ ๆ ของมันไม่ได้" สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน     ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ด ๆ เห็นได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ซึ่งดูท่าทางจะชอบเขามาก  เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า "หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?"        
       "ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ" เจ้าของร้านตอบ   เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น  "ผมมีเงินไม่ พอซื้อหมาตัวนี้" เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ   เจ้าของร้าน รีบบอกทันทีว่า "โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรี ๆ ไปเลย" เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับอย่างไม่พอใจว่า "ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?"
  "ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อม ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัว อื่นดีไหม?"  เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า "คุณอาดูอะไรนี่สิครับ" ว่าแล้วเขา ก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น   เจ้าของร้าน จึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้
"คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ?" เจ้าของร้านได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา    เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า "ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่น ๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือนจนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?"  เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชาย และกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอ โทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป ซึ่งเขาบอกกับเด็กชายไปว่า ไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่า ถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตัดสิน "คุณค่า" จากรูปลักษณ์ภายนอก

 

การพัฒนาคนจากภายในสู่ภายนอก

ในอดีตที่ผ่านมาองค์กรมักจะมุ่งเน้นการพัฒนาคนที่เปลือกนอกคือมุ่งเน้นที่การพัฒนา "องค์ความรู้ (Knowledge)" “ทักษะ(Skill)” หรือ พฤติกรรม (Behavior)” มากกว่าการพัฒนาที่แก่นแท้ของคนซึ่งหมายถึง ทัศนคติ(Attitude)” “แรงจูงใจ(Motivation)” หรือ อุปนิสัย(Trait)” จึงทำให้การพัฒนาบุคลากรไม่ได้ผลเท่าที่ควร         การพัฒนาคนในหลายองค์กรมักจะมุ่งเน้นผลการพัฒนาระยะสั้นมากกว่าระยะยาว ดังนั้น รูปแบบการพัฒนาและฝึกอบรมจึงออกมาในลักษณะของการพัฒนาความรู้ ทักษะ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายนอกเพียงอย่างเดียว เพราะสามารถเห็นผลได้ทันที เช่น การฝึกอบรมเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ต อาจจะใช้เวลาเพียงวันเดียว จากคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตไม่เป็นก็สามารถใช้เป็นได้ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ เราไม่ค่อยพัฒนาคนให้ยอมรับว่าอินเตอร์เน็ตมีประโยชน์กับชีวิตอย่างไร บางคนถึงแม้จะใช้อินเตอร์เน็ตเป็น แต่รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์มากนัก เลยไม่ได้ใช้ ดังนั้น ทักษะที่เรียนรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร         เราจะเห็นการพัฒนาคนจากเปลือกนอกได้ชัดเจนมากจากมินิมาร์ท ปั๊มน้ำมันหรือห้างสรรพสินค้า ที่พนักงานของเขาทักทายหรือขอบคุณเราด้วยคำว่าสวัสดีหรือ ขอบคุณแต่เราสามารถสัมผัสได้ว่าคำพูดหรือพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้น ไม่ใช่มาจากส่วนลึกของจิตใจ แต่เป็นเพียงพฤติกรรมที่ถูกฝึกมาและถูกบังคับให้ทำตามเงื่อนไขมากกว่า เช่น ถ้าได้ยินเสียงกระดิ่งให้พูดคำว่า สวัสดีถ้าพนักงานคนนั้นถูกพัฒนามาจากภายในแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำงานหรืออยู่ในสังคมภายนอก การทักทายหรือการขอบคุณนั้นจะต้องติดตัวอยู่ตลอดเวลาและคำพูดนั้นจะต้องออกมาจากภายใน       แนวโน้มการพัฒนาคนในอนาคต  มีความเชื่อมั่นว่าจะต้องเปลี่ยนจากการพัฒนาความ รู้ ทักษะ และพฤติกรรม ไปสู่การพัฒนาทัศนคติ แรงจูงใจ และอุปนิสัยเพื่อให้คนหาความรู้เอง พัฒนาทักษะด้วยตัวเอง รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามทัศนคติที่เปลี่ยนไป องค์กรทุกองค์กรจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเจาะเข้าไปพัฒนาที่จิตใจของคนมาก ขึ้น องค์กรต้องหวังผลการพัฒนาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพราะถ้าเราประสบความสำเร็จในการพัฒนาภายในจิตใจของคนแล้ว การพัฒนาสิ่งที่อยู่ภายนอกไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
          แนวทางหนึ่งที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งในปัจจุบันคือ
การพัฒนาตนเอง (Self-Development) เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการพัฒนาจิตใจเพื่อสร้างแรงจูงใจในชีวิตของคนก่อนเป็น อันดับแรก ซึ่งคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดในการพัฒนาแบบนี้คือ ตัวพนักงาน แต่อย่าลืมว่าถ้าพนักงานมีแรงจูงใจในชีวิตแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์ในลำดับต่อมาก็หนีไม่พ้นตัวองค์กร
          การพัฒนาแนวทางนี้จะเน้นการค้นหาตัวเอง การวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง การกำหนดเป้าหมายในชีวิต การกำหนดแนวทางไปสู่เป้าหมาย รวมถึงการจัดทำแผนการดำเนินชีวิตที่เป็นรูปธรรม พูดง่ายๆคือ สอนคนให้บริหารธุรกิจชีวิตของตัวเองก่อนนั่นเอง ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าถ้าคนมีแผนการบริหารชีวิตที่ดีแล้วคนเหล่านั้นย่อม สามารถเชื่อมโยงเป้าหมายชีวิตเข้าสู่เป้าหมายในการทำงานขององค์กรได้ไม่ยาก นัก นอกจากนี้ ถ้าคนสามารถบริหารชีวิตตัวเองได้ การบริหารคนบริหารงานก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป
          การพัฒนาแนวทางใหม่นี้ องค์กรจำเป็นต้องเปิดใจกว้างให้มากขึ้น อย่าคิดว่าต้องพัฒนาฝึกอบรมคนเฉพาะหลักสูตรที่เป็นประโยชน์กับองค์กรเพียง อย่างเดียว ลองคิดทบทวนดูให้ดีนะคะว่าอดีตที่ผ่านมาเราคิดแบบนี้ แล้วการพัฒนามันได้ผลหรือไม่ ถ้าตอบว่าไม่ ทำไมไม่ลองพัฒนาในแนวทางใหม่ดูบ้างละคะ
 การที่องค์กรส่งเสริมให้พนักงานมีการพัฒนาชีวิตตัวเองก่อนนั้น นอกจากจะทำให้คนเกิดแรงจูงใจในการทำงานแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่องค์กรจะได้รับคือ ได้รับรู้ว่าคนแต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่องค์กรสนับสนุนให้เขาเหล่านั้นบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้ ลองพิจารณาดูนะครับว่า ถ้าพนักงานต้องการปิดบังไม่ให้องค์กรรู้ว่าตัวเองมีเป้าหมายชีวิตของตัวเอง เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในหน้าที่การงาน ในขณะเดียวกันองค์กรก็พยายามกีดกันคนที่มีเป้าหมายในชีวิตของตัวเองที่ ชัดเจน เช่น ถ้าองค์กรรู้ว่าคนไหนมีแผนในชีวิตที่จะออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ก็มักจะไม่โปรโมทหรือไม่ค่อยส่งไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรเสียหายสองต่อคือ นอกจากจะกีดกันคนที่มีแรงจูงใจในชีวิตแล้ว ในขณะเดียวกันก็เกิดความสูญเปล่าในการพัฒนาคนที่จงรักภักดีกับองค์กรแต่ขาดแรงจูงใจในชีวิต
          องค์กรส่วนใหญ่มักจะมองว่าใครยังไม่มีแผนชีวิต (หรือมีแต่ไม่รู้) ที่จะออกไปจากองค์กร องค์กรมักจะมองว่าคนๆนั้นเป็นทรัพยากรที่มีค่าน่าจะดูแลรักษามากกว่าคนที่มี แผนชีวิตที่ชัดเจน ผมจึงอยากให้คิดทบทวนดูใหม่ว่าการพัฒนาองค์กรไม่ได้อยู่ที่ว่าคนๆนั้นจะอยู่ กับองค์กรนานหรือไม่ แต่อยู่ที่ในระยะเวลาที่เขาอยู่กับองค์กรเขาได้สร้างคุณค่าให้กับองค์กรมาก น้อยเพียงใด เราจะเห็นว่าคนหลายคนที่ออกจากเราไปทำธุรกิจของตัวเอง ถ้ามองย้อนหลังกลับไปจะเห็นว่าคนเหล่านี้ได้ทุ่มเทและสร้างสรรค์ให้กับ องค์กรอย่างคุ้มค่า เผลอๆอาจจะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้มากกว่าคนที่อยู่นานก็ได้
          ดิฉันเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าคนที่ทำงานเก่งและทำงานดีในองค์กรนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่คนๆนั้นมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน และมีแรงจูงใจในชีวิตที่เกิดจากแรงจูงใจภายใน(Internal Drive) ไม่ใช่แรงจูงใจภายนอก (External Drive) ใครก็ตามที่ทำงานเพราะมีแรงจูงใจจากภายนอก คนๆนั้น โอกาสเปลี่ยนแปลงมีมาก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ชีวิตได้เติมเต็มในสิ่งที่ต้องการแล้ว แรงจูงใจจะลดน้อยลงหรือหายไป แต่คนใดมีแรงจูงใจที่เกิดจากภายในแล้ว นอกจากจะไม่ลดไปตามการเติมเต็มของชีวิตแล้ว มันกลับจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาจะตั้งเป้าหมายชีวิตที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น และผมเชื่ออีกว่าความท้าทายในชีวิตอย่างหนึ่งของคนคือ การทำงาน เพราะการทำงานถือเป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งที่เขาต้องการประสบความสำเร็จ
          สรุป การพัฒนาคนแบบ Inside Out Approach จึงเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาคนโดยมุ่งเน้นการพัฒนาจากภายใน (ทัศนคติ แรงจูงใจ อุปนิสัย) สู่การพัฒนาภายนอก (ความรู้ ทักษะ พฤติกรรม) เพราะถ้าเราสามารถพัฒนาสิ่งที่อยู่ภายในใจของคนได้แล้ว การพัฒนาความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมของคนก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน

การบริหารคนให้ได้ผลดี

*       การบริหารคนให้ได้ผลดี ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างในทางที่ดีให้แก่ลูกน้อง มีการวางตัวที่เหมาะสม ทำให้ลูกน้องเคารพ และทำตามในสิ่งดีๆ ในทางกลับกันถ้าผู้นำเป็นต้นแบบในทางที่ไม่ดี ลูกน้องก็จะทำตามในสิ่งที่ไม่ดีนั้นเช่นกัน จะตำหนิลูกน้องก็ไม่ได้ ในเมื่อตัวเองยังทำไม่ได้แล้วจะบอกให้ลูกน้องทำ ก็คงไม่มีทาง ในที่สุดก็จะพากันเสื่อมทั้งหัวหน้าทั้งลูกน้อง ดังนั้น นายที่ดีต้องทำเป็นตัวอย่าง เช่น  เข้างานตรงเวลา และอย่าออกก่อนเวลา ถ้าไม่อยากให้ลูกน้องมาทำงานสาย จงไปทำงานแต่เช้าทุกวัน และอย่าสร้างนิสัยออกก่อนเวลาให้กับลูกน้อง   อย่าขอให้พวกเขาทำอะไรที่นอกเหนือไปจากเรื่องงาน เว้นเสียแต่ว่าคนๆ นั้นเป็นผู้ช่วยประจำตัวของคุณ   คุณไม่ใช่เพื่อนของพวกเขา การเป็นผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องราวความรัก ให้ลูกน้องฟัง ถึงแม้ว่าคุณอยากจะให้ลูกน้องรู้สึกผ่อนคลายและยอมเล่าปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาในครอบครัวให้คุณฟังก็ตาม รับผิดชอบในความผิดพลาด ในฐานะหัวหน้าเมื่อลูกน้องของคุณทำความผิดพลาดใดๆ ก็ตาม คุณต้องเป็นคนรับผิดชอบในความผิดนั้น เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ในส่วนของลูกน้องที่มีปัญหา คุณควรเพิ่มความเอาใจใส่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ให้เขามีโอกาสได้ฝึกอบรมเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานของเขาให้ดีขึ้น  บริหารจัดการ แต่ไม่จู้จี้จุกจิก ลูกน้องชอบผู้นำที่เอาใจใส่และคอยให้คำปรึกษา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการเป็นตัวของตัวเอง และได้แสดงความสามารถของพวกเขาอย่างเต็มที่ ดังนั้นคุณอย่าได้ทำตัวจู้จี้จุกจิก หรือคุมเข้มทุกกระเบียดนิ้ว เพราะจะทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกอึดอัด และเบื่อหน่ายในการทำงานไปเสียก่อน

  ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่ คุณอยากจะเป็น