Monthly Archives: November 2011

เริ่มต้นจากการมองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง

คนเราไม่สามารถทำงานคนเดียวเพียงตามลำพังได้ แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่มากก็น้อย การทำงานร่วมกับบุคคลอื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ ซึ่งคนที่คุณจะต้องทำงานร่วมด้วยอาจเป็นได้ทั้งคนที่อยู่ภายในหรือภายนอกหน่วยงานของคุณเอง หากคุณสามารถปรับตัวเองให้ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ คุณย่อมจะได้รับความร่วมมือ การยอมรับ และความช่วยเหลือต่าง ๆ ในการทำงาน รวมทั้งการได้รับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในหน่วยงานและองค์กรของคุณเป็นอย่างดี   การทำงานร่วมกับบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ยากหรือไม่บางคนมีพฤติกรรมที่สามารถปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี แต่บางคนประสบปัญหาในการทำงานร่วมกับบุคคลต่าง ๆ โดยจะเห็นได้จากการไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือร่วมมือใด ๆ รวมทั้งการไม่ได้รับข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการ  ดังนั้นความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญและควรฝึกฝนให้มีขึ้น ขอให้คุณคิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างมากมายหากคุณสามารถเข้ากับผู้อื่นได้ดี และเมื่อคุณได้รับการยอมรับและความร่วมมือจากบุคคลต่าง ๆ แล้วหล่ะก็ ย่อมจะส่งผลให้คุณเองก็มีความสุขและสนุกกับงานที่ทำอยู่ และในที่สุดก็จะส่งผลต่อเนื่องไปยังความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวคุณเองทั้งนี้การพัฒนาทักษะหรือความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยาก และสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้  สรุปว่า การทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ประสบผลสำเร็จได้นั้น คุณควรเริ่มต้นจากการมองตัวคุณเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวคุณเองให้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ มีความจริงใจในการให้ความช่วยเหลือ การประนีประนอม การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น รวมทั้งการให้ข้อมูลที่ชัดเจน .ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมจะทำให้คุณมีเสน่ห์และสร้างความประทับที่ดีกับบุคคลอื่นที่คุณต้องทำงานร่วมด้วย

ขอฝากคำคมไว้ว่า ความพยายามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ

นิทาน..ลมกับดวงอาทิตย์

ครั้งหนึ่งลมและดวงอาทิตย์ถกเถียงกันว่าใครจะคือผู้ที่มีพลังแข็งแกร่ง น่าเชื่อถือมากกว่ากัน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะใช้วิธีตัด สินโดยการทดสอบให้เห็นชัดว่า หากผู้ใดสามารถทำให้นัก เดินทางที่เดินทางผ่านมาผู้หนึ่ง ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออก จากตัวของเขาได้ เมื่อนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า..แรกเลยลมเป็นฝ่ายเริ่มแสดงก่อน มันได้รวบรวมพลังที่มีอยู่ทั้งหมด เป่าลมที่มีความเย็นรุนแรงและโหดร้ายโหมกระหน่ำ เข้าปะทะร่างของนักเดินทางผู้นั้นอย่างแรง นักเดินทางรีบกระชับเสื้อคลุม ที่เขาสวมใส่ให้แนบตัวอย่างแนบแน่นเพื่อไม่ให้มันสะบัดไปได้ตามแรงของลม

คราวต่อไปดวงอาทิตย์ก็เริ่มฉายแสงอันเจิดจ้า แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ขับไล่เมฆ และความหนาวเย็น ไปจนหมดสิ้น นักเดินทางผู้นั้น รู้สึกเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า มากขึ้น...มากขึ้น ด้วยความร้อนเขาก็เดินต่อไปไม่ไหวเสียแล้ว และ ด้วยความเหนื่อยอ่อนเขาได้ถอดเสื้อคลุมของเขาออกและขว้างทิ้งลงไปที่พื้น จากนั้นก็ทรุด ตัวลงนั่งด้วยความอ่อนเพลียเพราะเหงื่อที่ไหลออกมาจนเปียกชุ่มไปทั้งตัวและเมื่อเขามองไปเห็นแม่น้ำและด้วยร้อนจนสุด ที่จะทนทานได้ ชายผู้นั้นจึงถอดเสื้อผ้าที่เขายังมีหลงเหลืออยู่ออกทั้ง หมดแล้วกระโดดลงไปในแม่น้ำ เพื่อหวังที่จะช่วยให้ผ่อนคลาย ความร้อน...ดังนั้นดวงอาทิตย์จึงเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขัน ครั้งนี้ไปตามระเบียบ.....

                                      นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

                                     ทำอะไร ควรใช้เหตุผล มากกว่าใช้กำลัง

เมื่อไม่ได้ทำงานที่อยากจะทำจริง

คนเราส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันมักจะไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนอยากจะทำจริง ๆ แต่กลับต้องทำงานที่ใจไม่รัก ไม่ชอบ ที่ต้องจำใจทำก็เพราะไม่มีทางเลือก ด้วยเหตุจำเป็นที่จะต้องหารายได้มาเลี้ยงชีวิตและครอบครัว เพราะขืนมัวแต่เลือกงานเดี๋ยวได้อดตายกันพอดี ก็เลยต้องทนทำงานกันต่อไป การงานบางอย่างต้องทำซ้ำๆซากๆ จำเจน่าเบื่อหน่าย การงานบางอย่างก็ช่างดูน่าต่ำต้อย เฮ้อ..จะไม่ทำก็ไม่ได้เดี๋ยวไม่มีเงินใช้ จะทำอย่างไรดีหนอ.. หากท่านพบกับปัญหาทำนองนี้ขอเชิญอ่านเคล็ดลับวิธีทำงานให้สนุก 4 วิธี ที่ท่านอาจจะสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของท่านได้ ดังต่อไปนี้

1. มองให้เห็นคุณค่าของงาน
การงานทุกอย่างถ้าไม่ใช่อาชีพทุจริต ล้วนแต่มีคุณค่าแฝงอยู่ในการงานทั้งนั้น ดังนั้นขอเพียงแต่คุณรู้จักมองให้เห็นคุณค่าของมัน แล้วสร้างความประทับใจในงานที่คุณทำอย่างสุดซึ้ง ความรักความประทับใจในการงานของคุณนี้เอง ที่จะเป็นพลังใจทำให้คุณสามารถต่อสู้งานที่ยากลำบาก หรือ น่าเบื่อหน่ายต่อไปได้ ย้ำอีกครั้งว่า ขอให้คุณสร้างความภูมิใจในสิ่งที่คุณทำ คือ มีความมั่นใจในงานที่คุณทำว่าเป็นงานที่มีคุณค่า ความรักความมั่นใจในสิ่งที่คุณทำนั่นแหละค่ะ ที่จะเป็นพลังใจสำคัญทำให้คุณทำงานของคุณอย่างมีความสุข ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย คุณก็ควรจะคิดว่าหน้าที่ของคุณนั้นสำคัญที่สุดในโลก คือ ถ้าบริษัทขาดคุณไป บริษัทก็จะไม่มั่นคงปลอดภัยทันที หรือ ถ้าหากคุณเป็นพนักงานบัญชี คุณก็ควรจะคิดว่า บริษัทต้องพึ่งพาอาศัยคุณ นี่ถ้าบริษัทไม่มีคุณมาช่วยงาน บริษัทจะต้องประสบปัญหาเรื่องบัญชีจนวุ่นวายแน่ ๆ หรือถ้าคุณเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง คุณก็ควรจะคิดว่า การที่ลูกค้าทุก ๆ คนได้พ้นจากความหิวโหย รอดชีวิตไปได้ในวันนี้ ก็เพราะคุณได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้นั่นเอง (ขืนใครไม่กินข้าวก็ตายสิค่ะ)
สรุปอีกทีคือ มองให้เห็นคุณค่าในงานที่คุณทำอยู่ว่าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อใคร ทำประโยชน์ให้แก่ใครได้บ้าง คิดให้ได้อย่างนี้แล้วสร้างความภูมิใจ ความมั่นใจในการงานของตนเอง ชีวิตการทำงานของคุณก็จะมีความสุขมากขึ้นเป็นกองเลยทีเดียวค่ะ

2. กระตือรือร้นอยู่เสมอ
สร้างอริยาบถของคุณให้มีกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา ทำให้ติดจนเป็นนิสัย คุณก็จะพลอยมีความกระตือรือร้นในการทำงานไปด้วย ความรู้สึกกระตือรือร้นนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ค่ะ เวลาที่คุณอยู่คนเดียวในห้อง ให้คุณลองทำดูเล่น ๆ ก็ได้ คือ คุณลองทำโน่นทำนี่อย่างเนือย ๆ เฉื่อยแฉะสัก 5 นาที จากนั้นให้เปลี่ยนบุคลิกใหม่คราวนี้ลองทำอะไรต่ออะไรด้วยท่าทีกระฉับเฉงว่องไวดูสัก 5 นาที ลองเปรียบเทียบดูสิค่ะ คุณจะพบว่าความรู้สึกมันต่างกันลิบลับเลยเดียว คนที่มีความรู้สึกกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรมันก็ดูน่าสนุกไปหมด ดังนั้นในแต่ละวัน หากคุณลองทำตัวให้เป็นคนที่กระตือรือร้นขึ้นมาสักวันละครึ่งชั่วโมงกับการงานอะไรก็ได้ ให้คุณลองตั้งกติกากับตัวเอง ว่า คุณจะเป็นคน
Active วันละครึ่งชั่วโมง ดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดคุณจะพบด้วยตัวของคุณเองว่า ทุก ๆ วันที่คุณฝึกทำงานอย่างว่องไวตื่นตัวอยู่เสมอ ความกระตือรือร้นของคุณมันจะค่อย ๆ ขยายตัวออกไป สู่กิจกรรมอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็จะกลายเป็นบุคลิกใหม่ของคุณอย่างถาวร คือเป็นคนทำงานอย่าง สนุกสนานมีชีวิตชีวาด้วยความกระตือรือร้นนั่น

3.ฝึกสมาธิกับการงาน
 การงานบางอย่างมันก็ดูน่าเบื่อน่าเซ็ง จริงๆเสียด้วย มันจะไม่น่าเบื่อได้อย่างไร ก็ต้องทำซ้ำ ทำซาก หาความหมายอะไรไม่ได้เลย ทำไปเบื่อไปเมื่อใดจะเลิกงานเสียที ถ้าใครคิดอย่างนี้นาน ๆ จะพาลเป็น โรคประสาท เพราะจิตใจไม่มีความสุขกับการทำงาน ต้องฝืนใจทำไปวัน ๆ
ใครพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ให้ใช้วิธีนี้สิค่ะ คือฉวยโอกาสฝึกสมาธิกับงานเสียเลยเป็นอย่างไร คือได้ทั้งความสงบใจ และได้ทั้งผลของงาน การทำสมาธิกับการทำงานอาจจะใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการกำหนดรู้อริยาบถ คือแต่ละขั้นตอนของการเคลื่อนไหวร่างกาย ให้มีสติติดตามทันไปในทุกอริยาบถ โดยก่อนที่เราจะเริ่มทำงาน ให้มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะไม่คิดอะไรนอกเรื่องนอกราวในขณะทำงาน แต่จะใช้ความคิดมากำหนดการเคลื่อนไหวทุกอริยาบถ เพื่อให้จิตเกิดเป็นสมาธิ มันจะได้เกิดความปีติสุขในขณะทำงาน วิธีทำก็ไม่ยาก ลองดูสิค่ะ
4.สนุกกับการทดลองปรับปรุงคุณภาพของงาน
 การงานทุกอย่างมีเรื่องท้าทายอยู่ในตัวของมันเองเสมอว่า คุณจะสามารถปรับปรุงให้มันมีคุณภาพดีขึ้นได้หรือไม่ ดังนั้นในแต่ละวันที่คุณมาทำงาน คุณอาจสนุกกับการเฟ้นหาปัญหาในที่ทำงานนำมาลองฝึกคิดแก้ไขดู คิดเสียว่าเป็นการท้าทายสติปัญญาของคุณว่าคุณสามารถจะทำได้หรือไม่ อาทิเช่น ทำอย่างไรถึงจะประหยัดทรัพยากร ประหยัดเวลา หรือ ทำอย่างไรผลผลิตจึงจะเพิ่มมากขึ้น หรือ ทำอย่างไรจึงจะวางแผนงานให้เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน ฯลฯ ลองทำเรื่องเหล่านี้ให้มันดูน่าสนุก เหมือนกับเล่นเกมประเภทฝึกสมองลองปัญญาอะไรทำนองนั้น
สรุปอีกครั้ง คือให้หาเรื่องมาท้าทายสมอง มองหาปัญหาให้เจอแล้วคิดแก้ไขปรับปรุง ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกวัน การงานมันก็จะไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอนค่ะ แถมยังฉลาดขึ้นทุกวันอีกต่างหาก
ที่มา
http://www.oknation.net/blog/dokjan

ความหวังที่จะประสบความสำเร็จ

คนเราทุกคนก็หวังที่จะประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น แต่เส้นทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นก็แตกต่างกันไปตามแนวทางและแนวความคิดของแต่ละบุคคล และเชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จทุก ๆ คนจะต้องมีข้อคิดอะไรบางอย่างที่เป็นตัวกระตุ้นเตือนใจอย่างแน่นอนข้อคิดในการทำงาน

1. จงอย่ากังวล  การที่เรามีความกังวลใจในการทำงานนั้นย่อมเป็นการลดคุณภาพของการทำงานและการคิดค้นสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างแน่นอน

2. อย่างปล่อยให้ความกลัวครอบครองชีวิตคุณ  อย่าปล่อยให้ความกลัว มาทำให้ความกล้าที่จะคิดและแสดงออกในการทำงาน ปิดกั้นความคิดดี ๆ ของคุณ

3. อย่าปล่อยให้ความโกรธเปลี่ยนตัวตนของคุณ  ขณะที่คุณกำลังโกรธ เสมือนคุณกำลังปิดตาตัวเองแล้วเดินไปข้างหน้า คุณอาจจะไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร แต่คนรอบข้างคุณทุกคนก็เห็นมัน

4. อย่าเก็บปัญหาไว้ที่บ้านของคุณ  แม้คุณจะทำงานหนัก และมุ่งมั่นเท่าไร แต่การเอาความเครียจจากงานกลับมาคิดที่บ้าน ย่อมทำร้ายตัวคุณ และ คุณภาพงานที่ได้ก็จะแย่ลง

5. ปัญหาที่เจอ คือ ข้อสอบของชีวิต  ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรปัญหาและอุปสักย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น วันและเวลาที่ผ่านไปจะเปลี่ยนคุณให้เป็นคนเก่งและเข้มแข็งขึ้น

6. อย่าแบกชีวิตของคนอื่นไว้บนบ่าของตัวเอง   คุณสามารถช่วยใครก็ได้เพราะนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จงอย่าเอาปัญหาและความทุกข์ของเขามาไว้บนบ่าของตัวเอง ไม่มีใครช่วยใครแก้ปัญหาได้นอกจากตัวเขาเอง

7. เริ่มต้นเป็นผู้รับ และ ผู้ให้ที่ดี   ในการทำงานนั้นเราไม่ใช่แค่ไปทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่เรายังต้องไปทำความรู้จักกับสังคม การเป็นผู้ให้ และ ผู้รับที่ดีจะทำให้ใคร ๆ รักและเคารพเราเสมอ

 ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ไม่มีชัยชนะใด...ได้มาโดยไม่ต้องต่อสู้...

ไม่มีความสำเร็จใด...ได้มา...โดยไม่ต้องลงแรง

นิทาน การเดินทางของชีวิต

นานมาแล้ว...มีพระราชา ผู้ซึ่งบอกกับคนขี่ม้าของเขาว่า
" ....ถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไรก็ตาม
พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา "
คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว เพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้ เขาเร่งควบม้าไปเรื่อยๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว ....... เมื่อเขาหิวหรือเหนื่อย เขาจะไม่หยุดควบม้า เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขาหมดแรง และกำลังจะตาย
เขาจึงถามตัวเองว่า....
" ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน? ตอนนี้เรากำลังจะตายและเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็กๆ เพื่อฝังศพตัวเอง "
เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตเรา....
เราผลักดันตัวเองอย่างทุกวันเพื่อให้ได้เงินมากๆ มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ พวกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง.... เราไม่มีแม้เวลาที่จะให้กับครอบครัว และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว หรือแม้กระทั่ง งานอดิเรกที่เรารัก เราก็ไม่มีแม้เวลาที่จะทำมัน   วันหนึ่งเมื่อเรามองกลับไป .... พวกเราจะตระหนักว่า สิ่งที่ต้องการนั้น จริง ๆ เรากลับไม่ได้มันมาทั้งๆที่มันอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน ..... แต่สิ่งที่เราขวนขวาย และพยายามไขว่คว้า มันกลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเราเลย....
แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราพลาดไป
ชีวิต ไม่ใช่การสร้างเงิน สร้างอำนาจ หรือการยอมรับ
ชีวิตไม่ใช่การทำงาน งานไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุกกับความงาม และความพึงพอใจของชีวิต
แต่ ชีวิตคือ ความสมดุลของงานและการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว .......
สิ่งที่คุณคิด : มันจะกลายเป็นคำพูด
คำพูดของคุณ : มันจะกลายเป็นการกระทำ
การกระทำของคุณ : มันจะกลายเป็นนิสัยติดตัว
นิสัยของคุณ : มันจะกลายเป็นบุคลิก
บุคลิกของคุณ : มันจะกลายเป็นโชคชะตา
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ตัวคุณที่จะกำหนดตัวคุณเอง

ทำอย่างไรให้ถูกใจหัวหน้า

ทำอย่างไรให้ถูกใจ หัวหน้างาน คือการทำตัวเราเอง เมื่อเราอยู่ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้า ให้เป็นที่ยอมรับและถูกใจหัวหน้างาน ลองอ่านดูนะคะ โดยปกติแล้ว ยามที่ขึ้นเป็นผู้บริหาร เรามักคำนึงถึงหลักการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนเป็นอันดับแรก น้อยคนนักที่จะคิดถึงการ ติดต่อ ประสานงานกับผู้บริหารที่อยู่เหนือจากคุณขึ้นไป แต่เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งนี้มีความสำคัญไม่น้อย เพราะการที่คุณจะก้าวหน้าหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณดูแลคนของคุณได้ดีเพียงใด แค่เพียงประการเดียว แต่มันหมายรวมไปถึง วิธีการที่คุณทำงานร่วมกับผู้ที่อยู่ในระดับสูง ๆ ขึ้นได้ด้วย มาดูกันว่าการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับหัวหน้างานมีความสำคัญอย่างไร หัวหน้างาน ในที่นี้ หมายถึง บุคคลที่รับผิดชอบงานในระดับสูงว่าคุณ ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นหัวหน้างานโดยตรงเท่านั้น หัวหน้างาน เป็นเสมือนตู้เก็บข้อมูลสำคัญ และเป็นผู้กำหนดแนวทางการบริหารงานในบริษัท ดังนั้น ในการทำงานของคุณ ไม่ว่าจะหน้าที่ใด ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะต้องข้องเกี่ยวกับสิ่งที่หัวหน้างานของคุณรู้ และกำหนดขึ้น การที่คุณ และหัวหน้างานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ย่อมทำให้คุณได้รับรู้ข้อมูล ความรู้ และความสามารถที่อีกฝ่ายมีได้ไม่ยาก (หากคุณรู้จักที่จะเก็บเกี่ยว) ลองคิดดูสิว่าการตัดสินใจของคุณจะถูกตากรรมการสักแค่ไหน หากคุณรู้แต่เนิ่น ๆ ว่าแนวทางของบริษัทกำลังจะไปในทางไหน, ผู้บริหารระดับสูงมีความคิดเห็นต่องานนี้อย่างไร และทั้งหมดนี้ อาจจะพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าในตำแหน่งงานใหม่ๆ (ที่ดีกว่า) ของคุณด้วย นอกเหนือจากเรื่องของข้อมูลข่าวสาร สิ่งที่หัวหน้างานจะให้กับคุณได้ คือ ความสะดวกในการติดต่อเชื่อมโยงกับแผนกอื่น ๆ ในบริษัท ซึ่งอยู่ในอำนาจความรับผิดชอบของเขา เมื่อหัวหน้างานแนะนำคุณไป มีหรือที่ การทำงานประสานกันจะไม่ลื่นไหล โดยเฉพาะในยามที่คุณต้องการข้อมูล และความช่วยเหลือจากบุคคลที่ไม่คุ้นเคย ในทางกลับกัน เพื่อไปให้ถึงความสำเร็จ หัวหน้างานของคุณก็ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเช่นกัน ในฐานะที่คุณเป็นผู้สนองแนวทางการทำงานของเขา หากคุณไม่ร่วมมือ ความสำเร็จของงานคงเกิดขึ้นได้ยาก ความสำคัญของคุณอยู่ที่การเป็นผู้ที่คอยแจ้งให้หัวหน้างานรับรู้ถึงความคืบหน้าของงาน ปัญหาที่เกิดในยามลงมือทำงานจริง รวมถึงข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในฐานะของผู้ลงมือปฎิบัติ ซึ่งบ่อยครั้งผู้ที่อยู่ในระดับบริหารมักไม่ได้รับข้อมูลในส่วนนี้ ทั้ง ๆ ที่มันมีประโยชน์อย่างยิ่งที่จะช่วยให้งานประสบผลสำเร็จ รวมทั้งสร้างเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับหัวหน้างานของคุณ ไม่ใช่ให้คุณไปประจบประแจหัวหน้างาน แต่ให้คุณแสดงความจริงใจ และความตั้งในในการทำงาน เพื่อความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพและประสบผลสำเร็จ สองสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคุณ และหัวหน้างาน

1.เข้าใจความต้องการของหัวหน้างาน
ก่อนอื่นคุณต้องพิจารณาถึงจุดใหญ่ใจความของงานชิ้นที่หัวหน้างานของคุณมอบหมาย ให้เวลากับการเรียนรู้ชิ้นงานนั้น ๆ ให้ถ่องแท้ เพื่อให้การทำงานเป็นไปตามเป้าประสงค์ สิ่งหนึ่งที่คุณควรทำความเข้าใจ คือ หัวหน้างานของคุณต้องรับผิดชอบงานอื่น ๆ นอกเหนือจากที่มอบหมายให้คุณด้วย และในงานหลาย ๆ อย่างนั้นอาจมีการขัดแย้งกันเอง ซึ่งหัวหน้างานของคุณต้องแบกรับความกดดันที่อาจเกิดจากทีมงานหลาย ๆ ทีมซึ่งเขาต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยการประนีประนอมเพื่อความพอใจของทุกฝ่าย ในการทำงาน คุณจึงไม่ควรสร้างความกดดันเพิ่มให้กับหัวหน้างานโดยไม่จำเป็น หาวิธีที่ทำงานในส่วนของตนให้สำเร็จ โดยไม่กระทบกับทีมอื่น ๆ นอกจากจะช่วยลดปัญหาน่าปวดหัวให้หัวหน้างานเห็นความดีของคุณแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาในการทำงานของทั้งคุณและหัวหน้างานด้วย
2.ทำความเข้าใจกับรูปแบบการทำงานของหัวหน้างาน
การทำงานร่วมกับผู้อื่น คุณต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง เพื่อให้การทำงานสอดประสานกันได้ดี โดยเฉพาะในกรณีที่เรากำลังพูดถึง คือ หัวหน้างาน เพราะเขาจะไม่มาปรับตัวเพื่อเราแน่นอน และข้อห้ามสำคัญเพียงอย่างเดียวเลยที่ไม่ควรมีในตัวคุณต่อหัวหน้างาน นั่นก็คือ อย่าแสดงความเสแสร้ง คุณไม่ควรแสดงการกระทำที่จริงใจอย่างเสแสร้ง ไม่จะกระทำด้วยกาย วาจา ใจ ต่อหัวหน้างาน (หรือแม้แต่บุคคลอื่นทั่วไป) เพราะมันจะส่งผลร้ายให้คุณในภายหลัง หากคุณมีปัญหา หรือข้อข้องใจเกี่ยวกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขอแนะนำว่าให้คุณพูดคุยหรือปรึกษากับหัวหน้างานอย่างจริงใจและเปิดกว้าง มันจะทำให้คุณรู้สึกดี ที่ได้เปิดใจ เพราะไม่มีใครแสดงความเสแสร้งแล้วจะมีความสุขในการทำงานและประสบผลสำเร็จในภายหน้า หากคุณมีความคิดที่จะทำงาน หัวหน้างานแต่ละคนก็มีสไตล์การทำงานแตกต่างกันไป ก่อนอื่น คุณคงต้องลองสังเกตดูก่อนว่า เจ้านายของคุณชอบทำงานแบบไหน สบาย ๆ หรือชอบทำงานแบบเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เช่นว่า ถ้าจะเสนอความคิดเห็น เขาชอบให้มีการนำเสนอความคิดเห็นสั้น ๆ ด้วยการนำเสนอรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนการประชุม หรือชอบที่จะนั่งถกกันสด ๆ กับคุณ เวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้น, เวลาที่มีปัญหา เขาชอบให้คุณเดินเข้าไปปรึกษาแบบทันทีทันใด หรือชอบให้คุณคิดตัดสินใจเอง เรื่องแบบนี้ค่อนข้างต้องอาศัยความช่างสังเกต และปรับตัว แต่หากคุณรู้สึกว่าไม่เก่งในการดูคน หรือไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือไม่ สอบถามกับหัวหน้างานของคุณตรง ๆ นับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งเลยก็ยังได้ เพราะนั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจ และตั้งใจที่จะทำงานให้หัวหน้างานของคุณอย่างดีที่สุดทีเดียวถ้าคุณมีคุณสมบัติดังกล่าว ดังที่กล่าวมา แล้วใครกันที่จะเป็นที่รักของทุกคนโดยเฉพาะหัวหน้างานถ้าไม่ใช่คุณ

งานสำคัญ งานด่วน ด่วนมากและด่วนที่สุด

งานสำคัญ กับ งานเร่งด่วน เป็นการจัดลำดับของงานว่า งานที่สำคัญอาจจะไม่ใช่งานเร่งด่วน แต่หากไม่ทำอาจจะทำให้กระทบกับงานส่วนอื่นๆ แต่งานเร่งด่วน บางทีก็ไม่ใช่งานสำคัญ เพราะเพียงเพื่อต้องการผลลัพท์ให้เสร็จอย่างรวดเร็วเท่านั้น
งานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. งานสำคัญและเร่งด่วน ( จำเป็นต้องทำทันที )
เป็นงานที่ต้องทำเป็นอันดับแรก เพราะ งานนี้อาจจะเกี่ยวเนื่องกับรายได้ของบริษัทฯ
2. งานสำคัญ แต่ ไม่เร่งด่วน ( ส่วนใหญ่จะลืม )
3. งานไม่สำคัญ แต่ เร่งด่วน ( งานแทรก )
4. งานไม่สำคัญ แต่ ไม่เร่งด่วน ( งานง่ายๆทำไปเรื่อยๆ )

...เหมือนเราเอาขวดน้ำมา 1 ใบ แล้วมีก้อนหิน กรวด ทราย โดยที่ให้เราเลือกใส่มันให้ได้มากที่สุด และให้เราจะเลือกว่าจะใส่อะไรก่อน แน่นอนว่าเราต้องเลือกใส่ก้อนหินก่อน เพราะก้อนหินนั้นมีขนาดใหญ่เราจะใส่ให้มันเต็มขวดก่อน หลังจากนั้น ก็ใส่กรวด และทรายตามทีหลัง เพราะกรวดกับทรายมันสามารถผ่านช่องเล็กๆ ของก้อนหินได้ ก็เหมือนเราเลือกที่จะทำงานที่มีความสำคัญและใหญ่ก่อนเป็นอันดับแรกนั้นแหละ........

วันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ถ้าคุณไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร

นิทาน....ขออีก 1 นาที

ดิฉันมีเรื่อง ขออีก 1 นาที จากหนังสือ ด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

  มาเล่าให้ฟังครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นทำอะไรชักช้า และค่อนข้างขี้เกียจ ทุกๆเช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่าง แทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นละ เจี๊ยบจึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที"คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้ 1 นาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้น แล้วแกจะรู้สึก"การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน และการทำโทษให้วิ่งรอบสนามก็ไม่ได้ทำให้เจี๊ยบจดจำเลยแม้แต่น้อย เขากล้าต่อรองแม้แต่กับครู วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย แต่พอรุ่งเช้าเจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที ... ขออีก 1 นาที" ตลอดจนในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยากสักพักเจี๊ยบก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน 

เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า "แม่ล่ะครับพ่อ""แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก"อ้าว ทำไมไม่รอผม" เจี๊ยบร้อง เขาอยากไปบ้านสวนของยายมาก"แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอ ก็ทำให้แม่ตกรถได้ นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปรถสายประจำ แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่"แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอกผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ 

เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของ พ่อซีดขาวราวกับกระดาษ"รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้งทันทีที่สองพ่อลูกไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน 

แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป "แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น"แม่ แม่ ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่เขาต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่"พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้"คำพูดนั้นทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้า แม่อีก "เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า ผมรักแม่ ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาแต่ไม่มีใครฟังเสียงเด็กชายเจี๊ยบ พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัดและหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้าย...แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่าตัดเจี๊ยบมารู้อีกในภายหลังว่า รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ คนๆนั้นอยากได้เงินมากๆ แต่ไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุพ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตนเอง ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงไร เพราะ 1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่ ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ 

แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริงๆ เขากลับไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่...ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ ำไป...ไม่มีเลย

เริ่มต้นด้วย...สติ

การที่จะเริ่มต้นทำงานชิ้นใดๆ นั้น จำเป็นที่จะต้องมีสติ เพราะสติทำให้เราตระหนักและรับรู้ตนเองอยู่ตลอดเวลา
ณ ปัจจุบัน ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และสติก่อให้เกิดสมาธิ และสมาธิก็ก่อให้เกิดปัญญา และเมื่อเรามีปัญญา เราก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆ ได้อย่างดีมีคุณภาพและมีจรรยาบรรณ โดยท่านว.วชิรเมธี ได้ยกตัวอย่างเป็นข้อๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดๆไว้ดังนี้
1.ผู้บริหารต้องแบ่งงานและใช้ลูกน้องเป็น ผู้บริหารที่ดีต้องมีวิธีการบริหารที่จะทำให้ชนะใจลูกน้อง เพราะผู้บริหารเปรียบเหมือนนิ้วโป้ง มีหน้าที่หนักแน่น มั่นคง
ก็คือ ต้องมีความหนักแน่นมั่นคงเป็นหลักเป็นชัยให้ลูกน้องเชื่อถือได้ ถ้าผู้บริหารโลเล ไม่แน่นอน ลูกน้องก็จะทำงานได้โลเลตาม นอกจากจะมั่นคงแล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมาก
สำหรับคนที่เป็นผู้บริหารก็คือ ต้องแบ่งงานกันทำ
ช่วยบริหารช่วยจัดการไม่แบกทุกอย่างไว้คนเดียว ไม่อย่างนั้นจะหนักทั้งกายและหนักทั้งใจ เพราะต้องแบกภาระมากกว่าคนอื่น เพราะมนุษย์ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง คนที่ทำตัวเก่งทุกเรื่อง มักจะเป็นทุกข์ง่ายการรู้จักแบ่งงานและเลือกใช้คน จึงเป็นหลักการของผู้บริหารที่ต้องทำให้ได้ เพราะไม่ว่าจะงานหนักอย่างไร ก็ต้องมีเวลาให้กับตัวเองในเมื่อได้แบ่งงานไว้แล้ว คนทุกคนควรจะมีโมงยามแห่งความสุข ที่มีเวลาแบ่งสันปันส่วนให้กับตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะหลงแบกไปทุกเรื่อง
2. ผู้นำที่ดีต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กร ให้ก้าวไปข้างหน้า และควรทำงานได้อย่างสร้างสรรค์ หมายถึง กล้านำกล้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี มีหลักการและเหตุผลที่ดีรองรับ ไม่ใช่นึกจะเปลี่ยนตามใจชอบ แต่ต้องดูสภาพแวดล้อมขององค์กรนั้นประกอบด้วย เพราะทุกองค์กรต้องมีวัฒนธรรมองค์กรของตัวเอง
ต้องให้เวลาในการปรับตัวกันบ้าง ถึงจะดูดีไม่เป็นการหักหาญน้ำใจกันเกินไป ผู้นำที่ดีจะเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ต้องดูทิศทางลมให้รอบคอบว่า องค์กรที่เรากำลังจะเปลี่ยนแปลงนั้น มีลักษณะการทำงานกันมาอย่างไร ถ้ารีบเปลี่ยนแปลงโดยขาดความรอบคอบเหมาะสม จะยิ่งพบกับความยุ่งยาก แทนที่จะก้าวไปข้างหน้ากลายเป็นว่ากลับมาสะดุดขาตัวเอง
3. ผู้นำต้องมีความเข้าใจ หลักประการต่อมาในการเป็นผู้นำก็คือ ต้องมีความเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ จึงจะได้นั่งอยู่ในใจลูกน้อง แต่ถ้าทำตัวนั่งอยู่บนหัวลูกน้อง คุณก็จะไม่ได้ใจลูกน้องเลย อาจจะได้แต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายเกลียดชัง เพราะชินแต่การใช้อำนาจบาตรใหญ่ จะมีความต้องการอะไร ก็สั่งเอาแต่อารมณ์ตามใจตัว ข่มขู่ลูกน้องด้วยอำนาจ หากเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่
ลูกน้องทำงานไม่ทันใจก็อารมณ์เสีย สุดท้ายอาจจะมีสิทธิ์หัวใจวายกันทั้งเจ้านายและลูกน้อง นายก็เครียด เพราะไม่ได้ดั่งใจ
ลูกน้องก็เครียด เพราะกลัวจะทำไม่ถูกใจนาย ดังนั้นเป็นนายก็ต้องได้ใจลูกน้อง ไม่อย่างนั้นก็ประสาทเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
เมื่อทำงานอย่างไม่มีความสุข ก็ยากที่ผลงานจะออกมาดี
ถ้าเป็นผู้นำแล้วแต่ไม่ได้ใจคน วันที่เราหมดอำนาจไปแล้วเดินออกจากสำนักงานไป อาจจะมีเสียงไล่ส่ง แต่ถ้าเราลาออกหรือเกษียณไปแล้ว แต่มีลูกน้องมอบดอกไม้และการ์ดให้ นั่นแสดงว่าเราชนะใจลูกน้องได้เป็นอย่างดี คุณล่ะอยากได้อะไรระหว่างเสียงไล่หรือดอกไม้

4. ต้องรู้จริงแบบผู้เชี่ยวชาญ ในชีวิตการทำงานของเราจะต้องมีความเป็นมืออาชีพ ทั้งลูกน้องและหัวหน้างานยิ่งเป็นหัวหน้ายิ่งต้องมีความเป็นมืออาชีพ สูงกว่าคนอื่นในองค์กรจะได้นำเขาได้ และผู้นำที่ดีต้องมีความรู้ มีความสามารถอย่างแท้จริง
จะต้องไม่ทำงานโดยใช้ความรู้ความสามารถแบบหลอกลวง
คือไม่รู้จริงหรือทำตัวเป็น นักวิชาเกินที่ไม่รู้จริงสักเรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องงานของตัวเอง ถ้ามีสิ่งใดที่ไม่รู้จริง ก็ต้องกล้าที่จะเรียนรู้เพิ่ม เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ไม่รู้ก็ต้องกล้าบอกว่า ไม่รู้
ไม่เห็นเป็นไร ไม่มีใครรู้ทุกเรื่องในโลกนี้อยู่แล้ว ยอมรับว่าไม่รู้ดีกว่ามีคนจับได้ว่า ไม่รู้หรือรู้ไม่จริง และต้องใช้ความรู้คู่จรรยาบรรณ
5. กายอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน การจะทำงานให้ได้ผลสูงสุด ต้องมีความตั้งมั่น ตั้งใจแน่วแน่ การทำงานที่ดีก็คือ การปฏิบัติธรรม
หากงานดี ก็จะเป็นอนุสาวรีย์ของชีวิต หากงานไม่ดี ก็จะเป็นเครื่องประจานตัวเราตลอดไป โดยอาศัยหลักธรรมะเข้ามาช่วยเสริม มีทั้งหมด 4 ข้อก็คือ มีใจรัก พากเพียรทำ จดจำจ่อจิต และวินิจฉัย หากทำงานใดแล้วมีคุณธรรมทั้ง 4 ข้อนี้แล้ว งานนั้นสำเร็จแน่นอน
6. รักในสิ่งที่ทำ เราจำเป็นที่จะต้องรู้ตัวตน ต้องรู้ว่าสิ่งที่ตัวเรากำลังทำอยู่นั้น ใช่ตัวตนจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเรากำลังแสดงบทบาทสิ่งที่ผู้อื่นมอบให้อยู่ เพราะว่าหากเราทำสิ่งที่บังคับฝืนใจทำ ผลงานที่ออกมาก็จะเป็นไปในรูปแบบสักแต่ทำ หรือทำให้หมดไปวันๆ ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้สึกขาดความเคารพนับถือในตัวเอง และกลายเป็นคนที่ทำอะไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากจิตใจไม่ยอมรับ หรือไม่มีความรู้สึกที่อยากจะทำงานออกมานั่นเอง นอกจากนี้ในการงานนั้น ผู้บริหารที่ดีหรือแม้กระทั่งพนักงานทั่วไป ตามแนวทางของท่าน ว.วชิรเมธี ควรจะต้องมีองค์ประกอบ คือ การทำงานต้องอารมณ์ดี ก็จะมีความสุข ที่จริงไม่เฉพาะทำงานเท่านั้น แต่ควรจะมีอารมณ์ดีตลอดเวลา เพราะนอกจากจะทำให้สุขภาพจิตดีแล้ว ยังทำให้อายุยืนด้วย ธรรมะที่จะทำให้อารมณ์ดี ก็คือ มีสัมมาทิฏฐิ ดำริถูกทาง วางตนให้เหมาะสม ชื่นชมคนอื่น ไม่ฝืนสังขาร
ทำงานสุจริต ฝึกจิตให้สูง ไม่ปรุงความคิด ไม่ยึดติดโลกธรรม เพียงแค่นี้อารมณ์ดีมีอายุยืนยาวแน่นอน การทำงานไม่ใช่เพียงทำงานให้เสร็จเท่านั้น แต่ต้องทำให้สำเร็จด้วย นั่นก็คือ ต้องทุ่มเทรับผิดชอบทำงานของตนเองอย่างเต็มที่ คนสำราญ งานสำเร็จ หากเรามีสุขภาพใจที่ดี ที่เข้มแข็งแล้วไซร้ การจะทำกิจใดๆ ก็ไม่ยากเกินความสามารถเช่นกัน

คนฉลาดย่อมไม่เคยคิดว่าคนอื่นโง่และคนโง่มักคิดว่าตนเองฉลาด

คนฉลาดย่อมไม่เคยคิดว่าคนอื่นโง่และคนโง่มักคิดว่าตนเองฉลาด คนที่ดูถูกคนอื่นว่าโง่ บางทีตัวเองอาจโง่ยิ่งกว่า และมีแต่ละบุคคลประเภทนี้เท่านั้น ที่มักถูกผู้อื่นหลอกลวงอยู่เสมอ
สิ่งที่เราไม่ชอบ บางครั้ง ... เราก็จำเป็นต้องรู้ อย่าปิดกั้นตัวเองให้ห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ชมชอบเลย เพราะในโลกนี้สิ่งที่ทำร้ายเราได้ง่ายที่สุด ก็คือ สิ่งที่เราไม่ยอมรู้และไม่เคยเข้าใจ
ชีวิตเป็นของเธอ ทางเดินชีวิตย่อมเป็นของเธอ สองขาของเธอ จงก้าวไปตามทางนั้น ทำในสิ่งที่เธอถนัดและเข้าใจ เธอจะไปได้ดีเท่าที่เธอควรจะไป หากอยากจะถามหาความจริงใจจากใครต่อใคร ต้องเริ่มถามหาที่ตัวเธอเองก่อนว่ามีความจริงใจเพียงพอหรือไม่ ชีวิต..ไม่เคยมีคำว่าสาย หากก้าวหลงเดินทางผิด ย่อมกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ อาจจะช้ากว่าที่ควรจะเป็นไป แต่ก้อยังดีกว่าดิ่งลึก จมลงในความเลวร้ายทุกที ทุกที
อย่าพยายามยัดเยียดความสุขหรือสิ่งที่เราคิดว่าดีให้กับใครต่อใคร เพราะมันอาจจะกลับกลายเป็นความทุกข์ ทุกข์ทั้งผู้ให้ ทุกข์ทั้งผู้รับ เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าชีวิตต้องการอะไร ? ถาม ... และหาคำตอบให้แน่ใจ และเข้าใจให้ถ่องแท้ เมื่อนั้นเราจะก้าวต่อไปข้าวหน้าอย่างเชื่อมั่น และถูกทิศทางกว่าเดิม โลกเรายังคงหมุนไปทุกวัน หากวันนี้เราหยุดนิ่ง พรุ่งนี้ ......... เราก็แทบวิ่งตามไม่ทัน
อย่าไปคิดว่า คนที่นั่งอยู่ในร่มไม้กลัวแสงแดด อย่าไปคิดว่า คนที่ฟุบหลับอยู่นั้นเป็นคนเกียจคร้าน อย่าไปคิดว่า คนที่หกล้มเป็นคนอ่อนแอ 
 ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

คนที่รู้จักถามนั้นโง่อยู่ชั่วนาที
คนที่ไม่ถามจะโง่ตลอดไป