Monthly Archives: November 2011

นิทาน..ความรักกับกาลเวลา

ดิฉันมีเรื่อง ความรักกับกาลเวลา มาเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเรื่องเล่า
ระหว่างสาวสวยและหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งรักกันอย่างดูดดื่ม...
ทั้งสองได้สาบานว่าแม้ความตายก็มิอาจจะพรากรักอันแสนจะมั่นคงนี้ลงได้และในครั้งนั้นยังมีแม่มดตนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่า
ไม่มีสิ่งใดที่จะแน่นอนเท่าความไม่แน่นอน แม่มดไม่เชื่อว่าความรักของทั้งสองจะมั่นคง จึงคิดหาทางพิสูจน์ขึ้นมา
นางกล่าวว่า "หากพวกเจ้ามั่นใจในรักของอีกฝ่ายซึ่งยั่งยืนแม้ว่าความตายจะพรากดังนั้นข้าก็อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร...
ข้าขอสาปให้นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกสักกี่ชาติ
บุรุษนี้จะไม่มีทางจำเจ้าได้เขาจะไม่สามารถจำได้ว่าเคยรักเจ้า
และตรงกันข้ามกับเจ้า เจ้าจะเป็นคนที่จำทุกอย่างได้
เพราะเจ้าจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไปไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่มีวันตายจะอยู่อย่างนี้นิรันดร... เจ้าจะจำเวลาที่เคยรักเขาเคยเป็นที่รัก
และต้องเฝ้ารอการกลับมาของเขาในชาติแล้วชาติเล่าตลอดกาล"... วันใดก็ตามที่เจ้าทำให้เขารู้ตัวว่ารัก เจ้าทำให้เขาจำเจ้าได้วันนั้น...คือวันที่ความเป็นนิรันดร์ของเจ้าสิ้นสุดลง...
เจ้าจะแก่และตายตามสภาพของอายุขัยที่ควรเป็น... และคราวนี้ก็จะเป็นทีของเจ้าหนุ่มนั่นแทนเขาจะต้องเป็นคนที่ค้นหาเจ้าบ้าง..."หลังจากนั้นมา ปีแล้วปีเล่า เวลาผ่านไปศตวรรษทบศตวรรษ
ที่หญิงสาวเฝ้าตามหาชายหนุ่มคนรัก
และทุกครั้งที่เธอได้พบเขาในสภาพของใครคนหนึ่ง
ที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย...
เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาจำเธอได้
แต่มันไม่เคยสำเร็จชาติแล้วชาติเล่า...
หลังจากการเกิดและดับของเขาผ่านไปนับสิบครั้ง
เขาก็ยังไม่อาจระลึกได้ถึงความรักของเธอ...
ความทุกข์ทรมานของหญิงสาวถูกเฝ้าดูอย่างเย้ยเยาะ
โดยนางแม่มดผู้รอคอยเวลาที่หญิงสาวจะยอมรับว่า...
รักแท้ที่แม้ความตายก็ไม่อาจพรากไม่มีจริง
แล้วนางแม่ มดก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ในช่วงหลังๆ
มาหญิงสาวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ชายหนุ่มระลึกถึงตน
ไม่พยายามให้ชายหนุ่มรักตน แต่กลับทำทุกอย่างที่คิดว่า
จะทำให้เขามีความสุขและทำให้เขาเกิดรอยยิ้มแทน...
แล้ววันหนึ่งนางแม่มดก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
จึงปรากฏตัวเพื่อเอ่ยถามกับตัวหญิงสาวเอง...
"...เจ้าได้ละทิ้งความพยายามของเจ้าเสียแล้วล่ะหรือ...
ความพยายามที่จะพิสูจน์ให้ข้าเห็นอำนาจและพลังของรักแท้
ที่เหนือกว่าอำนาจใดๆแม้กระทั่งคำสาปของข้า..."
"จริงๆแล้ว ข้าก็มีเหตุผลของข้า" หญิงสาวตอบนางแม่มดกลับไป
"...ข้าไม่ได้ละทิ้งความพยายาม...เพียงแต่...
ข้ากลัวว่าความพยายามของข้าจะสัมฤทธิ์ผล...แล้ว"
"...แล้วเจ้าก็ต้องแก่และตาย" นางแม่มดต่อให้ด้วยเสียงเย้ยหยัน
"ที่แท้เจ้าก็กลัวที่จะตายเจ้ากลัวจะสูญเสียความเป็นอมตะของเจ้า...เฮอะนี่หรือรักแท้ของเจ้า" หญิงสาวไม่ปฏิเสธ
นางเผชิญหน้ากับนางแม่มดและรับคำกล่าวหานั้น
"อาจใช่...มันเป็นความจริงที่ข้ากลัวว่าหากข้าทำให้เขาจำข้าและรักข้าได้ข้าจะต้องตายจากเขาไป"
"และเจ้าก็ไม่เชื่อใจว่าเขาจะทำให้เจ้าจำได้เช่นนั้นหรือ
?"
หญิงสาวจ้องหน้าแม่มดนิ่งอยู่ ก่อนตอบ
"สิ่งที่ข้าเกรงไม่ใช่เรื่องนั้น...ท่านรู้อะไรไหม...
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ข้าเฝ้าเดินทางตามหาเขา
เฝ้ารอคอยวันแล้ววันเล่ารอวันที่เขาจะกลับมาหาข้าอีกครั้ง...
ตลอดเวลาที่ข้าเฝ้ามองการเกิดและการตายของเขา
มันคือความทรมานอันยาวนานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
...และสำหรับข้าความทุกข์อันแสนสาหัสคือ
การได้เห็นความทรมานของผู้เป็นที่รักโดย
ที่เราไม่อาจเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือได้... หลายครั้งที่ข้าอยากให้ตัวข้าเห็นแก่ตัวพอที่จะพยายามทำให้เขารักทำให้เขาระลึกถึงข้าได้อีกครั้งเพื่อที่ข้าจะได้เป็นอิสระต่อการพันธนาการนี้...
แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมันความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับเนื่องจากการรอคอยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ทำให้ข้าคิดได้ ...ข้าไม่อาจให้เขาต้องแบกรับความรู้สึกทรมานเช่นที่ข้าได้รู้สึก...ความรักของข้าอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะตัดสินใจพยายามให้เขาจำข้าได้ต่อไปและจากนี้ต่อไปแม้ว่าข้าจะต้องรอคอยไปชั่วนิรันดร์ สิ่งเดียวที่ข้าจะทำคือข้าจะทำให้เวลาของเขา มีแต่ความสุขเท่าที่พลังของข้าจะทำได้ ข้าอาจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาก็จริง แต่ข้าก็ยังอยากเห็นรอยยิ้มของเขา... ข้าอาจเป็นคนอ่อนแอในสายตาของท่าน อย่างไรก็ตาม นี่ก็คือความรักของข้าคือสิ่งที่ข้าเป็น... แม้ชีวิตของข้าจะต้องเดียวดายตลอดกาล แต่ข้าก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า คนที่ข้ารักจะไม่มีวันเดียวดายเช่นตัวข้า... เพราะเขาจะมีข้าข้างกายเขาชั่วนิรันดร์..." ในชีวิตของเรามีหลายช่วงต่อหลายช่วงที่เราคิดว่าเรารักใครสักคนมากมายเหลือเกินและหลายต่อหลายครั้งที่ความรักของเราก็ต้องการความรักตอบกลับมาหลายคนฟูมฟายกับโชคชะตาว่ารักที่ไม่ได้รักตอบคือการสูญเวลาเปล่า...แต่มีหลายต่อหลายคน...ที่ดีใจกับโชคชะตาที่เกิดมาสักครั้งแต่ยังได้รักใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ... ทุกอย่างในชีวิตมีทางเลือก... ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกทางไหน...หรือคุณจะเลือกหรือไม่
?คุณจะเลือกทางไหน?... เปิดประตูรับความรักเข้ามา
เพื่อเติมความอบอุ่นให้กับหัวใจแม้เพียงช่วงหนึ่งของชีวิต...
หรือจะมัวแต่ฟูมฟายโทษตัวเองกับความรักที่ให้ไปแต่ไม่ได้รักตอบ...
??ทางเลือกเป็นของคุณ...

พ่ายแพ้กับชนะอย่างไรดี

เคยรู้สึกกันบ้างหรือเปล่าว่าทุกสิ่งทุกอยางบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ จะนำมาซึ่งความผิดหวังได้ทั้งสิ้นเพราะความผิดหวังหรือความล้มเหลว มันอยู่ไม่ไกลจากตัวเรา มันเกิดขึ้นมาจากทุกอย่างรอบตัว มันทั้งหยอกเล่น เอาจริง รังแก หรือแค่ทดสอบเรา จนบางครั้งทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียอย่างนั้น แต่เมื่อเจอกันอีกครั้ง เรากลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มันอยู่ดี หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และทำอย่างไรจึงจะสามารถเอาชนะมันได้สักที อาจกล่าวได้ว่า ความล้มเหลวและความผิดหวังนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับ เราไม่ต่างจากความสม หวัง เพีงแต่คนเรามักจะสมมติให้ตัวเองพึงพอใจกับความสมหวังมากกว่าเท่านั้นเอง ในยามที่สมหวัง เราอาจจะบอกกับตัวเองว่าเป็น "ผู้ชนะ" โดยที่ไม่เคยสนใจว่าได้มันมาอย่างไร หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเก็บรักษาเอาไว้ได้นานอย่างไร
ในทางกลับกัน เมื่อเป็นฝ่ายที่ต้องผิดหวังบ้าง เราก็มักจะตอกย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็น "ผู้แพ้" คนส่วนใหญ่จึงมองข้ามสิ่งสำคัญของชีวิตไปเพราะมัวแต่จดจ้องอยู่แค่คำว่า แพ้ . . . ชนะ
มีสิ่งหนึ่งที่คนเราไม่ควรมองข้าม นั่นคือการมีน้ำใจนักกีฬา และการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทัน ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือชนะ เมื่อได้สู้อย่างเต็มที่แล้ว ให้คิดเสียว่าเราแพ้สิ่งหนึ่งเพื่อทำให้รู้ตัวว่า"เราอาจจะเหมาะกับอีกสิ่งหนึ่งมากกว่า" จงอย่ามัวเสียดายในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราให้นานนัก จงออกไปค้นหาสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองดีกว่า เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับการพรรณนาถึงความล้มเหลวอย่างไร้สติรังแต่จะทำให้ ตัวเองรู้สึกด้อยค่ายิ่งขึ้นเท่านั้น
หากเปรียบชีวิตคนเราเป็นการแข่งขัน โลกนี้ก็คงเป็นสนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เราทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะเข้าร่วมอย่างไม่มี เงื่อนไข และก็ใช่ว่าโลกจะจำกัดชนิดกีฬาที่แข่งขัน มีหลากหลายอย่างที่ให้เราเลือกเล่น เราจึงต้องแสดงฝีมือในสิ่งที่ตนเองถนัดอย่างเต็มความ สามารถ จนกว่าระฆังยกสุดท้ายของชีวิตจะดังขึ้น ซึ่งก็จะเป็นการสิ้นสุดการแข่งขันอันยาวนานนั้นลง  และในสนามแข่งขันของเกมชีวิตนั้นจะไม่มีการพักครึ่ง ไม่มีการขอเวลานอก ที่สำคัญไม่สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ เพราะเราต่างเกิดมาเพื่อที่จะเล่นเกมของตัวเองด้วยตัวเองจนจบ แม้บางเกมเราจะแพ้หรือชนะ แต่ทุกๆ เกมเกิดจากการตัดสินใจของตัวเราเองทั้งสิ้น เราจึงต้องยืดอกยอมรับต่อผลที่เกิดขึ้นอย่างกล้าหาญ และน่าจะดีกว่าถ้าเราทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อจะไม่ต้องเสียใจในภายหลังเมื่อความผิดหวังมาเยือน เมื่อพูดอย่างนี้ ก็ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอไป เพราะบางครั้งความพ่ายแพ้ ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน

ไปกว่ากันเลย แม้ว่าชัยชนะจะเป็นยอดปรารถนาของคนเราก็ตามที แต่เรามักจะได้อะไรดีๆในชีวิตจากความพ่ายแพ้มากกว่า เพียงแต่เราต้องทำความรู้จักและเรียนรู้จากมัน เพื่อสามารถนำเอาความผิดพลาดต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในครั้งต่อไป ดังเช่นที่ นโปเลียน นักการเมืองการทหารผู้ยิ่งใหญ่ชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า "คนที่ไม่รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด ยังห่างไกลจากหนทางสู่ความสำเร็จนัก" ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นผู้ชนะฝ่ายเดียว
แพ้เสียบ้างก็เป็นกำไรชีวิตได้เช่นกัน และ นอกเหนือจากมนุษย์ทุกคนจะต้องการปัจจัย 4 เพื่อการดำรงชีวิต ความทุกข์ที่เกิดจากความผิดหวังและความพ่ายแพ้ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องพบพานเหมือนกันหมด และเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน ทุกคนต่างก็มุ่งหวังที่จะเป็นผู้ชนะให้ได้ คนส่วนใหญ่จึงอาจจะคิดว่าการเป็นที่หนึ่งนั้นจำเป็นต้องเอาชนะคนอื่นเท่า นั้น หากแต่แท้จริงแล้ว เกมที่เราแข่งขันอยู่ในสนามชีวิตจริง อาจไม่จำเป็นต้องมีคู่แข่งอื่นใดนอกจากตัวเรา เพราะบางทีเพียงแค่การเอาชนะใจตัวเอง เพราะบางทีเพียงแค่การเอาชนะใจตัวเองมันก็เป็นเรื่อง ที่ยากเย็นเสียนี่กระไร บางทีหากเราต้องการจะเป็นผู้ชนะตัวจริง จึงไม่ใช่การวิ่งแซงหน้าเพื่อเอาชนะใครต่อใคร หากแต่คือการเอาชนใจตัวเองให้ได้ ก็ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้วคะ

คนทุกคนย่อมมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น  ขึ้นอยู่ว่าจะมากจะน้อยแตกต่างกันไป  แต่สุดท้ายขอให้เราอดทน เพราะยังไงมันต้องผ่านไปมันไม่อยู่กับเราไปจนตายหรอก  ที่สำคัญเราจะต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น  ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน

คนดี.. เป็นได้อย่างไร

การเป็นคนดี "Good Person" เป็นอย่างไร  คนเก่ง และคนดีเป็นของคู่กัน แต่บางครั้งไม่ไปด้วยกัน "คนเก่ง" สร้างได้ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งแก่เฒ่า โดยการเรียนรู้ทุ่มเท

 แต่ "คนดี" สร้างได้ยากกว่านักจนบางครั้งก็สร้างไม่ได้เลย คนเรามีการพัฒนา Super ego ซึ่งได้แก่ มโนธรรม และอุดมคติแห่งตนในช่วงวัยเด็ก 5-10 ขวบ จากนั้นสิ่งที่ได้รับ มาจะกลายเป็น โครงสร้างพฤติกรรม ของคนๆ นั้น(Frame of Reference)เขาจะใช้มันปรับให้เข้า
กับสิ่งแวดล้อม ที่สัมผัสโดยใช้ กระบวนการ ที่ซับซอ้นมากขึ้น การเป็นคนดีจะต้องมี การพัฒนาส่วนของ Super ego ของคนๆนั้น มาแล้ว เป็นอย่างดีโดย พ่อแม่ครูอาจารย์ ในช่วงปฐมวัย เมื่อเติบใหญ่ จะเป็นคนที่สามารถ ปรับสมดุล ในตนเองให้ได้ระหว่าง "กิเลส" จาก จิตเบื้องต่ำขับเคลื่อน ด้วย สัญชาติญาณแห่ง ความต้องการ ที่รุนแรงที่ไม่ต้องการเงื่อนไขและข้อจำกัดไดๆ กับ "มโนธรรม" ที่ขับเคลื่อนด้วย ความปารถนา ในอุดมคติแห่งตนที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดคนดี ควรมีคุณสมบัติดังนี้

·              มีความรู้ ไหวพริบ เฉลียวฉลาด (IQ= Intelligence Quatient) รู้แจ้งถึงความดีความชั่ว รู้ที่จะเอาตัวรอด จากเล่ห์อุบายของตัณหา คนชั่ว และนำพาตนเองและผู้คนให้เห็นแจ้งในทางที่ดีควร ประพฤติปฏิบัติได้

·              มีความอดกลั้น สติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยุ (EQ= Emotional Quatient) จนตกอยู่ในห้วง"กิเลส" คือ โลภะ โทษะ และโมหะ และเกิดปัญญาในการแก้ไข สร้างสรรค์ และเล็งเห็น ผลเลิศในระยะยาวได้

·              มีความอดทน มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค (AQ= Adversity Quatient) พร้อมที่จะเสียสละแรงกาย เพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมคติแห่งตน และความดีที่ยึดมั่น ไม่หวั่นไหว ต่อคงามลำบากและอุปสรรคไดๆ

·              ไม่เป็นผู้ยึดติดกับสิ่งไดสิ่งหนึ่งจนเกินพอดี(VQ= Void Quatient)รู้ที่จะ ปรับเปลี่ยน ตนเอง ตลอดเวลาให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ที่มี การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างเหมาะสม

·              ป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม (MQ= Moral Quatient) มีสำนึกของ "ความผิดชอบชั่วดี" มีความละอายใจต่อบาป ไม่ประพฤติชั่ว มุ่งทำแต่ความดี มีจิตใจที่ผ่องใส

ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

คนที่มองโลกในแง่ดี..ย่อมเห็นโอกาสในทุกยามที่เกิดวิกฤต
คนที่มองโลกในแง่ร้าย..ก็ย่อมเห็นแต่วิกฤตในทุกโอกาส

นิทาน..นกแสนสวยกับถั่วของอาบัง

วันนี้ดิฉันมีเรื่อง นกแสนสวยกับถั่วของอาบัง   มาเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง มีขนสวยงามมาก มีคนอยากได้ไว้ครอบครองเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย มีอยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่ว มานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสนสวยอยู่ พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า            

นก :  “อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ ..

อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า...            

อาบัง  :  “ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ”..

พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนขงตนเอง แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคงไม่เป็นไรหรอก นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง..             ..วันต่อมา.. นกแสนสวยก็บอกกับอาบังอีกว่า..           

นกแสนสวย  :  ”ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ”                

อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า...            

อาบัง  : “ ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน”                       

..นกแสนสวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก

เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง...

นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก   อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกก็ไม่รีรอ รีบให้ขนอาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้วไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้..

ข้อคิด            เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ  แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา...             “ ขนของนกแต่ละเส้น   ก็คือเวลาของเราที่ต้องเสียไป             แล้วอาบัง   ก็เป็นนายจ้างของเราไง              ส่วนถั่วที่อาบังให้    ก็เหมือนกับเงินเดือนที่นายจ้างให้เรา น่ะครับ..

แล้ว    ขณะนี้คุณเหลือขนอีกกี่เส้น..???

ผู้บริหารที่ดี ต้องทำอย่างไร

คะ  ตำแหน่งผู้บริหารมีผลอย่างยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร ถ้าองค์กรใดได้ผู้บริหารที่เก่ง ดี มีวิสัยทัศน์ ก็มีแนวโน้มว่าองค์กรนั้น จะมีอนาคตสดใส เปรียบเสมือนนาวาลำน้อยใหญ่ ที่มีนายท้ายเรือที่เข้มแข็งคอยคัดหางเสือกำหนดทิศทาง ให้เรือแล่นไปยังจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ แต่หากนายท้ายเรือไม่มีประสิทธิภาพ นาวาลำน้อยก็มีอันต้องจมหายไปในทะเลเป็นแน่

ดังนั้น ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ได้รับการยกย่อง นับถือจากพนักงาน และคนในแวดวงธุรกิจ บางคนเป็นถึงผู้บริหารที่ทำงานไม่เป็น บริหารคนไม่ถูก ไม่รู้ว่าเขาทำกันอย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำสำหรับการเป็นผู้บริหารที่ดีมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

1.             เป้าหมายคือความสำเร็จ  ทำงานด้วยความทุ่มเท อุทิศตน เต็มที่กับงานทุกอย่าง และต้องมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอสำหรับทุกสถานการณ์ ที่สำคัญคือมีวิสัยทัศน์มุ่งสู่ความสำเร็จขององค์กร ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติตาม

2.             มีความกล้าหาญ กล้าที่จะยืนหยัด ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกที่ควร กล้าที่จะพูด กล้าที่จะทำ กล้าคิดในสิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาองค์กรให้มีความก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป นอกจากนี้ต้องกล้าที่จะปกป้องลูกน้อง เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีกว่านิ่งเฉย ปล่อยให้ลูกน้องเผชิญชะตากรรมแต่เพียงลำพัง ซึ่งจะทำให้คุณเป็นผู้บริหารที่ลูกน้องต่างก็เคารพรักในตัวคุณ

3.             มีวิธีสื่อสารที่ดี นอกจากผู้นำจะต้องมองการณ์ไกล และมีความคิดใหม่ ๆ อยู่เสมอแล้ว การจะถ่ายทอดความคิดออกไปสู่การปฏิบัตินั้น จำเป็นต้องอาศัยทักษะการสื่อสารที่ดี มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน ที่สร้างความสับสนให้กับทีมงาน ทำให้การงานเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น และมุ่งสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

4.             เชื่อมั่นในศักยภาพของพนักงาน เชื่อว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ซึ่งจะทำให้พนักงานเกิดกำลังใจ มีแรงจูงใจในการทำงานให้ดีและสำเร็จด้วยตัวของพวกเขาเอง ส่วนผู้บริหารก็คอยแนะนำ ให้การสนับสนุนอยู่ห่าง ๆ

5.             ติดตามความสำเร็จ  เมื่อมอบหมายงานให้แก่พนักงานแล้ว ผู้บริหารจะต้องคอยตรวจตราความเคลื่อนไหว ผลการทำงานตามขั้นตอน ว่าสำเร็จเรียบร้อยดีหรือไม่ หากเกิดปัญหาติดขัด ก็ต้องวิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหาต่อไป

6.             ตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบ ผู้บริหารที่ดีต้องไม่ยอมจำนนต่อสิ่งต่าง ๆ ง่าย ๆ รวมทั้งไม่นิ่งนอนใจที่จะหาคำตอบให้กับสิ่งที่สงสัย ต้องเป็นคนช่างสังเกต ชอบตั้งคำถาม เพื่อหาคำตอบ เป็นการพัฒนาทางด้านความคิดอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อความคิดได้พัฒนาอยู่ตลอดเวลา ก็จะเกิดความคิดใหม่ ๆ ที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์กรของคุณ

7.             ประเมินผลงานอย่างยุติธรรม เมื่อพนักงานทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และมีผลงานที่ดี ก็สมควรได้รับรางวัลในความดีของเขา ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทอง ของขวัญ แต่อาจเป็นคำชื่นชม ยกย่อง ให้เกียรติเขา เพื่อเป็นกำลังใจให้เขารักษาความดีงามเอาไว้ต่อไป ในทางตรงกันข้ามพนักงานที่ไม่ตั้งใจทำงาน หรือสร้างปัญหาอยู่เสมอก็ควรได้รับการประเมินผลงานตามเนื้อผ้า แม้ว่าเขาอาจจะเป็นคนสนิทและใกล้ชิดกับคุณก็ตาม

การเป็นผู้บริหารนั้นจะมีแต่เพียงอำนาจอย่างเดียวคงไม่ได้ จำเป็นต้องมีบารมีควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้พนักงานเกิดความเคารพนับถือ และพร้อมที่จะทำงานหนัก เพื่อคุณและองค์กรของพวกเขา ซึ่งอยู่ที่การวางตัวของคุณนั่นเอง