Monthly Archives: January 2012

การบริหารงานแบบ เจงกิสข่าน

ดิฉันมีเรื่อง เคล็ดลับการบริหารของ เจงกิสข่าน นับรบผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของมองโกเลีย มาเล่าให้ฟังค่ะ   ในวัยเด็กของเด็กชายเตมูจิน ซึ่งลูกชายคนโตของครอบครัวที่บิดาเสียชีวิตในการต่อสู้ระหว่างเผ่า ส่วนมารดาและน้องๆของเค้า ถูกข้าศึกทอดทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว หวังให้อดตาย แต่เตมูจินก็ดิ้นรนด้วยปัญญาสมวัยและนำครอบครัวรอดมาได้ แต่ก็ต้องมาถูกตามล่าในเวลาต่อมาจากศัตรูเก่าของบิดา สัญชาตญาณเอาตัวรอดแต่เด็กทำให้เตมูจินผูกมิตรกับเพื่อนร่วมสาบานของบิดา และได้จามูคา ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานหนุนหลังอีกราย จึงนับว่าการผูกมิตรครั้งนี้  ทำให้เตมูจินได้ตั้งหลักและลืมตาอ้าปากได้

 เจงกิสข่าน จากเดิมเป็นเพียงหัวหน้าเผ่ามองโกล เร่ร่อน เผ่าเล็กๆ เท่านั้น จากเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง จนกระทั่งสามารถได้รับ การสนับสนุนด้านกองกำลัง จากพันธมิตร บวกกับ บุคลิกที่สามารถเป็นผู้นำได้ของเตมูจิน ทำให้เขามองไกลกว่า  การเอาชนะแค่เป็นครั้งๆไป เจงกิสข่านเชื่อว่ามี บัญชาสวรรค์ที่ให้เขาเป็นผู้นำโลก เขาจึงทำในสิ่งที่ ไม่เคยมีหัวหน้าเผ่ามองโกลคนใดเคยทำ นั่นก็คือ ต่อสู้และรวบรวมชนเผ่าต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้ทัพของมองโกล มีชนชาติอื่นๆที่ถูกมองโกลปราบได้รวบรวมอยู่เป็นจำนวนมาก  ท่านผู้ฟังค่ะได้มีผู้กล่าวไว้ว่า ชาวรัสเซียมีกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของมองโกลว่า  แม้แต่สุนัขก็ยังเห่าไม่ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจาก บาตูข่านผู้ยิ่งใหญ่  ต่อมาเจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ชาวเผ่า เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกันทั้งหมด โดยมีเจงกิสข่าน เป็นกษัตริย์องค์แรก ซึ่งต่อมามีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออกจดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันตกไปยังแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางใต้นั้น เจงกิสข่าน เหยียบไปถึงแผ่นดินในเมืองพุกามของประเทศพม่า  จนทำให้มองโกเลียกลายเป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา

ท่านผู้ฟังค่ะ นอกเหนือจากการขยายอาณาจักรออกไปอย่าง กว้างไกลแล้ว เจงกีสข่าน นอกจากจะมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมค่ะ  เนื่องจากให้เสรีในการนับถือศาสนา โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน และเจงกิสข่านก็สามารถพิสูจน์ตัวเองต่อชาวโลกว่า เค้าไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยมเผาบ้านเมืองรวมทั้งถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ประการเดียวค่ะ  รวมทั้งยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ ของฝ่ายตรงข้าม โดยเค้าจะส่งบรรดาช่างฝีมือและผู้มีความรู้เหล่านั้น รวมทั้งทรัพย์สินเงินทอง
ที่ยึดมาได้ จากการบุกโจมตีอาณาจักรเหล่านั้น กลับไปยังมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้ถ่ายทอดวิชาความรู้เหล่านั้นแก่ชาวมองโกเลีย ให้มีความก้าวหน้าในศิลปะวิทยาการต่างๆ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลกโดยไม่มีใครต้านพลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ ตลอดช่วง สหัสวรรษเดียวกันนี้ได้เลยค่ะนักประวัติศาสตร์หลายท่าน ให้ความเห็นตรงกันว่า หากเจงกิสข่านรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่านจะได้ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรกและองค์เดียว ที่ครองโลกได้  ท่านผู้ฟังค่ะโลกในยุคนั้น มีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแถบประเทศจีนไล่ไปจนถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรม กองทัพเจงกิสข่าน จึงตะลุยยึดรัสเซียได้กว่าค่อนประเทศ บุกต่อไปถึงยุโรปกลางและเยอรมัน เตรียมบุกยึด เกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน
กลยุทธ์การจัดกระบวนทัพของเจงกิสข่าน เป็นแบบที่ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยการเดินทัพไปเลี้ยงสัตว์ไป เช่น วัว ควาย
และแพะ ตลอดจน ม้าศึก เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็วและสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ

สามก๊ก : ซุนกวน

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการในสามก๊ก มาเล่าให้ฟังค่ะ  

ซุนกวน เป็นบุตรชายคนที่สองของซุนเกี๋ยน และเป็นน้องชายของซุนเซ็ก พ่อและพี่ชายซึ่งเป็นนักรบเก่งกล้าสามารถมาก หลังจากซุนเซ็กพี่ชาย เสียชีวิตจึงได้ขึ้นครองแคว้นกังตั๋ง เมื่ออายุเพียง 18 ปี เมื่อเอ่ยถึงซุนเกี๋ยนผู้เป็นบิดาของซุนกวนนั้น มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุ 17 ปีโดยแสดงความกล้าหาญในการปราบโจรสลัด จากนั้นทำการปราบปรามกบฎโจรโพกผ้าเหลืองจนได้เป็นเจ้าครองเมืองเตียงสา เคยเข้าร่วมรบกับอ้วนเสี้ยว ในการนำทัพพันธมิตร 18 หัวเมืองอันมี อ้วนสุด โตเกี๋ยม กองซุนจ้าน ม้าเท้ง โจโฉ ต่อต้านตั๋งโต๊ะที่ยึดเมืองหลวงไว้ การรบครั้งนั้น ทัพพันธมิตรมีจำนวนมาก แต่ออกรบแบบประปราย มีแต่โจโฉและซุนเกี๋ยนเท่านั้นที่นำทัพออกไปรบกับทัพตั๋งโต๊ะ และทั้งสองก็พ่ายแพ้กลับมาทั้งคู่  โจโฉสู้ไม่ได้ เพราะทัพมีกำลังคนน้อยกว่า แต่ซุ่นเกี๋ยนนั้นได้เปรียบในการรบ ซ้ำยังสามารถสังหารแม่ทัพเอกฮัวหยงของตั๋งโต๊ะได้ แต่ต้องถอยทัพกลับเพราะ อ้วนสุดไม่ยอมส่งกำลังสนับสนุนและเสบียงให้ ซุนเกี๋ยนเอาชนะตั๋งโต๊ะและลิโป้ได้ ยึดได้เมืองลกเอี๋ยง หรือ ลั่วหยาง ซึ่งถูกตั๋งโต๊ะเผาเมืองทิ้งไป  แต่ซุนเกี๋ยนต้องจบชีวิตลงในวัย 37 ปีเพราะความลำพอง และประมาทศัตรู ในการทำศึกกับเล่าเปียว ซุนเกี๋ยนบุกเดี่ยวไล่ล่าขุนพลหองจอขุนศึกของเล่าเปียว เลยถูกมือเกาทัณฑ์ซุ่มระดมยิงจนเสียชีวิต ขณะนั้นซุนเซ็กพี่ชายของซุนกวน อายุได้ 18 ปีจึงต้องสืบทอดภาระและกองทัพต่อจากครอบครัว

ซุนเซ็กออกศึกร่วมรบกับบิดาตั้งแต่อายุ 15 ปีมีความห้าวหาญไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ เก่งกาจ มีความสามารถในการบริหารคน สามารถชักจูงคนเก่งๆมาเป็นพวก หลังบิดาเสียชีวิต ซุนเซ็กเข้าไปพึ่งอ้วนสุด เนื่องจากยังไม่มีฐานที่มั่นและทุนทรัพย์ ทั้งๆที่รู้ว่าบิดาและอ้วนสุดบาดหมางกัน อ้วนสุด ใช้ซุนเซ็กในการขยายอิทธิพล จนซุนเซ็กสะสมทุนและเสบียงจนเข้มแข็ง จึงตีจากอ้วนสุดและนำทัพบุกแคว้นกังตั๋งสร้างเป็นฐานที่มั่น ด้วยความที่ซุนเซ็ก ประสพความสำเร็จตั้งแต่หนุ่ม จึงลำพองในฝีมือและประมาทคู่ต่อสู้ออกล่าสัตว์เพียงตามลำพังเป็นประจำ จึงถูกกลุ่มนักฆ่าดักรอลอบสังหารด้วยเกาทัณฑ์พิษ และจบชีวิตด้วยวัยเพียง 26 ปี ซุนกวนจึงได้ขึ้นครองแคว้นกังตั๋งแทนพี่ชาย

ซุนเซ็กเอาใจใส่น้องชายคนนี้มากและให้ติดตามตลอดไม่ว่างานประชุมหรือสังสรรค์  เพื่อปลูกฝังให้น้อง   มีประสพการณ์ด้านการเมืองและการปกครอง ก่อนตาย ซุนเซ็กได้สั่งเสียน้องชายว่า เรื่องภายในให้ปรึกษาเตียวเจียว   เรื่องภายนอกให้ปรึกษาจิวยี่ ซุนกวน  รับตำแหน่งใหม่ๆขุนนางหลายคน ไม่มั่นใจในตัวนาย คิดตีจากไปสวามิภักดิ์กับขุนศึกอื่น ในช่วงวิกฤตนี้ได้ เตียวเจียวและจิวยี่ คอยประคับประคองและสนับสนุน รับรองการเป็นผู้นำ ทำให้คลื่นใต้น้ำในแคว้นกังตั๋งสงบลงได้ ซุนกวน ไม่ใช่นักรบผู้เก่งกล้าดังเช่นพ่อและพี่ชาย จึงไม่ค่อยได้รับการยกย่องเฉกเช่นผู้นำทั่วไปในสมัยนั้น ที่ยึดถือผู้นำต้องรบเก่ง แต่ซุนกวนมีจุดแข็งอยู่ที่  การบริหารปกครองและการบริหารคนที่ทำให้ก๊กของเขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้เป็นก๊กตัวแปรในสามก๊ก ซุนกวนปกครองโดย ให้มีการประชุมขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นในรูปแบบที่ปรึกษาในลักษณะการวิพากษ์วิจารณ์และถกประเด็น แต่การตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่ซุนกวน เนื่องจากแคว้นของซุนกวนอยู่ปากแม่น้ำแยงซีเกียง จึงเป็นแหล่งรวบรวมบัณฑิตและนักปราชญ์ที่หนีภ้ยสงครามมาอยู่อาศัย ทำให้สามารถเลือกใช้คนได้อย่างมากมาย  ซุนกวนมีคนให้เลือกใช้มากกว่าเล่าปี่ ที่พึ่งแต่ขงเบ้ง ซึ่งทำให้ซุนกวนไม่เคยออกรบด้วยตัวเองเลย

สิ่งที่เน้นความสำเร็จของซุนกวน คือ การที่เขาสามารถอยู่ในบังลังค์ของกษัตริย์ ง่อก๊ก ได้ถึง 30 ปีจนสิ้นอายุ  และส่งต่อให้ลูกหลาน ก่อนที่ง่อก๊กจะเสื่อมและถูกยึดโดยสุมาเอี๋ยน แต่เขาก็ไม่สามารถยิ่งใหญ่เทียบพี่ชายและบิดาของเขา ที่เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่คนกล่าวขานกันมา ซุนกวนจึงเป็นได้แค่ผู้นำที่สืบสานความสำเร็จจากพ่อและพี่ชายและบริหารให้ก๊กตัวเองอยู่รอด หลักการบริหารของซุนกวน ผู้นำแห่งง่อก๊ก มีจุดเด่นในการประสานความสามารถของคนรุ่นต่างๆ ได้อย่างลงตัว มิให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ร่วมงาน จนส่งผลต่อการทำงานในภาพรวม โดยแบ่งบทบาท อำนาจหน้าที่ (Authority) อย่างชัดเจน เห็นได้จากซุนกวน ไม่ค่อยนำทัพออกลุยเองเหมือนกับเล่าปี่และโจโฉ แต่ทำหน้าที่ผู้นำทางบริหาร และตัดสินใจในนโยบายสำคัญของแคว้นอย่างเต็มที่มากกว่า

นิโคไล เลนิน

ดิฉันมีเรื่อง วิธีการบริหารจัดการของนักปฏิวัติคนสำคัญผู้ร่วมมือกับ นิโคไล เลนิน ปฏิวัติการเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศรัสเซียให้เป็นสังคมนิยม ต่อมาได้เป็นผู้นำสูงสุดของ ประเทศสหภาพโซเวียตและเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในประเทศแถบยุโรปตะวันออกอีกด้วยซึ่งบุคคลท่านนี้ก็คือ โจเซฟ สตาลิน มาเล่าให้ฟังค่ะ
โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อนี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า) เขาเกิดที่ รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เป็นลูกของช่างทำรองเท้า ส่วนมารดาเป็นคนรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าให้กับบ้านเศรษฐีม่ายคนหนึ่ง พ่อของเค้าเป็นคนอ่อนแอผิดกับแม่ซึ่งเข้มแข็ง ความอ่อนแอของพ่อนี่เองที่ทำให้เขาสงสารพ่อและเกียจแม่ สตาลิน หนีออกจากบ้าน หลังจากทะเลาะกับบิดา แล้วถูกตบด้วยรองเท้า เค้าได้รับการศึกษาที่ไม่มากนัก ด้วยฐานะยากจนและหัวไม่ดี ต่อมาในช่วงปี 1900 สตาลิน เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และปล้นธนาคารในบ้านเกิดของเขาเอง เพื่อเอาเงินไปสนับสนุนพรรค แต่เขาถูกจับได้และถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย บ้างก็ว่าสมัยเขาอยู่จอร์เจีย เค้าได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งไม่มีบันทึกชื่อในประวัติศาสตร์) และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน เมื่อสตาลิน กลับมาจากไซบีเรีย เค้าได้ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ต่อ และตำแหน่งการงานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นคนมีความมักใหญ่ไฝ่สูงมาก จน เลนิน ก็รู้สึกกลัวคนๆ นี้ เพราะเขาเป็นคนไม่มีการศึกษา กิริยาท่าทางก็หยาบคาย แต่ความก้าวหน้าของเขาเป็นได้ จากความจงรักภักดีต่อพรรคของเขานั้นเอง ช่วงราวๆปีคศ. 1910-1920 นี้เอง สตาลินแต่งงานแบบมีบันทึกในประวัติศาสตร์ มีลูกชาย 1 คน (ต่อมาทำหน้าที่เป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่ 2) และลูกสาวอีก 1 คน (ต่อมาแต่งงานกับชาวยิว และลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในอเมริกาหลัง สตาลินตาย)
เมื่อ เลนินตายปี 1923 เขาเสนอชื่อชื่อตัวเองเข้ารับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์ตอนนั้นคู่แข่งของเขาคือ ลีออง สตรอยคอฟ ลังเลเพียงเสี้ยวนาทีในการตัดสินใจเสนอชื่อตนเอง ลีออง เลยต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ เม็กซิโก เพื่อรักษาชีวิตตนเอง แต่เขาก็ถูก สตาลิน ส่งคนไปฆ่า
ในปี 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ คอมมูน มาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรค หรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไปค่ายกักกันและเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไม่มีการสำรวจประชากรว่า ระหว่างที่เขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียต้องตายไปเท่าไร ในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบ นารวม มีคนอดตายอีกเป็นล้านๆ คน โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน เขาสั่งพัฒนาประเทศต่อไปอย่างไม่รีรอ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นกับรัสเซีย สตาลินก็นำสหภาพโซเวียตเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้ โซเวียตอยู่ในฐานะผู้ชนะสงคราม และกลายเป็นหนึ่งในสองอภิมหาอำนาจของโลก สหภาพโซเวียตจึงกลายเป็นประเทศอภิมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกาและเป็นการเริ่มต้นของยุคสงครามเย็นที่มีความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ
สตาลินเสียชีวิตในปี 1953 เมื่ออายุได้ 74 ปี ด้วยเส้นเลือดในสมองแตกขณะเถียงกับ ครุฟซอฟ เรื่องเนรเทศยิวกลุ่มใหม่ไปไซบีเรีย งานศพของเขา มีคนเหยียบกันตายราว 3,000 คน
หลังสตาลินตาย ครุฟซอฟ ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้ง ประณาม ขุดคุ้ย ความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุกๆ ที่ ที่มีรูปปั้น สตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้างๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลิน

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา ไม่มีออฟฟิตใดไร้ความขัดแย้ง ถ้าคุณบอกว่าชีวิตการทำงานที่ผ่านมา 10 ปีของคุณราบรื่นทุกวัน แสดงว่าคุณเพิ่งตื่นจากความฝันหรือไม่ก็กำลังโกหกตัวเองค่ะ เว้นเสียแต่ว่าคนไม่ต้องทำงานกับคนไม่ต้องพบปะมนุษย์เดินดินค่ะ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีมนุษย์สองคนหรือสามคนขึ้นไป มาอยู่รวมกัน จะเพื่อทำงานหรือพบปะสังสรรค์กันด้วยเรื่องใดก็ตาม เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ถกเถียง ขัดแย้ง แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกัน ปะทะกันด้วยคารมและอารมณ์ที่ควบคุมได้ยาก
คนทุกคนมีทั้งด้านบวกและด้านลบในตัวเอง ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคนๆนั้นทำงานโดยใช้ด้านลบของตัวเอง แทนที่จะใช้ด้านบวก ปัญหาอาจเกิดขึ้นโดยขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ หรือมีอะไรบางอย่างมาผลักดันให้ทำลงไป บุคคลผู้ก่อปัญหาส่วนใหญ่มักไม่รู้เลยว่า การกระทำของตนเองนั้นได้ส่งผลต่อความรู้สึกของคนอื่นและไม่รู้ด้วยว่า เมื่อได้ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นแล้ว ผลเสียของสิ่งที่ตนกำลังทำลงไปจะวนกลับมาส่งผลกระทบต่อตนเองในที่สุด
ในโลกของการทำงานอันยุ่งเหยิงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลักเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบุคคลปัญหา ผู้ซึ่งทำให้งานของเรายากขึ้นในทุกวันของชีวิต คนเหล่านี้อาจสร้างปัญหาร้ายแรงที่ทำให้เราโกรธจนทำอะไรไม่ถูก หรือแค่สร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆประจำวันให้เรารำคาญใจ แต่ก็ล้วนทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นในการที่จะทำงานของเราให้ลุล่วง ที่ผ่านมาคุณอาจเคยแก้ปัญหาด้วยการตอบโต้ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งคุณก็รู้ดีว่าการระเบิดอารมณ์ใส่กันนั้น เป็นการแก้ปัญหาแค่ชั่วครู่ชั่วยาม คุณรู้ว่าการข่มขู่โดยใช้อำนาจทำให้คู่กรณียอมจำนน เพราะเถียงสู้ไม่ไหว เป็นวิธีที่ง่ายแต่ไม่พึงประสงค์เลยสำหรับมืออาชีพ ใครจะอยากคาดเข็มขัดแชมป์หรา อยากสวมเหรียญทองคำ เดินกร่างไปมาในที่ทำงาน ที่ไม่มีใครชอบเราเลยสักคน
แม้มนุษย์โหยหาชัยชนะ แต่ก็ไม่อาจมีความสุขอยู่ได้กับชัยชนะที่ปราศจากมิตรภาพ ไม่มีใครเดินชมสวนดอกไม้อย่างเป็นสุขได้ ถ้ารู้ว่ามีคนซุ่มรอลอบยิงอยู่ตามทางเดิน ความก้าวร้าวรุนแรงอาจนำมาซึ่งชัยชนะในระยะสั้น แต่เมื่อทำร้ายจิตใจผู้อื่นบ่อยครั้ง ผู้นั้นจะเริ่มกำชัยชนะกลับบ้านด้วยความโดดเดี่ยวที่อ้างว้าง เพราะชัยชนะ บนความปวดร้าวของผู้อื่น ไม่เคยนำความสุขที่แท้จริงมาให้ใคร ความสำเร็จในการทำงานไม่ได้อยู่ที่คุณทำงานเก่งกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่อยู่ที่การได้รับการยอมรับและชื่นชมจากคนอื่นด้วย งานนั้นต่อให้ยากเย็นเข็ญใจ แต่เมื่อเรามีความสามารถและความเพียร เราย่อมเอาชนะได้ในที่สุด แต่ความสามารถและความเพียรอาจไม่ช่วยให้คนเก่งเอาชนะหัวใจคนได้ คนที่อยู่ท่ามกลางบุคคลปัญหาสารพัดพิษ แต่ยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข และสามารถจัดการงานจนสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิผล นี่สิคือ คนเก่ง อย่างแท้จริง ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่า การเอาชนะใจคนที่เอาชนะยาก เป็นสิ่งท้าทายความสามารถที่สุดในการทำงาน ความจริงที่บาดใจ ก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนสร้างปัญหาและคุณเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่อาจเป็นตัวสร้างปัญหาด้วยเช่นกัน ท่านผู้ฟังค่ะจากที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดนี้เราจะมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร วิธีการที่ดีก็คือ การชนะตนเองให้ได้ก่อนชนะคนอื่น ซึ่งมีความสำคัญมาก คุณจะรับมือกับบุคคลปัญหาไม่ได้ ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เพราะทันทีที่คุณตอบโต้อย่างขาดสติ คุณจะกลายเป็นผู้ร่วมสร้างปัญหาไปโดยปริยาย ดังนั้นขอให้คุณตั้งมั่น อดทน ฝึกฝนเอาชนะใจตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าคุณสามารถปฏิบัติเช่นนี้แม้กับตัวปัญหาที่เจ้าอารมณ์ที่สุดในสำนักงาน ใครๆที่เห็นเหตุการณ์จะหันมามองคุณด้วยความนับถือ และพร้อมจะเข้าข้างคุณ และแม้ความพยายามที่จะ เอาชนะตัวเอง ให้ได้ อาจไม่ส่งผลดีต่อทันตาเห็นในชั่วโมงนี้ แต่รับรองว่าคุณจะได้รับผลดีของมันแน่นอนในอนาคต เมื่อวันหนึ่งคุณเดินเข้ามาในสำนักงานแล้วพบว่า ใครๆก็อยากทำงานร่วมกับคุณ

ผู้นำองค์กรต้องมีทั้งความเก่งและความดี

แม่ทัพใหญ่ นำทัพต่อสู้ให้อยู่รอดและประสบชัยชนะได้นั้นเป็นเรื่องไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ สภาพเศรษฐกิจที่ประสบปัญหากันทั่วโลก สังคมที่มีประชากรโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด มีสภาพขาดแคลน มีไม่พอ ทั้งยังเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ภาวะโลกร้อน การเกิดภัยทางน้ำเช่นคลื่นยักษ์ การเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่ทำลายบ้านเมืองเช่นที่เกิดที่ประเทศจีน ภาวะการขาดแคลนพลังงาน น้ำมันแพง สิ่งแวดล้อมภายนอก เกิดผลกระทบที่สำคัญต่อองค์กร สิ่งแวดล้อมภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน การขัดแย้งกันที่นำไปสู่ความแตกแยก การขาดความสามัคคี ปัญหาด้านจิตใจนั้นใหญ่กว่าปัญหาด้านวัตถุเป็นอันมาก ผู้นำองค์กรต้องมีทั้งความเก่งและความดี มีการปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ และรวดเร็วทันกับความเปลี่ยนแปลง คอยเสริมดี เพิ่มดี เติมดีอยู่เสมอ พื้นฐานแห่งความสำเร็จ คือ ความตั้งใจ ความเพียร สนใจใส่ใจ และหมั่นทบทวนพิจารณาเพื่อปรับปรุงอยู่เสมอ การนำองค์กร อย่างมีขั้นตอนมีดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 1. เป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางให้แก่องค์กร กำหนดวาระในการเปลี่ยนแปลง (Strategic Change Agenda) และกำหนดกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 2. เป็นผู้นำในการวางแผนกลยุทธ์ จัดทำแผนที่กลยุทธ์ (Strategy Maps) กำหนดเป้าหมายที่เหมาะสมในการปรับปรุงพัฒนา และเพื่อดึงให้คนในองค์กรมาร่วมมือกัน
ขั้นตอนที่ 3. เป็นผู้นำในการสร้างความสอดคล้อง (Alignment)ให้เกิดกับทุกหน่วยงาน สื่อสารถึงทิศทางและกลยุทธ์ให้กับทุกคนในองค์กร
ขั้นตอนที่ 4. เป็นผู้นำในการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงกระบวนการที่จำเป็นต่อการดำเนินกลยุทธ์ และเชื่อมโยงแผนกลยุทธ์เข้ากับแผนดำเนินงานและงบประมาณ
ขั้นตอนที่ 5. เป็นผู้นำในการติดตามผลดำเนินงาน ติดตามผลในการดำเนินกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 6. เป็นผู้นำในการปรับปรุงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนดังกล่าวนั้นเป็นการบริหารกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเป็นวงจร หรือที่เรียกว่า Close loop management system ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวเปรียบเสมือน Master Plan จะผูกเครื่องมือในการบริหารย่อยทั้งหมดอีกหลายชนิด
ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญของกองทัพ คือ ขวัญและกำลังใจ หรือพลังจิตของคนในองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ หากผู้นำสูญเสียพลังใจแล้วคงไม่สามารถรบได้ถึงร้อยครั้ง อาจสูญสิ้นตั้งแต่การต่อสู้ในครั้งแรก แต่หากมีพลังใจที่ดีแล้ว สู้ไม่ถอย จะเกิดความพร้อมทั้งแรงกายและแรงใจ อีกทั้งสติปัญญา สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในที่สุด

การก้าวขึ้นสู่การเป็นหัวหน้างาน

ในการปฏิบัติงานในทุกตำแหน่งหน้าที่ ทุกคนปราถนา ถึงความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นด้วยกันทั้งสิ้น แต่การก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นนั้น ต้องทำให้หลายต่อหลายคนที่ต้องประสบปัญหาแตกต่างกันไป การจะก้าวขึ้นสู่การเป็นหัวหน้างาน เป็นผู้บังคับบัญชาคนอื่นหลายคน อาจต้องผ่านความยากลำบาก แต่หลายคนอาจจะไม่ต้องฝ่าฟันอะไรมากนักด้วยเหตุอาจจะเพราะโอกาส หรือจังหวะของชีวิต หรือระดับการศึกษา แต่คนทั้งสองกลุ่มจะหลีกไม่พ้นที่จะต้องพบและเจอเหตุการณ์ และสภาวะใหม่ ๆ ที่ไม่เคยชิน ในตำแหน่งงานของเป็นหัวหน้างานที่คล้าย ๆ กัน บางคนไม่สามารถฝ่าด่านการเป็นหัวหน้างานที่มีประสิทธิภาพได้ จนต้องกลับไปเป็นพนักงานเช่นเดิม หลายคนต้องใช้เวลา และโอกาสหลาย ๆ ครั้งหรือการเปลี่ยนงานหลาย ๆ องค์กร ในการเรียนรู้ ยิ่งถ้าหากการก้าวขึ้นเป็นหัวหน้างานภายในองค์กรก็ยิ่งจะลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ได้รับการโปรโมท หรือได้รับการแต่งตั้งภายในองค์กร ในหน่วยงานเดิม เพราะลูกน้องในวันนี้คือเพื่อนร่วมงานของเราเมื่อวานนี้ ไม่รู้ว่าจะสั่งงานอย่างไรดี จะตำหนิหรือพูดอย่างไรเพื่อน (ลูกน้องใหม่) ถึงจะเข้าใจ ทั้งนี้หากจะมองสภาพที่มาของปัญหาในการเป็นหัวหน้างานมือใหม่ พอจะสรุปได้ดังนี้ค่ะ
1.ปัญหาจากภายใน
ได้แก่ปัญหาที่เกิดจากภายในของตัวผู้ที่เป็นหัวหน้างานมือใหม่เอง ที่ยังคงวางบทบาทตัวเองเป็นเหมือนเก่า ยังคิดว่าเขาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม หรือบางคนก็คิดในมุมกลับมากเกินไปว่าวันนี้เราเป็นหัวหน้าแล้วจะต้องเป็นอย่างที่หัวหน้าคนเดิมเคยเป็น สั่งอะไรได้ทุกอย่าง เพื่อนร่วมงานจะต้องเชื่อฟังในทันทีที่มีตำแหน่งปะหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว การยอมรับนับถือไม่ได้มาจากตำแหน่งหน้าที่เพียงอย่างเดียว องค์ประกอบที่สำคัญคือบารมี บารมีสร้างได้โดยอาศัยอำนาจที่มีให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ใช่ว่ามีอำนาจแล้วบารมีจะต้องมาทันที หลายคนบารมีกลับหดหายเมื่อคิดว่ามีอำนาจสั่งการได้ทุกอย่าง เพราะการที่คนเราจะมีบารมีหรือได้รับการยอมรับกับคนอื่นนั้น ต้องรู้จัก “การให้” ก่อน โดยที่มาของบารมี และการยอมต่อคนที่เป็นหัวหน้างานนั้น มีที่มาที่นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของตำแหน่งงาน จาก “การให้” จากทางใด ทางหนึ่งดังนี้
1. มาจากความรู้ ความชำนาญในงาน ความสามารถในการแก้ปัญหางาน ที่มากกว่าคนอื่น การยอมรับของคนเรามักจะยอมรับคนที่เก่งกว่าตนเองค่อนข้างง่าย ในประเด็นนี้มักจะเป็นปัญหาใหญ่กับหัวหน้ามือใหม่ค่อนข้างมาก เพราะหัวหน้างานมือใหม่มักจะเจอข้อจำกัดสองขั้น ขั้นแรกเป็นความใหม่ ความน้อยของประสบการณ์ จึงอาจทำให้การแสดงความรู้ความสามารถไม่รวดเร็ว ชัดเจน และแม่นยำ ไม่ตรงกับความคาดหวังของผู้อื่นเท่าที่ควร ยิ่งต้องเป็นตำแหน่งงานที่เคยมีคนเก่าทำไว้ดีอยู่แล้วยิ่งทำให้ผลงานเกิดการเปรียบเทียบกันมากยิ่งขึ้น เพราะลูกน้องหรือคนดูมักจะเปรียบผลงานในวันสุดท้ายของคนเก่าซึ่งผ่านประสบการณ์มามากแล้ว มาเปรียบกันวันแรก ๆ ของคนใหม่ซึ่งยังไม่ประสบการณ์ เมื่อมองเห็นความผิดพลาดบ่อย ๆ ครั้งเข้าความเชื่อถือก็จะค่อย ๆ ลดลง บางครั้งกลายเป็นความฝังใจไปเลยก็มี ข้อจำกัดขั้นที่สองที่หัวหน้างานมือใหม่มักเจอในกรณีนี้ก็คือ ช่วงห่างของฝีมือ ประสบการณ์ระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้องที่เคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมงาน ยังไม่ห่างกันมากนัก เวลาที่ผ่านมาส่วนใหญ่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในบทบาทหน้าที่ตำแหน่งงานเดียวกัน ทำให้ความรู้สึกในการยอมรับนับถือยังมีน้อย และการแสดงฝีมือ และความสามารถต้องอาศัยเวลา หรืออาจจะต้องเป็นฝีมือหรือความสามารถที่ชัดเจนจริง ๆ
2. ที่มาของบารมี ที่มาจาก “การให้” อีกอย่างหนึ่งคือ การให้ในเชิงความเข้าใจ ให้ในเชิงเข้าใจความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างการเป็น “หัวหน้า” กับ “ลูกน้อง” ต้องเข้าใจว่าลูกน้องกำลังรู้สึกอย่างไรกับ “หัวหน้างานมือใหม่” เพราะลูกน้องเองก็ยังยึดติดกับแนวทางของหัวหน้างานคนเก่าอยู่ รวมทั้งยังเกิดความไม่มั่นใจกับฝีมือ ความสามารถของหัวหน้างานคนใหม่ บางทีบางคนยึดมีใจที่รู้สึกริษยาอยู่ลึก ๆ ถึงการที่ตนเองไม่มีโอกาสเช่นเดียวกับหัวหน้างานมือใหม่ ซึ่งเป็นธรรมชาติปกติของมนุษย์ ดังนั้นการบริหาร สั่งงานจึงควรต้องใช้จิตวิทยาการบังคับบัญชา โดยควรสั่งงานด้วยวิธีที่นุ่มนวล เป็นการขอความร่วมมือ มากกว่าจะเป็นการสั่งการหรือการใช้อำนาจ โดยทั้งสองด้านของที่มาของบารมี เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่หัวหน้างานต้องมี ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง หากไม่มีฝีมือหรือความสามารถในเชิงเทคนิคที่ชัดเจนแล้ว หัวหน้างานจะต้องมีฝีมือ และความสามารถในทางการบริหารและความเข้าใจทีมงาน หากมีทั้งสองด้าน จะทำให้หัวหน้างานนั้นประสบความสำเร็จในการบริหารงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาของหัวหน้างานมือใหม่คือควรจะต้องวิเคราะห์ตนเองในขณะนี้ว่า ทั้งสองด้านของที่มาของบารมีที่กล่าวมานั้น ตนเองมีช่องทางในการสร้างบารมีด้านใดได้ง่ายที่สุด หากมีฝีมือ หรือความสามารถในงานที่โดดเด่น ก็ค่อนข้างจะง่ายในการสร้างการยอมรับจากทีมงาน แต่หากตนเองมีปัญหาของความเป็น “มือใหม่” ทั้งหน้าที่ และบทบาท รวมทั้งความรู้ที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งงานใหม่แล้ว ขอแนะนำให้รีบดำเนินการสร้างบารมีและการยอมรับในด้านที่สอง คือการบริหารทีมงานด้วยความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วม ขอความร่วมมือจากทีมงาน ควบคู่ไปกับการฝึกฝนพัฒนาความรู้ ความสามารถด้านเทคนิค
2.ปัญหาจากภายนอก
สิ่งที่สำคัญที่หัวหน้างานมือใหม่มักจะรู้สึกแปลกแตกต่าง กับบทบาทหน้าที่ใหม่ก็คือ คนอื่นๆ โดยเฉพาะแผนกอื่น ๆ ผู้บังคับบัญชาในระดับที่สูงขึ้นมักจะจ้องจับผิด หรือตำหนิการทำงานอยู่เสมอ ไม่เห็นเหมือนเมื่อก่อนเลย ในความจริงแล้วตัวเราเองยังรู้สึกว่าตัวเราเป็นแบบเดิม และรู้สึกกับคนอื่นเหมือนเดิม แต่ในทางตรงกันข้ามคนอื่น โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงานแผนกอื่น ๆ จะเริ่มมองเราด้วยภาพที่แตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้เกิดจากความคาดหวัง เกิดจากความต้องการรับรู้ในผลงานของเราในตำแหน่งใหม่ ๆ ไม่ใช่เกิดจากการที่ต้องการจะจับผิดแต่อย่างใด สิ่งที่หัวหน้างานมือใหม่ต้องทำ ก็คือ การปรับตัว เตรียมใจ เข้าสู่บทบาทใหม่ ให้ลืมวันสุดท้ายของตำแหน่งเก่า ๆ แต่ให้คิดว่าวันนี้คือวันแรกของตำแหน่งใหม่แล้ว ถ้าเราเป็นหัวหน้าเราจะคาดหวังอย่างไรกับ “หัวหน้างานมือใหม่” และ สำคัญคือต้องมีความพร้อมในการวางบทบาทของตัวเองกับตำแหน่งงานใหม่
จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับหัวหน้างานมือใหม่ เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่คนทำงานทุกคนต้องเจอ เพียงแต่จะเจอเร็วหรือเจอช้า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่คนรอบข้าง ตำแหน่งหรือสิ่งแวดล้อม แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่าเราจะวางตัว รับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร

การบริหารงานมืออาชีพ

การบริหารงานมืออาชีพ มิได้อยู่ที่การบริหารตัวคุณคนเดียวเท่านั้น นักบริหารที่ประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ การสั่งสมประสบการณ์ในระยะยาวของตนเอง ตลอดจนการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของ “ผู้อื่น” อย่างละเอียดลึกซึ้ง และเรียนรู้วิธีการบริหารงานที่ถูกต้อง เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่องค์การได้วางไว้นั่นเองค่ะ
ต้องยอมรับกันว่าเรื่องราวของการบริหารคนนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่มีมานานและต้องนานมากทีเดียวเมื่อมนุษย์จำเป็นต้องมีการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ มีกิจกรรมทางธุรกิจหรือการดำเนินงานร่วมกัน และไม่ว่ายุคสมัยใดพัฒนาการขององค์กร ธุรกิจ สังคม รวมถึงประเทศชาติจะถูกเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือกระแสทุน ที่มโหฬารปรับให้เปลี่ยนแปลงไปนับร้อยเท่าพันทวี เรื่องการบริหารคนจะยังคงเป็นสิ่งที่ธำรงแก่นแท้หลักหนึ่งในการบริหารองค์กร ความสำเร็จขององค์กรหรือหน่วยงานที่เจริญก้าวหน้าเติบโตในกระแสโลกาภิวัตน์ สามารถพิจารณาได้จากสิ่งต่างดังนี้เช่น
-ด้านผลประกอบการ หรือความสามารถในการทำกำไร ที่นำมาซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจระดับประเทศ การจ้างงานให้คนในชาตินั้นได้มีอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว
-ด้านการสร้างสรรค์ และธำรงไว้ ซึ่งความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งนี้จะแตกต่างจากองค์กรที่มักจะบอกว่า เราทำอะไรผิดกฎหมายหรือไม่ หรือไม่เห็นมีใครว่าในสิ่งที่เราทำ เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่ลักษณะขององค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม
-ด้านการบริหารจัดการภายใน ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่วนหนึ่งที่จะดูกันมากคือ การบริหารคนตั้งแต่การว่าจ้าง สรรหาคนให้เข้ามาทำงาน การเลื่อนตำแหน่งแต่งตั้ง การให้รางวัลในด้านคุณงามความดีและทำคุณประโยชน์ให้องค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการบริหารคน ถ้าเป็นระบบอุปถัมภ์ (Spoil System) องค์กรนั้น ถือว่าล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า แม้ว่าอื่นๆ จะดีหมดเพราะสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงเปลือกหรือการสร้างภาพทางการตลาดเท่านั้นเอง

ผู้นำที่บ้าอำนาจ ลุแก่อำนาจ

ในโลกเรานี้ล้วนแต่มีความแตกต่างมากมาย ทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ และหลากหลายความคิดเห็น ทุกท่านคงเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และได้มีโอกาสเป็นผู้บังคับบัญชาด้วยกันทั้งนั้น แต่จะมีท่านใดบ้างที่โชคดีที่มีผู้นำที่รู้ใจ เข้าใจและเห็นอกเห็นใจลูกน้องของตน มีผู้นำประเภทหนึ่งค่ะ ที่ลูกน้องไม่อยากมี ไม่อยากได้และไม่อยากร่วมงานด้วย ก็คือ ผู้นำที่บ้าอำนาจ ลุแก่อำนาจ ซึ่งผู้นำประเภทนี้ เป็นเรื่องที่ลูกน้อง ต้องทำ
ใจจริงๆค่ะ หากเจอหัวหน้างานอย่างนี้...
เรามาดูกันดีกว่าว่า ผู้บริหารในกลุ่มนี้นั้น เขาต้องการอะไรจากการทำกระทำที่บ้าแก่อำนาจ เช่นนั้น....

1. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานมานาน อยู่เหนือคนมานาน ดังนั้น เขาจะเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำ ในสิ่งที่เขาตัดสินใน สิ่งที่เขาตัดสินใจไปต้องถูกต้องเสมอ ทั้งๆที่บางที ก็เป็นการตัดสินใจอย่างโง่เขลาก็มี.... แต่คนที่มีประสบการณ์หรือทำงานมานาน มักจะมีเหตุผลเป็นทุนเดิม ดังนั้น คนกลุ่มนี้ ต้องทำใจเย็นๆ ฟัง แล้ววิเคราะห์ อย่าเอาเรือไปขวางขณะน้ำยังเชี่ยว แต่เมื่อมีโอกาส หรือ เขาอารมณ์ดี เดินเข้าไป ขอคำปรึกษา เลยค่ะ ดิฉันขอเน้นว่า ขอคำปรึกษา เพราะ ผู้บริหารกลุ่มนี้ ไม่ต้องการให้ใครเก่งกว่า หรือ เด่นกว่า การยอมรับโดยขอคำปรึกษาเค้าๆจะตอบสนอง ความต้องการพื้นฐานของเขาแล้วส่วนหนึ่ง ... จากนั้น ค่อยๆ ถาม หรือ สมมุติ เหตุการณ์เพื่อให้เขา อธิบายสิ่งต่างๆ คุณจะพบกับคำตอบบางอย่างที่น่าทึ่งก็เป็นได้ค่ะ

2. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ บางคน เกิดจากการกดดันจากทางบ้าน เป็นประเภท ขาดภาวะผู้นำจากที่อื่น เลยมาระบายเอาที่ทำงาน อย่างเช่น มีภรรยาดุ เป็นต้น คนกลุ่มนี้ บ้าอำนาจแบบชอบขู่ ชอบตะคอก ไร้เหตุผล ต้องหาจุดอ่อนของเขาให้เจอครับว่า เขามีจุดเด่น หรือ จุดด้อยที่ใด คุณถึงจะสามารถหาทางที่ถูกต้อง เพื่อทำให้การบ้าอำนาจเบาบางลง คนกลุ่มนี้ไม่ค่อยตอแยกับคนที่รู้จุดอ่อนของเค้าหรอกค่ะ

3. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ ที่ได้อำนาจจากบุคคลอื่น อย่างเช่น พ่อแม่เป็นเจ้าของบริษัทฯ หรือ มีหุ้นส่วนในบริษัทฯ บางคนก็บ้าอำนาจคิดว่าอำนาจเป็นของเขา ให้มองผ่านคนกลุ่มนี้ไปเลยค่ะเขาจะรักษาอำนาจเหล่านี้ได้ไม่นาน อำนาจที่เขาทำ จะย้อนกลับมาเล่นงานเขาเอง ทำใจให้ยอมรับกับบุญเก่าของเค้า. เมื่อกรรมใหม่มาทันก็จะได้เห็นกัน.... ที่หลายๆท่านมักพูดกันว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า

4. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ เพราะ คิดว่าตัวเองมีความสำคัญกับองค์กรมาก จะทำอะไรก็ได้... ผู้นำแบบนี้น่ากลัวค่ะ ถ้าเขาสำคัญจริง เจ้าของกิจการบางคนก็ไม่กล้าให้เขาออก คนกลุ่มนี้ มีจุดอ่อนที่เขากุมความลับบางเรื่องอยู่ ลองเรียนรู้ว่าเขากุมความลับอะไร แล้ว ทำให้ความลับไม่เป็นความลับดูสิ เขาจะหมดอำนาจไปในฉับพลัน แต่ดิฉันไม่แนะนำให้ชนนะค่ะ ต้องค่อยๆกระจายความรู้ออกไปสู่สาธารณะ ให้สุนัขจนตรอกมีหนทางหนีบ้าง ไม่อย่างนั้น สุนัขจนตรอกจะแว้งกัดเราค่ะ ที่มักพูดกันว่า อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม

ผู้นำต้องเป็นคนที่เดินไปข้างๆพร้อมกัน

ผู้นำต้องเป็นคนที่เดินไปข้างๆพร้อมกัน ไม่ใช่เดินนำหน้าเสมอ เปรียบเสมือนดัง ฝูงห่านที่มีการสับเปลี่ยนกันเป็นหัวหน้าในแต่ละสถานการณ์มีการทำงานเป็นทีมและมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อีกทั้งยังต้องขายฝัน สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุก
คนโดยจะต้องสร้างภาวะความเป็นผู้นำให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใต้บังคับบังคับบัญชา เพื่อให้เป็นผู้นำที่มีการคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ มีจินตนาการ และมีนวัตกรรมค่ะ
การที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา มีภาวะความเป็นผู้นำแบบใหม่ ที่มีความรับผิดชอบ และสามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้คล้ายกับฝูงห่านนั้น ให้สังเกตว่าลักษณะการบินของห่าน จะเป็นรูปตัว "V" และมีการเปลี่ยนตัวผู้นำทางอยู่เสมอ ๆ ห่านแต่ละตัวก็จะผลัดกันเป็นผู้นำ ทาง มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ เมื่อถึงคราวจำเป็น สลับกันเป็นหัวหน้า ลูกน้อง และเป็นผู้ ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยแก่ฝูง และเมื่อเปลี่ยนงาน ห่านก็จะรับผิดชอบตามโครงสร้าง ของกลุ่มที่กำหนดไว้ ภาวะความเป็นผู้นำแบบใหม่ ที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกับฝูงห่านนั้นจะ ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน สามารถที่จะเป็นผู้นำในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบผลการปฏิบัติงานนั้นๆ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้เอง นอกจากนั้นภาวะความเป็นผู้นำ แบบใหม่ ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยทุก ๆ คนมีส่วนร่วมใน การวางแผนการตัดสินใจ รวมทั้งการแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งก่อให้เกิดความรักความสามัคคี และ มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือทำให้หน่วยงานของตนมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม หานเฟยจื่อ นักคิดในสมัย เลียดก๊ก ได้เขียนไว้ใน "คัมภีร์ทั้งแปด" ว่า "คนที่ใช้แต่กำลังตนเอง เป็นสุภาพชนชั้นต่ำ
คนที่ สามารถใช้กำลังคนอื่น เป็นสุภาพชนชั้นกลาง
คนที่สามารถใช้สติปัญญาคนอื่น เป็น สุภาพชนชั้นเลิศ"

การบริหารงาน...ในยุคไร้พรหมแดน

ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไร้พรมแดน ส่งผลให้โลกแคบลง เทคโนโลยี และความรู้ทาง วิทยาการใหม่ๆเกิดขึ้น และถูกส่งต่อไปทั่วโลก อย่างไร้ขีดจำกัดผ่านช่องทาง อินเตอร์เน็ต เทคโนโลยีและ การรับรู้อย่างรวดเร็วเหล่าส่งผลในด้านความ เป็นส่วนตัวน้อยลง ความผิดพลาดในอดีตที่ถูกเก็บเอาไว้ เป็นความลับได้รับการเปิดเผยมากขึ้น ความโปร่งใส จริยธรรม ถูกตั้ง
เป็นประเด็นอย่างเข้มข้นในการ บริหารงานองค์กรในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ความสำคัญตกอยู่ที่ผู้นำองค์กร ได้แก่ กรรมการบริษัทซึ่งเป็น ผู้กำหนด นโยบาย และ CEO ผู้วางกลยุทธ์ในการ
ดำเนินการ จำเป็นต้องตระหนักในความเปลี่ยนแปลง เหล่านี้ด้วย และต้องปรับ ตัวให้ทันยุค เพราะทุกวันนี้หมดยุคเถ้าแก่เป็น
จอมบงการหรือ อัศวินม้าขาว แล้ว อีกทั้งกฎหมายเกี่ยวกับ สังคมก็รุนแรงมากขึ้นในการคุ้มครองความปลอดภัย และสวัสดิภาพ
ของผู้บริโภค
ผู้นำยุคเก่า มีสถานะเป็นแบบเถ้าแก่ ใช้อำนาจตัดสินในทุกเรื่อง ไม่มีการกระจายอำนาจ เข้าไปยุ่งทุก เรื่องจนลูกน้องเกร็งไม่ต้อง
ทำอะไร อิงสามัญสำนึกของผู้นำอย่างเดียว ขาดการฟัง ความคิดเห็นของลูกน้อง อาศัยโชคชะตาและหมอดูเข้าช่วย ความสำเร็จ เกิดขึ้นก็ภูมิใจจนเคลิ้ม พอล้มเหลวก็โทษโชคชะตาหรือ คนอื่นทำให้เกิด ไม่มีการวางแผนและคำนวณผลลัพธ์ล่วงหน้าอย่างดี
บางคนทำธุรกิจตามใจชอบเหมือน เลือกเบอร์แทงหวย ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่จะได้เป็นที่ตั้ง บ้างก็เอาเปรียบลูกค้า ยังไม่พอ หัน มาเอาเปรียบพนักงานด้วยเพื่อกอบโกยความร่ำรวย ชอบใช้สินบนกับผู้มีอำนาจ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้ เห็นได้ดาษดื่นทั่วไปในบ้านเมืองเราไม่เว้นแม้แต่ผู้นำ ประเทศที่ร่ำรวยเงินทองมาจากสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งการฉวยโอกาสร่ำรวย จากการลดค่าเงินบาท อย่างไร้ยางอาย แต่กลับอ้างตนเป็นผู้นำยุคใหม่ (น่าจะเป็นผู้นำแบบเก่าที่เคลือบตัวแบบใหม่)ส่วนเถ้าแก่ ที่ประสพความสำเร็จมากก็มี หากถ้า มองลึกลง ไปในความสำเร็จของคนเหล่านั้น มักพบว่า ความเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมและไม่เอา รัด เอาเปรียบผู้คน ลูกค้า รักและมีน้ำใจกับลูกน้อง ไม่ทอดทิ้งยามลำบาก ล้วนมีในคนเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดความสำเร็จในธุรกิจ แบบยั่งยืนไปได้หลายรุ่นจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี แนวทางการบริหารในโลกที่ไร้พรมแดน ที่มีความเปลี่ยนแปลงและเข้าถึงอย่าง รวดเร็ว รวมทั้งการแข่งขันที่ดุเดือด รุนแรง ผู้นำในยุคใหม่จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้ ตามให้ทัน และปรับตัว ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆที่เกิดขึ้นให้ได้ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้