Monthly Archives: February 2012

นิทาน ...ช่วยให้ผีเสื้อได้บิน

มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพักจนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น 

     เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ 
     
กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกมาจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ ที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอที่จะบินได้ ด้วยความปรารถนาดีของชายผู้นั้น ผีเสื้อตัวดังกล่าวปีกจึงเหี่ยวย่น ไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีกดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน 

      อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคนก็คล้ายๆ กันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อตัวนี้เผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี เราจะคาดหวังว่าคนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน 

นิทาน สุนัขจิ้งจอกกับแพะ

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง กระหายน้ำเป็นอันมาก มันเดินซอกซอนหาน้ำดื่มไปจนทั่ว จนในที่สุดก็พบกับบ่อน้ำบ่อหนึ่งเข้า จึงตรงเข้าไปที่บ่อน้ำนั้น อย่างกระหาย และคิดที่จะดื่มกินให้สมใจอยาก แต่แล้ว ด้วยความประมาท ร่างของมันก็ตกลงไปในบ่อน้ำ มันพยายามปีนขึ้นมาเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีแพะตัวหนึ่งเดินมาที่บ่อน้ำ เห็นร่างของสุนัขจิ้งจอกลอยคออยู่ในบ่อ
     จึงร้องถามขึ้นว่า "ท่านลงไปในบ่อนั้นทำไมกันรึ" สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้นก็คิดอุบายขึ้นได้ทันที
     "ที่ข้าลงมาอยู่ในบ่อนี้ก็เพราะว่าน้ำในนี้มันอร่อยมากน่ะสิ อร่อยจนข้าคิดที่จะดื่มให้หมดเลย"
     "อย่างนั้นเชียวรึ ! " เจ้าแพะผู้โง่เขลาร้องถาม และด้วยความเชื่อมันเลยกระโดดลงไปในบ่อน้ำนั้นโดยไม่คิดอะไรแม้แต่น้อย สุนัขจิ้งจอกได้โอกาสจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังแพะแล้วปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำได้ในที่สุด ปล่อยให้เจ้าแพะหน้าโง่ลอยคออยู่ในบ่อน้ำนั้น
    "ท่านหลอกลวงข้า" เจ้าแพะโง่กล่าว "เพื่อหวังผลประโยชน์จากข้าเท่านั้น !"
     "ก็คงใช่" สุนัขจิ้งจอกตอบโต้ "  แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความโง่เขลาของเจ้าเอง ที่กระโดดลงไปโดยไม่คิดแม้แต่น้อย ข้าเชื่อว่าขนที่หนวดบนคางของเจ้าน่ะ มีมากกว่ามันสมองของเจ้าที่มีอยู่น้อยนิดเสียอีก"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า::  คนโง่มักตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดเสมอ

นิทาน ใช้ชีวิตอย่างสมดุล

นานมาแล้ว มีพระราชาผู้ซึ่งบอกกับคนขี่ม้าของเขาว่า
ถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไหร่ก็ตาม พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา  คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขาไปอย่างรวดเร็วเพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้  เขาเร่งควบม้าไปเรื่อยๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว  เมื่อเขาหิวหรือเหนื่อย
  เขาไม่หยุดควบม้า เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเขามาถึงจุดหนึ่ง เขาหมดแรง  และกำลังจะตาย เขาจึงถามตัวเองว่า ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน?ตอนนี้เรากำลังจะตายและเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็กๆเพื่อฝังศพตัวเอง  เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตพวกเราพวกเราผลักดันตัวเองอยู่ทุกวันเพื่อให้ได้เงินมาก มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ วกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพ ให้เวลากับครอบครัวและชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว และงานอดิเรกที่เรารัก วันหนึ่งที่เรามองกลับไป พวกเราจะตระหนักว่าเราไม่ได้ต้องการมันมากนัก  แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราพลาดไป ชีวิตไม่ใช่การสร้างเงิน สร้างอำนาจ หรือการยอมรับ ชีวิตไม่ใช่การทำงาน งานเป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุกกับความงามและความพึงพอใจของชีวิต ชีวิตคือความสมดุลของงานและการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว

คุณได้ตัดสินใจว่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตคุณอย่างไร กำหนดลำดับความสำคัญของคุณเอง  ตระหนักว่าอะไรที่คุณสามารถยอมรับได้ แต่จงตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณของตัวคุณเอง
ความสุขคือความหมายและจุดมุ่งหมายของชีวิต  จุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์
     ดังนั้น สร้างมันง่ายโดยทำในสิ่งที่คุณต้องการจะทำ และซาบซึ้งกับธรรมชาติชีวิตนั้นเปราะบาง ชีวิตนั้นสั้น ใช้ชีวิตอย่างสมดุลในรูปแบบของคุณเองและสนุกกับมัน

บทเรียนมนุษย์เงินเดือน

คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้ หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้ นั้นทรมานเพียงใด คนที่ไม่เคยตกงานไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ เรื่องบางเรื่องในชีวิตเราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตมาได้แล้วก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ไห้ลำบากอีกครั้ง แต่…..เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนคือประสบการณ์ชีวิตหรือข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ จึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆ อดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่าคนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นพี่ที่ผ่านๆ มาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึก เสียดาย อะไรบ้างหรือพูดง่ายๆ คือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา

เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ ในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆ ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำงาน เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน (เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางาน ใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชันกลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว

เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนเงินหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆ ที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่ทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คิดง่ายๆ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะค่ะว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้วจึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น

เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ   ความเสียดายข้อนี้เชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิม คือ รอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้ (เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว

เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน   มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆ เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อยแทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่….ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมันให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่ไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น

เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย   ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆ ละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น

เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ   เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี เป็นคำพูดที่ได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ

เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย   มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละ พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆ ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงานเสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร

เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป   คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุงานเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ (แถมเงินเดือนสูงอีกต่างหาก) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใด องค์กรหนึ่งนานจนเกินไป
  ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า
เสียดาย ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ หรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆ หรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้

การรับมือเพื่อนร่วมงานสารพัดนิสัย

          เชื่อไหมว่า ต่อให้ใครก็ตามที่กำลังแฮปปี้กับงานของตัวเองอยู่นั้น มีจำนวนไม่น้อยที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้า หรือกำลังอดทนอดกลั้นกับนิสัยเพื่อนร่วมงานที่เข้าข่ายสร้างความเดือดร้อนสารพัดให้กับเรา หรืออาจรวมไปถึงคนอื่น ๆ ในออฟฟิศด้วย ครั้นอยากพูดหรืออยากทำอะไรตรง ๆ ดังที่ใจคิด เกรงจะเกิดปัญหาลุกลามใหญ่โต ส่งผลถึงงานที่ก่อให้เกิดความไม่ราบรื่นตามมาอย่างมหาศาลได้ ทำอย่างไรดีล่ะ ค่อนข้างน่าเห็นใจกับปัญหานิสัยเสีย ๆ ของเพื่อนร่วมงานในที่ทำงานเดียวกัน ที่ใน 1 วัน ต้องทำงานถึง 8 ชั่วโมง ซึ่งหมายความว่า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องอยู่กับเพื่อนร่วมงานด้วยตลอดทั้งวันเช่นกัน จะว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยได้เหมือนกันนะ แต่อย่างที่บอกอาจเป็นปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียวแต่ส่งผลเดือดร้อนกันทั้งบริษัทได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ
ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวใคร อาจไม่ซาบซึ้งถึงความกดดันที่ส่งผลถึงความเครียดได้ จึงอยากขอเตือนคนทำงานทุกคนทุกราย ว่าอย่าชะล่าใจนัก วันเวลาที่หมุนเปลี่ยนเวียนไป แต่ละบริษัทมีพนักงานเวียนเข้าเวียนออกอยู่กันอย่างสม่ำเสมอ เชื่อเถอะว่า ไม่วันใดวันหนึ่ง คุณต้องเจอเพื่อนร่วมงานนิสัยไม่พึงประสงค์เข้าสักวันได้อย่างแน่นอน!!! แต่ก่อนอื่นเหนือสิ่งอื่นใด พึงประจักษ์ในใจไว้เลยว่า มืออาชีพนั้นจะแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันอย่างได้ผล และคนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่ ทำให้นิสัยใจคอ รวมถึงพฤติกรรมการแสดงออก ความคิด ย่อมแตกต่างกันเป็นของธรรมดา ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์ดีพร้อม ดังนั้นเราจะเรียนรู้ที่ใช้ชีวิตให้อยู่กับผู้คนที่มีนิสัยแตกต่างราวฟ้ากับดินในสังคมได้อย่างไร

เพื่อนร่วมงานประเภทปากร้ายใจดี
ข้อดีของเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ แม้จะปากร้ายไปหน่อย แต่ก็มีความหวังดีต่อเพื่อนคนอื่นอยู่ เรียกว่ามีความจริงใจให้เห็นกันยิ่งเพื่อนที่ไม่มีปากมีเสียงด้วยแล้ว จะรักเพื่อนคนนั้นเสียเหลือเกิน ไม่เชื่อลองสังเกตเพื่อนขาง ๆ ที่มีนิสัยแบบนี้ดูสิ จุดอ่อนของพวกปากร้าย ปากเปราะ เอะอะอะไรก็ขอต่อว่าต่อขานคนอื่นเอาไว้ก่อน หลงผิด คิดว่าตัวเองถูกเสมอ ซ้ำดีซ้ำร้ายโยนความผิดให้คนอื่นซะเฉย ๆ ก็ทำได้
สิ่งที่ควรทำ นอกจากทำใจไม่ถือสา ไม่เก็บคำพูดของเขามาคิดเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในความสามารถเรา อย่าให้ใครมาดูหมิ่นได้ เวลาไหนที่เพื่อนเจ้าพระคุณประเภทนี้กำลังวีนแตก ทำทุกอย่างให้เธอ (เขา) ใจเย็นลงมารวดเร็วที่สุด มิฉะนั้นบรรยากาศการทำงานคงไม่น่าอภิรมย์นัก และพยายามจะเอาชนะใจเขาให้ได้ เพราะเมื่อทำได้ล่ะก็ เขาจะรักและจริงใจด้วยอย่างไร้ข้อกังขา ขอความช่วยเหลืออะไร แทบทำให้คุณชนิดถวายหัว สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด
ห้ามเถียงกลับ หากต้องมีการชี้แจงใด ๆ ให้ทำตอนที่แก้ไขเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว และพอเขาใจเย็นลงหรืออารมณ์ปกติลง ค่อย ๆ เล่าให้เขาฟังถึงการทำงานร่วมกับคนอื่นให้ประสพความสำเร็จควรทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้มีทางเลือกที่ดีกว่า เอาแต่มีน้ำโหไปซะทุกครั้งอย่างไร้เหตุผล

เพื่อนร่วมงานประเภทปากดีแต่ใจร้าย
สำหรับประเภทนี้เปรียบเปรยได้อีกอย่างหนึ่ง คือ
ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เป็นพวกที่เต็มไปด้วยจริตมารยา เจตนาหลอกใช้คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทำเป็นพูดดีนัก แต่ไร้ความจริงใจโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมงานแบบนี้จะน่ากลัวที่สุด ข้อดีของเพื่อนร่วมงานปากดีแต่ใจร้าย คือ ปากหวาน ฟังรื่นหูดูดี ทำงานในแบบที่ต้องใช้การสื่อสารโดยไม่เผชิญหน้าได้ดีมาก เข้าสังคมเก่ง เพราะชำนาญในการใส่หน้ากาก จุดอ่อนของพวกปากดี ใจร้ายเป็นคนเพ้อเจ้อ และประมาทคิดว่าคนอื่นไม่ทันตัวเอง จึงทำให้ถูกหลอกและใช้ง่าย (ถ้าต้องการ)ทุกคนที่เขาคบหาในสังคมไม่มีจริงใจกับใคร จับจองแต่จะเอาประโยชน์จากกันทั้งนั้น สิ่งที่ควรทำ ทำงานด้วยกันนั้นให้กำหนดสัญญาต่าง ๆ ให้ชัดเจน และให้มีระยะเวลาที่จำกัดสั้น ๆ อย่ายืดเยื้อ ไม่งั้นคนพวกนี้หาผลประโยชน์กับคุณแม่ สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด อย่าเพ้อเจ้อไปตามเขา และอย่าไปดูหมิ่นความฝันหรือความคิดเขา คิดซะว่าทุกคนมีสิทธิ์ฝัน แต่อย่าหวังความสัมพันธ์ระยะยาวกับคนเช่นนี้ เขาไม่เคยจริงใจกับใครอย่างแท้จริงอยู่แล้ว พึงระวังไว้ว่ายิ่งยืดยาวยิ่งเจ็บลึก

เพื่อนร่วมงานประเภทใจดีเหลือเกิน   สาธุ!!! โชคดีของคุณที่ได้เพื่อนดี มีน้ำใจ แต่ระวังไว้ว่า บางทีดีจนตามใจกันไปเรื่อย ทำให้ชิ้นงานที่ทำร่วมกันเกิดการพัฒนาช้าหรือไม่พัฒนาเลย โดยข้อดีของคนประเภทนี้ จะมีความหวานแหววอยู่ด้วยแล้วอบอุ่นแน่นอน แต่อย่าฝันหวานเกินไปล่ะ แม้เพื่อนร่วมงานจะหวาน แต่โลกนี้ไม่ได้หวานด้วยหรอกนะ จุดอ่อนของคนใจดี มีแนวโน้มเข้าข่ายหน่อมแน้ม ไม่ทันคน ไม่ทันเหตุการณ์ สิ่งที่ควรทำ ตัวคุณควรรับผิดชอบงานให้ดี ขวนขวายที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานไปในทิศทางที่ดีขึ้น อย่าย่ำอยู่กับที่ หูตาต้องไววิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ให้รอบด้าน จงเป็นคนหนักแน่น แข็งแกร่งไว้ในการคบหากับเราจริง ๆ พร้อมให้กำลังใจและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เพื่อนดี ๆ หายากนัก ฉะนั้นอย่าไปซ้ำเติมเลย นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาจากวันนี้เป็นเพื่อนร่วมงาน แต่วันหน้าอาจเป็นหุ้นส่วนธุรกิจด้วยกันก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ ห้ามเด็ดขาด อย่าคิดร้ายกับเพื่อนดี ๆ ผลกรรมจะสนองเร็วไว

เพื่อนร่วมงานจอมงก ไร้น้ำใจ  เพื่อนประเภทนี้มักเอาแต่ได้อย่างเดียว จะให้คนอื่นเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น หรือให้ไปแล้วจะต้องได้อะไรกลับมาเป็นการทดแทน อยู่กับเพื่อนจอมงกค่อนข้างอึดอัด เพราะเขาจะเห็นเงินมีค่ามากกว่าคน ใครเอาประโยชน์มาให้ก็ว่าดี ใครทำให้เสียประโยชน์แม้เพียงน้อยนิดก็ว่าคนอื่นชั่วได้แล้ว เพื่อนจอมงกจนขาดน้ำใจเป็นคนทำอะไรถี่ถ้วนมาก เพราะเขาต้องคิดสะระตะให้ตัวเองได้ประโยชน์ นั้น ๆ มากที่สุด ไม่เสียเวลากับอะไรง่าย ๆ ไม่ค่อยยอมคนด้วย จุดอ่อนเพื่อนร่วมงานจอมงก เอาดีในโลกกว้างไม่ได้หรอก เพราะใจและความคิดแคบเกินไป ชีวิตแห้งแล้ง ไร้ความสุข อยู่ด้วยความหวาดระแวง อะไรที่มีแนวโน้มว่าได้ประโยชน์จะตาโต ใจแตก อย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำให้ทำงานพลาดได้ง่าย ๆ สิ่งที่ควรทำ พยายามแบ่งหน้าที่รับผิดชอบกันให้ชัดเจน แล้วต่างคนต่างรับผิดชอบ แยกย้ายทำงานกันไป แต่เพื่อนร่วมงานแบบนี้ หากทำงานร่วมกันไปจะพบว่า เขาเป็นทรายดูด อยู่ด้วยแล้วแห้งแล้งและจมไป เรื่อย ๆ ระวังนิสัยใจคอจะได้ของเขาติดตัวกลับมาแยกตัวออกมาได้ให้แยกออกมาเป็นการด่วน ห้ามทำเด็ดขาด ห้ามชวนเล่นการพนัน หรืออย่าชวนทำบุญที่ไม่เห็นผลชัด

เพื่อนร่วมงานนิสัยเปิดเผย จริงใจ  เพื่อนประเภทนี้เป็นพวกปากกับใจตรงกัน บางครั้งมักพูดมาก และจะเอาเรื่องสัพเพเหระมาเล่าให้เราฟังจนหูแฉะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัว ได้สารพัด ไม่มีลับลมคมใน ทำงานด้านปฏิสัมพันธ์เก่งมาก แต่มักทำงานใหญ่ ๆ ยาก ไม่ได้ดีเท่าไหร่ เป็นคนคบกับใครง่าย ผูกพันง่าย แต่ทิ้งยาก จุดอ่อนของคนเปิดเผย จริงใจ คนแบบนี้เหมือนกับเป็นคนหลวม ๆ ทำให้ผู้ไม่หวังดีทำลายได้ง่าย บางทีสร้างความน่ารำคาญกับสารพัดเรื่องที่เขามาเล่าให้ฟัง สิ่งที่ควรทำ หาทางพักหูซะบ้าง จัดห้องทำงานให้เป็นส่วนตัว ให้ความจริงใจตอบกลับ เปิดใจ แต่ไม่จำเป็นต้องเผยซะทุกเรื่องหรอกนะ เฉพาะที่เกี่ยวกับงานหรือที่มีผลกระทบต่องานก็พอแต่จำไว้ คนพูดมากมักลืมง่าย มักเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ให้ดีทำเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในสิ่งที่เขาพูดมา ป้องกันไว้ก่อนที่เขาจะโมเมเอาว่าไม่ได้พูด ห้ามทำที่สุด อย่าไปต่อต้านหรือเออออห่อหมกกับคำพล่ามของเขาโดยทันที คิดพิจารณากันเป็นเรื่อง ๆ ไป ชั่งน้ำหนักคำพูดทุกคำพูด

เพื่อนร่วมงานเจ้าระเบียบ  เพื่อนประเภทนี้จุกจิกจู้จี้แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างต้องให้เข้าที่เข้าทาง อะไรไม่เป็นระเบียบจะบ่นแล้วบ่นอีก แต่ไม่มีอะไรไม่อาฆาตหรือคาดโทษยาว ทำงานเรียบร้อย มีระบบระเบียบ มองโลกในแง่ใหม่ไปตามเหตุการณ์เนือง ๆ จุดอ่อนของคนเจ้าระเบียบ ขี้บ่นจนน่าเบื่อ สิ่งที่ควรทำ ทำตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัยด้วย จะอยู่และทำงานในออฟฟิศด้วยความสบาย แต่ไม่ใช่ทำตัวเจ้าระเบียบจัดตามเขาไป ทุกอย่างยึดอยู่กับความพอดี ห้ามทำเป็นอันขาด ทำตัวเองหรือโต๊ะทำงานสกปรก เลอะเทอะไร้ระเบียบวินัย โดยเฉพาะหากว่านั่งทำงานอยู่ใกล้เคียงกันด้วยแล้ว อย่านะที่ตัวเองทำสกปรกลุกลามไปถึงโต๊ะทำงานคนอื่นเขา โดยเฉพาะไปจุ้นจ้านบนโต๊ะเขายิ่งไม่เป็นอันควร

เพื่อนร่วมงานประเภทเจ้าชู้ไก่แจ้   พวกนี้ส่วนใหญ่บุคลิกดี มีเสน่ห์ ชอบล่าหัวใจเพศตรงข้าม เพื่อขยี้สวาท ตามนิสัยของคนที่ชอบเอาชนะทั้งใจและกาย ข้อดีคงเป็นในเรื่องลีลาแพรวพราว ทำให้หัวใจเพื่อนร่วมงานสาวเช่นคุณได้ลุ้นเป็นพัก ๆ จุดอ่อนพวกเจ้าชู้ สร้างความวุ่นวายในหมู่เพื่อนร่วมงาน ทำให้เกิดการแตกแยกกันได้ หากถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กัน อาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดอำนาจมากกว่า จึงทำต่อไปด้วยความลำบากไม่ใช่น้อย สิ่งที่ควรทำ หากเพื่อนพวกนี้มาปิ๊งปั๊งคุณแล้วล่ะก็ อยากให้คุณรักษาความน่าสนใจหมายปองของตัวเองต่อเขาไว้ให้นานที่สุด อย่ายอมลงเอยง่าย ๆ คนประเภทนี้จะชอบของยาก ชอบลุ้น หากให้เขาลุ้นไปตลอดเราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะหากถูกชิมไปแล้ว ค่าของเราลดลงสำหรับเขาได้ หือหากคุณไม่อยากเล่นด้วย พยายามเปลี่ยนจุดสนใจให้เขาอยากเอาชนะการแข่งขันในเรื่องมาตรฐานงานแทนที่มามัวบ้าสวาทกับคนรอบข้างอยู่เรื่อย ห้ามทำเด็ดขาด อย่าตามใจตัวเองรวมทั้งอย่าตามใจเขา ต้องเข้มแข็ง (ยกเว้นว่าเป็นความรู้สึกตอบกลับที่ทำให้คุณเจริญและเป็นสุขจริง ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว) ดังนั้นประเมินให้ดีและเที่ยงตรงด้วย อย่าเข้าข้างกิเลสเป็นอันขาด

เพื่อนร่วมงานร่ำรวยและถือตัว   พวกนี้ส่วนใหญ่บ้าเงิน ชอบอวดร่ำอวดรวย พอมีเงินคิดว่าตัวเองวิเศษเลิศเลอ มักดูหมิ่นคนจนและชอบใช้เงินซื้อทุกอย่างแม้แต่หัวใจคน นิสัยของพวกถือตัวและอวดรวยนั้นมักควักจ่ายอะไรยากนะ ต้องมีโครงการที่เข้าท่าและนำพาประโยชน์มาให้หรอกนะ จึงจะยอมควักกระเป๋าตัวเองกัน จุดอ่อนพวกถือตัวเองว่าร่ำรวย เจอคอที่มีเงินมากกว่ามักอ่อนและยอมโดยง่าย ถูกหลอกล่อได้ด้วยผลประโยชน์ กรรมจากการดูหมิ่นคนอื่นทำให้เขาเป็นที่รังเกียจ หมั่นไส้ หรือขบขันในหมู่คนทั่วไป แม้จะมีเงินมากก็ตาม สิ่งที่ควรทำ ทำการใดให้เคลียร์เรื่องระบบผลตอบแทนระหว่างกันและกันให้ชัดตั้งแต่ต้น แต่อย่าแสดงความอยากมากนัก เขาจะกลัวเสียก่อน อยู่กับคนแบบนี้อยากมากก็ไม่ได้ ยอมตามก็ไม่ดี ต้องจัดระบบกำกับตัวเองเข้าไว้ ห้ามทำเป็นที่สุด อย่าประจบสอพลอกับเพื่อนร่วมงานนิสัยแบบนี้เป็นอันขาด จะทำให้เขาประเมินค่าของคุณต่ำทันที อย่าอยากได้เงินของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง จะทำให้คุณเป็นทาสเขา รวยแค่ไหนอย่าไปสน อนาคตคุณเองก็สามารถรวยได้เท่าเทียมเขาเช่นกัน หรือมากกว่าด้วยซ้ำ หากคุณประสพความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเอง อย่าไปยุ่งกับตัวตนของเขา ให้เขาแบกไปเถอะ ใครแบกก็หนักเอง จำไว้ว่าของใครของมัน

เพื่อนร่วมงานประเภทพูดมากแต่ทำน้อย  เพื่อนร่วมงานนิสัยแบบนี้ดีแต่พูด ขี้เกียจ เอาแต่สั่ง เอาแต่ใช้ และเอาเปรียบคนอื่น โดยจะเป็นคนพล่ามไปเรื่อย ไร้สาระ ทั้งที่เกี่ยวกับงานและไม่เกี่ยวกับงาน จนทำให้บรรยากาศการทำงานและบริษัทวุ่นวายสับสน เต็มไปด้วยขยะเรื่องราวที่ไม่สร้างสรรค์ผลงานใด ซ้ำร้ายยังบั่นทอนประสิทธิภาพงานด้วย หากถามถึงข้อดี ๆ ของพวกนิสัยดีแต่พูด คงเป็นแค่ช่วยให้บรรยากาศในออฟฟิศไม่เงียบงัน บางครั้งก็ครึกครื้นเท่านั้นเอง จุดอ่อนพวกที่เอาแต่พูด เป็นพวกไร้สาระ ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานต่ำมาก สร้างปัญหาให้หมู่คณะอยู่เนือง ๆ มีแนวโน้มเป็นพวกชอบป้ายความผิดให้คนอื่นในที่ทำงานเดียวกัน ในยามไม่รู้จริงในหน้าที่ของตน สิ่งที่ควรทำ เพื่อนไม่ยอมทำงานไม่เป็นไร แต่คุณต้องทำให้จริงจังจนงานสำเร็จ แต่รักษาผลประโยชน์ทางปัญญาให้ดีล่ะ เพราะเพื่อนร่วมงานนิสัยเอาแต่พูดมักทึกทักเอาว่า เป็นผลงานของเขา และหากเขาชอบพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงาน คุณอาจไม่ฟังหรือไม่ตอบก็ได้ ปล่อยให้เพื่อนพวกนี้อยู่คนเดียวบ่อย ๆ หากคุณและเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ พร้อมใจให้เขาอยู่คนเดียว จะเป็นการช่วยให้เขาคิดหาสาระให้กับตัวเองมากขึ้น ห้ามทำเด็ดขาด อย่าพูดมากทำน้อยตามเพื่อนคนนี้ไปซะอีก ไม่ดีกับงานคุณแน่ ๆ อย่าไปต่อว่าตอขานกับคำพูดเขา อยากพูดให้พูดไป พยายามหาประโยชน์จากการพูดของเขา เช่น จัดโปรแกรมให้ออกไปประชาสัมพันธ์บริษัทหรือโครงการภายนอกก็จะดี เพราะหากสามัคคีคือพลังในการทำงานใดให้สำเร็จ
  ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำงานอย่างมีความสุข สนุกกับงาน เพื่อนร่วมงานนั้นมีบทบาทสำคัญ นั่นหมายความว่าคุณจะมองข้ามการผูกใจเพื่อนร่วมงานไม่ได้เด็ดขาด หากสามารถทำให้แต่ละคนทำงานเข้าขากับเราแล้วล่ะก็ เส้นชัยแค่เอื้อมเท่านั้น
ที่มา:
petchprauma.com  

นิทาน หมากับเงา

วันหนึ่งมีหมาหิวโซและเห็นแก่ตัวมากตัวหนึ่งเดินหาของกิน มาตามทางด้วยความหิว..< หอมดีจัง? เอ๊ะ..นี่ข้ากำลังได้กลิ่นอะไรนี่..>และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมองหา มันก็ได้แลเห็นหมาตัวเล็ก ๆ ที่ดูท่าทางว่าจะอ่อนแอมากตัวหนึ่งกำลังยืนคาบก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ ที่ดูน่าอร่อยมากยืนอยู่ที่ตรงข้างหน้า...มันจึงเห่าขึ้นแล้วยังแถมแยกเขี้ยวเข้าใส่ ทันที " โฮ่ง ๆๆๆๆ " หมาน้อยตัวเล็กตัวนั้น จึงปล่อยชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่นั้นให้ หลุดออกมาจากปาก แล้วยังแถมหันหลังออกวิ่งโกยอ้าวหนีไปจากที่ตรงนั้นใน ทันทีทันใดเสียอีกด้วย...... " มันจะต้องอร่อยอย่างมากเลยนะนี่..." มันว่าแล้วก็ ตรงเข้าไปงับชิ้นเนื้อนั้นไว้ในปากหมายกินให้หายหิว แต่แล้วมันก็เกิดคิด ขึ้นมาได้ว่าถ้าเกิดมีหมาตัวอื่นที่ได้กลิ่นเหมือน ๆ กันกับมัน แล้วเดินผ่านมา.. บางทีไม่แน่..มันก็อาจที่จะโดนแย่งเอาเนื้อชิ้นนี้ไปได้อยู่เหมือนกัน.. " ไปหาที่อื่นที่เงียบ ๆ กินดีกว่า " และเมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้ว มันจึงได้ออกวิ่ง...แล้วมันก็ได้วิ่งมาจนถึงที่สะพานข้ามแม่น้ำสายหนึ่ง ขณะที่มันกำลัง เดินอยู่ที่บนสะพานอยู่นั้น มันได้มองลงไปที่ข้างล่าง แล้วได้มองเห็นสุนัขอีกตัวหนึ่ง ซึ่งก็กำลังคาบชิ้นเนื้อที่น่าอร่อยมากชิ้นใหญ่อยู่ที่ในปากเหมือน ๆ กันกับมัน " อ้ายหมาตัวนั้นหน้าตาของมันดูชั่งโง่เขลาสิ้นดี! ..แล้วก็คงถ้าจะไม่แข็งแรง ไปกว่าข้าอย่างแน่นอน...ข้าจะกระโดดลงไป แล้วแย่งเอาเนื้อชิ้นนั้นมาเป็นของข้า อีกอันท่าจะดี " มันรำพึงขึ้นด้วยเกิดความโลภขึ้นมาอย่างมาก " โฮ่ง ๆๆๆๆ " ด้วยลืมตัวมันเห่าขึ้นด้วยเสียงอันดัง ในตอนนั้นชิ้นเนื้อที่มัน งับอยู่ในปากก็มีอันต้องหลุดออกจากปาก แล้วยังแถมตกลงไปที่ด้านล่างทันที...มันต้องสูญเสียชิ้นเนื้อที่มันคาบ มาอย่างน่าเสียดาย ในความเป็นจริง....สิ่งที่มันเห่านั้น ก็คือภาพจินตนาการหรือเงาของตัวมันเอง ที่สะท้อนให้เห็น หมาหิวโซตัวนั้นจึงต้องกลับมาท้องว่าง ด้วยความหิวโหยอย่างเดิม แล้วในที่สุดมันก็เดินจากไปจากที่ตรงนั้น อย่างช้า ๆ...นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า      ความโลภอยากได้ทุกสิ่ง บางทีก็อาจที่จะทำให้สูญเสียของที่สำคัญของตัวเอง ไปได้อยู่เหมือนกัน

ทำ 4 ข้อก็สุขได้จากท่าน ว.วชิรเมธี

ทำ 4 ข้อก็สุขได้จากท่าน ว.วชิรเมธี

1. อย่าเป็นนักจับผิด 
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง 'กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีกคนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข

> 2. อย่ามัวแต่คิดริษยา  
'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน  ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน คน เราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวรถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน   ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป
> 3. อย่าเสียเวลากับความหลัง 
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น'
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา
> 4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ  
'ตัณหา'ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ  ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็มทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม  เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์  เราต้องถามตัวเองว่า 'เิกิดมาทำไม' คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ คำว่า 'พอดีคือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี'    รู้จัก 'พอ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข'

7ขั้นตอนรับมือการทำงานไม่เครียด

7ขั้นตอนรับมือการทำงานไม่เครียด

พอพูดถึงเรื่องทำงาน ก็ต้องบวกเรื่องความเครียดเข้าไปด้วย ทุกวันนี้ งานมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่จะทำอย่างไรที่เราจะไม่เครียดกับการทำงาน 

1. เตรียมพร้อมตั้งแต่ที่บ้าน
     นอกจาก นอนหลับให้เต็มอิ่ม วิธีผ่อนคลายง่ายๆคือ ควรเลือก สวมชุดทำงานที่มีเนื้อผ้านุ่มสบาย ไม่รัดแน่น หรือพอดีตัวจนอึดอัด ยิ่งเป็นเนื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติจะยิ่งดี และควรรับประทานอาหารเช้า เพราะเป็นมื้อสำคัญที่ช่วยให้สมองทำงานได้ดี

2. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
     จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ ไม่ปล่อยให้โต๊ะรก เพราะเห็นแล้วจะยิ่งทำให้จิตใจเครียด ไม่แจ่มใส พานรู้สึกว่าสะสางอย่างไรก็คงไม่เสร็จเสียที นอกจากนี้ควร สร้างบรรยากาศด้วยภาพ เช่น การติดภาพธรรมชาติ หรือภาพคนที่รัก รวมถึงสีที่เห็นแล้วสบายตา เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า ซึ่งช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น หรือการวางผลไม้สดไว้บนโต๊ะทำงาน ก็สามารถช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่นและลดความเครียดได้อีกวิธีคือ ปลูกต้นไม้ไว้ใกล้ที่ทำงาน เพราะการได้เห็นสีเขียวของต้นไม้ก็ช่วยคลายเครียดได้ดี

3. เตรียมกาย - ใจก่อนทำงาน เริ่มจาก
     - หลับตานิ่งๆ สัก 1 - 2 นาที และสลัดทิ้งภาพที่พบเจอมาตลอดเช้าไม่ว่าจะเป็นสภาพการจราจรที่แน่นขนัด ผู้คนแออัด หรือเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์ใดๆ 
     - หากเป็นไปได้ควรดื่มน้ำผลไม้สักแก้วก่อนเริ่มงาน จะช่วยให้แจ่มใสขึ้น
     - จัดลำดับงานว่าชิ้นไหนควรทำก่อน - หลัง นอกจากช่วยบริหารเวลา นการทำงานได้ ยังช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

4. การสร้างมุมมองที่ดีในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น
     -ต้องทำงานอย่างมีวินัย คิด และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยยึดหลักเหตุและผล
     - เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและไม่คาดคิดมาก่อน
     - เรียนรู้ที่จะให้อภัยผู้อื่นรวมถึงตัวเอง เพราะไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์
     - เรียนรู้ที่จะปล่อยวางปัญหาเล็กๆ ที่ยิ่งเก็บมาคิดจะยิ่งเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ

5. วิธีรับมือกับความเครียด
     ในกรณีที่แม้คุณจะพยายามทำตามทุกขั้นตอนข้างต้นมาแล้ว แต่ความเคร่งเครียดบางอย่างที่อาจควบคุมไม่ได้ยังคอยตามมากดดันตัวคุณอีก ลองใช้วิธีต่อไปนี้
           -  หยุดสิ่งที่ทำให้เครียด แล้วเบี่ยงเบนความสนใจ ด้วยการฟังเพลง หรืออ่านหนังสืออ่านเล่น
           -  พักสั้น ๆ ด้วยการลุกไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำล้างหน้าหรือออกไปยืดเส้นยืดสายเพื่อผ่อนคลาย
           -  จดบันทึกทุกครั้งที่เครียด เพื่อตรวจเช็คความถี่และพิจารณาว่าปัญหาใดที่ทำให้เราเครียดได้บ่อยที่สุดเมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงถูก
           -  หาตัวช่วยในการคิด อาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่รู้จักเราดีหรือคนใกล้ชิดก็ได้ เนื่องจากการเล่าปัญหาจะช่วยให้เรายอมรับเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น

6. หาวันหยุดให้กับตัวเองบ้าง
     ถือเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ เพราะเป็นการชาร์จพลังที่ดีเพื่อจะกลับมาเริ่มงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ควร ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะการให้ของขวัญตัวเองจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการทำงานได้มากขึ้น

7. ทิ้งทุกเรื่องของงานไว้ที่โต๊ะ
     และกลับบ้านด้วยใจที่โล่ง ไม่คั่งค้าง และควรระลึกไว้เสมอว่า เมื่อไรที่จิตใจเครียด ร่างกายก็จะเครียดตาม และทำให้ป่วยได้ง่ายขึ้น                                    

 ที่มา : Thai-healthcare.com

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ

การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ ต้องประกอบด้วย

1. วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเป้าหมายที่เห็นพ้องต้องกัน เพื่อใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานที่ต้องการทำให้องค์การบรรลุผลสำเร็จที่คาดหวังไว้ในการดำเนินงานให้เป็นไปตามภารกิจขององค์การ

2. ความเปิดเผยต่อกันและการเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหา เป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานเป็น ทีมที่มีประสิทธิภาพ สมาชิกในทีมจะต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แก้ปัญหาอย่างเต็มใจและจริงใจ การแสดงความเปิดเผยของสมาชิกในทีมจะต้องปลอดภัย พูดคุยถึงปัญหาอย่างสบายใจ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี โดยมีการเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลอื่นในด้านความต้องการ ความคาดหวัง ความชอบหรือไม่ชอบ ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความถนัด จุดเด่นจุดด้อยและอารมณ์ รวมทั้งความรู้สึก ความสนใจนิสัยใจคอ

3. การสนับสนุนและความไว้วางใจต่อกัน สมาชิกในทีมจะต้องไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยทีละคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าได้รับผลร้ายที่จะมีต่อเนื่องมาภายหลัง สามารถทำให้เกิดการเปิดเผยต่อกัน และกล้าที่จะเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี

4. ความร่วมมือและการให้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ ผู้นำกลุ่มหรือทีมจะต้องทำงานอย่างหนักในอันที่จะทำให้เกิดความร่วมมือในการสร้างความร่วมมือกับบุคคลอื่น ในการสร้างความร่วมมือเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกันและมีบุคคลอยู่สองฝ่าย ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้เมื่อฝ่ายผู้ให้เต็มใจและยินดีจะให้ความร่วมมือ เหตุผลที่ทำให้ขาดความร่วมมือไม่ช่วยเหลือกัน คือ การขัดผลประโยชน์ ไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่า สัมพันธภาพไม่ดี วัตถุประสงค์ของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน ไม่เห็นด้วยกับวิธีทำงานขาดความพร้อมที่จะร่วมมือ หรืองานที่ขอความร่วมมือนั้น เลี่ยงภัยมากเกินไป หรือเพราะความไม่รับผิดชอบต่อผลงานส่วนรวม  ส่วนการขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกันตามความคิด หรือ การกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนขึ้นไป หรือระหว่างกลุ่ม โดยมีลักษณะที่ไม่สอดคล้อง ขัดแย้ง ขัดขวาง ไม่ถูกกัน จึงทำให้ความคิดหรือการทำกิจกรรมร่วมกันนั้น เสียหาย หรือดำเนินไปได้ยากไม่ราบรื่นทำให้การทำงานเป็นทีมลดลง นับเป็นปัญหา อุปสรรคที่สำคัญยิ่ง

5. กระบวนการการทำงาน และการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสม จุดมุ่งหมายที่ชัดเจนถือเป็นหัวใจสำคัญด้วยเหตุนี้จุดมุ่งหมายควรต้องมีความชัดเจนและสมาชิกทุกคนมีความเข้าใจอย่างดี เพราะจะนำไปสู่แนวทางแนวทางในการทำงานว่าต้องทำ

อย่างไร จึงจะบรรลุตามเป้าหมายของงาน ให้ได้ผลของงานออกมาได้อย่างดีที่สุด การตัดสินใจสั่งการเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานของการบริหารงาน ผู้บริหารหรือผู้นำทีม  เป็นบุคคลสำคัญในการที่จะมีส่วนในการตัดสินใจ วิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจหลายวิธีคือ ผู้บริหารตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหา โดยไม่ต้องซักถามคนอื่นหรือผู้บริหารจะรับฟังความคิดเห็นก่อนตัดสินใจ กล่าวคือ ผู้บริหารยังคงตัดสินใจด้วยตนเองแต่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นและข้อมูลอื่นๆ ที่ผู้บริหารได้รับมาจากสมาชิกของทีม บางครั้งผู้บริหารอาจจะตัดสินใจร่วมกับทีมงานที่คัดเลือกมาโดยที่ผู้บริหารนำเอาปัญหามาให้ทีมงานอภิปราย แล้วให้ทีมงานตัดสินใจหรือทีมงาน อาจจะมอบหมายการตัดสินใจให้คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มย่อยที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้

 ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

อันตรายที่สุดสำหรับชีวิตคนเรา คือ การคาดหวัง

การทำงานเป็นทีม

การทำงานในสมัยปัจจุบันหรือการบริหารงานแนวใหม่นี้จะทำแบบข้ามาคนเดียวหรือ วันแมนโชว์หรือศิลปินเดี่ยวหรือ อัศวินม้าขาวหรือ อื่น ๆ ดูจะเป็นไปได้ยาก การทำงานเป็น ทีม  - Team ” ทีม (Team) หมายถึง บุคคลที่ทำงานร่วมกันอย่างประสานงานภายในกลุ่ม กล่าวคือ เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ในการทำงานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จ ทีมงาน (Team Work) หมายถึง กลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันค่อนข้างจะใกล้ชิดและคงความสัมพันธ์อยู่ค่อนข้างจะถาวรซึ่งประกอบด้วยหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน

โดยร่วมกันทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของทีมงานการทำงานเป็นทีม”  เป็นความร่วมมือร่วมใจของบุคคล เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ (3P) ได้แก่ มีวัตถุประสงค์ (Purpose) ต้องชัดเจน มีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) ในการทำงาน มีผลการทำงาน (Performance)

ความแตกต่างระหว่างการทำงานแบบทีมและกลุ่ม (Teams vs Groups ) การทำงานแบบกลุ่ม (Work group) คือ การรวมกลุ่มที่มีกิจกรรมร่วมเพื่อใช้ข้อมูลร่วมกันและช่วยในการตัดสิ้นใจให้แก่สมาชิกในกลุ่มที่จะทำงานภายในขอบข่ายที่รับผิดชอบของแต่ละคนนั้น ในการทำงานของกลุ่มไม่จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่มีการเชื่อมโยงทรัพยากรและใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลในทางบวก นั่นคือเราใส่การทำงานของแต่ละคนเข้าไปผลงานที่ออกรวมกันแล้วจะได้เท่ากับที่ใส่เข้าไปหรืออาจจะน้อยกว่าก็ได้

การทำงานแบบทีม ( Work teams) เป็นการทำงานร่วมกันและส่งเสริมกันไปในทางบวก ผลงานรวมของทีมที่ได้ออกมาแล้วจะมากกว่าผลงานรวมของแต่ละคนมารวมกัน

ชนิดของทีมงาน การแบ่งทีมในองค์กรสามารถที่จะแบ่งประเภท ตามวัตถุประสงค์ได้ 4 รูปแบบคือ

1. ทีมแก้ปัญหา (Problem - Solving Teams) ประกอบด้วยกลุ่มของพนักงาน และผู้บริหารซึ่งเข้ามารวมกลุ่มด้วยความสมัครใจ และประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออภิปรายหาวิธีการสำหรับการแก้ปัญหา โดยทั่วไปทีมแก้ปัญหาทำหน้าที่เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น แต่จะไม่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดการกระทำ ตามคำแนะนำ ตัวอย่างของทีมแก้ปัญหาที่นิยมทำกัน คือ ทีม QC (Quality Circles)

2. ทีมบริหารตนเอง (Self - Managed Teams) หมายถึง ทีมที่สมาชิกทุกคนล้วนรับผิดชอบต่อลักษณะทั้งหมดของการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารซึ่งสมาชิกจะปฏิบัติงานโดยทั่วไป มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงานทีมบริหารตนเองสามารถที่จะเลือกสมาชิกผู้ร่วมทีม และสามารถให้สมาชิกมีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน

 3. ทีมที่ทำงานข้ามหน้าที่กัน (Cross - Function Teams) เป็นการประสมประสานข้ามหน้าที่งาน ความสามารถในการดึงทรัพยากรบุคคลผนวกเข้าด้วยกันจากหน้าที่ทางธุรกิจที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างสมรรถภาพในด้านความแตกต่าง โดยเป็นการใช้กำลังแรงงาน ตั้งเป็นทีมข้ามหน้าที่ชั่วคราวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคณะกรรมการ (Committees) เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน, พัฒนาความคิดใหม่ๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหา และทำโครงการที่ซับซ้อน ทีมข้ามหน้าที่ ต้องการเวลามากเพื่อสมาชิกจะต้องเรียนรู้งานที่แตกต่าง ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้ใจ และสร้างการทำงานเป็นทีมเนื่องจาก แต่ละคนมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน

4. ทีมเสมือนจริง (Virtual Teams) ลักษณะการทำงานจะเป็นทีม แต่สภาพการทำงานจะแยกกันอยู่ ดังนั้นจึงต้องการระบบในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่มีประสิทธิภาพซึ่งอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมจะมุ่งเน้นความสำเร็จของงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงานร่วมกัน แต่จะมีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านความรู้สึกทางสังคมในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามในบางกรณีผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเป็นทีมก็จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ดังนั้น ผู้บริหารต้องทำการประเมินว่างานใดควรทำคนเดียว และงานประเภทใดที่ต้องใช้ความร่วมมือของทีม