Monthly Archives: July 2012

นิทาน แว่นตาชีวิต

อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน  ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า….

….ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่  ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา  ….อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา  ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

…….เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน ……ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน  แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

………ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน  ……..ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

………ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย  ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา
แล้วจบว่า ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน

คุณเห็นด้วยไหมว่า แว่นตาชีวิตนี่ช่างเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด  ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก

 

นิทาน ทรายเต็มแก้ว

เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ
เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม
พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?’ เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท
แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกันเต็มแล้ว…’
เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ  หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือกพร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ  กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก  เหยือกเต็มหรือยัง ?’
นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ เต็มแล้ว…’

เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไปตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก  เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง เหยือกเต็มหรือยัง ?’   เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน  หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น

คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์
แน่ใจนะ
แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ
คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไงเขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา  ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ ลูก และเพื่อน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้

เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์ ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้

เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา  ชีวิตเต็มแล้วเต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน

ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า  เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเราและครอบครัวมีความสุข  ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา

นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?’

เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด ในความสับสนและวุ่นวายเหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ

 

นิทาน ปลูกอะไร ได้สิ่งนั้น

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไปเขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดี  ผ่านไปสามสัปดาห์ พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโต แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5  สัปดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป  ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน… จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่” ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้  เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ  เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ” พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก   เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิม  ท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”  จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร และแล้วท่านประธานก็พูดว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม” “ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”

คติธรรม เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ

วิธีรับมือกับนิสัยยอดแย่ของเพื่อนร่วมงาน

              บางครั้งเราก็มีผู้ร่วมงานที่ยอดเยี่ยม คือเป็นนักทำงานอย่างแท้จริง ทำงานในหน้าที่ได้รวดเร็วและสำเร็จลุล่วงด้วยดี ไม่เกี่ยงงานหรือหมกเม็ด ไม่ขี้ฟ้อง แถมยังมีนิสัยดีน่าคบหาอีกด้วย แต่บางครั้งถึงคราวชะตาตกต่ำก็จะเจอผู้ร่วมงานที่เข้ากันได้ยาก เพราะเขาหรือเธอมีความเห็นแก่ตัว เจ้าเล่ห์ ไม่มีความสามารถ ดีแต่คอยยกยอปอปั้นเจ้านายเพื่อจะได้ไต่ตำแหน่งงาน คอยเอาหน้าเอาผลงานมากกว่าการทำงานอย่างจริงจัง อย่างว่าล่ะนะ เราไม่อาจที่จะหาผู้ร่วมงานด้วยตัวเองได้ แต่เราก็มีวิธีรับมือกับคนทำงานที่มีนิสัย (เสีย) 10 ประเภทดังนี้ค่ะ

1.หลีกเลี่ยงหน้าที่ คนแบบนี้มักค่อยๆ แบ่งงานของตัวเองไปให้เพื่อนร่วมงาน แล้วก็มีคำพูดที่ท่องจำจนขึ้นใจว่า ฉันกำลังมีงานยุ่งมาก
ข้อแนะนำ บอกหัวหน้างานคุณเป็นนัยว่า เขาหรือเธอคนนั้นไม่ค่อยมีอะไรทำเป็ินช้ินเป็นอัน ควรให้งานโปรเจ็กต์เขาไปลองทำดูบ้างดีมั้ย
2.ประจบเจ้านาย คนประเภทนี้จะยกยอปอปั้นเจ้านาย อะไรๆ เจ้านายก็ถูกต้องหมด
ข้อแนะนำ แสดงความสามารถของคุณให้เจ้านายเห็นเท่าที่ทำได้
3.ชอบซุบซิบนินทา ไม่ว่าจะไปทานอาหารหรือพบเจอกัน คนประเภทนี้จะต้องซุบซิบนินทาเรื่องคนอื่นเป็นของหวานยามปากว่าง
ข้อแนะนำ คุยกับคนประเภทนี้ให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าเล่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคุณให้เขาฟัง และอย่าสนใจคนประเภทนี้ หากไม่มีใครฟัง เดี๋ยวก็เงียบไปเองแหละ
4.ช่างยุแหย่ เพื่อนร่วมงานประเภทนี้ชอบพูดเรื่องคนนั้นคนนี้และเล่าไปมาให้คนทะเลาะกันเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์
ข้อแนะนำ ต้องร่วมมือกันหลายๆ คนในออฟฟิศด้วยการไม่สนใจเขาเลย ต้องดัดนิสัยเสียบ้าง
5.จอมยุ่งเหยิง บนโต๊ะทำงานของเขามีเอกสาร ข้าวของกองยุ่งเหยิงไปหมด แม้แต่ถุงเท้าเขายังใส่สองข้างต่างสีกันเลย
ข้อแนะนำ ตราบใดที่เขายุ่งเหยิงกับตัวเขาเองโดยไม่ได้ทำให้คุณเสียหาย ก็ปล่อยเขาซะ หรือหากคุณอยากทำตัวเป็นแม่สักครั้งด้วยการเก็บของบนโต๊ะให้เขาอาทิตย์ละครั้งเพราะทนไม่ไหวก็แล้วแต่ความใจดีของคุณก็ละกัน
6.ไร้เดียงสาหรือไม่อยากช่วย เพื่อนร่วมงานคนนี้มักบอกว่าทำไม่ได้ นอกจากยิ้มแล้วก็ถามว่า ทำยังไงน่ะ ปล่อยให้คุณอธิบายหลายรอบ แล้วก็กลับมาถามอีก

ข้อแนะนำ ให้คุณบอกว่า คุณอธิบายมาหลายรอบแล้ว หากจำไม่ได้ก็ควรจดโน้ตไปด้วย
7.โตแต่ตัว เพื่อนร่วมงานคนนี้ชอบส่งอีเมล์และรูปภาพประกอบที่ตลกๆ สนุกสนาน หรือซ่อนภาพแปลกๆ ไว้ในเอกสารสำคัญๆ
ข้อแนะนำ อย่าหัวเราะกับเรื่องตลกของเขาเพราะจะทำให้เขาชอบใจและทำมากขึ้น หรือคุณอาจบอกว่าเขาว่า นี่คือโลกของผู้ใหญ่นักทำงานนะคะ
8.ขี้หลี หนุ่มคนนี้ชอบเจ๊าะแจ๊ะจอแจกับเพื่อนร่วมงานสาวๆ  หรือชอบพูดจาแทะโลมเท่าที่โอกาสจะอำนวย
ข้อแนะนำ ไม่ต้องลังเล จัดการกับเขาซะ อาจว่ากล่าวตรงๆ หรือหากแต๊ะอั๋งก็ตวัดมือสักที หรือนำไปเล่าในที่ประชุมเพื่อปรามหนุ่มขี้หลี
9.โทรศัพท์ส่วนตัวทั้งวัน ผู้ร่วมงานคนนี้ทำยังกับว่าออฟฟิศคือบ้านส่วนตัวของเธอหรือเขางั้นแหละ ก็คุณเธอเล่นโทรศัพท์คุยกับเพื่อนได้ทั้งวันแทบไม่มีหยุด โทรศัพท์ก็ดังไม่หยุดหย่อน
ข้อแนะนำ ส่งงานเร่งด่วนให้เธอหรือเขาทำเพื่อจะได้ไม่มีเวลาคุยโทรศัพท์
10.อีโก้สูง ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรหรือทำอะไร ก็มักจะผิดในสายตาของเพื่อนร่วมงานคนนี้ เธอหรือเขา จะพูดจาดูถูกดูหมิ่นหรือบลั๊พให้คุณหน้าแตกแบบไม่ต้องเย็บกันละ
ข้อแนะนำ อย่าแสดงอารมณ์ร่วมกับหล่อน (เขา) เพราะจะทำให้คนประเภทนี้ได้ใจ ให้คุณทำงานไปตามปกติ ทำเหมือนกับว่าคุณไม่ได้ใส่ใจกับนิสัยของเธอ (เขา) และให้คุณพูดกับเธอ (เขา) ด้วยสำเนียงร่าเริงเพื่อให้รู้ซะมั่งว่านิสัยแย่ๆ อย่างนี้เก็บไปใช้ที่บ้านเถอะจ้ะ

Ref. : http://women.kapook.com/work00229/

สุขกับงาน ตามวิถีพุทธ

ความสำเร็จในการทำงานตามวิถีพุทธ

ในการทำงาน นอกจากจะต้องใช้สติและปัญญาในการทำงาน เพื่อแก้ปัญหาและหาหนทางเจริญก้าวหน้าอยู่นั้น มีทฤษฎีมากมายที่หวังให้เราปฏิบัติตาม  โดยใช้ธรรมะตามแนววิถีพุทธ ก็สามารถ ทำให้คุณประสบความสำเร็จในการทำงานได้ ธรรมะที่เราควรจะหยิบยกมาใช้ในการทำงานทุกวันนี้ คงหนีไม่พ้นอิทธิบาท 4 เพราะความหมายของอิทธิบาท 4 คือธรรมให้ถึงความสำเร็จ หรือหนทางแห่งความสำเร็จนั่นเอง โดยหลักอิทธิบาท 4 นั้นเป็นหลักธรรมสำคัญที่ทำให้เกิดสมาธิในการทำงาน ไม่ฟุ้งซ่านไปกับสังคมและกระแสต่างๆ พร้อมทั้งตีกรอบให้เราทำงานอย่างคงเส้นคงวาอีกด้วย



 ฉันทะ = ฉันพอใจกับงานที่ทำอยู่  

มีใครบ้างไหมไม่ชอบงานที่ทำอยู่ ให้คุณลองตรวจสอบตัวเองดูว่า คุณนั้นมีความชอบหรือศรัทธากับงานแบบใด หรือพอใจกับงานแบบใดอยู่ เหมือนกับคุณเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่กำลังใช้ความคิดใตร่ตรองว่าคุณต้อง การเดินไปเส้นทางใด เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครให้คำตอบคุณได้เพราะเป็นความชอบความศรัทธาที่ก่อเกิด จากตัวของคุณเอง จริงอยู่ที่งานแต่ละอย่างไม่มีทางที่คุณจะชื่นชอบไปทั้งหมดทุกกระบวนการ แต่ถ้าคุณพอใจที่จะทำให้ดี สบายใจที่จะต้องเจอมันทุกวันเราเรียกว่าความศรัทธา เป็นสิ่งแรกที่มนุษย์ต้องการและเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ อย่างเช่น คุณมีความศรัทธาและใจรักที่จะเป็นพนักงานขายที่ดีและซื่อสัตย์ สิ่งนี้จะเป็นพลังให้คุณเดินไปหาความสำเร็จได้แบบเป็นเส้นตรง และเข้าถึงจิตใจเนื้อแท้ในการทำงานมากกว่าคนที่ไม่ได้มีความศรัทธาใดๆ กับงานที่ทำ  คุณอาจเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง ฉันทำงานเพื่ออะไร ฉันมีความสุขหรือไม่ เพียงแค่นี้คุณก็จะทราบตัวเองว่ามีความลึกซึ้งกับงานที่ทำอยู่เพียงใด เผื่อเราจะได้มีเวลาค้นหาและปรับเปลี่ยนตัวเอง หรือปรับศรัทธาของตัวเองให้เข้ากับงานที่ทำอยู่



 วิริยะ = ฉันขยันหมั่นเพียรกับงานที่มี

คงไม่มีคนไหนประสบความสำเร็จโดยปราศจากความเพียร เป็นคำคมที่แปลง่ายแต่ความหมายเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก เพราะความวิริยะนั้นเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ ได้ ยิ่งคุณขยันเท่าไรผลตอบแทนที่คุณจะได้รับมันก็มีมากเท่านั้น ยกตัวอย่างต่อจากหัวข้อฉันทะ คุณเป็นพนักงานขายที่มีความศรัทธากับงานที่ทำ มีความสุขในการทำงานเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ร่วมกับความขยันหมั่นเพียร ไม่เฉยชาที่จะต้อนรับลูกค้า กระตือรือล้นหาลูกค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ มีวินัยในการทำงาน ไม่ท้อกับปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามา มีความทุ่มเทอย่างนี้ ตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน ที่สำคัญความวิริยะจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความศรัทธาของฉันทะนั่นเอง และความวิริยะไม่ใช่การทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นการหมั่นฝึกฝนตนเองต่างหาก



 จิตตะ = ฉันเอาใจใส่รับผิดชอบกับงานที่ทำ 

จิตใจที่จดจ่อกับงานไม่วอกแวกไปเที่ยวเล่นล้วนเกิดผลดีต่องานที่ทำ จิตตะเป็นธรรมแสดงถึงสติและจิตใจที่รอบคอบและความรับผิดชอบที่จะตามมา ซึ่งในสังคมการทำงานปัจจุบันนี้มุ่งเน้นแย่งชิงตำแหน่งกัน และขัดขาจนลืมคิดไปว่า งานที่ตนเองต้องรับผิดชอบนั้นคือสิ่งใดกันแน่ จิตตะจึงมีความสำคัญในการทำงานโดยไม่วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง  ดังนั้น เมื่อคุณมีทั้งฉันทะและวิริยะแล้ว จิตตะจะเป็นเสมือนรั้วของเส้นทางที่ไม่ให้ไขว้เขวออกนอกทางสู่ความสำเร็จได้ รวมทั้งเป็นสติที่สื่อออกมาถึงความมุ่งมั่นที่สูงกว่าความพอใจและความขยัน หมั่นเพียร



 วิมังสา = ฉันใคร่ครวญและใช้ปัญญาตรวจสอบงาน  

สิ่งสุดท้ายในการทำงานคือการใช้ปัญญา ที่เป็นกุญแจสูงสุดของอิทธิบาท 4 เมื่อคุณมีความรักในงานที่ทำ มีความขยันหมั่นเพียร มีสติรับผิดชอบ การมีปัญญาคือการทบทวนตนเองและปัญหา ว่าสิ่งที่เราได้ทำมานั้นมีผลดีผลเสียอย่างไร มีสิ่งใดที่เข้ามากระทบใจเราหรือคนอื่นหรือไม่ เราจะได้รู้จุดยืนของเราว่าทำงานและอยู่ในด้านทุกข์หรือสุข ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ อย่างเช่น ทบทวนตัวเองนิ่งๆ ว่าวันนี้ทั้งวันเราทำอะไรบ้าง สรุปกับตัวเองว่าทำเพื่ออะไร เราจะได้มีกำลังใจต่อในวันต่อๆ ไป และไม่ทำผิดซ้ำซากอีกเช่นเดิม พร้อมกันนั้นเราจะสามารถเห็นหนทางได้ว่า เส้นทางไหนที่จะนำเราสู่ความสำเร็จได้จริงๆ

Ref.: http://women.kapook.com/work00232/

 

สุข 10 ประการกับงานของคุณ

หลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าวันนี้ คือวันแรกของชีวิตที่เหลืออยู่ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นชีวิตและการงานให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น วิธีที่จะทำให้คุณรักงานที่ทำ เพราะเมื่อคุณรักในสิ่งที่คุณทำ คุณก็มีความสุข และทำได้อย่างดีที่สุด ขอแนะนำวิธีการดังนี้คะ

1. ให้ความใส่ใจกับการเรียนรู้

ทำทุกวันของคุณให้เหมือนกับการเรียนหนังสือ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เสมอ และนำมาปรับใช้ เพื่อให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่คุณเรียนรู้อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับทักษะในการทำงานก็ได้ บางทีอาจจะเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น การเรียนรู้และเข้าใจวิธีการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ หรือการรู้จักควบคุมอารมณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น

2. มองหาความท้าทายใหม่ ๆ

คุณจำเป็นจะต้องมีความชำนาญในหน้าที่ของคุณ นั่นจะทำให้คุณได้รับความเชื่อถือจากหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และลูกค้า รวมทั้งมองไปยังอนาคตข้างหน้าว่าเส้นทางการทำงานของคุณจะเป็นอย่างไร มีการพูดคุยกับหัวหน้าของคุณเป็นประจำ ทำความเข้าใจกับเนื้องานและเป้าหมายของงานแต่ละชิ้น เพื่อที่คุณจะได้วางแผนสำหรับงานที่เป็นความท้าทายครั้งใหม่ของคุณ

3. เข้าใจเป้าหมายขององค์กร

คุณต้องแน่ใจว่าคุณเข้าใจความสำคัญของงานในหน้าที่ของคุณว่ามีผลต่อจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างไร คุณมีบทบาทอยู่ในส่วนที่สร้างรายได้ให้กับองค์กร หรืออยู่ในส่วนที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตราสินค้า หรืออยู่ในส่วนที่จะต้องสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คุณต้องมีความชัดเจนว่าหน้าที่ของคุณอยู่ตรงส่วนไหนในภาพรวมขององค์กร คุณก็จะเกิดแรงบันดาลใจและความรู้สึกที่อยากจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่ของคุณ

4. มีจริยธรรม

ซื่อสัตย์ในหน้าที่ของคุณไม่ว่าคุณจะทำงานในตำแหน่งใดก็ตาม อย่าโทรศัพท์ลาป่วยเพียงเพื่อคุณต้องการหยุดงาน หากคุณต้องทำงานนอกสถานที่ ควรทำตัวให้สามารถตรวจสอบได้ว่าคุณอยู่ที่นั่นจริง การรักษาคำพูดก็เช่นกัน จงทำในสิ่งที่คุณพูดว่าจะทำ ความซื่อสัตย์และความน่าไว้วางใจมีความสำคัญต่อการพิจารณาของหัวหน้าของคุณ

5. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง

หาเวลาออกกำลังเรียกเหงื่ออย่างน้อยวันละ 20 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นประจำ ในตอนกลางวันออกเดินไปหาอะไรรับประทานข้างนอกบ้าง เข้าฟิตเนส ยกดัมเบลสักหน่อย เพราะร่างกายที่แข็งแรงจะทำให้คุณมีจิตใจที่แข็งแรงด้วย การออกกำลังกายช่วยให้โลหิตไหลเวียนไปยังสมองได้ดี ซึ่งจะช่วยให้คุณเกิดความคิดดี ๆ สมองแล่นฉับไว มีผลงานที่สร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญทำให้คุณรู้สึกดี และมีความสุข

6. เพิ่มบทบาทในการทำงาน

บางครั้งคุณต้องคิดทำอะไรที่เพิ่มมูลค่าให้กับตนเองด้วย มองหาโปรเจ็กต์ที่ไม่ใช่งานในหน้าที่ของคุณโดยตรง แล้วดูว่าคุณจะสามารถเข้าไปมีส่วนช่วยเหลืออะไรในโปรเจ็กต์นั้นได้บ้าง จากนั้นก็เสนอตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีม โดยการเสนอไอเดียของคุณเข้าไป ถึงแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่มั่นใจได้ว่าจะมีคนมองเห็นในสิ่งที่คุณทำ และเมื่อคุณทำอย่างต่อเนื่องและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ รับรองว่าอนาคตการทำงานของคุณจะต้องสดใสอย่างแน่นอน

7. บริหารจัดการให้ดี

คุณต้องแน่ใจว่าคุณและหัวหน้าของคุณได้มีการตกลงกันถึงสิ่งที่คุณจะทำ และกระตือรือร้นที่จะดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณทำได้ตามที่คาดหวัง หรือทำได้เกินที่คาดหวังหรือไม่ อย่าคิดไปเองว่าหัวหน้าจะเอาใจใส่คุณอย่างใกล้ชิด เพราะหัวหน้าที่ไม่ดีก็มีอยู่มาก ถ้าคุณไม่ได้มีการประสานงานกับหัวหน้าให้ดี เขาก็ไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ หรือคุณไม่รู้ว่าเขาคาดหวังอะไรจากคุณแล้วล่ะก็ คุณอาจจะถูกตำหนิเอาได้ แสดงความกระตือรือร้นและทำงานในเชิงรุกเสมอ อย่ารอให้ถึงวันประเมินผลการทำงาน เพราะมันอาจจะช้าเกินไป

8. เอาใจใส่คนรอบข้าง

แม้ว่าคุณจะสามารถทำงานคนเดียวได้ แต่ก็ต้องเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของเพื่อนร่วมงานของคุณด้วย ว่าเขาทำงานอย่างไร แสดงความสนใจต่อเพื่อนร่วมงานและงานของพวกเขา อย่าเลือกคบเพื่อนเพียง 2-3 คน หรือคบเพียงเพื่อนที่เคยรู้จักกันมาก่อนเท่านั้น คุณจำเป็นต้องเปิดกว้างรับเพื่อนใหม่ด้วย เพราะคุณไม่อาจรู้ได้ว่าในอนาคต คุณอาจต้องการความช่วยเหลือจากเขา หรือเขาอาจกลายมาเป็นหัวหน้างานของคุณก็ได้

9. การสื่อสารก็สำคัญ

อย่าปล่อยให้ใครต้องรอคำตอบจากคุณ ถ้าคุณสื่อสารกันทางอีเมล ให้รีบตอบอีเมลโดยเร็ว ทำให้พวกเขารู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ คิดว่าใครที่จะให้คำแนะนำแก่คุณได้ จากนั้นก็ไปถาม หรือ ขอความคิดเห็นจากคน ๆ นั้น และเมื่อเขาให้การช่วยเหลือคุณ อย่าลืมที่จะขอบคุณเขาด้วย การสื่อสารที่ดีจะทำให้เขาเต็มใจที่จะช่วยเหลือคุณ

10. ให้เวลากับความสุข

สนุกกับงานเสมอ แม้ว่างานจะหนัก แต่จงยิ้มเข้าไว้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เพราะว่าไม่มีใครชอบคนขี้บ่นหรอก ดังนั้นจงทำวันของคุณให้สดใส มองโลกในแง่ดี ไม่ตึงเครียดจนเกินไป มีความสุขกับครอบครัว เพื่อน และตัวคุณเอง สร้างสมดุลให้กับชีวิตและงานอย่างลงตัว เพื่อจะได้มีทั้งการงานที่มั่นคง และชีวิตครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุข

เมื่อคุณได้ทำตามคำแนะนำทั้ง 10 ข้อแล้ว คาดหวังได้ว่าการงานของคุณจะเจริญก้าวหน้า และสร้างความสมดุลได้ทั้งชีวิตในที่ทำงานและครอบครัว 

 Ref.: http://th.jobsdb.com/th/EN/Resources/JobSeekerArticle/feb09-01.htm?ID=1336