ผู้นำแบบ ซูซีไทเฮา

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการซูซีไทเฮา  มาเล่าให้ฟังค่ะ  

ในอดีตหากมีผู้หญิงคนใดที่มีความเก่งกาจโดดเด่นหรือมีความเป็นผู้นำของกลุ่มและชุมชนมักจะถูกเปรียบเปรยว่าเป็น ซูสีไทเฮา เสมอ ถือเป็นการยกตัวอย่างที่เปรียบเทียบถึงความเก่งกาจของซูสีไทเฮาที่สามารถครอบครองบัลลังค์จีนมายาวนานถึง 47  ปี  ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  จีนเป็นประเทศมหาอำนาจมาตั้งแต่โบราณ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และจำนวนประชากรที่มากมายมหาศาล ประกอบกับมีวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นไม่เหมือนใคร ถือได้ว่าเป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมที่สำคัญของเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม หรือแม้กระทั่งไทย ก็ล้วนแต่มีพื้นเพทางวัฒนธรรมมาจากจีนยุคโบราณทั้งสิ้น จึงไม่แปลกใจหากพระนางซูสีไทเฮาได้ยกย่องให้เป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลทางด้านการปกครองของจีนในอดีต ซึ่งยังไม่มีใครสามารถเทียบชั้นอำนาจ และความยิ่งใหญ่ได้นับตั้งแต่ประวัติศาสตร์จีนกว่า 5,000 ปีที่ผ่านมา พระนางซูสีไทเฮา เป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด ในราชสำนักจีนยุคของราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน ก่อนที่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะล่มสลายกลายเป็นสาธารณรัฐ และคอมมิวนิสต์ ไปในที่สุด โดยพระนางทรงอยู่ในอำนาจ โดยกุมอำนาจอยู่เบื้องหลังฮ่องเต้ถึง 3 พระองค์ ไม่มีใครสามารถโค่นพระนางลงจากอำนาจได้สำเร็จ        พระนางซูสีไทเฮาสามารถไต่เต้าจากตำแหน่งสาวใช้  จนกลายเป็นพระมเหสีของฮ่องเต้เสียนเฟิง และกุมอำนาจปกครองอาณาจักรจีนนานถึงครึ่งศตวรรษจนกระทั่งสวรรคต ซึ่งถือว่าพระนางเก่งมาก ที่ก้าวมาจากจุดที่ไม่มีอะไรเลยจนได้กลายเป็น ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์จีน  แต่พระนางก็ถูกตำหนิอย่างหนักว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศจีนล่มจม ถูกชาติตะวันตกรุกรานเสียเกียรติภูมิ เพราพระนางมัวแต่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมัวเมาในอำนาจ และไม่สนใจผลประโยชน์ของบ้านเมือง พระนางซูสีไทเฮาสวรรคตท่ามกลางการสาปแช่งของชาวจีน คือเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน คริตส์ศักราช 1908 มีเรื่องเล่าว่า ก่อนสวรรคตพระนางส่งคนไปวางยาพิษจักรพรรดิกวงซวี่ ที่ยังทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทำให้จักรพรรดิกวงซวี่ สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้าพระนางเพียงวันเดียว จากนั้นพระนางได้ ให้ปูยีเป็นจักรพรรดิทั้งๆ ที่ปูยียังมีอายุไม่ถึง 3 ขวบปีดี ในที่สุดพระนางก็ได้สิ้นสุดอำนาจการปกครองต่อราชวงศ์ชิงนานถึง 47 ปี และสวรรคตก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะถึงแก่กาลอวสานไปไม่ถึง 3 ปี นับเป็นการปิดฉากการปกครองแบบราชวงศ์ เพื่อเข้าสู่ยุคปฎิวัติและรวมประเทศจีนด้วยการปกครองแบบสาธารณรัฐดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อได้ครองอำนาจ พระนางซูสีไทเฮามีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น เนื่องจากว่าพระนางซูสีไทเฮา มีอุปนิสัยเป็นคนทะเยอทะยาน มีสติปัญญาสูง และก็รู้จักใช้อำนาจอย่างเฉลียวฉลาด ดังนั้นจึงสามารถกุมอำนาจของราชสำนักไว้ในพระหัตถ์ของพระนางแต่เพียงผู้เดียว ซูสีไทเฮา เคยเอ่ยปากว่าพระนางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดกว่าหญิงใด และนางก็มีผู้คนในปกครองมากมายหลายล้านคน ในราชสำนักนั้นพระนางมีอำนาจมาก โดยไม่มีใครกล้าโต้แย้ง พระนางเป็นผู้บรรจุ แต่งตั้งบรรดาผู้คนทั้งปวงในราชสำนัก ตลอดจนสำนักราชการต่างๆ ยิ่งนานไปทุกคนต้องแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียว หลังจากที่จักรพรรดิ เสียนเฟิงสิ้นพระชนม์ไป จนกระทั่งสิ้นราชวงศ์ชิง ล้วนแต่มีฐานะเป็นหุ่นเชิดของพระนาง กล่าวได้ว่านับตั้งแต่ปีคริตส์ศักราช 1861 เป็นต้นมา จนถึงกาลอวสานของราชวงศ์ชิงนั้น อำนาจของรัฐบาลแมนจู ตกอยู่ภายใต้กำมือของสตรีเพียงคนเดียว

พระนางใช้หลักขงจื๊อ มาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินคือเรื่อง ลูกกตัญญู ที่ ลูกต้องเชื่อฟังแม่ มาใช้กับองค์จักรพรรดิถงจื่อ และเมื่อบรรดาเหล่าขุนนางทั้งหลายต้องถวายความจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ ก็ต้องถวายความจงรักภักดี ต่อพระราชมารดาขององค์จักรพรรดิก่อน ดังนั้นสุภาษิตของขงจื้อที่ว่าไว้ว่า ผู้มีปรีชาญาณ ต้องเอาความกตัญญูมาปกครองอาณาจักรจึงเป็นหลักปฏิบัติที่ถูกยกขึ้นมาอ้างบ่อยครั้งที่สุดในรัชสมัยของพระนาง ข้อคิดในเชิงบริหาร การปกครองสมัยซูซีไทเฮาที่หลงในอำนาจ เชื่อฟังแต่ขันที ฟังความข้างเดียว หลงแต่ในโลกแคบๆไม่มองโลกภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปถึงไหนๆ ไม่มีวิจารณญานด้วยตนเอง สักแต่ว่ามีอำนาจสั่งการ  เป็นยุคที่คนดีตีออกห่างเพราะทนไม่ได้กับยุคสมัยของ การทำดีไม่ได้ดี  ทำไม่ดี  กลับได้ดี  

Comments are closed.