การบริหารงานแบบ เจงกิสข่าน

ดิฉันมีเรื่อง เคล็ดลับการบริหารของ เจงกิสข่าน นับรบผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของมองโกเลีย มาเล่าให้ฟังค่ะ   ในวัยเด็กของเด็กชายเตมูจิน ซึ่งลูกชายคนโตของครอบครัวที่บิดาเสียชีวิตในการต่อสู้ระหว่างเผ่า ส่วนมารดาและน้องๆของเค้า ถูกข้าศึกทอดทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว หวังให้อดตาย แต่เตมูจินก็ดิ้นรนด้วยปัญญาสมวัยและนำครอบครัวรอดมาได้ แต่ก็ต้องมาถูกตามล่าในเวลาต่อมาจากศัตรูเก่าของบิดา สัญชาตญาณเอาตัวรอดแต่เด็กทำให้เตมูจินผูกมิตรกับเพื่อนร่วมสาบานของบิดา และได้จามูคา ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานหนุนหลังอีกราย จึงนับว่าการผูกมิตรครั้งนี้  ทำให้เตมูจินได้ตั้งหลักและลืมตาอ้าปากได้

 เจงกิสข่าน จากเดิมเป็นเพียงหัวหน้าเผ่ามองโกล เร่ร่อน เผ่าเล็กๆ เท่านั้น จากเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง จนกระทั่งสามารถได้รับ การสนับสนุนด้านกองกำลัง จากพันธมิตร บวกกับ บุคลิกที่สามารถเป็นผู้นำได้ของเตมูจิน ทำให้เขามองไกลกว่า  การเอาชนะแค่เป็นครั้งๆไป เจงกิสข่านเชื่อว่ามี บัญชาสวรรค์ที่ให้เขาเป็นผู้นำโลก เขาจึงทำในสิ่งที่ ไม่เคยมีหัวหน้าเผ่ามองโกลคนใดเคยทำ นั่นก็คือ ต่อสู้และรวบรวมชนเผ่าต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งทำให้ทัพของมองโกล มีชนชาติอื่นๆที่ถูกมองโกลปราบได้รวบรวมอยู่เป็นจำนวนมาก  ท่านผู้ฟังค่ะได้มีผู้กล่าวไว้ว่า ชาวรัสเซียมีกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของมองโกลว่า  แม้แต่สุนัขก็ยังเห่าไม่ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจาก บาตูข่านผู้ยิ่งใหญ่  ต่อมาเจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ชาวเผ่า เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกันทั้งหมด โดยมีเจงกิสข่าน เป็นกษัตริย์องค์แรก ซึ่งต่อมามีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออกจดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันตกไปยังแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางใต้นั้น เจงกิสข่าน เหยียบไปถึงแผ่นดินในเมืองพุกามของประเทศพม่า  จนทำให้มองโกเลียกลายเป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา

ท่านผู้ฟังค่ะ นอกเหนือจากการขยายอาณาจักรออกไปอย่าง กว้างไกลแล้ว เจงกีสข่าน นอกจากจะมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมค่ะ  เนื่องจากให้เสรีในการนับถือศาสนา โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน และเจงกิสข่านก็สามารถพิสูจน์ตัวเองต่อชาวโลกว่า เค้าไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยมเผาบ้านเมืองรวมทั้งถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ประการเดียวค่ะ  รวมทั้งยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ ของฝ่ายตรงข้าม โดยเค้าจะส่งบรรดาช่างฝีมือและผู้มีความรู้เหล่านั้น รวมทั้งทรัพย์สินเงินทอง
ที่ยึดมาได้ จากการบุกโจมตีอาณาจักรเหล่านั้น กลับไปยังมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้ถ่ายทอดวิชาความรู้เหล่านั้นแก่ชาวมองโกเลีย ให้มีความก้าวหน้าในศิลปะวิทยาการต่างๆ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลกโดยไม่มีใครต้านพลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ ตลอดช่วง สหัสวรรษเดียวกันนี้ได้เลยค่ะนักประวัติศาสตร์หลายท่าน ให้ความเห็นตรงกันว่า หากเจงกิสข่านรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่านจะได้ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรกและองค์เดียว ที่ครองโลกได้  ท่านผู้ฟังค่ะโลกในยุคนั้น มีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแถบประเทศจีนไล่ไปจนถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรม กองทัพเจงกิสข่าน จึงตะลุยยึดรัสเซียได้กว่าค่อนประเทศ บุกต่อไปถึงยุโรปกลางและเยอรมัน เตรียมบุกยึด เกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน
กลยุทธ์การจัดกระบวนทัพของเจงกิสข่าน เป็นแบบที่ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยการเดินทัพไปเลี้ยงสัตว์ไป เช่น วัว ควาย
และแพะ ตลอดจน ม้าศึก เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็วและสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ

Comments are closed.