นิทาน ผู้หญิงไม่เคยทำอะไร

วันนี้ดิฉันมีเรื่อง นิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา   เรื่อง   ผู้หญิงไม่เคยทำอะไร มาเล่าให้ฟัง 

ดาหวันสมัครเข้าทำงานในบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเธอก็ได้รับโอกาสให้ทำงานเป็นเลขาฯ ของชาคริต ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้ ดาหวันตั้งใจทำงานมาก เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่ได้งานนี้หน้าที่ของดาหวันคือ เข้าไปจัดห้องทำงานเตรียมพร้อมไว้ก่อนที่ชาคริตจะเข้าบริษัทฯ และคอยเป็นมือขวาช่วยติดต่อประสานงานต่าง ๆ ให้ การจัดห้องทำงานของชาคริตทำให้ดาหวันรู้สึกว่าเจ้านายของเธอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เพราะเขาตั้งรูปถ่ายที่ถ่ายร่วมกับภรรยาและลูกสาวเอาไว้บนโต๊ะทำงานด้วย       "ภรรยาคุณชาคริตสวยมาก ลูกสาวก็น่ารักน่าชัง คุณชาคริตคงรักครอบครัวของเขามาก" ดาหวันพูดกับตัวเอง มาภายหลังเธอจึงรู้ว่าภรรยาของเจ้านายชื่อ กันยา       แต่ผ่านไปสามเดือน ดาหวันก็จับข้อสังเกตอย่างหนึ่งได้ เธอไม่เคยเห็นกันยามาหาชาคริตที่บริษัทเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ออกจากบ้านไปไหนเลยด้วยซ้ำ ดาหวันเห็นเจ้านายของเธอแอบแวบไปห้างสรรพสินค้าในเวลาพักเที่ยงบ่อย ๆ เพื่อหาซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้าน บางครั้งทั้ง ๆ ที่งานยุ่ง แต่ถ้ามีโทรศัพท์จากกันยามาสั่งซื้อของ ชาคริตจะหาเวลาไปซื้อสิ่งนั้นมาเก็บไว้ในรถเพื่อนำกลับไปให้เธอในตอนเย็นจนได้         ดาหวันเฝ้ามองการกระทำของเจ้านายด้วยความแปลกใจ เหตุใดผู้ชายคนหนึ่งจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อภรรยาของเขาได้ถึงขนาดนี้ เธอไม่เคยเห็นสามีคนไหนเป็นแบบชาคริตมาก่อน และก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนไม่ยอมทำอะไรเองสักอย่างแบบกันยามาก่อนด้วย       วันหนึ่งชาคริตงานยุ่งมาก เขามีประชุมด่วนติดต่อกันถึงสามแห่ง จึงไหว้วานดาหวันให้ช่วยไปรับลูกสาวจากโรงเรียนอนุบาล และซื้อของใช้บางอย่างกลับไปให้ภรรยาของเขาที่บ้านด้วย       "ได้ค่ะเจ้านาย" ดาหวันยิ้มรับคำ แต่ในใจนึกอิจฉากันยาว่า ทำไมถึงเกิดมาสบาย และเป็นที่รักของสามีอย่างนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร อยากได้สิ่งไหน สามีก็จัดหา หรือทำให้หมด ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเองสักอย่างเดียว       "คุณส่งลูกสาวผมแค่หน้าปากซอยก็พอ ผมโทรฯ บอกให้พี่เลี้ยงของเขาออกมารอรับอยู่แล้ว ข้าวของที่ซื้อมาก็ฝากพี่เลี้ยงกลับไปได้เลย"       "ค่ะ" ดาหวันรับคำอีก แต่ในใจก็นึกปรามาสกันยาขึ้นมา    "แม้แต่ลูกของตัวเองก็ยังไม่ออกมารับ ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยหรือไงนะ"      ยอมรับว่าดาหวันจะอิจฉากันยามากขึ้น เจ้านายของเธอก็ไม่เห็นจะเคยปริปากบ่นที่ภรรยาของเขาไม่ทำเลยสักอย่าง ซ้ำยังดูเหมือนจะมีความสุขที่ได้ทำทุก ๆ อย่างให้ภรรยาและลูกด้วยตัวเองอีกด้วย ดาหวันอิจฉากันยาเสียจริง นี่เธอจะมีโอกาสได้สามีที่แสนดีอย่างนี้บ้างไหมนะ    วันหนึ่ง กันยาโทรศัพท์เข้ามาขอสายสามี แต่ชาคริตไม่อยู่ ดาหวันเป็นผู้รับสาย เธอบอกไปว่า"คุณชาคริตไปพบลูกค้า ติดต่อไม่ได้ คิดว่าคงจะปิดโทรศัพท์มือถือไปแล้วล่ะค่ะ"       "แย่จริง ดิฉันต้องการความช่วยเหลือจากเขาด่วนเสียด้วยสิ"กันยาบอก       ดาหวันรู้สึกไม่พอใจ นี่ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้างหรืออย่างไรนะ ต้องใช้ให้สามีช่วยนั่นช่วยนี่ตลอด แต่ดาหวันก็พูดออกไปอย่างรักษามารยาทว่า       "คุณกันยามีอะไรเดือดร้อนล่ะคะให้ดิฉันช่วยแทนไหม"       "ดิฉันปวดฟันมากเหลือเกินค่ะ อยากให้สามีพาไปหาหมอฟัน แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะกินยาแก้ปวดไปพลาง ๆ ก่อน ถ้าเขามาแล้ว รบกวนคุณช่วยบอกเขาให้รีบกลับบ้านด้วยนะคะ"  ดาหวันวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดใจ ทำไมเจ้านายของเธอถึงไปเลือกผู้หญิงอย่างนี้มาเป็นภรรยานะ ดูเธอสิ ขยันขันแข็งทำนั่นทำนี่สารพัด แต่ไม่เห็นจะมีผู้ชายดี ๆ มาชอบสักคน สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย       ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ชาคริตยังไม่กลับมา แม้ดาหวันจะไม่พอใจกันยา แต่เธอก็รู้สึกว่าคนที่เป็นเลขาฯ ควรจะทำทุก ๆ อย่างแทนเจ้านายได้ ดังนั้นดาหวันจึงตัดสินใจขับรถไปหากันยาที่บ้าน เผื่อว่าจะพอช่วยแบ่งเบาภาระอะไรชาคริตได้บ้าง       เมื่อไปถึง ดาหวันไม่เห็นใครอยู่บ้านเลย กดกริ่งเรียกเท่าไรก็ไม่มีคนมาเปิด ดาหวันลองผลักประตูรั้วดู ประตูไม่ได้ใส่กุญแจไว้ เธอจึงเดินเข้าไปในบ้าน พยายามมองหาใครสักคน จนมาถึงห้องห้องหนึ่ง เธอจึงได้ยินเสียงผู้หญิงในห้องร้องขึ้นอย่างดีใจว่า       "คุณคะ คุณกลับมาแล้วหรือ ฉันรอคุณมานานแล้ว"       ดาหวันจำได้ว่า เสียงนี้คือเสียงของกันยา เธอตอบกลับไปว่า "ไม่ใช่ค่ะคุณกันยา ดิฉันดาหวัน เลขาฯ ของคุณชาคริตค่ะ"       ตอนนั้นเองที่กันยาผลักประตูเปิดออกมา ดาหวันจึงได้เห็นกันยา ภรรยาของเจ้านายเป็นครั้งแรก ดาหวันตกใจจนเผลอหลุดปากร้องออกมา    "คุณพระช่วย!"       กันยามีหน้าตาที่งดงามดังเช่นภาพถ่าย แต่เธอต้องนั่งรถเข็นเพราะเธอไม่มีขาทั้งสองข้าง       "คุณดาหวันมาถึงที่นี่ มีอะไรรึเปล่าค่ะ" กันยาถาม ดูเหมือนว่าเธอไม่ถือสากับคำอุทานนั่นเลย "อะ..เอ่อ...คือคุณชาคริตยังไม่กลับมาเลยค่ะ ดิฉันก็เลยแวะมาดูคุณกันยา เผื่อว่าคุณต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน"

กันยายิ้มแล้วตอบว่า "ขอบคุณค่ะ ดิฉันปวดฟันมากจริง ๆ แต่มีแค่ชาคริตเท่านั้นที่จะพาดิฉันไปได้ เพราะเขาแข็งแรงพอที่จะอุ้มฉันขึ้นลงจากรถเข็นได้ แล้วยังพับเก็บรถเข็นได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย แต่สำหรับคนอื่นดิฉันคงเป็นภาระมากทีเดียว"
        จากนั้นกันยาจึงเชิญดาหวันไปที่ห้องรับแขกและเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเธอให้ดาหวันฟัง       "ดิฉันแต่งงานกับคุณชาคริตมาได้สามปีถึงมีลูกสาวคนนี้ คืนหนึ่งเราสองคนขับรถกลับจากต่างจังหวัด และเกิดอุบัติเหตุอาการสาหัสทั้งคู่ คุณชาคริตรักษาตัวจนหายดี แต่ดิฉันต้องเสียขาทั้งสองข้างไป"       "ดิฉันเสียใจด้วยนะคะ" ดาหวันบอก และรู้สึกสงสารกันยาขึ้นมาอย่างจับใจ    กันยายิ้มแล้วบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนนี้ดิฉันไม่เสียใจอีกแล้วที่ต้องเสียขาทั้งสองข้างไป เพราะสิ่งนี้เองทำให้ดิฉันรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก มีสามีที่ดีซึ่งรักและจริงใจกับดิฉัน ไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามยาก"
เมื่อกันยาพูดจบ ชาคริตก็ปรากฏกายขึ้นพอดี เขามองดาหวันด้วยความแปลกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะพบเธอที่นี่ ก่อนจะตรงรี่เข้ามาหอมแก้มภรรยาแล้วถามเธอว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง       "คุณกันยาปวดฟันมากค่ะเจ้านาย ดิฉันแวะมาดูแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้ คงมีแต่เจ้านายเท่านั้นละค่ะที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด" ดาหวันตอบแทนกันยา และขอตัวลากลับ ชาคริตจึงอาสาเดินมาส่งเธอหน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวว่า  "ขอบคุณมากนะครับคุณดาหวันที่อุตส่าห์แวะเข้ามาดูแลภรรยาของผม ถ้าไม่รังเกียจคุณจะเข้ามาคุยกับเธอบ่อย ๆ ก็ได้ ท่าทางกันยาจะชอบคุณมาก เพราะตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุเธอก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนไหนเลย"  ดาหวันยิ้ม และตอบชาคริตว่า "ดิฉันเองก็ชอบคุณกันยามาก และจะแวะมาคุยกับเธอบ่อย ๆ แน่นอนค่ะ"ดาหวันคิดจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ เธอรู้สึกผิดมากที่เคยอิจฉากันยาโดยไม่รู้ว่ากันยาต้องตกอยู่ในสภาพที่ลำบากขนาดไหน ต่อไปดาหวันจะทำดีกับกันยาให้มาก และขอเป็นเพื่อนที่จริงใจที่สุดคนหนึ่งของเธอ       
       เรื่องนี้สอนใจว่า ความอิจฉาไม่ทำให้ใครมีความสุขขึ้นมาได้หรอก ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ความอิจฉาเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความคิดไม่ดี และความคิดไม่ดีก็มักจะบีบรัดหัวใจของเราให้เจ็บแสนเจ็บ ปวดแสนปวด ถ้าเราเจ็บเพราะความอิจฉา มีแค่วิธีเดียวที่จะทำให้เรารอดพ้นจากความเจ็บนั้นนั่นก็คือเลิกอิจฉาเสีย    
       เมื่อเห็นใครได้ดีมีความสุข ขอจงร่วมยินดีไปกับเขาเถิด อย่าได้อิจฉา อย่าได้คิดไม่ดีกับเขา อย่าได้เฝ้ารอวันที่ความสุขของเขาจะจางลงหายไป ใช่ล่ะ บางคนดูเหมือนจะมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตตลอดเวลา แต่รู้หรือเปล่าว่า สำหรับบางคน ความสุขที่ทำให้ต้องอิจฉาจนเผลอคิดไม่ดีกับเขานั้น อาจเป็นเรื่องดี ๆ เพียงเรื่องเดียวที่ทั้งชีวิตของเขาเพิ่งพบเจอมาก็ได้ แล้วจะไปซ้ำเติมเขาด้วยความอิจฉาของเราอีกทำไม       ดังนั้น จงร่วมดีใจในความสุขของผู้อื่นเสมือนนั่นคือความสุขของเราเอง แล้วเราจะได้รับความสุขจากสิ่งนั้นโดยมิต้องขวนขวายให้เหนื่อยแรงแต่อย่างใด       

Comments are closed.