Photoshop CS5

ADOBE PHOTOSHOP CS5

  โปรแกรม Photoshop เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการจัดการงานเกี่ยวกับภาพ เนื่องจากใช้ในการสร้างภาพ และตกแต่งภาพ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นงานในด้านสิ่งพิมพ์ นิตยสาร และงานด้านมัลติมีเดีย

เรามารู้จักกับ Photoshop และเครื่องมือแต่งภาพกันก่อน

                สิ่งแรกมาทำความรู้จักกับพื้นที่การทำงานของ Photoshop และเครื่องมือต่างๆที่จะนำมาใช้ในการสร้างหรือตกแต่งภาพ โดย Photoshop จะมีพื้นที่การทำงานที่เป็นส่วนประกอบของโปรแกรมและเครื่องมือแต่งภาพที่มากพอสมควร เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

chapter_01  มารู้จักกับ Photoshop และเครื่องมือแต่งภาพกันก่อน

เผย 5 เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

ช่วยให้สุขภาพดี ต้านอนุมูลอิสระ ห่างโรค

 

          ปัจจุบันการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้

 

เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

 

          การรู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม

 

          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง

 

          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่างหน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบกับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้

 

          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น วิถีทางธรรมชาติแต่ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย

 

          วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย

 

          วัยนี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน

 

          สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้วเท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

 

ข้อมูลจาก  http://www.thaihealth.or.th/node/4643

ไข้ทับระดู

 

คำว่า "ไข้ทับระดู" เป็นคำที่ใช้เรียกกันมาตั้งแต่สมัยก่อน ซึ่งมักเล่าขานกันในอดีตว่า ไข้ทับระดูเป็นไข้ที่น่ากลัวสำหรับผู้หญิง บางคนเป็นแล้วอาจถึงเสียชีวิตได้ บางคนก็เรียกไข้ทับระดูในความหมายของการติดโรคผู้หญิงมา โดยที่สมัยก่อนยังไม่มียาฆ่าเชื้อโรคที่ดีพอ เวลาที่ติดเชื้อที่รุนแรง ก็มักจะมีไข้และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ผู้คนในสมัยก่อนยังพูดถึงไข้ทับระดูในลักษณะที่เสียชีวิตขณะฉีดยา ทำให้หลายคนไม่กล้าให้หมอฉีดยาขณะที่มีประจำเดือน เรื่องนี้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นผลมาจาก การฉีดยาเพนนิซิลินในสมัยนั้น ซึ่งปฏิกิริยาแพ้ยาเพนนิซิลินสามารถพบได้บ่อยและมีความรุนแรง ปัจจุบันการฉีดยาเพนนิซิลลินลดน้อยไปมาก เนื่องจากมียาชนิดอื่นให้เลือกใช้อีกหลายชนิด

  การเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะมีประจำเดือน
ระบบต่างๆ มีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงหลายประการด้วยกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระดับฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขณะมีประจำเดือนในส่วนของภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ พบว่าขณะมีประจำเดือน ร่างกายมีภูมิต้านทานลดน้อยลง โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อง่ายกว่าปกติ จากการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการ พบว่าการทำหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่อสู้เชื้อโรคจะลดน้อยลง สืบเนื่องมาจากผลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ยังพบว่ามีโอกาสติดเชื้อในมดลูก และปีกมดลูกได้มากกว่าปกติ เกิดเป็นภาวะมดลูกอักเสบ และปีกมดลูกอักเสบ ในสมัยก่อนการเดินทางไปโรงพยาบาลเป็นเรื่องยากลำบาก สุขอนามัยส่วนตัวไม่ได้ดีพอ ไม่มีการใช้ผ้าอนามัยเหมือนในปัจจุบัน อาจจะใช้วัสดุที่ไม่สะอาด หรือใช้ผ้าเก่ามาซับเลือด แล้วนำมาซักใช้ใหม่อีก การอาบน้ำชำระล้างร่างกายก็นิยมลงไปอาบในแม่น้ำลำคลอง เวลาที่มีประจำเดือน ปากมดลูกจะเปิด เมื่อเกิดการติดเชื้อจึงทำให้โรคค่อนข้างรุนแรง เกิดเป็นไข้ทับระดูขึ้น

  มดลูกอักเสบและปีกมดลูกอักเสบ
ปีกมดลูกอักเสบ หมายถึง การอักเสบของท่อรังไข่ ส่วนมดลูกอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูกทั้งสองโรคพบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ ( 15-45ปี) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก ขึ้นไปในโพรงมดลูก ทำให้เกิดโรคมดลูกอักเสบ และถ้าหากลุกลามต่อไปในท่อรังไข่ ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ

ทั้งสองโรคนี้มักจะพบร่วมกันจนแยกจากกันไม่ออก และมักจะเรียกรวมๆ กันว่า "อุ้งเชิงกรานอักเสบ" ซึ่งครอบคลุมถึงการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก ท่อรังไข่ รังไข่ และเยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกราน โณคนี้พบบ่อยในผู้หญิงที่มีสามี สำส่อนทางเพศ ชอบเที่ยวหญิงบริการ หรือนิยมมีเพศสัมพันธ์เสรี และมักพบภายหลังคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือในบางรายที่ชอบสวนล้างช่องคลอด

  สาเหตุ
เกิดจากเชื้อหนองใน หรือเชื้อคลามัยเดีย ในกรณีที่เกิดการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน มักตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลในต่อมเยื่อบุมดลูก ส่วนการติดเชื้อเรื้อรัง จะตรวจพบพลาสมาเซลล์และลิมโฟซัยท์ในเยื่อบุมดลูก

ในกรณีที่เป็นหลังคลอด มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัยในช่องคลอด เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส,สแตฟฟีโลค็อกคัส ภาวะเยื่อบุมดลูกอักเสบที่เกิดหลังคลอดพบได้บ่อยพอสมควรในเวชปฏิบัติ ระหว่างคลอดมีปัจจัยกระตุ้นให้เชื้อโรคเจริญขึ้นจนเป็นโรค เช่นภาวะโลหิตจาง ภาวะน้ำแตกรั่วอยู่นาน การคลอดยาก การบาดเจ็บ ภาวะตกเลือดหลังคลอด เศษรกค้าง ภาวะครรภ์เป็นพิษ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเพื่อเป็นการป้องกันเบื้องต้น

บางรายเกิดจากการแปดเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอด เข้าไปในช่องคลอดและมดลูก ทำให้เกิดมดลูกอักเสบได้ ในกลุ่มนี้มักเกิดมีอาการหลังคลอด 24 ชั่วโมง

การทำแท้ง อาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายเข้าในมดลูก เกิดการอักเสบขึ้นได้ เรียกว่าการแท้งติดเชื้อ

  อาการ
มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็น

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อย หรืออาจจออกมาและมีกลิ่นเหม็น ถ้าเกิดจากการทำแท้ง จะมีอาการแบบแท้งบุตรร่วมด้วย คือปวดบิดท้องเป็นพักๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอดร่วมด้วย

  การวินิจฉัยโรค
จากประวัติอาการ แพทย์ตรวจพบผู้ป่วยมีไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง บางรายอาจเจ็บข้างเดียว อาจได้กลิ่นตกขาว เลือดประจำเดือนหรือน้ำคาวปลา อาจตรวจพบอาการซีด หรือภาวะช็อก

  ภาวะแทรกซ้อน
อาจทำให้เกิดเป็นฝีในรังไข่ หรือท่อรังไข่ ซึ่งจะทำให้เป็นแผลเป็นจนกลายเป็นหมันได้ มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกมากกว่าปกติ บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง เจ็บปวดเวลาร่วมเพศ ในบางรายเชื้อโรคอาจลุกลาม จนทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ถ้ารุนแรงอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ ถึงกับเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากการทำแท้ง

  การรักษา
ผู้ป่วยอาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรค ในรายที่เป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะที่สามารถครอบคลุมเชื้อหนองใน และเชื้อคลามีเดีย ให้การรักษาตามอาการ ให้น้ำเกลือ พิจารณาให้เลือดถ้าซีด ผู้ป่วยควรงดการร่วมเพศนาน 3-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด ควรเอาห่วงออก และแนะนำให้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน ถ้าเกิดจากเชื้อหนองใน ต้องรักษาสามีพร้อมกันไปด้วย

  การป้องกัน
ควรงดการร่วมเพศหรือสวนล้างช่องคลอดเป็นเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ภายหลังการคลอดบุตรแท้งบุตร หรือการขูดมดลูก สำหรับผู้ที่ไม่อยากได้บุตรในครรภ์ ไม่ควรทำแท้งกันเอง หรือใช้เครื่องมือสกปรกในการทำแท้ง เพราะอาจติดเชื้อรุนแรงถึงตายได้ ทางที่ดีควรขอคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง
ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองในจากสามี ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว ก่อนที่จะลุกลามเป็นปีกมดลูกอักเสบ 

  ไข้ทับระดูที่เกิดจากสาเหตุอื่น
ไข้ทับระดูอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย และไทฟอยด์ เป็นต้น แต่บังเอิญมาประจวบเหมาะกับการมีประจำเดือนเข้า โดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับประจำเดือนแต่อย่างไร

ข้อมูลจาก  http://women.thaiza.com/detail_99267.html

9 ข้อควรเว้น ถ้าไม่อยากเป็น ผู้หญิงน่าเบื่อ


ผู้หญิงบางคน ( อาจรวมถึงตัวคุณเองด้วยก็ได้นะคะ ) ชอบโวยวาย ว้ายกรี๊ดในทำนองว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา แล้วทำไมทั้งเพื่อน ทั้งแฟนถึงได้ซิ่งหนีกันไปหมด?” “เอ๊ะ! เราก็ดีกับเขาสารพัดอย่าง แต่ไหงมองเราเป็นยัยตัวแสบ ก็ไม่รู้ซินะ?”เอาเป็นว่า ถ้าเพื่อนๆ ของคุณนัดกันไปช้อปปิ้ง ดูหนัง ไปปิคนิค หรือว่าไปเชียร์กีฬา ฯลฯ แล้วไม่บอก ไม่ชวนคุณไปด้วย หรือว่าเขาคุยกันอยู่กิ๊วก๊าวระรื่นเชียว พอคุณเข้าไปร่วมด้วยสักพักเดียวเลยกร่อยกันหมด หรือผู้ชายคนที่คุณรักคุณ เข้ามารักได้ไม่นานเท่าไร พอรู้ว่าคุณเป็นยังไงเขาก็หายหัวไปอย่างนี้ล่ะก็คุณต้องพิจารณาตัวเองแล้วละคะว่า ตัวคุณน่ะมี “โทษสมบัติ” เหล่านี้บ้างหรือเปล่า

เคร่งเครียดซีเรียสจัด
ขอให้เชื่อเถอะว่าคนที่มีอารมณ์ขันสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะไปได้น่ะ ใครๆ ก็อยากเข้าวง แล้วคุณล่ะเคยเล่าเรื่องสนุกๆ กุ๊กกิ๊กให้เพื่อนคิกคักบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ต้องถึงกับขำก๊ากเป็นตลกคาเฟ่หรอก แค่ให้ยิ้มหัวกันได้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว แต่ถ้าอยู่ในที่ทำงาน คุณก็หน้าเครียดวางท่าเอางานเอาการซะเต็มประดา พอเลิกงานคุณก็ยังวางหน้าอย่างนั้นอีก เฉยชามึนตึง ไม่รู้ที่เล่นทีจริงใครทักก็พูดด้วยอย่างแกนๆ ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ ลองเป็นแบบนี้ก็ไม่นานหรอกใครๆ จะตีกรรเชียงออกห่างจากคุณ เพราะหาความรื่นรมย์ไม่เจอเลยสักกระติ๊ด...เซ็งค่ะ
ขบกัดสะบัดเขี้ยว
มีนิสัยชอบจับผิดคนอื่น แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาตรงๆหรือเก็บเอาไปนินทาลับหลัง ถึงแม้ว่าคุณจะรู้จริงแล้วอดวิจารณ์ออกมามาได้ หรือว่าวิจารณ์เพราะคุณขี้อิจฉามีปมด้อยให้ใครดีใครเด่นไม่ได้ ต้องหาเหตุมาตำหนิติเตียนจนได้ แน่ล่ะ! คนที่ฟังคุณอยู่ก็ย่อมเอิ๊กอ๊ากสะอกสะใจไปด้วย แต่แล้วพวกที่ฟังนั้นแหละจะค่อยๆ ขยาดปากคุณ ไม่อยากจะคบด้วยเพราะเกรงว่าจะถูกคุณเก็บไปเป็นเหยื่อลับหลังไงคะ

ชอบจุ้นจ้านสั่งสอน
พวกนี้น่าจะไปเป็นอาจารย์แนะแนวหรือคุมห้องปฎิบัติการซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไปที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำสั่งสอนเช่น ไปบ้านเพื่อนก็เล็งแลไปทั่วห้องรับแขก แล้วก็แนะเชียวว่าม่านหน้าต่างไม่เหมาะยังไง โต๊ะรับแขกตั้งมุมนี้ไม่เหมาะ ตู้โชว์ใบนั้นก็ไม่เข้ากับเครื่องลายครามที่อยู่ในตู้ ฯลฯ ต้องยังงั้นยังงี้ถึงจะถูกต้อง บางทีแนะไปถึงเรื่องอาชีพของสามี เพื่อน และการเรียนของลูกเพื่อนด้วยกันอีกแน่ะ ว่าควรทำไอ้โน่นจะรวยเร็วกว่า หรือว่าเรียนไอ้นี่จะหางานทำง่ายกว่า ชะดีชะร้ายกับสั่งสอนเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า เธอต้องอ้วนกว่านี้อีกนิดหรือผอมกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่งั้นฝาละมีเธอไปมีเมียน้อยแน่ๆ เฮ้อ...อีแบบนี้ใครอยากจะเปิดประตูต้อนรับในคราวต่อไปอีกละคะ...ถามตรงๆ เถอะ

ช่างติแถมขี้บ่น
นี่ก็เป็นคนอีกประเภทหนึ่งที่ทำลายเสน่ห์ของตัวเองให้เหือดหายไปได้อย่างชะงัดดีนัก ซึ่งโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะไม่มีใครเขาจ้างวานใช้เลยสักนิกเดียว แต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง “จิตไม่ว่าง” แถม “ผีเจาะปาก” มาให้พูด คนประเภทนี้เห็นอะไรนิดหน่อยก็สามารถติได้เป็นคุ้งเป็นแคว เรียกว่าอะไรผ่านเข้ามาในสายเป็นจับมาเป็นข้อติฉินได้หมด จะมีมูลความจริงหรือเปล่า สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่สนใจ ขอให้ได้ติได้ประเมินค่าในขั้นต่ำหรือในแง่ลบไว้ก่อนเป็นพอใจ อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่ไม่ติอะไรตรงๆ หรือรุ่นแรง แต่ชอบบ่น บ่นได้สารพัดเรื่อง ขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ฝนตกก็บ่นหยุดก็บ่นอีก เช่น เดินเข้าไปในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เขากำลังคุยกันเพลินๆ เรื่องอะไรอยู่ก็ไม่สนใจแล้วเปิดปากบ่นเรื่องรถติดทำให้มาช้าเป็นวรรคเป็นเวร แล้วก็บ่นต่อเรื่องแอร์ในห้องทำไมไม่ค่อยเย็น... โอ๊ย! สารพัดจะหยิบยกขึ้นมาบ่น แล้วเพื่อนหน้าไหนล่ะคะจะทนฟัง คนอย่างนี้แหละที่เพื่อนจะหายหน้าไปทีละคนสองคนจนหมดเพื่อน ถ้ามีสามี...สามีอาจจะขอปลีกวิเวกไปนั่งวิปัสสนาในคาราโอเกะก็ได้ สบายหูกว่าฟังเสียงบ่นเยอะเลย

ไม่เห็นความสำคัญของใคร
คติเก่าๆ ที่ยังขลังอยู่เสมอคือ ถ้าอยากให้เขารักคุณ คุณก็ต้องรักเขาก่อน เป็นจิตวิทยาขั้นพื้นฐานเลยทีเดียว...หากคุณต้องการเป็นที่รักของใคร คุณก็ต้องรู้จักเป็นผู้ฟังที่ดีในขณะที่เขาพูด แสดงความสนใจในสิ่งที่เขาพูดเล่า ถ้าเสริมคำถามที่เหมาะเจาะได้ด้วยยิ่งดี แต่ถ้าขณะที่เขาพูดอยู่นั่นคุณทำเป็นเมินเฉย ไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือเมินมองไปทางอื่น ทำเหมือนกับว่าที่เขาพูดอยู่นั้นเป็นเสียงนกแก้วนกขุนทองไม่เห็นจะน่าสนใจเลย ถ้าคุณยังทำอย่างนี้กับหลายๆ คน อีกหน่อยคุณก็จะกลายเป็นคนที่ถูกเมินเหมือนกัน ในเมื่อคุณไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นได้ คนอื่นเขาก็คิดและทำอย่างคุณเป็นเหมือนกัน...เกลือจิ้มเกลือว่างั้นเถอะ

อะไรๆ ก็รู้ไปหมด
ความรอบรู้ของคนเราน่ะพอจะแบ่งออกเป็นได้ 2 ประการคือ “รู้เรื่องชาวบ้าน” ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีไม่งาม คุณทำเป็นรู้หมด แถมยังทำตัวเป็นหอกระจายข่าวเอาไปนินทาโพนทะนาให้คนอื่นๆ รู้ต่ออีกด้วย ซึ่งใครๆ ก็อยากฟังเพราะเรื่องพรรค์นี้อร่อยรูหู แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว พวกที่ฟังคุณอยู่นั้นก็ชักไม่ไว้วางใจคุณ ไม่อยากจะคบด้วย ถ้าต้องคบก็คบอย่างผิวเผินเพราะเกรงว่าถ้าสนิทมากๆ แล้วคุณจะเอาความไม่ดีของเขาไปแฉโพยในวงอื่น ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ “รู้เรื่องเนื้อหาสาระทั่วไป” เช่น ข่าวสารบ้านเมือง เรื่องศิลปะบังเทิง กีฬา แฟชั่น ดูโหงวเฮ้งก็ได้ ดูลายมือก็เป็น ฯลฯ ครอบจักรวาลไปหมดจนกลายเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ ถามอะไรตอบได้หมด ซึ่งก็น่าภาคภูมิใจไม่น้อยที่มีภูมิรู้ แต่บางทีการแกล้งไม่รู้ซะบ้างจะทำให้คุณมีเสน่ห์มากขึ้นไม่ใช่พอ ใครๆ พูดอะไรขึ้นมาคุณก็แจงเพิ่มแบบว่ารู้จริงรู้สึกมากกว่า หรือใครพูดอะไรคลาดเคลื่อนนิดๆ หน่อยๆ คุณก็ไม่ยอมปล่อยไปแต่กลับหักล้างแก้ไขทันควันโดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลย...ระวังเถอะสักวันหนึ่งจะไม่เหลือใครนั่งฟังความรู้ของคุณเลยสักคน แล้วจะเหงาปาก เว้นเสียแต่คุณจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นครูบาอาจารย์ก็แล้วไป

ถือตัวเองเป็นใหญ่
ถ้าคุณคาดหวังจะให้ทุกคนเออออห่อหมกไปกับคุณทุกอย่าง เห็นพ้องด้วยกับคุณทุกประเด็นที่คุณเสนอ หรือชี้แนะหรือนิยมชมชอบในสิ่งเดียวกับคุณ ฯลฯ นั้นถือได้ว่าคุณคาดหวังมากเกินไปแล้ว เพราะแต่ละคนก็มีสติปัญญา มีความคิดความเชื่อ และรสนิยมเป็นของตัวเอง พอไม่ได้ดังใจคุณก็โกรธเขา โดยไม่ยอมเปิดใจให้กว้างฟังเหตุผลของคนอื่นๆ ถ้าคุณยังถืออัตตาธิปไตยเหนือประชาธิปไตยอย่างนี้ละก็ต่อไปคุณก็ได้อยู่คนเดียวสมใจ เพราะไม่มีใครยอมให้คุณจูงจมูกหรอก หากว่าเขาไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากคุณ ที่มันคุ้มกับการแกล้งโง่!

มองโลกในแง่ร้าย
อันที่จริงคนที่มองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ร้ายไว้ก่อนนั้น พอจะกล้อมแกล้มอ้างได้ว่าเป็นคนถี่ถ้วนรอบคอบไม่ประมาณ เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ นั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าคุณเห็นอะไรเลวร้ายน่าหวดระแวงขวางหูขวางตาหรือไม่น่าไว้วางใจไปหมด เช่น เพื่อนจริงใจด้วยคุณก็หาว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ เพื่อนเก่าแวะมาเยี่ยมก็วิตกร้อนรุ่มว่าเขาจะมายืมเงินหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ จะทำให้คุณขาดเพื่อนลงไปเรื่อยๆ เพราะคุณเห็นใครก็ระแวงไปหมดจนไม่อยากคบใคร ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ตัวคุณเองนั้นแหละจะเสียทั้งเพื่อนและเสียทั้งสุขภาพจิต ลองหัดมองโลกและคนอื่นในแง่ดีบ้าง ถึงแม้พวกเขาจะมีส่วนไม่ดีอยู่บ้างก็ควรอภัยซะ โดยถือคติที่ว่า ไม่มีใครดีพร้อม แม้แต่ตัวเราเองถ้าทำได้อย่างนี้คุณก็จะเป็นคนน่าคบในหมู่เพื่อน และคุณเองก็จะคบคนได้ง่ายมากขึ้นด้วย

โอเว่อร์เกินไป
จะว่าไปก็เหมือนพวกที่ไม่รู้จักทางสายกลาง หรือไม่รู้จักกาลเทศะนั้นแหละ คือชอบทำอะไรที่มันเกินพอดี...แต่ตัวหรูเริ่ดไปซะทุกงาน อวดเก่ง อวดรู้จนน่าหมั่นไส้ พูดมาก หัวเราะมาก ร้องไห้มากจนน่ารำคาญ เพราะไม่สมเหตุผล เสแสร้งประจบสอพลอจนจับได้ ชวนให้เอียน บ้างก็บ้าอำนาจหลงตัวเอง ยกตนข่มท่าน หรือชอบแนะชอบสอนจนไม่มีใครอยากเข้าใก้ล ฯลฯ แล้วจะโทษใครถ้าต้องถูกปล่อยเกาะ

เพียงแค่นี้ก็คงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเพียงพอแล้วนะคะว่าทำไมบางคนจึงมีเพื่อนน้อยลงเรื่อยๆ ลองสำรวจตัวเองนะคะ ถ้ามีข้อหนึ่งข้อใดหรือหลายข้ออยู่ในพฤติกรรมของคุณละก็ เปลี่ยนเสียเถอะค่ะ แล้วคุณจะกลายเป็นที่รักของใครต่อใครเพิ่มมากขึ้นอย่างนึกไม่ถึงทีเดียว...เริ่มวันนี้เลยนะคะ..??

 

ที่มา : pooyingnaka

อาการของสาวๆ ที่ทำให้หนุ่มๆ สติแตก....


1. จู้จี้ขี้บ่น
ผู้ชายอาจพอใจเมื่อได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นครั้งคราว แต่เมื่อการเอาใจใส่ดูแลกลายเป็นจู้จี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขาจะรู้สึกเหมือนถูกควบคุมจนหายใจไม่ออก คุณจู้จี้ได้นิดหน่อย ดูแลเขาได้เล็กน้อย แต่เท่านั้นพอ เมื่อเขาพูดว่า "ผมสบายดี ที่รัก" ก็ถึงเวลาถอยห่างออกมา ถ้าได้เรียนรู้ว่าเมื่อผู้ชายต้องการความช่วยเหลือ เขาจะร้องขอเอง2. บุกรุกความเป็นส่วนตัว
ทุกคนย่อมต้องการโลกส่วนตัว สถานที่ที่ผู้ชายจะอยู่ลำพัง เขาอาจจะอยากคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องงาน ความทะเยอทะยาน ความใฝ่ฝัน หรืออะไรทำนองนี้ ถ้าคุณถามเขาว่า "กำลังคิดอะไร?" เขามักจะตอบว่า "เปล่า" แต่ถ้าคุณรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ก็อย่ารุกเร้าเขาอีกต่อไป ให้เวลาส่วนตัวกับเขาบ้าง3. ตอบ "เปล่า" เมื่อเขาถามว่า "เป็นอะไรไป?"
เมื่อผู้ชายถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แสดงว่าสัมผัสที่หกซึ่งไม่ค่อยมีอยู่แล้วของเขาบอกว่าคุณมีปัญหาคาใจ บางครั้งเขารู้ว่าปัญหาคืออะไร แต่บ่อยครั้งที่เขาไม่รู้ การตอบเขาว่า "เปล่า" ไม่ช่วยอะไรเลย สิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุดคือตอบเขาอย่างซื่อตรงในครั้งแรกที่เขาถาม ไม่อย่างนั้นเขาอาจเชื่อคำตอบของคุณและเข้านอนคนเดียวโดยไม่สนใจคุณว่าคุณกำลังมีปัญหาจริงๆ

4. ตัดสินใจไม่ได้
เขาจะตัดสินใจว่าอยากกินอะไรได้ภายใน 30 วินาที ขณะที่คุณกวาดตามองทั่วทุกเมนู ทีละรายการและพยายามตัดสินใจ และที่เลวร้ายสำหรับผู้ชายคือการช้อปปิ้งของผู้หญิง คุณลองเสื้อตัวแล้วตัวเล่าแต่ก็ไม่ตัดสินใจซื้อสักตัว สำหรับเขาเสื้อผ้าเป็นเพียงเครื่องนุ่งห่ม อย่าไปทำให้เขาทุกข์ทนกับจิตใจรวนเร พยายามตัดสินใจฉับไวเป็นครั้งคราว

5. ชวนทะเลาะเพื่อจะขอคืนดี
บางครั้งผู้หญิงหาเรื่องทะเลาะเพียงเพราะจะทำแบบนั้น ผู้หญิงชอบความสนิทสนมที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางอารมณ์ระหว่างคู่รัก ผู้ชายมองว่าการด่าทอเป็นเรื่องเลวร้าย พวกเขาไม่ชอบวิธีกระชับความสัมพันธ์แบบนี้ ดังนั้นถ้าคุณจะทะเลาะกับเขา ขอให้แน่ใจว่าคุณได้ประโยชน์พอจะทำอย่างนั้น

6. บอกใช่ (แต่หมายถึงไม่)
ผู้ชายไม่สามารถอ่านใจคุณได้ พวกเขาจะถือเอาคำพูดของคุณตามที่คุณพูดทุกคำ ไม่หมายถึงไม่ ใช่หมายถึงใช่ บางครั้งเขาสับสนกับการที่ไม่คือใช่ และใช่คือไม่ เขาจึงต้องใช้ความพยายามในการเดาความหมายที่แท้จริงของคุณ แต่มันน่าหงุดหงิดเมื่อเขาเดาผิดซะครึ่งนึง

7. โวยวายกล่าวหา
ควรหัดพูดอย่างมีเชิงเมื่อต้องบอกเขาว่าคุณไม่พอใจอะไร เขาทำไม่ได้ดั่งใจคุณทุกครั้งแน่ หากคุณอยากได้ดอกไม้ ลองซื้อดอกไม้ให้เขาแทน และดูว่าเขาเข้าใจสิ่งที่คุณสื่อหรือเปล่า เขาอาจจะรู้สึกทุกข์ใจด้วยความรู้สึกผิดจนนอนไม่หลับเชียวล่ะ

8. เปรียบเทียบเขากับพ่อของคุณ
ผู้ชายจะชื่นชมผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองทีสามารถดูแลตัวเองได้ ที่เขาไม่อยากได้ คือ ผู้หญิงที่เริ่มต้นแหงนมองหน้าเขาและขอให้เขาดูแลเธอ พวกเขาต้องการคู่ชีวิต การเปรียบเขากับพ่อของคุณทำให้เขาหมดความสนใจคุณอย่างสิ้นเชิง

9. พยายาม "เห็นใจ" ปัญหาของเขา
วิธีการรับมือผู้ชายที่กำลังมีปัญหาเรื่องงานหรือชีวิตด้านอื่นคือ ปล่อยให้เขาจมอยู่กับปัญหานั้น เขาจะพร่ำพูดว่าทุกอย่างย่ำแย่สำหรับเขา และเขาใช้สติปัญญาจนหมดแล้วยังไม่รู้จะทำยังไง อย่าเปรียบเทียบปัญหาว่าขี้ปะติ๋วสำหรับคุณ เขาอยากให้คุณฟังปัญหาของเขาเท่านั้น

10. พูดอ้อมค้อม
เพราะเขาเป็นเพศที่ขาดความอดทน ถ้าคุณมีเรื่องจะบอกเขา จะได้ผลมากที่สุดถ้ายึดหลักพูดให้สั้นและอ่อนหวาน ไม่มีอะไรน่าทุกข์ใจสำหรับผู้ชายคนหนึ่งมากไปกว่าการฟังเรื่องที่เล่าอ้อมค้อม

11. นินทา/ปากพล่อย
นินทา พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการจิกกัดว่าร้ายคนอื่น เพราะบุคคลที่ตกเป็นเป้านั้นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง แล้วความยุติธรรมอยู่ตรงไหน? นี่เป็นเหตุผลที่เขาเลี่ยงไม่ยอมร่วมวงนินทา

ปากพล่อย เมื่อไรก็ตามที่ผู้ชายพบว่าคู่รักของเขาเปรียบเทียบเรื่องบนเตียงของตัวเองกับของเพื่อน ความรู้สึกแรกของเขาคือสิ้นหวัง เขาจะมีหน้าไปพบเพื่อนคุณได้อีกหรือ ความรู้สึกต่อมาคือเขาถูกคุณหักหลัง เขาไว้ใจคุณด้วยการเปิดเผยความลับด้านมืดที่สุดและลึกที่สุดของเขา แต่เขากลับเป็นอาหารปากกลางวงสนทนาของคุณกับเพื่อน

12. ถามเขาว่า "คุณรักฉันไหม"
แน่นอนถ้าเขาไม่ได้บอกรักคุณมาพักหนึ่งแล้ว คุณถึงควรจะหยิบยกหัวข้อนี้มาพูดเป็นครั้งคราว ต้องยอมรับว่าสมองของเขาแปลกที่ไม่สามารถเข้าใจว่าการบอกรักเป็นประจำมีผลต่อหัวใจของผู้หญิง แต่ผู้ชายก็เป็นผู้ชายอย่างนี้จริงไหม?

13. บ่นไม่หยุด/สื่อความหมายสับสน
บ่นไม่หยุด ผู้หญิงสมัยนี้น่าจะมีอำนาจเท่าเทียมกับผู้ชายทุกด้าน ดังนั้นทำไมเรายังบ่นกันไม่หยุด? ยังไม่มีใครตอบได้ อย่างน้อยผู้ชายก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าคุณคิดถึงแม่ของคุณก่อนจะเริ่มตำหนิเขาในบางเรื่องคุณอาจเลิกคิดบ่นก็ได้

สื่อความหมายสับสน เมื่อผู้ชายคนหนึ่งรู้สึกวาคุณสนใจเขา แต่ทุกอย่างที่หลุดจากปากคุณกลับเป็นตรงกันข้าม เขาจะสับสนกับสารที่ได้รับ เช่น คุณหัวเราะกับมุขตลกของเขา คุณสบตาเขา คุณสะบัดผมใส่เขาและไขว้ขาไปทางที่เขาอยู่ แต่เมื่อเขาชวนคุณดินเนอร์คุณกลับปฎิเสธ???

14. พูดถึงแฟนเก่า
เรื่องราวเกี่ยวกับแฟนเก่าของคุณเป็นสิ่งที่ผู้ชายไม่สนใจอย่างแน่นอน ความคิดแรกของเขาที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่คุณพูดถึงแฟนเก่าคือ "ดี งั้นทำไมคุณมาอยู่กับผม ไม่ใช่เขาล่ะ" แล้วคุณรู้สึกอย่าไรถ้าเขาเริ่มพูดถึงความนูนเด้งของหน้าอกแฟนเก่าของเขาไม่หยุดปาก

15. ถือสากับมุขตลกของเขา
้ลามก หยาบคาย และไร้รสนิยม คือคุณสมบัติสรุปมุขตลกของผู้ชายทุกคนอย่างย่อๆ แต่เมื่อเขาใช้มุขแบบนั้นกับคุณ มันอาจทำให้คุณเจ็บปวดใจมากๆ แต่คุณต้องรู้ว่าเขาไม่ได้จริงจังกบมุขตลกนั้น ถ้าแฟนของคุณทำให้คุณรู้สึกด้อยค่ากับคำวิจารณ์ถากถางของเขา บอกเขาตรงๆจะง่ายที่สุด อย่ายิ้มอย่างสุภาพ(สื่อความหมายผิดๆ) อย่าบอกเห็นด้วย (ใช่ แต่หมายถึงไม่) และอย่าบอกว่าเปล่า เมื่อเขาถามว่าคุณมีปัญหาอะไร และอย่าถือสากับมันจะได้ไหม?

 

ที่มา:ผู้หญิงนะคะดอทคอม

7 สิ่งที่ไม่ควรทำหลังการทานอาหาร!!

  1.อย่าสูบบุหรี่!!
              จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า
              การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึง 10 มวน
             (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสูบปกติก็มีโอกาสเป็นอยู่แล้ว)

  2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร !!
            เพราะมันไปพองในท้องคุณ
            ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชม. ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า

  3. อย่าดื่มน้ำชา !!
             เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง
             ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก

  4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม !!
               เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ

  5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว !!
                เพราะการอาบน้ำ จะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือ และเท้าทั่วร่างกาย
                เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียนบริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น
                ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่

  6. อย่าเดินหลังอาหาร !!
                แม้คุณจะเคยได้ยินว่า
                กินข้าวแล้วให้เดินสัก 100 ก้าวจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี !?!
                การเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมสารอาหารทำได้ไม่ดี
                ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดินถ้าต้องการ

  7. อย่านอนทันที !!
              อาหารที่รับประทานเข้าไปไม่สามารถย่อยได้เต็มที่
              อาจทำให้เกิดลมหรือแก๊สในทางเดินอาหาร

                      ...มาถึงบรรทัดนี้ก็อย่าเก็บไว้คนเดียว บอกต่อเพื่อนๆ
                       เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลังกินอิ่มกัน ^^
 

 

ที่มา : online-station

สะอึก....เรื่องเล็กที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่


    สะอึก…เป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน หากสะอึกแค่เดี๋ยวเดียว อาจไม่เป็นปัญหากวนใจนัก แต่หากใครสะอึกติดต่อกันเป็นวัน หรือ หลายๆ วัน แม้หาสารพัดวิธีช่วยให้หายสะอึก ทั้งกลั้นหายใจ ดื่มน้ำ กลืนน้ำตาล ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล นั่นอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะอาการเช่นนี้อาจเป็นเพราะโรคได้!นพ.นรินทร์ อจละนันท์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ช่วยไขข้อข้องใจให้หายสงสัยเกี่ยวกับการสะอึกว่า อาการสะอึกเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้นเส้น ประสาท 2 ตัว คือ Vagus nerve และ Phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยเสียงสะอึกที่เกิดขึ้น มาจากการหายใจออกขณะที่กะบังลมเกิดการกระตุกทันทีทันใด ทำให้เกิดเสียงดังของการสะอึกขึ้นสำหรับลักษณะอาการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.อาการสะอึกช่วงสั้นๆ อาจเพียง 2-3 นาที 2.การสะอึกหลายๆ วันติดกัน 3. สะอึกติดๆ กันหลายสัปดาห์ และ4.การสะอึกตลอดเวลา โดยที่การสะอึกกลุ่มแรกเป็นการสะอึกช่วงสั้นๆ ที่ไม่มีอันตรายใดๆ แต่การสะอึกติดต่อกันหลายๆ วัน เป็นอาการที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ เช่น ความผิดปกติทางสมอง การเป็นอัมพาต การเป็นโรคทางเดินอาหาร การอักเสบในช่องท้องบริเวณกะบังลม โรคหลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง รวมถึงอาการทางภาวะจิตใจ และผลกระทบจากการใช้ยาบางชนิด

"ส่วนมากผู้ป่วยที่มาหาหมอด้วยการสะอึกเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เนื่องมาจากมีอาการผิดปกติทางสอง หรือเป็นอัมพาต ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถให้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการสะอึกได้ แต่ก็อาจมีการสะอึกเกิดขึ้นมาอีก เพราะอาการสะอึกเป็นเพราะต่อเนื่องที่เกิดจากการเจ็บป่วย"นพ.นรินทร์อธิบาย

ส่วนวิธีการรักษาบรรเทาอาการสะอึกนั้น นพ.นรินทร์บอกว่า หากเป็นการสะอึกธรรมดาๆ สามารถใช้วิธีการกลั้นหายใจ การกลืนน้ำตาล กระตุ้นบริเวณหลังคอ แต่หากสะอึกติดต่อกันควรที่จะพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการสะอึกว่าเกิดมาจากอาการของโรคใด โดยอาการสะอึกไม่ถือว่าเป็นโรคแต่เป็นผลมาจากการเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ดังนั้นหากสามารถทราบสาเหตุของโรคให้ยาตามอาการก็สามารถที่ช่วยให้อาการสะอึกดีขึ้น

//////////////////////////

10 เทคนิคหยุดสะอึก

1.กระตุ้นผิวด้านหลังของลำคอ แถวๆ บริเวณที่เปิดปิดหลอดลม โดยการดึงลิ้นแรงๆ
2.ใช้ด้ามช้อนเขี่ยที่ปิดเปิดหลอดลม
3.กลั้วน้ำในลำคอ
4.จิบน้ำเย็นจัด
5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือ กลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ
6.ดื่มน้ำจากขอบแก้วที่อยู่ด้านนอกหรือด้านไกลจากริมฝีปาก
7.จิบน้ำส้มสายชูที่เปรี้ยวจัด หรือดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
8.การฝังเข็ม
9. การสวดมนต์ทำสมาธิ
10. กลั้นหายใจเอาไว้โดยการนับ 1 – 10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำตามทันที

ที่มา : ผู้จัดการ

4 ของกินเล่นที่ให้ประโยชน์และโทษจริงจัง

         ความสงสัยไม่ให้ประโยชน์เท่าการค้น หาความจริง และถ้าคุณเคยสงสัยเสมอว่า ของกินเล่นที่ชอบรับประทานบ่อย ๆ แท้จริงนั้นมอบคุณประโยชน์ หรือให้โทษกับร่างกาย นี่คือ 4 ความจริงของ 4 อาหารยอดนิยมที่ควรอัพเดท

    ดื่มโซดา ระวัง! ซ่าไม่ออก   

       โซดา และเครื่องดื่มอัดแก๊ส ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลยสักนิด เนื่องเพราะส่วนประกอบหลักที่เกิดจากน้ำเชื่อมข้าวโพดนั้น มีระดับน้ำตาลฟรุคโตสสูง และสารให้ความหวานที่นิยมใช้ในอาหารลดน้ำหนัก ล้วนส่งผลโดยตรงให้ตับอ่อนทำงานหนัก ทำให้ระดับอินซูลินในกระแสเลือดสูง ส่งผลให้ร่างกายมีน้ำหนักเพิ่ม
       งานวิจัยเมื่อปี 2009 ของสถาบัน American Chemical Society ยังพบอีกว่า การบริโภคสารเคมีปรุงแต่ง และฟรุคโตสที่มีระดับสูงในน้ำเชื่อมข้าวโพด (Carbonyls)เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังรวมถึงสารคาเฟอิน และกรดโฟสโฟริคในน้ำอัดลม ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้กระดูกในร่างกายเปราะบางเร็วขึ้นเท่านั้น การเลิกรับเครื่องดื่มปรุงแต่ง และอัดแก๊สทุกชนิด นับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อสุขภาพ

    รักสุขภาพต้องดื่มกาแฟ    

        การ ติดกาแฟเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างบางคนที่ต้องดื่ม Americano สัก 2 ชอต เพื่อความกระปรี้กระเปร่าในช่วงเช้า ไม่ใช่ความผิดที่คุณต้องละอายอีกต่อไป เพราะผลวิจัยในวันนี้มีแต่จะช่วยสนับสนุน และยกระดับให้มันกลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มสุขภาพมากขึ้นทุกที หนึ่งในการศึกษาแสดงว่า กาแฟช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ นิ่วในถุงน้ำดี โรคพาร์คินสัน นิ่วในไต และตับแข็ง แต่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟดำ โดยเฉพาะในผู้หญิง เพราะจะทำให้กระดูกบางลง ทางที่ดีควรผสมนมลงไปด้วย

    ช็อกโกแลตกับสมดุลของกระแสเลือด และอารมณ์    

        Dark Chocolate ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำตาล และนมน้อย คือหนึ่งในของกินเล่นที่ดีที่สุด เพราะประกอบด้วยโกโก้สูงถึง 70% ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มอบคุณประโยชน์มากมายให้ร่างกาย ในฐานะแหล่งรวมสารสุขภาพมากมาย เช่น โพลีฟีนอลส์ และฟลาโวนอยด์ แอนไทออกซิแดนส์ ที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ สาเหตุของมะเร็ง และความไม่ปกติในร่างกาย ซึ่งพบในชาเขียว
        ผลการศึกษาเสริมว่า แม้กระทั่งการรับประทาน Dark Chocolate ในปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็สามารถลดความเสี่ยงของเส้นเลือดอุดตันที่ทำให้เกิดอาการหัวใจวาย หรือเส้นเลือดตีบในสมอง และอาจลดความดันเลือดได้ ยิ่งเมื่อรวมกับคุณประโยชน์ที่รู้จักกันดี ในฐานะของกินเล่นที่กระตุ้นพลังงาน และยกระดับอารมณ์ให้สงบ ผ่อนคลาย จึงยิ่งกลายเป็นหนึ่งในอาหารวิเศษที่ไม่ควรพลาด มีข้อจำกัดอยู่นิดเดียวว่า ควรรับประทานไม่เกินวันละ 2 ออนซ์ต่อวัน เพราะอุดมด้วยแคลอรี่สูง และไขมันอิ่มตัวซึ่งไม่ค่อยเป็นมิตรกับร่างกาย

     ข้าวโอ๊ต...ยิ่งกินยิ่งโหย     

        หลายคนมักเข้าใจว่า ข้าวโอ๊ตคืออาหารสุขภาพสำหรับมื้อเช้าที่ดี แต่คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะผลการวิจัยแบบควบคุมกลุ่มทดลองของโรงพยาบาลเด็ก Boston Children's Hospital ที่แบ่งเด็กออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มเด็กที่รับประทานข้าวโอ๊ตในมื้อเช้า และกลุ่มเด็กที่รับประทานไข่เจียว ผัก และผลไม้ พบ ว่ากลุ่มเด็กที่รับประทานข้าวโอ๊ตจะรู้สึกโหย และมีความต้องการอาหารมากขึ้นกว่ากลุ่มที่สองถึง 80% เนื่องจากข้าวโอ๊ตส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้เด็กอยู่ในภาวะอารมณ์ตึงเครียด และมีความต้องการอาหารมากกว่าปกติ ทางที่ดีกว่า จึงดีควรให้เด็กบริโภคอาหารเช้า ที่ประกอบด้วยโปรตีนซึ่งจำเป็นในการเริ่มต้นของวัน
 

 

ที่มา .... 247 Magazine

ตะลิงปลิง เปรี้ยวได้ใจ ได้ประโยชน์


         หน้าแล้งเป็นหน้ามะนาวแพง คนไทยหันมาใช้ผลไม้รสเปรี้ยวในการปรุงอาหาร ...ก็หากขาดรสเปรี้ยวคงไม่ใช่อาหารไทยแล้ว ตะลิงปลิงจึงเป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง     สรรพคุณทางยาของตะลิงปลิงมีมากมาย และสามารถนำมาใช้ได้ทั้งต้นดังนี้
     ราก : แก้ร้อนใน ใช้ลดไข้ได้ บำรุงกระเพาะลำไส้ ใช้รักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ แก้ริดสีดวงทวาร แก้คัน รักษาคางทูม ไขข้ออักเสบ สิว และเก๊าต์
    ใบ : ใช้ดับพิษร้อนเช่นกัน เอามาตำแล้วพอกแก้คัน พอกที่คางทูมเพื่อดับพิษร้อน พอกรักษาโรคข้ออักเสบ ใช้ต้มดื่มรักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ ซิฟิลิส ข้ออักเสบ เอาน้ำต้มใบให้คนมีไข้อาบ
    ดอก : ชงเป็นชา แก้ไอ
    ผล : บำรุงกระเพาะ เจริญอาหาร ลดไข้ แก้ไอ มีเสมหะ แก้ปวดมดลูก รักษาริดสีดวงทวาร ชาวเกาะชวาใช้ผลตะลิงปลิงกินกับพริกไทยเพื่อขับเหงื่อ แก้อาการซึมเศร้า     มีงานวิจัยในสิงคโปร์พบว่า สารสกัดทั้งเอทานอลทั้งน้ำจากใบตะลิงปลิงมีคุณสมบัติลดน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ในหนูทดลองอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการกินน้ำต้มใบตะลิงปลิงแทนน้ำน่าจะเหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน และคนมีไตรกลีเซอไรด์สูง

     ในฟิลิปปินส์ มีงานวิจัย ที่ใช้สารสกัดจากใบตะลิงปลิงในเอทานอล 10% มาทาผื่นคัน ปรากฏว่าได้ผลดี ทำให้ผื่นหายเร็วกว่าการใช้ยาแก้คันถึงเท่าตัว

     สำหรับคนไทยเรา ลูกตะลิงปลิงน่ะเอามาทำอาหารได้อร่อย เปรี้ยวได้ใจอยู่แล้ว

 

 

ที่มา ... ขวัญเรือน

น่ารู้...การผ่าตัดเสริมจมูก

 

      

การเสริมจมูกเป็นการตกแต่งเพื่อเปลี่ยนรูปทรงของจมูกเพื่อให้รับกับใบหน้า เป็นการผ่าตัดติดอันดับยอดนิยมของต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยไม่ได้เก็บสถิติแต่เชื่อว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมความงามเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งบางรายก็ประสบตามความคาดหวัง แต่บางรายก็ผิดหวัง
       การผ่าตัดเสริมสวยจมูกสามารถทำได้ทั้งเพิ่มขนาด หรือลดขนาด เปลี่ยนรูปทรง เปลี่ยนรูปทรงของปลายจมูก ทำให้รูจมูกเล็กลง และแก้ไขความพิการของจมูกเนื่องจากพิการแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ หากคุณตั้งใจจะต้องการเสริมจมูกบทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านตัดสินใจ แต่อาจะไม่สามารถไขความข้องใจของคุณได้หมดรายละเอียดที่คุณต้องการต้องปรึกษาจากแพทย์ที่คุณจะไปทำการผ่าตัด

   ใครเหมาะสมที่จะผ่าตัดเสริมจมูก  

       การผ่าตัดเสริมหรือเปลี่ยนแปลงจมูกจะทำให้ท่านดูดีขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ท่านมีบุคลิกเปลี่ยนแปลง ดังนั้นก่อนที่จะทำการผ่าตัดท่านต้องปรึกษากับแพทย์ว่าท่านคาดหวังอะไรจากการผ่าตัด และมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่เหมาะสมในการผ่าตัดคือ

     

   การผ่าตัดจะทำให้จมูกดูดีขึ้น แต่การผ่าตัดไม่สามารถที่จะทำให้ผลดีออกมา 100% ตามที่ท่านคาดหวัง ท่านต้องเผื่อใจไว้บ้าง หากท่านคิดว่าทำใจไม่ได้ก็อย่าไปผ่า
        สุขภาพกายดี
        สุขภาพจิตดี
        อายุมากกว่า 15 ปี
 
   ชนิดของการผ่าตัดแก้ไขความไม่สมดุลของจมูก   

      ลดขนาดของจมูก ส่วนที่มีปัญหาได้แก่เนื้อจมูกhump ปลายจมูก และรูจมุกกว้าเกินไป การผ่าตักแก้ไขอาจจะต้องผ่าตัดเอากระดูก และกระดุกอ่อนเอาเพื่อขนาดของจมูก 

      เพิ่มขนาดของจมูกได้แก่พวกที่มีจมูกเล็ก หรือไม่มีดั่งจมูก การผ่าตัดก็ใช้วิธีเสริมดั่งจมูกโดยใช้ซิลิโคน หรือกระดูกอ่อนจากร่างกายตัวเองเสริม 

      แก้ไขความพิการของจมูก เช่นสันจมูกคด จมูกเบี้ยวเป็นต้น 

   ข้อจำกัดของการผ่าตัด  

      การผ่าตัดจะเพื่อความงามหรือแก้ไขความพิการไม่สามารถแก้ได้ 100 % ซึ่งขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง ท่านจะต้องปรึกษาแพทย์ถึงข้อจำกัดดังกล่าว

      คุณไม่สามารถเลือกรูปร่าง หรือขนาดของจมูกจากหนังสือ เนื่องจากลักษณะใบหน้าหรือส่วนประกอบของใบหน้าไม่เหมือนกัน จมูกแต่ละแบบก็เหมาะสำหรับใบหน้าแต่ละแบบ

      การผ่าตัดจมูกเป็นการแก้ไขความไม่สมดุล มิใช่การแกะสลัก

      การผ่าตัดจมูกไม่สามารถผ่าตัดนำเนื้อเยื่อออกมากเกินไป เพราะจะทำให้จมูกไม่คงรูป

      ผิวหนังบริเวณจมูกก็ไม่สามารถตัดทิ้งมากได้เหมาะจะทำให้เกิดการดึงรั้ง

      ลักษณะผิวหนัง อายุ และความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับจมูก จะเป็นข้อจำกัดของการผ่าตัด 

   การผ่าตัดมีโรคแทรกซ้อนมากน้อยแค่ไหน  

       สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามเมื่อตัดสินใจจะทำการผ่าตัดเสริมจมูกแล้ว ท่านต้องตระหนักถึงโรคแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญแล้วก็ตาม โรคแทรกซ้อนที่อาจจะพบได้คือ

    

  มีการติดเชื้อ
      เลือดกำเดไหลออก แต่มักจะเป็นไม่มาก
      แพ้ยาชา
      อาจจะเกิดแผลเป็น
      อาจะเกิดการผิดรูป เนื่องจากอาจจะเกิดพังผืดยึดกระดูกอ่อนทำให้จมูกผิดรูป
      ประมาณ 1 ใน10รายต้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อแก้ไข
      ให้ระลึกอยู่เสมอว่าการผ่าตัดแก้ไขหรือเสริมความงามไม่สามารถรับประกันได้ 100%ว่าจะออกมาสมบูรณ์แบบ 

   การวางแผนการผ่าตัด     
       เมื่อท่านตัดสินใจว่าเอาละชาตินี้จะต้องเปลี่ยนรูปร่าง หรือขนาดของจมูก เพราะมองกระจกทีไรมันหงุดหงิดหัวใจจริงๆ ท่านจะต้องเลือกแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดมีทั้งแพทย์ที่เป็นแพทย์ธรรมดาทั่วไป แพทย์ที่รักษาหูคอจมูก แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป แพทย์ศัลยกรรมพลาสติก ท่านจะต้องเลือกแพทย์โดยดูจากความรู้ ประสบการณ์ของแพทย์

       เมื่อท่านได้เลือกแพทย์แล้วท่านต้องปรึกษากับแพทย์ว่าท่านต้องการจมูกแบบไหน เมื่อแพทย์ทราบความต้องการของท่าน แพทย์จะพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ เพราะการที่จะทำให้ดูดีจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอย่างอื่น เช่นหน้าสั้น หรือยาว หน้ากลมหรือแบน คางสั้นหรือยาวเป็นต้น แพทย์อาจจะไม่ทำตามความต้องการของท่านก็ได้หากพิจารณาแล้วว่าทำไม่ได้หรือไม่น่าดู

       เมื่อแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถผ่าตัดแก้ไขความพิการได้ แพทย์ก็จะอธิบายวิธีการเตรียมตัวก่อนมาผ่าตัด เช่นการรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ การสูบบุหรี่ให้งดสูบบุหรี่สักระยะหนึ่งเพราะการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ควรรับประทานยาแก้อักเสบเพราะจะทำให้เกิดเลือดออกง่าย และการผ่าตัด โรคแทรกซ้อน สถานที่ผ่าตัด ระยะพักพื้น ที่สำคัญอย่าลืมถามราคา เพราะอาจจะทำให้ท่านเป็นลมเลยก็ได้ และให้ถามอีกว่า หากต้องผ่าตัดแก้ไขจะต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่

       โดยทั่วไปจะผ่าตัดที่คลินิก นอกเสียจากว่าจะต้องผ่าตัดใหญ่หรือผู้ป่วยมีโรคประจำตัวจำเป็นต้องดูและระหว่างผ่าตัดอย่างใกล้ชิด แพทย์จะแนะนำให้ผ่าในโรงพยาบาล
     
       การระงับความรู้สึกหรือยาชา โดยมากแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ให้ท่าน สำหรับท่านที่แก้ไขมากหรือตื่นตระหนก แพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาคลายความวิตกกังวลแก่ท่าน สำหรับท่านที่ใช้การดมยาสลบท่านก็จะหลับตลอดการผ่าตัด 

   การผ่าตัด     

        โดยมากการผ่าตัดใช้เวลา 1 ชั่วโมงสำหรับรายที่ทำยาก หรือแก้ไขความพิการก็อาจจะใช้เวลามากกว่านี้ ในการผ่าตัดแพทย์จะผ่าตัดผิวหนังบริเวณรูจมูก แต่แพทย์บางท่านก็ผ่าผิวหนังบริเวณขอบจมูก เพื่อแยกให้เห็นกระดูกจมูก แพทย์แก้ไขรูปทรงโดยการเลาะกระดูกอ่อนทั้งหมด หรือแก้ไขบางส่วน หรือใส่วัสดุเทียมแทนที่กระดูกจริง แต่งให้ได้รูปทรง แล้วจึงเย็บปิด
       หลังผ่าตัดเสร็จแพทย์จะทำการดามจมูกของท่านเพื่อให้ได้รูปทรง ในรูจมูกอาจจะใส่พลาสติกเล็กเพื่อให้จมูกได้รูปทรงเมื่อผ่านไปได้ 2 วันจึงเอาออก 

    หลังผ่าตัด    

       หลังผ่า 24 ชั่วโมงคุณจะรู้สึกปวดศีรษะ ปวดบริเวณจมูก บวมบริเวณใบหน้าให้นอนหนุนหมอนสูง และให้พักมากที่สุด ช่วงแระจะมีอาการเขียวคล้ำของขอบตาจะเป็นมากที่สุดใน2-3 วันแรกซึ่งเกิดจากเลือดไปคั่ง การดูแลให้ประคบเย็นจะทำให้ยุบบวม หลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์อาการบวมหรือเขียวคล้ำจะหายไป 
       ช่วงหลังผ่าตัดคุณอาจจะมีเลือดกำเดาไหล แพทย์จะแนะนำมิให้คุณสั่งน้ำมูก มีอาการคัดจมูกเนื่องจากเยื่อบุช่องจมูกบวม 

       หลังจากผ่าตัด 1 สัปดาห์คุณสามารถไปทำงานได้แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างเช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ การก้ม การมีเพศสัมพันธ์ 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก การขยี้จมูก หรือถูกแดดเผาเป็นเวลา 8 สัปดาห์หลังการผ่าตัด 

       หากท่านใส่ contact lens ท่านสามารถใส่ได้ทันที แต่หากท่านสวมแว่น ท่านต้องใช้เทปติดขอบแว่นไว้ที่หน้าผาก จนกระทั่งจมูกแข็งแรงซึ่งใช้เวลา 6-7 สัปดาห์จึงจะสวมแว่นได้ตามปกติ

 

 

ที่มา ... http://www.siamhealth.net