ยาสตรี


     ยาสตรี โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงยาที่ใช้สำหรับสตรีที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้องระหว่างมีประจำเดือน เป็นยาหลังคลอดบุตรช่วยขับน้ำคาวปลา และเป็นยาบำรุงโลหิตด้วย
      ยาสตรีที่มีจำหน่ายในประเทศไทย มีหลายหลายยี่ห้อ เช่น ยาสตรีเพ็ญภาค ยาสตรีเบลโล ส่วนประกอบจะต่างกันไปตามสูตร      ส่วนประกอบส่วนใหญ่ มักเป็นสมุนไพรชนิดต่าง ๆ และแอลกอฮอล์ สมุนไพรที่ใช้ก็ได้แก่ ขิง ไพล พริกไทย เทียนดำ เทียนแดง ตานเซียม กิ่งอบเชย บักดี้ โกฐหัวบัว โกฐสอ โกฐเชียง (ชาวจีนเรียกตังกุย) บางตำรับก็ใช้ว่านชักมดลูก แอลกอฮอล์ที่มีอยู่เพื่อไว้เป็นตัวสกัดเอาสารสำคัญชนิดหนึ่งออกมา เรียก ไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogen)

    Phytoestrogen ไฟโตเอสโตรเจน เป็นสารอินทรีย์ซึ่งสร้างขึ้นโดยพืช แต่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเอสโตรเจน สารเหล่านี้พบได้ทั้งในส่วนเมล็ด ลำต้น รากหรือดอก โดยในพืช สารนี้จะทำหน้าที่เป็นสารฆ่า เชื้อรา (fungicide) หรือเป็น phytoalexin นั่นคือเป็นสารเคมีที่พืชสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตนเอง เมื่อถูกรุกรานโดยจุลชีพ phytoestrogen จะมีบางส่วนของสูตรโครงสร้างคล้ายคลึงหรือเทียบได้กับ steroid nucleus ของ estradiol อันเป็นเอสโตรเจนที่พบในธรรมชาติหรือในร่างกายมนุษย์

    Estrogen เอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งร่างกายเราผลิตจากรังไข่ รก หรือต่อมอะดรีนาล ฮอร์โมนกลุ่มนี้มีผลโดยตรงต่อการแสดงลักษณะของเพศหญิง นับตั้งแต่การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ มีประจำเดือน ตกไข่ ตั้งท้อง ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน

  

    ดังนั้นการได้รับประทานยาสตรี ที่มีสารไฟโตเอสโตรเจน จึงช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน ที่เสียไปจากสาเหตุต่าง ๆ และช่วยทำให้รอบเดือนปกติ และยังมีส่วนเสริมให้การแสดงออกของลักษณะเพศหญิงดีขึ้น หรือที่เรียกว่าบำรุงเลือดก็เลยทำให้สุขภาพโดยรวม ๆ ของสตรีดีขึ้น
 

                ข้อควรระวัง ยาสตรีเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีปริมาณแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง การรับประทานติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้ติดได้

     ยาสตรี ไม่ใช่ยาสำหรับทำแท้ง ซึ่งอาจเข้าใจผิดจากสรรพคุณ ใช้ฟอกเลือด ขับประจำเดือน
                 ยาสตรี เป็นยาแผนโบราณ จะต้องมีเลขทะเบียนตำรับยาแสดงบนฉลาก

ข้อมูลจาก http://women.thaiza.com/ยาสตรี_1212_174856_1212_.html

 

รู้จัก เบาหวาน โรคยอดฮิต . . .ที่คุณก็อาจเป็นได้

     โรคเบาหวาน ถือเป็นปัญหาสุขภาพยอดฮิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เนื่องจากคนไทยป่วยด้วยโรคนี้มากถึง 2-3 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของโรคที่คุกคามคนไทย พบได้ในทุกช่วงวัย อย่างไรก็ตาม มีคนอีกจำนวนมากที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานแต่ไม่รู้ตัว ทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้ป่วยได้ปล่อยให้โรคลุกลามจนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น วันนี้ลองมาสำรวจดูว่าคุณอยู่ในข่ายเสี่ยงโรคเบาหวานหรือไม่ พร้อมๆ กับทำความเข้าใจโรคนี้อย่างถูกต้องกันค่ะ
     โรคเบาหวาน (Diabetes Millitus) เกิดจากตับอ่อนสร้าง "ฮอร์โมนอินซูลิน" (Insulin) ได้น้อย หรือไม่ได้เลย ฮอร์โมนชนิดนี้มีหน้าที่คอยช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ ทำให้เกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือดและอวัยวะต่างๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมากๆ ก็จะถูกไตกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวานหรือมีมดขึ้นได้ จึงเรียกว่า "เบาหวาน" นั่นเอง 
     ทั้งนี้ โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด และเป็นโรคทางพันธุกรรม โดยพ่อแม่ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ นอกจากพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อม วิธีการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญต่อการเกิดเบาหวานด้วย เช่น อ้วนเกินไป (หรือกินหวานมากๆ จนอ้วน ก็อาจเป็นเบาหวานได้) มีลูกดก หรือเกิดจากการใช้ยา เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ, ยาเม็ดคุมกำเนิด หรืออาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง, มะเร็งของตับอ่อน, ตับแข็งระยะสุดท้าย เป็นต้น
     ลักษณะโดยทั่วไปของผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำจากเลือดออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อถ่ายปัสสาวะมาก ก็ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ต้องคอยดื่มน้ำบ่อยๆ และด้วยความที่ผู้ป่วยไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่อลีบ อ่อนเปลี้ย เพลียแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลคั่งอยู่ในอวัยวะต่างๆ จึงทำให้อวัยวะต่างๆ เกิดความผิดปกติ และนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนมากมาย 

   ประเภทของเบาหวาน   

    เบาหวานสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้มีอาการ สาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาต่างกัน ได้แก่
    1. เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes) เป็นชนิดที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 25 ปี แต่ก็อาจพบในคนสูงอายุได้บ้าง ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้จะสร้างอินซูลินไม่ได้เลยหรือได้น้อยมาก เชื่อว่าร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านตับอ่อนของตัวเอง จนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรียกว่า "โรคภูมิแพ้ต่อตัวเอง" (autoimmune) ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ร่วมกับการติดเชื้อหรือการได้รับสารพิษจากภายนอก
ดังนั้น ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนในร่างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้น ร่างกายจะเผาผลาญไขมันจนทำให้ผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นุรนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน (Ketones) ของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน ซึ่งสารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยหมดสติและทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่า "ภาวะคั่งสารคีโตน" หรือ "คีโตซิส" (Ketosis)
    2. เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (Non-insulin dependent diabetes) เป็นเบาหวานชนิดที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ มีความุรนแรงน้อย มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็กหรือวัยหนุ่มสาวได้บ้าง โดยตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้ยังสามารถสร้างอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงทำให้มีน้ำตาลที่เหลือใช้กลายเป็นเบาหวานได้ บางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสูงมาก ๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลินฉีดเป็นครั้งคราว แต่ไม่ต้องใช้อินซูลินตลอดไป และผู้ป่วยมักไม่เกิดภาวะคีโตซิส เหมือนกับชนิดพึ่งอินซูลิน
   อาการ    
    ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย (และออกครั้งละมาก ๆ ) กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย หิวบ่อย หรือกินข้าวจุ อ่อนเพลีย บางคนอาจสังเกตุว่าปัสสาวะมีมดขึ้น
    หากเป็นเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน อาการต่างๆ มักเกิดขึ้นรวดเร็วร่วมกับน้ำหนักตัวที่ลดลงฮวบฮาบ ในช่วงระยะเวลาเพียงสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน โดยในเด็กบางคนอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน
    สำหรับคนที่เป็นเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน อาการมักค่อยเป็นค่อยไป แบบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีรูปร่างอ้วน หญิงบางคนอาจมาหาหมอด้วยอาการคันตามช่องคลอดหรือตกขาว ในรายที่เป็นไม่มาก อาจไม่มีอาการผิดปกติอย่างชัดเจน และตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจปัสสาวะหรือตรวจเลือดขณะที่ไปหาหมอด้วยโรคอื่น 
    บางคนมีอาการคันตามตัว เป็นฝีบ่อย หรือเป็นแผลเรื้อรังรักษาหายยาก
    ผู้หญิงบางคนอาจคลอดทารกที่มีน้ำหนักมากกว่าธรรมดา หรืออาจเป็นโรคครรภ์เป็นพิษ หรือคลอดทารกที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบสาเหตุ
    ในรายที่เป็นมานานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจมาหาหมอด้วยภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ตามัวลงทุกที หรือต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อยๆ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
   อาการแทรกซ้อน มีอะไรบ้าง  

      อาการแทรกซ้อนต่างๆ มักจะเกิดเมื่อเป็นเบาหวานมานาน โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง หรือปล่อยปละละเลย ทั้งนี้ โรคแทรกซ้อนที่อาจพบได้ เช่น

    1. ตา อาจเป็นต้อกระจกก่อนวัย ประสาทตาหรือจอตา (retina) เสื่อม หรือเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา (vitreous hemorrhage) ทำให้มีอาการตามัวลงเรื่อยๆ หรือมองเห็นจุดดำลอยไปลอยมา และอาจทำให้ตาบอดในที่สุด
    2. ระบบประสาท ผู้ป่วยอาจเป็นปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรือปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ซึ่งอาจทำให้มีแผลเกิดขึ้นที่เท้าได้ง่าย (อาจลุกลามจนเท้าเน่า) บางคนอาจมีอาการวิงเวียนเนื่องจากมีภาวะความดันตกในท่ายืน บางคนอาจไม่มีความรู้สึกทางเพศ ท้องเดินตอนกลางคืนบ่อย หรือกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือไม่มีแรงเบ่งปัสสาวะ)
    3. ไต มักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย มีอาการ บวม ซีด ความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของผู้ป่วยเบาหวานที่พบได้ค่อนข้างบ่อย
    4. ผนังหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสู , อัมพาต , โรคหัวใจขาดเลือด ถ้าหลอดเลือดที่เท้าตีบแข็ง เลือดไปเลี้ยงเท่าไม่พออาจทำให้เท้าเย็นเป็นตะคริวหรือปวดขณะเดินมากๆ หรืออาจทำให้เป็นแผลหายยากหรือเท้าเน่า (ซึ่งอาจเกิดร่วมกับการติดเชื้อ)
    5. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานโรคต่ำ เช่น วัณโรคปอด, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, กรวยไตอักเสบ, ช่องคลอดอักเสบ, เป็นฝีพุพองบ่อย, เท้าเป็นแผลซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า (อาจต้องตัดนิ้วหรือตัดขา) เป็นต้น
    6. ภาวะคีโตซิส (Ketosis) พบเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ที่ขาดการฉีดอินซูลินนาน ๆ ร่างกายจะมีการคั่งของสารคีโตน ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญไขมัน ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน กระหายน้ำอย่างมกา หายใจหอบลึก และลมหายใจมีกลิ่นหอม มีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ตาโบ๋ หนังเหี่ยว ความดันต่ำ ชีพจรเบาเร็ว) อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ผู้ป่วยจะซึมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสติ หากรักษาไม่ทันอาจตายได้
      ข้อแนะนำในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน         

    1. เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาติดต่อกัน เป็นเวลานานหรือตลอดชีวิต ซึ่งหากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง อาจมีชีวิตเหมือนคนปกติได้ แต่ถ้ารักษาไม่จริงจังก็อาจมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อนได้มาก 

    2. ควบคุมอาหาร การลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน) และการออกกำลังกาย มีความสำคัญมาก ในรายที่เป็นไม่มาก ถ้าปฎิบัติในเรื่องเหล่านี้ได้ดี อาจหายจากเบาหวานได้โดยไม่ต้องพึ่งยา ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรอาหารที่มีผลต่อโรค ดังต่อไปนี้

       - ลดการกินน้ำตาล และของหวานทุกชนิด รวมทั้งผลไม้หวานและน้ำผึ้ง และควรเลิกกินน้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวาน เหล้าเบียร์

       - ลดการกินอาหารพวกแป้ง เช่น ข้าว ข้าวเหนียว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ วุ้นเส้น เผือก มัน เป็นต้น

       - ลดอาการพวกไขมัน เช่น ของทอด ของมัน ขาหมู หมูสามชั้น อาหารหรือขนมที่ใส่กะทิ หันไปกินอาหารพวกโปรตีน เนื้อแดง ไข่ นม ถั่วต่างๆ รวมทั้งเพิ่มผักและผลไม้ที่ไม่หวานจัดให้มากขึ้น

      - ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรหักโหม เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ รำมวยจีน เล่นโยคะ กายบริหาร เป็นต้น 

    3. เลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้น อาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่างๆ 

    4. หมั่นดูแลรักษาเท้าเป็นพิเศษ ระวังอย่าให้เกิดบาดแผลหรือการอักเสบ เพราะอาจลุกลามจนกลายเป็นแผลเน่าจนต้องตัดนิ้วหรือขาทิ้ง 

           ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่ เช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะตรงซอกเท้า อย่าถูแรงๆ 
           เวลาตัดเล็บเท้า ควรตัดออกตรงๆ อย่าตัดโค้งหรือตัดถูกเนื้อ 
           อย่าเดินเท้าเปล่า ระวังเหยียบถูกของมีคม หนาม หรือของร้อน 
           อย่าสวมรองเท้าคับไป หรือใส่ถุงเท้ารัดแน่นเกินไป 
           ถ้าเป็นหูดหรือตาปลาที่เท้า ควรให้แพทย์รักษา อย่าแกะหรือตัดออกเอง 
           ถ้ามีตุ่มพอง มีบาดแผล หรือการอักเสบที่เท้าควรรีบไปให้แพทย์รักษา 

    5. ผู้ป่วยที่กินยาหรือฉีดยารักษาเบาหวานอยู่ บางครั้งอาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คือมีอาการใจหวิว ใจสั่น หน้ามืด ตาลาย เหงื่อออก ตัวเย็นเหมือนเวลาหิวข้าว ถ้าเป็นมากๆ อาจเป็นลม หมดสติ หรือชักได้ ดังนั้น จึงต้องระวังดูอาการดังกล่าว และควรพกน้ำตาลหรือของหวานติดตัวประจำ ถ้าเริ่มรู้สึกมีอาการดังกล่าวให้ผู้ป่วยรีบกินน้ำตาลหรือของหวาน จะช่วยให้หาย 

    6. หมั่นตรวจปัสสาวะด้วยตัวเอง และตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเป็นประจำ เพราะเป็นวิธีที่บอกผลการรักษาได้แน่นอนกว่าการสังเกตจากอาการเพียงอย่างเดียว

    7. อย่าซื้อยาชุดกินเอง เพราะยาบางอย่างอาจเพิ่มน้ำตาลในเลือดได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาเองต้องแน่ใจว่า ยานั้นไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

    8. ควรมีบัตรประจำตัว (หรือกระดาษแข็งแผ่นเล็กๆ) ที่เขียนข้อความว่า "ข้าพเจ้าเป็นโรคเบาหวาน" พร้อมกับบอกชื่อยาที่รักษาพกติดกระเป๋าไว้ หากบังเอิญเป็นลมหมดสติ ทางโรงพยาบาลจะได้ทราบประวัติการเจ็บป่วยและให้การรักษาได้ทันท่วงที

    9. ป้องกันโรคนี้ด้วยการรู้จักกินอาหาร ลดของหวานๆ อย่าปล่อยตัวให้อ้วน หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ และทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบาน อย่าให้เครียดหรือวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นเบาหวาน ควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรตรวจเช็คปัสสาวะหรือเลือดเป็นครั้งคราว เพราะหากพบเป็นเบาหวานในระยะเริ่มแรก จะสามารถควบคุมอาการของโรคได้

 

 

ข้อมูลจาก  <a href="http://women.thaiza.com/รู้จัก%20เบาหวาน%20โรคย

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า...จะเกิดอะไรขึ้น?

    ในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่  

  - ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ ๆ ก็จะอ่อนล้า ไม่สดชื่น      

  วิ ธี แ ก้      

    ** พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น. ถ้าไม่ขับถ่ายให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ 

    ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00 - 09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวขึ้นมาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร ก็จะถูกดูดซึมอีกครั้ง

    ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็นที่เก็บได้นานกว่า เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด

    ถ้าเลือดไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

    - มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น 

    - ถ้าปล่อยไว้ไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00 - 07.00 น. นาน ๆ เข้าเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปี เลือดที่ไม่สะอาดไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา 07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็ว 

    - ปวดเข่าเมื่ออายุมากขึ้น เป็นริดสีดวงทวาร

 

    ** ควรกินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00 - 09.00 น.

ข้อมูลจาก  <a href="http://women.thaiza.com/ไม่ขับถ่ายต

 

บอกเขาดีไหม..ว่าเราไม่บริสุทธิ์

เรื่อง "ความบริสุทธิ์ของหญิงสาว" คุณหมอได้แจกแจงความเห็นออกเป็น 3 ประเด็นดังนี้

   1. คำว่า "บริสุทธิ์" แปลว่า "แท้...ไม่มีสิ่งเจอปน ปราศจากมลทิน" (มลทิน แปลว่า ความมัวหมอง) เข้าใจว่าคนที่คิดและเริ่มต้นป่าวประกาศว่าความบริสุทธ์ของผู้หญิงมีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ที่เยื่อพรหมจารี และเมื่อหญิงวัยสาวมีการร่วมเพศครั้งแรกเมื่อนั้นถือว่าเสียความบริสุทธิ์ ต้องเป็นผู้ชายแน่นอน

ความเห็นของคุณหมอ..ความบริสุทธิ์ของมนุษย์อยู่ที่การกระทำ ล่วงละเมิดทรัพย์สินและร่างกายผู้อื่น สมมติว่าผู้ชายคนหนึ่งข่มขืนหญิงวัยสาว อย่างนี้ถือว่าผู้ชายคนนั้นเสียความบริสุทธิ์..ไม่ใช่ฝ่ายหญิง

   2. ข้อนี้อยากให้ถือว่าเป็น "กฎ" ว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ว่าที่สามีรับรู้ว่าคุณเคยมีประสบการณ์ทางเพศกับแฟนคนเก่ามาก่อน..แม้ว่าเขาจะบอกกับคุณว่ายอมรับได้ก็ตาม เพราะหลายๆรายที่ตอนแรกก็ว่ารับได้ ไม่รังเกียจ..แต่เขาอาจเก็บซ่อนความรู้สึกระแวงหรือไม่ไว้วางใจไว้ข้างใน เคยมีตัวอย่างว่าเมื่อฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ปุ๊บ ฝ่ายชายก็เกิดอาการกำเริบคิดฟุ้งซ่านว่าลูกในท้องไม่ใช่ผลผลิตของเขา

อย่าปล่อยให้ผู้ชายเป็นฝ่ายตั้งคำถามกับเราว่า เธอเป็นผู้หญิงบริสุทธิ์หรือเปล่า..แล้วละเลยที่จะรับรู้ว่าว่าที่สามีของเราอาจเป็นพาหะนำเชื้อโรคมาติดเราก็ได้.. แนะนำว่าถ้าผู้ชายถามเรามากๆ ก็ย้อนถามเขากลับเลยว่าแล้วเขาเองล่ะบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า แน่จริงจับไปตรวจเลือดเอดส์และซิฟิลิสซะเลย

   3. ถ้าไม่บอก ผู้ชายไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้หญิงที่เขามีเซ็กซ์อยู่นั้นเคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนหรือเปล่า..ยกเว้นแต่ว่าคุณมีลูกติดจากสามีเก่ามาก่อน ขนาดหมอสูตินรีเวชที่ตรวจภายในผู้หญิงก็ไม่สามารถค้นพบร่องรอยหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นได้ ยกเว้นกรณีที่มีการคลอดบุตรผ่านช่องคลอดแล้วเท่านั้น จึงปรากฎเห็นชัดเจน มองด้วยตาหมอสูติฯยังไม่รู้ แล้วจากการสัมผัสร่วมเพศผู้ชายจะไปรู้ได้ยังไง

   แต่เขามองออกจากปฎิกิริยาตอบสนองทางเพศ ลีลาท่าทางของผู้หญิงต่างหากที่ทำให้เขาผิดสังเกต ถ้าเกิดคุณคล่องแคล่วโลดโผนพิศดาร แล้วมาบอกว่านี่เป็นครั้งแรกของฉัน..ยังไงผู้ชายเขาก็ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้น..เซ็กซ์ครั้งแรกกับสามี ขอให้ทำตัวเหมือนเซ็กซ์ครั้งแรกในชีวิต คือทำงงๆเบลอๆเข้าไว้ แสร้งทำเป็นเกร็งๆกล้าๆกลัวๆ..อย่างนี้รับรองว่า ฝ่ายชายไม่มีทางจับได้ แล้วถ้าไม่อยากให้เขามาจับผิดเรื่องมีเลือดออกในการมีเซ็กซ์ครั้งแรก ก็หาฤกษ์เข้าหอในช่วงที่เรามีประจำเดือนซะ..อย่างนี้ความลับก็อยู่กับเราตลอดชีวิต

 

ข้อมูลจาก  http://women.thaiza.com/

10 วิธีไฮไลต์ความสุข

เปิดปฎิทิน กำหนดวันแห่งความสุขให้กับตัวคุณเองทุกๆ ต้นเดือน มีหลายวิธีที่จะเปลี่ยนวันธรรมดาให้แฝงความพิเศษ

1. วางแผนระยะสั้น
 การรู้จักวางแผนระยะสั้น เตรียมการและตั้งเป้าหมาย กับอะไรที่สามารถหวังผลได้เร็ว ไม่ต้องรอลุ้นกันเป็นเดือนเป็นปีจะทำให้ชีวิตมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนให้ทุกวันผ่านไปอย่างมีความหมายและน่าตื่นเต้นขึ้น

2. ช้อปปิ้งอาหารสมอง
 แวะร้านหนังสือ เลือกปรัชญาดีๆ อ่านง่ายๆ หรืออะไรก็ได้ที่จะขยายความรู้ในโลกใบเล็กของคุณ เอาไว้อ่านในบ่ายวันหยุดที่แสนสบาย ใช้เวลาช่วงนั้นเดินทางไปในโลกอีกใบที่สุดแสนจะน่าทึ่งเก็บเกี่ยวความรู้ใหม่และเรื่องราวที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

3. เที่ยวป่า
 หาเวลาในวันหยุดนัดพบธรรมชาติ ออกจากเมืองไปพบธรรมชาติ หากมีเวลาน้อยก็ไปจังหวัดใกล้ๆแถวๆกาญจนบุรีและเขาใหญ่ ขอกระซิบว่าป่าในฤดูนี้เขียวชอุ่ม ฉ่ำ สดชื่น อากาศบริสุทธิ์ บรรยากาศเย็นสบายรอคุณเข้าไปสัมผัส

4. เตรียมร่างกายรับอากาศเปลี่ยน
 สภาพอากาศคุ้มดีคุ้มร้ายในช่วงต่อของฤดูกาล ทำให้เราไม่สบายอยู่เสมอปกป้องตนเองด้วยการรับประทานอาหารครบทั้งห้าหมู่ เสริมด้วยผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง หรือวิตามินซีเสริม เพราะวิตามินซีเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยยับยั้งและป้องกันเชื้อโรคต่างๆและช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ไม่ให้หวัดและภูมิแพ้มากล้ำกราย

5. ความสุขในเย็นวันศุกร์
 เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในยามเย็นวันศุกร์ของคุณบ้าง งดเว้นปาร์ตี้กับเพื่อนช่างเม้าท์ในเย็นวันศุกร์ แล้วหันมาผ่อนคลายด้วยการกลับบ้านทันทีหลังเลิกงาน เมื่อถึงบ้าน...ดื่มน้ำสักแก้ว เปิดเพลงเบาๆ เอนหลัง เหยียดแขนขาในท่าทีสบายที่สุดคลายความเครียดออกไปจากเรือนร่างและจิตใจจัดดอกไม้ลงแจกัน นอนแช่น้ำใช้เวลาผ่อนคลายไม่ต้องเร่งรีบสักคืน

6. โละของเก่า ช้อปของใหม่
 ถึงเวลาเปิดตู้โละของใช้หมดอายุ พ้นสมัยหรือเก่าเก็บ ออกจากตู้ จะเก็บไปทำไมให้รกตู้ ถึงเวลาช้อปของใหม่ ตู้ ลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งจะได้มีที่ต้อนรับของใหม่ ไม่ใช่ทะลักล้นรกหูรกตา

7. ให้เวลากับเด็กๆ
 เด็กๆ เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต แค่ได่อยู่ใกล้ๆ คุณจะซึมซาบพลังแห่งชีวิตชีวาหากคุณไม่มีลูก ก็น่าจะมีหลานล่ะนะ หาเวลาอยู่กับพวกเขา คุย เล่น สอนสิ่งที่เขาควรรู้ พาเขาไปเที่ยวในสถานที่ที่เด็กควรไป ถ้าสามารถพาเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดสูดอากาศบริสุทธิ์ได้ นั่นละวิเศษที่สุดเลย

8. สาวไม่กลัวฝน
 ช่วงนี้อากาศร้อนอบอ้าว หนักๆ เข้าฝนก็จะกระหน่ำลงมาได้เหมือนกัน เตรียมร่มและเสื้อกันฝนไว้ได้เลย เลือกแบบเก๋ๆหรือกวนๆ สุดแต่ใจถวิล ขอให้เห็นร่มเห็นบุคลิกเจ้าของเป็นใช้ได้ เก็บไว้ใกล้ๆตัว เชื่อเถอะว่าคุณต้องได้ใช้แน่นอน

9. ตื่นเช้าขึ้นเพื่อเลี่ยงรถติด
 คุณคงไม่ลืมว่าเวลาฝนตกนั้นรถติดมากแค่ไหน และโรงเรียนก็ทยอยกันเปิด...ตั้งนาฬิกาปลุกเสียงดี ให้ปลุกเร็วขึ้นอีกสักนิด (และอย่าลืมเข้านอนเร็วขึ้นด้วย) อย่าแอบนอนหลับต่อหลังเสียงนาฬิกาปลุก แล้วคุณจะไม่อารมณ์เสียเพราะรถติดตั้งแต่ตอนเช้า อย่ายอมเสียสุขภาพจิตเพราะห่วงนอนหรือเพราะนอนดึกเลย

10. ทำงานอย่างมีสุข
 ช่วงนี้เป็นธรรมดาที่คุณจะเกิดเบื่องานที่ทำอยู่บ้าง เข้ากลางปีแล้วนี่ หาวิธีสร้างกำลังใจของคุณขึ้นมาใหม่ บอกตนเองได้เลยว่าดีแค่ไหนแล้วที่มีงานทำ คนมีงาน ไม่มีเวลาให้เหงา ฟุ้งซ่านหรือทุกข์กับอะไรนาน เมื่อมีงานก็มีเงิน แม้จะไม่มากมายแต่ก็เรียกว่ามี และไม่ว่างานชิ้นใดสำเร็จ อย่าลืมให้รางวัลกับตนเอง จงสุขและภูมิใจกับมัน ยิ่งถ้ามีคนพูดถึงงานนั้นด้วยความชื่นชม ถือเป็นรางวัลพิเศษ นั่นคือคุณค่าแห่งการใชชีวิตคุณ

............................................................................................................................................

ขอบคุณที่มา : หนังสือนิตยสารลิซ่าเวลฟิต

แค่ "อ่าน" ก็สร้างชาติได้

หนังสือช่วยพัฒนาความคิด-จิตใจ ส่งผลระดับความรู้พลเมืองสูงขึ้น

 

การอ่านหนังสือทำให้คนหลายๆคนเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งในด้านความคิดและพฤติกรรม... หนังสือ จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญในการสร้างพัฒนาการที่ดีที่สุด ที่ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการในทางด้านสติปัญญา แต่ยังรวมไปถึงการช่วยพัฒนาความคิด และยกระดับจิตใจได้อีกด้วย

 

 

            แต่ในปัจจุบันกลับพบว่า คนไทยอ่านหนังสือเพียง 5 เล่มต่อคนต่อปีเท่านั้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามนำโด่งไปที่ 60 เล่มต่อคนต่อปี...ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคนไทยรักการอ่านหนังสือไม่แพ้ชาติใดในโลก...นายจรัญ มาลัยกุล หัวหน้าโครงการอ่านสร้างชาติ ได้ออกมาบอกว่า จากข้อมูลที่ระบุว่า คนไทยอ่านหนังสือน้อยนั้น...ความจริงแล้วคนไทยไม่ใช่ไม่อยากอ่านหนังสือ แต่ไม่มีหนังสือให้อ่าน เพราะหนังสือมีราคาแพง และสถานที่จำหน่ายก็มีเฉพาะในเขตเมือง ทำให้หนอนหนังสือไม่สามารถ เข้าถึง หนังสือได้ต่างหาก

 

เมื่อไม่สามารถเข้าถึงหนังสือได้ ทำให้ต้องหันไปหาสื่ออื่นที่เข้าถึงมากกว่า ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า คนไทยอ่านหนังสือลดลง จากร้อยละ 69.1 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 66.3 ในปี 2551 และจากจำนวนคนที่ไม่อ่านหนังสืออีกร้อยละ 33.7 นั้นใช้เวลาเพื่อดูโทรทัศน์ถึงร้อยละ 54.3 เพราะสื่อโทรทัศน์นั้น ถือเป็นว่าเป็นสื่อที่เข้าถึงทุกคนได้มากกว่าหนังสือ ทำให้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาดูโทรทัศน์มากขึ้น ความรู้ ความคิด และจินตนาการจึงลดน้อยลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบให้ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าได้

 

หากมีการส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่านตั้งแต่วัยเยาว์ ก็จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เกิดการปรับวิธีคิด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดการเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ระดับจิตใจและสติปัญญาถูกพัฒนาการอย่างเหมาะสม และเมื่อระดับความรู้ของพลเมืองเปลี่ยนไป ประเทศก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นด้วย

 

 

การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กๆ นั้น ต้องอาศัยกำลังจากพ่อแม่เป็นสำคัญ เพียงพ่อแม่ใช้เวลาแค่วันละ 20 นาที ค้นหาหนังสือที่เหมาะกับวัยและความสนใจ บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น โดยการอ่านออกเสียงให้ลูกฟังตัวต่อตัว ก็จะทำให้เด็กกล้าที่จะตอบคำถาม รู้สึกผ่อนคลาย อุ่นใจและกล้าที่จะเปิดเผย เป็นการสอนอย่างไม่เป็นทางการที่สมบูรณ์แบบ ให้เด็กได้คุ้นเคยกับหนังสือ ถือเป็นการบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านได้อย่างแยบยล

 

และการที่จะเพิ่มจำนวนหนอนหนังสือ จำเป็นที่จะต้องส่งเสริมเรื่องราคา ดังจะเห็นได้จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยในปีนี้ตรงกับวันที่ 27 มีนาคม ถึง 6 เมษายน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะดึงดูดให้คนไทยหันมานิยมอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นได้ เพราะนอกจากจะมีหนังสือนานาชนิดให้ได้เลือกอ่านแล้ว ราคาหนังสือก็ยังถูกกว่าปกติทั่วไปอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การนำหนังสือมาไว้ที่เดียว ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการอ่านหนังสือของคนไทยได้ แต่ด้วยกลยุทธ์ หนังสือมือสอง ในโครงการอ่านสร้างชาติที่เชิญชวนให้ทุกคนร่วมบริจาคหนังสือที่ไม่ใช้แล้วอาจช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เพียงแค่สละหนังสือคนละเล่ม แล้วส่งมาที่ มูลนิธิกระจกเงา 8/12 ซอยวิภาวดี44 ถนนวิภาวดี-รังสิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 หรือทางเว็บไซต์ www.read4thai.org

 

            เชื่อได้เลยว่า...หากคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการอ่านได้เยอะและง่ายขึ้นก็ช่วยสร้างให้ชาติไทยของเราเกิดการพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแน่นอน...^^

 

 

  

 เรื่องโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content www.thaihealth.or.th