Monthly Archives: April 2010

ปรัชญา ปลา

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการแบบ ปรัชญาปลา มาเล่าให้ฟัง
เมือง Seattle เป็นเมืองที่อยู่ในรัฐที่ตั้งอยู่สุดขอบของสหรัฐอเมริกา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับแคนาดา เมืองนี้ฝนตกหยุด ๆ หายๆ ทั้งปี และมีอากาศไม่หนาวนักเพราะตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรและมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน มี University of Washington ที่มีชื่อเสียง และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า หากใครหัวใจวาย จะมีรถพยาบาลมาถึงคนเจ็บในเวลาอันสั้นที่สุดในสหรัฐอเมริกา "ปรัชญาปลา" (FISH PHILOSOPHY) เป็น วิธีการนำไปปฏิบัติที่น่าจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะแก่องค์กรธุรกิจและองค์กรขนาดใหญ่หรือเล็กเท่านั้น ยังกินความเป็นไปถึงครอบครัวและห้องเรียนอีกด้วยค่ะ ลองมาดูกันว่า นิทานเรื่องนี้ ให้อะไรที่เป็นแก่นสารบ้าง.
เริ่มเรื่องที่ Mary ได้ย้ายมาทำงานที่ Seattle กับสามีได้ไม่ถึง 2 ปี สามีก็ตายทิ้งลูกเล็ก ๆ ไว้ 2 คนให้เลี้ยง เธอได้งานในบริษัทประกันและมีความก้าวหน้าในการงานเป็นอย่างดี วันหนึ่งเธอก็ถูกย้ายให้ไปทำงานบนชั้น 3 เพื่อรับงานที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้น เธอหนักใจเพราะชั้น 3 นั้นมีชื่อเสียงมานานว่า ไร้ประสิทธิภาพ ทำงานเชื่องช้า ไม่ตอบสนองลูกค้า ทำงานอืดอาดไร้ชีวิตชีวาเหมือนผีตายซาก ฯลฯ
Mary พยายามหาหนทางแก้ไขลักษณะที่เป็นลบของทีมงานของเธอ แต่คิดไม่ออก จนวันหนึ่ง ระหว่างหยุดพักเที่ยง เธอเดินหาอาหารกลางวัน และก็หลงเดินเข้าไปในตลาดปลาที่มีชื่อว่า Pike Place Fish เธอรู้สึกตกใจเมื่อก้าวเข้าไปเห็นคนมากมาย ส่งเสียงกันเจี๊ยวจ้าว โดยเฉพาะลูกค้าและนักท่องเที่ยว หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และก็เห็นคนขายโยนปลาตัวโตข้ามหัวผู้คนไปไกลถึง 10-20 ฟุต ไปที่คนเก็บเงินที่จับปลาอย่างแม่นยำ และคนอื่น ๆ ก็ตะโกนพูดอะไรขำขันและหัวเราะกันสนุกสนานตลอดเวลา
ไกลออกไปคนงานกำลังหยิบปลาขึ้นมาขยับเหงือกหลอกล้อเด็กให้หัวเราะ คนขายอีกคนตะโกนไล่ถามผู้คนว่ามีใครสงสัยเรื่องปลาบ้างไหม อีกคนดูเหมือนกำลังคุยกับปลา อีกคนกำลังโยนปูขึ้นไปในอากาศ และเอากล่องรับ ฯลฯ ทุกอย่างดูวุ่นวายสนุกสนาน และที่สำคัญ ทุกคนที่ทำงานในตลาดนี้สนุกกับงานที่ดูแสนจะน่าเบื่อหน่าย หัวเราะต่อกระซิกเย้าแหย่กันตลอดเวลา และความรู้สึกสนุกนี้ก็ติดเชื้อลามไปถึงคนซื้อและคนที่เข้ามาเยี่ยมชมด้วย ไม่ว่าใครที่เข้ามาในตลาดดูจะรู้สึกสนุกสนานด้วยกันทั้งนั้น ขณะที่เธองุนงงอยู่ ก็มีหนุ่มคนหนึ่งที่ทำงานที่ตลาดเดินมาถามไถ่เธอว่า สงสัยอะไรเกี่ยวกับตลาดนี้บ้างไป และจากจุดนี้ก็เป็นจุดเดินเรื่องของคำอธิบายเกี่ยวกับตลาดโดยหนุ่มที่มีชื่อว่า Lonnie... Mary เริ่มสนิทสนมกับ Lonnie มากขึ้น เมื่อไปตลาดอีกหลายครั้งเพื่อปรับทุกข์เรื่องงานบนชั้น 3 และวิธีการทำงานของตลาดปลา Lonnie อธิบายว่า (ราวกับเป็นศาสตราจารย์ด้านการบริหารมากกว่าเป็นคนขายปลา) ในการทำงานนั้น มนุษย์ทุกคนมีทางเลือกเสมอ ถึงแม้ว่าจะไม่มีทางเลือกงานได้มากนักก็ตาม ซึ่งทางเลือกนั้นก็คือ การเลือกที่จะนำทัศนคติมายังที่ทำงาน ถ้านำทัศนคติอย่างหนึ่งมาที่ทำงาน ก็จะได้ผลงานอย่างหนึ่ง ทุก ๆ วัน พวกเราที่ตลาดปลาแห่งนี้ตัดสินใจที่จะนำทัศนคติว่า งานเป็นสิ่งที่รื่นรมย์มาที่ทำงาน ถึงแม้เราจะเลือกงานไม่ได้ แต่เราก็เลือกทัศนคติในการทำงานได้ ซึ่งเราก็ได้เลือกที่จะสร้างสรรค์ที่ทำงานของเราให้เป็นที่ ๆ น่าอยู่ และเลือกที่จะทำงานอย่างสนุก และทัศนคติ (ATTITUDE) นี่แหละคือหัวใจสำคัญ ของการทำงานที่ตลาดเรา เมื่อ Mary ได้ไอเดียนี่มา เธอก็เริ่มดำเนินการกับหน่วยงานของเธอ ด้วยการบอกเล่าและโน้มน้าว และร่วมขอความเห็น เพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดที่จะเลือกสร้างทัศนคติในการทำงาน และชักชวนให้ลูกน้องไปเยี่ยมชมตลาดด้วย
Lonnie ได้เฉลยต่อมาว่า ปัจจัยตัวที่สองของความสำเร็จก็คือ PLAY หรือการเล่น ซึ่งมิได้หมายถึงการเล่นอย่างไร้ความหมาย หากแต่ว่าจริงจังกับงาน แต่ก็สามารถเล่นสนุกไปในเวลาเดียวกันได้ในการทำงาน เช่น โยนปลา พูดจาสนุกสนาน ชวนให้ลูกค้าลงมาช่วยบรรจุปลาลงถังด้วยจัดเกมส์ให้ลูกค้าร่วมเล่น เช่น แข่งกันโยนปลา ลดราคาเป็นรางวัล ฯลฯ
ส่วนปัจจัยที่สามก็คือ MAKE THEIR DAY (ให้เป็นวันแห่งการจดจำ) ทำให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวจำวันที่มาตลาดแห่งนี้ได้ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ซึ่งการเล่นสนุก การให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เช่น เข้าไปในห้องเย็นเอาสวิงตักปลาในถัง ทำความสะอาดปลา เอามือล้วงเข้าไปในท้องปลาตัวใหญ่ ฯลฯ การพยายามให้ลูกค้าเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยกับงานของตลาดอย่างสนุกสนานจะทำให้มีความรู้สึกที่ดี กับตลาดไปตลอด
ปัจจัยตัวสุดท้ายก็คือ BE PRESENT ("อยู่"กับลูกค้า) ซึ่งหมายถึง การให้ความสนใจอย่างจริงจังต่อสิ่งที่ตนเกี่ยวพันอยู่ เช่น ให้ความสนใจแก่ลูกค้าอย่างจริงจัง "อยู่" กับลูกค้าโดยไม่ละทิ้งหรือเหม่อลอย ร่วมกิจกรรมกับลูกค้า
ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ เมื่อรวมกันแล้ว ผู้เขียนเรียกว่า ปรัชญาปลา (FISH PHILOSOPHY) ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์กับองค์กร ห้องเรียน และครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพื่อนำพลังและศักยภาพของทุกคนที่ร่วมกันอยู่ในองค์กรออกมาเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่างเช่นในครอบครัว การมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการร่วมชีวิตด้วยกันของพ่อแม่ลูกโดยพึ่งพาอาศัยกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน และยึดถือการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และสนุกสนานด้วยการเล่นระหว่างพ่อลูก สอนอบรมอย่างจริงจังแต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ พยายามทำให้ชีวิตในวัยเด็กเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าแก่ลูก และ "อยู่" กับลูกตลอดตั้งแต่เด็กจนโต
FISH PHILOSOPHY ที่ดิฉันเล่าให้ฟังนี้ เป็นหนังสือแบบ "how to" สำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างสรรค์ให้สถานที่ทำงานหรือครอบครัว หรือโรงเรียนเป็นแหล่งที่ปลดปล่อยศักยภาพของทุกคน ด้วยการสร้างความสนุกสนานในสิ่งที่ทุกคนต้องทำทัศนคติ การเล่น การสร้างความทรงจำ และการ "อยู่" อย่างไม่ละทิ้ง หรือ ปรัชญาปลา เป็นสูตรสู่การมีองค์กรที่มีประสิทธิภาพ มีคนจำนวนน้อยในโลกที่ได้ทำงานที่ตนรัก และอยากทำงานกัน แต่มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถเลือกงานได้ แต่ก็มีบางคนที่สามารถสร้างความชอบในงานที่ตนต้องทำ (จนได้) นิทานเรื่องนี้ ได้เปิดเผยความลับในเชิงบริหารจากการเรียนรู้ตลาดปลา เพื่อช่วยให้องค์กรทั้งหลายสามารถเพิ่มจำนวน "บางคน" เหล่านั้นให้สูงขึ้น ความสนุกซึ่งเป็นสมบัติของมนุษยชาติสามารถเกิดขึ้นในขณะเดียวกับการทำงานที่จริงจังได้ และถ้าเราสามารถทำให้ความสนุกเช่นนี้เกิดขึ้นได้แล้ว เราก็สามารถช่วยทำให้ประโยคที่ว่า "ความสุขคือการชอบสิ่งที่ทำ มิใช่ทำสิ่งที่ชอบ" เป็นจริงขึ้นได้อีกมากค่ะ
"... เมื่อเราเลือกที่จะชอบสิ่งที่เราทำ ชีวิตของเราจะเปี่ยมไปด้วยความสุข ความอิ่มเอม และเข้าถึงความหมายของชีวิต ได้ทุกวันที่มาทำงาน ... คนเราใช้เวลากว่าร้อยละ 75 ของเวลาที่ตื่นในแต่ละวันไปในงานและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน ดังนั้น เราจึงควรที่จะเลือกที่จะสนุกและกระตือรือร้น กับงานที่เราทำ แทนที่จะรอให้วันศุกร์มาถึง (หรือที่พูดกันว่า Thank God It's Friday)...
... เราจะเลือกทำเฉพาะงานที่เราชอบไม่ได้เสมอไป ดังนั้นเราจึงควรเลือกที่จะชอบงานที่เราทำ..."
ปรัชญาปลาแบบง่ายๆ
• เมื่อท่านย่างเข้าที่ทำงานแต่ละวัน โปรด เลือก (choose) ที่จะทำให้วันนั้นเป็นวันอันพิเศษ แล้วเพื่อนร่วมงานของท่าน พนักงานอื่นที่มาติดต่อกับท่าน และแม้แต่ตัวท่านเองก็จะมีความประทับใจกับวันนั้น
• หาวิธีทำงานอย่างรื่นเริง (play) ท่านสามารถเอาจริงเอาจังเคร่งเครียดกับงานได้โดยไม่เคร่งเครียดกับตัวเอง
-ใส่ใจกับพนักงานที่มาติดต่องานกับท่านและเพื่อนร่วมงานของท่านอย่างมีสติอยู่ตลอดเวลา (be present)
-เมื่อท่านรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากับการทำงานขึ้นมา ให้ท่านมองหาผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นกำลังใจให้เขา (make their day)
ในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
ความสุข คือ การชอบสิ่งที่ทำมิใช่ทำสิ่งที่ชอบ

เมื่อต้องทำงานที่ใจไม่รัก ควรทำอย่างไร

คนเราส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันมักจะไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนอยากจะทำจริง ๆ แต่กลับต้องทำงานที่ใจไม่รัก ไม่ชอบ ที่ต้องจำใจทำก็เพราะไม่มีทางเลือก ด้วยเหตุจำเป็นที่จะต้องหารายได้มาเลี้ยงชีวิตและครอบครัว เพราะขืนมัวแต่เลือกงานเดี๋ยวได้อดตายกันพอดี ก็เลยต้องทนทำงานกันต่อไป การงานบางอย่างต้องทำซ้ำๆซากๆ จำเจน่าเบื่อหน่าย การงานบางอย่างก็ช่างดูน่าต่ำต้อย เฮ้อ..จะไม่ทำก็ไม่ได้เดี๋ยวไม่มีเงินใช้ จะทำอย่างไรดี ดิฉันมีเคล็ดลับวิธีทำงานให้สนุก 4 วิธี ที่ท่านสามารถนำไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของท่านได้ ดังต่อไปนี้
1. มองให้เห็นคุณค่าของงาน การงานทุกอย่างถ้าไม่ใช่อาชีพทุจริต ล้วนแต่มีคุณค่าแฝงอยู่ในการงานทั้งนั้น ดังนั้นขอเพียงแต่คุณรู้จักมองให้เห็นคุณค่าของมัน แล้วสร้างความประทับใจในงานที่คุณทำอย่างสุดซึ้ง ความรักความประทับใจในการงานของคุณนี้เอง ที่จะเป็นพลังใจทำให้คุณสามารถต่อสู้งานที่ยากลำบาก หรือ น่าเบื่อหน่ายต่อไปได้ ย้ำอีกคร้งว่า ขอให้คุณสร้างความภูมิใจในสิ่งที่คุณทำ คือ มีความมั่นใจในงานที่คุณทำว่าเป็นงานที่มีคุณค่า ความรักความมั่นใจในสิ่งที่คุณทำนั่นแหละค่ะ ที่จะเป็นพลังใจสำคัญทำให้คุณทำงานของคุณอย่างมีความสุข
ถ้ามองให้เห็นคุณค่าในงานที่คุณทำอยู่ว่า ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อใคร ทำประโยชน์ให้แก่ใครได้บ้าง คิดให้ได้อย่างนี้แล้วสร้างความภูมิใจ ความมั่นใจในการงานของตนเอง ชีวิตการทำงานของคุณก็จะมีความสุขมากขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว
2. กระตือรือร้นอยู่เสมอ สร้างอริยาบถของคุณให้มีกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา ทำให้ติดจนเป็นนิสัย คุณก็จะพลอยมีความกระตือรือร้นในการทำงานไปด้วย ความรู้สึกกระตือรือร้นนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ค่ะ เวลาที่คุณอยู่คนเดียวในห้อง ให้คุณลองทำดูเล่นๆก็ได้ คือ คุณลองทำโน่นทำนี่อย่างเนือย ๆ เฉื่อยแฉะสัก 5 นาที จากนั้นให้เปลี่ยนบุคลิกใหม่คราวนี้ลองทำอะไรต่ออะไรด้วยท่าทีกระฉับเฉงว่องไวดูสัก 5 นาที ลองเปรียบเทียบดูสิค่ะ คุณจะพบว่าความรู้สึกมันต่างกันลิบลับเลยเดียว คนที่มีความรู้สึกกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรมันก็ดูน่าสนุกไปหมด ดังนั้นในแต่ละวัน หากคุณลองทำตัวให้เป็นคนที่กระตือรือร้นขึ้นมาสักวันละครึ่งชั่วโมงกับการงานอะไรก็ได้
ให้คุณลองตั้งกติกากับตัวเอง ว่า คุณจะเป็นคนActive วันละครึ่งชั่วโมง ดูสิว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดคุณจะพบด้วยตัวของคุณเองว่า ทุก ๆ วันที่คุณฝึกทำงานอย่างว่องไวตื่นตัวอยู่เสมอ ความกระตือรือร้นของคุณมันจะค่อย ๆ ขยายตัวออกไป สู่กิจกรรมอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด มันก็จะกลายเป็นบุคลิกใหม่ของคุณอย่างถาวร คือเป็นคนทำงานอย่าง สนุกสนานมีชีวิตชีวาด้วยความกระตือรือร้นนั่นเอง
3.ฝึกสมาธิกับการงาน การงานบางอย่างมันก็ดูน่าเบื่อน่าเซ็ง จริงๆเสียด้วย มันจะไม่น่าเบื่อได้อย่างไร ก็ต้องทำซ้ำ ทำซาก หาความหมายอะไรไม่ได้เลย ทำไปเบื่อไปเมื่อใดจะเลิกงานเสียที
ถ้าใครคิดอย่างนี้นาน ๆ จะพาลเป็น โรคประสาท เพราะจิตใจไม่มีความสุขกับการทำงาน ต้องฝืนใจทำไปวัน ๆ ใครพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ให้ใช้วิธีที่ดี คือฉวยโอกาสฝึกสมาธิกับงานเสียเลย ซึ่งจะได้ทั้งความสงบใจ และได้ทั้งผลของงาน การทำสมาธิกับการทำงานอาจจะใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการกำหนดรู้อิริยาบถ คือแต่ละขั้นตอนของการเคลื่อนไหวร่างกาย ให้มีสติติดตามทันไปในทุกอิริยาบถ โดยก่อนที่เราจะเริ่มทำงาน ให้มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะไม่คิดอะไรนอกเรื่องนอกราวในขณะทำงาน แต่จะใช้ความคิดมากำหนดการเคลื่อนไหวทุกอริยาบถ
เพื่อให้จิตเกิดเป็นสมาธิ มันจะได้เกิดความปีติสุขในขณะทำงาน
ถ้าคุณรู้จักทำสมาธิในขณะทำงาน ก็เหมือนกับว่าคุณได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นในขณะทำงานเลยทีเดียว สนุกกับการทดลองปรับปรุงคุณภาพของงาน การงานทุกอย่างมีเรื่องท้าทายอยู่ในตัวของมันเองเสมอว่า คุณจะสามารถปรับปรุงให้มันมีคุณภาพดีขึ้นได้หรือไม่ ดังนั้นในแต่ละวันที่คุณมาทำงาน คุณอาจสนุกกับการเฟ้นหาปัญหาในที่ทำงานนำมาลองฝึกคิดแก้ไขดู คิดเสียว่าเป็นการท้าทายสติปัญญาของคุณว่า คุณสามารถจะทำได้หรือไม่ อาทิเช่น ทำอย่างไรถึงจะประหยัดทรัพยากร ประหยัดเวลา หรือ ทำอย่างไรผลผลิตจึงจะเพิ่มมากขึ้น หรือ ทำอย่างไรจึงจะวางแผนงานให้เป็นลำดับไม่ลัดขั้นตอน เราจะต้องมองหาปัญหาให้เจอแล้วคิดแก้ไขปรับปรุง ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกวัน การงานมันก็จะไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอนค่ะ แถมยังฉลาดขึ้นทุกวันอีกต่างหาก

ผลงาน”เป็นเครื่องมือในการวัดระดับ“คุณค่า”ของคน

เราทุกคนไม่ว่าจะทำงานอยู่ในแวดวงใด ตำแหน่งใดก็ตามย่อมหนีไม่พ้นคำว่า“ผลงาน”ที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการวัดระดับ“คุณค่า”ของคน คนนั้น
เราจะทำอย่างไรให้สามารถสร้างผลงานที่ดีขึ้นมาได้ คำตอบคือต้องมีความรู้ในงานที่ทำ แต่มีเพียงความรู้เท่านั้นคงไม่พอเพราะรู้แต่ทำไม่เป็นก็มี ผลงานที่ดีจึงต้องรู้แบบมีความชำนาญด้วยการฝึกฝนเหมือนมีดาบแล้วลับให้คมเสมอ แต่ความรู้และความชำนาญ ก็ไม่อาจสร้างผลงานที่ดีถ้าขาด “ใจ” เพราะมันเป็นตัวขับเคลื่อน คนทั้งรู้ทั้งเก่งและชำนาญ แต่ทำไมทำไม่ดีหรือไม่ทำ นั่นก็เพราะ “ไม่มีใจที่จะทำ” มันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) เราจับต้อง “ความรู้ความชำนาญ” หรือความเก่งในตัวใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ แต่เราเห็น เราได้ยินได้ฟัง เราอ่านแล้วทดลองทำฝึกฝนลองผิดลองถูก จนเกิดเป็นความรู้และเป็นความชำนาญขึ้นโดยมีใจเป็นตัวชี้นำ จนให้เกิดเป็น “ผลงาน” ที่มีคุณค่า แต่ในโลกของความเป็นจริงมีหลายสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ “ผลงาน” ของคนแต่ละคนมีความแตกต่างกันค่ะ

วันนี้ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสามารถของตน อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่น อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่น อย่างเต็มที่

ผู้นำ คือ ผู้ที่สามารถพูดให้ผู้อื่นเข้าใจในความคิดและเห็นดีเห็นงามกับความคิดของตนได้

ผู้นำ คือ ผู้ที่สามารถพูดให้ผู้อื่นเข้าใจในความคิดและเห็นดีเห็นงามกับความคิดของคนได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานให้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วก็คือ “การพูด” ผู้ที่มีความสามารถในการพูด จึงได้ชื่อว่า มีโอกาสในการสร้างความสำเร็จให้ก้าวหน้ารวดเร็วกว่าผู้อื่น ในสังคมปัจจุบันนี้ มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร หรือสร้างภาพลักษณ์ให้องค์กรในหลายรูปแบบ ซึ่งมีทั้งผ่านทางสื่อสารมวลชน สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อกิจกรรม รวมถึงสื่อบุคคล โดยเฉพาะสื่อบุคคลถือว่ามีบทบาทมากในการทำประชาสัมพันธ์ เพราะเป็นหน้าตา ภาพลักษณ์ขององค์กร และมีผู้บริหารหลายคนที่มีโอกาส หรือได้รับเกียรติให้ขึ้นพูดบนเวทีในงานต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องมีทักษะในการพูดในที่สาธารณะอย่างถูกต้อง และมีหลักการ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี การพูดนั้นถ้าพูดคุยระหว่างบุคคลถือว่าทำได้ และไม่ยาก แต่การพูดบนเวที และพูดต่อหน้าคนเป็นจำนวนมาก เป็นการพูดต่อหน้าสาธารณะนั้น เป็นเรื่องยาก และยากมากสำหรับหลาย ๆ คน
ประโยชน์ของการสื่อสารด้วยการพูด
การสื่อสารด้วยการพูดนับว่ามีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนเราเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะสังคมปัจจุบันยังต้องอาศัยการพูดเป็นหลักหรือเป็นหัวใจสำคัญในการติดต่อสื่อสาร ทั้งต่อบุคคลหรือต่อกลุ่มคน ดังนั้นจึงอาจจะแยกประโยชน์ของการสื่อสารด้วยการพูดออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ประโยชน์ต่อตนเอง เพราะเป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกของผู้พูดไปยังผู้ฟัง การพูดจะช่วยให้เราทำกิจการงานต่าง ๆ ได้สำเร็จ และช่วยให้เกิดมิตรภาพ ตลอดจนความเข้าใจซึ่งกันและกันได้
2. ประโยชน์ต่อสังคม เพราะเป็นการแลกเปลี่ยน ความรู้ ความคิด และความรู้สึกซึ่งกันและกัน การพูดที่มีเจตนาดีและสร้างสรรค์จะช่วยพัฒนาสังคมได้มาก ในบางครั้งการพูดอาจทำให้เกิดความสุข ความบันเทิงแก่ผู้อื่นได้อีกด้วยค่ะ
ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
จงระมัดระวัง และวางแผนให้รอบคอบ ก่อนที่จะลงมือ
เพราะคุณไม่อาจย้อนกลับสู่อดีตเพื่อแก้ไขได้

นิทาน ราชสีห์อยากเป็นผู้นำ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่ง ออกจากถ้ำทอง ไปหาอาหาร ได้กระบือใหญ่ ตัวหนึ่ง กินเนื้อแล้ว ไปดื่มน้ำที่สระแห่งหนึ่ง ในขณะที่เดินกลับถ้ำ ได้พบสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งในระหว่างทาง สุนัขจิ้งจอกจึงขออาสาเป็นผู้รับใช้ราชสีห์ด้วยความกลัวตาย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสุนัขจิ้งจอกก็ได้กินเนื้อเดนราชสีห์อย่างอิ่มหนำสำราญ มันมีหน้าที่ขึ้นยอดเขาไปดูสัตว์ที่จะเป็นอาหาร แล้วกลับลงมาบอกพระยาราชสีห์ว่า ” ข้าพเจ้า อยากกินเนื้ออย่างโน้น นายท่าน จงแผดเสียงเถิด ” พระยาราชสีห์ก็จะไปจับสัตว์ตัวนั้นมาเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อนานาชนิดหรือแม้กระทั่งช้าง ครั้นเวลาผ่านไปหลายปี สุนัขจิ้งจอก ชักกำเริบเกิดความคิดว่า ” แม้ตัวเรา ก็เป็นสัตว์ มี ๔ เท้าเหมือนกัน เหตุใด จะให้ผู้อื่นเลี้ยงอยู่ทุกวันเล่า นับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะฆ่าช้างเป็นอาหารกินเนื้อเอง แม้แต่ ราชสีห์ก็เพราะอาศัยเราบอกว่านายขอรับ เชิญท่านแผดเสียงเถิด เท่านั้น ก็จึงฆ่าสัตว์ต่างๆได้ ต่อแต่นี้ เราจะให้ราชสีห์พูดกับเราบ้าง ” ได้เข้าไปหาราชสีห์แล้วบอกเรื่องนั้น แม้ถูกพระยาราชสีห์พูดเยาะเย้ยว่า ” เป็นไปไม่ได้ ” ก็ตามคงเซ้าซี้อยู่นั่นเอง พระราชสีห์เมื่อไม่อาจห้ามมันได้ ก็รับคำให้สุนัขจิ้งจอกนอนในที่นอนของตน แล้วไปคอยดูช้างตกมันที่เชิงเขาพบแล้ว ก็กลับเข้ามาบอกสุนัขจิ้งจอกว่า ” จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด ”สุนัขจิ้งจอก ออกจากถ้ำทอง สลัดกาย มองทิศทั้ง ๔ หอนขึ้นสามคาบ วิ่งกระโดดเข้างับช้างหวังที่ก้านคอช้าง กลับพลาดไปตกที่ใกล้เท้าช้าง ช้างจึงยกเท้าขวาขึ้นไปเหยียบหัวจิ้งจอก จนหัวกะโหลกแตกเป็นจุน แล้วเอาเท้าคลึงร่างของมันทำเป็นกองไว้แล้วเยี่ยวรดข้างบน ร้องกัมปนาทเข้าป่าไป พญาราชสีห์เห็นเช่นนั้นแล้วจึงกล่าวคาถานี้ว่า ” มันสมองของเจ้าทะลักออกมา กระหม่อมของเจ้าก็ถูกทำลายซี่โครงของเจ้า ก็หักหมดแล้ว วันนี้ เจ้าช่างรุ่งโรจน์เหลือเกิน”นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าคิดทำอะไร เกินกำลังความสามารถของตัวเอง

การทำงานควรมีความซื่อสัตย์สุจริต

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในรัชกาลปัจจุบันได้ทรงตรัสไว้ว่าในการทำงานควรมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีอคติ ทำงานด้วยความตั้งใจที่ดี ใช้หลักวิชาการที่ถูกต้อง ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วก็สามารถใช้เป็นคุณธรรมของผู้ประกอบอาชีพได้คือ ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ให้มีความยุติธรรม ให้ทำงานด้วยความตั้งใจที่ดีและใช้หลักวิชาการให้ถูกต้อง
มนุษยสัมพันธ์เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วย พฤติกรรมของบุคคลที่มาเกี่ยวข้องกันในการทำงานในองค์กรหรือหน่วยงาน เพื่อให้การทำงานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ความสำคัญของมนุษยสัมพันธ์ในการทำงานก็คือ สร้างความราบรื่นในการทำงานร่วมกัน สร้างความเข้าใจอันดีและความสามัคคี ก่อให้เกิดความรักใคร่และความสำเร็จในการทำงานร่วมกัน เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มผลผลิต และเป็นเครื่องมือช่วยในการแก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้ง
หลักของมนุษยสัมพันธ์คือ การตอบสนองความต้องการของมนุษย์ โดยใช้หลักปฏิบัติที่ว่าเมื่อเราต้องการสิ่งใด ผู้อื่นก็มีความต้องการสิ่งนั้นเช่นกัน ส่วนในด้านจิตใจก็ให้ยึดหลักที่ว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดยมนุษยสัมพันธ์นั้นเกี่ยวข้องศาสตร์สาขาต่างๆเช่น วิทยาศาสตร์การแพทย์ จิตวิทยา จิตวิเคราะห์ และความแตกต่างระหว่างบุคคล การปฏิบัติงานในองค์กร ร่วมกันของบุคลากรจำนวนมาก ย่อมจะมีทั้ง ความคิดเห็นในการปฏิบัติงานที่เหมือนกันและต่างกัน ความคิดเห็นที่ต่างกันนั้นสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งในการทำงานได้ ซึ่งถ้าปล่อยให้ดำเนินต่อไปจะเป็นผลเสียตต่อการดำเนินการขององค์กรในภาพรวม ดังนั้นจึงควรป้องกันและขจัดความแย้งออกไปเพื่อประสิทธิภาพขององค์กร
ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

นิทาน ยักษ์กับชายตัดฟืน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตัดฟืนอาศัยอยู่ในป่า ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนกระทั่งวันหนึ่ง ปรากฏร่างเทวดตรงหน้าชายตัดฟืนคนนั้น "เราจะมอบของล้ำค่า เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนที่เจ้าเป็นคนดี มันคือยักษ์วิเศษ "เทวดากล่าวและบรรยายสรรพคุณต่อ "เจ้ายักษ์ตนนี้มีความสามารถสูง มันเกิดมาเพื่อทำงาน มันสามารถทำงานให้เจ้าได้ทุกอย่าง และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญมันทำงานได้เร็วมากเลย" "แต่.." เทวดาเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ "เจ้าต้องระวังหากไม่สามารถหางานให้มันทำได้ละก็…มันจะกลับมาเล่นงานเจ้าเอง มันจะเล่นงานเจ้าถึงตายเชียวนะ" ชายตัดฟืนตัดสินใจรับยักษ์วิเศษไว้ แล้วเขาก็พามันกลับบ้าน ทันทีที่เข้าบ้าน ยักษ์ตนนั้นก็เริ่มกล่าวว่า"นายๆมีอะไรให้ข้าฯทำบ้าง" ชายตัดฟืนได้มอบหมายงานให้ยักษ์ไปทำความสะอาดบ้านที่รกรุงรัง ตัวเองก็กระหยิ่มใจที่ได้พัก ขณะที่เขากำลังจะเอนตัวลงงีบ ก็ได้ยินเสียงชัดเจนดังข้างหูว่า "นาย ๆ ข้าฯ ทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้ว มีอะไรให้ข้าฯ ทำอีก"
ชายตัดฟืนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง บ้านสะอาดหมดจดอย่างไม่มีที่ติ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มจากนั้นชายตัดฟืน ได้ไปปรึกษาท่านผู้รู้ประจำหมู่บ้าน หลังจากฟังคำแนะนำชายตัดฟืนได้กลับถึงบ้าน เจ้ายักษ์เสร็จงานผ่าฟืนพอดี "นาย ๆ ผมผ่าฟืนเสร็จแล้วมีอะไรให้ผมทำอีก" น้ำเสียงของเจ้ายักษ์ส่อเลศนัยว่า มันจะได้กินชายตัดฟืนเป็นอาหารแน่ๆ ชายตัดฟืนเริ่มทำตามแผนทันที เขาสั่งให้ยักษ์พาตนไปยังต้นไม้สูงกลางป่า ณ ต้นไม้นั้นเขาสั่งให้เจ้ายักษ์ให้ลิดกิ่ง ลิดใบออกจนหมด ต้นไม้สูงต้นนี้จึงดูเหมือนเสาโล้น ๆ ต้นหนึ่ง หน้าผาก เขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสั่งให้ยักษ์ไปตัดฟืนที่เขาทำค้างไว้เป็นงานชิ้นใหญ่ที่ทำให้เขาพอมีเวลา "นับจากนี้ไป" ชายตัดฟืนกล่าว "เมื่อใดที่เจ้ายืนอยู่ที่โคนต้นงานของเจ้าคือให้ปีนขึ้นไปจนสุดปลายยอดไม้" เขาเว้นเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ "และเมื่อใดที่เจ้าอยู่ปลายยอดไม้ งานของเจ้าคือให้ปีนลงมายังโคนต้นไม้" คำสั่งสองคำนี้ทำให้เจ้ายักษ์ทำงานเป็นวงจรอันไม่รู้จบ ผลก็คือเมื่อใดที่ชายตัดฟืนมีงานให้ทำ เขาก็เรียกเจ้ายักษ์มาใช้ ครั้นเมื่องานเสร็จสิ้นลงเขาก็ใช้ให้เจ้ายักษ์ไปปีนต้นไม้…..
ยักษ์วิเศษตนนี้ก็คือความคิดของมนุษย์นั่นเอง ใช่หรือไม่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีความสามารถสูง เป็นสิ่งที่เร็วยิ่ง มนุษย์มีเทคโนโลยีอันทันสมัย เดินทางไปถึงดวงจันทร์ได้ ก็เพราะความคิดนี่เอง แต่..บ่อยครั้งที่เราพบว่าเพราะความคิดนี่แหละ กลับมาเล่นงานมนุษย์เสียเอง บางคนคิดมากจนบั่นทอนสุขภาพ บ้างถึงกับจบชีวิตตนเองลงด้วยซ้ำ ก็เพราะเจ้าความคิดนี่เอง ท่านผู้ฟังค่ะ ต้นไม้ในนิทานก็คือลมหายใจในตัวเรานั่นเอง ซึ่งจะเดินทางขึ้นลง จากปอดขึ้นสู่จมูกจากจมูกลงสู่ปอดเท่านั้น นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักที่จะใช้ความคิดของตนเองให้เกิดประโยชน์ ครั้นเมื่อว่างจากการคิด ก็ควรหมั่นฝึกนำจิตของตนมารู้อยู่กับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ ก็จะยังชีวิตที่เป็นประโยชน์และเป็นสุข.

ทีมที่ดี จะช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรได้

ทีมที่ดี จะช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรได้มากกว่า ต่อไปนี้คือสิ่งที่หัวหน้าต้องการ และมีความสำคัญมากในการที่จะสร้างทีมให้ประสบความสำเร็จ
1. ทีมที่มีขนาดพอดี
ขนาดของทีมนั้น ต้องไม่ใหญ่เกินความจำเป็น เพราะการมีพนักงานมากเกินไป จะส่งผลให้เกิดปัญหา ในการเรียนรู้ ตลอดจนการเชื่อมต่อในการทำงานร่วมกัน อีกทั้งการสื่อสารกันภายในกลุ่มก็จะมีความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นด้วย
2. ทักษะการทำงานที่หลากหลาย
พนักงานมีการแลกเปลี่ยน และเติมเต็มความรู้ความสามารถระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดมุมมองในการทำงานที่หลากหลาย สิ่งนี้ นอกจากจะช่วยให้งานมีความสมดุล ยังช่วยให้งานดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นตัวประสานให้พนักงานทำงานเป็นกลุ่ม จนกลายเป็นทีมที่ดี
3. เป้าหมายในการทำงาน
หมายถึง การทำงาน โดยที่พนักงานทุกคนในทีมมีวิสัยทัศน์ และมองไปที่เป้าหมายร่วมกัน การเขียนถึงเป้าหมายของภารกิจออกมาเป็นข้อๆ จะมีส่วนช่วยให้งานประสบความสำเร็จ สิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จำเป็นจะต้องนำมาใช้
4. การยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน
ถึงแม้พนักงานทุกคน จะมาจากภูมิหลังที่หลากหลาย แต่ในการทำงานเป็นทีมนั้น จะต้องมีความเป็นหนึ่งเดียว เพราะการทำงานคือความเป็นมืออาชีพ ต้องมีการยอมรับความคิดของผู้อื่น และต้องมีการเสนอความคิดไปยังผู้อื่นด้วย
นอกเหนือจากนั้น คือการให้ความช่วยเหลือ และเคารพในสิทธิและหน้าที่ซึ่งกันและกัน
5. การเป็นผู้นำ ที่แก้ปัญหาได้ดี
หัวหน้าต้องชี้ถึงประเด็นในการทำงานให้พนักงานได้รู้ แบบชัดๆ ทำตัวเสมือนเป็นเข็มทิศให้พวกเขาทำงานได้อย่างถูกต้อง เวลาเกิดปัญหา ก็เป็นผู้นำทางให้พนักงานได้แก้ปัญหาอย่างถูกต้อง เมื่อพนักงานไม่หลงทางในการทำงาน ก็จะแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ลดความขัดแย้ง และสร้างข้อตกลงร่วมกันได้ และทีมก็จะแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นในที่สุด

ในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
เราเปลี่ยนเมื่อวานไม่ได้ แต่เราทำให้พรุ่งนี้ดีขึ้นได้

นิทาน คำถามของจักรพรรดิ์

มีจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ครุ่นคิดถึงปัญหา 3 ข้อมาเป็นเวลานาน พระองค์คิดว่าถ้าตอบคำถามนี้ได้จะทำให้พระองค์ ทรงทำอะไรไม่ผิดพลาดเลยคำถาม3ข้อนี้คือ
1.เวลาไหนที่สำคัญที่สุด
2.ใครคือคนที่สำคัญที่สุด
3.ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด
พระองค์รับสั่งให้ป่าวประกาศไปทั่วอาณาจักรของพระองค์ว่า ใครก็ตามที่สามารถตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้ จะได้รับรางวัลมหาศาล คนทั้งหลายเมื่อได้อ่านประกาศนั้นแล้ว ต่างก็พากันเดินทางมุ่งมายังวังของพระจักรพรรดิทันที แต่ละคนก็มีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป พระจักรพรรดิไม่พอพระทัยคำตอบไหนเลย เพราะว่ามันแตกต่างกันไปหมด และก็เลยไม่มีใครได้รับรางวัล
หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายคืน พระจักรพรรดิก็ตัดสินพระทัยที่จะไปหาฤาษีตนหนึ่งผู้อาศัยอยู่บนเขา และว่ากันว่าเป็นผู้รอบรู้ในทุก ๆ ด้าน พระจักรพรรดิปรารถนาที่จะไปตรัสถามคำถามของตนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฤๅษีนั้นจะต้อนรับแต่เฉพาะคนยากจนเท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวยหรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ พระจักรพรรดิจึงต้องปลอมตัวเป็นชาวนาธรรมดา และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่พระจักรพรรดิทรงไต่เนินเขาขึ้นไปพบฤๅษีตามลำพัง พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น พระจักรพรรดิก็ทรงพบว่าฤๅษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อมเล็ก ๆ ของตน เมื่อฤๅษีแลเห็นคนแปลกหน้า ก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนัก เพราะฤๅษีนั้นชรามากแล้ว แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมา ท่านจะต้องหอบแรงๆทุกครั้งไป พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า "ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผมคือ
1.เวลาไหนที่สำคัญที่สุด
2.ใครคือคนที่สำคัญที่สุด
3.ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด
ฤๅษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่พระจักรพรรดิเบา ๆ และก็ขุดดินต่อไป พระจักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ" ฤๅษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้พระจักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น
หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง พระจักรพรรดิก็หยุดและหันมาถามปัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง ฤๅษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบและบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ ฉันทำต่อไปได้แล้ว" แต่พระจักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา พระจักรพรรดิทรงวางจอบลงและหันมาตรัสกับฤๅษีว่า "ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม หากท่านไม่สามารถตอบได้ โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า "เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" พระจักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร ทันใดนั้นทั้งสองก็แลเห็นชายมีเคราขาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าละเมาะ ชายคนนั้นวิ่งเตลิดมา มือทั้งสองกุมบาดแผลโชกเลือดที่ท้อง เขาวิ่งตรงมายังพระจักรพรรดิ ก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไปตรงพื้นดินนั้น พอเปิดเสื้อผ้าออก ทั้งจักรพรรดิและฤๅษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น พระจักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผลแล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียวเสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด พระจักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผลอีกเป็นครั้งที่สอง และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเลือดหยุดไหล เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ พระจักรพรรดิรีบวิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง ขณะนั้นดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว ฤๅษีช่วยพระจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อมและให้นอนบนเตียงของตน ชายคนนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป พระจักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีนเขาและการขุดดินทั้งวัน และมาตื่นบรรทมขึ้น เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว พระจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่า พระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหนและมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมองมายังตนอย่างฉงนฉงาย พอเห็นพระจักรพรรดิ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า "ได้โปรดประทานอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ด้วย" "แต่เธอทำอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ "ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าตายเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้ และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่า ท่านคือศัตรูคู่อาฆาตและได้ปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้ เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤๅษีตามลำพัง ข้าพระองค์จึงตั้งใจจะดักฆ่าท่านเสียตอนท่านเสด็จกลับ แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา แต่แทนที่จะพบท่าน ข้าพระองค์กลับไปเจอเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้ และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บนี่แหละ แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่ ถ้าไม่ได้พบท่าน ป่านนี้ ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว ข้าพระองค์ตั้งใจจะฆ่าท่าน แต่ท่านกลับช่วยชีวิตข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์รู้สึกละอายใจ และสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไป ขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด "พระจักรพรรดิ ดีพระทัยยิ่งนัก ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย นอกจากจะประทานอภัยแล้ว ยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว พระจักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤๅษีอีกครั้ง เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้าย และพบว่าฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงในแปลงดินที่ขุดไว้เมื่อวาน
ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางพระจักรพรรดิ "คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่" "อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง "เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉัน และลงมือช่วยฉันขุดดิน ท่านก็คงถูกทำร้ายโดยชายผู้นั้นตอนขากลับ และคงต้องโทมนัสใจอย่างมาก ที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน ดังนั้นเวลาที่สำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการช่วยฉันขุดดิน จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา และเช่นเดียวกัน บุคคลสำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น และภารกิจสำคัญที่สุดก็คือการรักษาพยาบาลเขา"
"จงจำไว้ว่า มีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คือคนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้น ๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"

นายคุณเป็นคนธรรมดา จึงไม่ได้ทำถูก หรือคิดถูกทุกเวลา และเป็นหน้าที่ของคุณด้วยที่จะพยายามยอมรับ

ตราบใดที่คุณยังเสนอขึ้นเงินเดือนตัวเองไม่ได้ คุณก็คงต้องทำงานให้เข้าตา และถูกใจนายไม่ใช่หรือ อย่าลืมเสียล่ะ ว่านายจ้างเรามา “ ช่วยทำงานของเขา” นะ นับว่าเป็นโชคของคุณที่นายทำงานที่คุณทำไม่ไหว ถึงขั้นต้องมีคุณ ไม่งั้นคุณคงอดได้งานแล้วล่ะ
ก่อนอื่น คุณต้องทำใจก่อนนะคะ ว่านายคุณเป็นคนธรรมดา จึงไม่ได้ทำถูก หรือคิดถูกทุกเวลา และเป็นหน้าที่ของคุณด้วยที่จะพยายามยอมรับ หรือแก้ไขข้อผิดพลาดนั้น เช่น นายอาจสั่งงานไม่ครบ คุณก็มีหน้าที่ถาม นายเขียนผิด คุณก็มีหน้าที่เขียนให้ถูก เพราะนายอยากคุณเป็น “ ผู้ช่วย” ดังนั้นคุณควรเป็นเสมือน “ สมองส่วนเพิ่ม” หรือ “ มือข้างที่สาม” ของเขา ซึ่งจะต้องทำงานให้สัมพันธ์กับร่างกาย คือนายให้จงได้ค่ะ
เพื่อความสำเร็จในการทำงานกับนาย ซึ่งหมายถึง ความสบายใจในการทำงาน และความก้าวหน้าของตัวคุณเอง คุณอาจเริ่มจากสิ่งเหล่านี้ค่ะ
• เรียนรู้นิสัยส่วนตัวของนายคุณ นายคุณเป็นอย่างไร ใจร้อน ใจเย็น ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เรื่องนี้ไม่ได้เรียนรู้เพื่อชเลียร์ แต่เรียนรู้เพื่อเราจะได้ไม่ทำอะไรให้ไม่ถูกใจบ่อย ๆ ต่างหาก คุณอาจต้องทิ้งความเป็นตัวของคุณเองเสียเล็กน้อย หรือปรับนิสัยบางอย่างบ้าง เช่น หากนายเป็นคนใจร้อน คุณอาจต้องปรับตัวให้พูดเร็วขึ้น หรือหากนายเป็นคนใจเย็น คุณอาจต้องค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ แสดงความเห็น เป็นต้น
• เรียนรู้นิสัยการทำงานของนายคุณ ว่าเป็นคนทำงานเร็ว ทำงานช้า ทำงานวินาทีสุดท้าย หรือทำงานเสร็จก่อนกำหนด ชอบให้แสดงความคิดเห็น หรือชอบให้ทำตามสั่ง ชอบแก้ไขงาน หรือเชื่อมือลูกน้อง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ คุณมีหน้าที่ศึกษา ศึกษา และศึกษา รวมถึงปรับวิธีการทำงานให้เข้ากับสไตล์ของนายคุณ เช่น หากนายคุณเป็นคนชอบทำงานวินาทีสุดท้าย และชอบให้ทำตามสั่ง คุณก็ต้องปรับตัวให้เป็นคนรับคำสั่งเร็ว ทำงานเร็ว และทวนคำสั่งทันทีที่ได้รับการสั่งงานเสร็จ เป็นต้น
• ศึกษาความต้องการของนายที่มีต่องานแต่ละชิ้นให้แน่ใจ เช่น งานชิ้นนี้ นายต้องการให้ติดต่อเพื่อสอบถามราคาเท่านั้น ก็ยังไม่ต้องไปต่อรองราคา หรืองานชิ้นนี้ นายต้องนำเข้าเสนอที่ประชุมพรุ่งนี้ ก็อย่าลืมเผื่อเวลาให้นายตรวจสอบ แก้ไข และซ้อมก่อนเข้าประชุมด้วย
• รายงานความก้าวหน้าของงานอยู่เสมอ โดยไม่ต้องรอให้ถาม นายอาจกำหนดเส้นตายของงานเอาไว้ แต่คุณก็ควรรายงานความก้าวหน้าของงานให้ทราบเสมอ ว่าตอนนี้ทำอะไรไปถึงไหนแล้ว และจะทำอะไรต่อไป สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณทำงานอย่างสบายใจ เพราะนายจะไม่มายุ่มย่ามตามถามงานคุณ ด้วยเกรงว่าจะเสร็จไม่ทันกำหนด และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ งานเสร็จแล้ว ก็รายงานเสียหน่อยว่าเสร็จแล้ว ผลเป็นอย่างไรบ้าง อย่าถือว่า เสร็จแล้วก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ อย่าลืมนะคะว่านายคุณไม่รู้ด้วยว่างานนั้นเสร็จแล้ว เขาจะยังถือว่างานนี้อยู่ในความรับผิดชอบอยู่ แล้ววันใดวันหนึ่งก็อาจมาถามคุณก็ได้ว่าเสร็จหรือยัง ดังนั้น ทำงานเชิงรุกไว้ก่อนดีกว่าค่ะ บอกก่อน โดยไม่ต้องรอถามจะดีกว่าค่ะ
• ตรวจสอบงานให้ดีก่อนส่ง คุณจะทำให้นายคุณไว้วางใจได้มากขึ้นทุกวัน หากงานที่คุณส่งไปไม่มีจุดบกพร่องที่เกิดจากความผิดพลาดของคนทำงาน เช่น พิมพ์ผิด เอกสารไม่ครบ เป็นต้น คุณลองคิดดูนะคะว่า หากในทางกลับกัน งานที่คุณส่งเข้าไปทุกครั้งมีพิมพ์ผิดหลายแห่ง รายละเอียดที่แนบก็ไม่ครบ นายคุณจะรู้สึกอย่างไร และจะทำอย่างไรกับคุณ
• จดและทวนคำสั่งทุกครั้งที่เข้าไปรับงาน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการสื่อสาร ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารนั้น ยากนักที่นายคุณจะยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของเขา ดังนั้น คุณต้องพยายามป้องกันความผิดพลาดนี้เสียก่อน ด้วยการจด และทวน อีกทั้งถามเมื่อไม่แน่ใจว่าทำถูกต้องหรือเปล่า อย่าด้นดั้นทำไปทั้งที่ไม่แน่ใจนะคะ งานมีโอกาสเสียมากกว่าได้ค่ะ
• ยึดคำสั่งแน่น อย่าพยายามทำนอกเหนือจากคำสั่งนาย เช่น นายขอให้พิมพ์จดหมายนี้ด้วย word ก็ได้โปรดอย่าพิมพ์ใน excel แม้ว่าเอกสารนั้นจะเป็นตารางก็ตาม ใครจะรู้ล่ะ ว่านายอาจต้องการแก้ไขเองภายหลัง และนายใช้ excel ไม่เป็น เรื่องแบบนี้ก็เป็นไปได้ใช่ไหมคะ หากคุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำน่าจะดีกว่า ก่อนจะลงมือทำ ก็เอ่ยปากถามนายเสียนิดหนึ่งก่อนทำนะคะ ว่าทำอย่างนี้จะดีไหม วิธีนี้จะช่วยให้คุณทำงานได้ง่าย และไม่ต้องทำซ้ำซ้อนกับคนอื่นด้วยค่ะ เห็นไหมคะ ว่าการทำงานกับนายไม่ยากค่ะ คิดง่าย ๆ เสียว่า “ เรามาทำงานของเขา” ก็ต้องทำให้ได้อย่างที่เขาทำเอง (หรือหากจะทำได้ดีกว่า ก็ยิ่งแจ๋ว) เพียงแค่นี้คุณก็จะทำงานกับนายคุณได้ง่ายขึ้น ลองนำเทคนิคนี้ไปใช้ดูสิ
ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น
จะได้ไม่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง