Monthly Archives: July 2010

นิทานเรื่อง คมในฝัก

          ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง   มีนายพรานสองพ่อลูกปลูกกระท่อมพักอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้น           อาชีพของนายพรานก็คือ  การหาของป่าไปแลกเปลี่ยนกับข้าวปลาอาหารและสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ จากในเมือง  ทุกเช้านายพรานผู้พ่อจะเข้าป่า  ส่วนลูกชายจะอยู่ที่กระท่อม  คอยหุงหาอาหารไว้คอยท่าพ่อ  เมื่อพ่อกลับมาในตอนเย็น          วันหนึ่งนายพรานออกจากบ้านแต่เช้า  เพื่อนเข้าไปหาของป่าอย่างเคย  บังเอิญเขาถูกงูเห่ากัด  อาการสาหัสมาก  แต่ถึงกระนั้น นายพรานก็พยายามแข็งใจเดินกลับมายังกระท่อมของเขาจนได้  แล้วนายพรานก็เรียกลูกชายมาบอกว่า          "ลูกรัก  พ่อถูกงูเห่ากัดเสียแล้ว  คราวนี้เห็นทีจะไม่รอด  คงไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูเจ้าอีกต่อไปแล้ว"       "ต่อไปนี้เจ้าต้องช่วยตัวเองนะลูก  เข้ามาใกล้ ๆ พ่อซิ  แล้วเจ้าจงจำคำพ่อไว้  พ่อมีของดีอยู่อย่างหนึ่งนั้นคือ นอแรด  เมื่อพ่อสิ้นใจไปแล้ว  เจ้าจงเอานอแรดในย่ามนี้ไปถวายพระราชา  อย่าลืมทำตามที่พ่อสั่งนะลูกนะ"  นายพรานพูดจบก็ยื่นย่ามใส่นอแรดให้แก่ลูกชาย  แล้วเขาก็ขาดใจตาย

          ฝ่ายลูกชายนายพราน  เมื่อพ่อตายก็มีความเศร้าโศกเสียใจ  แต่ก็พยายามสะกดใจไว้รีบนำศพพ่อไปฝัง  แล้วกราบลาศพพ่อมายังกระท่อมที่พัก  ตรงไปหยิบย่ามที่ใส่นอแรดสะพายบ่าเดินทางเข้าเมืองหลวง  เพื่อถวายนอแรดแด่พระราชาตามที่พ่อสั่งไว้  เขาเดินทางไม่กี่วันก็ถึงเมืองหลวง  จึงตรงไปยังประตูชั้นนอก  แล้วพูดกับนายประตูชั้นนอกว่า          "ท่านนายประตู  ผมต้องการจะเข้าเฝ้าพระราชา  ท่านจะกรุณาผมหน่อยจะได้ไหม"         "เอ็งต้องการจะเข้าเฝ้าพระองค์ท่านด้วยธุระอันใดหรือ"  นายประตูถามด้วยความสงสัย          "ผมมีของดีอย่างหนึ่ง  ที่จะนำมาถวายท่าน"          "ของดีอะไรของเอ็งหรือ  ไหนข้าขอดูหน่อย"  "นอแรดนี้ไงของดีที่ว่านั้น"  ลูกชายนายพรานพูดพร้อมควักนอแรดออกมาจากย่ามให้นายประตูดู

          นายประตูเมื่อเห็นลูกชายนายพรานมีนอแรดที่สวยงามจริง ๆ ก็คิดในใจว่า       "ถ้าลูกชายนายพรานนำไปถวายพระราชาแล้ว  พระองค์คงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง และอาจพระราชทานรางวัลให้แก่ลูกชายนายพรานเป็นจำนวนมาก"        เมื่อคิดดังนั้นแล้ว  นายประตูชั้นนอกก็เกิดความโลภขึ้นมาทันที  อย่ากระนั้นเลยเราจะต้องขู่เข็ญให้เด็กคนนี้แบ่งรางวัลที่ได้รับแก่เราส่วนหนึ่ง  จึงพูดกับลูกชายนายพรานว่า         "นี่เจ้าเด็กน้อย  ถ้าข้านำเจ้าเข้าไปถวายนอแรดแด่พระราชา  แล้วพระองค์พระราชทานรางวัลให้แก่เจ้า  เจ้าจะต้องแบ่งรางวัลนั้นให้แก่ข้าครึ่งหนึ่งนะ  ถ้าไม่ตกลงข้าก็คงจะพาเจ้าเข้าเฝ้าไม่ได้หรอก"          ลูกชายนายพรานได้ยินดังนั้นก็เกิดความไม่พอใจนายประตู  ที่เป็นคนเห็นแก่ได้ ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ จึงคิดว่าถ้ามีโอกาสจะหาทางสั่งสอนนายประตูผู้นี้ให้รู้สำนึก  แล้วพูดกับนายประตูว่า          "ตกลง  ผมจะแบ่งรางวัลที่ได้รับให้แก่ท่านครึ่งหนึ่งแน่นอน"         ว่าแล้วนายประตูชั้นนอกก็พาลูกชายนายพรานเข้าไปยังประตูชั้นใน  พบนายประตูชั้นใน  ก็เล่าเรื่องที่ลูกชายนายพรานจะขอเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อถวายนอแรด  และมอบรางวัลครึ่งหนึ่งให้แก่ตน  ให้นายประตูชั้นในฟัง           นายประตูชั้นในได้ฟังเรื่องทั้งหมด  ก็เกิดความโลภอยากได้ในส่วนแบ่งจากรางวัลบ้างเหมือนกัน  จึงพูดกับลูกชายนายพรานว่า          "แล้วข้าละ  เจ้าจะให้อะไรบ้าง  ถ้าข้าจะพาเจ้าเข้าไปเฝ้าพระราชา"      "เอาเถอะผมจะไม่เอาอะไรเลย  แต่ผมจะแบ่งรางวัลที่ได้รับทั้งหมดให้แก่ท่านทั้งสองคนละครึ่ง"  ลูกชายนายพรานพูดยืนยัน  ส่วนในใจนั้นก็คิดว่าจะหาโอกาสสั่งสอนคนทุจริตเห็นแก่ได้นี้ให้รู้สำนึกบ้าง      นายประตูชั้นในได้ฟังดังนั้นก็ดีใจมาก  จึงรีบพาลูกชายนายพรานเข้าเฝ้าพระราชาทันที  เมื่อหมอบถวายบังคมแล้ว  ลูกชายนายพรานก็หยิบนอแรดจากถุงย่ามถวายแด่พระราชา  พระราชาทอดพระเนตรนอแรด  ทรงพอพระทัยมาก  จึงตรัสขึ้น  "แล้วทำไมเจ้าถึงต้องนำนอแรดนี้มาถวายข้าด้วยล่ะ"  พระราชาตรัสถามต่อ

          "พ่อของข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งไว้ก่อนตายว่า  ขอให้นำนอแรดนี้มาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระองค์  พระพุทธเจ้าข้า"          "และเจ้าต้องการสิ่งใดตอบแทน  เจ้าบอกข้ามาได้เลย  ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง"          ลูกชายนายพรานสมหวังดังใจ  จึงคิดที่จะสั่งสอนนายประตูทั้งสองคน  ให้เห็นโทษของความไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่  จึงกราบทูลไปว่า          "ข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการทรัพย์สินเงินทองสิ่งของใด ๆ ทั้งสิ้น  แต่จะทูลขอพระองค์สองอย่าง  พระพุทธเจ้าข้า"    "อย่างแรก  ข้าพระพุทธเจ้า  ขอให้พระองค์รับข้าพระพุทธเจ้าไว้เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทตลอดไป  พระพุทธเจ้าข้า"  "อย่างที่สอง  ข้าพระพุทธเจ้า  ขอพระราชทานรางวัลการโบยหลังให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าสัก 100 ที  พระพุทธเจ้าข้า"        "เจ้าเป็นอะไรไปหรือ  โบยหลัง 100 ที  เจ้าจะเอาไปทำไม  เจ้านี่หาเรื่องเจ็บตัวเปล่า ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี"  พระราชาตรัสถามด้วยความแปลกพระทัย   "หามิได้  พระพุทธเจ้าข้า  ข้าพระพุทธเจ้าจะขอแบ่งรางวัลการโบย 100 ทีนี้ให้แก่นายประตูทั้งสองคน  คนละครึ่งตามที่ได้ให้สัญญาไว้แก่นายประตูทั้งสอง  ก่อนที่จะนำข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าพระองค์  พระพุทธเจ้าข้า"     "อย่างนั้นหรือ  เจ้าฉลาดมาก  ข้าจะชุบเลี้ยงเจ้าและแต่งตั้งให้เป็นมหาดเล็กหลวงต่อไป  และข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต  ส่วนนายประตูทั้งสองนั้น  ทหารนำตัวทั้งสองคนไปโบยหลังคนละ 50 ที  เดี๋ยวนี้"ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้ คือ       

   1. การเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่  จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญแก่ชีวิต

          2. คนที่คดโกง  ไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่การงาน  ในที่สุดก็จะถูกจับได้และถูกลงโทษ  ทำให้เสื่อมเสียทั้งชื่อเสียงและวงศ์ตระกูล

          3. ผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด  ย่อมสามารถเอาตัวรอดได้เสมอ

นิทาน หลวงตากับลูกศิษย์

       วันนี้ดิฉันมีดิฉันมีนิทานสอนใจ เรื่อง หลวงตากับลูกศิษย์ มา เล่าให้ฟัง ณ วัดแห่งหนึ่ง หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า "ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย " หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า "เจ้ารู้ไหมในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา "คนเราล้วนมีความฝัน ความทะเยอทะยานอยาก
ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน
ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ " "มาถึง***ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้ง***ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ " "อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต ้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร " คนที่ชอบนินทานั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ
มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล "
"แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ " ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา "เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้
เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม " "เข้าใจครับหลวงตา" เด็กน้อยยิ้มอย่างมี ความสุขอีกครั้ง......

นิทาน น๊อตตัวน้อยกับเรือลำใหญ่

วันนี้ นี้ดิฉันมีศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการ เรื่อง น๊อตตัวน้อยกับเรือลำใหญ่   มาเล่าให้ฟัง

บนเรือลำใหญ่มีนอตเล็กๆอยู่ตัวหนึ่ง เล็กมากจนมันคิดว่ามันไม่มีความหมาย มันและนอตตัวอื่นๆ ทำหน้าที่ยึดแผ่นเหล็ก 2 แผ่นเข้าด้วยกัน วันหนึ่ง ในระหว่างการเดินทางข้ามมหาสมุทรอินเดีย นอตตัวน้อยก็ตัดสินใจว่าพอกันทีสำหรับชีวิตที่มืดมนและไม่มีใครเห็นคุณค่า ไม่มีใครเคยขอบคุณในงานที่มันทำ
นอตตัวน้อยประกาศก้องว่า "ฉันจะไปล่ะ" ทันทีที่นอตตัวนี้เริ่มขยับตัวในรูของมัน นอตตัวอื่นก็เริ่มสั่นคลอนไปด้วยความสั่นสะเทือนแต่ละครั้งก็ยิ่งทำให้มันขยับตัวมากขึ้น พวกตะปูซึ่งทำหน้าที่ยึดกาบเรือไว้ต่างพากันคัดค้านว่า "ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหลุดไปจากตำแหน่งของเรา"
แผ่นเหล็กตะโกนบอกนอตตัวน้อยว่า  "หยุดเถอะ เพื่อเห็นแก่ความรักบนสวรรค์ ถ้าไม่มีใครยึดพวกเราให้ติดกันก็ถึงการอวสานนะ" การตัดสินใจของนอตตัวน้อยที่จะละทิ้งหน้าที่ของตน ก็มีผลกระทบไปทั่วเรือลำใหญ่นั้น โครงสร้างของเรือที่เคยท้าทายคลื่นด้วยความมั่นคงแข็งแรง ก็เริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดและสั่นคลอน แผ่นเหล็กทุกแผ่น ข้อต่อทุกข้อ นอตทุกตัว และแม้แต่ตะปูตัวเล็กๆ จึงตัดสินใจส่งสารไปยังนอตตัวน้อยให้ล้มเลิกความคิดเสีย "เรือจะหลุดออกจากกันและก็จะจมลง และจะไม่มีใครในพวกเราได้เห็นแผ่นดินอีก"    เพราะคำพูดนี้...นอตตัวน้อยรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญมันเข้าใจได้ทันทีว่า มันมีความสำคัญมากกว่าที่มันคิด และมันก็บอกให้ทุกคนรู้ว่า ...มันจะอยู่ในที่ที่ของมันต่อไป..... ท่านผู้อ่านค่ะ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำงานจะไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ต้องอาศัยทุกคนในองค์กร แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนอตตัวน้อย  ก็มีความสำคัญไม่ด้อยไปกว่านอตตัวใหญ่ ........เราจะนำเรือไปถึงฝั่งอย่างงดงาม... ร่วมกัน!!!

ปัญหา VS ปํญญา

"ปัญหา" เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ
      การมองว่า "ปัญหา" เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน" แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร" กลับมาด้วย
      ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน
    ปัญหาสามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบคิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้
      คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก

เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ใน การศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่        เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบ เพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คือ อเล็กซานเดอร์

เฟลมมิ่ง นั่นเองค่ะ
      ท่านผู้อ่านค่ะ  โลกก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา โดยมองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต  บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย  ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน  และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา      เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด        ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน"    ถ้ามองให้ดีในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่
      ท่านผู้อ่านค่ะ จะว่าไปแล้ว ปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ"
      ความ ทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง

ความทุกข์ มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเองค่ะ  คนฉลาดต้องสามารถเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา   เพราะ  
ปัญหาคือส่วนหนึ่งของชีวิต เตรียมใจพร้อมต้อนรับมันดีกว่า  

 

 

ในการดำรงชีวิตของมนุษย์เรานั้น แต่ละวันๆจะต้องได้พบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมาย ทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าจะเป็นไพร่ฟ้ายาจกวนิพกพเนจร คนธรรมดาสามัญที่หาเช้ากินค่ำ เป็นคหบดีผู้มั่งคั่งหรือเป็นเจ้าขุนมูลนายผู้มียศถา บรรดาศักดิ์และฐานะสูงก็ไม่มียกเว้นเลย ปัญหาและอุปสรรคต่างๆบางอย่างก็แก้ไขได้ง่าย แต่ว่าบางอย่างกว่าจะแก้ไขได้ ก็เลือดตาแทบกระเด็นเอาเหมือนกัน แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่หมู่มนุษย์ได้รับอาวุธอันสำคัญ ซึ่งมีมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ ที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆได้เป็นอย่างดี อาวุธนั้นก็คือปัญญานั่นเอง แต่เจ้า ตัวปัญญานี้ มนุษย์ก็สามารถนำเอาไปใช้ได้ ทั้งการสร้างสรรค์ความดีและประกอบกรรมทำความชั่วร้ายได้เหมือนกันทั้ง สองทาง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ผู้นั้นเอง ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า หากเดินตามรอยเท้าคนอื่น ก็ไม่มีวันมีรอยเท้าเป็นของตัวเอง

10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก

ครั้งนี้ฉันขอแนะนำหนังสือเล่ม ที่ชื่อว่า Ten Powerful Phrases for Positive People หรือชื่อในภาษาไทย “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก ผู้เขียนคือ ริช เดอโวส ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจ แอมเวย์ ที่ค่อยๆสร้างธุรกิจ จนเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกมุมโลก

ริช  เดอโวส เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ หลังตกผลึกว่า พลังของการคิดบวกนั้นเปี่ยมล้นด้วยอานุภาพเหลือคณานับ หากศึกษาประวัติของ ริช จะพบว่า เพราะการ คิดบวกทำให้ก้าวผ่านเหตุการณ์ต่างๆอย่างนึกไม่ถึง ทั้งช่วงเริ่มก่อตั้งธุรกิจ การทำให้ธุรกิจได้รับการยอมรับไปทั่วโลก รวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในวัย 71 ปี ซึ่งถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอย่างยิ่ง

 “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวกของ ริช  เดอโวส มีดังนี้ค่ะ

1.“ฉันผิดเอง” (I am wrong) ริช  เดอโวส ระบุว่า ฉันผิดเองเป็นคำพูดที่ช่วยเปลี่ยนทัศนคติตัวเราได้ดีที่สุด เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด โดยเฉพาะเมื่อต้องยอมรับผิดต่อหน้าคนอื่น เจ้าตัวแนะว่า เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าตัวเองผิด แค่เอ่ยคำว่า ฉันผิดเอง คุณทำถูกแล้วล่ะเพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้สัมพันธภาพดีขึ้น ช่วยให้การเจรจาต่างๆเดินไปข้างหน้า หรือยุติการโต้แย้งที่กำลังเกิดขึ้น

ฉันผิดเองยังเป็นคำพูดที่แปรเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร แม้การยอมรับว่า ฉันผิดเองจะลดความน่าเชื่อถือของคุณในบางสถานการณ์ลงก็ตาม

2. “ฉันขอโทษ” (I am sorry) หลายๆครั้งที่การกล่าวถ้อยคำสั้นๆนี้เป็นเรื่องยาก แต่การกล่าวคำนี้ให้เป็นนิสัยเป็นสิ่งคุ้มค่า เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์มักปกป้องตัวเอง มักคิดว่าตัวเองถูกเสมอ แต่พอเอ่ยคำนี้ออกมาจะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก การกล่าวคำว่า ขอโทษแสดงถึงว่าคุณปรารถนาจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กับบุคคลที่เป็นคู่กรณีกับคุณ

การกล่าว ขอโทษต้องออกจากส่วนลึกจริงๆ ความรู้สึกนี้ยังเกิดขึ้นพร้อมๆกับการแสดงออกทั้งสีหน้าและแววตา ไม่ใช่กล่าวแบบขอไปที เพื่อให้จบๆลงเท่านั้น

3.”คุณทำได้” (You can do it) ริช ระบุว่าผู้คนจำนวนมากไม่เคยลองทำอะไรเลยเพราะกลัวความล้มเหลว กลัวว่าตัวเองไม่มีชั่วโมงบินมากพอ กลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือหัวเราะเยาะ สำหรับคนเหล่านี้ ริช แนะนำว่า ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วก็ลงมือได้เลย คุณทำได้! แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า คุณทำได้จะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย

4. “ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” (I believe in you) เป็นคำพูดที่ต่อเนื่องจาก คุณทำได้” (คุณทำได้ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ) ต่างกันที่เป็นคำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกลึกๆ เป็นคำพูดสำหรับผู้นำที่ใช้พูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ พ่อแม่ที่ส่งต่อความรู้สึกนี้กับลูกๆ หรือเจ้านายที่มีต่อลูกน้องที่กำลังเจออุปสรรคและต้องการความช่วยเหลือ

เราสามารถแสดงให้เห็นถึงความ เชื่อมั่นได้ง่ายๆ อาทิ การเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมงานได้แสดงความสามารถ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เสนอมานั้นอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

5.“ฉันภูมิใจในตัวคุณ” (I am proud of you) เพียงเราเปล่งคำนี้ จะพบว่ามีอานุภาพสูงมากในการสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ฟัง คำพูดที่ว่า พ่อภูมิใจในตัวลูกหรือ “ดิฉันภูมิใจในตัวคุณ” “ผมภูมิใจในความสำเร็จของคุณเป็นการให้กำลังใจที่ดีมาก โดยปกติแล้วคนไทยเราไม่ค่อยชมเชยผู้อื่นด้วยคำพูดนี้เท่าไหร่นัก

6. คำว่า "ขอบคุณ" (Thank you) ริช ระบุว่า เป็นคำที่ทุกๆ คนอยากได้ยิน และทุกคนสามารถกล่าวได้อย่างไม่ตะขิดตะขวง เรากล่าวคำขอบคุณกับผู้ให้บริการ หรือผู้ที่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เรา กล่าวกับผู้ที่ชมเชยเรา ผู้ที่มีน้ำใจ หรือมีเมตตาต่อตัวเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  

ริช เดอโวส ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า บ่อยครั้งที่เราใช้เวลานานมากกว่าจะเปล่งคำคำนี้ออกมาสักครั้ง แต่ใช้เวลาเดี๋ยวเดียวในการต่อว่าผู้อื่น บางทีเรามัวแต่นึกถึงและยุ่งอยู่กับตัวเอง จนลืมขอบคุณผู้อื่น

7. "ฉันต้องการคุณ" (I need you) เป็นอีกคำที่มีอานุภาพยิ่งสำหรับคนคิดบวก เพราะบ่งบอกถึงการยอมรับในความสามารถผู้อื่น เป็นคำที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ จะเห็นว่าผู้นำหลายๆ คน เมื่อมีตำแหน่งสูงขึ้นเพียงใดยิ่งมองไม่เห็นความสำคัญของผู้มีตำแหน่งต่ำกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีทางที่เราจะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้โดยลำพัง เมื่อคุณกล่าวคำคำนี้ออกมา จะเป็นการสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือที่ทำงาน

8. "ฉันวางใจในตัวคุณ" (I trust you) ความสำเร็จที่ได้รับขึ้นอยู่กับเราได้มอบความไว้วางใจให้กับใครสักคน ว่า จะสามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมาย และไว้ใจได้ว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เราจำเป็นต้องไว้วางใจเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว รวมไปถึงชุมชน ในสังคมที่ไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ 

ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้นำเช่นกัน เมื่อมีคุณสมบัตินี้ ใครๆ ก็อยากเป็นเหมือนคุณ อยากเป็นเพื่อนคุณ อยากปฏิบัติตามคุณ อยากทำธุรกิจหรือร่วมลงทุนกับคุณริช ระบุไว้ในหนังสือว่า กฎทองของคำคำนี้ คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ 

9. "ฉันเคารพคุณ" (I respect you) คุณจะได้รับความเคารพกลับมาก็ต่อเมื่อให้ความเคารพผู้อื่น "ฉันเคารพคุณ" จึงเป็นคำพูดที่ทั้ง "ให้" และ "รับ" จากผู้อื่น การเคารพยังเป็นการแสดงออกที่ซ่อนเร้นได้ยาก และสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ

ซึ่ง ริช ได้กล่าวไว้ในหนังสือว่า ในช่วงที่เป็นผู้นำองค์กรเขาคิดว่าการเคารพผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจและวิธีการดำเนินองค์กรจะมีค่าน้อยทันที หากคุณไม่เคารพคนที่คุณทำงานด้วย ถ้าพวกเขาไม่เคารพคุณ เท่ากับคุณไม่ใช่คนที่เป็นผู้นำ "เราทุกคนล้วนต้องการเป็นที่เคารพ ถ้าคุณต้องการความเคารพ ผมแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการเคารพผู้อื่นก่อน"  ริช เดอโวส ระบุเอาไว้

10. "ฉันรักคุณ" (I love You) เป็นคำพูดทรงพลังที่โอบกอดทุกคนไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกต่อคนรัก ครอบครัว หรือหมู่เพื่อนสนิท เป็นคำพูดที่ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นมากกว่า "ฉันวางใจในตัวคุณ" หรือ "ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ" เป็นคำที่ใช้พูดกับคนที่คุณรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การพูดว่า "ฉันรักคุณ" เป็นย่างก้าวสำคัญสำหรับทุกๆ คน

ท่านผู้อ่านค่ะ วันนี้ท่านได้พูดวลีที่ดิฉันนำมายกตัวอย่างทั้ง 10 วลี กับใครบ้างหรือยังค่ะ ถ้ายังไม่ได้พูดลองหันไปส่งยิ้มและพูดสักข้อสิค่ะ

Power of Money(อำนาจเงิน)

(Singapore 's youngest millionaire at 26 yrs.)
( เศรษฐีเงินล้านชาวสิงคโปร์อายุน้อยที่สุดเมื่อตอนอายุ 26 ปี)

Some of you may already know that I travel around the region pretty frequently, having to visit and conduct seminars at my offices in Malaysia , Indonesia , Thailand and Suzhou ( China ). I am in the airport almost every other week so I get to bump into many people who have attended my seminars or have read my books.
 
พวกคุณก็รู้ว่าฉันเดินทางไปทั่วภูมิภาคนี้ค่อนข้างบ่อย ไปเยี่ยมและจัดสัมมนาที่ทำงานของฉันในมาเลเซีย ไทยและสูโจว(จีน ) ฉันอยู่ในสนามบิน เกือบทุกสัปดาห์ ได้เจอผู้คนมากมาย ผู้ที่เคยร่วมสัมมนาหรืออ่านหนังสือของฉัน  

Recently, someone came up to me on a plane to KL and looked rather shocked. He asked, 'How come a millionaire like you is travelling economy?'  My reply was, 'That's why I am a millionaire. ' He still looked pretty confused.
เมื่อไม่นานมานี้  คนคนหนึ่งค่อนข้างประหลาดใจเมื่อพบฉันบนเครื่องบินที่จะไปกัวลาลัมเปอร์   เขาถามว่า  “ เป็นไปได้อย่างไรที่ เศรษฐี
เงิน ล้านอย่างคุณเดินทางโดยชั้นผู้โดยสารราคาประหยัดฉันตอบเขาไปว่าก็เพราะอย่างนี้ฉันถึงเป็นเศรษฐีเงินล้านไงเขายังดูเหมือนงงๆ

This again confirms that greatest lie ever told about wealth (which I wrote about in my latest book 'Secrets of Self Made Millionaires'). Many people have been brainwashed to think that millionaires have to wear Gucci, Hugo Boss, Rolex, and sit on first class in air travel. This is why so  many people never become rich because the moment that earn more money, they think that it is only natural that they spend more, putting them back to square one.
นี้อีกครั้งที่ ฉันอยากจะย้ำ  มันเป็นเรื่องที่หลอกลวงที่สุดที่บอกเล่าถึงความร่ำรวย     ซึ่งฉันเขียนในหนังสือเล่มล้าสุดของฉัน ความลับของการทำให้ตนเป็นเศรษฐีเงินล้านคนส่วนใหญ่ถูกล้างสมองให้คิดไปว่า เศรษฐี จะต้องใส่ กุชี ฮูโกบอส โรแล็กซ์และโดยสารเครื่องบินชั้นผู้โดยสารชั้นหนึ่ง นี้แหละทำไมคนส่วนมากถึงไม่กลายเป็นคนรวยก็เพราะพวกเขาคิดอยู่ในกรอบว่า
หาได้มากก็ต้องใช้มาก

The truth is that most self made millionaires are frugal and only spend on what is necessary and of value. That is why they are able to accumulate and multiply their wealth so much faster.
  
ริงๆ แล้วก็คือว่า การที่จะเป็นเศรษฐีนั้นคือความตระหนี่และรู้จักใช้ในสิ่งที่จำเป็นและรู้จัก คุณค่าของมัน นั้นที่ทำให้พวกเขาสะสมและเพิ่มพูนความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว

  I refuse to buy a first class ticket or to buy a $300 shirt because I think that it is a complete waste of money. However, I happily pay $1,300 to send my 2 year old daughter to Julia Gabriel Speech and Drama without thinking twice.
ฉันปฏิเสธที่จะ ซื้อตั้วเครื่องบินชั้นผู้โดยสารชั้นหนึ่งหรือซื้อเสื้อตัวละ300เหรียญเพราะ ฉันว่ามันสูญเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์  อย่างไรก็ตามฉันยินดีที่จะจ่ายเงิน300เหรียญเพื่อลูกสาว2ขวบของฉันในการชม การพูดของจูเลีย กาเบลีล และละคร โดยปราศจากการคิดทบทวน

When I joined the YEO (Young Entrepreneur's Orgn)a few years back (YEO) is an exclusive club open to those who are under 40 and make over $1m a year in their own business) I discovered that those who were self made thought like me.  Many of them with net worth well over $5m,travelled economy class and some even drove Toyota 's and Nissans,not Audis, Mercs, BMWs
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉันได้มี โอกาสได้เข้าร่วมกับกลุ่มของผู้บริหารธุระกิจรุ่นเยาว์  (YEO) คือคลับที่เปิดให้สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40ปี และทำธุระกิจของตนเองที่ทำเงินได้มากกว่า หนึ่งล้านเหรียญต่อปี
หลายคนเดินโดยเครื่องบินชั้นผู้โดยสารชั้นประหยัด และบางคนก็ยังคงขับรถโตโยต้า นิสสัน ไม่ใช่ออดี้ เมอร์ซิเดสเบนซ์ I noticed that it was only those who never had to work hard to build their own wealth (there were also a few ministers' and tycoons' sons in the club) who spent like there was no tomorrow. Somehow, when you did not have to build everything from scratch, you do not really value money. This is precisely the reason why a family's wealth
(no matter how much) rarely lasts past the third generation.
 
ฉัน สังเกตได้ว่า มีเพียงคนที่ไม่เคยทำงานหนัก(รัฐมนตรีบางคนหรือลูกผู้มีอิทธิพล)เพื่อสร้าง ความมั่งคั่งเท่านั้นที่ใช้จ่ายแบบนั้นเหมือนกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้  อย่างไรก็ตามเมื่อคุณไม่เคยต้องตะเกียกตะกาย คุณก็ไม่รู้ถึงคุณค่าของเงิน  มันก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมครอบครัวที่ร่ำรวย(ไม่ว่าจะร่ำรวยมากแค่ไหน )น้อยมากที่จะเหลือถึงรุ่นหลาน

Then some people ask me, 'What is the point in making so much money if you don't enjoy it?' The thing is that I don't really find happiness in buying branded clothes, jewelry or sitting first class
.  Even if buying something makes me happy it is only for a while, it does not last.
ดังนั้นมีคนบางคนถามฉันว่า  “มันจะมีประโยชน์อะไรที่หาเงินตั้งมากมายแล้วไม่ใช้มันเพื่อความสุข”   จริงๆแล้วความสุขของฉันไม่ใช่แค่ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดัง เครื่องเพชร หรือนั่งเครื่องบินชั้นผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ถึงแม้นว่าการซื้อของบางอย่างมันทำให้ฉันมีความสุขแต่มันก็แค่ช่วงหนึ่ง มันไม่ยาวนานเลย

Material happiness never lasts, it just give you a quick fix. After a while you feel lousy again and have to buy the next thing which you think will make you happy
. I always think that if you need material things to make you happy, then you live a pretty sad and unfulfilled life.
ความสุขจากการซื้อวัตถุ ไม่ยาวนาน หลังจากของนั้นคุณก็รู้สึกว่ามันไม่ดี แล้วคุณก็ต้องหาซื้อมาอีกเพื่อทำให้คุณมีความสุขอีกฉันคิดว่า ถ้าคุณใช้วัตถุมาทำให้คุณมีความสุข คุณจะมีชีวิตอยู่อย่างเติมไม่เต็ม
  Instead, what makes me happy is when I see my children laughing and playing and learning so fast. What makes me happy is when I see my companies and trainers reaching more and more people every year in so many more countries
แต่. ฉันกลับมีความความสุข เมื่อได้เห็นลูกๆของฉันหัวเราะเล่นและเรียนรู้เร็ว ฉันมีความสุขเมื่อเห็นผู้ฝึกของฉันเข้าถึงผู้คนมากขึ้นทุกปีในหลายๆประเทศ
แล้วความสุขของคุณล่ะอยู่ตรงไหน.....  คุณหาความสุขที่แท้จริงเจอหรือยัง…….ค่ะ

Why you calling me colored??

แฟนๆ ที่ติดตาม KM Blog   ของดิฉัน คราวนี้มาแปลกค่ะ โดยคราวนี้ดิฉัน ขอนำบทกลอนที่ได้รับรางวัล บทกลอนยอดเยี่ยม จาก UN  ซึ่งเป็นของเด็กแอฟริกัน มาให้อ่นและคิดกันเล่นๆ ดังนี้ค่ะ                
    
When I born, I black : เมื่อผมเกิด ผมผิว ดำ
     When I grow up, I black : เมื่อผมโต ขึ้น ผมก็ยังผิวดำอยู่
     When I go in Sun, I black : เมื่อผมอยู่ ใต้แสงแดด ผมก็คงยังผิวดำ
     When I scared, I black : เมื่อผมกลัว ผม ก็ผิวดำ
     When I sick, I black : เมื่อผมป่วย ผมก็ ยังผิวดำ
     And when I die, I still black : และ เมื่อผมตาย ผมก็ยังคงผิวดำ

       And you white fellow : และ คุณ...เพื่อนมนุษย์ผิวขาว
       When you born, you pink : เมื่อแรกเกิด คุณมีผิวสีชมพู
       When you grow up, you white : เมื่อคุณ โตขึ้น คุณมีผิวสีขาว
       When you go in sun, you red : เมื่อคุณ อยู่ใต้แสงแดด คุณมีผิวสีแดง
       When you cold, you blue : เมื่อคุณหนาว คุณมีผิวสีน้ำเงิน
       When you scared, you yellow : เมื่อคุณกลัว คุณมีผิวสีเหลือง
       When you sick, you green : เมื่อคุณป่วย คุณมีผิวสีเขียว
       And when you die, you grey : เมื่อคุณตาย คุณมีผิวสีเทา
       And you calling me colored?? : และคุณเรียกผมว่า คนผิวสี ??

           ..........คุณคิด..กับ...เขาอย่างไร...................

พระบรมราโชวาท เกี่ยวกับการทำงานกับผู้อื่น

ในวันนี้ดิฉันขออัญเชิญพระบรมราโชวาส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  ที่พระองค์ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับการทำงานว่า  ถ้าเราทำงาน

กับเพื่อนร่วมงาน 

ไม่ใช่แค่คำว่าทำงานร่วมกัน... 

อยู่ร่วมกันไม่น้อยกว่าวันละ  ชั่วโมง...ทุกวัน... 

ไม่เพียงแต่พูดคุยกันเรื่องงาน...หากแต่จะต้องมีความรู้สึกที่ดีต่อกันด้วย... 

แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด... 

สู้ปล่อยตัวให้สบาย  สบาย...พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน... 

อยู่ร่วมกันก็ยิ่งควรจะ...เข้าใจ...ให้อภัย...และใส่ใจซึ่งกันและกัน... 

 

กับหัวหน้า

บางครั้งก็เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง 

เขามักจะมาต่อว่ามากกว่าจะมายอมรับ 

สิ่งที่เขาให้ทำก็มักจะเหมือนกับว่าไม่รู้จักจบสิ้น 

หากลองกลับกันให้เราไปอยู่ในตำแหน่งที่เขายืนอยู่ 

เราคงจะเข้าใจเขาได้ง่ายหน่อย  และให้อภัยเขาได้ 

กับหัวหน้า...ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคู่ปรับกัน

แต่ต้องรู้จักที่จะแบ่งปัน....เรียนรู้....และเติบโตไปด้วยกัน 

 

กับลูกน้อง

เป็นเพราะรู้จักให้  ผลตอบแทนก็กลับมามากกับลูกน้อง 

ไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์  เฉพาะเบื้องบนกับเบื้องล่างเท่านั้น 

ยังมีความสัมพันธ์ทางด้านหุ้นส่วนอยู่ด้วย 

รู้จักเข้าใจและให้อภัยซึ่งกันและกัน 

หากรู้จักยอมรับมากกว่าที่จะจับผิด 

ให้รอยยิ้มมากกว่าสายตาอันตำหนิติเตียน 

ผลตอบแทนที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับก็จะยิ่งมากตามไปด้วย

 

ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์ มิได้อยู่ที่การชนะผู้อื่น

 แต่อยู่ที่การชนะตัวเอง

นิทาน เด็กน้อยกับตะปู

ดิฉันมีนิทาน เรื่อง เด็กกับตะปู มาเล่าให้ฟัง

มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่ สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก
พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุง และบอกกับเขาว่า
ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสัก คน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้านวันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปู เขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อยๆ   ลดจำนวนลงเรื่อยๆ ........ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลง เพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ และแล้ว... หลังจากที่เขาสามารถควบคุม ตนเองได้ดีขึ้นใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อ และบอกกับพ่อของเขาว่า "เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้ว ไม่มุทะลุ เหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา"  พ่อยิ้ม   และบอกกับลูกชายของเขา ว่า...ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุก ครั้ง
วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว
จาก 1 เป็น 2 ... จาก 2 เป็น 3    จนในที่สุด ตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออก จนหมด เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า
ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !!
พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน
และบอกกับลูกว่า ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลอง มองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่า รั้วนั้นมันไม่ เหมือนเดิม ไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล เหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใคร สักคน ต่อให้ใช้คำพูด ว่า ขอโทษสักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้น ได้ฉันใดก็ฉันนั้น กับเพื่อน” ..
เพื่อน เปรียบเสมือน อัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรา ยิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ และยินดีเมื่อเราพบกับความ สำเร็จ
เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับ เรา
และจริงใจกับเราเสมอ ... แสดงให้เขาเห็นว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ
และจงจดจำไว้เสมอว่า "คำขอโทษ" ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอด ไป” 
ดิฉันหวังว่านิทาน เรื่องนี้คงช่วยให้พวกเราอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน คบกันด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆ ตลอดไป.....

 

ผู้นำอาจไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาเสมอไป

หากจะพูดถึงผู้นำนั้น อาจไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาเสมอไป อาจเป็นคนที่คนส่วนใหญ่ให้การยอมรับและสามารถนำคนอื่นได้ โดยไม่ต้องมีฐานอำนาจของการเป็นหัวหน้าหรือผู้นำเลยก็ได้  ผู้นำจะสามารถนำคนอื่นได้นั้น ต้องได้รับความไว้วางใจจากคนอื่น พร้อมทั้งวางใจคนอื่นด้วย จึงจะอยู่กันได้ ต้องแสดงออกถึงพลังความทุ่มเทของตนเองที่มีให้เพื่อส่วนรวม และได้ความทุ่มเทแรงกายแรงใจ จากคนที่มาตามเขาด้วย ทั้งนี้ต้องมีความสำเร็จแต่เดิมหรือมีต้นทุนอยู่บ้างเป็นแรงจูงใจ นำเอาความสำเร็จมาเป็นแรงจูงใจให้ผู้ตาม ทำตามอย่างที่ผู้นำต้องการ

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ผู้นำต้องคิดได้อย่างเป็นระบบ สามารถแปลงวิสัยทัศน์ให้ไปสู่เป้าหมายได้ เพื่อทำให้สิ่งที่คิดฝันเป็นความจริงขึ้นมาได้ นี่คือจุดวัดความสำเร็จที่แน่นอนเด่นชัด จะคิดอะไรก็ตาม ต้องสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า วิธีทำนั้นจะเป็นอย่างไร ลำพังเพียงแต่คิด นั้นใครๆ ก็ทำได้
แต่คนที่จะเป็นผู้นำทีมที่แท้จริง จะต้องสามารถแปลความคิดให้เป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้ ผู้นำต้องสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน เป็นกันเองมีอารมณ์ขันพกพาติดตัวเสมอ จะทำให้เสริมพลังของทีมไปในตัว สร้างบรรยากาศให้คนอยากทำงานแม้งานหนัก
การสร้างทีมดูแล้วไม่ยาก แต่พอลงมือทำแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งท้าทายของผู้นำที่น่าลองเป็นอย่างยิ่งโดยพยายามสร้างวิสัยทัศน์ให้กับตัวเอง และทำในสิ่งที่ฝันให้เป็นรูปธรรม

วันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

                                            อย่ากลัวที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

                                             สิ่งที่ต้องกลัวอย่างเดียวคือการหยุดนิ่ง