Monthly Archives: December 2010

สยามเมืองยิ้ม กับการทำงานวิถีไทย

สวัสดีปีใหม่ค่ะ แฟนๆประจำ KM. Blog เคล็ดลับพิชิตงานกับ...อ.หลิว ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2554 เป็นโอกาสที่หลายคนจะได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้น เพื่อแก้ไขสิ่งไม่ดีตลอดปีที่ผ่านมา บางคนตั้งใจเปลี่ยนตัวเองในดีขึ้น เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ในโอกาสวันดีวันขึ้นปีใหม่ ดิฉันขอนำ เทคนิคการมองโลกในแง่ดี มาฝากทานผู้ฟังค่ะ  คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทยอารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"

ยามพบอุปสรรคในการทำงาน  ให้คิดและพูดว่า ไม่เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมาก  เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย

ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา    : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ"โชคดี"ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้  เช่น เดินหัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า "อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก"   โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"  
ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน   : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ  เช่น มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป    เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง
เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน   : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับปัญหาต่างๆ ใน   วิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียวค่ะ

ในปีใหม่นี้ ถ้าเราๆท่านๆยังมีสิ่งที่ตั้งใจไว้ปีที่แล้วว่าจะทำ แต่ไม่ได้ทำ  ก็ยังไม่สายหากจะเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่นี้นะคะ

วันนี้ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้อภัยและความเมตตากรุณา

 สวัสดีปีใหม่ ค่ะ

 

 

 

 

 

นิทาน ...บะหมี่ในวันปีใหม่ที่ซับโปโร

ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ปีใหม่2554 นี้ ดิฉันมีเรื่อง บะหมี่ในวันปีใหม่ที่ซับโปโร มาเล่าให้ฟังเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศปีใหม่นะค่ะ  

         การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คน แน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี   ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชยๆ
 เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา"เชิญนั่งครับ"        หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"  เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก   "ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า
 "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"    บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อยกินพลางพูดพลาง  "ทานเถอะครับ"ลูกคนพี่พูด  "แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วทั้งสามคนก็ชมว่า "ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)" พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป "ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ       ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น  ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง "ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"
  "ได้ค่ะได้ค่ะเชิญนั่งตามสบายนะคะ"  เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้วโต๊ะเบอร์สอง พลางตะโกนว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง"ได้ครับบะหมี่น้ำหนึ่งชาม"      เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"  "ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"   สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า......   "เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"
 ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สาม แม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
"หอมจังเลยยอดไปเลยอร่อยจริงๆ" "ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้นับว่าไม่เลวทีเดียว"  "ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"  กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป  "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป     สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะนึ่ง           ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป   พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลังแล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" และเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ  22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม   "เชิญค่ะเชิญค่ะ"        เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า     "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"   "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"       เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า"บะหมี่น้ำสองชาม"   "ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"      เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก      สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
"ลูกรักวันนี้แม่ต้องขอบคุณลูกๆเป็นอย่างมาก"          ขอบคุณ ?"
 "ทำไมครับ"     "เรื่องเป็นอย่างนี้ .......คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"       "เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"ผู้เป็นพี่ตอบ        ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆอยู่หลังโต๊ะทำอาหาร    "แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว" "จริง ๆ หรือครับ แม่"
 "จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"           "ว้าว แม่ครับพี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"       "ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"     "ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
 "แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"
 "จริงหรือลูกแล้วต่อมาล่ะ"       "หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"
 "เรียงความเขียนว่าหลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม รุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"    "ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ  อร่อยมากสามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…"
"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคนขอให้มีความสุขครับขอบคุณครับ…"
          สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ๆก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ
          "พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า .......
          "วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ          ผมจึงพูดว่าขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี  "      "หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกินกันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"         สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุกๆปี จ่ายเงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป เจ้าของร้านมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า
          "ขอบคุณค่ะ(ครับ)สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
..และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง      พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย  ปีที่สอง ปีที่สาม
โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม      สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย         กิจการของร้านฮอกไกดีมาก ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่           จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม      "นี่มันเรื่องอะไรกัน"
 ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา       เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของ

       เวลาผ่านไปจนถึง22.30น.     ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน  ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน      พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า        "ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น       ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน  ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า           "เอ้อรบกวนรบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"       ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน           เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก พวกคุณ .. พวกคุณ"
     เขาพูดได้เพียงแค่นั้นคำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ       ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ เถ้าแก่เนี้ยว่า           "พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"           "หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"           "วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ ......ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"          สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า     เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอแล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า           "อ้าวเถ้าแก่เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"
          ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า           "ยินดีต้อนรับค่ะเชิญนั่งข้างในค่ะนี่ตาเฒ่าบะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"           เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า     "ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"
 หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่า
          "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง
          แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
          นิทานเรื่องนี้บอกว่า --- อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจ ความห่วงใยอันจริงใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้           เราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ

นิทานกระต่ายกับเต่า(เวอร์ชั่นปี 2553)

คราวนี้ดิฉันมีเรื่อง กระต่ายกับเต่า  มาเล่าให้ฟัง   ที่เราๆท่านเคยได้ยินมาว่า กาลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายเถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะวิ่งแข่ง  ก็มีการกำหนดเส้นทางวิ่งแล้วก็เริ่มการแข่งขัน  เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลยชะล่าใจ  คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้ซักกะแป๊บนึงก่อนแข่งต่อก็คงดี  ไปๆมาๆก็ง่วงสิ ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว  นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า ช้าๆแต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้ (เหมือนกัน)
แต่ที่ดิฉันจะเล่าในวันนี้ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟังดังนี้ค่ะ
           เจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็อารมณ์บ่จอย ตามระเบียบที่แพ้
มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตนเอง มันก็พบว่าความมั่นใจในตัวเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจ ของมันนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้ามันไม่เผลอหลับซะอย่าง เต่าหน้าไหนจะเอาชนะมันได้ มันจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฮ้ย..เมื่อกี๊ฟลุ้คอ๊ะป่าว แน่จริง..ใหม่เด่ะเจ้าเต่าก็ตกลง  "ย่อมได้ไอ้น้อง”....  แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น กระต่ายชนะขาดลอย  แล้วเราได้ข้อคิดอะไรล่ะ...
ท่านผู้ฟังคะ ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ
ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง
ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆไม่เคยพลาด
ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา  เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ  คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นๆมากกว่า   ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและพอใช้ได้นี่ดีกว่า....

เรื่องยังไม่จบแค่นี้  คราวนี้ถึงทีเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้างและมันก็พบว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะกระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่ซักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้ว พอการแข่งเริ่มปุ๊บี่
เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทางเฮ้ย!!!..เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะ..
เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลย  เจ้ากระต่ายมัวแต่งงว่าจะทำไงดี  จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....
พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ตนเองได้เปรียบมากที่สุด ยังไม่พอด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้วต่างคนต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกัน
การแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น  ดังนั้น พวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์ค
เริ่มต้นเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำ
เจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน ผลการแข่งครั้งนี้สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย(ตัว)มากกว่า การแข่งครั้งก่อนๆหน้านี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น
ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง
ทีมเวิร์คสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์
ให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้นๆเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วง
สถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย
ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มหรือท้อแท้หลังจากความความล้มเหลวได้เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยการทำงานที่หนักขึ้น และเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่
เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิตเมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว
บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความเอาใจใส่ในงานมากกว่าเดิมบางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆที่แตกต่างออกไปและในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลยนอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือเมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคล แล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้นมาก

คนที่ใช่ VS คนที่ชอบ

 

วันนี้ดิฉันขอนำเนื้อหาจากหนังสือ บริหารคนเหนือตำราของคุณ จารุนันท์  อิทธิอาวัชกุล

 ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ที่ดูแลทางด้านกำลังคนของเอไอเอส รวมถึงดูแลงานทรัพยากรมนุษย์  เชิงกลยุทธ์ในกลุ่มบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ที่เธอได้ให้คำนิยามไว้ว่า ไม่เดินตามกรอบ หรือเพียงแค่ตอบโจทย์จากตำรา แต่เหนือกว่าด้วยคุณค่าจากปัญญาปฏิบัติ ท่านผู้ฟังค่ะความสำเร็จในชีวิตของคนเรา บางทีอาจวัดได้ด้วย ดอกไม้หรือ ก้อนอิฐที่ใครหลายคนเลือกที่จะ มอบให้หรือไม่ก็ ปาใส่   ทุกปัญหาในองค์กร เรื่องคนถือว่าหนักสุด ส่วนใหญ่คำถามที่เจอคือ คนกับองค์กรจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ต้องหันกลับไปมองยังจุดเริ่มต้นว่า เราจะเลือกใครมาทำงาน และคนแบบไหนถึงจะเติบโตไปได้กับองค์กร เราต้องยอมรับว่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ก็มักจะทำให้คนด้วยกัน ตกหลุมพรางได้โดยไม่ทันระมัดระวังตัวเสมอ เพราะเป็นเรื่องยากที่จะต้องเลือกระหว่างคนที่ใช่ (right) กับคนที่ชอบ (like)   เพราะโดยธรรมชาติของคนเรา มักชอบคนที่ดูเหมือนหรือละม้ายคล้ายคลึงกับเรา ชอบคนที่มีลักษณะที่เราต้องการ มากกว่าลักษณะคนที่งานต้องการ   “พยายามเลือกคนที่ใช่ อย่าเลือกคนที่ชอบ แล้วมาถามตัวเองต่อว่า อะไรคือคำว่าใช่ แล้วอะไรคือคำว่าชอบ ต้องหาระยะของเหตุผลกับระยะของอารมณ์ เวลาเลือกคนมาทำงาน ส่วนหนึ่งต้องมองว่ามีแววว่าไปได้ มีสารเคมีที่ถูกต้องตรงกันกับองค์กร มีแสงประกายออกจากตัว บอกว่าต้องใช่ในอะไรบางอย่าง เป็นการมองถึงภาพรวมของคน จากการดูแววตา ท่าทาง  ต้องอ่านให้เป็น เหนือกว่าตำราคือ ต้องอ่านขาดจริงๆ    เราๆหลายท่านต้องยอมรับว่าเวลาเลือกคน เคยตัดสินใจพลาดบ่อยครั้ง เพราะกะระยะระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ไม่ดีพอ เลือกคนที่ชอบ มองว่าน่าจะไปได้ สุดท้ายเลยตกหลุมพรางตัวเอง เราชอบคนที่เหมือนเรา พลาดหลายครั้ง จนบางช่วงขาดความมั่นใจ แพ้อารมณ์ตัวเอง ต้องให้คนอื่นมาช่วยกันดูอีกแรง”  เมื่อร่อนตะแกรงหาคนที่ใช่มากกว่าคนที่ชอบได้แล้ว หน้าที่ของท่านที่ต้อง แปลงจากถ่านเป็นเพชร คนทำงานใหม่ๆ มักไฟแรงและต้องการความสำเร็จอย่างปัจจุบันทันด่วน องค์กรต้องหมั่นเติมถ่านในกองไฟ และโหมกระพือจนกลายเป็นเพชรให้ได้ สุดท้ายแล้วคนที่ใช่คนๆ นั้นก็อย่าทำตัวเองให้จมปลักกลายเป็นเพชรในตม ต้องหมั่นพัฒนาศักยภาพจนเปล่งประกาย ด้วยการทำการตลาดตัวเองให้อยู่ในสายตาเจ้านาย     “คนทำงานแล้วอยากให้ผู้บริหารมองเห็น ต้องพยายามทำการตลาดตัวเองอย่างแยบคาย อ่านสถานการณ์ให้ได้ ว่าธุรกิจต้องการคนแบบไหน ถ้าได้เจ้านายเปิดใจรับฟัง เราสามารถนำเสนอผลงานเราได้ ก็ถือเป็นความโดดเด่น ขณะเดียวกัน ก็ต้องรู้จักทำโชคให้เกิดกับตัวเราเอง หาจังหวะพูดคุยกับเจ้านายแบบไม่เป็นทางการ โดยส่วนตัวเชื่อความตั้งใจจริงในการทำงาน เชื่อในการขันอาสา ถ้าเรารู้ตัวเองว่าสามารถทำอะไรให้กับองค์กรได้ แล้วสร้างงานให้เป็นที่ประจักษ์ โอกาสที่จะกลายเป็นเพชรบนเรือนแหวนมีมูลค่าก็ไม่ไกลเกินเอื้อม   หลายปีที่ต้องทำงานสัมผัสผู้คน บางครั้ง ก็ต้องทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรกับสัญญาณไฟ พอมีไฟเขียวพนักงานก็มีเฮ แต่พอติดไฟแดง ยิ่งถ้าแดงไปนานๆ ก็จะยิ่งสร้างระอุให้องค์กร ต้องทำหน้าที่เป็นไฟเหลืองก่อนเปิดไฟแดง ด้วยการมุ่งสื่อสารถึงข้อไม่ดี เรื่องติดขัดคับข้องในองค์กร ประเภทข่าวร้าย ข่าวลือ ด้วยการสื่อสารข้อมูลว่า เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องยอมรับและเข้าใจได้ ว่าการทำงานไม่ว่าที่ไหนล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับอุปสรรคและความท้าทาย    มุมมองง่ายๆ ที่สามารถนำมาปรับทัศนคติของคน เพราะเป็นความจริงที่เพียงแค่เอามาใส่โทนในการสื่อสารเข้าไป อุปสรรคเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ต้องทำหน้าที่พูดให้กำลังใจ เอาข่าวร้ายมาสร้างแรงบันดาลใจให้คนในองค์กร พร้อมเดินหน้าต่อในช่วงเวลายากลำบาก   สงครามชิงตัวคนเก่งทั้งในอุตสาหกรรมเดียวกันและข้ามอุตสาหกรรม เป็นอีกประเด็นที่มองว่า ป้องกันได้ยาก เพราะทุกวันนี้แรงดึงดูดนอกองค์กร ถือเป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผล เพราะเป็นแรงดึงดูดมหาศาลทั้งลักษณะแพคเกจและเนื้องาน

สิ่งที่ พอจะรับมือได้ก็คือ ต้องเล่นในมุมจิตวิทยา play on fear ชี้ให้คนเก่งเหล่านี้มองเห็นให้ได้ว่า การทำงาน ณ ตำแหน่งปัจจุบัน ถือว่ายืนอยู่ในต้นทุนที่มีค่าและควรแก่การภาคภูมิใจ การข้ามไปยืนอยู่อีกฝั่ง ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การทบทวนเนื้องาน การรีแพคเกจ และการสร้างความยืดหยุ่นเพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดในงาน ถือเป็นอีกทางออกที่ดี ก่อนที่จะปล่อยให้คนเก่งต้องหลุดมือไป   “ถ้าองค์กรใดมีคนเก่งลาออก ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณ เพราะคนเก่งถือเป็นบุคคลที่ ต้องเฝ้าระวัง ถือว่าอยู่ในพอร์ตบัญชีที่ต้องดูแล ต้องคอยเช็คอุณหภูมิความคิด ความรู้สึก ไม่กี่เหตุผลที่คนเก่งคิดลาออก คือเนื้องานไม่เร้าใจ ไม่มีความหมาย ไม่สะท้อนศักยภาพ บั่นทอนแรงจูงใจที่จะอยู่กับองค์กรต่อไป จุดนี้องค์กรก็ต้องปรับตัวและระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ยากแก่การป้องกัน  ไหนๆ ก็บรรจงเลือก คนที่ใช่เข้ามาอยู่ในชายคาองค์กรแล้ว แถมยังอุตส่าห์ประคบประหงมอย่างดีมาหลายปี จะปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามมา     ช้อปปิ้งคนที่ชอบไปต่อหน้าต่อตาได้ไงค่ะ

หลายคนบอกเราว่าอย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่  และเหตุผลของคนๆ หนึ่ง  อาจไม่ใช่เหตุผลของคนอีกคนนึง  ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร 

ท่านผู้อ่านค่ะ ชีวิตคนเราคงไม่มีหรอกที่เส้นทางชีวิตจะราบเรียบ โดยไม่ผ่านพาหุหรือมรสุมบ้าง คงต้องมีบ้างที่ต้องล้ม เพราะการล้มทำให้เรารู้วิธีการลุกขึ้นยืนใช่ไหมค่ะ  แล้ว.. คนเรา  ก็ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง  แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ ..  ก็เป็นสุขใจแล้วล่ะค่ะ  เพราะหัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย    หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า ใช่ไหมค่ะ