นิทาน คำถามของจักรพรรดิ์

มีจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง ครุ่นคิดถึงปัญหา 3 ข้อมาเป็นเวลานาน พระองค์คิดว่าถ้าตอบคำถามนี้ได้จะทำให้พระองค์ ทรงทำอะไรไม่ผิดพลาดเลยคำถาม3ข้อนี้คือ
1.เวลาไหนที่สำคัญที่สุด
2.ใครคือคนที่สำคัญที่สุด
3.ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด
พระองค์รับสั่งให้ป่าวประกาศไปทั่วอาณาจักรของพระองค์ว่า ใครก็ตามที่สามารถตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้ จะได้รับรางวัลมหาศาล คนทั้งหลายเมื่อได้อ่านประกาศนั้นแล้ว ต่างก็พากันเดินทางมุ่งมายังวังของพระจักรพรรดิทันที แต่ละคนก็มีคำตอบที่แตกต่างกันออกไป พระจักรพรรดิไม่พอพระทัยคำตอบไหนเลย เพราะว่ามันแตกต่างกันไปหมด และก็เลยไม่มีใครได้รับรางวัล
หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายคืน พระจักรพรรดิก็ตัดสินพระทัยที่จะไปหาฤาษีตนหนึ่งผู้อาศัยอยู่บนเขา และว่ากันว่าเป็นผู้รอบรู้ในทุก ๆ ด้าน พระจักรพรรดิปรารถนาที่จะไปตรัสถามคำถามของตนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฤๅษีนั้นจะต้อนรับแต่เฉพาะคนยากจนเท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวยหรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ พระจักรพรรดิจึงต้องปลอมตัวเป็นชาวนาธรรมดา และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่พระจักรพรรดิทรงไต่เนินเขาขึ้นไปพบฤๅษีตามลำพัง พอมาถึงที่อยู่ของ "ผู้รู้" ที่ว่านั้น พระจักรพรรดิก็ทรงพบว่าฤๅษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อมเล็ก ๆ ของตน เมื่อฤๅษีแลเห็นคนแปลกหน้า ก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนัก เพราะฤๅษีนั้นชรามากแล้ว แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมา ท่านจะต้องหอบแรงๆทุกครั้งไป พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า "ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผมคือ
1.เวลาไหนที่สำคัญที่สุด
2.ใครคือคนที่สำคัญที่สุด
3.ภารกิจอะไรที่สำคัญที่สุด
ฤๅษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่พระจักรพรรดิเบา ๆ และก็ขุดดินต่อไป พระจักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ" ฤๅษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้พระจักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น
หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง พระจักรพรรดิก็หยุดและหันมาถามปัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง ฤๅษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบและบอกว่า "หยุดพักได้แล้วละ ฉันทำต่อไปได้แล้ว" แต่พระจักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา พระจักรพรรดิทรงวางจอบลงและหันมาตรัสกับฤๅษีว่า "ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม หากท่านไม่สามารถตอบได้ โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม"ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า "เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า" พระจักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร ทันใดนั้นทั้งสองก็แลเห็นชายมีเคราขาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่าละเมาะ ชายคนนั้นวิ่งเตลิดมา มือทั้งสองกุมบาดแผลโชกเลือดที่ท้อง เขาวิ่งตรงมายังพระจักรพรรดิ ก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไปตรงพื้นดินนั้น พอเปิดเสื้อผ้าออก ทั้งจักรพรรดิและฤๅษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น พระจักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผลแล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้ เพียงประเดี๋ยวเดียวเสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด พระจักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผลอีกเป็นครั้งที่สอง และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเลือดหยุดไหล เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ พระจักรพรรดิรีบวิ่งไปที่ลำธาร ตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง ขณะนั้นดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว ฤๅษีช่วยพระจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อมและให้นอนบนเตียงของตน ชายคนนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป พระจักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีนเขาและการขุดดินทั้งวัน และมาตื่นบรรทมขึ้น เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว พระจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่า พระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหนและมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมองมายังตนอย่างฉงนฉงาย พอเห็นพระจักรพรรดิ ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า "ได้โปรดประทานอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ด้วย" "แต่เธอทำอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย" จักรพรรดิตรัสถามกลับ "ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าตายเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้ และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่า ท่านคือศัตรูคู่อาฆาตและได้ปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้ เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤๅษีตามลำพัง ข้าพระองค์จึงตั้งใจจะดักฆ่าท่านเสียตอนท่านเสด็จกลับ แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา แต่แทนที่จะพบท่าน ข้าพระองค์กลับไปเจอเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้ และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บนี่แหละ แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่ ถ้าไม่ได้พบท่าน ป่านนี้ ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว ข้าพระองค์ตั้งใจจะฆ่าท่าน แต่ท่านกลับช่วยชีวิตข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์รู้สึกละอายใจ และสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไป ขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด "พระจักรพรรดิ ดีพระทัยยิ่งนัก ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย นอกจากจะประทานอภัยแล้ว ยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติที่ริบมาจากชายผู้นั้น ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว พระจักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤๅษีอีกครั้ง เพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้าย และพบว่าฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงในแปลงดินที่ขุดไว้เมื่อวาน
ฤๅษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางพระจักรพรรดิ "คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่" "อย่างไรกัน" พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง "เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉัน และลงมือช่วยฉันขุดดิน ท่านก็คงถูกทำร้ายโดยชายผู้นั้นตอนขากลับ และคงต้องโทมนัสใจอย่างมาก ที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน ดังนั้นเวลาที่สำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการช่วยฉันขุดดิน จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุดก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา และเช่นเดียวกัน บุคคลสำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น และภารกิจสำคัญที่สุดก็คือการรักษาพยาบาลเขา"
"จงจำไว้ว่า มีเวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้น ที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คือคนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้น ๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต"

Comments are closed.