Category Archives: การทำงาน

การมอบหมายงาน กับ การโยนงาน

การมอบหมายงานให้กับลูกน้องนั้น เป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งในการเป็นหัวหน้า หัวหน้างานที่ดีจะต้องมอบหมายงานให้กับลูกน้องของตนตามหน้าที่และความรับผิดชอบ รวมทั้งตามทักษะความรู้ และความสามารถของพนักงานแต่ละคน  ลักษณะการมอบหมายงานของหัวหน้างานตามที่แต่ละคนเข้าใจนั้นมีหลายแบบ ลองมาดูลักษณะการมอบหมายงานของหัวหน้าในแต่ละรูปแบบกันนะคะ

·         มอบหมายงานที่ง่ายๆ และไม่สำคัญให้ลูกน้อง หัวหน้าบางคนมักจะมอบหมายงานที่ไม่ค่อยมีความสำคัญให้กับลูกน้อง สาเหตุก็คือ ไม่ไว้วางใจในฝีมือของลูกน้องของตนเอง กลัวว่าจะทำไม่ได้ กลัวว่าจะทำงานไม่สำเร็จ และไม่ได้คุณภาพเหมือนกับที่ตนทำ ก็เลยเก็บงานที่สำคัญๆ ไว้กับตัวเอง และมอบหมายงานที่ไม่สำคัญ งานเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกน้องทำ ถ้าเป็นลักษณะนี้ ลูกน้องคนไหนที่มีความรู้ความสามารถมากพอจะรู้สึกว่าหัวหน้าไม่เชื่อมั่นใจฝีมือที่ตนเองมี และจะทำให้พนักงานขาดแรงจูงใจในการทำงาน และจากนั้นก็จะลาออกไปอยู่กับหัวหน้าคนใหม่ที่ไว้วางใจตนเองมากกว่า

·         มอบหมายงานทั้งหมดให้ในคราวเดียว หัวหน้างานบางคนมอบหมายงานให้ลูกน้องทั้งหมดที่ตนรับผิดชอบ หรือบางครั้งก็มอบหมายงานที่ตัวหัวหน้าไม่ค่อยชอบให้กับลูกน้อง หลังจากที่สั่งงานแล้วก็หายไปเลย ไม่เคยที่จะมาพูดคุย ติดตาม เอาใจใส่ใดๆ ทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าเคว้งคว้าง ไม่มีที่พึ่ง เวลางานมีปัญหาก็ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร พอเข้าไปจะปรึกษาหัวหน้า ก็อ้างว่าไม่มีเวลา หรือไม่ก็ บอกว่า ปัญหาแค่นี้คิดไม่ออกก็ไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว แทนที่จะให้กำลังใจ หรือช่วยแก้ไขปัญหาก็ไม่เคย แบบนี้เขาเรียกกว่าโยนงานมากกว่ามอบหมายงาน

·         มอบหมายงานที่แท้จริง หัวหน้างานที่มอบหมายงานให้ลูกน้องอย่างถูกต้องนั้น จะบอกถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของงานที่มอบหมาย รวมทั้งรายละเอียดทั้งหมด เพื่อให้ลูกน้องมองเห็นเป้าหมายและความสำเร็จที่คาดหวังในภาพเดียวกัน จากนั้นก็จะปล่อยให้พนักงานทำงานโดยมอบอำนาจในการทำงานไว้ให้สำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อไหร่ที่งานมีปัญหาก็จะคอยให้คำปรึกษาแนะนำ รวมทั้งติดตามความคืบหน้าของงานเป็นระยะๆ โดยไม่ใช่การจับผิดพนักงาน ถ้าพนักงานทำงานได้สำเร็จก็จะชื่นชม และไม่คิดจะแอบอ้างความสำเร็จว่าเป็นของตนเองเลย

หัวหน้างานที่ดีนั้นจะต้องรู้วิธีที่จะมอบหมายงานอย่างถูกวิธี เพื่อให้พนักงานมองเห็นภาพเป้าหมายที่ชัดเจน และพร้อมที่จะช่วยพนักงานเวลาที่งานมีปัญหาเกิดขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้พนักงานทำงานให้ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การพัฒนาทักษะความรู้ การให้กำลังใจ ฯลฯ    พนักงานส่วนหนึ่งที่มองหัวหน้าตนเองว่า โยนงาน มากกว่ามอบหมายงาน ก็เพราะว่า พอให้งานแล้วก็หายตัวไปเลย ไม่เคยที่จะติดตาม หรือให้คำปรึกษาใดๆ แก่พนักงาน พนักงานเองก็คงรู้สึกว่าหัวหน้าเองพึ่งไม่เคยได้ งานง่ายๆ ก็เก็บไว้ทำคนเดียว โยนงานยากๆ มาให้ลูกน้องทำตลอด พอทำไม่ได้ ก็ด่า  แบบนี้เขาเรียกว่าโยนงานคะ ไม่ใช่มอบหมายงาน

การบริหารเวลา เป็นเรื่องที่คุยกันได้อย่างไม่รู้จบ

การบริหารเวลา เป็นเรื่องที่คุยกันได้อย่างไม่รู้จบ บางคนก็บอกว่าเราบริหารเวลาได้ บางคนก็บอกว่าเวลาบริหารไม่ได้ เพราะมันเดินไปของมันเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหยุด แต่สิ่งที่เราต้องบริหารก็คือ บริหารการใช้เวลาของเราเองมากกว่า ซึ่งดิฉันเองก็เชื่อในแนวคิดนี้เช่นกัน ก็คือ การบริหารเวลาก็คือ การบริหารการใช้เวลาในชีวิตเราเอง  โจ เรสเตอร์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสำเร็จ ได้กล่าวไว้ว่า “Whoever know  how to manage their time   will be successful in their life.” แปลเป็นไทยได้ว่า ใครก็ตามที่รู้วิธีการบริหารการใช้เวลาของตนเอง จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต  ถ้าเราลองมานั่งพิจารณาประโยคข้างต้นอย่างจริงๆ จังๆ แล้วจะพบว่ามันมีความหมายที่ลึกซึ้งมาก การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการที่เรารู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ใช้เวลาในกิจกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตของเราเอง  นักศึกษา ตั้งเป้าหมายในใจไว้ว่า จะต้องเรียนให้ได้เกียรตินิยม หรือให้ได้เกรดเฉลี่ยมากกว่า 3.50 แล้วถ้านักเรียนคนนั้นรู้วิธีในการจัดสรรเวลาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยใช้เวลาไปกับการเข้าชั้นเรียน ทบทวน อ่านหนังสือ พักผ่อนอย่างถูกต้อง ก็น่าจะทำให้นักเรียนคนนั้นมีผลการเรียนที่ดีได้ ตรงข้ามกับนักเรียนที่อยากได้เกรดดีๆ แต่ไม่เข้าเรียน โดดเรียนไปเที่ยวกับเพื่อน ไม่อ่านหนังสือ ไม่ทบทวนอะไรเลย วันๆ ได้แต่เรื่อยเปื่อยไปวันๆ การบริหารการใช้เวลาแบบนี้ ทำให้ตายก็ไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองตั้งเป้าไว้อย่างแน่นอน  ในชีวิตของเราก็เช่นกันคะ ถ้าเรามีการตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ แต่เรากลับไม่มีการบริหารการใช้เวลาเพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย ก็ไม่มีประโยชน์คะ ใครที่อยากลดความอ้วน แต่กลับใช้เวลาไปกับการกิน นอน นั่ง ไม่ออกกำลังกายเลย แบบนี้ก็ไม่มีทางจะลดได้  ใครอยากทำงานได้ผลงานที่ดี และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่กลับใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการเล่น facebook chat กับเพื่อนตลอดเวลา ทั้งในและนอกเวลางาน ไม่เคยมีการเพิ่มเติมความรู้ใส่ตัวเลย การใช้เวลาแบบนี้ก็คงยากที่จะทำให้ชีวิตการทำงานของเราประสบความสำเร็จดั่งที่เราตั้งใจ  ลองนั่งทบทวนการใช้เวลาในชีวิตของเราในปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ก็ได้คะ ว่าเราใช้เวลาไปกับสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้สักแค่ไหน เต็ม 10 จะให้คะแนนตัวเองสักเท่าไร  คนที่ประสบความสำเร็จเร็วกว่า หรือมากกว่าคนอื่น ก็คือ คนที่สามารถบริหารเวลาของตนเองให้ไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้นเองคะ นี่ก็เพิ่งผ่านการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่ผ่านมา  ก็อยากให้ทุกท่านลองตั้งเป้าหมายกันสักหน่อยว่า ในปีนี้เราอยากจะประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร จากนั้นก็ออกแบบการใช้เวลาในแต่ละวันให้สอดคล้องไปกับเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ สุดท้ายที่สำคัญก็คือ การเริ่มลงมือทำ และการมีวินัยในตนเองให้ได้ค่ะ

ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

พอใจเท่าที่มี...ยินดีเท่าที่ได้

ชีวิตคนเรา...อยู่ด้วยความหวัง

ดิฉันเชื่อว่าทุกคนต้องเคยผิดหวังมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตส่วนตัว เรื่องเรียน เรื่องความรัก หรือเรื่องงาน ฯลฯ เคยถามตัวเองหรือไม่คะว่า ทำไมเราถึงผิดหวัง คำตอบก็คือ เรามีความหวัง แล้วเราไม่ได้ดั่งที่เราหวังไว้ ก็เลยรู้สึกผิดหวัง เมื่อไหร่ที่ท่านรู้สึกผิดหวังในชีวิตแล้ว ท่านยังมีหวังต่อไปหรือไม่คะ  ชีวิตคนเรานั้นอยู่ด้วยความหวังนะคะ ถ้าคนเราไม่มีความหวัง ดิฉันคิดว่าเราคงใช้ชีวิตแบบซังกะตาย เพราะไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร การที่คนเรามีชีวิตอยู่นั้น แปลว่า แต่ละคนจะต้องมีความหวังอะไรสักอย่างในชีวิตของเรา ซึ่งแต่ละคนก็มีแตกต่างกันออกไป  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราผิดหวังขึ้นมา พฤติกรรมของคนเราต่อการผิดหวังก็แตกต่างกันออกไปอีก บางคนเสียใจร้องไห้ฟูมฟาย ตีโพยตีพายไปต่างๆ นานา บางคนผิดหวังแล้วก็โทษชาวบ้านไปทั่วว่าคนอื่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราผิดหวัง บางคนผิดหวังแล้วก็เลิกหวังทุกอย่างในชีวิต จากนั้นก็ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม   โดยปกติชีวิตคนเราต้องประสบกับทั้งสองด้าน ก็คือ ทั้งสมหวัง และผิดหวัง เพราะนี่คือชีวิตคะ คงไม่มีใครที่สมหวังไปทุกเรื่อง และก็ไม่มีใครที่ผิดหวังไปทุกเรื่องเช่นกัน นี่แหละคะ ที่เขาเรียกกว่ารสชาติของชีวิต  การที่เราผิดหวัง เราควรจะลุกขึ้นมาใหม่ เราไม่สูญเสียความหวังอื่นๆ ในชีวิต ไม่ใช่แค่ผิดหวังเรื่องเดียว แต่ไปทำให้ความหวังเรื่องอื่นๆ จบไปด้วย ตัวอย่างความผิดหวังที่รุนแรงมากก็คือ ผิดหวังในเรื่องของความรัก เพราะบางคนจะนำเอาความผิดหวังในเรื่องนี้ไปต่อยอดทำให้ความหวังในเรื่องอื่นต้องปิดกันไปหมดเลยก็มี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ความหวังในเรื่องการเรียน หรือแม้แต่เรื่องของการทำงาน  คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น จะต้องเปิดโอกาสให้กับความหวังใหม่ๆ เสมอ และมักจะคิดเสมอว่า ชีวิตของเรานั้นไม่มีทางที่จะหมดหวัง ของเพียงแค่เรามีความหวัง และจากนั้นก็พยายามสร้างชีวิตของเราให้ไปสู่เป้าหมายที่เราหวังไว้  ความผิดหวังเป็นเพียงเครื่องมือที่บอกให้เรารู้ว่า เรายังทำไม่เต็มที่ ตรรกะของมันก็คือ ถ้ายังทำไม่เต็มที่ ก็ขอให้ครั้งหน้าทำให้เต็มที่กว่านี้ แล้วเราก็จะสมหวัง ไม่ใช่คิดแค่ว่า เมื่อผิดหวังแล้ว ก็จะไม่ทำอะไรอีกเลย ถ้าคิดแบบนี้ชีวิตเราจะเข้าสู่ทางตันสักวันหนึ่งคะ   ดังนั้นในปีที่ผ่านมาถ้าท่านใดที่รู้สึกว่าผิดหวังกับชีวิตมากกว่าสมหวัง ก็ขอให้มองโลกในแง่บวก และสร้างความหวังอันใหม่ขึ้นมา อย่าเพิ่งท้อนะคะ จากนั้นถ้าเรารู้ว่าที่เราผิดหวังในปีนี้นั้น เป็นเพราะเรายังทำไม่เต็มที่ ก็ขอให้เราเต็มที่กับมันอีกสักครั้ง ทำให้สุดๆ ไปเลยคะ ถ้าคราวนี้ยังไม่ได้ดั่งที่เราหวังอีก อย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าเราได้ลงมือเต็มที่แล้ว ดีกว่าทำไม่เต็มแล้วมานั่งเสียดายทีหลังว่ารู้งี้ทำให้เต็มที่ดีกว่า  ดิฉันเชื่อว่า การที่คนเราทำอะไรแบบเต็มที่จริงๆ แล้ว ความผิดหวังไม่ค่อยเกิดขึ้นกับคนๆ นั้นหรอกคะ ถ้าไม่เชื่อก็ต้องลองดูกันสักตั้งหนึ่งคะ

ปัจจัย 5 ประการที่บ่อนทำลายความสำเร็จ

ปัจจัย 5 ประการที่บ่อนทำลายความสำเร็จ คนทุกคนล้วนต้องการความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว หรือชีวิตการทำงาน แต่ละคนต่างก็มีวิธีที่จะไปสู่ความสำเร็จที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีปัจจัยอยู่ 5 อย่างที่ถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้ติดตัวไว้ รับรองได้เลยว่าความสำเร็จจะไม่มาเยือนคุณอย่างแน่นอน

ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นอยู่เสมอ หรือภาษาชาวบ้านที่เรียกว่า นินทานั่นแหละค่ะ ยิ่งคุณชอบนินทาคนอื่นมากเท่าไร เสน่ห์ในตัวคุณก็จะน้อยลงเท่านั้น และจะไม่ได้รับความเชื่อถือจากคนอื่น เพราะคนอื่นก็คิดว่าสักวันหนึ่งเขาคงตกเป็นขี้ปากของคุณได้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่เราเป็นคนชอบนินทาคนอื่นนั้น แสดงว่า เราเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง มีความรู้สึกไม่มั่นคง ก็เลยต้องอาศัยความผิดพลาดของคนอื่นเป็นฐานให้เราได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น มักจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง และไม่ชอบที่จะนินทาคนอื่น แต่จะชอบที่จะพูดถึงเรื่องที่ดีๆ ของคนอื่นแทน ซึ่งจะทำให้เขามีเสน่ห์ และมีเพื่อนมากมาย เพราะทุกคนมอบความเชื่อใจให้ ซึ่งส่งผลให้เกิดความสำเร็จในหน้าที่การงานได้อย่างมากทีเดียวค่ะ

ชอบโทษคนอื่นสำหรับความผิดพลาดที่ตนเองทำ คนเราทุกคนไม่ชอบความผิดพลาด แต่ทุกคนก็ต้องเคยผิดพลาดกันมาบ้างไม่มากก็น้อย พฤติกรรมของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ เวลาที่ตนเองทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็มักจะโทษบุคคลอื่น ว่าเป็นสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่เคยที่จะมองกลับมาที่ตัวเองว่าตนเองนี่แหละที่เป็นต้นเหตุของความผิดพลาดทั้งหมด ถ้าเรามีพฤติกรรมแบบนี้ ความสำเร็จก็ยากที่จะมาหาเราค่ะ

อิจฉาในความสำเร็จของคนอื่น คนที่มักจะไม่ประสบความสำเร็จนั้น มักจะมีพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาเห็นคนอื่นได้ดีกว่าเรา เรามักจะไม่ชอบ และเกิดความอิจฉาริษยา บางครั้งก็รู้สึกว่าโชคไม่เคยเข้าข้างเราเลย ทำไมคนอื่นถึงประสบความสำเร็จเอา แต่เรากลับไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย จากนั้นก็จะเริ่มเข้าพฤติกรรมในข้อ 1 ก็คือนินทาให้ร้ายคนอื่นที่ประสบความสำเร็จว่า เขาใช้วิธีการที่ไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ ก็มัวแต่ทำแบบนี้ไงค่ะ ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จซักที

ไม่เคยคิดที่จะพยายามให้หนักขึ้นกว่าเดิม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จะมีความพยายามที่สูงมาก มีความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหยุด ไม่เคยท้อ ไม่เคยถอย ถ้ายังไม่ได้ ก็จะพยายามมากขึ้นไปอีกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่คนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จก็จะคิดแค่ว่า ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นผลเลย ไม่ทำดีกว่า ไม่รู้จะทำไปทำไมชีวิตก็เลยมีแค่นี้ค่ะ หรือบางคนก็มัวแต่โทษฟ้า โทษดิน พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ก็เลยไม่พยายามอะไรเลย เพราะมัวแต่รอฤกษ์ยาม

ให้คนอื่นตัดสินใจแทน คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักจะเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจในชีวิตของตนเอง หลายครั้งต้องอาศัยคนอื่นในการตัดสินใจว่าตนเองควรจะทำอะไรดี ควรจะเปลี่ยนงานหรือไม่ ควรจะเรียนต่ออะไรดี ควรจะเลือกงานนี้หรือไม่ ฯลฯ ถ้าชีวิตเราเราไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็อย่าไปคิดถึงความสำเร็จอะไรเลยค่ะ เพราะมันก็คงเป็นได้แค่เพียงความฝันค่ะ

ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

เมื่อวานก็สายเกินแก้ พรุ่งนี้ก็สายเกินไป

เคล็ดลับการเป็นหัวหน้าที่ดี

เหล่าบรรดาหัวหน้างาน ผู้จัดการ หรือจะเรียกชื่อตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้จะขาดไม่ได้เลยก็คือ เขาต้องทำงานผ่านคนอื่น คนอื่นในที่นี้ก็คือ ลูกน้องของตนเอง การที่หัวหน้าคนหนึ่งจะทำงานผ่านคนที่เป็นลูกน้องได้ดีนั้น ไม่ใช่แค่เพียงการวางแผนงาน และเข้ามาควบคุมดูแลให้งานสำเร็จตามเป้าหมายเท่านั้น หัวหน้างานยังต้องทำหน้าที่ในการบริหารคน หรือบริหารความรู้สึกของคนในทีมงานอีกด้วย    มีหลายคนถามมาว่า มีสูตรสำเร็จหรือไม่ในการที่จะบริหารคนในทีมงานให้เกิดความรู้สึกที่ดีในการทำงาน และเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งมีแรงจูงใจในการทำงาน สูตรที่ว่านั้นมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไปมากมาย เพียงแต่มันติดตรงที่ รู้แล้วว่าเคล็ดลับคืออะไร แต่ไม่ค่อยมีหัวหน้างานคนไหนจะนำไปใส่ใจทำตามน่ะสิค่ะ ผลก็คือ หัวหน้างานไม่สามารถบริหารคนในทีมงานได้เลย คนเอาคนไม่อยู่สิ่งที่ตามมาก็คือ งานก็เริ่มหลุดแผน ผลสุดท้ายก็คือผลงานหัวหน้างานก็เริ่มแย่ลงไปด้วย ผลงานองค์กรก็ไปไม่ถึงเป้าที่ต้องการอีก จากประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับเหล่าหัวหน้างาน และผู้จัดการมือดี เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบริหารคนของเขา ก็พบว่า มันมีเคล็ดลับอยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ดิฉันก็เลยเอามาเล่าให้อ่านกันนะค่ะ เผื่อจะได้นำเอาไปใช้ในการทำงานได้ค่ะ

เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งที่ผู้จัดการที่ดีบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ถ้าหัวหน้างานอยากจะบริหารลูกน้องได้ดีนั้น ต้อง เอาใจลูกน้องมาใส่ใจเรา เราต้องเข้าใจเขาว่า เขากำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ลองดูว่าถ้าเป็นเราโดนเข้าแบบนั้นเราจะรู้สึกอย่างไร ลูกน้องเราเองก็เช่นเดียวกัน เช่น หัวหน้างานบางคนมักจะโวยวาย ตีโพยตีพาย และด่ากราดลูกน้องที่ทำงานไม่ได้ดั่งใจต่อหน้าลูกน้องคนอื่นๆ  เพื่อความสะใจของเขา ลองถามตัวเองดูว่า ถ้าเป็นเรา เราชอบมั้ยที่โดนหัวหน้าของเราด่ากราดแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น ขอให้ตอบอย่างจริงใจนะค่ะ (ดิฉันมั่นใจเลยว่า ไม่มีใครชอบหรอกค่ะ แต่ก็แปลกที่เรากลับชอบทำกับลูกน้องของเรา เหมือนกับว่าเราไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าโดนแบบนั้นเข้าเหมือนกัน) ให้เกียรติ และให้การยอมรับ หัวหน้างานที่ดีต่างก็ยอมรับว่า การให้เกียรติลูกน้องของเรา และการให้กายอมรับลูกน้องของเรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะทำให้เขาเกิดแรงจูงใจในการทำงานกับเรา การให้เกียรติก็คือ เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เราก็ไม่ควรเอามาพูดในที่สาธารณะ การพูดจาที่สุภาพ การปฏิบัติต่อลูกน้องเหมือนเขาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา ให้การยอมรับเขาในฐานะทีมงาน สิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มจากหัวหน้าก่อนทั้งสิ้น ทักทาย พูดคุย ถามทุกข์สุข ฯลฯ ลูกน้องเองก็จะรู้สึกว่า หัวหน้าให้การยอมรับเขา แรงจูงใจในการทำงานก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

ให้ความจริงใจ มีใครบ้างที่ไม่ชอบคนจริงใจกับเรา ลูกน้องเองก็เช่นกันค่ะ เขาเองก็ชอบหัวหน้างานที่จริงใจ ไม่มีอะไรลับหลังเขา ไม่ว่าจะเป็นการนินทาลูกน้องตัวเองให้หัวหน้างานคนอื่นฟัง การปฏิบัติต่อลูกน้องแบบต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง หรือพอลูกน้องทำงานได้ดี ก็ไม่มีคำชม หรือบางทีก็ชมแบบขอไปที ถามท่านที่เป็นหัวหน้าเองก็ได้ค่ะ ชอบมั้ยค่ะถ้าเจอหัวหน้างานแบบนี้บ้าง

ให้ความเป็นธรรม ปกติถ้าหัวหน้างานมีลูกน้องมากว่า 1 คน สิ่งที่หัวหน้างานจะต้องระวังก็คือ เรื่องของการปฏิบัติตนไม่เป็นธรรม เราเองอาจจะรู้สึกว่าเป็นธรรม แต่ลูกน้องกลับมองว่าไม่เป็นธรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทบกับความรู้สึกของลูกน้องได้ง่ายมากนะค่ะ ในการทำตัวของหัวหน้านั้น จะต้องคิดให้ดี ถ้าเราทำแบบนี้กับคนนี้แล้ว ถ้าเกิดกรณีแบบเดียวกันกับคนอื่น เราจะทำแบบนี้หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและเป็นธรรม แต่ถ้าคำตอบคือ ถ้าเป็นลูกน้องคนนี้ฉันจะไม่มีทางทำแบบนี้เด็ดขาด นั่นแสดงว่าท่านเองก็มีการเลือกปฏิบัติต่อลูกน้องตนเองแล้วล่ะค่ะ

รับฟังอย่างเข้าใจ ทักษะเรื่องของการฟังนี้จะว่าง่ายก็ง่าย หรือจะว่ายาก มันก็ยากนะค่ะ การฟังที่ดีก็คือฟังแล้วต้องไม่สรุปเอาเอง หรือเอาประสบการณ์ของเราเข้าไปตัดสินคนอื่น ต้องฟังอย่างเป็นกลาง และฟังอย่างเข้าใจลูกน้องของตน ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น หัวหน้าส่วนใหญ่ชอบพูดมากกว่าฟังอยู่แล้ว เพราะมองว่าตนเองเป็นหัวหน้าต้องเก่งกว่า ต้องพูดมากกว่า มิฉะนั้นแล้วจะสู้ลูกน้องไม่ได้ แต่ดิฉันว่าฟังให้เยอะไว้จะดีกว่านะค่ะ เพราะเราจะกลายเป็นหัวหน้าที่เข้าใจลูกน้องได้ดีกว่าหัวหน้าที่พูดอย่างเดียว

ห้าข้อดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่หัวหน้างานส่วนใหญ่บอกไว้เลยว่า นี่คือเคล็ดลับของการเป็นหัวหน้างานที่ดี จะสังเกตเห็นว่าไม่ต้องไปเรียนเทคนิคอะไรมากมายเลย แค่เพียงเราตั้งใจที่จะเป็นหัวหน้างานที่ดี และทำตามเคล็ดลับที่กล่าวมา โดยส่วนตัวดิฉัน ดิฉันถามตัวเองว่าถ้าหัวหน้าเราเป็นแบบ 5 ข้อนี้เราจะรู้สึกอย่างไร คำตอบที่ออกมาโดยไม่ลังเลเลยก็คือ เราจะรู้สึกดีมากๆ ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติตนแบบนี้กับลูกน้องของเรา ลูกน้องเราก็ย่อมจะรู้สึกดี และมีกำลังใจในการทำงาน รวมทั้งเกิดแรงจูงใจในการสร้างผลงานให้ดีขึ้นได้อีกมากมายค่ะ

หัวหน้าบางคนรู้ทฤษฎีในการบริหารคนมากมาย แต่ไม่สามารถอยู่ในใจของลูกน้องได้เลย นั่นก็คือ ไม่เคยนำสิ่งที่รู้มานั้นไปปฏิบัติจริง ที่มา : http://prakal.wordpress.com/

คุณลักษณะเด่นของผู้ประสบความสำเร็จ 10 ประการ

คุณลักษณะเด่นของผู้ประสบความสำเร็จ 10 ประการ

1. กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี ทุกคนก็รู้ แต่ก็มีน้อยคนที่จะยอมเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง เพราะความกลัวในเรื่องต่างๆ เช่นกลัวล้มเหลว, กลัวถูกปฏิเสธ และ กลัวเสียหาย เป็นต้น ดังนั้นเราต้องกล้าที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำในสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อยๆ โดยคิดว่าถ้าหากไม่สำเร็จก็จะได้ประสบการณ์ชีวิตเองจะทำให้เรากล้าทำมากขึ้น

2. มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนการจะประสบความสำเร็จ จะต้องกล้าที่จะตั้งเป้าหมายแล้วควรจะชัดเจนด้วย เพราะถ้าเราไม่มีเป้าหมาย ชีวิตของเราก็คงเดินไปเรื่อยๆ ไม่ถึงไหนซักที เพราะเมื่อมีเป้าหมาย เมื่อเราทำถึงแล้วจะได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มขึ้นไปอีก เราจะได้ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

3. เผชิญหน้ากับความล้มเหลวแล้วเริ่มใหม่

คุณลักษณะเด่นข้อนี้มีอยู่ในทุกคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะเขาจะลุกขึ้นมาได้ทุกครั้งที่เขาล้มเหลว แล้วมุ่งมั่นต่อไปจนในที่สุดไม่มีอะไรขวางกั้นเขาได้เพราะการทำงานทุกอย่างล้วนมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ถึงแม้ว่าเราจะเตรียมตัวไว้ดีแค่ไหน ก็อาจจะเจออุปสรรคที่ทำให้ล้มเหลวได้ ดังนั้นหากเราบอกกับตัวเองเสมอๆ ว่า ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องน่าละอาย แต่การไม่ลุกขึ้นมาทำต่อไปต่างหากที่เป็นเรื่องน่าละอายก็จะทำให้เรามุ่งมั่นสู่ความสำเร็จได้ไม่ยากเลยค่ะ

4. มุ่งมั่นในความคิดของตัวเองและทำจนกว่าจะสำเร็จคนเชื่อมั่นในตนเอง จำทำให้เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองด้วย แต่ก็ไม่ใช่ในความหมายว่าเป็นคนดื้อนะค่ะ แต่จะเป็นความหมายว่ามีจุดยืนของตัวเองไม่ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรในความคิดของเขา เขาก็จะมุ่งมั่นทำมันเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถทำมันได้ และจะภูมิใจในความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จในที่สุด หัวหน้าหลายคนทำให้ลูกน้องขาดความมั่นใจโดยไม่รู้ตัว เพราะจะคอยทักว่าไม่ดี ไม่ควรทำ เพราะหัวหน้าเห็นข้อจำกัดแต่จริงๆ แล้ว เท่ากับปิดกันไม่ให้ลูกน้องได้คิดเองทำให้สุดท้ายลูกน้องคนนั้น ก็จะไม่มีความคิดเลย แล้วก็จะเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองในที่สุด หลายคนที่เป็นหัวหน้าคนอยู่ ควรระวัง ข้อนี้ให้ดีนะค่ะ ต้องคอยยุให้เขาทำตามความคิดของเขาจนกว่าจะสำเร็จ

5. อยู่กับช่วงที่ตัวเองรู้สึกแย่น้อยกว่าช่วงที่ตัวเองรู้สึกดี     ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง คงไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่ดีไปตลอด และก็ไม่มีใครที่มีชีวิตแย่ไปตลอด เพียงแต่ว่าใครจะเผชิญกับความรู้สึกแย่และความรู้สึกดีมากกว่ากัน ซึ่งการเผชิญความรู้สึกนี้ก็คือจิตใจที่เราไปคิดกับเหตุการณ์นั้นๆเอง หากเราสามารถควบคุมความรู้สึกแย่ให้เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ แล้วพยายามรักษาความรู้สึกดีๆ ให้อยู่ในช่วงนานๆ หน่อย ก็จะทำให้ชีวิตมีความสุข และดำเนินชีวิตการทำงานไปได้อย่างราบรื่นแล้วจะประสบความสำเร็จในที่สุด

6. รับฟังคำวิจารณ์จากผู้อื่นได้ดี  ความรู้อยู่ในทุกๆ ที่ที่เราผ่านไป ดังนั้นการรับฟังผู้อื่นเป็นหัวใจสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำวิจารณ์จากผู้อื่น ถ้าหากใครสามารถรับฟังได้มากก็จะประสบความสำเร็จได้มาก เพราะสามารถแปลคำวิจารณ์เป็นสิ่งที่เราสามารถนำไปปรับปรุงได้ไม่ใช่ฟังว่าเขาว่าอะไรเรา ดังนั้นถ้าหากเราเป็นคนเปิดกว้าง ก็จะมีสิ่งต่างๆ เข้ามาหาเรามากขึ้น เราก็มีโอกาส เลือกสิ่งดีๆ ได้มากขึ้น ส่วนสิ่งไม่ดีเราก็ไม่ต้องรับเข้ามาแต่การรับฟังคำวิจารณ์ จะให้ผู้อื่นกล้าพูดกับเรามากขึ้น ทั้งหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง ทำให้เราทำงานผ่านผู้คนได้ดีขึ้น สุดท้ายเราก็จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จแน่นอน

7. มีทัศนคคิเชิงบวกในเรื่องต่างๆ มากกว่า

ทัศนคติเชิงบวกในที่นี้ หมายความว่า การที่เรามีความเชื่อมั่นในงานที่เราทำและพร้อมที่จะรับผลของความล้มเหลวโดยการให้กำลังใจตัวเอง เพื่อให้ทำอีกจนกว่าจะประสบความสำเร็จ และไม่จินตนาการเรื่องที่เลวร้ายก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง แต่จะคิดในด้านบวกเสมอๆ กับสิ่งที่ทำเพื่อให้อยากทำ และอยากประสบความสำเร็จเพราะจินตนาการผลลัพธ์ในด้านดีไว้แล้ว คนเราสามารถโต้ตอบกับสิ่งต่างๆ ทั้งด้านบวกและด้านลบได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเรา แต่ถ้าเราควบคุมทัศนคติเชิงบวกในเรื่องต่างๆได้มากเท่าไร เราก็จะลงมือทำเรื่องต่างๆ ได้มากเท่านั้น ผลลัพธ์หรือผลงานก็จะยิ่งออกมาดี แล้วก็จะเหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ทำกันอยู่ คือเป็นคนที่มีทัศนคติเชิงบวกมากกว่าคนที่ประสบความล้มเหลว

8. มีภาวะความเป็นผู้นำสูง     ผู้นำ คือ ผู้ที่มีผู้อื่นปฏิบัติตามในสิ่งที่เราอยากให้ทำด้วยความเต็มใจ ดังนั้นผู้นำจะต่างจากผู้จัดการค่อนข้างมาก เพราะผู้จัดการทำให้ผู้อื่นทำตามด้วยคำสั่ง แต่ผู้นำทำให้ผู้อื่นทำตามด้วยการจูงใจ ในชีวิตการทำงานเราคงต้องมีทั้งความเป็นผู้จัดการและความเป็นผู้นำ แต่ถ้าผู้จัดการคนใดมีภาวะความเป็นผู้นำสูง ก็ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า เรื่องของผู้นำคงต้องขอยกไปพูดในหัวข้ออื่นๆ เพราะเป็นเรื่องที่เยอะมาก เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่า ผู้ประสบความสำเร็จ จะมีภาวะความเป็นผู้นำภายในตัวเองสูง และผู้ตามก็อยากตามด้วยความเต็มใจ

9. ให้ความสำคัญกับผู้อื่นผู้ประสบความสำเร็จทุกคนไม่สามารถทำอะไรโดยลำพังได้เลย ต้องมีผู้อื่นร่วมอยู่ในงานนั้นๆ อยู่เสมอ ถ้าผู้ใดบอกว่าประสบความสำเร็จได้โดยลำพัง แสดงว่าผู้นั้นคงเข้าใจอะไรผิด บางอย่างแน่ๆ เลย เพราะไม่มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดทำงานสำเร็จได้เอง ดังนั้นการให้ความสำคัญกับผู้อื่นอย่างจริงใจจึงเป็นคุณลักษณะเด่นที่สำคัญ จะเห็นว่า ผู้ใดมีทีมงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นทีมเวิร์คผู้นั้นจะประสบความสำเร็จสูง การให้ความสำคัญผู้อื่นหมายถึง การทำให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในวิสัยทัศน์ , ค่านิยม และแผนงานของเรา ส่งเสริมให้เขาได้แสดงความสามารถของเขาให้เต็มที่ ยอมรับในคุณค่าของเขา และปฎิบัติต่อผู้อื่นดังนี้ จะประสบความสำเร็จแน่นอนค่ะ

10. ดำเนินเรื่องด้วยความไม่ประมาทผู้ประสบความสำเร็จ จะไม่กลัวความล้มเหลว คิดอะไรได้ก็จะลงมือทำทันที แต่เขาก็ไม่ได้ประมาท เพราะก่อนที่เขาจะลงมือทำนั้น ต้องมีข้อมูล และแผนงานที่ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้น เขาก็ยังไม่ทำ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือ เขามีขั้นตอนในการดำเนินชีวิตที่แน่นอน ไม่ยืนอยู่บนความเสี่ยงเด็ดขาดแต่ก็ไม่กลัวความล้มเหลวเมื่อลงมือทำแล้วก็จะทำให้ตลาดจนกว่าจะบรรลุผลสำเร็จ

 

ขอฝากคำคมไว้ว่า

เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ

กลเม็ดเด็ดใจเจ้านาย

  ในชีวิตการทำงานปัจจุบันของเราทุกคนจะมีความคุ้นเคยกับคำว่า เจ้านาย หรือ หัวหน้า เป็นอย่างดี และบางคนอาจเป็นทั้งเจ้านายและลูกน้องในเวลาเดียวกัน บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าการเป็นลูกน้องช่างลำบาก โดยอาจจะมองว่าดวงไม่ดีบ้าง เจ้านายไม่ดีหรือไม่มีความยุติธรรมบ้าง และบางครั้งก็เลยเถิดไปถึงรำพึงรำพันว่าเราเป็นเด็กไม่มีเส้น...แล้วจะทำอย่างไรให้เรามีความสุขในการทำงาน จงอย่าลืมว่าการแก้ (พฤติกรรม) คนอื่นยากกว่าแก้ (พฤติกรรม) ที่ตัวเราเอง ! บทความนี้คงพอจะเป็นแนวทางที่จะทำให้มีความสุขในการทำงานร่วมกับเจ้านายได้

1.รู้เขารู้เรา (รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง)   เป็นธรรมดาของหัวหน้าหรือเจ้านายทุกคน (โดยเฉพาะคนไทย) จะไม่ค่อยปรับตัวเข้าหาลูกน้อง เพราะฉะนั้นหากเราต้องการมีความสุขในการทำงานร่วมกับหัวหน้าเราก็ต้องปรับตัว...แล้วจะปรับตัวอย่างไร ก็ต้องดูว่าเจ้านายชอบทำงานแบบไหน เช่น รวดเร็ว สวยงาม ประหยัด หรือชอบตรวจงานจุดไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า (focus point) ถึงแม้เราจะไม่ชอบหรือขัดกับความเป็นตัวของตัวเอง (เพราะเราคงหาเจ้านายในความต้องการของเราได้ยาก) แต่ในเมื่อเราเลือกไม่ได้ เราก็ต้องทำไม่ใช่หรือ อย่าลืมว่าปัจจุบันทุกองค์กรต้องการคนที่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง (ready to change) เพราะองค์กรจะดำรงอยู่ได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือที่นิยมเรียกกันว่า "การบริหารการเปลี่ยนแปลง" (change management)

2.ให้มากกว่าสิ่งที่เจ้านายต้องการ   การทำงานในปัจจุบันและในความเป็นจริง (ซึ่งทุกคนต้องมีการทำงานแข่งกับเวลา) ไม่มีเจ้านายคนไหนที่สั่งงานเราแล้วมานั่งอธิบายทุกอย่าง เพราะเขาคาดหวังว่าเราต้องทำงานเป็นและคิดเป็น ดังนั้นจะเห็นว่าการสั่งงานของหัวหน้าในปัจจุบันจะสั่งน้อยแต่ต้องการงานตามที่ต้องการ (ซึ่งบ่อยครั้งที่เจ้านายไม่ได้บอกมาทั้งหมดว่าต้องการอะไรบ้าง) ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับคำสั่งแล้วมาคิดและลงมือทำ อย่างเช่น เลขาฯของผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่งต้องทำรายงานยอดขายสินค้าของแผนกต่างๆ ที่มีทั้งหมด 10 แผนกให้กับผู้จัดการเพื่อใช้ในการประชุมประจำเดือน ปรากฎว่านอกจากรายงานยอดขายที่เลขาฯต้องจัดทำตามคำสั่งแล้ว ยังได้เพิ่มรายชื่อลูกค้าที่ซื้อสินค้าสูงสุด 10 อันดับแรกในแต่ละแผนกให้กับเจ้านายเพื่อใช้ประกอบในการประชุม และได้ไปบอกกับผู้จัดการว่า "รายงานที่ท่านต้องการอยู่ในแฟ้มนี้และได้เพิ่มรายชื่อลูกค้าที่ซื้อสินค้าสูงสุด 10 อันดับแรกของแต่ละแผนกให้กับท่านด้วย เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการประชุม" คุณคิดว่าผู้จัดการจะรู้สึกอย่างไรที่มีเลขาฯอย่างนี้...แล้วคุณจะให้อะไรในการทำงานมากกว่าที่เจ้านายสั่งบ้างล่ะ

3.รุกก่อนรับ...  ดูหัวข้อแล้วเหมือนการแข่งขันกีฬา แต่จริงๆ แล้วในชีวิตการทำงานก็มีความจำเป็นไม่น้อย เพราะหากเรารอคำสั่งจากหัวหน้าเพียงอย่างเดียวชีวิตการทำงานก็คงไม่รุ่งแน่ เพราะคิดจะทำอะไรเองไม่เป็นและก็ไม่เป็นที่ต้องการขององค์กรด้วย เพราะฉะนั้นหากเราต้องการทำงานอย่างมีความสุขเราก็ต้องคิดและเข้าหาเจ้านายบ้าง เมื่อเข้าพบ (รุก) เราก็ควรแจ้งเจ้านายว่าจะทำอะไร เมื่อไร อย่างไร เพราะนั่นแสดงออกถึงความเอาใจใส่และรู้ปัญหาที่แท้จริงของเรา หรือไม่บางครั้งถ้าเรามีปัญหาในการทำงาน หากเราบอกหรือแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นแก่เจ้านายพร้อมแนวทางแก้ไขหรือขอคำแนะนำจากท่าน หัวหน้าก็จะมองว่าเราเป็นคนจริงใจและมีความรับผิดชอบ ซึ่งดีกว่าให้เจ้านายมาเจอในภายหลัง ซึ่งนั่นเราก็ต้องตั้งรับกับงานหรือปัญหาที่จะตามมา

4.ถอยก่อนบุก   ข้อนี้ส่วนมากจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีความรู้เฉพาะทางหรือบุคคลที่มีความรู้มีความมั่นใจในตัวเองสูง เช่น พนักงานฝ่ายช่าง พนักงานฝ่ายบัญชีการเงิน หรือพนักงานฝ่ายต่างๆ ที่มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ และโดยมากข้อนี้แหละที่จะทำให้คนมีปัญหาในการทำงานต่อกันมาก และหากเจ้านายไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องที่เราทำอยู่ด้วยแล้ว ก็มักจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดปัญหาได้ง่ายและบางครั้งงานบางอย่างที่สั่งจากเจ้านายมักได้รับคำตอบทันทีจากลูกน้องว่า ทำไม่ได้บ้าง มีปัญหานั่นปัญหานี่บ้าง คุณคิดว่าหากคุณเป็นหัวหน้าคุณจะชอบลูกน้องแบบนี้หรือไม่ ??? จริงๆ แล้วมันมีวิธีการสำหรับการตอบปฏิเสธหรือบอกปัญหาที่เจ้านายฟังแล้วรู้สึกดี เช่น เมื่อเรารับคำสั่งมาแทนที่เราจะตอบทันทีทันใด (ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าความจริงทำไม่ได้หรือมีปัญหา) เราก็ควรจะบอกว่าค่ะหรือค่ะ (ยอมถอยก่อน)...แล้วหายไปสักระยะเวลาหนึ่งแล้วมาแจ้งให้เจ้านายทราบว่า (บุก) "ท่านค่ะ ที่ท่านสั่งงานเมื่อตอนเช้าดิฉันได้ไปลงมือทำแล้ว (ทั้งที่ยังไม่ได้ทำ) ปรากฏว่ามีปัญหาดังนี้ค่ะ...." คุณว่าเจ้านายจะรู้สึกต่างกับครั้งแรกอย่างไร เพราะอะไรหรือ เพราะหากคุณตอบทันทีว่ามีปัญหาเจ้านายก็จะมองคุณว่าคุณตอบได้อย่างไรทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือทำเลย

5.ห้าม (ไม่ควร) ปฏิเสธ  โดยเฉพาะต่อหน้าบุคคลอื่น หรือในที่ประชุม อย่างที่กล่าวมาเจ้านายโดยเฉพาะคนไทย (ส่วนมาก) จะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดหรือพูดย่อมมีความถูกต้อง ดังนั้นการถูกปฏิเสธหรือโต้แย้งจากลูกน้องในที่ประชุม หรือสถานที่ที่มีบุคคลอื่นจำนวนมากจะเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ค่อยได้ ดังนั้นเราก็ควรระวังในการปฏิเสธหรือโต้แย้ง (ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถทำได้หากเรามีข้อมูลและทักษะในการปฏิเสธไม่ให้คนอื่นเสียหน้า) และอย่าลืมว่าในที่ประชุมหรือเรื่องที่เจ้านายพูดส่วนมากจะมีการศึกษาข้อมูล (ทำการบ้าน) มาเป็นอย่างดี และบางครั้งเจ้านายก็จะรู้ว่าลูกน้องจะโต้แย้งเรื่องอะไรอย่างไรบ้าง ซึ่งหากเจ้านายตอบโต้คุณกลับ (เพราะเจ้านายก็รู้เขารู้เรา) โดยไม่ไว้หน้าบ้างล่ะ...เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรรับฟังและใช้วิธีการในข้อ 4 ก็จะดีกว่า

6.รายงานผล   เรื่องนี้คนไทย (โดยนิสัย) จะไม่ค่อยชอบและจะมองว่าเมื่อเจ้านายสั่งงานแล้วก็ต้องไปตรวจงานเอง (บางงานที่นำมาส่งไม่ได้ หรือดำเนินการเสร็จแล้ว) เพราะมองว่าตัวเองทำตามที่ได้รับคำสั่งเสร็จแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วต้องบอกว่าใครที่คิดอย่างนี้ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพราะการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเจ้านายบางครั้งบางเรื่องก็ต้องรายงาน โดยเฉพาะงานที่ระยะการดำเนินงานค่อนข้างนาน เพราะการรายงานจะทำให้เจ้านายทราบว่าเราดำเนินการอะไรไปถึงไหนแล้ว และเจ้านายก็ไม่ได้มีเวลามาตรวจงานของเราตลอดเวลา (หากงานนั้นไม่สำคัญและด่วนสำหรับเจ้านาย)
ดังนั้นควรรายงานผลงานของเราเป็นระยะหรือทุกครั้งที่เราดำเนินการเสร็จ เพราะนอกจากจะทำให้เจ้านายทราบแล้วก็ยังสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีต่อกันด้วย.
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ  

สัญญาณบอกเหตุ…ถึงเวลาบอกลาบริษัท

สัญญาณบอกเหตุถึงเวลาบอกลาบริษัท
1. ฝันกลางวันบ่อยๆ แทนที่จะขะมักเขม้นกับการทำงาน กลับกลายเป็นว่าคุณเริ่มนั่งใจลอยฝันกลางวันมากขึ้น มองเห็นโลกแห่งความฝันดีกว่าโลกในความเป็นจริงที่มีงานกองเต็มอยู่ตรงหน้า
2. อยู่นิ่งมากขึ้น จากที่เคยขันอาสา กุลีกุจอรับทำงานพิเศษในแต่ละโปรเจ็กที่บริษัทจัดขึ้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณเฉยชากับสิ่งต่างๆ รอบตัว ไม่อยากหยิบจับอะไรเลย
3. เรื่องเล็กน้อยก็ทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้ เช่น แค่มีคนทำกาแฟหกที่พื้นทางเดิน ก็ทำให้คุณอารมณ์เสียไปตลอดทั้งวัน
4. ไม่เห็นจุดหมายของตัวเอง มองไม่ออกเลยว่าอีก 5 ปีข้างหน้าอนาคตจะอยู่ตรงไหนของบริษัท มองไม่เห็นว่าตำแหน่งต่อไปคืออะไร หรือไม่หวังที่จะได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว
5. ไม่ใส่ใจอะไรเลย ประมาณว่าเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างๆ กลับจากลาพักร้อน ถามไถ่คุณว่าช่วงที่เธอไม่อยู่นั้นสถานการณ์ในออฟฟิศเป็นอย่างไรบ้าง คุณบอกว่าไม่เห็นมีอะไรเลย เหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา (แล้วก็ผ่านไป) นั่นแหละ แสดงว่าคุณไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้างเลย
6. ใช้เวลาทานอาหารกลางวันยาวนานกว่าปกติ จากเมื่อก่อนที่มีความรู้สึกว่า เอาเวลานั่งเมาท์ช่วงพักเที่ยงไปทำงานดีกว่า แต่เดี๋ยวนี้คิดว่าใช้เวลาพักเที่ยงให้นานขึ้น จากชั่วโมงเดียวเอื่อยเฉื่อยไปถึงสองชั่วโมงได้โดยที่คุณไม่รู้สึกผิดอะไร แถมมีความสุขซะอีกคะ แต่จำไว้ว่า ความเบื่อจากการทำงานย่อมมีขึ้นและมีลง เป็นเรื่องปกติธรรมดา!!! อย่าถึงกับหมกมุ่นค้นหาคำตอบถึงขั้นลาออกหนีความทุกข์ไปเลย เพราะการออกจากงานโดยไม่มีงานใหม่รองรับ (ตกงาน) ยิ่งจะทำให้เซ็งชีวิตหนักขึ้น สมัยนี้ใช่ว่าจะหางานกันได้ง่ายๆ พานแต่ทำให้ความมั่นใจและกำลังใจต่างๆ ลดน้อยถอยลงถึงขั้นติดลบเอาง่ายๆ ฉะนั้น เซ็งงานเมื่อไหร่ให้รีบบอกตัวเองว่า "ล้มไปก็เป็นทุกข์ ลุกขึ้นมาสู้ดีกว่า" แม้ต้องฮึดหนักหน่อย แต่ก็คุ้มค่า
ที่มา:
By i-am-image.com

เคยไหม…ที่สุดแสนจะเซ็งกับงานเหลือเกิน

เคยไหมที่สุดแสนจะเซ็งกับงานเหลือเกินเบื่อหน่ายกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาเอามากๆเอาเป็นว่าเช้ามาทำงานแค่เห็นประตูออฟฟิศก็เบื่อแล้ว ส่วนช่วงระหว่างวันเอาแต่นั่งซังกะตายไม่ยอมพูดยอมจากับใคร เพราะเอาไปสมองคิดแต่เรื่องร้ายๆ ที่รังแต่จะบั่นทอนกำลังใจตัวเองลงไปทุกทีหากใครเป็นถึงขนาดนี้นับว่าอาการเข้าขั้นโคม่าทีเดียว! คงต้องรีบจัดการทำอะไรกับตัวเองสักอย่างแล้วล่ะ ก่อนที่ความเบื่อหน่ายจะสะสมเพิ่มพูนจนหลายสิ่งหลายอย่างบานปลายออกไป เพราะถ้าปล่อยให้ถึงวันนั้น คุณอาจได้แต่พร่ำบ่นกับตัวเองว่า "สายไปซะแล้ว!" สำหรับเรื่องที่ชอบคิดกันนักหนานั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น มองไปโต๊ะข้างๆ "ดูยายคนนั้นซิแค่ทำตัวเอ๋อไปวันๆ งานที่ทำก็ไม่หนักหนาและยุ่งเหยิง แต่ทำไมถึงได้แต่สิ่งดีๆ นะ" "ส่วนเธองานไม่เห็นจะยาก แต่ทำไมเงินเดือนมากกว่าฉันล่ะ" สรุปว่า คือ วันๆ มองหาแต่เหยื่อ หากเป็นถึงขนาดนี้แล้วเมื่อไหร่เล่าอาการเซ็งไร้สาระจะหายไปเสียที สาเหตุของความเบื่อที่ไร้ขอบเขตของคนทำงานนั้น ส่วนใหญ่มักเกิดจากเจ้านายเป็นอันดับหนึ่ง รองมาคือเพื่อนร่วมงาน ถัดมาคือลูกน้อง และข้อสุดท้ายคือเงินเดือน (น้อย แต่ใช้งานเกินคุ้ม) ทั้งหมดเป็นสาเหตุของความเบื่อก็จริง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก ทั้งนี้ทั้งนั้นอาการเซ็งสุดๆ อาจเกิดจากความคิดที่มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง และต้องการความสนใจจากเจ้านายมากเกินไป
ฉะนั้นพยายามนึกถึงตัวเองเข้าไว้ สร้างความเชื่อมั่นให้มากๆ มองตัวเองอย่างมีคุณค่า จะทำให้คุณสนุกและอยากทำงานมากขึ้น ก่อนที่คุณจะแก้ปัญหาแบบ short term คือ ลาอออกไป ลองกลับมานั่งคิดด้วยเหตุด้วยผล ศึกษาแต่ละจุด เพื่อทำความเข้าใจตัวเองให้ถ่องแท้กันก่อน อันดับแรกหัดสร้างคุณค่าให้ตนเองเสียก่อน

การให้คุณค่าตัวเอง
จะว่าไปแล้วคนเรานี้ก็แปลก ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทำไมคนนั้นเก่งจัง ทำไมเขามีแต่ใครๆ ชื่นชม แต่เรากลับแย้แย่ จนนึกเกลียดความไม่สวย ไม่รวย ไม่โก้ ไม่เด่น ไม่หรู ไม่เก่ง และไม่ได้ดังใจ ถ้าไม่รู้จักหัดปลื้มตนเองและให้คุณค่าตนเองละก็คุณจะกลายเป็นคนทุกข์ใจตลอดไปอย่าไม่จบสิ้นความน้อยเนื้อ ต่ำใจในจุดด้อยตัวนี้แหละที่คอยบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของคุณมากที่สุดบรรดาสิ่งดีๆที่คุณเห็น ในตัวคนอื่นนั้นน่ะลองหันกลับมามองตนเองสิใช่ว่าคุณจะไม่มีเสียเลยเพียงแต่คุณอาจจะไม่ได้นำมาใช้บ่อยเหมือนเขาเท่านั้นเอง "ฉันเห็นความคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงของเพื่อนร่วมงานฝ่ายเดียวกับฉัน ซึ่งทำให้เธอประสพความสำเร็จในการนัดหมายลูกค้า ทำให้การเจรจาทำสัญญาสำคัญต่างๆ ของบริษัทสำเร็จบ่อยครั้ง นั่นเพราะเธอเข้าหาลูกค้าถึงออฟฟิศเลยทีเดียว ผิดกับฉันที่ชอบนัดเจรจาในห้องประชุมออฟฟิศตัวเอง กว่าจะนัดได้แต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่น้อย แต่ฉันไม่ได้ท้อแท้นะ เพราะเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วเอาใหม่ ฉันลุยหาลูกค้าทั้งหลายถึงออฟฟิศหมดทุกคน ปรากฏว่าเดือนต่อมาฉันสามารถทำยอดขายทะลุเป้าให้กับบริษัท จนหัวหน้าเอ่ยปากชม" จิรวดี จิตตานุธรรม พนักงานฝ่ายการตลาดวัย 27 ปี ของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง

ให้ผิดเป็นครู
เวลาคุณทำอะไรผิดพลาดอย่าไปฟูมฟายโทษตัวเองมากมายนัก คิดดูแล้วกัน
ยังมีคนอีกเยอะแยะที่ผิดพลาดมหันต์ยิ่งกว่าคุณ ใครๆ ก็ทำผิดกันได้ (อย่าบ่อยนัก) ทำอะไรทุกอย่างคิดเผื่อความล้มเหลวไว้บ้าง พยายามคิดให้มี Safe T-Cut ไว้ก่อน

ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเอง
ต้องเปลี่ยนตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกจนถึงรูปลักษณ์ภายใน "การตัดผมใหม่ ทำสีผมใหม่ แต่งหน้าแนวใหม่ ทำให้ชีวิตฉันมีชีวิตชีวา มองสิ่งรอบตัวอย่างท้าทายและสนุกสนานขึ้น

อย่าลืมว่าคุณอยู่ที่นี่เพื่ออะไร
จำให้ได้ว่า "คุณอยากได้อะไรจากงาน
แล้วงานให้กับอะไรกับคุณ" จงมองหาเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จอยู่เสมอ เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่เคว้งคว้างเลื่อนลอยกับการทำงาน สำหรับบางคนอาจมีเป้าหมายเพียงเพื่อเก็บเงินท่องเที่ยวตามประสาสาวโสด ส่วนบางคนอาจหวังถึงการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว แต่งานที่ชอบก็สำคัญ เพราะหากคุณมัวแต่ทำงานที่ตัวเองไม่สนใจไปวันๆ และไร้ประโยชน์ในระยะยาว คุณคงต้องเซ็งกับงานแน่ๆ

สร้างอารมณ์ในการทำงาน
'แรงบันดาลใจ' สำคัญที่สุด หากคุณไม่มีสิ่งนี้คุณจะเอากำลังใจจากไหนมาฮึดสู้ มันคงเกิดเองได้ยาก ก่อนอื่นให้ย้อนมองดูตัวเอง นิสัยเสียๆ ที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไปดีกว่า แล้วมาคิดว่าทำอย่างไรให้ตัวคุณคงความกระตือรือร้น ไม่ให้ถอยกลับไปสู่ความเบื่อเดิมๆ อีก ลองออกไปข้างนอกซะบ้าง หายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าปอด รับแสงแดดซะหน่อย ดื่มน้ำสักแก้ว ทำอารมณ์ให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า หรือทำอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณสามารถยิ้มออก เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้อาจทำให้คุณหายเซ็งขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เริ่มต้นจากการมองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง

คนเราไม่สามารถทำงานคนเดียวเพียงตามลำพังได้ แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่มากก็น้อย การทำงานร่วมกับบุคคลอื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ ซึ่งคนที่คุณจะต้องทำงานร่วมด้วยอาจเป็นได้ทั้งคนที่อยู่ภายในหรือภายนอกหน่วยงานของคุณเอง หากคุณสามารถปรับตัวเองให้ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ คุณย่อมจะได้รับความร่วมมือ การยอมรับ และความช่วยเหลือต่าง ๆ ในการทำงาน รวมทั้งการได้รับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในหน่วยงานและองค์กรของคุณเป็นอย่างดี   การทำงานร่วมกับบุคคลอื่นเป็นสิ่งที่ยากหรือไม่บางคนมีพฤติกรรมที่สามารถปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี แต่บางคนประสบปัญหาในการทำงานร่วมกับบุคคลต่าง ๆ โดยจะเห็นได้จากการไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือร่วมมือใด ๆ รวมทั้งการไม่ได้รับข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการ  ดังนั้นความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญและควรฝึกฝนให้มีขึ้น ขอให้คุณคิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างมากมายหากคุณสามารถเข้ากับผู้อื่นได้ดี และเมื่อคุณได้รับการยอมรับและความร่วมมือจากบุคคลต่าง ๆ แล้วหล่ะก็ ย่อมจะส่งผลให้คุณเองก็มีความสุขและสนุกกับงานที่ทำอยู่ และในที่สุดก็จะส่งผลต่อเนื่องไปยังความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวคุณเองทั้งนี้การพัฒนาทักษะหรือความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยาก และสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้  สรุปว่า การทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ประสบผลสำเร็จได้นั้น คุณควรเริ่มต้นจากการมองตัวคุณเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวคุณเองให้เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ มีความจริงใจในการให้ความช่วยเหลือ การประนีประนอม การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น รวมทั้งการให้ข้อมูลที่ชัดเจน .ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมจะทำให้คุณมีเสน่ห์และสร้างความประทับที่ดีกับบุคคลอื่นที่คุณต้องทำงานร่วมด้วย

ขอฝากคำคมไว้ว่า ความพยายามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ