Category Archives: เรื่องเล่า/นิทาน

นิทาน ...สิงโตมีรัก


สิงโตตัวหนึ่งไปพบลูกสาวของคนตัดฟืนเข้า มันเกิดนึกรักลูกสาวของคนตัดฟืนขึ้นทันที ที่ได้พบเห็น..และด้วยอำนาจของความรักนั่นเอง มันจึงเข้าไปหาบิดาของหญิงคนนั้น และได้บอกขอลูกสาวให้มาเป็นภรรยาของมัน คนตัดฟืนไม่ยินดีที่จะให้ลูกสาวแต่งงาน กับสัตว์ที่มีชื่อเสียงในทางที่ว่าน่ากลัว แต่เขาก็กลัวว่าถ้าเกิดปฏิเสธไป บางทีมันอาจจะ คิดทำร้ายเอาก็เป็นได้ คนตัดฟืนครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขอยู่เป็นนาน และในที่สุดเขาก็ คิดอุบายขึ้นมาได้ เขาได้พูดบอกกับสิงโตไปว่า"เรารู้สึกยินดีเป็นยิ่งนักที่ท่านลดตัว ลงมาขอลูกสาวของเรา แต่ท่านนั้นมีเขี้ยวมีเล็บอันแหลมคมน่ากลัวมิใช่หรือ? จะมีหญิง คนใดเล่าที่จะอยากเป็นภรรยาของท่าน ขอท่านจงโปรดไปถอดเขี้ยวถอดเล็บออกให้หมดเสียก่อน เถิด แล้วบางทีตอนนั้นลูกสาวของเราอาจจะรับรักของท่านก็อาจเป็นได้" สิงโตเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ดีใจ มันรีบกลับไปจัดการถอดเขี้ยวเล็บของมันออกจนหมดสิ้น ครั้นแล้วก็กลับมาหา คนตัดฟืนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้รับมันเป็นลูกเขย และเมื่อถึงตอนนั้น...คนตัดฟืนก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องยำเกรงสิงโต ที่ปราศจากเขี้ยวและเล็บอีกต่อไป เขาได้คว้าตะบองไล่ตะเพิดลูกเขย ผู้ที่เขาไม่พึงปรารถนาให้ออกไปเสียจากบ้านและหนีเข้าป่าไปแต่โดยเร็ว....บางครั้งความรักก็อาจที่จะทำให้คุณตาบอดได้
Sometime love is.... make you blind.

นิทาน... ไก่ที่ไข่เป็นทองคำ

มีสองผัวเมียอยู่คู่หนึ่งเลี้ยงไก่แล้วเกิดโชคดี ได้ไก่ที่เกิดความกตัญญูต่อผู้เลี้ยงเป็นอย่างมาก ไก่ประหลาดตัวนั้นจะออกไข่ที่เป็นทองให้ทุกวัน...วันละใบ.. วันละใบ...และในทุกๆวันสองผัวเมีย ก็จะนำไข่นั้นไปขายเพื่อแลกเป็นเงิน ดังนั้นเขาทั้งสองจึงอาศัยอยู่อย่างสุขสบาย โดยไม่คิดที่จะทำมาหากินอะไรให้เหนื่อยกาย เพราะมีไก่ที่ออกไข่เป็นทองให้ทั้งตัวนั่นแหละ...จึงได้แต่เที่ยวเล่นสำเริงสำราญฟุ้งเฟ้อ อยู่ทุกวัน โดยไม่คิดเก็บสะสมหรือคิดห่วงอนาคตของตนเลย แต่อย่างใด... แล้วเหตุก็เกิดขึ้นมาในวันหนึ่งเข้าจนได้ เมื่อทั้งสองนึกอยากที่จะได้เงินมากกว่าที่เป็นอยู่ " เฮ้อ.. ไก่ออกไข่ให้ ได้แค่วันละใบ ยังไง ๆก็ไม่พอใช้ มีทางไหนนะที่จะได้เงินมามากๆทีเดียวก้อนใหญ่นะ " ยายเมียพูดบ่นขึ้นมาอย่างหัวเสีย
" อ้อ...ข้านึกออกแล้วและมันต้องเป็นความคิดที่ดีแน่ๆเลย..นี่แกลองผ่าทองไก่ตัวนี้ดูสิ...ฉัน ว่าข้างในท้องของมันจะต้องมีไข่ที่เป็นทองมากมายอัดแน่นอยู่แน่ๆ แกว่าไหม ? " ตาผัวเมื่อได้ฟังดังนั้น และด้วยเป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง จึงเออ...ออตามยายเมียโดยไม่ได้หยุดคิดอะไรให้รอบครอบ เขาพูดว่า "ใช่แล้ว..ข้าก็เห็นด้วย ว่าน่าจะจริง มาเรามาผ่าท้องของมันดู เพื่อเอาทองมากๆกันดีกว่า
  ทั้งสองช่วยกันจัดการฆ่าไก่ตัวนั้นเสีย แล้วใช้มีดผ่าท้องของมันดู ผลปรากฏว่า ไม่มีแม้แต่เศษทอง หรืออะไรที่ จะเอาไปแลกเป็นเงินได้เลยอยู่ในนั้น ทั้งสองยืนหน้าซีดและโศรกเศร้า " ฮื่อ ๆๆ หมดเลย..หมดแล้ว นี่ถ้าเราไม่โลภมาก ก็ยังมีไข่ทอง ตั้งวันละใบ ไปใช้แลกเงินได้ตลอดชีวิต น่าเสียดายจริง ฮื่อๆๆๆ " จะมาคิดได้ในตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว... เพราะ ไก่ตัวนั้นมันได้ตายลงไป เพราะมือและความคิดโง่ๆ ของตัวเองนั่นแหละ....สองผัวเมียเลยอดที่จะมีไข่ทอง ไปขายแลกเงินและ อยู่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อน  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทำอะไรควรคิดให้รอบคอบและควรพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

นิทาน..ลมกับดวงอาทิตย์

ครั้งหนึ่งลมและดวงอาทิตย์ถกเถียงกันว่าใครจะคือผู้ที่มีพลังแข็งแกร่ง น่าเชื่อถือมากกว่ากัน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะใช้วิธีตัด สินโดยการทดสอบให้เห็นชัดว่า หากผู้ใดสามารถทำให้นัก เดินทางที่เดินทางผ่านมาผู้หนึ่ง ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออก จากตัวของเขาได้ เมื่อนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า..แรกเลยลมเป็นฝ่ายเริ่มแสดงก่อน มันได้รวบรวมพลังที่มีอยู่ทั้งหมด เป่าลมที่มีความเย็นรุนแรงและโหดร้ายโหมกระหน่ำ เข้าปะทะร่างของนักเดินทางผู้นั้นอย่างแรง นักเดินทางรีบกระชับเสื้อคลุม ที่เขาสวมใส่ให้แนบตัวอย่างแนบแน่นเพื่อไม่ให้มันสะบัดไปได้ตามแรงของลม

คราวต่อไปดวงอาทิตย์ก็เริ่มฉายแสงอันเจิดจ้า แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรง ขับไล่เมฆ และความหนาวเย็น ไปจนหมดสิ้น นักเดินทางผู้นั้น รู้สึกเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า มากขึ้น...มากขึ้น ด้วยความร้อนเขาก็เดินต่อไปไม่ไหวเสียแล้ว และ ด้วยความเหนื่อยอ่อนเขาได้ถอดเสื้อคลุมของเขาออกและขว้างทิ้งลงไปที่พื้น จากนั้นก็ทรุด ตัวลงนั่งด้วยความอ่อนเพลียเพราะเหงื่อที่ไหลออกมาจนเปียกชุ่มไปทั้งตัวและเมื่อเขามองไปเห็นแม่น้ำและด้วยร้อนจนสุด ที่จะทนทานได้ ชายผู้นั้นจึงถอดเสื้อผ้าที่เขายังมีหลงเหลืออยู่ออกทั้ง หมดแล้วกระโดดลงไปในแม่น้ำ เพื่อหวังที่จะช่วยให้ผ่อนคลาย ความร้อน...ดังนั้นดวงอาทิตย์จึงเป็นฝ่ายชนะในการแข่งขัน ครั้งนี้ไปตามระเบียบ.....

                                      นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

                                     ทำอะไร ควรใช้เหตุผล มากกว่าใช้กำลัง

นิทาน การเดินทางของชีวิต

นานมาแล้ว...มีพระราชา ผู้ซึ่งบอกกับคนขี่ม้าของเขาว่า
" ....ถ้าเขาสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไรก็ตาม
พระราชาจะยกที่ดินนั้นให้กับเขา "
คนขี่ม้าจึงควบม้าของเขาไปอย่างรวดเร็ว เพื่อครอบครองที่ดินให้มากเท่าที่จะทำได้ เขาเร่งควบม้าไปเรื่อยๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหว ....... เมื่อเขาหิวหรือเหนื่อย เขาจะไม่หยุดควบม้า เพราะเขาต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเขาหมดแรง และกำลังจะตาย
เขาจึงถามตัวเองว่า....
" ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน? ตอนนี้เรากำลังจะตายและเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็กๆ เพื่อฝังศพตัวเอง "
เรื่องข้างต้นก็เหมือนการเดินทางของชีวิตเรา....
เราผลักดันตัวเองอย่างทุกวันเพื่อให้ได้เงินมากๆ มีอำนาจ และเป็นที่ยอมรับ พวกเราละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตัวเอง และคนรอบข้าง.... เราไม่มีแม้เวลาที่จะให้กับครอบครัว และชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว หรือแม้กระทั่ง งานอดิเรกที่เรารัก เราก็ไม่มีแม้เวลาที่จะทำมัน   วันหนึ่งเมื่อเรามองกลับไป .... พวกเราจะตระหนักว่า สิ่งที่ต้องการนั้น จริง ๆ เรากลับไม่ได้มันมาทั้งๆที่มันอยู่ใกล้เสียเหลือเกิน ..... แต่สิ่งที่เราขวนขวาย และพยายามไขว่คว้า มันกลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเราเลย....
แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราพลาดไป
ชีวิต ไม่ใช่การสร้างเงิน สร้างอำนาจ หรือการยอมรับ
ชีวิตไม่ใช่การทำงาน งานไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสนุกกับความงาม และความพึงพอใจของชีวิต
แต่ ชีวิตคือ ความสมดุลของงานและการเล่น ครอบครัวและเวลาส่วนตัว .......
สิ่งที่คุณคิด : มันจะกลายเป็นคำพูด
คำพูดของคุณ : มันจะกลายเป็นการกระทำ
การกระทำของคุณ : มันจะกลายเป็นนิสัยติดตัว
นิสัยของคุณ : มันจะกลายเป็นบุคลิก
บุคลิกของคุณ : มันจะกลายเป็นโชคชะตา
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ตัวคุณที่จะกำหนดตัวคุณเอง

นิทาน....ขออีก 1 นาที

ดิฉันมีเรื่อง ขออีก 1 นาที จากหนังสือ ด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

  มาเล่าให้ฟังครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นทำอะไรชักช้า และค่อนข้างขี้เกียจ ทุกๆเช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่าง แทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นละ เจี๊ยบจึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที"คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้ 1 นาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้น แล้วแกจะรู้สึก"การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน และการทำโทษให้วิ่งรอบสนามก็ไม่ได้ทำให้เจี๊ยบจดจำเลยแม้แต่น้อย เขากล้าต่อรองแม้แต่กับครู วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย แต่พอรุ่งเช้าเจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที ... ขออีก 1 นาที" ตลอดจนในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยากสักพักเจี๊ยบก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน 

เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า "แม่ล่ะครับพ่อ""แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก"อ้าว ทำไมไม่รอผม" เจี๊ยบร้อง เขาอยากไปบ้านสวนของยายมาก"แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอ ก็ทำให้แม่ตกรถได้ นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปรถสายประจำ แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่"แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอกผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ 

เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของ พ่อซีดขาวราวกับกระดาษ"รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้งทันทีที่สองพ่อลูกไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน 

แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป "แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น"แม่ แม่ ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่เขาต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่"พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้"คำพูดนั้นทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้า แม่อีก "เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า ผมรักแม่ ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาแต่ไม่มีใครฟังเสียงเด็กชายเจี๊ยบ พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัดและหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้าย...แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่าตัดเจี๊ยบมารู้อีกในภายหลังว่า รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ คนๆนั้นอยากได้เงินมากๆ แต่ไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุพ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตนเอง ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงไร เพราะ 1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่ ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ 

แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริงๆ เขากลับไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่...ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ ำไป...ไม่มีเลย

นิทาน..ความรักกับกาลเวลา

ดิฉันมีเรื่อง ความรักกับกาลเวลา มาเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเรื่องเล่า
ระหว่างสาวสวยและหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งรักกันอย่างดูดดื่ม...
ทั้งสองได้สาบานว่าแม้ความตายก็มิอาจจะพรากรักอันแสนจะมั่นคงนี้ลงได้และในครั้งนั้นยังมีแม่มดตนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่า
ไม่มีสิ่งใดที่จะแน่นอนเท่าความไม่แน่นอน แม่มดไม่เชื่อว่าความรักของทั้งสองจะมั่นคง จึงคิดหาทางพิสูจน์ขึ้นมา
นางกล่าวว่า "หากพวกเจ้ามั่นใจในรักของอีกฝ่ายซึ่งยั่งยืนแม้ว่าความตายจะพรากดังนั้นข้าก็อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร...
ข้าขอสาปให้นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกสักกี่ชาติ
บุรุษนี้จะไม่มีทางจำเจ้าได้เขาจะไม่สามารถจำได้ว่าเคยรักเจ้า
และตรงกันข้ามกับเจ้า เจ้าจะเป็นคนที่จำทุกอย่างได้
เพราะเจ้าจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไปไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่มีวันตายจะอยู่อย่างนี้นิรันดร... เจ้าจะจำเวลาที่เคยรักเขาเคยเป็นที่รัก
และต้องเฝ้ารอการกลับมาของเขาในชาติแล้วชาติเล่าตลอดกาล"... วันใดก็ตามที่เจ้าทำให้เขารู้ตัวว่ารัก เจ้าทำให้เขาจำเจ้าได้วันนั้น...คือวันที่ความเป็นนิรันดร์ของเจ้าสิ้นสุดลง...
เจ้าจะแก่และตายตามสภาพของอายุขัยที่ควรเป็น... และคราวนี้ก็จะเป็นทีของเจ้าหนุ่มนั่นแทนเขาจะต้องเป็นคนที่ค้นหาเจ้าบ้าง..."หลังจากนั้นมา ปีแล้วปีเล่า เวลาผ่านไปศตวรรษทบศตวรรษ
ที่หญิงสาวเฝ้าตามหาชายหนุ่มคนรัก
และทุกครั้งที่เธอได้พบเขาในสภาพของใครคนหนึ่ง
ที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย...
เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาจำเธอได้
แต่มันไม่เคยสำเร็จชาติแล้วชาติเล่า...
หลังจากการเกิดและดับของเขาผ่านไปนับสิบครั้ง
เขาก็ยังไม่อาจระลึกได้ถึงความรักของเธอ...
ความทุกข์ทรมานของหญิงสาวถูกเฝ้าดูอย่างเย้ยเยาะ
โดยนางแม่มดผู้รอคอยเวลาที่หญิงสาวจะยอมรับว่า...
รักแท้ที่แม้ความตายก็ไม่อาจพรากไม่มีจริง
แล้วนางแม่ มดก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ในช่วงหลังๆ
มาหญิงสาวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ชายหนุ่มระลึกถึงตน
ไม่พยายามให้ชายหนุ่มรักตน แต่กลับทำทุกอย่างที่คิดว่า
จะทำให้เขามีความสุขและทำให้เขาเกิดรอยยิ้มแทน...
แล้ววันหนึ่งนางแม่มดก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
จึงปรากฏตัวเพื่อเอ่ยถามกับตัวหญิงสาวเอง...
"...เจ้าได้ละทิ้งความพยายามของเจ้าเสียแล้วล่ะหรือ...
ความพยายามที่จะพิสูจน์ให้ข้าเห็นอำนาจและพลังของรักแท้
ที่เหนือกว่าอำนาจใดๆแม้กระทั่งคำสาปของข้า..."
"จริงๆแล้ว ข้าก็มีเหตุผลของข้า" หญิงสาวตอบนางแม่มดกลับไป
"...ข้าไม่ได้ละทิ้งความพยายาม...เพียงแต่...
ข้ากลัวว่าความพยายามของข้าจะสัมฤทธิ์ผล...แล้ว"
"...แล้วเจ้าก็ต้องแก่และตาย" นางแม่มดต่อให้ด้วยเสียงเย้ยหยัน
"ที่แท้เจ้าก็กลัวที่จะตายเจ้ากลัวจะสูญเสียความเป็นอมตะของเจ้า...เฮอะนี่หรือรักแท้ของเจ้า" หญิงสาวไม่ปฏิเสธ
นางเผชิญหน้ากับนางแม่มดและรับคำกล่าวหานั้น
"อาจใช่...มันเป็นความจริงที่ข้ากลัวว่าหากข้าทำให้เขาจำข้าและรักข้าได้ข้าจะต้องตายจากเขาไป"
"และเจ้าก็ไม่เชื่อใจว่าเขาจะทำให้เจ้าจำได้เช่นนั้นหรือ
?"
หญิงสาวจ้องหน้าแม่มดนิ่งอยู่ ก่อนตอบ
"สิ่งที่ข้าเกรงไม่ใช่เรื่องนั้น...ท่านรู้อะไรไหม...
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ข้าเฝ้าเดินทางตามหาเขา
เฝ้ารอคอยวันแล้ววันเล่ารอวันที่เขาจะกลับมาหาข้าอีกครั้ง...
ตลอดเวลาที่ข้าเฝ้ามองการเกิดและการตายของเขา
มันคือความทรมานอันยาวนานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
...และสำหรับข้าความทุกข์อันแสนสาหัสคือ
การได้เห็นความทรมานของผู้เป็นที่รักโดย
ที่เราไม่อาจเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือได้... หลายครั้งที่ข้าอยากให้ตัวข้าเห็นแก่ตัวพอที่จะพยายามทำให้เขารักทำให้เขาระลึกถึงข้าได้อีกครั้งเพื่อที่ข้าจะได้เป็นอิสระต่อการพันธนาการนี้...
แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมันความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับเนื่องจากการรอคอยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ทำให้ข้าคิดได้ ...ข้าไม่อาจให้เขาต้องแบกรับความรู้สึกทรมานเช่นที่ข้าได้รู้สึก...ความรักของข้าอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะตัดสินใจพยายามให้เขาจำข้าได้ต่อไปและจากนี้ต่อไปแม้ว่าข้าจะต้องรอคอยไปชั่วนิรันดร์ สิ่งเดียวที่ข้าจะทำคือข้าจะทำให้เวลาของเขา มีแต่ความสุขเท่าที่พลังของข้าจะทำได้ ข้าอาจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาก็จริง แต่ข้าก็ยังอยากเห็นรอยยิ้มของเขา... ข้าอาจเป็นคนอ่อนแอในสายตาของท่าน อย่างไรก็ตาม นี่ก็คือความรักของข้าคือสิ่งที่ข้าเป็น... แม้ชีวิตของข้าจะต้องเดียวดายตลอดกาล แต่ข้าก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า คนที่ข้ารักจะไม่มีวันเดียวดายเช่นตัวข้า... เพราะเขาจะมีข้าข้างกายเขาชั่วนิรันดร์..." ในชีวิตของเรามีหลายช่วงต่อหลายช่วงที่เราคิดว่าเรารักใครสักคนมากมายเหลือเกินและหลายต่อหลายครั้งที่ความรักของเราก็ต้องการความรักตอบกลับมาหลายคนฟูมฟายกับโชคชะตาว่ารักที่ไม่ได้รักตอบคือการสูญเวลาเปล่า...แต่มีหลายต่อหลายคน...ที่ดีใจกับโชคชะตาที่เกิดมาสักครั้งแต่ยังได้รักใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ... ทุกอย่างในชีวิตมีทางเลือก... ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกทางไหน...หรือคุณจะเลือกหรือไม่
?คุณจะเลือกทางไหน?... เปิดประตูรับความรักเข้ามา
เพื่อเติมความอบอุ่นให้กับหัวใจแม้เพียงช่วงหนึ่งของชีวิต...
หรือจะมัวแต่ฟูมฟายโทษตัวเองกับความรักที่ให้ไปแต่ไม่ได้รักตอบ...
??ทางเลือกเป็นของคุณ...

นิทาน..นกแสนสวยกับถั่วของอาบัง

วันนี้ดิฉันมีเรื่อง นกแสนสวยกับถั่วของอาบัง   มาเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกแสนสวยตัวหนึ่ง มีขนสวยงามมาก มีคนอยากได้ไว้ครอบครองเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนจับนกตัวนั้นได้เลย มีอยู่มาวันหนึ่งมี อาบัง ขายถั่ว มานั่งใต้ต้นไม้ที่มีนกแสนสวยอยู่ พอนกแสนสวยเห็นถั่วของอาบังก็เกิดอยากกินขึ้นมา จึงร้องบอกอาบังว่า            

นก :  “อาบัง อาบัง ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ ..

อาบังได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับไปว่า...            

อาบัง  :  “ได้เลย ได้เลย แต่ขอขนให้ชั้นเส้นนึงนะ”..

พอนกได้ยินดังนั้น ก็ก้มลงมองที่ขนขงตนเอง แล้วคิดว่า ขนของตนเองนี่มีเยอะมาก เสียไปสักเส้นคงไม่เป็นไรหรอก นกแสนสวยก็เลยให้ขนอาบังไปหนึ่งเส้น แล้วก็ลงไปกินถั่วของอาบัง..             ..วันต่อมา.. นกแสนสวยก็บอกกับอาบังอีกว่า..           

นกแสนสวย  :  ”ขอถั่วให้ชั้นกินหน่อยสิ”                

อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า...            

อาบัง  : “ ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน”                       

..นกแสนสวยก็คิดเหมือนเดิมว่าขนมันยังมีอยู่เยอะก็เลยให้ขนอาบังไปอีก

เป็นอย่างนี้ต่อไปอีกหลายวัน จนวันหนึ่ง...

นกแสนสวยก็ขอถั่วอาบังกินอีก   อาบังก็ตอบเหมือนเดิมว่า ขอขนให้ชั้นเส้นหนึ่งก่อน นกก็ไม่รีรอ รีบให้ขนอาบังไปทันที แล้วลงมากินถั่วของอาบัง อาบังก็เลยจับนกตัวนั้นไว้ได้ เพราะว่าขนของมันเหลือน้อยแล้วไม่สามารถที่จะบินหนีอาบังได้..

ข้อคิด            เรื่องนี้ถ้าอ่านผ่านไปอาจจะไม่ได้อะไรเลยนะครับ  แต่ถ้าเราลองคิดให้ดี เปลี่ยนจากนกแสนสวยเป็นตัวเรา...             “ ขนของนกแต่ละเส้น   ก็คือเวลาของเราที่ต้องเสียไป             แล้วอาบัง   ก็เป็นนายจ้างของเราไง              ส่วนถั่วที่อาบังให้    ก็เหมือนกับเงินเดือนที่นายจ้างให้เรา น่ะครับ..

แล้ว    ขณะนี้คุณเหลือขนอีกกี่เส้น..???

นิทาน คนโง่

ดิฉันมีเรื่อง  คนโง่    มาเล่าให้ฟัง 

เด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีนิสัยรั้น ชอบอวดเก่ง เห็นใครทำอะไรเขาก็ทำตามได้ และคิดว่าตนเองทำได้ดีกว่าผู้อื่นเสมอ วันหนึ่ง เด็กหนุ่มเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ พลันสายตาเหลือบเห็นผู้เฒ่าสองท่านกำลังนั่งตกปลา แต่ละท่านเต็มไปด้วยมาดเคร่งขรึม แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ชำนาญการตกปลาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ผู้เฒ่ากระตุกคันเบ็ด ก็ได้ปลาทุกครั้ง  ทันใดนั้น ผู้เฒ่าท่านหนึ่งลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตานั้นเอง ผู้เฒ่าท่านนี้กระโดดไปบนผิวน้ำทีละก้าว...ที่ละก้าว จนไปถึงฝั่งตรงข้าม เพื่อหยิบเหยื่อปลา แล้วกระโดดที่ละก้าวกลับมาที่เดิม   และในเวลาต่อมาไม่นานนัก ท่านผู้เฒ่าท่านที่สอง ได้ลุกขึ้น พร้อมกระโดดที่ละก้าว....ทีละก้าว..... ข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามของแม่น้ำเหมือนผู้เฒ่าคนแรก นำปลาที่เพิ่งตกได้ใส่ข้อง  แล้วกระโดดกลับมานั่งที่เดิม   เด็กหนุ่มถึงกลับตะลึง ไม่คาดฝันว่าผู้เฒ่าทั้งสอง สามารถเดินบนผิวน้ำได้ เหมือนมี
วิชาตัวเบา  เด็กหนุ่มเห็นดังนั้น ด้วยความอววดเก่งไม่คิดหน้า คิดหลัง จึงลองกระโดดเหมือนผู้เฒ่าบ้าง แต่เขากลับจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำทันที   สองผู้เฒ่าได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มจนขึ้นฝั่งได้แล้ว ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งมองเด็กหนุ่มด้วย  ความสมเพช แล้วจึงบอกว่า  " เจ้าเด็กโง่... พวกเรานั่งตกปลาที่นี่มานานนับสิบปี เรารู้ดีว่า ที่แม่น้ำนี้ตรงไหนมีตอไม้ให้เราเหยียบได้บ้าง เราก็เลยกระโดดข้ามไปได้เหมือนมีวิชาตัวเบาสามารถเหยียบบน
ผิวน้ำได้ เจ้าเด็กโง่... เจ้ายังไม่รู้อะไร เจ้าจะทำตามได้อย่างไร เจ้าเด็กโง่ "  ก่อนเด็กหนุ่มจะได้รู้เคล็ดลับของผู้เฒ่า เล่นเอาเขาเกือบจมน้ำตาย นิทานเรื่องนี้สอนว่า การที่จะทำอะไรให้ประสพผลสำเร็จ เราต้องศึกษาให้ถ่องแท้ว่าผู้ที่เขาประสบความสำเร็จ เขามีเคล็ดลับอะไร มีประสบการณ์มาอย่างไร อย่าตัดสินว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันง่าย เหมือนอย่างที่เราเห็น เพราะมันสามารถทำให้เราจมน้ำตายได้

นิทาน ผู้หญิงไม่เคยทำอะไร

วันนี้ดิฉันมีเรื่อง นิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา   เรื่อง   ผู้หญิงไม่เคยทำอะไร มาเล่าให้ฟัง 

ดาหวันสมัครเข้าทำงานในบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเธอก็ได้รับโอกาสให้ทำงานเป็นเลขาฯ ของชาคริต ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบริษัทแห่งนี้ ดาหวันตั้งใจทำงานมาก เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุดที่ได้งานนี้หน้าที่ของดาหวันคือ เข้าไปจัดห้องทำงานเตรียมพร้อมไว้ก่อนที่ชาคริตจะเข้าบริษัทฯ และคอยเป็นมือขวาช่วยติดต่อประสานงานต่าง ๆ ให้ การจัดห้องทำงานของชาคริตทำให้ดาหวันรู้สึกว่าเจ้านายของเธอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เพราะเขาตั้งรูปถ่ายที่ถ่ายร่วมกับภรรยาและลูกสาวเอาไว้บนโต๊ะทำงานด้วย       "ภรรยาคุณชาคริตสวยมาก ลูกสาวก็น่ารักน่าชัง คุณชาคริตคงรักครอบครัวของเขามาก" ดาหวันพูดกับตัวเอง มาภายหลังเธอจึงรู้ว่าภรรยาของเจ้านายชื่อ กันยา       แต่ผ่านไปสามเดือน ดาหวันก็จับข้อสังเกตอย่างหนึ่งได้ เธอไม่เคยเห็นกันยามาหาชาคริตที่บริษัทเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ออกจากบ้านไปไหนเลยด้วยซ้ำ ดาหวันเห็นเจ้านายของเธอแอบแวบไปห้างสรรพสินค้าในเวลาพักเที่ยงบ่อย ๆ เพื่อหาซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้าน บางครั้งทั้ง ๆ ที่งานยุ่ง แต่ถ้ามีโทรศัพท์จากกันยามาสั่งซื้อของ ชาคริตจะหาเวลาไปซื้อสิ่งนั้นมาเก็บไว้ในรถเพื่อนำกลับไปให้เธอในตอนเย็นจนได้         ดาหวันเฝ้ามองการกระทำของเจ้านายด้วยความแปลกใจ เหตุใดผู้ชายคนหนึ่งจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อภรรยาของเขาได้ถึงขนาดนี้ เธอไม่เคยเห็นสามีคนไหนเป็นแบบชาคริตมาก่อน และก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนไม่ยอมทำอะไรเองสักอย่างแบบกันยามาก่อนด้วย       วันหนึ่งชาคริตงานยุ่งมาก เขามีประชุมด่วนติดต่อกันถึงสามแห่ง จึงไหว้วานดาหวันให้ช่วยไปรับลูกสาวจากโรงเรียนอนุบาล และซื้อของใช้บางอย่างกลับไปให้ภรรยาของเขาที่บ้านด้วย       "ได้ค่ะเจ้านาย" ดาหวันยิ้มรับคำ แต่ในใจนึกอิจฉากันยาว่า ทำไมถึงเกิดมาสบาย และเป็นที่รักของสามีอย่างนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร อยากได้สิ่งไหน สามีก็จัดหา หรือทำให้หมด ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเองสักอย่างเดียว       "คุณส่งลูกสาวผมแค่หน้าปากซอยก็พอ ผมโทรฯ บอกให้พี่เลี้ยงของเขาออกมารอรับอยู่แล้ว ข้าวของที่ซื้อมาก็ฝากพี่เลี้ยงกลับไปได้เลย"       "ค่ะ" ดาหวันรับคำอีก แต่ในใจก็นึกปรามาสกันยาขึ้นมา    "แม้แต่ลูกของตัวเองก็ยังไม่ออกมารับ ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยหรือไงนะ"      ยอมรับว่าดาหวันจะอิจฉากันยามากขึ้น เจ้านายของเธอก็ไม่เห็นจะเคยปริปากบ่นที่ภรรยาของเขาไม่ทำเลยสักอย่าง ซ้ำยังดูเหมือนจะมีความสุขที่ได้ทำทุก ๆ อย่างให้ภรรยาและลูกด้วยตัวเองอีกด้วย ดาหวันอิจฉากันยาเสียจริง นี่เธอจะมีโอกาสได้สามีที่แสนดีอย่างนี้บ้างไหมนะ    วันหนึ่ง กันยาโทรศัพท์เข้ามาขอสายสามี แต่ชาคริตไม่อยู่ ดาหวันเป็นผู้รับสาย เธอบอกไปว่า"คุณชาคริตไปพบลูกค้า ติดต่อไม่ได้ คิดว่าคงจะปิดโทรศัพท์มือถือไปแล้วล่ะค่ะ"       "แย่จริง ดิฉันต้องการความช่วยเหลือจากเขาด่วนเสียด้วยสิ"กันยาบอก       ดาหวันรู้สึกไม่พอใจ นี่ผู้หญิงคนนี้ไม่คิดจะทำอะไรด้วยตัวเองบ้างหรืออย่างไรนะ ต้องใช้ให้สามีช่วยนั่นช่วยนี่ตลอด แต่ดาหวันก็พูดออกไปอย่างรักษามารยาทว่า       "คุณกันยามีอะไรเดือดร้อนล่ะคะให้ดิฉันช่วยแทนไหม"       "ดิฉันปวดฟันมากเหลือเกินค่ะ อยากให้สามีพาไปหาหมอฟัน แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะกินยาแก้ปวดไปพลาง ๆ ก่อน ถ้าเขามาแล้ว รบกวนคุณช่วยบอกเขาให้รีบกลับบ้านด้วยนะคะ"  ดาหวันวางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดใจ ทำไมเจ้านายของเธอถึงไปเลือกผู้หญิงอย่างนี้มาเป็นภรรยานะ ดูเธอสิ ขยันขันแข็งทำนั่นทำนี่สารพัด แต่ไม่เห็นจะมีผู้ชายดี ๆ มาชอบสักคน สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย       ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ชาคริตยังไม่กลับมา แม้ดาหวันจะไม่พอใจกันยา แต่เธอก็รู้สึกว่าคนที่เป็นเลขาฯ ควรจะทำทุก ๆ อย่างแทนเจ้านายได้ ดังนั้นดาหวันจึงตัดสินใจขับรถไปหากันยาที่บ้าน เผื่อว่าจะพอช่วยแบ่งเบาภาระอะไรชาคริตได้บ้าง       เมื่อไปถึง ดาหวันไม่เห็นใครอยู่บ้านเลย กดกริ่งเรียกเท่าไรก็ไม่มีคนมาเปิด ดาหวันลองผลักประตูรั้วดู ประตูไม่ได้ใส่กุญแจไว้ เธอจึงเดินเข้าไปในบ้าน พยายามมองหาใครสักคน จนมาถึงห้องห้องหนึ่ง เธอจึงได้ยินเสียงผู้หญิงในห้องร้องขึ้นอย่างดีใจว่า       "คุณคะ คุณกลับมาแล้วหรือ ฉันรอคุณมานานแล้ว"       ดาหวันจำได้ว่า เสียงนี้คือเสียงของกันยา เธอตอบกลับไปว่า "ไม่ใช่ค่ะคุณกันยา ดิฉันดาหวัน เลขาฯ ของคุณชาคริตค่ะ"       ตอนนั้นเองที่กันยาผลักประตูเปิดออกมา ดาหวันจึงได้เห็นกันยา ภรรยาของเจ้านายเป็นครั้งแรก ดาหวันตกใจจนเผลอหลุดปากร้องออกมา    "คุณพระช่วย!"       กันยามีหน้าตาที่งดงามดังเช่นภาพถ่าย แต่เธอต้องนั่งรถเข็นเพราะเธอไม่มีขาทั้งสองข้าง       "คุณดาหวันมาถึงที่นี่ มีอะไรรึเปล่าค่ะ" กันยาถาม ดูเหมือนว่าเธอไม่ถือสากับคำอุทานนั่นเลย "อะ..เอ่อ...คือคุณชาคริตยังไม่กลับมาเลยค่ะ ดิฉันก็เลยแวะมาดูคุณกันยา เผื่อว่าคุณต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน"

กันยายิ้มแล้วตอบว่า "ขอบคุณค่ะ ดิฉันปวดฟันมากจริง ๆ แต่มีแค่ชาคริตเท่านั้นที่จะพาดิฉันไปได้ เพราะเขาแข็งแรงพอที่จะอุ้มฉันขึ้นลงจากรถเข็นได้ แล้วยังพับเก็บรถเข็นได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย แต่สำหรับคนอื่นดิฉันคงเป็นภาระมากทีเดียว"
        จากนั้นกันยาจึงเชิญดาหวันไปที่ห้องรับแขกและเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเธอให้ดาหวันฟัง       "ดิฉันแต่งงานกับคุณชาคริตมาได้สามปีถึงมีลูกสาวคนนี้ คืนหนึ่งเราสองคนขับรถกลับจากต่างจังหวัด และเกิดอุบัติเหตุอาการสาหัสทั้งคู่ คุณชาคริตรักษาตัวจนหายดี แต่ดิฉันต้องเสียขาทั้งสองข้างไป"       "ดิฉันเสียใจด้วยนะคะ" ดาหวันบอก และรู้สึกสงสารกันยาขึ้นมาอย่างจับใจ    กันยายิ้มแล้วบอกว่า "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตอนนี้ดิฉันไม่เสียใจอีกแล้วที่ต้องเสียขาทั้งสองข้างไป เพราะสิ่งนี้เองทำให้ดิฉันรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก มีสามีที่ดีซึ่งรักและจริงใจกับดิฉัน ไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามยาก"
เมื่อกันยาพูดจบ ชาคริตก็ปรากฏกายขึ้นพอดี เขามองดาหวันด้วยความแปลกใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะพบเธอที่นี่ ก่อนจะตรงรี่เข้ามาหอมแก้มภรรยาแล้วถามเธอว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง       "คุณกันยาปวดฟันมากค่ะเจ้านาย ดิฉันแวะมาดูแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้ คงมีแต่เจ้านายเท่านั้นละค่ะที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด" ดาหวันตอบแทนกันยา และขอตัวลากลับ ชาคริตจึงอาสาเดินมาส่งเธอหน้าบ้าน พร้อมกับกล่าวว่า  "ขอบคุณมากนะครับคุณดาหวันที่อุตส่าห์แวะเข้ามาดูแลภรรยาของผม ถ้าไม่รังเกียจคุณจะเข้ามาคุยกับเธอบ่อย ๆ ก็ได้ ท่าทางกันยาจะชอบคุณมาก เพราะตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุเธอก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนไหนเลย"  ดาหวันยิ้ม และตอบชาคริตว่า "ดิฉันเองก็ชอบคุณกันยามาก และจะแวะมาคุยกับเธอบ่อย ๆ แน่นอนค่ะ"ดาหวันคิดจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ เธอรู้สึกผิดมากที่เคยอิจฉากันยาโดยไม่รู้ว่ากันยาต้องตกอยู่ในสภาพที่ลำบากขนาดไหน ต่อไปดาหวันจะทำดีกับกันยาให้มาก และขอเป็นเพื่อนที่จริงใจที่สุดคนหนึ่งของเธอ       
       เรื่องนี้สอนใจว่า ความอิจฉาไม่ทำให้ใครมีความสุขขึ้นมาได้หรอก ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน ความอิจฉาเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความคิดไม่ดี และความคิดไม่ดีก็มักจะบีบรัดหัวใจของเราให้เจ็บแสนเจ็บ ปวดแสนปวด ถ้าเราเจ็บเพราะความอิจฉา มีแค่วิธีเดียวที่จะทำให้เรารอดพ้นจากความเจ็บนั้นนั่นก็คือเลิกอิจฉาเสีย    
       เมื่อเห็นใครได้ดีมีความสุข ขอจงร่วมยินดีไปกับเขาเถิด อย่าได้อิจฉา อย่าได้คิดไม่ดีกับเขา อย่าได้เฝ้ารอวันที่ความสุขของเขาจะจางลงหายไป ใช่ล่ะ บางคนดูเหมือนจะมีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตตลอดเวลา แต่รู้หรือเปล่าว่า สำหรับบางคน ความสุขที่ทำให้ต้องอิจฉาจนเผลอคิดไม่ดีกับเขานั้น อาจเป็นเรื่องดี ๆ เพียงเรื่องเดียวที่ทั้งชีวิตของเขาเพิ่งพบเจอมาก็ได้ แล้วจะไปซ้ำเติมเขาด้วยความอิจฉาของเราอีกทำไม       ดังนั้น จงร่วมดีใจในความสุขของผู้อื่นเสมือนนั่นคือความสุขของเราเอง แล้วเราจะได้รับความสุขจากสิ่งนั้นโดยมิต้องขวนขวายให้เหนื่อยแรงแต่อย่างใด       

นิทาน คนขายสุนัขกับลูกสุนัขทั้งเจ็ด

ดิฉันมีเรื่อง      มาเล่าให้ฟัง  คนขายสุนัขกับลูกสุนัขทั้งเจ็ด

 มีร้านค้าแห่งหนึ่งติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าวก็มีเด็ก ๆ แวะเวียนเข้ามาเล่นมาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง
 วันหนึ่งขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และถามว่า "มีอะไรให้ช่วยหรือไม่"
  "เพื่อนของผม บอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ?" เด็กชายบอกอย่างสุภาพ    "อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ" เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดีแล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา
 เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาทีละตัว เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น  "ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?" เด็กชายถาม       เจ้าของร้าน ตอบว่า "อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ ๆ ของมันไม่ได้" สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน     ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ด ๆ เห็นได้ชัดว่า มันพยายามคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ซึ่งดูท่าทางจะชอบเขามาก  เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า "หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?"        
       "ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ" เจ้าของร้านตอบ   เด็กชายนิ่งอึ้งไป ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น  "ผมมีเงินไม่ พอซื้อหมาตัวนี้" เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ   เจ้าของร้าน รีบบอกทันทีว่า "โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรี ๆ ไปเลย" เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับอย่างไม่พอใจว่า "ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?"
  "ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อม ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัว อื่นดีไหม?"  เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า "คุณอาดูอะไรนี่สิครับ" ว่าแล้วเขา ก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น   เจ้าของร้าน จึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบ เช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้
"คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ?" เจ้าของร้านได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา    เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า "ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่น ๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือนจนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?"  เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชาย และกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอ โทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป ซึ่งเขาบอกกับเด็กชายไปว่า ไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่า ถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตัดสิน "คุณค่า" จากรูปลักษณ์ภายนอก