Category Archives: การทำงาน

การบริหารงานมืออาชีพ

การบริหารงานมืออาชีพ มิได้อยู่ที่การบริหารตัวคุณคนเดียวเท่านั้น นักบริหารที่ประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ การสั่งสมประสบการณ์ในระยะยาวของตนเอง ตลอดจนการทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของ “ผู้อื่น” อย่างละเอียดลึกซึ้ง และเรียนรู้วิธีการบริหารงานที่ถูกต้อง เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่องค์การได้วางไว้นั่นเองค่ะ
ต้องยอมรับกันว่าเรื่องราวของการบริหารคนนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่มีมานานและต้องนานมากทีเดียวเมื่อมนุษย์จำเป็นต้องมีการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ มีกิจกรรมทางธุรกิจหรือการดำเนินงานร่วมกัน และไม่ว่ายุคสมัยใดพัฒนาการขององค์กร ธุรกิจ สังคม รวมถึงประเทศชาติจะถูกเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือกระแสทุน ที่มโหฬารปรับให้เปลี่ยนแปลงไปนับร้อยเท่าพันทวี เรื่องการบริหารคนจะยังคงเป็นสิ่งที่ธำรงแก่นแท้หลักหนึ่งในการบริหารองค์กร ความสำเร็จขององค์กรหรือหน่วยงานที่เจริญก้าวหน้าเติบโตในกระแสโลกาภิวัตน์ สามารถพิจารณาได้จากสิ่งต่างดังนี้เช่น
-ด้านผลประกอบการ หรือความสามารถในการทำกำไร ที่นำมาซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจระดับประเทศ การจ้างงานให้คนในชาตินั้นได้มีอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว
-ด้านการสร้างสรรค์ และธำรงไว้ ซึ่งความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งนี้จะแตกต่างจากองค์กรที่มักจะบอกว่า เราทำอะไรผิดกฎหมายหรือไม่ หรือไม่เห็นมีใครว่าในสิ่งที่เราทำ เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่ลักษณะขององค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม
-ด้านการบริหารจัดการภายใน ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่วนหนึ่งที่จะดูกันมากคือ การบริหารคนตั้งแต่การว่าจ้าง สรรหาคนให้เข้ามาทำงาน การเลื่อนตำแหน่งแต่งตั้ง การให้รางวัลในด้านคุณงามความดีและทำคุณประโยชน์ให้องค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการบริหารคน ถ้าเป็นระบบอุปถัมภ์ (Spoil System) องค์กรนั้น ถือว่าล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า แม้ว่าอื่นๆ จะดีหมดเพราะสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงเปลือกหรือการสร้างภาพทางการตลาดเท่านั้นเอง

ผู้นำที่บ้าอำนาจ ลุแก่อำนาจ

ในโลกเรานี้ล้วนแต่มีความแตกต่างมากมาย ทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ และหลากหลายความคิดเห็น ทุกท่านคงเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และได้มีโอกาสเป็นผู้บังคับบัญชาด้วยกันทั้งนั้น แต่จะมีท่านใดบ้างที่โชคดีที่มีผู้นำที่รู้ใจ เข้าใจและเห็นอกเห็นใจลูกน้องของตน มีผู้นำประเภทหนึ่งค่ะ ที่ลูกน้องไม่อยากมี ไม่อยากได้และไม่อยากร่วมงานด้วย ก็คือ ผู้นำที่บ้าอำนาจ ลุแก่อำนาจ ซึ่งผู้นำประเภทนี้ เป็นเรื่องที่ลูกน้อง ต้องทำ
ใจจริงๆค่ะ หากเจอหัวหน้างานอย่างนี้...
เรามาดูกันดีกว่าว่า ผู้บริหารในกลุ่มนี้นั้น เขาต้องการอะไรจากการทำกระทำที่บ้าแก่อำนาจ เช่นนั้น....

1. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ ส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานมานาน อยู่เหนือคนมานาน ดังนั้น เขาจะเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาทำ ในสิ่งที่เขาตัดสินใน สิ่งที่เขาตัดสินใจไปต้องถูกต้องเสมอ ทั้งๆที่บางที ก็เป็นการตัดสินใจอย่างโง่เขลาก็มี.... แต่คนที่มีประสบการณ์หรือทำงานมานาน มักจะมีเหตุผลเป็นทุนเดิม ดังนั้น คนกลุ่มนี้ ต้องทำใจเย็นๆ ฟัง แล้ววิเคราะห์ อย่าเอาเรือไปขวางขณะน้ำยังเชี่ยว แต่เมื่อมีโอกาส หรือ เขาอารมณ์ดี เดินเข้าไป ขอคำปรึกษา เลยค่ะ ดิฉันขอเน้นว่า ขอคำปรึกษา เพราะ ผู้บริหารกลุ่มนี้ ไม่ต้องการให้ใครเก่งกว่า หรือ เด่นกว่า การยอมรับโดยขอคำปรึกษาเค้าๆจะตอบสนอง ความต้องการพื้นฐานของเขาแล้วส่วนหนึ่ง ... จากนั้น ค่อยๆ ถาม หรือ สมมุติ เหตุการณ์เพื่อให้เขา อธิบายสิ่งต่างๆ คุณจะพบกับคำตอบบางอย่างที่น่าทึ่งก็เป็นได้ค่ะ

2. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ บางคน เกิดจากการกดดันจากทางบ้าน เป็นประเภท ขาดภาวะผู้นำจากที่อื่น เลยมาระบายเอาที่ทำงาน อย่างเช่น มีภรรยาดุ เป็นต้น คนกลุ่มนี้ บ้าอำนาจแบบชอบขู่ ชอบตะคอก ไร้เหตุผล ต้องหาจุดอ่อนของเขาให้เจอครับว่า เขามีจุดเด่น หรือ จุดด้อยที่ใด คุณถึงจะสามารถหาทางที่ถูกต้อง เพื่อทำให้การบ้าอำนาจเบาบางลง คนกลุ่มนี้ไม่ค่อยตอแยกับคนที่รู้จุดอ่อนของเค้าหรอกค่ะ

3. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ ที่ได้อำนาจจากบุคคลอื่น อย่างเช่น พ่อแม่เป็นเจ้าของบริษัทฯ หรือ มีหุ้นส่วนในบริษัทฯ บางคนก็บ้าอำนาจคิดว่าอำนาจเป็นของเขา ให้มองผ่านคนกลุ่มนี้ไปเลยค่ะเขาจะรักษาอำนาจเหล่านี้ได้ไม่นาน อำนาจที่เขาทำ จะย้อนกลับมาเล่นงานเขาเอง ทำใจให้ยอมรับกับบุญเก่าของเค้า. เมื่อกรรมใหม่มาทันก็จะได้เห็นกัน.... ที่หลายๆท่านมักพูดกันว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า

4. ผู้บริหารที่บ้าอำนาจ เพราะ คิดว่าตัวเองมีความสำคัญกับองค์กรมาก จะทำอะไรก็ได้... ผู้นำแบบนี้น่ากลัวค่ะ ถ้าเขาสำคัญจริง เจ้าของกิจการบางคนก็ไม่กล้าให้เขาออก คนกลุ่มนี้ มีจุดอ่อนที่เขากุมความลับบางเรื่องอยู่ ลองเรียนรู้ว่าเขากุมความลับอะไร แล้ว ทำให้ความลับไม่เป็นความลับดูสิ เขาจะหมดอำนาจไปในฉับพลัน แต่ดิฉันไม่แนะนำให้ชนนะค่ะ ต้องค่อยๆกระจายความรู้ออกไปสู่สาธารณะ ให้สุนัขจนตรอกมีหนทางหนีบ้าง ไม่อย่างนั้น สุนัขจนตรอกจะแว้งกัดเราค่ะ ที่มักพูดกันว่า อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม

ผู้นำต้องเป็นคนที่เดินไปข้างๆพร้อมกัน

ผู้นำต้องเป็นคนที่เดินไปข้างๆพร้อมกัน ไม่ใช่เดินนำหน้าเสมอ เปรียบเสมือนดัง ฝูงห่านที่มีการสับเปลี่ยนกันเป็นหัวหน้าในแต่ละสถานการณ์มีการทำงานเป็นทีมและมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อีกทั้งยังต้องขายฝัน สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุก
คนโดยจะต้องสร้างภาวะความเป็นผู้นำให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใต้บังคับบังคับบัญชา เพื่อให้เป็นผู้นำที่มีการคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ มีจินตนาการ และมีนวัตกรรมค่ะ
การที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา มีภาวะความเป็นผู้นำแบบใหม่ ที่มีความรับผิดชอบ และสามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้คล้ายกับฝูงห่านนั้น ให้สังเกตว่าลักษณะการบินของห่าน จะเป็นรูปตัว "V" และมีการเปลี่ยนตัวผู้นำทางอยู่เสมอ ๆ ห่านแต่ละตัวก็จะผลัดกันเป็นผู้นำ ทาง มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ เมื่อถึงคราวจำเป็น สลับกันเป็นหัวหน้า ลูกน้อง และเป็นผู้ ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยแก่ฝูง และเมื่อเปลี่ยนงาน ห่านก็จะรับผิดชอบตามโครงสร้าง ของกลุ่มที่กำหนดไว้ ภาวะความเป็นผู้นำแบบใหม่ ที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกับฝูงห่านนั้นจะ ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน สามารถที่จะเป็นผู้นำในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบผลการปฏิบัติงานนั้นๆ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้เอง นอกจากนั้นภาวะความเป็นผู้นำ แบบใหม่ ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยทุก ๆ คนมีส่วนร่วมใน การวางแผนการตัดสินใจ รวมทั้งการแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งก่อให้เกิดความรักความสามัคคี และ มีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือทำให้หน่วยงานของตนมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม หานเฟยจื่อ นักคิดในสมัย เลียดก๊ก ได้เขียนไว้ใน "คัมภีร์ทั้งแปด" ว่า "คนที่ใช้แต่กำลังตนเอง เป็นสุภาพชนชั้นต่ำ
คนที่ สามารถใช้กำลังคนอื่น เป็นสุภาพชนชั้นกลาง
คนที่สามารถใช้สติปัญญาคนอื่น เป็น สุภาพชนชั้นเลิศ"

การบริหารงาน...ในยุคไร้พรหมแดน

ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไร้พรมแดน ส่งผลให้โลกแคบลง เทคโนโลยี และความรู้ทาง วิทยาการใหม่ๆเกิดขึ้น และถูกส่งต่อไปทั่วโลก อย่างไร้ขีดจำกัดผ่านช่องทาง อินเตอร์เน็ต เทคโนโลยีและ การรับรู้อย่างรวดเร็วเหล่าส่งผลในด้านความ เป็นส่วนตัวน้อยลง ความผิดพลาดในอดีตที่ถูกเก็บเอาไว้ เป็นความลับได้รับการเปิดเผยมากขึ้น ความโปร่งใส จริยธรรม ถูกตั้ง
เป็นประเด็นอย่างเข้มข้นในการ บริหารงานองค์กรในทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ความสำคัญตกอยู่ที่ผู้นำองค์กร ได้แก่ กรรมการบริษัทซึ่งเป็น ผู้กำหนด นโยบาย และ CEO ผู้วางกลยุทธ์ในการ
ดำเนินการ จำเป็นต้องตระหนักในความเปลี่ยนแปลง เหล่านี้ด้วย และต้องปรับ ตัวให้ทันยุค เพราะทุกวันนี้หมดยุคเถ้าแก่เป็น
จอมบงการหรือ อัศวินม้าขาว แล้ว อีกทั้งกฎหมายเกี่ยวกับ สังคมก็รุนแรงมากขึ้นในการคุ้มครองความปลอดภัย และสวัสดิภาพ
ของผู้บริโภค
ผู้นำยุคเก่า มีสถานะเป็นแบบเถ้าแก่ ใช้อำนาจตัดสินในทุกเรื่อง ไม่มีการกระจายอำนาจ เข้าไปยุ่งทุก เรื่องจนลูกน้องเกร็งไม่ต้อง
ทำอะไร อิงสามัญสำนึกของผู้นำอย่างเดียว ขาดการฟัง ความคิดเห็นของลูกน้อง อาศัยโชคชะตาและหมอดูเข้าช่วย ความสำเร็จ เกิดขึ้นก็ภูมิใจจนเคลิ้ม พอล้มเหลวก็โทษโชคชะตาหรือ คนอื่นทำให้เกิด ไม่มีการวางแผนและคำนวณผลลัพธ์ล่วงหน้าอย่างดี
บางคนทำธุรกิจตามใจชอบเหมือน เลือกเบอร์แทงหวย ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่จะได้เป็นที่ตั้ง บ้างก็เอาเปรียบลูกค้า ยังไม่พอ หัน มาเอาเปรียบพนักงานด้วยเพื่อกอบโกยความร่ำรวย ชอบใช้สินบนกับผู้มีอำนาจ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้ เห็นได้ดาษดื่นทั่วไปในบ้านเมืองเราไม่เว้นแม้แต่ผู้นำ ประเทศที่ร่ำรวยเงินทองมาจากสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งการฉวยโอกาสร่ำรวย จากการลดค่าเงินบาท อย่างไร้ยางอาย แต่กลับอ้างตนเป็นผู้นำยุคใหม่ (น่าจะเป็นผู้นำแบบเก่าที่เคลือบตัวแบบใหม่)ส่วนเถ้าแก่ ที่ประสพความสำเร็จมากก็มี หากถ้า มองลึกลง ไปในความสำเร็จของคนเหล่านั้น มักพบว่า ความเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมและไม่เอา รัด เอาเปรียบผู้คน ลูกค้า รักและมีน้ำใจกับลูกน้อง ไม่ทอดทิ้งยามลำบาก ล้วนมีในคนเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดความสำเร็จในธุรกิจ แบบยั่งยืนไปได้หลายรุ่นจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี แนวทางการบริหารในโลกที่ไร้พรมแดน ที่มีความเปลี่ยนแปลงและเข้าถึงอย่าง รวดเร็ว รวมทั้งการแข่งขันที่ดุเดือด รุนแรง ผู้นำในยุคใหม่จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้ ตามให้ทัน และปรับตัว ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆที่เกิดขึ้นให้ได้ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

ผู้นำองค์กรทั้งเก่ง...ทั้งดี

แม่ทัพใหญ่ นำทัพต่อสู้ให้อยู่รอดและประสบชัยชนะได้นั้นเป็นเรื่องไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ สภาพเศรษฐกิจที่ประสบปัญหากันทั่วโลก สังคมที่มีประชากรโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด มีสภาพขาดแคลน มีไม่พอ ทั้งยังเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ภาวะโลกร้อน การเกิดภัยทางน้ำเช่นคลื่นยักษ์ การเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่ทำลายบ้านเมืองเช่นที่เกิดที่ประเทศจีน ภาวะการขาดแคลนพลังงาน น้ำมันแพง สิ่งแวดล้อมภายนอก เกิดผลกระทบที่สำคัญต่อองค์กร สิ่งแวดล้อมภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน การขัดแย้งกันที่นำไปสู่ความแตกแยก การขาดความสามัคคี ปัญหาด้านจิตใจนั้นใหญ่กว่าปัญหาด้านวัตถุเป็นอันมาก ผู้นำองค์กรต้องมีทั้งความเก่งและความดี มีการปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ และรวดเร็วทันกับความเปลี่ยนแปลง คอยเสริมดี เพิ่มดี เติมดีอยู่เสมอ พื้นฐานแห่งความสำเร็จ คือ ความตั้งใจ ความเพียร สนใจใส่ใจ และหมั่นทบทวนพิจารณาเพื่อปรับปรุงอยู่เสมอ การนำองค์กร อย่างมีขั้นตอนมีดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 1. เป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางให้แก่องค์กร กำหนดวาระในการเปลี่ยนแปลง (Strategic Change Agenda) และกำหนดกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 2. เป็นผู้นำในการวางแผนกลยุทธ์ จัดทำแผนที่กลยุทธ์ (Strategy Maps) กำหนดเป้าหมายที่เหมาะสมในการปรับปรุงพัฒนา และเพื่อดึงให้คนในองค์กรมาร่วมมือกัน
ขั้นตอนที่ 3. เป็นผู้นำในการสร้างความสอดคล้อง (Alignment)ให้เกิดกับทุกหน่วยงาน สื่อสารถึงทิศทางและกลยุทธ์ให้กับทุกคนในองค์กร
ขั้นตอนที่ 4. เป็นผู้นำในการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงกระบวนการที่จำเป็นต่อการดำเนินกลยุทธ์ และเชื่อมโยงแผนกลยุทธ์เข้ากับแผนดำเนินงานและงบประมาณ
ขั้นตอนที่ 5. เป็นผู้นำในการติดตามผลดำเนินงาน ติดตามผลในการดำเนินกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 6. เป็นผู้นำในการปรับปรุงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนดังกล่าวนั้นเป็นการบริหารกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเป็นวงจร หรือที่เรียกว่า Close loop management system ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวเปรียบเสมือน Master Plan จะผูกเครื่องมือในการบริหารย่อยทั้งหมดอีกหลายชนิด
ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญของกองทัพ คือ ขวัญและกำลังใจ หรือพลังจิตของคนในองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ หากผู้นำสูญเสียพลังใจแล้วคงไม่สามารถรบได้ถึงร้อยครั้ง อาจสูญสิ้นตั้งแต่การต่อสู้ในครั้งแรก แต่หากมีพลังใจที่ดีแล้ว สู้ไม่ถอย จะเกิดความพร้อมทั้งแรงกายและแรงใจ อีกทั้งสติปัญญา สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในที่สุด

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา ไม่มีออฟฟิตใดไร้ความขัดแย้ง

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา ไม่มีออฟฟิตใดไร้ความขัดแย้ง ถ้าคุณบอกว่าชีวิตการทำงานที่ผ่านมา 10 ปีของคุณราบรื่นทุกวัน แสดงว่าคุณเพิ่งตื่นจากความฝันหรือไม่ก็กำลังโกหกตัวเองค่ะ เว้นเสียแต่ว่าคนไม่ต้องทำงานกับคนไม่ต้องพบปะมนุษย์เดินดินค่ะ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีมนุษย์สองคนหรือสามคนขึ้นไป มาอยู่รวมกัน จะเพื่อทำงานหรือพบปะสังสรรค์กันด้วยเรื่องใดก็ตาม เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ถกเถียง ขัดแย้ง แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกัน ปะทะกันด้วยคารมและอารมณ์ที่ควบคุมได้ยาก
คนทุกคนมีทั้งด้านบวกและด้านลบในตัวเอง ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคนๆนั้นทำงานโดยใช้ด้านลบของตัวเอง แทนที่จะใช้ด้านบวก ปัญหาอาจเกิดขึ้นโดยขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ หรือมีอะไรบางอย่างมาผลักดันให้ทำลงไป บุคคลผู้ก่อปัญหาส่วนใหญ่มักไม่รู้เลยว่า การกระทำของตนเองนั้นได้ส่งผลต่อความรู้สึกของคนอื่นและไม่รู้ด้วยว่า เมื่อได้ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นแล้ว ผลเสียของสิ่งที่ตนกำลังทำลงไปจะวนกลับมาส่งผลกระทบต่อตนเองในที่สุด
ในโลกของการทำงานอันยุ่งเหยิงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลักเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบุคคลปัญหา ผู้ซึ่งทำให้งานของเรายากขึ้นในทุกวันของชีวิต คนเหล่านี้อาจสร้างปัญหาร้ายแรงที่ทำให้เราโกรธจนทำอะไรไม่ถูก หรือแค่สร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆประจำวันให้เรารำคาญใจ แต่ก็ล้วนทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นในการที่จะทำงานของเราให้ลุล่วง ที่ผ่านมาคุณอาจเคยแก้ปัญหาด้วยการตอบโต้ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งคุณก็รู้ดีว่าการระเบิดอารมณ์ใส่กันนั้น เป็นการแก้ปัญหาแค่ชั่วครู่ชั่วยาม คุณรู้ว่าการข่มขู่โดยใช้อำนาจทำให้คู่กรณียอมจำนน เพราะเถียงสู้ไม่ไหว เป็นวิธีที่ง่ายแต่ไม่พึงประสงค์เลยสำหรับมืออาชีพ ใครจะอยากคาดเข็มขัดแชมป์หรา อยากสวมเหรียญทองคำ เดินกร่างไปมาในที่ทำงาน ที่ไม่มีใครชอบเราเลยสักคน
แม้มนุษย์โหยหาชัยชนะ แต่ก็ไม่อาจมีความสุขอยู่ได้กับชัยชนะที่ปราศจากมิตรภาพ ไม่มีใครเดินชมสวนดอกไม้อย่างเป็นสุขได้ ถ้ารู้ว่ามีคนซุ่มรอลอบยิงอยู่ตามทางเดิน ความก้าวร้าวรุนแรงอาจนำมาซึ่งชัยชนะในระยะสั้น แต่เมื่อทำร้ายจิตใจผู้อื่นบ่อยครั้ง ผู้นั้นจะเริ่มกำชัยชนะกลับบ้านด้วยความโดดเดี่ยวที่อ้างว้าง เพราะชัยชนะ บนความปวดร้าวของผู้อื่น ไม่เคยนำความสุขที่แท้จริงมาให้ใคร ความสำเร็จในการทำงานไม่ได้อยู่ที่คุณทำงานเก่งกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่อยู่ที่การได้รับการยอมรับและชื่นชมจากคนอื่นด้วย งานนั้นต่อให้ยากเย็นเข็ญใจ แต่เมื่อเรามีความสามารถและความเพียร เราย่อมเอาชนะได้ในที่สุด แต่ความสามารถและความเพียรอาจไม่ช่วยให้คนเก่งเอาชนะหัวใจคนได้ คนที่อยู่ท่ามกลางบุคคลปัญหาสารพัดพิษ แต่ยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข และสามารถจัดการงานจนสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิผล นี่สิคือ คนเก่ง อย่างแท้จริง ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่า การเอาชนะใจคนที่เอาชนะยาก เป็นสิ่งท้าทายความสามารถที่สุดในการทำงาน ความจริงที่บาดใจ ก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนสร้างปัญหาและคุณเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่อาจเป็นตัวสร้างปัญหาด้วยเช่นกัน ท่านผู้ฟังค่ะจากที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดนี้เราจะมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร วิธีการที่ดีก็คือ การชนะตนเองให้ได้ก่อนชนะคนอื่น ซึ่งมีความสำคัญมาก คุณจะรับมือกับบุคคลปัญหาไม่ได้ ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เพราะทันทีที่คุณตอบโต้อย่างขาดสติ คุณจะกลายเป็นผู้ร่วมสร้างปัญหาไปโดยปริยาย ดังนั้นขอให้คุณตั้งมั่น อดทน ฝึกฝนเอาชนะใจตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าคุณสามารถปฏิบัติเช่นนี้แม้กับตัวปัญหาที่เจ้าอารมณ์ที่สุดในสำนักงาน ใครๆที่เห็นเหตุการณ์จะหันมามองคุณด้วยความนับถือ และพร้อมจะเข้าข้างคุณ และแม้ความพยายามที่จะ เอาชนะตัวเอง ให้ได้ อาจไม่ส่งผลดีต่อทันตาเห็นในชั่วโมงนี้ แต่รับรองว่าคุณจะได้รับผลดีของมันแน่นอนในอนาคต เมื่อวันหนึ่งคุณเดินเข้ามาในสำนักงานแล้วพบว่า ใครๆก็อยากทำงานร่วมกับคุณ

การทำงานประเภท ข้าคนเดียว

ยุคนี้หมดสมัยแล้วนะค่ะสำหรับการทำงานประเภท ข้าคนเดียว เพราะองค์กรจะประเมินคุณค่าของคุณ จากความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นนอกจากจะต้องแสดงบทบาทวิศวกร นักออกแบบ นักการตลาด นักวิจัยต่างๆแล้ว คุณยังต้องมีความสามารถในการแสดงบทบาทอื่นๆอีกด้วย นั่นหมายถึงว่า คุณต้องเก่งแบบผู้ตาม เก่งแบบผู้นำ และไม่ลืมทำงานเป็นทีมที่เรามักเรียกกันติดปากว่า Teamwork ค่ะ
การเก่งแบบผู้ตาม เชื่อว่าหลายคนที่ตอนเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เคยถูกพ่อแม่ว่าแกมประชดคล้ายๆแบบนี้ว่า ชอบทำตามเพื่อนนักเหรอ นี่ถ้าเพื่อนไปตาย ก็จะไปตายกับเค้าด้วยใช่ไหม? คำกล่าวนี้นอกจากจะบอกถึงความเป็นผู้ตามที่ไม่ค่อยดีแล้ว ยังแสดงให้เห็นอีกด้วย คนส่วนใหญ่ไม่อยากยอมรับบทบาทผู้ตามสักเท่าไหร่ ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะขาดความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของผู้ตามที่เก่งค่ะ การเป็นผู้ตามที่เก่ง หมายถึง การเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ อย่างกระตือรือร้น โดยมีความคิดเป็นของตนเองในเรื่องเป้าหมาย การทำงาน การตัดสินปัญหา และวิธีทำงานต่างๆ มีความสามารถในการทำงานกับผู้นำ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายขององค์กรได้ ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็มีบทบาทสำคัญในการวางแผนกระบวนงาน และทำให้งานเหล่านั้นดำเนินไปจนถึงที่สุด จากการวิจัยของ Robert E. Kelly พบว่า ความสำเร็จขององค์กร 90% เกิดจากการทำงานของผู้ตาม ส่วนอีก 10 % ที่เหลือเป็นผลงานของผู้นำ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ตามมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้นำเลย
เทคนิคในการทำงานของคนเก่งแบบผู้ตาม สำหรับพนักงานทั่วไปนั้น อาจจะคิดว่าการเชื่อฟังทำตามคำสั่ง ไม่คุกคามผู้นำ และไม่ทำอะไรเกินเลยหน้าที่ คือเทคนิคในการเป็นผู้ตามที่ดี แต่สำหรับคนเก่งงานแล้ว เทคนิคการทำงานแบบผู้ตามของเราก็คือ การรู้จักนำตัวเอง และแสดงออกถึง ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะทำให้ผู้นำ เกิดความไว้วางใจที่จะมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบต่างๆให้แก่เรา เกิดความเคารพในความคิดของเรา จากนั้นเราต้องมี ความมุ่งมั่นและพันธะหน้าที่ต่อประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัวซึ่งคำว่า ส่วนตัว ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเราคนเดียว แต่รวมถึงหัวหน้าผู้บังคับบัญชาเราด้วย การซื่อสัตย์ต่อหัวหน้าเป็นสิ่งที่ดี แต่การทุ่มเททำอะไรตามความต้องการ ตามเป้าหมายของหัวหน้าโดยไม่ลืมหูลืมตานั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะบางครั้งเป้าหมายของหัวหน้า ก็อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของทีมหรือองค์กรก็เป็นได้ ซึ่งหน้าที่ของเราในส่วนนี้ก็คือ พยายามดึงผู้นำให้หันกลับมามองเป้าหมายของส่วนรวมค่ะ การปฏิบัติตนต่อมาก็คือ รู้จักพัฒนาความสามารถ และสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตัวเอง เพื่อจะได้มีอำนาจในการสั่งงานตัวเองสูงสุด คนที่ได้ตำแหน่งสูงๆมาโดยไม่ชอบธรรม ไร้ความสามารถอย่างไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้น เวลาพูดอะไรคนก็มักไม่เชื่อถือ ไม่ทำตาม ตัวอย่างเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยความสามารถอันแท้จริงของเรา คนอื่นๆจะประเมินความสามารถของเรา จากการรู้จักบริหารตนเอง ทักษะและความสามารถในงานต่างๆ รู้จักแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองตลอดเวลา ไม่ต้องรอเจ้านายมาสั่งให้ไปงานสัมมนานั้นสิ ไปเข้าร่วมโครงการอบรมนี้ซิ แต่จะเป็นฝ่ายบอกเจ้านายเองว่ามีโปรแกรมอะไร ที่ตนเห็นว่าจะพัฒนาความสามารถของผู้ร่วมงานและของตัวเราเองได้ ส่วนการ ปฏิบัติงานอย่างมีสำนึกผิดชอบชั่วดี ควบคุมอัตตา อารมณ์ ของตนเองในการทำงานร่วมกับผู้นำ คนเก่งงานจะทำหน้าที่ผู้ตามของตนเองให้สมบูรณ์แบบ โดยการทำงานร่วมกับผู้นำให้ได้เป็นอันดับแรก ทำให้งานของผู้นำง่ายขึ้น ไม่ใช่คอยเป็นหอกข้างแคร่ แต่ต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือผู้นำอย่างเต็มอกเต็มใจ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อมีการทำงานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปความขัดแย้งก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็ต้องพยายามควบคุมอัตตาของตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งนั้นลุกลามใหญ่โต ซึ่งการจะทำให้ผู้นำยอมรับฟังความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกับความคิดของเขา และไม่ทำให้เกิดผลเสียใดๆต่อหน้าที่การงานของเราตามมานั้น เราต้องพยายามเข้าใจและมองผู้นำในแง่บวก ค้นหาข้อเท็จจริง แสวงหาข้อแนะนำ ดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และต้องรู้จักวิธีโน้มน้าวจิตใจผู้นำรวมทั้งการหาแนวร่วม เพราะว่าหลายเสียงย่อมดีกว่าเสียงเดียว แต่การแสวงหาแนวร่วมนี้ต้องเป็นไปด้วยเหตุ ด้วยผล มิใช่การใช้จิตวิทยามวลชนและมีอาการ พวกมาก ลากไปค่ะ

ผู้นำแบบ ....โจเซฟ สตาลิน

ดิฉันมีเรื่อง วิธีการบริหารจัดการของนักปฏิวัติคนสำคัญผู้ร่วมมือกับ นิโคไล เลนิน ปฏิวัติการเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศรัสเซียให้เป็นสังคมนิยม ต่อมาได้เป็นผู้นำสูงสุดของ ประเทศสหภาพโซเวียตและเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในประเทศแถบยุโรปตะวันออกอีกด้วยซึ่งบุคคลท่านนี้ก็คือ โจเซฟ สตาลิน มาเล่าให้ฟังค่ะ
โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อนี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า) เขาเกิดที่ รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เป็นลูกของช่างทำรองเท้า ส่วนมารดาเป็นคนรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าให้กับบ้านเศรษฐีม่ายคนหนึ่ง พ่อของเค้าเป็นคนอ่อนแอผิดกับแม่ซึ่งเข้มแข็ง ความอ่อนแอของพ่อนี่เองที่ทำให้เขาสงสารพ่อและเกียจแม่ สตาลิน หนีออกจากบ้าน หลังจากทะเลาะกับบิดา แล้วถูกตบด้วยรองเท้า เค้าได้รับการศึกษาที่ไม่มากนัก ด้วยฐานะยากจนและหัวไม่ดี ต่อมาในช่วงปี 1900 สตาลิน เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และปล้นธนาคารในบ้านเกิดของเขาเอง เพื่อเอาเงินไปสนับสนุนพรรค แต่เขาถูกจับได้และถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย บ้างก็ว่าสมัยเขาอยู่จอร์เจีย เค้าได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งไม่มีบันทึกชื่อในประวัติศาสตร์) และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน เมื่อสตาลิน กลับมาจากไซบีเรีย เค้าได้ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ต่อ และตำแหน่งการงานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นคนมีความมักใหญ่ไฝ่สูงมาก จน เลนิน ก็รู้สึกกลัวคนๆ นี้ เพราะเขาเป็นคนไม่มีการศึกษา กิริยาท่าทางก็หยาบคาย แต่ความก้าวหน้าของเขาเป็นได้ จากความจงรักภักดีต่อพรรคของเขานั้นเอง ช่วงราวๆปีคศ. 1910-1920 นี้เอง สตาลินแต่งงานแบบมีบันทึกในประวัติศาสตร์ มีลูกชาย 1 คน (ต่อมาทำหน้าที่เป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่ 2) และลูกสาวอีก 1 คน (ต่อมาแต่งงานกับชาวยิว และลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในอเมริกาหลัง สตาลินตาย)
เมื่อ เลนินตายปี 1923 เขาเสนอชื่อชื่อตัวเองเข้ารับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์ตอนนั้นคู่แข่งของเขาคือ ลีออง สตรอยคอฟ ลังเลเพียงเสี้ยวนาทีในการตัดสินใจเสนอชื่อตนเอง ลีออง เลยต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ เม็กซิโก เพื่อรักษาชีวิตตนเอง แต่เขาก็ถูก สตาลิน ส่งคนไปฆ่า
ในปี 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ คอมมูน มาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรค หรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไปค่ายกักกันและเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไม่มีการสำรวจประชากรว่า ระหว่างที่เขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียต้องตายไปเท่าไร ในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบ นารวม มีคนอดตายอีกเป็นล้านๆ คน โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน เขาสั่งพัฒนาประเทศต่อไปอย่างไม่รีรอ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นกับรัสเซีย สตาลินก็นำสหภาพโซเวียตเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้ โซเวียตอยู่ในฐานะผู้ชนะสงคราม และกลายเป็นหนึ่งในสองอภิมหาอำนาจของโลก สหภาพโซเวียตจึงกลายเป็นประเทศอภิมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกาและเป็นการเริ่มต้นของยุคสงครามเย็นที่มีความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ
สตาลินเสียชีวิตในปี 1953 เมื่ออายุได้ 74 ปี ด้วยเส้นเลือดในสมองแตกขณะเถียงกับ ครุฟซอฟ เรื่องเนรเทศยิวกลุ่มใหม่ไปไซบีเรีย งานศพของเขา มีคนเหยียบกันตายราว 3,000 คน
หลังสตาลินตาย ครุฟซอฟ ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้ง ประณาม ขุดคุ้ย ความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุกๆ ที่ ที่มีรูปปั้น สตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้างๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลิน

สิ่งที่ผู้นำพึงมีก็คือ ความรู้

ไม่มีใครสามารถเลียนแบบบรรดาผู้นำเก่งๆอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เจงกิสข่าน ซีซาร์ มหาตมะ คานที ที่ดิฉันได้เคยนำศาสตร์และศิลป์ในการบริหารจัดการของผู้นำเหล่านั้น มาเล่า ให้ท่านผู้ฟัง ฟังมาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครสามารถเป็นผู้นำให้เหมือนคนเหล่านี้ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ปรับปรุงเอากลยุทธ์ในการเป็นผู้นำของพวกเขาเหล่านั้นมาใช้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นตัวของเราเองนั่นแหละดีที่สุดค่ะ ในขั้นแรกเราต้องเข้าในในบทบาทผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์ก่อนนะค่ะ ว่ายุคนี้เป็นยุคที่อาศัยความรู้เป็นฐานสำคัญในการดำเนินงาน ผู้นำต้องทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ตาม ผู้ร่วมทีมอย่างเป็นระบบเดียวกัน ไม่มองว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น รู้ว่าหน้าที่ของตนที่แท้จริง คือ ต้องพยายามทำให้ผู้ร่วมงานทุ่มเทความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อผลประโยชน์ขององค์กร มีผู้กล่าวไว้ว่า การมีอำนาจบังคับ ไม่ใช่สิ่งบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ แต่ความเชื่อถือไว้วางใจผู้ร่วมงานต่างหาก คือตัวบ่งบอกที่ชัดเจน นอกจากนี้ บทบาทผู้นำยังเป็นหัวโขนที่เราต้องรู้จักใส่ และรู้จักถอดให้ถูกกาลเทศะ ยกตัวอย่างเช่น ในการทำงานเป็นทีม ที่ประกอบด้วยสมาชิกและผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่างๆ ถึงแม้ว่าโดยตำแหน่งแล้วเราจะเป็นผู้นำ แต่ในบางเรื่องบางงานที่เราไม่มีความรู้ดีพอ เราก็ควรปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเป็นผู้นำแทนเรา แต่ในบางเรื่องที่เรามั่นใจว่า ถ้าปล่อยไปเช่นนั้นแล้วจะเสียหาย เราต้องตัดสินใจลงมือโดยทันที
นอกจากนี้สิ่งที่ผู้นำพึงมีก็คือ ความรู้ เพราะผู้นำจะต้องมีความรู้ความชำนาญและมีการตัดสินใจ อันเป็นที่ยอมรับของทีม สามารถใช้ความรู้ต่างๆมาประเมินวิเคราะห์อนาคตของทีมได้อย่างแม่นยำ ความรู้ความสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ และความน่าเชื่อถือก็จะทำให้ผู้ร่วมงานยอมรับฟังเรา ดังคำกล่าวที่ว่า คนส่วนใหญ่ยอมให้นำได้ แต่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ยอมให้บังคับได้ ค่ะ และสิ่งที่สำคัญประการหนึ่งที่ผู้นำต้องมีก็คือ มนุษยสัมพันธ์ ผู้นำต้องเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ของผู้ตาม เพื่อที่จะได้รู้ว่า ทำอย่างไรผู้ร่วมงานจึงจะยินดีทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานและ การเอาใจเขา มาใส่ใจเรา คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจผู้ตามและผู้ร่วมงานคนอื่นๆ โดยผู้นำต้องมีความสามารถในการทำให้งานดำเนินไปด้วยดี จนสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ

คำว่า “leadership” (ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำ) กับคำว่า “management” (การบริหารจัดการ)

ในภาษาอังกฤษคำว่า “leadership” (ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำ) กับคำว่า “management” (การบริหารจัดการ) มักพบว่าสามารถใช้แทนกันได้ก็ตาม แต่โดยสาระในแง่กระบวนการและแนวคิดแล้ว แท้จริงมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เมื่อพูดถึงการบริหารจัดการ ก็มักมองถึงการดำเนินการตามหน้าที่หลัก (functions) ซึ่งเป็นกลไกปกติขององค์การ เช่น การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การอำนวยการ (directing) และการกำกับควบคุม (controlling) ในขณะที่ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal aspects) โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันถือว่า ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำเกี่ยวข้องกับเรื่องความเปลี่ยนแปลง (change) การสร้างแรงดลใจ (inspiration) การสร้างแรงจูงใจ (motivation) และการใช้อำนาจเชิงอิทธิพล (influence) เป็นต้น โดยปกติคนที่อยู่ในองค์การจะแสดงบทบาทใดบทบาทหนึ่งในสามบทบาทที่สำคัญต่อไปนี้คือ 1) บทบาทเป็นผู้ผลิต (producer) 2) บทบาทเป็นผู้บริหาร (manager) 3) บทบาทเป็นผู้นำ (leader) แต่ละบทบาทล้วนจำเป็นต่อความสำเร็จขององค์การทั้งสิ้น
ท่านผู้ฟังค่ะ ถ้าไม่มีผู้ผลิต ก็ไม่อาจทำให้ความคิดดี ๆ และการตัดสินใจที่สำคัญลงสู่การปฏิบัติได้ พูดง่าย ๆ คือ งานที่รับผิดชอบจะไม่สำเร็จ ถ้าไม่มีผู้บริหารบ้าง ผลก็คือจะเกิดความขัดแย้งด้านบทบาทหน้าที่ของผู้ทำงานเนื่องจากขาดความชัดเจน ผลคือ ทุกคนพยายามแย่งกันเป็นผู้ผลิต ต่างคนต่างทำงานแยกอิสระจากกัน แทบไม่มีระบบและขั้นตอนการทำงานที่ดี แต่กรณีถ้าขาดผู้นำ ก็จะขาดวิสัยทัศน์ และทิศทางของการทำงาน ส่งผลให้คนค่อย ๆ เบี่ยงเบนไปจากภารกิจที่ต้องรับผิดชอบในที่สุด
แม้แต่ละบทบาทต่างมีความสำคัญต่อองค์การก็ตาม แต่บทบาทที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ ผู้นำ โดยเฉพาะถ้าขาดผู้นำกลยุทธ์ (strategic leadership) ก็เชื่อได้ว่าเหมือนผู้คนที่ร่วมเดินป่าเพื่อจะเดินทางกลับให้ถึงบ้านในตอนเย็น ก็คงหลงวนเวียนอยู่ในป่านั่นเอง เพราะขาดผู้นำทาง ขาดผู้กำหนดวิธีการเดินทาง รวมทั้งขาดคนปลอบประโลมให้กำลังใจยามท้อแท้ให้หันกลับมาสู้เอาชนะอุปสรรคจนบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด จึงกล่าวได้ว่า บทบาทของผู้นำมีความสำคัญมากในการสร้างความต่อเนื่องไปสู่ความสำเร็จโดยการเป็นผู้นำ (leadership) จะเกี่ยวกับเรื่องกำหนดทิศทาง (direction) คอยช่วยให้ทุกคนมั่นใจว่า การเดินป่าครั้งนี้ไม่มีใครหลงทางอย่างแน่นอน ในขณะที่การบริหาร (management) เกี่ยวข้องกับความเร็ว (speed) ในการเดินทาง ผู้อ่านลองจินตนาการดูว่า คนเดินป่าที่เดินได้รวดเร็ว แต่ไม่รู้ทิศทางจะเป็นอย่างไร ในองค์การนั้น การเป็นผู้นำหรือภาวะผู้นำจึงเกี่ยวกับเรื่องวิสัยทัศน์ (vision) และการทำให้พันธกิจ (mission) มีความชัดเจนไม่ถูกละเลย หรือเบี่ยงเบนไปโดยผู้ปฏิบัติงาน นั่นคือ สามารถบรรลุผล (result) หรือความมีประสิทธิผล (effectiveness) นั่นเอง ส่วนการบริหารจัดการเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดโครงสร้าง (structure) และระบบ (system) เพื่อช่วยให้บรรลุผลที่ดีหรือมีประสิทธิภาพ (efficiency) โดยเน้นเรื่องการวิเคราะห์ต้นทุนกำไร (cost-benefit analysis) นโยบาย ขั้นตอนวิธีการ และการใช้หลักเหตุผลเชิงตรรกวิทยา เป็นต้น ภาวะผู้นำจะยึดการมองเกณฑ์ที่สูงสุด (top line) ในขณะที่การบริหารจัดการมองที่เส้นเกณฑ์ที่ต่ำสุด (bottom line) ในการทำงาน ภาวะผู้นำได้รับอำนาจ (ในลักษณะการมีอิทธิพล) มาจากการที่ตนประพฤติดีประพฤติชอบ มีหลักการและค่านิยมที่ดีในการปฏิบัติงาน ส่วนการบริหารจัดการได้อำนาจมากับตำแหน่ง หน้าที่รับผิดชอบให้ปฏิบัติงานเกิดผลผลิตได้ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่องค์การกำหนด