Monthly Archives: September 2009

ผู้นำพรรคนาซี : อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการของผู้นำ อดอล์ฟ  ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี มาเล่าให้ฟังค่ะ  

ในวัยเด็ก ฮิตเลอร์ ไม่สนิทกับบิดานัก เนื่องจากบิดาเข้มงวดในระเบียบ ลงโทษรุนแรง แต่ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก เรียนเก่งมาก และเคร่งศาสนา จนเพื่อนๆ ไว้ใจให้เป็นหัวหน้า แต่เมื่อโตขึ้น ฮิตเลอร์เริ่มตามวิชาการไม่ทัน และผลการเรียนเริ่มแย่ลง เพื่อนๆ เลิกไว้ใจ ปลดฮิตเลอร์ จากการเป็นหัวหน้า และบิดาก็ดุด่าฮิตเลอร์ เกรงว่าอนาคตฮิตเลอร์จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้ แต่ฮิตเลอร์เองไม่อยากเป็นข้าราชการ เพราะฮิตเลอร์ชอบศิลปะ เขาอยากจะเป็นจิตรกรมากกว่าข้าราชการ สิ่งนี้ทำให้ฮิตเลอร์เปลี่ยนไปสนใจในศาสตร์ต่อสู้และศิลปะ ทำให้ผลการเรียนตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเค้าก็สอบตกซ้ำชั้น ทำให้บิดาของเค้าได้ไล่ออกจากบ้าน แต่ 3 วันให้หลัง ฮิตเลอร์ก็กลับมาที่บ้าน ในปี คริสต์ศักราช 1909 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมัน ฮิตเลอร์เป็นคนอารมณ์ร้าย และมักจะเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผล แต่แพทย์ประจำตัวของเขายืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยความจริงแล้ว ฮิตเลอร์ไม่ใช่คนโมโหร้าย แต่หากมีใครเถียงนอกเรื่องข้างๆ คูๆ เขาก็จะตะเบ็งเสียงดังจนกลบเสียงคู่สนทนาหมดทุกคน ฮิตเลอร์ชอบจูบมือผู้หญิง ชอบเลขานุการหญิงมากชนิดที่ว่า ถ้าพวกเธอป่วย เขาก็จะไปเยี่ยมเลยทีเดียว และเขาเป็นคนรักสะอาดมาก ชอบอาบน้ำวันละหลายๆ ครั้ง เสื้อผ้าส่วนตัวก็รักษาให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เครื่องแบบของเขาก็มีแค่ตรา "กางเขนเหล็ก" ที่ได้มาเมื่อครั้งเขาเป็นนายทหารเยอรมันเท่านั้น เขาไม่ชอบลูบสุนัขด้วยมือเปล่า หากลูบแล้วเขาก็รีบไปล้างมือโดยไว ฮิตเลอร์ยังชอบทำอะไรซ้ำๆ เช่น เวลาออกไปเดินเล่นก็ชอบเดินทางเดิมที่เคยเดิน ฮิตเลอร์เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก เขามีหนังสือมากถึง 16,000 เล่มซึ่งถูกเก็บไว้ในห้องสมุดส่วนตัว ส่วนใหญ่เป็นหนังสือเกี่ยวกับสงคราม อัตชีวประวัติของบุคคลต่างๆ ศิลปะ และประวัติศาสตร์ ด้วยความที่เขาชอบอ่านหนังสือ เขาจึงสามารถบอกรูปร่างและลักษณะของเรือรบแบบต่างๆ และรอบรู้ในเรื่องยุทโธปกรณ์ของกองทัพเยอรมันเป็นอย่างดี และเขามีความจำที่เยี่ยมมาก สามารถจำได้ว่า เรือรบของราชนาวีเยอรมันนี (Kreigsmarine) มีระวางขับน้ำกี่ตัน ปล่อยออกมาจากท่าเรือไหน วันที่ใด ติดอาวุธอะไรบ้าง เป็นต้น ฮิตเลอร์ยังเป็นคนรอบรู้ด้านอาวุธและยุทธวิธี นอกจากนี้ ฮิตเลอร์ยังเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ เช่น เขาบอกว่าจะฉีก สนธิสัญญาแวร์ซาย ทันทีเมื่อเป็นผู้นำ และเขาก็ฉีกจริงๆ เมื่อเขาได้เป็นผู้นำเยอรมนี

จะเรียกว่าเค้า "ผู้นำที่ใครๆต้องการ" ก็ได้ เพราะว่าถึงแม้ฮิตเลอร์จะเป็นถึงผู้นำแห่งเยอรมนีที่มีอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตฟู่ฟ่าเลย ผิดกับผู้นำหลายๆ คน เช่น เขาดื่มชาชนิดที่สามัญชนดื่ม อาหารที่เขากินก็เป็นแบบที่สามัญชนกิน

นาซีเป็นชื่อพรรคของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเรียกชื่อเต็มๆว่า พรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน National Socialist German Party ก่อตั้งในปีคริตส์ศักราช 1919 และมาเรืองอำนาจในปี 1933 เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นเป็นผู้นำเยอรมนี นโยบายของพรรคนาซีคือ การต่อต้านและกำจัดชนชาติยิว ซึ่งถือว่าช่วงนั้นเข้ามาแย่งงาน คนเยอรมัน นอกจากนี้ยังนิยม วิธีเผด็จการ ซึ่งเชื่อว่าจะบริหารงานได้เด็ดขาดรวดเร็ว รากฐานของลัทธินาซี คิดว่าชนชาติผิวขาว เหนือกว่าคนอื่นในโลกนี้ หรือโดยเฉพาะพวกชาวอารยัน (ที่ไม่ใช่ชาวยิวคอเคเชี่ยน) และในที่สุดก็สามารถเอาชนะ และกำจัดพวกนาซีที่นับถือชนชาติที่ด้อยกว่าได้
                 ลัทธินี้ ได้ก่อตั้งขึ้นในช่วงที่ใกล้สิ้นสุดศตวรรษที่ 19 อันจะมีแนวโน้มไปในทางที่เป็นลัทธิเหยียดสีผิว ซึ่งคนนาซีมักจะคิดและมองว่า คนผิวดำ คนเอเชีย และชนชาติยิว จะมีร่างกายและสติปัญญาที่ด้อยกว่าพวกคนผิวขาว 
                 ระบบแนวความคิดนี้ ได้ทำลายและฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวไปแล้วกว่า 6ล้านคน และอีก 4 ล้านคน จากชนชาติอื่นที่นาซีคิดว่า โง่และด้อยกว่าคนผิวขาว อุดมการณ์หลักของพรรคนาซี ประกอบไปด้วยความเป็นหนึ่งเดียวของชาวเยอรมันทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม ความเป็นยอดของมนุษย์เชื้อสายเยอรมัน ตามความเชื่อ ดาร์วินิสต์ทางสังคม Social Darwinism (racialism), การต่อต้านชาวยิว (anti-Semitism) และต่อต้านคอมมิวนิสต์ (anti-communism).

ฮิตเลอร์อาสาสมัครเข้าร่วมรบกับกองทัพเยอรมันภายใต้ การนำของพระเจ้าวิลเฮล์ม ไกเซอร์ (Kaiser) โดยอยู่ในกรมบาวาเรียน ที่ 16 (the 16th Bavarian Regiment) ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งๆที่เขามีปัญหาด้านสุขภาพ ในกองทัพนี่เอง ที่ทำให้ชีวิตที่เพ้อฝัน และขาดการเอาจริงเอาจังของเขาเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนที่มีระเบียบวินัย สนุกสนาน ร่าเริง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ พร้อมที่จะรับภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตราย จนได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 (the Iron Cross Second Class) ซึ่งภายหลังถูกยกระดับให้เป็นเหรียญชั้นที่ 1

เป็นที่น่าสังเกตคือ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เข้ารับเหรียญกล้าหาญนี้ โดยฝ่ายเสนาธิการประจำกรมของเขา ซึ่งเป็นคนยิว ชนชาติที่จะถูกเขาทำลายล้างในห้วงเวลาต่อมา ฮิตเลอร์มีความภาคภูมิใจในเหรียญกล้าหาญนี้มาก เขาจะประดับเหรียญตรานี้เพียงเหรียญเดียวอยู่เสมอ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้สิ้นสุดลง พร้อมๆกับความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ฮิตเลอร์เองก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษจากฝ่ายอังกฤษ เยอรมันถูกจำกัดในทุกๆด้าน ด้วยสนธิสัญญาแวร์ซาย (The Treaty of Versailles)
               
 

กลยุทธ์การใช้คนของ ฮิตเล่อร์  ได้แบ่งคนออกเป็นสี่กลุ่ม

กลุ่มที่หนึ่ง เป็นพวกฉลาดและขยัน เขาจะจัดให้ทำหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ คือ เป็นคนช่วยคิดช่วยอ่านและช่วยวางแผน รวมทั้งร่างยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่างๆ

กลุ่มที่สอง เป็นพวกฉลาดแต่ขี้เกียจ พวกนี้เขาจัดวางอยู่ในสายบังคับบัญชาหน่วยที่เรียกว่าฝ่าย "ไลน์" เป็น ผู้บัญชาการหมวด ผู้บัญชาการกองร้อย ผู้บัญชาการกองพัน จนกระทั่งถึงขั้นแม่ทัพ ทั้งนี้ เพราะเขาเห็นว่าคนกลุ่มนี้ฉลาด แต่ขี้เกียจธรรมชาติจึงจัดทดแทนกัน โดยสร้างให้คนกลุ่มนี้เก่งในทางบังคับบัญชาสั่งงานและตัดสินใจ คนพวกนี้ขี้เกียจจึงมีความสามารถจากธรรมชาติ ให้เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง แต่รู้จักมอบหมายใช้สอยคนอื่นทำ

กลุ่มที่สาม เป็นพวกโง่และขี้เกียจ พวกนี้เขาวางตัวไว้เป็นทหารเร็ว คอยรับคำสั่ง คิดไม่เป็นและขี้เกียจ ต้องให้คนคอยจี้ใช้ให้ทำงานตามสั่ง จึงเหมาะที่จะเป็นลูกแถว โดยเฉพาะคนกลุ่มนี้ธรรมชาติสร้างให้เป็นคนหัวอ่อนตามกฎแห่งการดำรงอยู่ของธรรมชาติ

กลุ่มที่สี่ เป็นพวกโง่แต่ขยัน คนพวกนี้เขาจะคัดออกจากกองทัพ ไม่ให้ทำหน้าที่อะไรทั้งสิ้น เพราะด้วยความโง่แต่ขยัน อาจจะขยันทำผิดให้ผู้อื่นต้องตามแก้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน หรือ ให้นำไปประหาร

ฮิตเลอร์มีความเชื่อว่า ความพ่ายแพ้ของเขา และกองทัพเยอรมัน เกิดขึ้นมาจากศัตรูที่อยู่ภายใน (Enemy within) มากกว่า ความพ่ายแพ้ต่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร เขาเชื่อว่าศัตรูที่อยู่ภายในนั้น หักหลังประเทศเยอรมัน พวกนั้นก็คือ พวกยิว พวกคอมมิวนิสต์ หรือมาร์กซิส และพวกนักการเมือง สนธิสัญญาแวร์ซายจำกัดทุกอย่าง กองทัพเยอรมันถูกลดลงเหลือเพียง 1 แสนคน เศรษฐกิจของประเทศเยอรมันถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง
                  ผู้นำกลุ่มของฮิตเลอร์ในขณะนั้นคือ
Anton Drexler ประกาศว่า พรรคชาตินิยมของเขาจะไม่มีชนชั้นเหมือนพวกคอมมิวนิสต์ เป็นองค์กรสังคมนิยมชาตินิยม (คอมมิวนิสต์เองก็เป็นสังคมนิยมเช่นกัน แต่เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งอยู่ในซีกซ้ายจัด) มีการก่อตั้งลัทธิสังคมนิยมชาตินิยมขึ้น เรียกว่า National Socialist German Workers' Party  ภายหลังเรียกสั้นๆว่า National Sozialist หรือ NAZI นั่นเองค่ะ

ผู้นำแบบอหิงสา มหาตมะ คานที

โมฮันดาส เค. คานธี หรือมักเรียกกันว่ามหาตมะ คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) เขาถือกำเนิดขึ้นในดินแดนอันลี้ลับและเก่าแก่ เขามองชีวิตของตนเป็นดั่งการแสวงความจริงอันสูงสุด เป็นการวิวัฒน์ที่ไม่หยุดยั้ง การแสวงหาวิธีคิดและการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไป ตั้งแต่เด็กนั้น...คานธีได้รับการปลูกฝังแบบอย่าง ของความเป็นคนที่มีวินัยและการอุทิศตนอย่างเคร่งครัด มารดาของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เคร่งในศาสนามาก มักถือศีลอดอาหาร เป็นเวลานานอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งในฤดูฝน นางปฏิญาณตนว่า จะไม่กินอะไรเลยจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น
คานทีและสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัว จะเฝ้ามองดูทางหน้าต่าง พวกเขาต้องการให้แม่กินอาหาร เพราะแม่กำลังอด แต่แม่ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วง ท่านสบายดีทุกอย่าง ถ้าหากพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการให้ท่านกินในวันนี้ ท่านก็จะไม่กิน เขาศรัทธาความเคร่งของแม่ แต่ยังไม่พร้อมจะทำตาม ความที่เป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 4 คน เขาจึงใช้ชีวิตวัยเด็กแบบเกเร อย่างเช่น ขโมยเศษเงินไปซื้อบุหรี่ แต่ด้วยความกลัวบิดา ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงของท้องถิ่น เขาจึงรับสารภาพว่าตนเป็นผู้ขโมย แต่แทนที่บิดาจะลงโทษ ท่านกลับโอบกอดเขา ในฐานะที่กล้าพูดความจริง แล้วทั้งสองคนก็ร้องไห้ด้วยกัน เขาบันทึกไว้ในชีวประวัติว่า น้ำตานั้นเป็นเหมือนที่สิ่งที่ชำระล้างความสกปรกของจิตใจออกไป ถ้าคุณสร้างวินัยแบบนี้โดยผ่านทางความรัก มันเท่ากับสร้างมนุษยธรรมขึ้นในจิตใจ และนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคานธี ผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดีย มหาตมะ คานธี เป็นผู้นำคนสำคัญกับการเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพของอินเดีย จากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร โดยใช้วิธีอหิงสา ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นต้นแบบของการประท้วงแบบสันติ ที่ได้รับการยกย่อง  เกิดเมื่อปี 1869 ในครอบครัวชาวฮินดู ของประเทศ อินเดียตะวันตก เค้าเข้าพิธีแต่งงานกับ กัสตูร์ (กะปะเธีย สกุลเดิม) คานธี เมื่ออายุ 13 ปี  เพื่อทำตามประเพณีของชาวฮินดู คานธี จึงเข้าพิธีสมรสกับเด็กสาวอายุเท่ากัน  ต่อมา เขาได้ไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่ลอนดอน และในปี 1891 เขาเข้าร่วมกลุ่ม Inner Temple เขาทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงเรื่องสิทธิของผู้อพยพชาวอินเดียในแอฟริกาใต้ และเขาได้พัฒนาลัทธิต่อต้านความอติธรรมขึ้นที่นั่น เขามักถูกจับขังคุกบ่อย ๆ เพราะการประท้วงที่เขาเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับอินเดียพร้อมครอบครัวในปี 1915 เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอินเดียในแอฟริกาได้อย่างมาก
        ในเวลาไม่นานหลังกลับมาอินเดีย เขาก็กลายเป็นผู้นำการต่อสู้ เพื่อเอกราชจากอังกฤษ เขาไม่เคยลังเลในความเชื่อที่มั่นคงเกี่ยวกับการประท้วง โดยไม่ใช้ความรุนแรงและความอดทนตามหลักศาสนา ไม่ว่าเมื่อประชาชนชาวมุสลิม และชาวฮินดู ก่อเหตุรุนแรงต่อชาวอังกฤษผู้ปกครองอินเดีย หรือเมื่อทั้งสองกลุ่มสู้รบกันเอง เขาจะอดอาหารประท้วงจนความรุนแรงยุติลง การที่อินเดีย ได้รับเสรีภาพจากอังกฤษในปี 1947 ไม่ได้เกิดจากชัยชนะทางการทหาร แต่เป็นชัยชนะแห่งความพยายามของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม คานธีรู้สึกหมดหวังที่ประเทศต้องถูกแบ่งแยกเป็นฝ่ายฮินดูในอินเดีย และมุสลิมในปากีสถาน ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของชีวิต เขาพยายามจะยุติความรุนแรงที่น่าหวาดกลัวซึ่งเป็นผลจากการแบ่งแยกประเทศ ทำให้คานธีต้องอดอาหารประท้วงจนเกือบเสียชีวิต เหตุจลาจลจึงสงบลงได้
       การปฏิบัติหน้าที่ต่อส่วนรวมของคานที แลกมาด้วยราคาแพง ด้วยบุตรชายทั้ง 4 ของคานธี มักรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง อยู่เสมอ และไม่พอใจที่พ่อหายไปอยู่ในคุกเป็นเวลานาน บุตรชายคนโตแสดงความเป็นปฏิปักษ์ในลักษณะที่ทำให้พ่ออย่างคานที ต้องปวดร้าวใจ โดยกลายเป็นคนติดเหล้าและขายตัว
ในมุมมองของคานธี เขาได้สูญเสียลูกชายไปแล้ว จนวาระสุดท้ายของชีวิต เขาได้พูดถึงลูกชายคนนี้ว่า "เขาไม่ใช่ลูกของข้าพเจ้าอีกต่อไป" ซึ่งมันเป็นคำที่รุนแรงมากสำหรับพ่อผู้ที่อุทิศตนด้วยวิธีอหิงสาต้องแลกมาด้วยราคาที่แพง ...แม้จะเสียใจเรื่องของบุตรชาย แต่เรื่องส่วนตัวก็ไม่อาจขัดขวางคานธีจากภารกิจการเรียกร้องเสรีภาพให้แก่ชาวอินเดียสามร้อยล้านคนได้

ในปี 1930 ขณะอายุได้ 62 ปี คานธีวางแผนการใหม่ที่จะต่อต้านการเก็บภาษีซึ่งไม่เป็นธรรม ภาษีที่อังกฤษเรียกเก็บจาก เกลือ
การทำเกลือ หรือการขายเกลือของชาวอินเดียถือว่าผิดกฎหมาย กิจการนี้สงวนไว้ให้สำหรับคนต่างชาติทำ เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่การประท้วงครั้งนี้ เขาวางแผนจะเดินเท้าเป็นระยะทาง 240 ไมล์ ไปยังทะเลอาหรับเพื่อไปทำเกลือที่นั้น พวกพ้องของเขาในสภาคองเกรซของอินเดีย ต่างอ้อนวอนให้เขาทบทวนแผนการครั้งนี้ใหม่ เกลี้ยกล่อมว่าแผนการนี้อาจจะล้มเหลว รัฐบาลอังกฤษมั่นใจว่า ศัตรูเก่าของตนกำลังถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด
ในเดือนมกราคม ปี 1948 คานธีมีอายุ 79 ปี เขาถูกลอบสังหารขณะกำลังเดินผ่านฝูงชนที่แออัดในสวนแห่งหนึ่งใน กรุงนิวเดลีเพื่อไปสวดมนต์ตอนเย็น
ไม่น่าเชื่อที่ ชายผู้เป็นนักบุญท่านนี้ เขาจะนำ คนหลายร้อยล้านซึ่งทุกข์ทรมานในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สองของโลก ออกจากอาณานิคม สู่สถานะที่มีเกียรติในสังคมโลก เขาทำมันโดยไม่มีตำแหน่งสำคัญในประเทศ และเขาถูกสังหารจากความทุ่มเทที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นอะไรเลย เขาไม่เคยลงสมัครเลย แต่เขาก็เป็นพลังหลักสำหรับผู้คนทั่วอินเดีย หากแต่มี ชาติที่ต้องการความอดทน ขันติ แรงบันดาลใจอันศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญชาวอินเดีย นามว่า คานที  

อารยะขัดขืน คือ สิทธิที่มีอยู่ของพลเมือง ซึ่งไม่สามารถที่จะยกเลิกไปได้ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ อารยะขัดขืนนั้นไม่เคยนำไปสู่สภาวะความวุ่นวายทางการเมือง สิ่งที่นำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง คือ การขัดขืนที่เกิดจากอาชญากรร้าย ซึ่งรัฐในทุกประเทศได้จัดการกับอาชญากรร้าย ด้วยการปราบปรามด้วยกำลัง เพื่อป้องกันไม่ให้สังคมเสื่อมสลายลง

                แต่การที่รัฐจะจับกุม คุมขัง หรือปราบปรามการกระทำอารยะขัดขืนนั้น ถือเป็นความพยายามของรัฐในการจับกุมคุมขังซึ่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคน อารยะขัดขืนนั้นเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความเข้มแข็งและความบริสุทธิ์ ผู้ที่กระทำการอารยะขัดขืนนั้นไม่เคยใช้อาวุธ ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นอันตรายต่อรัฐ      อสิงหา หรือ การไม่ใช้ความรุนแรงของ มหาตะมะ คานธี         เป็นพลังอันใหญ่ที่สุดที่มนุษย์มี  อหิงสามีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าศัสตราวุธใดๆ ที่มนูษย์จะคิดค้นได้  การทำลายไม่ใช่กฎของมนุษยชาติ  มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ด้วยการฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองไม่ได้  การฆ่าหรือการทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติ

ยินดีต้อนรับ สู่ สุขุมาล web Blog ค่ะ - -'

Welcome to KM RMUTP BLOG. เคล็ดลับพิชิตงาน กับอ.หลิว.....

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุขุมาล  หวังวณิชพันธ์