ผู้นำแบบอหิงสา มหาตมะ คานที

โมฮันดาส เค. คานธี หรือมักเรียกกันว่ามหาตมะ คานธี (Mohandas Karamchand Gandhi) เขาถือกำเนิดขึ้นในดินแดนอันลี้ลับและเก่าแก่ เขามองชีวิตของตนเป็นดั่งการแสวงความจริงอันสูงสุด เป็นการวิวัฒน์ที่ไม่หยุดยั้ง การแสวงหาวิธีคิดและการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไป ตั้งแต่เด็กนั้น...คานธีได้รับการปลูกฝังแบบอย่าง ของความเป็นคนที่มีวินัยและการอุทิศตนอย่างเคร่งครัด มารดาของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เคร่งในศาสนามาก มักถือศีลอดอาหาร เป็นเวลานานอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งในฤดูฝน นางปฏิญาณตนว่า จะไม่กินอะไรเลยจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น
คานทีและสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัว จะเฝ้ามองดูทางหน้าต่าง พวกเขาต้องการให้แม่กินอาหาร เพราะแม่กำลังอด แต่แม่ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วง ท่านสบายดีทุกอย่าง ถ้าหากพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการให้ท่านกินในวันนี้ ท่านก็จะไม่กิน เขาศรัทธาความเคร่งของแม่ แต่ยังไม่พร้อมจะทำตาม ความที่เป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 4 คน เขาจึงใช้ชีวิตวัยเด็กแบบเกเร อย่างเช่น ขโมยเศษเงินไปซื้อบุหรี่ แต่ด้วยความกลัวบิดา ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงของท้องถิ่น เขาจึงรับสารภาพว่าตนเป็นผู้ขโมย แต่แทนที่บิดาจะลงโทษ ท่านกลับโอบกอดเขา ในฐานะที่กล้าพูดความจริง แล้วทั้งสองคนก็ร้องไห้ด้วยกัน เขาบันทึกไว้ในชีวประวัติว่า น้ำตานั้นเป็นเหมือนที่สิ่งที่ชำระล้างความสกปรกของจิตใจออกไป ถ้าคุณสร้างวินัยแบบนี้โดยผ่านทางความรัก มันเท่ากับสร้างมนุษยธรรมขึ้นในจิตใจ และนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคานธี ผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดีย มหาตมะ คานธี เป็นผู้นำคนสำคัญกับการเคลื่อนไหวเรียกร้องอิสรภาพของอินเดีย จากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร โดยใช้วิธีอหิงสา ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นต้นแบบของการประท้วงแบบสันติ ที่ได้รับการยกย่อง  เกิดเมื่อปี 1869 ในครอบครัวชาวฮินดู ของประเทศ อินเดียตะวันตก เค้าเข้าพิธีแต่งงานกับ กัสตูร์ (กะปะเธีย สกุลเดิม) คานธี เมื่ออายุ 13 ปี  เพื่อทำตามประเพณีของชาวฮินดู คานธี จึงเข้าพิธีสมรสกับเด็กสาวอายุเท่ากัน  ต่อมา เขาได้ไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่ลอนดอน และในปี 1891 เขาเข้าร่วมกลุ่ม Inner Temple เขาทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงเรื่องสิทธิของผู้อพยพชาวอินเดียในแอฟริกาใต้ และเขาได้พัฒนาลัทธิต่อต้านความอติธรรมขึ้นที่นั่น เขามักถูกจับขังคุกบ่อย ๆ เพราะการประท้วงที่เขาเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับอินเดียพร้อมครอบครัวในปี 1915 เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอินเดียในแอฟริกาได้อย่างมาก
        ในเวลาไม่นานหลังกลับมาอินเดีย เขาก็กลายเป็นผู้นำการต่อสู้ เพื่อเอกราชจากอังกฤษ เขาไม่เคยลังเลในความเชื่อที่มั่นคงเกี่ยวกับการประท้วง โดยไม่ใช้ความรุนแรงและความอดทนตามหลักศาสนา ไม่ว่าเมื่อประชาชนชาวมุสลิม และชาวฮินดู ก่อเหตุรุนแรงต่อชาวอังกฤษผู้ปกครองอินเดีย หรือเมื่อทั้งสองกลุ่มสู้รบกันเอง เขาจะอดอาหารประท้วงจนความรุนแรงยุติลง การที่อินเดีย ได้รับเสรีภาพจากอังกฤษในปี 1947 ไม่ได้เกิดจากชัยชนะทางการทหาร แต่เป็นชัยชนะแห่งความพยายามของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม คานธีรู้สึกหมดหวังที่ประเทศต้องถูกแบ่งแยกเป็นฝ่ายฮินดูในอินเดีย และมุสลิมในปากีสถาน ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของชีวิต เขาพยายามจะยุติความรุนแรงที่น่าหวาดกลัวซึ่งเป็นผลจากการแบ่งแยกประเทศ ทำให้คานธีต้องอดอาหารประท้วงจนเกือบเสียชีวิต เหตุจลาจลจึงสงบลงได้
       การปฏิบัติหน้าที่ต่อส่วนรวมของคานที แลกมาด้วยราคาแพง ด้วยบุตรชายทั้ง 4 ของคานธี มักรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง อยู่เสมอ และไม่พอใจที่พ่อหายไปอยู่ในคุกเป็นเวลานาน บุตรชายคนโตแสดงความเป็นปฏิปักษ์ในลักษณะที่ทำให้พ่ออย่างคานที ต้องปวดร้าวใจ โดยกลายเป็นคนติดเหล้าและขายตัว
ในมุมมองของคานธี เขาได้สูญเสียลูกชายไปแล้ว จนวาระสุดท้ายของชีวิต เขาได้พูดถึงลูกชายคนนี้ว่า "เขาไม่ใช่ลูกของข้าพเจ้าอีกต่อไป" ซึ่งมันเป็นคำที่รุนแรงมากสำหรับพ่อผู้ที่อุทิศตนด้วยวิธีอหิงสาต้องแลกมาด้วยราคาที่แพง ...แม้จะเสียใจเรื่องของบุตรชาย แต่เรื่องส่วนตัวก็ไม่อาจขัดขวางคานธีจากภารกิจการเรียกร้องเสรีภาพให้แก่ชาวอินเดียสามร้อยล้านคนได้

ในปี 1930 ขณะอายุได้ 62 ปี คานธีวางแผนการใหม่ที่จะต่อต้านการเก็บภาษีซึ่งไม่เป็นธรรม ภาษีที่อังกฤษเรียกเก็บจาก เกลือ
การทำเกลือ หรือการขายเกลือของชาวอินเดียถือว่าผิดกฎหมาย กิจการนี้สงวนไว้ให้สำหรับคนต่างชาติทำ เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่การประท้วงครั้งนี้ เขาวางแผนจะเดินเท้าเป็นระยะทาง 240 ไมล์ ไปยังทะเลอาหรับเพื่อไปทำเกลือที่นั้น พวกพ้องของเขาในสภาคองเกรซของอินเดีย ต่างอ้อนวอนให้เขาทบทวนแผนการครั้งนี้ใหม่ เกลี้ยกล่อมว่าแผนการนี้อาจจะล้มเหลว รัฐบาลอังกฤษมั่นใจว่า ศัตรูเก่าของตนกำลังถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด
ในเดือนมกราคม ปี 1948 คานธีมีอายุ 79 ปี เขาถูกลอบสังหารขณะกำลังเดินผ่านฝูงชนที่แออัดในสวนแห่งหนึ่งใน กรุงนิวเดลีเพื่อไปสวดมนต์ตอนเย็น
ไม่น่าเชื่อที่ ชายผู้เป็นนักบุญท่านนี้ เขาจะนำ คนหลายร้อยล้านซึ่งทุกข์ทรมานในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สองของโลก ออกจากอาณานิคม สู่สถานะที่มีเกียรติในสังคมโลก เขาทำมันโดยไม่มีตำแหน่งสำคัญในประเทศ และเขาถูกสังหารจากความทุ่มเทที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นอะไรเลย เขาไม่เคยลงสมัครเลย แต่เขาก็เป็นพลังหลักสำหรับผู้คนทั่วอินเดีย หากแต่มี ชาติที่ต้องการความอดทน ขันติ แรงบันดาลใจอันศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญชาวอินเดีย นามว่า คานที  

อารยะขัดขืน คือ สิทธิที่มีอยู่ของพลเมือง ซึ่งไม่สามารถที่จะยกเลิกไปได้ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ อารยะขัดขืนนั้นไม่เคยนำไปสู่สภาวะความวุ่นวายทางการเมือง สิ่งที่นำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง คือ การขัดขืนที่เกิดจากอาชญากรร้าย ซึ่งรัฐในทุกประเทศได้จัดการกับอาชญากรร้าย ด้วยการปราบปรามด้วยกำลัง เพื่อป้องกันไม่ให้สังคมเสื่อมสลายลง

                แต่การที่รัฐจะจับกุม คุมขัง หรือปราบปรามการกระทำอารยะขัดขืนนั้น ถือเป็นความพยายามของรัฐในการจับกุมคุมขังซึ่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคน อารยะขัดขืนนั้นเป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความเข้มแข็งและความบริสุทธิ์ ผู้ที่กระทำการอารยะขัดขืนนั้นไม่เคยใช้อาวุธ ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นอันตรายต่อรัฐ      อสิงหา หรือ การไม่ใช้ความรุนแรงของ มหาตะมะ คานธี         เป็นพลังอันใหญ่ที่สุดที่มนุษย์มี  อหิงสามีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าศัสตราวุธใดๆ ที่มนูษย์จะคิดค้นได้  การทำลายไม่ใช่กฎของมนุษยชาติ  มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ด้วยการฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองไม่ได้  การฆ่าหรือการทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติ

Comments are closed.