Monthly Archives: October 2010

อยากมีบุคลิกภาพที่ดี..ต้องทำอย่างไร

ทุกคนอยากได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี หมายถึง เป็นผู้ที่มีการแสดงออกทางกาย วาจา ความคิด เช่น การแต่งกาย การแสดงท่าทาง การพูด ความรู้สึกภายในใจที่ดีได้รับการยอมรับและปรับตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะ ตลอดจนแก้ปัญหาในชีวิตได้ตลอดรอดฝั่ง พูดง่าย ๆ ว่า สามารถครองตน ครองคน และครองงานได้ พื้นฐานของบุคลิกภาพ เป็นเรื่องส่วนบุคคล เช่นรูปร่างหน้าตา พรสวรรค์ วัฒนธรรม การเลี้ยงดู จนทำให้คน ๆ นั้นมีลักษณะที่เด่นชัดเป็นนิสัยหนึ่ง ๆ เช่น คนนิสัยดี อ่อนโยน อ่อนหวาน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่บางคนมีนิสัยตรงข้าม เช่น ชอบติ ยกคนข่มท่าน ชอบแก้ตัว ชอบนินทา เก็บตัว โมโหร้าย อย่างไรก็ตามบุคลิกภาพเป็นเรื่องที่พัฒนาได้หากสนใจและพยายาม แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรอย่าลืมที่จะเป็นตัวของเราเอง ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมไปเสียทั้งหมด ความพึงพอใจในตนเอง กล้ายอมรับความจริง ถือได้ว่าเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่มั่นคงอย่างหนึ่ง การยกตนข่มผู้อื่นเป็นทางออกของคนที่มีปมด้อย และมีความรู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น จึงพยายามแสดงออกถึงสิ่งที่คิดว่าเป็นจุดเด่นของตัวเอง แต่แสดงออกในเชิงโอ้อวด เพื่อลดความรู้สึก ด้อยในใจ และยกความสำคัญของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมักสร้างความรำคาญใจให้คนรอบข้าง เป็นนิสัยที่ทำลายสัมพันธภาพ และอาจก่อให้เกิดศัตรูได้ ไม่มีใครหรอกที่ชอบฟังคำพูดเชิงยกตัวเหนือคนอื่น อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ยิ่งพูดในลักษณะข่มผู้อื่นด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความรู้สึกไม่เป็นมิตรให้เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ถ้าจะแก้ไข ต้องอาศัยคนที่มีอำนาจสูงกว่า หรือคนที่มีบุญคุณและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า เป็นผู้ตักเตือนด้วยความเมตตาและหวังดี ส่วนคนรอบข้างก็อาจช่วยปรับพฤติกรรมด้วยการไม่สนใจ ไม่แสดงความชื่นชม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการเสริมแรงให้นิสัยดังกล่าวคงอยู่ต่อไป สำหรับคนที่มีนิสัยชอบยกตนข่มท่าน ก็คงต้องพยายามปรับปรุงตัวเองด้วย อาจใช้วิธีเตือนสติ บอกย้ำกับตัวเองว่าคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณมีดีอะไร ไม่จำเป็นต้องแสดงให้คนอื่นรู้ ให้เขารับรู้ด้วยตัวเองหรือรับรู้จากคนอื่น จะเพิ่มความนิยมชมชอบได้มากกว่า แต่ถ้าไม่มีใครรู้ก็มิใช่เรื่องที่คุณจะต้องไปแคร์ ถ้าคุณแคร์แสดงว่าคุณให้ความสำคัญกับคนอื่นมาก จนยอมให้คนอื่นมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของคุณ ให้พยายามสร้างความรู้สึกพอใจ เต็มอิ่มและภาคภูมิใจกับสิ่งที่คุณเป็น และสิ่งที่คุณมีอยู่ อย่าดูถูกตัวเอง เพราะคนที่ดูถูกตัวเองก็มักจะคิดว่าคนอื่นจะดูถูกคุณไปด้วย ถ้าคุณปรับความคิดของคุณได้ คุณก็จะปรับพฤติกรรมของคุณได้เช่นเดียวกัน

วันนี้เวลาของเราก็หมดลงแล้วก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ผู้ที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ คือ คนที่ดีพอ...
ผู้ที่คิดว่าตัวเองดีแล้ว คือ ผู้ที่ดีไม่พอ...

นิทาน...ความลับ กับ ความรัก

ดิฉันมีนิทานเรื่อง  ความลับกับความรัก  มาเล่าให้ฟัง

เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล….“ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อย..ได้มั๊ยคะคุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น..เมื่อห่อผ้าน้อย ๆ .อยู่ในอ้อมกอดเธอเธอค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ห่อออก..เพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆกรี๊ดดดด…..เธอกรีดร้องหมอต้องอุ้มเด็ก..ออกไปอย่างรวดเร็ว**เด็กทารกที่เกิดมาไม่มีใบหู**และแล้ว….กาลเวลาพิสูจน์ว่า….การได้ยินของเจ้าหนู..ไม่มีปัญหาปัญหา..มีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอกคือ….ใบหูที่หายไป  หลายครั้ง..ที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียนแล้ววิ่งมาบอกแม่เจ้าหนูพูดโพล่งออกมา..อย่างน่าเศร้าพวกเด็กตัวโต .พวกมันล้อผมว่า ..“–ไอ้ตัวประหลาด–”จนกระทั่งเจ้าหนูเติบโตขึ้น..หล่อเหลา..
เป็นที่รักของเพื่อน ๆ..เค้ามีพรสวรรค์..ในด้านอักษรศาสตร์..วรรณคดี..และดนตรี..เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้นทำให้เค้า..ไม่อยากเจอใครลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูกแม่กล่าว..ด้วยความสงสารลูกพ่อของเด็กชาย..ปรึกษากับหมอประจำครอบครัวและได้รับข่าวดีจากหมอว่า…“ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาค..แต่ใครล่ะ..จะเสียสละใบหู..เพื่อเด็กน้อยคนนี้คุณหมอกล่าวจนกระทั่ง …2 ปีผ่านไปพ่อบอกกับลูกชาย..ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะพ่อกับแม่..หาคนบริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้วแต่นี่เป็นความลับการผ่าตัด..สำเร็จด้วยดีและแล้วคนคนใหม่ก็เกิดขึ้น..….เค้ากลายเป็น..ผู้มีพรสวรรค์เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน..ในวิทยาลัยจนเป็นที่กล่าวขานกัน..รุ่นต่อรุ่นต่อมาได้แต่งงานและทำงาน..หลายปีผ่านไป….มันยังคงเป็นความลับและแล้ว..วันนึง..วันที่มืดมิดที่สุด..ผ่านเข้ามา..ในชีวิตของลูกชายแม่เค้าได้เสียชีวิตลง..เค้ายืนข้าง ๆ พ่อใกล้ศพของแม่พ่อเรียกเค้า..มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ ๆ นี่พ่อลูบผมแม่อย่างช้า ๆ..และนุ่มนวลผมสีน้ำตาลแดง..ถูกเสยขึ้นจนมองเห็นใบหน้า..ที่มองดูเหมือนคนนอนหลับและแล้ว..สิ่งที่ทำให้ลูกชาย..ถึงกับต้องตะลึง..ใบหูของแม่หายไป!..แม่ไม่มีใบหู…“นี่เป็นคำตอบ..ที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิตพ่อกระซิบผ่านลูกชาย “แม่บอกพ่อว่า..เธอดีใจ..ที่ได้ทำอย่างนี้..ตั้งแต่วันผ่าตัด..แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย….ไม่มีใคร..มองเห็นว่า..เธอไม่สวยจริงมั๊ยจงจำไว้..~สิ่งมีค่า..ที่แท้จริง~ไม่ได้อยู่ที่..การมองเห็น..หากแต่อยู่ที่..~สิ่งที่เรา..มองไม่เห็น~~ความรัก~บางครั้ง..ไม่จำเป็น..ต้องพูดพร่ำเพรื่อ….หากแต่อยู่ที่การกระทำ..ซึ่งเรา..อาจรับรู้..เพียงแค่..ฝ่ายเดียว.

การเตรียมตัวเป็นผู้บริหาร/ผู้นำ

จากบทความเรื่อง พัฒนาผู้นำในองค์กรไฮเทค  ของคุณจารุนันท์ อิทธิอาวัชกุล ได้กล่าวไว้ว่า องค์กรไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่ในธุรกิจประเภทใด

ก็ต้องเผชิญความท้าทายในการเตรียมผู้บริหารให้พร้อมเป็นผู้นำในอนาคตและดูเหมือนว่า การสร้างผู้นำในองค์กรธุรกิจสื่อสาร  และเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น จะมีความยากลำบากกว่าธุรกิจประเภทอื่น ๆ หรือพูดง่าย ๆ คือ การพัฒนาเหล่าผู้เชี่ยวชาญสายเทคนิคทั้งหลาย ให้กลายเป็นผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นำนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายมากองค์กรที่เน้นเทคโนโลยีดังกล่าวนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรที่เพิ่งเกิดใหม่ และมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว รวมทั้งต้องพร้อมขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ตลอดเวลา การสร้างระบบการพัฒนาผู้นำให้สอดคล้องกับการเติบโตที่รวดเร็วนั้น  จึงเป็นเรื่องยาก เพราะต้องสร้างระบบพัฒนาผู้นำให้สอดคล้องกับจังหวะเวลาของวงจรธุรกิจ รวมทั้งต้องหาวิธีการที่เหมาะสมกับผู้บริหารสายวิชาชีพด้านเทคนิคเหล่านั้นด้วย สัญญาณที่บ่งชี้ว่า ถึงเวลาวางแผนระบบพัฒนาผู้นำในองค์กรเทคโนโลยีแล้วหรือยัง ให้ลองพิจารณาตอบคำถามต่อไปนี้
 1) องค์กรของคุณมีปัญหาในการหาผู้นำทดแทนหรือไม่
 2) ผู้บริหารระดับหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่

     มาจากสายวิศวกรรมเทคโนโลยีใช่หรือไม่
 3) บุคลากรเก่ง ๆ หลายคนทยอยลาออกไปหรือไม่

หากตอบว่า กำลังประสบอยู่ครบทั้ง 3 ข้อ ก็พออนุมานได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีกระบวนการพัฒนาผู้นำอย่างเป็นระบบ องค์กรประเภทไฮเทคที่เพิ่งเริ่มธุรกิจไม่นาน หากมีการจัดวางระบบการพัฒนาที่เป็นมาตรฐานหรือเป็นทางการเร็วเกินไป ก็จะไปลดอัตราเร่งทางธุรกิจ  ทอนอารมณ์และบรรยากาศการทำงานที่ทุกคนรู้สึกเป็นผู้ประกอบการลงไปได้ แต่ถ้าหากพัฒนาความเป็นผู้นำช้าเกินไป ก็จะมีความเสี่ยงในการรักษาคนเก่งไว้กับองค์กร และการสร้างการเติบโตขององค์กรที่ยั่งยืน

แนวทางในการจัดวางระบบพัฒนาผู้บริหารสายวิชาชีพด้านเทคนิคให้พร้อมเป็นผู้นำนั้น สามารถเริ่มต้นจาก
 -
พัฒนาโปรแกรมการพัฒนาความเป็นผู้นำที่เน้นการลงมือปฏิบัติ คนในสายวิชาชีพด้านเทคนิค ถือได้ว่า เป็นผู้ที่เรียนรู้เร็ว มีความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค วิทยาการสูง และชอบงานหรือโครงการที่ทำได้จริง ชัดเจน วัดผลได้ ดังนั้น การออกแบบหลักสูตรจึงต้องเน้นการสร้างสถานการณ์จำลอง มีกรณีศึกษาที่เป็นภาคปฏิบัติมากกว่าภาคทฤษฎี จัดให้มีผู้นำตัวจริง เสียงจริงมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริง พร้อมแบ่งปันการเรียนรู้และข้อสังเกตต่าง ๆ ในการทำงานในฐานะผู้นำ โดยเน้นย้ำว่า ผู้นำจะต้องสามารถลงมือทำงานกับการบริหารคนควบคู่กันไปเสมอ

-ส่งเสริมการสอนงานแบบเป็น Coach หรือเป็นพี่เลี้ยงเพื่อพาไปสู่เส้นทางการเป็นผู้นำ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ทำงานลักษณะเป็นโครงการ จึงมีทักษะในการบริหารจัดการงานและทรัพยากรต่าง ๆ โดยรวม  แต่อาจไม่ได้ลงลึก เพื่อฝึกฝนการใช้ภาวะผู้นำในการบริหารทีมงานอย่างเต็มที่ ดังนั้น การโค้ชที่แนะนำเชิงพฤติกรรมการเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นโค้ชจากผู้นำภายในองค์กร หรือจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Executive Coach ภายนอกที่มาให้ข้อสังเกต และข้อมูลป้อนกลับต่าง ๆ ก็จะสามารถสร้างความพร้อมให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหล่านั้นเข้าสู่เส้นทางในการเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ ระบบเพื่อนสอนเพื่อน (Peer Coaching) โดยจัดให้มีการจับคู่กันระหว่างเพื่อนที่อยู่ในสายงานสนับสนุนต่าง ๆ เช่น ส่วนงานประชาสัมพันธ์, ส่วนงานบริหารทรัพยากรบุคคล, ส่วนงานการตลาดนั้น ก็อาจจะช่วยเพิ่มมุมมองที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการบริหารคนได้เป็นอย่างดี

-ส่งเสริมค่านิยมการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคมักจะให้ความสำคัญกับความสำเร็จในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัย หรือสร้างโปรแกรมใหม่ ๆ มากกว่าการสร้างคนให้ควบคู่กันไป ดังนั้น องค์กรจึงต้องจัดให้มีระบบการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ตระหนักถึงความแตกต่างของการเป็นผู้นำกับการเป็นเพียงผู้จัดการสายเทคนิค และทำให้เกิดความเข้าใจว่า ผู้นำที่มีประสิทธิผลต้องมีพฤติกรรมอย่างไร จึงทำให้ได้ทั้งใจคน ได้ทั้งผลงานที่โดดเด่น แตกต่าง   เป็นผู้นำที่มีประสิทธิผล เรียกว่า ผู้นำตัวคูณ ไม่ใช่ผู้จัดการที่เป็นลบ สิ่งที่ผู้นำตัวคูณจะทำ คือ การสร้างผู้นำรุ่นต่อไป ไม่ใช่การลดทอนความรู้สึกมั่นใจของลูกทีม รวมทั้งสร้างบรรยากาศที่ทำให้ทีมผลักดันศักยภาพมาใช้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่ให้เกิดความรู้สึกต้องพึ่งพา ดังนั้น ผู้นำที่แท้จริงจะใช้การถาม การฟังมากกว่า ซึ่งจะกระตุ้นความคิดของทีมงาน ได้ความรู้สึกร่วมและเกิดความไว้วางใจมากกว่าการสั่งการ 

-มีระบบการวางเส้นทางอาชีพที่เติบโตทั้งการเป็นผู้เชี่ยวชาญและการเป็นผู้นำหน่วยงาน ซึ่งอาจจะเติบโตได้ไกลกว่าและกว้างกว่า รวมทั้งมีระบบการประเมินผลงานที่นำเรื่องการสร้างคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พร้อมทั้ง จัดให้มีระบบการยกย่องชมเชยผู้ที่มีความสามารถในการสร้างแรงจูงใจ การสอนแนะนำงานที่ดี ซึ่งก็ต้องมีระบบการวัดประเมินผลที่เชื่อถือได้ เป็นที่ยอมรับได้ในกลุ่มวิชาชีพเทคนิคเหล่านั้น ในวงการที่ยิ่งอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ กลับยิ่งต้องใช้ความเป็นผู้นำที่มีสไตล์การนำที่ส่งเสริมให้ทุกคนมีอิสระในการใช้ความคิดของเขาอย่างเต็มศักยภาพ       ค่ะ

เปลี่ยนเจ้านายใหม่..ต้องปรับตัวอย่างไร

ถ้าคุณต้องเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนเจ้านายใหม่ การเตรียมตัวรับมือ กับเจ้านายคนใหม่ จะช่วยให้คุณทำงานได้ง่าย และก้าวหน้าขึ้น ถึงแม้การปรับตัว ให้เข้ากับนายใหม่ จะไม่ยุ่งยากเหมือนเรื่องวุ่นอื่น ๆ ในออฟฟิศ แต่คุณก็ไม่ควรมองข้ามนะคะ เพราะถ้าคุณรับมือ กับช่วงเวลาการเปลี่ยนนายใหม่นี้ ได้ดีแล้วล่ะก็ หน้าที่การงานของคุณ อาจวิ่งฉิว อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณปรับตัว ให้เข้ากับช่วงเวลา แห่งการเปลี่ยนนายนี้ ได้ไม่ดี งานการของคุณ อาจถึงขั้นล้ม ไม่เป็นท่าได้
นายคนใหม่ มักมีรูปแบบ การบริหารงาน นิสัย สิ่งที่ชอบและเกลียดเข้าไส้ รวมถึง วิสัยทัศน์เฉพาะตัว ซึ่งถ้าคุณทำตัวกลมกลืน กับสิ่งเหล่านี้ได้ล่ะก็ ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ถ้าคุณกับนายเก่าผูกพันลึกซึ้ง รู้อกรู้ใจเรื่องงาน กันเป็นอย่างดี จนทำให้คุณรู้สึก ตะขิดตะขวงใจ ที่ต้องมาปรับตัว รับกับรูปแบบ การทำงานใหม่ ของนายใหม่ล่ะก็ ดูเหมือนว่า ปัญหากำลังคืบคลานเข้ามา อย่างไม่รู้ตัวแล้วล่ะ แน่นอนว่าการมีนายใหม่ ไม่ได้ทำให้คุณ ถึงกับเกิดอาการ "ร้อนก้น" กลัวเก้าอี้หาย อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่า ในกรณีที่คุณเป็นผู้บริหารระดับสูง และเจ้านายคนใหม่ ออกมาประกาศแน่ชัดว่า ต้องการ "ล้างบางเพื่อถ่ายเลือดใหม่" แต่ก็อย่าเพิ่ง ตีตนไปก่อนไข้นะคะ ผู้ให้คำปรึกษา เรื่องการทำงานในสำนักงาน หลายคนบอกว่า คุณควรคิดเสียว่า การมีนายใหม่ก็เหมือนการได้งานใหม่ การปรับตัวให้เข้ากับนายใหม่ คือโอกาส ทองของคุณ ที่จะเสริมสร้างทักษะใหม่ ๆ และแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่า คุณคือเพื่อน ร่วมทีม ที่ดี และหากคุณเคยมีปัญหา กับนายเก่าล่ะก็ การได้นายใหม่คือ โอกาสดี ที่คุณจะได้สร้างสัมพันธภาพใหม่ ๆ และลืมเรื่องราวแย่ ๆ ที่เคยผ่านเข้ามาก่อนหน้านั้น  และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คุณต้องใส่ใจ กับรูปแบบการสื่อสาร ของเจ้านาย คนใหม่นี้ให้มาก ๆ ว่าเขาชอบการเข้าหา แบบไหน ระหว่างการแวะเข้าไปพบปะ พูดคุย ด้วยแบบธรรมดา ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ หรือต้องมีการทำนัด ก่อนล่วงหน้า และเขารับได้หรือไม่หากคุณจะส่งเพียงร่างคร่าว ๆ ในกระดาษให้เขาดู หรือว่าต้อง เขียนเป็น จดหมายอย่างเป็นทางการ เพราะหากคุณทำผิดวิธี (หรือผิดรสนิยม ของเจ้านายคนใหม่) แล้วล่ะก็ คุณคงจะ ไม่กลายเป็น คนโปรดของนายเเน่ ๆ เพราะความประทับใจแรกนั้น สำคัญมาก เจ้านายคนใหม่จะประเมินคุณ ได้จากการพบปะ หรือประชุมร่วมกันไม่กี่ครั้ง ดังนั้น คุณจึงควรทำตัวเปิดเผย และกระตือรือร้น ที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ของทีมใหม่ที่เจ้านายกำลังจะสร้างขึ้นนี้ ในการประชุมครั้งแรก คุณควรสนใจ แต่สิ่งที่เจ้านาย อยากพูดถึง ส่วนเรื่องที่คุณมี อยู่ในใจนั้น ทางที่ดีควรเก็บไว้ก่อน เพราะข้อมูลที่เจ้านาย พูดออกมานั้น คุณ สามารถ เก็บกลับไปคิด เป็นการบ้านได้ แล้วนำมากลั่นกรอง ปรับเข้ากับสิ่งที่คุณ คิดเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่คุณ ต้องเป็นฝ่ายพูดบ้าง คุณจะได้รู้ว่า ควรพูดอะไรหรือ เลี่ยงอะไร เพื่อให้การทำงานร่วมกันครั้งแรก ระหว่างคุณและเจ้านายราบรื่นที่สุด คุณควรแสดงออก ให้เจ้านายรู้ว่า คุณไม่ได้เป็นเพียงหุ่น ที่เขาจะสั่งให้ทำอะไรก็ได้ เพียงอย่างเดียว คุณต้องแสดงจุดยืนที่เด่นชัด สิ่งหนึ่ง ที่จะทำให้คุณแตกต่าง จากเจ้านายคนใหม่ ก็คือ คุณนั้นอยู่ในบริษัท มานานกว่า และรู้ตื้นลึกหนาบาง ภายใน องค์กรมากกว่า แต่คุณต้องแสดงจุดยืนนี้ อย่างเหมาะสม อย่าให้ออกมาในแนวที่ว่าคุณกำลัง "ข่ม" เจ้านายคนใหม่ โดยไม่รู้ตัว ทางที่ดี คุณควรสร้าง ความสำเร็จ ให้กับตัวเองด้วยการ เสนอแนวคิดและข้อมูลใด ๆ ก็ตามที่คุณรู้ (ในขณะที่เจ้านายยังไม่รู้) ให้กับเจ้านายให้มากที่สุด ท้ายที่สุด ลองเอาใจนายมาใส่ใจเราดูสักนิด แล้วคุณจะเป็นลูกน้องที่น่ารักและมีความเข้าอกเข้าใจนายมากขึ้น คุณจะพอเดาได้คร่าวๆ ว่าเจ้านายต้องการอะไร ซึ่งในที่สุดจะช่วยให้คุณเป็นฝ่ายสนองความต้องการ ของนายได้อย่างสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นผู้ร่วมงานมือหนึ่งที่เจ้านาย ขาดไม่ได้เลยทีเดียว

ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า 

 คนเราจะไม่พัฒนา  ถ้าสามารถโยนความผิดให้กับผู้อื่น

นิทาน....กระรอกกับมะพร้าว

ดิฉันมีนิทานเรื่อง กระรอกกับมะพร้าว        มาเล่าให้ฟัง

มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง หมู่บ้านนี้มีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่ริมฝั่งคลองเป็นจำนวนมาก บริเวณนั้นเป็นป่ารก ไม่มีบ้าน ผู้คน มีแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยอาศัยอยู่ เช่น พวกกระรอก กระแต วันหนึ่งมีมะพร้าวต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมฝั่งคลองนี้ เกิดมีลูกดกมาก ลำต้นของมันทานน้ำหนักลูกไม่ไหวก็เลยค่อยๆ เอนไป จนยอดมะพร้าวไปจรดคลองอีกฝั่งกระรอกฝูงหนึ่งเห็นมะพร้าวเอนลงมายังฝั่งของตน หัวหน้ากระรอกจึงพูดขึ้นว่าโอ้โฮ ! วันนี้พวกเราช่างโชคดีเหลือเกิน ลาภปากแท้ๆ เลย”  ”โชคดีอย่างไรล่ะท่านหัวหน้า ช่วยบอกหน่อยซิบริวารกระรอกถาม ก็โน่นไง เห็นมั๊ย มะพร้าวลูกดกเอนมาทางฝั่งเราหัวหน้ากระรอกพูดพลางชี้ให้ดู อย่างนั้น พวกเราก็ไปกินมะพร้าวกันได้สิท่านหัวหน้า”  “ได้เลย ไปชวนกันมาเยอะๆ นานๆ จะมีอาหารอันโอชะมาถึงอย่างนี้สักทีหัวหน้าอนุญาตว่าแล้วบรรดากระรอกทั้งหลายก็ชวนกันปีนขึ้นไปเจาะกินน้ำมะพร้าว  กินกันจนเหลือผลกลวงอยู่บนต้นอย่างเพลิดเพลินอยู่หลายวัน วันละลูกสองลูก โดยไม่ได้ลงมาจากต้นมะพร้าวเลย และ ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปรกติของต้นมะพร้าวด้วย กินกันจนหมดต้นเมื่อไรไม่รู้ตัวเมื่อน้ำมะพร้าวแห้งหมดทุกลูกแล้ว ต้นมะพร้าวก็เอนกลับไปยังที่เดิม พวกกระรอกทั้งหลายก็ติดอยู่บนต้นมะพร้าวนั้น ไม่สามารถกลับไปยังฝั่งเดิมขิงตนเองได้ ครั้นจะว่ายน้ำข้ามไปก็ว่ายไม่เป็น กระรอกทั้งหลายต่างเศร้าโศกเสียใจ นั่งร้องไห้อยู่บนต้นมะพร้าวนั้นหัวหน้ากระรอกเห็นดังนั้นก็ไม่สบายใจ จึงเรียกบริวารกระรอกมาประชุม ปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรกันดี จึงจะกลับไปยังฝั่งของตนได้ ต่างแสดงความคิดเห็นกันหลากหลายวิธี แต่ก็ติดขัดตรงที่ทำตามความคิดไม่ได้ ในที่สุดมีกระรอกตัวหนึ่งเสนอความคิดว่า พวกเราน่าจะช่วยกันลงไปอมน้ำในแม่น้ำ แล้วนำมาหรอกใส่ในลูกมะพร้าวทุกลูก เมื่อมะพร้าวเต็มทุกลูก ต้นมะพร้าวก็จะเอนไปยังฝั่งเราดังเดิมความคิดนี้กระรอกทุกตัวต่างเห็นด้วยว่าน่าจะทดลองทำดู เพราะทำไม่ยาก เพียงแต่กระรอกทุกตัวต้องช่วยกันอย่างเต็มที่เท่านั้น  และแล้วการลำเลียงน้ำของกระรอกทุกตัว โดยการอมน้ำจากแม่น้ำไปกรอกลงในลูกมะพร้าวก็เริ่มขึ้น ในไม่ช้า น้ำในลูกมะพร้าวก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ทีละน้อยๆ ทำให้ต้นมะพร้าวค่อยๆ โน้มเอนลงไปทีละน้อยเช่นเดียวกัน พวกกระรอกทุกตัวต่างไม่ลดละความพยายาม จนในที่สุดผลของความเพียรพยายามและความสามัคคีก็มาถึง เมื่อกระรอกช่วยกันอมน้ำไปกรอกในลูกมะพร้าวจนเต็มทุกลูก ต้นมะพร้าวก็โน้มเอนลงไปยังฝั่งที่อยู่ของกระรอกตามเดิม กระรอกทุกตัวต่างก็ดีใจที่ได้กลับมายังฝั่งของตนเองได้อย่างปลอดภัย   
             ท่านผู้ฟังค่ะ ในวันที่มีทรัพยากรให้ใช้อย่างเหลือเฟือ  จงคำนึงถึงวันที่ทรัพยากรจะหมดสิ้นไปด้วยว่าเมื่อถึงวันนั้นเราจะทำอย่างไร  ก่อนจะใช้ทรัพยากรที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหมด  ลองคิดดูว่าเราจะค่อย ๆ ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด หรือจะใช้แบบไม่ลืมหูลืมตาจนวันหนึ่งเกิดปัญหาขึ้นมา   แต่ในทุก ๆ ปัญหาและอุปสรรคย่อมมีทางออกอยู่เสมอ  ขอเพียงทีมมีความสามัคคี และช่วยกันคิดหาทางแก้ไข ไม่เห็นแก่ตัวและเอาตัวรอด หรือวางเฉยต่อปัญหาเท่านั้นเององค์กรอยู่รอดถ้าพวกเราทุกคนช่วยกัน

ความสามารถของผู้นำ

การดำเนินงานธุรกิจทุกอย่าง ลูกค้าคือหัวใจ พนักงานคือแขนขา ผู้บริหารคือมันสมอง ระบบคืออวัยวะภายใน ประกอบเสริมสร้างกันให้คงอยู่ได้เป็น ชีวิต ธุรกิจ ไม่อาจที่จะขาดสิ่งไดสิ่งหนึ่งได้ ความสามารถของผู้บริหาร คือ ปัจจัยสำคัญยิ่งยวดในการกำหนดกระบวนการให้ชีวิตธุรกิจดำเนินไปได้ดีเลวมากน้อย แค่ไหน อย่างไรในการก้าวมาเป็นนักบริหาร สิ่งที่ต้องรับผิดชอบคือ ทำอย่างไร จึงจะสามารถเป็น ผู้นำความสำเร็จมาสู่งานที่ได้รับมอบหมาย และส่งผลโดยรวมให้เกิดความสำเร็จขององค์กรร่วมกับผู้อื่น            การต้องเป็น ผู้นำจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ คงไม่มีผู้บริหารคนไดที่ก้าวขึ้นมาเพราะถูกบังคับ มันเป็นความปรารถนาสูงสุดของทุกผู้คนที่เล่าเรียนจบมาที่อยากจะเป็น นั่นหมายถึงเกียรติยศ ความภูมิใจความมั่นคงแห่งตน และครอบครัว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสเช่นนี้ บางคนแม้มีโอกาส ก็ไม่อาจรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ อะไรคือปัจจัย เป็นคำถามที่มีคำตอบในแต่ละคนไม่เหมือนกัน การบริหาร เป็น ศาสตร์ส่วนภาวะผู้นำ เป็นศิลป์ผู้บริหารที่จะประสพความสำเร็จได้ต้องประกอบด้วย ความรู้ในการบริหาร และมีภาวะผู้นำ ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารจำเป็นต้องศึกษาวิชาการบริหารให้ถ่องแท้ และเข้าใจ หาไม่เช่นนั้นแล้วไม่อาจจัดการกับกระบวนการให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้ ส่วนความเป็นผู้นำ แม้ว่าจะมีผู้เขียนตำรามากมาย ให้เราสามารถศึกษารวมทั้งเรียนรู้ได้จากตัวอย่างความเป็นผู้นำ ของบุคคลสำคัญที่ประสพความสำเร็จในอดีต แต่อย่างไรก็ตามการที่บุคคลหนึ่ง จะซึมซับและมีภาวะผู้นำได้มักขึ้นมักขึ้นกับการได้รับการปลูกฝังและอบรมมาตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก และเกิดการสั่งสมเรียนรู้ในการเป็นผู้นำ การเรียนรู้ใดๆสำหรับเขาต่อมาเป็นเพียงการตอกย้ำ และพลิกแพลง เพิ่มเติมความสามารถให้กับเขาเท่านั้นเอง ดังนั้น ผู้บริหารในองค์กรจะมีให้เห็นมากมาย แต่ภาวะผู้นำจะหาพบได้น้อยมากใน แต่ละองค์กร ส่วนมากเป็นผู้นำโดยการแต่งตั้ง อาศัยความเป็นเครือญาติ เพื่อนฝูง คนสนิท บุญคุณต้องทดแทน หากคนเหล่านั้นไม่ปรับตัว อาจทำให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพในการบริการจัดการ ซึ่งถือเป็นต้นทุน (Operational Cost)ขององค์กรที่สูญเสียไปไม่ใช่น้อยทั้งเกิดจากความผิดพลาด(Cost Of Defect)และ สูญเสียโอกาสที่จะได้(Opportunity Cost)

เรื่องเล่า จากแดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง

ท่านผู้อ่านค่ะ ในหลายเดือนก่อนดิฉันได้นำเรื่อง การจัดการกับเรือไททานิค มาเล่าให้ฟังมาแล้ว มาคราวนี้ดิฉันขอนำซีรี่ส์เกาหลีชื่อดัง เรื่อง แดจังกึม  จอมนางแห่งวังหลวง  มาเล่าสู่กันฟังนะค่ะ  ท่านที่ได้ติดตามเรื่องนี้ อาจมีคำถามในใจว่าผิดด้วยหรือที่คนเก่งอย่าง ซอจังกึม โดนกลั่นแกล้งจนบางคนทนดูเรื่องนี้อีกต่อไปไม่ได้   หากวิเคราะห์ขีดความสามารถ (competency) ที่รวมถึงความรู้ (knowledge) ความสามารถ (skill)  บุคลิกลักษณะ (trait) และ นิสัยใจคอ (motive) ของซอจังกึมแล้ว จะพบว่าเธอคือ ผู้มีพรสวรรค์ ขนานแท้ คือ นอกจากมีความรู้ ความสามารถ (high performance) ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดในงานที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นงานปรุงอาหาร และงานรักษาคนป่วย นอกจากนี้ยังมีศักยภาพ (high
potential) ในการเติบโตในงานทั้งสองด้าน อีกทั้งถึงพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรม (ethics)           ซึ่งประการหลังนี้ ในหลายๆ ครั้งผู้บริหารอาจไม่ได้ใส่ใจในเบื้องต้น จนสนับสนุนให้เติบใหญ่แล้วจึงมาทราบที่หลังว่าสนับสนุนคนผิด         
          เพราะสิ่งนี้จะสร้างความมั่น
ใจในตัวเองให้กับ ผู้มีพรสวรรค์ จนในบางครั้งอาจกระทำการใดๆ ที่ขาดการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ หรือหาเหตุของปัญหาอย่างจริงจัง ทำให้นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา หรือตัดสินใจบนพื้นฐานของประสบการณ์เดิมที่เคยทำสำเร็จมา ซึ่งการกระทำนั้นอาจให้ผลต่างจากอดีตก็เป็นได้ ตัวอย่างตอนหนึ่งจากละครเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นในตอนที่หมอจังกึม คิดจะทำการรักษาคนไข้ที่มีอาการท้องบวมเหมือนกันด้วยวิธีเดียวกัน โดยลืมไปว่าอาการของโรคอาจมาจากสาเหตุที่แตกต่าง    ในอีกด้านหนึ่ง คนที่สังคมยอมรับว่าเก่ง หรือเป็น ผู้มีพรสวรรค์ นั้นก็มักจะถูกคาดหวังจากสังคมอย่างสูง ซึ่งลืมคิดไปว่า คน คนนี้ก็เป็นคนหนึ่ง ซึ่งอาจทำความผิดพลาดได้เช่นกัน จะเห็นว่าหมอจังกึมนั้นถูกคาดหวังจากพระมเหสีอย่างมากในการรักษาพระราชาแต่พออาการของพระราชาไม่ดีขึ้นก็ทำให้ พระมเหสีทรงกริ้วอย่างมาก จนหมอจังกึมเกือบถูกประหาร           เรื่องนี้คงเห็นได้ในหลายๆ องค์กรที่ผู้บริหารมักจะมอบหมายงานสำคัญให้กับคนคนหนึ่งที่เคยทำงานให้ตนสำเร็จงานแล้วงานเล่า          โดยลืมไปว่าเค้าคนนั้นมีขีดจำกัดของความสามารถเช่นเดียวกัน   ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ผู้มีพรสวรรค์ นั้น  ก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า ตนเป็นผู้วิเศษหรืออย่างไรที่จะทำได้ทุกอย่างที่ผู้บริหารมอบหมายมา หรือคิดว่างานนี้อยู่ในคำบรรยายลักษณะงาน (job description) ข้อไหนของตน แต่ถ้าไปถามผู้บริหาร ผู้มีพรสวรรค์ ก็อาจหน้าแตกได้ เพราะทุกเรื่องที่ผู้บริหารสั่งอยู่ในข้อสุดท้ายของคำบรรยายลักษณะงานเสมอ นั่นคือ รับผิดชอบงานที่หัวหน้างานมอบหมาย

                                                         นอกจากนี้การกระทำของหัวหน้าที่มอบหมายงานแต่เฉพาะคนที่ตนเห็นว่าเป็น ผู้มีพรสวรรค์ นั้นอาจทำให้เกิดการแตกสามัคคีในหมู่เพื่อนที่ทำงานด้วยกัน       "เก่งนักก็ทำคนเดียวแล้วกัน"

                                      "เธอทำนะดีแล้ว หัวหน้าชอบสไตล์เธอ"  "คุณบอกมาแล้วกันว่าจะเอายังไง"  กลายเป็นว่างานที่ควรจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ กลับไม่มีคนอยากจะคิดอยากจะทำ เนื่องจากตนรู้สึกว่าด้อยกว่า ผู้มีพรสวรรค์      การจัดการ ผู้มีพรสวรรค์ จึงเป็นสิ่งที่น่าพึงระวังทั้งของคนที่ถูกยกย่องให้เป็น ผู้มีพรสวรรค์ และคนที่คัดเลือก ผู้มีพรสวรรค์ เพราะหากเลือกผิดพลาดก็เท่ากับส่งเสริมคนผิด        แต่หากเลือกถูกก็มิใช่ว่าจะส่งผลดีต่อผู้เลือกและผู้ถูกเลือกเสมอไป         เรื่องนี้จึงทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า "ดีได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย"

นิทาน เรื่องหมาๆ ของ คนทำงาน

ท่านผู้อ่านค่ะ คราวนี้ดิฉันมีเรื่อง เรื่องหมาๆ ของ คนทำงาน      มาเล่าให้ฟัง

เจ้าของร้านขายเนื้อสดคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจที่หมาตัวหนึ่งมาที่ร้าน โดยในปากมันคาบแบงก์ 10 ดอลลาร์และกระดาษเขียนข้อความว่า ขอซื้อไส้กรอก 12 ชิ้นกับขาแกะ 1 ขาครับเขารู้สึกประทับใจความแสนรู้ของมัน ดังนั้น หลังจากเก็บเงิน 10 ดอลลาร์ และเอาไส้กรอกและขาแกะใส่ถุง
แขวนที่ปากให้มันคาบไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจปิดร้านสะกดรอยตามมันไป หมาตัวนั้นเดินไปตามถนนจนถึงทางม้าลาย มันก็วางถุงที่คาบไว้ลงแล้วยืนด้วยขาหลังและยกขา หน้ากดปุ่มไฟสำหรับคนข้ามถนนแล้วก็คาบถุงต่อ รอจนไฟคนข้ามเขียวมันจึงข้ามไปยังป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง มันจ้องมองตารางเวลาเดินรถแล้วนั่งลงตรงที่นั่งรอ สักพักมีรถเมล์คันหนึ่งมา
มันเดินไปดูหมายเลขที่ หน้ารถแล้วก็กลับมานั่งรอต่อ อีกสักเดี๋ยวก็มีรถเมล์มาอีกคัน มันเดินไปดูหมายเลขรถอีก เมื่อเห็นว่าเป็น สายที่มันรออยู่ มันจึงขึ้นรถเมล์คันนั้น คนขายเนื้อถึงกับอ้าปากค้างทึ่งในความแสนรู้ของมัน แล้วรีบตาม มันขึ้นรถคันนั้นไป หลังจากรถวิ่งผ่านกลางเมืองออกไปยังชานเมือง เจ้าหมาแสนรู้ก็ลุกจากที่นั่งเดินไปหน้ารถ มันยืนด้วยขาหลังแล้วเอาขาหน้ากดกริ่งบนรถ เมื่อรถจอดมันก็ลงและเดินไปตามถนนจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าไป คนขายเนื้อยังสะกดรอยตามมันอยู่ห่างๆเช่นเดิม เมื่อมาถึงประตูบ้านที่ปิดอยู่มันก็วางถุงไส้กรอกที่คาบไว้ลง แล้วถอยหลังมาตั้งหลักประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นก็วิ่งเข้าชนประตูเต็มแรง มันพยายามอยู่ 2-3 ครั้งแต่ประตูก็ยังเปิดไม่ออก มันเลยเดินอ้อมตัวบ้านไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดอยู่และเอาหัวโขกที่หน้าต่างหลาย ครั้ง แล้วก็เดินกลับมารอ ที่ประตู สักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดโดยเจ้าของหมา เป็นผู้ชายหุ่นล่ำบึ้ก
ซึ่งพอเปิดประตูเสร็จเขาก็เริ่มเตะต่อยและตะโกนด่าเจ้าหมาแสนรู้ตัวนั้นทันที ถึงตอนนี้คนขายเนื้ออดรนทนไม่ไหว เขารีบวิ่งเข้าไปห้าม เจ้าของหมา พร้อมกับถามว่าคุณเตะมันทำไมกัน มันเป็นหมาสุดอัจฉริยะเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย ถ้า ไปออกทีวีต้องดังแน่เจ้าของหมาตอบสวนทันทีว่า คุณว่ามันฉลาดนักเหรอ เชอะ! รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งที่สอง ในรอบสัปดาห์นี้นะที่มันลืมเอากุญแจบ้านติดตัวไปด้วยคติสอนใจจากเรื่องนี้คือ "เราอาจทำงานได้เกินความคาดหมายในสายตาผู้อื่น แต่ก็ยัง ทำงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายในสายตาของนายเราเสมอ"

ผู้นำคือ...“ผู้แผ่รังสีแห่งเป็นไปได้”

วันนี้ดิฉันขอนำบทความ ผู้นำคือ...ผู้แผ่รังสีแห่งเป็นไปได้ของ รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข มาเล่าสู่กันฟังว่า ผู้นำที่แท้จริงคือผู้ที่สามารถ แผ่รังสีแห่งความเป็นไปได้” (Radiating possibility) แซนเดอร์ได้ร่วมกันเขียนหนังสือกับภรรยาของท่านคือ โรซามุนด์ แซนเดอร์ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา หนังสือทรงคุณค่าเล่มนั้นคือ “The Art of Possibility” ซึ่งเป็นหนังสืออ่านง่าย สำนวนโวหารไพเราะและสร้างแรงบันดาลใจได้สูง  แม้กระทั่งศาสตราจารย์วอร์เรน เบนนิส (Warren Bennis) “กูรูด้านภาวะผู้นำท่านหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียใต้ (University of Southern California) ยังชื่นชมว่าเป็นหนังสือที่ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่าง เป็นไปได้ทั้งนั้น   ผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานซึ่งต้องรับผิดชอบงานยากๆ ต้องดูแลบริหารคนจำนวนมากๆ คงต้องมีช่วงเวลาที่รู้สึกท้อถอย หมดกำลังใจ ประมาณว่า อย่าว่าแต่จะให้ไปนำหรือบริหารลูกน้องเลย  แค่ปลุกใจให้ตัวเองลุกขึ้นมาจากหล่มลึกยังยาก...  ทั้งนี้มีหลักคิดอยู่ 6 ประการที่สามารถสรุปได้จาก “The Art of Possibility” มีดังนี้ค่ะ

 1. รู้จักพูด แต่ความเป็นไปได้ (Speak possibility)  ดิฉันมีมุมมองว่าหลักคิดข้อนี้ของแซนเดอร์ก็เหมือนกับหลักการ คิดบวก พูดบวกนั่นเอง  ผู้นำที่แข็งแกร่งคือ ผู้ที่ต้องรู้จักสร้างกำลังใจให้ตัวเอง และต้องสามารถปลุกใจให้คนอื่นมีกำลังใจ มีฝันร่วมกับตัวเองด้วย ผู้นำจึงควรเป็นผู้ที่มองโลกในแง่บวก และมองเห็นความเป็นไปได้ มองเห็นข้อดีในสิ่งที่ใครๆ มองว่ามีแต่เรื่องลบ  ยกตัวอย่างเรื่องคนเก็บขยะในชีวิตประจำวันของเราก็ได้ คนเก็บขยะบางคนมองว่าขยะคือ สิ่งสกปรก ไร้คุณค่า ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นว่างานของตัวเองนั้นต่ำต้อยไร้คุณค่า  แต่คนเก็บขยะบางคนมองเห็นว่า ขยะบางอย่างสามารถนำมาเป็นสินค้าหรือเป็นวัตถุดิบของสินค้าบางอย่างได้  คิดแบบนี้คือคิดบวก และเมื่อรู้จักคิดบวกแล้วคนเราก็จะสามารถพูดบวก และทำบวกได้ในลำดับต่อไป

2. มองหาแววตาที่เป็นประกาย (Look for shining eyes.)  ดิฉัน ชอบหลักคิดข้อนี้มาก โดยเฉพาะเวลาต้องสอนหนังสืออยู่หน้าเวทีห้องเรียน ดิฉันจะมองเห็นว่านิสิตทั้งชั้นมีใครสักกี่คนที่ตั้งใจฟังเราบรรยายอย่างสนใจจนตาเป็นประกายและใครบ้างที่นั่งตาลอย (ไม่รู้ว่าคิดถึงแฟน หรือเบื่ออาจารย์!?)  ดิฉันมักจะเลือกมองคนที่ตาเป็นประกายก่อน เพราะดิฉันต้องการ ชาร์จแบตฯให้กำลังใจตนเองในการสอน จะได้มีแรงไปจุดประกายให้นิสิตที่ตาลอยเปลี่ยนตาเป็นประกายในทีหลัง เพราะขืนมองตาคนตาลอยก่อน เดี๋ยวจะหมดกำลังใจแต่แรกเริ่มนะคะ

3. หยุดเสียงในสมองที่พูดว่า ฉันทำไม่ได้”  คงมีหลายครั้งในชีวิตที่ท่านคิดอยากจะทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เสี่ยงๆ  แต่แล้วก็เลิกล้มความพยายาม เพราะเสียงในสมองสั่งให้หยุดทำ เสียงนั้นพูดว่าฉันคงทำไม่ได้หรอกแซนเดอร์บอกว่าอย่าไปฟังเสียง! ให้ก้าวล่วงความกลัวนั้นแล้วพยายามหาหนทางแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ที่กางกั้นจะดีกว่า ถึงแม้ทำไม่สำเร็จก็ไม่เห็นจะต้องกลัว เพราะอย่างน้อยก็ได้รู้ว่าทำไมถึงทำไม่สำเร็จ  คราวหน้าจะได้ลองวิธีใหม่

4. ดึงผู้อื่นให้ร่วมเส้นทาง แผ่รังสีแห่งความเป็นไปได้ร่วมกัน  ลำพังผู้นำคนเดียวย่อมฝ่าพายุสร้างสิ่งมหัศจรรย์ไม่ได้หรอกค่ะ ผู้นำต้องสามารถชักจูงจิตใจคนรอบข้างและลูกน้องให้หยุดฟังเสียงในสมองที่สงสัยในความสามารถของตนเอง แต่ให้หัดมองโลกในแง่บวก พูดบวก พูดเรื่องความเป็นไปได้...แล้วก็ลงมือปฏิบัติการเลย!

5. นำโดยทำให้ผู้อื่นทรงพลังแข็งแกร่งมากขึ้น (Lead by making others more powerful.)  หลักคิดข้อนี้คือจุดเด่นของวาทยกรอย่างแซนเดอร์ที่ในระหว่างอำนวยเพลงนั้นเขาจะเงียบ ไม่เคยส่งเสียง เพียงแต่ออกท่าทางให้ลูกวงบรรเลงดนตรีอย่างเต็มฝีมือ ผู้นำที่ดีต้องสามารถบริหารให้ลูกน้องดึงจุดเด่นและศักยภาพของเขาออกมาแสดงได้ในระดับสูงสุด ไม่ใช่แสดงนำอยู่คนเดียว

6. ให้เกรด “A” แด่ตัวเองและผู้ร่วมงาน (Everyone gets an “A”) ความหมายคือ อย่ามองตัวเองและผู้อื่นโดยใช้สายตาที่ ประเมินความสามารถของเราและคนอื่นด้วยกรอบมาตรฐานแคบๆ เท่านั้น แต่ให้มองด้วยสายตาและจิตใจที่เปิดกว้าง อย่าทำตัวเป็นผู้ที่คอยจ้องจับผิดคนอื่น เพราะมันจะทำให้คนรอบข้างเกร็ง แต่ถ้ามองด้วยสายตาที่เชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าและมีความสามารถ พลังของความคิดบวกจะส่งกระแสบวกที่กระตุ้นและจูงใจให้คนรอบข้างสร้างผลงานบวกออกมาได้

แล้วท่านผู้ฟังล่ะค่ะ เริ่มแผ่รังสีกันซะวันนี้ได้เลยนะคะ สำหรับการ  แผ่รังสีแห่งความเป็นไปได้   แทนการแผ่รังสีอำมหิตหรือ แผ่รังสีแห่งความสิ้นหวังอย่างที่หลายคนอาจกำลังทำอยู่โดยไม่รู้ตัว!

นิทานเรื่อง คุณจะเลือกใคร

ท่านที่ติดตาม Blog เคล็ดลับพิชิตงาน...กับอ.หลิว ในคราวนี้ ดิฉันมีนิทาน เรื่อง คุณจะเลือกใคร     มาเล่าให้ฟังค่ะ

ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คนนั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ของเธอ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอพูดกับเขาว่า "ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ" "สามีของเธออยู่ในบ้านไหม" เขาถาม.."ไม่" เธอตอบ "เขาออกไปข้างนอก" "ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างในไม่ได้ดอก" เขาตอบ ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกับมาบ้าน เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น "ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด" เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน "เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก" เขาตอบ "ทำไมล่ะ" เธอถาม ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า "เขาชื่อ ความมั่งคั่ง" เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า "เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก" เขากล่าวต่อไปว่า
"บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ" เธอกลับเขามาข้างใน   และบอกกับสามีของเธอ สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก
"วิเศษจริง ๆ" เขากล่าว "เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง เมื่อเขาอยู่กับเรา  บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง"

ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย "ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ"

ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษาจากมุมหนึ่งของ บ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า "จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง" "เราฟังสิ่งที่ลูกสะใภ้แนะนำเถอะ" สามีกล่าวกับภรรยา "ออกไปข้างนอกและเชิญความรักเขามาเป็นแขกของเราเถอะ" ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า "ใครคือความรัก โปรดเข้ามาและเป็นแขกของเราเถอะ" ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป ด้วยความประหลาดใจ ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จว่า "ฉันเชิญเพียงความรัก" ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ" ชายชราตอบพร้อมกันว่า "ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำเร็จ คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้างนอก
แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่ใดที่เขาไป เราจะไปกับเขา "ที่ใดมีความรัก ที่นั่นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จ"
แล้วคุณละคุณจะเลือกใคร.........