Monthly Archives: January 2012

ผู้นำองค์กรทั้งเก่ง...ทั้งดี

แม่ทัพใหญ่ นำทัพต่อสู้ให้อยู่รอดและประสบชัยชนะได้นั้นเป็นเรื่องไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ สภาพเศรษฐกิจที่ประสบปัญหากันทั่วโลก สังคมที่มีประชากรโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด มีสภาพขาดแคลน มีไม่พอ ทั้งยังเกิดภัยธรรมชาติ เช่น ภาวะโลกร้อน การเกิดภัยทางน้ำเช่นคลื่นยักษ์ การเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่ทำลายบ้านเมืองเช่นที่เกิดที่ประเทศจีน ภาวะการขาดแคลนพลังงาน น้ำมันแพง สิ่งแวดล้อมภายนอก เกิดผลกระทบที่สำคัญต่อองค์กร สิ่งแวดล้อมภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน การขัดแย้งกันที่นำไปสู่ความแตกแยก การขาดความสามัคคี ปัญหาด้านจิตใจนั้นใหญ่กว่าปัญหาด้านวัตถุเป็นอันมาก ผู้นำองค์กรต้องมีทั้งความเก่งและความดี มีการปรับปรุงพัฒนาอยู่เสมอ และรวดเร็วทันกับความเปลี่ยนแปลง คอยเสริมดี เพิ่มดี เติมดีอยู่เสมอ พื้นฐานแห่งความสำเร็จ คือ ความตั้งใจ ความเพียร สนใจใส่ใจ และหมั่นทบทวนพิจารณาเพื่อปรับปรุงอยู่เสมอ การนำองค์กร อย่างมีขั้นตอนมีดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 1. เป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางให้แก่องค์กร กำหนดวาระในการเปลี่ยนแปลง (Strategic Change Agenda) และกำหนดกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 2. เป็นผู้นำในการวางแผนกลยุทธ์ จัดทำแผนที่กลยุทธ์ (Strategy Maps) กำหนดเป้าหมายที่เหมาะสมในการปรับปรุงพัฒนา และเพื่อดึงให้คนในองค์กรมาร่วมมือกัน
ขั้นตอนที่ 3. เป็นผู้นำในการสร้างความสอดคล้อง (Alignment)ให้เกิดกับทุกหน่วยงาน สื่อสารถึงทิศทางและกลยุทธ์ให้กับทุกคนในองค์กร
ขั้นตอนที่ 4. เป็นผู้นำในการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงกระบวนการที่จำเป็นต่อการดำเนินกลยุทธ์ และเชื่อมโยงแผนกลยุทธ์เข้ากับแผนดำเนินงานและงบประมาณ
ขั้นตอนที่ 5. เป็นผู้นำในการติดตามผลดำเนินงาน ติดตามผลในการดำเนินกลยุทธ์
ขั้นตอนที่ 6. เป็นผู้นำในการปรับปรุงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนดังกล่าวนั้นเป็นการบริหารกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเป็นวงจร หรือที่เรียกว่า Close loop management system ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวเปรียบเสมือน Master Plan จะผูกเครื่องมือในการบริหารย่อยทั้งหมดอีกหลายชนิด
ปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญของกองทัพ คือ ขวัญและกำลังใจ หรือพลังจิตของคนในองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ หากผู้นำสูญเสียพลังใจแล้วคงไม่สามารถรบได้ถึงร้อยครั้ง อาจสูญสิ้นตั้งแต่การต่อสู้ในครั้งแรก แต่หากมีพลังใจที่ดีแล้ว สู้ไม่ถอย จะเกิดความพร้อมทั้งแรงกายและแรงใจ อีกทั้งสติปัญญา สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในที่สุด

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา ไม่มีออฟฟิตใดไร้ความขัดแย้ง

ไม่มีที่ทำงานไหนไร้ซึ่งปัญหา ไม่มีออฟฟิตใดไร้ความขัดแย้ง ถ้าคุณบอกว่าชีวิตการทำงานที่ผ่านมา 10 ปีของคุณราบรื่นทุกวัน แสดงว่าคุณเพิ่งตื่นจากความฝันหรือไม่ก็กำลังโกหกตัวเองค่ะ เว้นเสียแต่ว่าคนไม่ต้องทำงานกับคนไม่ต้องพบปะมนุษย์เดินดินค่ะ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีมนุษย์สองคนหรือสามคนขึ้นไป มาอยู่รวมกัน จะเพื่อทำงานหรือพบปะสังสรรค์กันด้วยเรื่องใดก็ตาม เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ถกเถียง ขัดแย้ง แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกัน ปะทะกันด้วยคารมและอารมณ์ที่ควบคุมได้ยาก
คนทุกคนมีทั้งด้านบวกและด้านลบในตัวเอง ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคนๆนั้นทำงานโดยใช้ด้านลบของตัวเอง แทนที่จะใช้ด้านบวก ปัญหาอาจเกิดขึ้นโดยขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ หรือมีอะไรบางอย่างมาผลักดันให้ทำลงไป บุคคลผู้ก่อปัญหาส่วนใหญ่มักไม่รู้เลยว่า การกระทำของตนเองนั้นได้ส่งผลต่อความรู้สึกของคนอื่นและไม่รู้ด้วยว่า เมื่อได้ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นแล้ว ผลเสียของสิ่งที่ตนกำลังทำลงไปจะวนกลับมาส่งผลกระทบต่อตนเองในที่สุด
ในโลกของการทำงานอันยุ่งเหยิงนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลักเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบุคคลปัญหา ผู้ซึ่งทำให้งานของเรายากขึ้นในทุกวันของชีวิต คนเหล่านี้อาจสร้างปัญหาร้ายแรงที่ทำให้เราโกรธจนทำอะไรไม่ถูก หรือแค่สร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆประจำวันให้เรารำคาญใจ แต่ก็ล้วนทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นในการที่จะทำงานของเราให้ลุล่วง ที่ผ่านมาคุณอาจเคยแก้ปัญหาด้วยการตอบโต้ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งคุณก็รู้ดีว่าการระเบิดอารมณ์ใส่กันนั้น เป็นการแก้ปัญหาแค่ชั่วครู่ชั่วยาม คุณรู้ว่าการข่มขู่โดยใช้อำนาจทำให้คู่กรณียอมจำนน เพราะเถียงสู้ไม่ไหว เป็นวิธีที่ง่ายแต่ไม่พึงประสงค์เลยสำหรับมืออาชีพ ใครจะอยากคาดเข็มขัดแชมป์หรา อยากสวมเหรียญทองคำ เดินกร่างไปมาในที่ทำงาน ที่ไม่มีใครชอบเราเลยสักคน
แม้มนุษย์โหยหาชัยชนะ แต่ก็ไม่อาจมีความสุขอยู่ได้กับชัยชนะที่ปราศจากมิตรภาพ ไม่มีใครเดินชมสวนดอกไม้อย่างเป็นสุขได้ ถ้ารู้ว่ามีคนซุ่มรอลอบยิงอยู่ตามทางเดิน ความก้าวร้าวรุนแรงอาจนำมาซึ่งชัยชนะในระยะสั้น แต่เมื่อทำร้ายจิตใจผู้อื่นบ่อยครั้ง ผู้นั้นจะเริ่มกำชัยชนะกลับบ้านด้วยความโดดเดี่ยวที่อ้างว้าง เพราะชัยชนะ บนความปวดร้าวของผู้อื่น ไม่เคยนำความสุขที่แท้จริงมาให้ใคร ความสำเร็จในการทำงานไม่ได้อยู่ที่คุณทำงานเก่งกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่อยู่ที่การได้รับการยอมรับและชื่นชมจากคนอื่นด้วย งานนั้นต่อให้ยากเย็นเข็ญใจ แต่เมื่อเรามีความสามารถและความเพียร เราย่อมเอาชนะได้ในที่สุด แต่ความสามารถและความเพียรอาจไม่ช่วยให้คนเก่งเอาชนะหัวใจคนได้ คนที่อยู่ท่ามกลางบุคคลปัญหาสารพัดพิษ แต่ยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข และสามารถจัดการงานจนสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิผล นี่สิคือ คนเก่ง อย่างแท้จริง ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่า การเอาชนะใจคนที่เอาชนะยาก เป็นสิ่งท้าทายความสามารถที่สุดในการทำงาน ความจริงที่บาดใจ ก็คือมนุษย์ทุกคนล้วนสร้างปัญหาและคุณเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่อาจเป็นตัวสร้างปัญหาด้วยเช่นกัน ท่านผู้ฟังค่ะจากที่ดิฉันเล่ามาทั้งหมดนี้เราจะมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร วิธีการที่ดีก็คือ การชนะตนเองให้ได้ก่อนชนะคนอื่น ซึ่งมีความสำคัญมาก คุณจะรับมือกับบุคคลปัญหาไม่ได้ ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เพราะทันทีที่คุณตอบโต้อย่างขาดสติ คุณจะกลายเป็นผู้ร่วมสร้างปัญหาไปโดยปริยาย ดังนั้นขอให้คุณตั้งมั่น อดทน ฝึกฝนเอาชนะใจตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าคุณสามารถปฏิบัติเช่นนี้แม้กับตัวปัญหาที่เจ้าอารมณ์ที่สุดในสำนักงาน ใครๆที่เห็นเหตุการณ์จะหันมามองคุณด้วยความนับถือ และพร้อมจะเข้าข้างคุณ และแม้ความพยายามที่จะ เอาชนะตัวเอง ให้ได้ อาจไม่ส่งผลดีต่อทันตาเห็นในชั่วโมงนี้ แต่รับรองว่าคุณจะได้รับผลดีของมันแน่นอนในอนาคต เมื่อวันหนึ่งคุณเดินเข้ามาในสำนักงานแล้วพบว่า ใครๆก็อยากทำงานร่วมกับคุณ

ผู้นำแบบ อับราฮัม ลิงเคิล์น

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารจัดการของ อับราฮัม ลิงเคิล์น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 16 หนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยความวิริยะอุสาหะ และด้วยนโยบายเลิกทาส ที่นำอเมริกาสู่สงครามกลางเมือง อันเนื่องจากความไม่พอใจของบุคคลผู้มีอำนาจในบางรัฐ แต่ในที่สุดเขาสามารถชนะสงครามนี้ได้ แต่ความไม่พอใจก็ยังคงครุ
กรุ่นอยู่ และนำมาซึ่งจุดจบในชีวิตของท่าน มาเล่าให้ฟังค่ะ
อับราฮัม ลิงเคิล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลิงเคิล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 เป็นบุตรของ โทมัส ลิงเคิล์น และแนนซี่ แฮงค์ ทั้งสองไม่ได้เรียนหนังสือและประกอบอาชีพชาวนา เค้าเกิดในครอบครัวที่ยากจนและลำบาก ในตะวันตกของเมือง ฮาร์ดิน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ บรรพบุรุษของลิงเคิล์น มาตั้งรกรากที่เมืองนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ส่วนทายาทของเขาได้ย้ายถิ่นฐานจาก มลรัฐเพนซิลวาเนีย ไปยัง มลรัฐเวอร์จิเนีย บางครั้งโธมัส ลิงเคิล์น พ่อของอิบราฮัม ลิงเคิล์น ถูกคาดหวังและนำไปเปรียบเทียบกับพลเมืองที่มั่งคั่ง ในเขตพื้นที่เพาะปลูกใน มลรัฐเคนทักกี เขาทำให้น้ำท่วมฟาร์มในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อนำเงินสด 200$ นำไปใช้หนี้[4] ครอบครัวของลิงเคิล์น ชอบไปทำพิธีการทางศาสนาที่โบสถ์ ฮาร์ดเชลล์ แบบติสท์ แต่ตัวของ อับราฮิม ลิงเคิล์น ไม่เคยไปร่วมกับทางครอบครัวเลย
ในปี ค.ศ. 1816 ครอบครัวของลิงเคิล์นถูกบังคับให้มาเริ่มต้นทำนาใหม่ที่ เพอร์รี่ มลรัฐอินดีแอนา[5] จากนั้นเขาได้บันทึกไว้ว่า การย้ายถิ่นฐานในครั้งนี้เปรียบเสมือนการตกเป็นทาส
เมื่อลิงเคิล์นอายุ 9 ขวบ แม่ของลิงเคิล์นเสียชีวิต หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่กับ ซาห์ร่า บุช จอห์นสัน และอับราฮัม ลิงคอร์นก็ได้รับความอบอุ่นจากแม่เลี้ยงคนใหม่นี้มาก ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อของเขายังคงห่างเหิน[6]
ค.ศ. 1830 หลังจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาที่ดินในรัฐอินเดียนา บานปลายออกไปมากขึ้น ครอบครัวลิงเคิล์น จึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สาธารณะ[7] เมคอน มลรัฐอิลลินอยส์ หลังจากที่พายุฤดูร้อน พัดกระหน่ำจนบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวของเขาจึงตัดสินใจกลับไปอินเดียนา ปีถัดมา พ่อของลิงเคิล์น ย้ายครอบครัวไปยังบ้านและที่ดินใหม่ที่เมืองโคลส์ มลรัฐอิลลินอยส์
ลิงเคิล์นใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า นอกจากนี้ลิงเคิล์น ยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วย[8] ลิงเคิล์นหลีกเลี่ยงการล่าสัตว์ การตกปลา เพราะเขาไม่ชอบฆ่าสัตว์[9
อับราฮัมเป็นผู้ที่ความอดทน และไม่ย้อท้อต่อตวามลำบากเคยทำแม้กระทั่งคนล้างจานในร้านอาหาร เขาเคยรับราชการเป็นทหารอาสา ได้ยศร้อยเอกในสงครามกับอินเดียนแดง คือสงครามแบล็กฮอว์ก เขาได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติในปีค.ศ.1840 ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1860 ลิงคอร์น ประกาศว่าเขาต่อต้านระบบทาสในสหรัฐอเมริกา[1][2] ลิงคอร์นชนะตัวแทนจากพรรครีพับลิกันในปี ค.ศ. 1860 และได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในปีถัดมา ระหว่างการดำรงตำแหน่ง ลิงคอร์นได้ช่วยรักษาประเทศ โดยการเป็นผู้นำ ในการถอนตัวออกจาก ผู้สมรู้ร่วมคิดในสงครามประชาชนอเมริกัน ของรัฐบาลกลางสหรัฐในสงครามอเมริกัน เขายังได้แนะนำมาตรการในการเลิกทาส ซึ่งนโยบายอันนี้ได้ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1863 และได้รับการผลักดันให้บรรจุเข้าไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 ในปี ค.ศ. 1865 หลังจากนั้นได้มีการต่อต้านนโยบายของเขาจากรัฐต่างๆ ทำให้เกิดสงครามขึ้น แต่ในที่สุดฝ่ายของเขาก็ได้รับชัยชนะ และได้มีการปลดปล่อยทาส ให้เป็นอิสระในรัฐต่างๆ อับราฮัม ลิงเคิล์น ได้ติดตามในความพยายาม ในการทำสงครามเพื่อชัยชนะอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกนายพลระดับสูง ลิงเคิล์นได้เข้าไปช่วยเหลือแต่ละกลุ่มในพรรครีพับลิกัน เป็นอย่างดี การนำมาของผู้นำแต่ละกลุ่มเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรีของเขา และบังคับให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมมือกัน ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการลดความรุนแรงของสงคราม ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว (Trent Affair) กับสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 1864
ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับสงคราม (Copperheads) ได้วิจารณ์ลิงเคิล์นเกี่ยวกับการปฏิเสธ การทำข้อตกลงเกี่ยวกับนโยบายการเลิกทาส ความขัดแย้ง โดยเฉพาะพวกรีพับลิกันที่เป็นพวกหัวรุนแรง หัวหน้ากลุ่มที่มีความคิดในการเลิกทาสในพรรครีพับลิกัน ได้วิจารณ์ว่า ลิงเคิล์นออกมาเคลื่อนไหวช้าเกินไป ลิงเคิล์นประสบความสำเร็จ ในการปลุกระดมมวลชนโดยการพูดโน้มน้าวใจประชาชนในที่สาธารณะ อับราฮัม ลิงเคิล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญราคา 1 เซนต์ ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน
อับราฮัม ลิงเคิล์นถูกยิงเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1865 เป็นประธานาธิบดีคนแรก ที่ถูกลอบสังหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และทำให้เขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อความสามัคคีของคนในชาติในความคิดของประชาชนคนรุ่นหลัง

การทำงานประเภท ข้าคนเดียว

ยุคนี้หมดสมัยแล้วนะค่ะสำหรับการทำงานประเภท ข้าคนเดียว เพราะองค์กรจะประเมินคุณค่าของคุณ จากความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นนอกจากจะต้องแสดงบทบาทวิศวกร นักออกแบบ นักการตลาด นักวิจัยต่างๆแล้ว คุณยังต้องมีความสามารถในการแสดงบทบาทอื่นๆอีกด้วย นั่นหมายถึงว่า คุณต้องเก่งแบบผู้ตาม เก่งแบบผู้นำ และไม่ลืมทำงานเป็นทีมที่เรามักเรียกกันติดปากว่า Teamwork ค่ะ
การเก่งแบบผู้ตาม เชื่อว่าหลายคนที่ตอนเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เคยถูกพ่อแม่ว่าแกมประชดคล้ายๆแบบนี้ว่า ชอบทำตามเพื่อนนักเหรอ นี่ถ้าเพื่อนไปตาย ก็จะไปตายกับเค้าด้วยใช่ไหม? คำกล่าวนี้นอกจากจะบอกถึงความเป็นผู้ตามที่ไม่ค่อยดีแล้ว ยังแสดงให้เห็นอีกด้วย คนส่วนใหญ่ไม่อยากยอมรับบทบาทผู้ตามสักเท่าไหร่ ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะขาดความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของผู้ตามที่เก่งค่ะ การเป็นผู้ตามที่เก่ง หมายถึง การเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ อย่างกระตือรือร้น โดยมีความคิดเป็นของตนเองในเรื่องเป้าหมาย การทำงาน การตัดสินปัญหา และวิธีทำงานต่างๆ มีความสามารถในการทำงานกับผู้นำ เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายขององค์กรได้ ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็มีบทบาทสำคัญในการวางแผนกระบวนงาน และทำให้งานเหล่านั้นดำเนินไปจนถึงที่สุด จากการวิจัยของ Robert E. Kelly พบว่า ความสำเร็จขององค์กร 90% เกิดจากการทำงานของผู้ตาม ส่วนอีก 10 % ที่เหลือเป็นผลงานของผู้นำ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ตามมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้นำเลย
เทคนิคในการทำงานของคนเก่งแบบผู้ตาม สำหรับพนักงานทั่วไปนั้น อาจจะคิดว่าการเชื่อฟังทำตามคำสั่ง ไม่คุกคามผู้นำ และไม่ทำอะไรเกินเลยหน้าที่ คือเทคนิคในการเป็นผู้ตามที่ดี แต่สำหรับคนเก่งงานแล้ว เทคนิคการทำงานแบบผู้ตามของเราก็คือ การรู้จักนำตัวเอง และแสดงออกถึง ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะทำให้ผู้นำ เกิดความไว้วางใจที่จะมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบต่างๆให้แก่เรา เกิดความเคารพในความคิดของเรา จากนั้นเราต้องมี ความมุ่งมั่นและพันธะหน้าที่ต่อประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัวซึ่งคำว่า ส่วนตัว ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเราคนเดียว แต่รวมถึงหัวหน้าผู้บังคับบัญชาเราด้วย การซื่อสัตย์ต่อหัวหน้าเป็นสิ่งที่ดี แต่การทุ่มเททำอะไรตามความต้องการ ตามเป้าหมายของหัวหน้าโดยไม่ลืมหูลืมตานั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะบางครั้งเป้าหมายของหัวหน้า ก็อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของทีมหรือองค์กรก็เป็นได้ ซึ่งหน้าที่ของเราในส่วนนี้ก็คือ พยายามดึงผู้นำให้หันกลับมามองเป้าหมายของส่วนรวมค่ะ การปฏิบัติตนต่อมาก็คือ รู้จักพัฒนาความสามารถ และสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตัวเอง เพื่อจะได้มีอำนาจในการสั่งงานตัวเองสูงสุด คนที่ได้ตำแหน่งสูงๆมาโดยไม่ชอบธรรม ไร้ความสามารถอย่างไม่คู่ควรกับตำแหน่งนั้น เวลาพูดอะไรคนก็มักไม่เชื่อถือ ไม่ทำตาม ตัวอย่างเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยความสามารถอันแท้จริงของเรา คนอื่นๆจะประเมินความสามารถของเรา จากการรู้จักบริหารตนเอง ทักษะและความสามารถในงานต่างๆ รู้จักแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองตลอดเวลา ไม่ต้องรอเจ้านายมาสั่งให้ไปงานสัมมนานั้นสิ ไปเข้าร่วมโครงการอบรมนี้ซิ แต่จะเป็นฝ่ายบอกเจ้านายเองว่ามีโปรแกรมอะไร ที่ตนเห็นว่าจะพัฒนาความสามารถของผู้ร่วมงานและของตัวเราเองได้ ส่วนการ ปฏิบัติงานอย่างมีสำนึกผิดชอบชั่วดี ควบคุมอัตตา อารมณ์ ของตนเองในการทำงานร่วมกับผู้นำ คนเก่งงานจะทำหน้าที่ผู้ตามของตนเองให้สมบูรณ์แบบ โดยการทำงานร่วมกับผู้นำให้ได้เป็นอันดับแรก ทำให้งานของผู้นำง่ายขึ้น ไม่ใช่คอยเป็นหอกข้างแคร่ แต่ต้องให้การสนับสนุนช่วยเหลือผู้นำอย่างเต็มอกเต็มใจ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อมีการทำงานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปความขัดแย้งก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็ต้องพยายามควบคุมอัตตาของตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งนั้นลุกลามใหญ่โต ซึ่งการจะทำให้ผู้นำยอมรับฟังความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกับความคิดของเขา และไม่ทำให้เกิดผลเสียใดๆต่อหน้าที่การงานของเราตามมานั้น เราต้องพยายามเข้าใจและมองผู้นำในแง่บวก ค้นหาข้อเท็จจริง แสวงหาข้อแนะนำ ดำเนินงานอย่างเป็นระบบ และต้องรู้จักวิธีโน้มน้าวจิตใจผู้นำรวมทั้งการหาแนวร่วม เพราะว่าหลายเสียงย่อมดีกว่าเสียงเดียว แต่การแสวงหาแนวร่วมนี้ต้องเป็นไปด้วยเหตุ ด้วยผล มิใช่การใช้จิตวิทยามวลชนและมีอาการ พวกมาก ลากไปค่ะ

ผู้นำแบบ ....โจเซฟ สตาลิน

ดิฉันมีเรื่อง วิธีการบริหารจัดการของนักปฏิวัติคนสำคัญผู้ร่วมมือกับ นิโคไล เลนิน ปฏิวัติการเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศรัสเซียให้เป็นสังคมนิยม ต่อมาได้เป็นผู้นำสูงสุดของ ประเทศสหภาพโซเวียตและเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในประเทศแถบยุโรปตะวันออกอีกด้วยซึ่งบุคคลท่านนี้ก็คือ โจเซฟ สตาลิน มาเล่าให้ฟังค่ะ
โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อนี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า) เขาเกิดที่ รัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เป็นลูกของช่างทำรองเท้า ส่วนมารดาเป็นคนรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าให้กับบ้านเศรษฐีม่ายคนหนึ่ง พ่อของเค้าเป็นคนอ่อนแอผิดกับแม่ซึ่งเข้มแข็ง ความอ่อนแอของพ่อนี่เองที่ทำให้เขาสงสารพ่อและเกียจแม่ สตาลิน หนีออกจากบ้าน หลังจากทะเลาะกับบิดา แล้วถูกตบด้วยรองเท้า เค้าได้รับการศึกษาที่ไม่มากนัก ด้วยฐานะยากจนและหัวไม่ดี ต่อมาในช่วงปี 1900 สตาลิน เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และปล้นธนาคารในบ้านเกิดของเขาเอง เพื่อเอาเงินไปสนับสนุนพรรค แต่เขาถูกจับได้และถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย บ้างก็ว่าสมัยเขาอยู่จอร์เจีย เค้าได้แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งไม่มีบันทึกชื่อในประวัติศาสตร์) และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน เมื่อสตาลิน กลับมาจากไซบีเรีย เค้าได้ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ต่อ และตำแหน่งการงานก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นคนมีความมักใหญ่ไฝ่สูงมาก จน เลนิน ก็รู้สึกกลัวคนๆ นี้ เพราะเขาเป็นคนไม่มีการศึกษา กิริยาท่าทางก็หยาบคาย แต่ความก้าวหน้าของเขาเป็นได้ จากความจงรักภักดีต่อพรรคของเขานั้นเอง ช่วงราวๆปีคศ. 1910-1920 นี้เอง สตาลินแต่งงานแบบมีบันทึกในประวัติศาสตร์ มีลูกชาย 1 คน (ต่อมาทำหน้าที่เป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่ 2) และลูกสาวอีก 1 คน (ต่อมาแต่งงานกับชาวยิว และลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ในอเมริกาหลัง สตาลินตาย)
เมื่อ เลนินตายปี 1923 เขาเสนอชื่อชื่อตัวเองเข้ารับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์ตอนนั้นคู่แข่งของเขาคือ ลีออง สตรอยคอฟ ลังเลเพียงเสี้ยวนาทีในการตัดสินใจเสนอชื่อตนเอง ลีออง เลยต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ เม็กซิโก เพื่อรักษาชีวิตตนเอง แต่เขาก็ถูก สตาลิน ส่งคนไปฆ่า
ในปี 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ คอมมูน มาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรค หรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไปค่ายกักกันและเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไม่มีการสำรวจประชากรว่า ระหว่างที่เขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียต้องตายไปเท่าไร ในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบ นารวม มีคนอดตายอีกเป็นล้านๆ คน โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน เขาสั่งพัฒนาประเทศต่อไปอย่างไม่รีรอ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นกับรัสเซีย สตาลินก็นำสหภาพโซเวียตเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้ โซเวียตอยู่ในฐานะผู้ชนะสงคราม และกลายเป็นหนึ่งในสองอภิมหาอำนาจของโลก สหภาพโซเวียตจึงกลายเป็นประเทศอภิมหาอำนาจของโลก คู่กับสหรัฐอเมริกาและเป็นการเริ่มต้นของยุคสงครามเย็นที่มีความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ
สตาลินเสียชีวิตในปี 1953 เมื่ออายุได้ 74 ปี ด้วยเส้นเลือดในสมองแตกขณะเถียงกับ ครุฟซอฟ เรื่องเนรเทศยิวกลุ่มใหม่ไปไซบีเรีย งานศพของเขา มีคนเหยียบกันตายราว 3,000 คน
หลังสตาลินตาย ครุฟซอฟ ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้ง ประณาม ขุดคุ้ย ความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุกๆ ที่ ที่มีรูปปั้น สตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้างๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลิน

สิ่งที่ผู้นำพึงมีก็คือ ความรู้

ไม่มีใครสามารถเลียนแบบบรรดาผู้นำเก่งๆอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เจงกิสข่าน ซีซาร์ มหาตมะ คานที ที่ดิฉันได้เคยนำศาสตร์และศิลป์ในการบริหารจัดการของผู้นำเหล่านั้น มาเล่า ให้ท่านผู้ฟัง ฟังมาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ไม่มีใครสามารถเป็นผู้นำให้เหมือนคนเหล่านี้ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ปรับปรุงเอากลยุทธ์ในการเป็นผู้นำของพวกเขาเหล่านั้นมาใช้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นตัวของเราเองนั่นแหละดีที่สุดค่ะ ในขั้นแรกเราต้องเข้าในในบทบาทผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์ก่อนนะค่ะ ว่ายุคนี้เป็นยุคที่อาศัยความรู้เป็นฐานสำคัญในการดำเนินงาน ผู้นำต้องทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ตาม ผู้ร่วมทีมอย่างเป็นระบบเดียวกัน ไม่มองว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น รู้ว่าหน้าที่ของตนที่แท้จริง คือ ต้องพยายามทำให้ผู้ร่วมงานทุ่มเทความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อผลประโยชน์ขององค์กร มีผู้กล่าวไว้ว่า การมีอำนาจบังคับ ไม่ใช่สิ่งบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ แต่ความเชื่อถือไว้วางใจผู้ร่วมงานต่างหาก คือตัวบ่งบอกที่ชัดเจน นอกจากนี้ บทบาทผู้นำยังเป็นหัวโขนที่เราต้องรู้จักใส่ และรู้จักถอดให้ถูกกาลเทศะ ยกตัวอย่างเช่น ในการทำงานเป็นทีม ที่ประกอบด้วยสมาชิกและผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่างๆ ถึงแม้ว่าโดยตำแหน่งแล้วเราจะเป็นผู้นำ แต่ในบางเรื่องบางงานที่เราไม่มีความรู้ดีพอ เราก็ควรปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเป็นผู้นำแทนเรา แต่ในบางเรื่องที่เรามั่นใจว่า ถ้าปล่อยไปเช่นนั้นแล้วจะเสียหาย เราต้องตัดสินใจลงมือโดยทันที
นอกจากนี้สิ่งที่ผู้นำพึงมีก็คือ ความรู้ เพราะผู้นำจะต้องมีความรู้ความชำนาญและมีการตัดสินใจ อันเป็นที่ยอมรับของทีม สามารถใช้ความรู้ต่างๆมาประเมินวิเคราะห์อนาคตของทีมได้อย่างแม่นยำ ความรู้ความสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ และความน่าเชื่อถือก็จะทำให้ผู้ร่วมงานยอมรับฟังเรา ดังคำกล่าวที่ว่า คนส่วนใหญ่ยอมให้นำได้ แต่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ยอมให้บังคับได้ ค่ะ และสิ่งที่สำคัญประการหนึ่งที่ผู้นำต้องมีก็คือ มนุษยสัมพันธ์ ผู้นำต้องเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ของผู้ตาม เพื่อที่จะได้รู้ว่า ทำอย่างไรผู้ร่วมงานจึงจะยินดีทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานและ การเอาใจเขา มาใส่ใจเรา คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจผู้ตามและผู้ร่วมงานคนอื่นๆ โดยผู้นำต้องมีความสามารถในการทำให้งานดำเนินไปด้วยดี จนสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่วางไว้ค่ะ

คำว่า “leadership” (ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำ) กับคำว่า “management” (การบริหารจัดการ)

ในภาษาอังกฤษคำว่า “leadership” (ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำ) กับคำว่า “management” (การบริหารจัดการ) มักพบว่าสามารถใช้แทนกันได้ก็ตาม แต่โดยสาระในแง่กระบวนการและแนวคิดแล้ว แท้จริงมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เมื่อพูดถึงการบริหารจัดการ ก็มักมองถึงการดำเนินการตามหน้าที่หลัก (functions) ซึ่งเป็นกลไกปกติขององค์การ เช่น การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การอำนวยการ (directing) และการกำกับควบคุม (controlling) ในขณะที่ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal aspects) โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันถือว่า ภาวะผู้นำหรือการเป็นผู้นำเกี่ยวข้องกับเรื่องความเปลี่ยนแปลง (change) การสร้างแรงดลใจ (inspiration) การสร้างแรงจูงใจ (motivation) และการใช้อำนาจเชิงอิทธิพล (influence) เป็นต้น โดยปกติคนที่อยู่ในองค์การจะแสดงบทบาทใดบทบาทหนึ่งในสามบทบาทที่สำคัญต่อไปนี้คือ 1) บทบาทเป็นผู้ผลิต (producer) 2) บทบาทเป็นผู้บริหาร (manager) 3) บทบาทเป็นผู้นำ (leader) แต่ละบทบาทล้วนจำเป็นต่อความสำเร็จขององค์การทั้งสิ้น
ท่านผู้ฟังค่ะ ถ้าไม่มีผู้ผลิต ก็ไม่อาจทำให้ความคิดดี ๆ และการตัดสินใจที่สำคัญลงสู่การปฏิบัติได้ พูดง่าย ๆ คือ งานที่รับผิดชอบจะไม่สำเร็จ ถ้าไม่มีผู้บริหารบ้าง ผลก็คือจะเกิดความขัดแย้งด้านบทบาทหน้าที่ของผู้ทำงานเนื่องจากขาดความชัดเจน ผลคือ ทุกคนพยายามแย่งกันเป็นผู้ผลิต ต่างคนต่างทำงานแยกอิสระจากกัน แทบไม่มีระบบและขั้นตอนการทำงานที่ดี แต่กรณีถ้าขาดผู้นำ ก็จะขาดวิสัยทัศน์ และทิศทางของการทำงาน ส่งผลให้คนค่อย ๆ เบี่ยงเบนไปจากภารกิจที่ต้องรับผิดชอบในที่สุด
แม้แต่ละบทบาทต่างมีความสำคัญต่อองค์การก็ตาม แต่บทบาทที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ ผู้นำ โดยเฉพาะถ้าขาดผู้นำกลยุทธ์ (strategic leadership) ก็เชื่อได้ว่าเหมือนผู้คนที่ร่วมเดินป่าเพื่อจะเดินทางกลับให้ถึงบ้านในตอนเย็น ก็คงหลงวนเวียนอยู่ในป่านั่นเอง เพราะขาดผู้นำทาง ขาดผู้กำหนดวิธีการเดินทาง รวมทั้งขาดคนปลอบประโลมให้กำลังใจยามท้อแท้ให้หันกลับมาสู้เอาชนะอุปสรรคจนบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด จึงกล่าวได้ว่า บทบาทของผู้นำมีความสำคัญมากในการสร้างความต่อเนื่องไปสู่ความสำเร็จโดยการเป็นผู้นำ (leadership) จะเกี่ยวกับเรื่องกำหนดทิศทาง (direction) คอยช่วยให้ทุกคนมั่นใจว่า การเดินป่าครั้งนี้ไม่มีใครหลงทางอย่างแน่นอน ในขณะที่การบริหาร (management) เกี่ยวข้องกับความเร็ว (speed) ในการเดินทาง ผู้อ่านลองจินตนาการดูว่า คนเดินป่าที่เดินได้รวดเร็ว แต่ไม่รู้ทิศทางจะเป็นอย่างไร ในองค์การนั้น การเป็นผู้นำหรือภาวะผู้นำจึงเกี่ยวกับเรื่องวิสัยทัศน์ (vision) และการทำให้พันธกิจ (mission) มีความชัดเจนไม่ถูกละเลย หรือเบี่ยงเบนไปโดยผู้ปฏิบัติงาน นั่นคือ สามารถบรรลุผล (result) หรือความมีประสิทธิผล (effectiveness) นั่นเอง ส่วนการบริหารจัดการเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดโครงสร้าง (structure) และระบบ (system) เพื่อช่วยให้บรรลุผลที่ดีหรือมีประสิทธิภาพ (efficiency) โดยเน้นเรื่องการวิเคราะห์ต้นทุนกำไร (cost-benefit analysis) นโยบาย ขั้นตอนวิธีการ และการใช้หลักเหตุผลเชิงตรรกวิทยา เป็นต้น ภาวะผู้นำจะยึดการมองเกณฑ์ที่สูงสุด (top line) ในขณะที่การบริหารจัดการมองที่เส้นเกณฑ์ที่ต่ำสุด (bottom line) ในการทำงาน ภาวะผู้นำได้รับอำนาจ (ในลักษณะการมีอิทธิพล) มาจากการที่ตนประพฤติดีประพฤติชอบ มีหลักการและค่านิยมที่ดีในการปฏิบัติงาน ส่วนการบริหารจัดการได้อำนาจมากับตำแหน่ง หน้าที่รับผิดชอบให้ปฏิบัติงานเกิดผลผลิตได้ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่องค์การกำหนด

การบริหารแบบ ท่านประทานเหมาเจ๋อตุง

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการแบบ เหมาเจ๋อตุง ผู้นำในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าสู่ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ปลุกเร้าให้ประชาชนจีนต่อสู้กับความยากจน และยึดมั่นในการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ มาเล่าให้ฟังค่ะ
เพิ่งครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมาเมื่อต้นเดือนนี้เอง เมื่อพูดถึงการสถาปนาประเทศจีน บุคคลซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็คือท่านประธานเหมา หรือว่าประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตุง ผู้ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม คริตส์ศักราช 1949 เหมา เจ๋อ ตุง เป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นในปี คริตส์ศักราช 1921 และเป็นแกนนำหยุดงานประท้วงของคนงานเหมืองแร่ที่อันหยวน เขียนหนังสือเรื่อง "พลังปฏิวัติเบ่งบานออกมาจากปากกระบอกปืน" ก่อตั้ง กองทัพแดงกรรมกร และชาวนา ตามด้วยกองทัพปลดแอกประชาชน ปฏิบัติการ ป่าล้อมเมือง ที่มีชัยเหนือเจียง ไค เช็ก
ประธาน เหมา เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปีคริตส์ศักราช 1893 ในครอบครัวชาวนา โดยอาศัยอยู่ในเขตชนบทเสาซัน อำเภอเซียงถัน มณฑลหูหนาน เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ร่ำเรียนหลักคำสอนลัทธิขงจื้อ ปลูกฝังความคิดตามจารีตโบราณ ท่านเหมาสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยครูหูหนัน ป็นนักศึกษาที่ขยันเรียน ขณะเดียวกันก็สนใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม และได้เข้าร่วมในการต่อสู้การคัดค้าน หยวนซื่อข่าย หรือประธานาธิบดีเผด็จการ สมัยนั้นและเริ่มได้รับอิทธิพลทางความคิดลัทธิมาร์กซ์ เวลาว่างจะเขียนบทความลงหนังสือของวิทยาลัยครู โดยใช้นามแฝงว่า "เอ้อสือ ปาวาเซิง" หรือ "นายยี่สิบแปดขีด" ตามชื่อของท่านเหมา ที่เมื่อเขียนเป็นภาษาจีนแบบตัวเต็มรุ่นเก่า จะมีทั้งหมด 28 ขีด งานเขียนก็มักวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของราชสำนักชิง ซึ่งเป็นชาวแมนจู ซะส่วนใหญ่ ต่อมา ท่านเหมาเป็นครูสอนที่โรงเรียน และเปิดโรงเรียนกลางคืน สอนเยาวชนที่ด้อยโอกาส ทำให้เป็นที่จับตาของสายลับรัฐบาล แต่นั่นก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรเลย ต่อมาท่านเหมาสามารถรวมพล ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปีคริตส์ศักราช1921 เข้าร่วมการประชุมผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 ที่เซี่ยงไฮ้ ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการกรรมการพรรคเขต หูหนัน นำการเคลื่อนไหวในกลุ่มกรรมกร และชาวนา ได้เสนอแนวทาง "ยืนหยัดการนำของชนชั้นกรรมาชีพ ต่อการปฏิวัติประชาธิปไตย โดยอาศัยพันธมิตรกรรมกรชาวนาเป็นพื้นฐาน" มีความเชื่อมั่นอย่างสูงกับแนวทางการปฏิวัติของชาวนา โดยประกาศว่าการปฏิวัติของจีนต้องอาศัยชนชั้นชาวนาแทนที่จะเป็นชนชั้นกรรมาชีพดังที่กล่าวไว้ในลัทธิมาร์กซ์-เลนิน วิธีการของเหมาเป็นแบบ กองโจร อย่าให้ศัตรู ได้ทันตั้งตัว จงถอยเมื่อเค้ารุก จงโจมตีเมื่อเค้าหยุดพัก
ต่อมาได้จับมือกับนายพลจูเต๋อ นำกองกำลังชาวนาและกรรมกรเข้าร่วมเป็นกองกำลังจรยุทธ์ ประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐจีน-โซเวียตหรือ หรือ The Chinese Soviet Republic ในเจียงซี โดยท่านเหมาเป็นประธาน แต่คณะกรรมการกลางยังคงต่อต้าน แนวนโยบายและการทหารที่ใช้กองกำลังชาวนา และทางฝ่ายเจียงไคเช็ก ก็รณรงค์กวาดล้างกองทัพแดงให้สิ้นซาก ดังนั้น ท่านเหมาและนายพลจูเต๋อ ได้นำกองทัพแดงต้านการล้อมปราบครั้งใหญ่ 4 ครั้งด้วยความสำเร็จ แต่พ่ายแพ้การล้อมปราบครั้งที่ 5 จึงต้องทิ้งฐานที่มั่น นำกองกำลังประมาณ 100,000คน เดินทัพทางไกล 25,000 ลี้ หรือประมาณ 12,500 กิโลเมตร ไปทางเหนือซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี ช่วงปี 1937-1945 ท่านเหมานำพรรค กองทัพและประชาชน ทำสงครามประชาชนต่อต้านญี่ปุ่นด้วยยุทธวิธี "สงครามยืดเยื้อ" จนได้ชัยชนะ และในปี 1943 ท่านเหมาได้รับเลือกเป็น ประธานคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ และได้ดำรงตำแหน่งนี้ ต่อเนื่องทุกสมัยจนถึงแก่อสัญกรรมในปี 1976 ด้วยอายุ 83 ปี ท่านเหมาได้นำกองทัพปลดแอกและประชาชนจีน ทำสงครามทำลายการรุกโจมตีของฝ่ายเจียงไคเช็ค โดยเป็น ผู้บัญชาการสู้รบในยุทธการและได้รับชัยชนะขั้นเด็ดขาด จนสามารถยึดอำนาจรัฐได้ทั่วประเทศ หลังได้รับชัยชนะแล้ว ประธานเหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่งใน วันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 ทำให้ชนชั้นหัวกะทิรู้สึกไม่พอใจที่คนมีความรู้ชั้นประถมปกครองประเทศ เหมาได้ทดลองใช้ระบบประชาธิปไตยครั้งแรก ให้ปัญญาชนแสดงทัศนะ เหมาให้ความเห็นว่า นี้คือ หนึ่งร้อยบุปผาได้เบ่งบาน หนึ่งร้อยบุปผาได้ชัยชนะ เค้าคาดการผิด ป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่ถ้อยคำที่รุนแรง เหมาถูกสั่งคลอน เหมารู้สึกถูกคุกคาม เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมารับฟังความคิดเห็น และเหมา กะจับพวกที่แสดงความคิดเห็น คนหลายแสนคน โดนว่าเป็นคนฝ่ายขวา เข้าเรือนจำ ถูกส่งไปใช้แรงงานชนบท จากผู้นำยอดนิยมเค้ากลายเป็นฆาตกรและเผด็จการ ที่วิตกจริตหลังการตั้งประเทศจีนใหม่ ประธานเหมาได้นำพรรคและประช าชนปรับปรุงปฏิรูปด้านต่างๆ อาทิ การปฏิรูปที่ดิน ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประชาชาติ ปรับปรุงให้อุตสาหกรรมและวิสาหกิจสำคัญเป็นแบบสังคมนิยม ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับการคุกคามจากต่างประเทศ ควบคู่ไปด้วย จากการประเมินสถานการณ์การต่อสู้ทางชนชั้นภายในประเทศผิดพลาด จนทำให้การเคลื่อนไหวขยายวงกว้างเกินที่จะควบคุมได้ สร้างความเสียหายแก่ประเทศและประชาชน ในระหว่างนั้นท่านเหมาก็ได้มองเห็นความผิดพลาด และพยายามยับยั้งความเสียหายแต่ก็ไม่เป็นผล การปฏิวัติวัฒนธรรมกินเวลาถึง 10 ปี ภายหลังการถึงแก่กรรม 5 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำการประเมินผลงานและความผิดพลาดของเหมาอย่างรอบด้าน และได้ข้อสรุปว่า แม้ในบั้นปลายชีวิตของเหมาจะได้ทำความผิดพลาดที่ร้ายแรง ในเหตุการณ์เคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ถ้าเทียบกับผลงานที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานที่สร้างให้แก่แผ่นดินและประชาชนจีน คุณความดีของเหมา ก็มีมากกว่าความผิดพลาด ประธานเหมาเจ๋อตุงยังคงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่เคารพรักของประชาชนจีน เค้าได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการก่อตั้งจีนใหม่ ผู้เปลี่ยนจาก ลัทธิมาร์ก มาเป็นลัทธิเหมา และทำให้ประชากรชาวจีน เกิดความภาคภูมิและเกิดการเคารพตนเองค่ะ

การครองตน ครองคน ครองงาน

การครองตน ครองคน ครองงาน
เมื่อเข้าใจเป้าหมายของการทำงาน และความสุขที่เกิดจากความสำเร็จของงาน ตลอดจนรู้ปัญหาอุปสรรคของการทำงานแล้ว ควรจะต้องรู้หลักและวิธีการที่จะทำให้งาน
มีความมั่นคง จะต้องรู้วิธีการครองตน ครองคน และครองงาน ตามหลักการต่อไปนี้
1. การครองตน คือ การรู้จักตนเอง คนเราต้องมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน เรียกว่ามีเป้าหมายแห่งตน รู้จักควบคุมตนหรือมีวินัยแห่งตน หมายความว่า ทำงานสำเร็จได้ด้วยตนเอง การครองตนที่ดีควรใช้หลักการดังต่อไปนี้
1.1 การรู้จักตนเองด้วยความมีสติ คือ มีความมั่นคงตั้งมั่นกับเป้าหมายแห่งตน และมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป
1.2 มีความอดทนและความสงบเสงี่ยม ให้เกียรติกับบุคคลทุกระดับชั้น
1.3 มีความขยัน ให้ความร่วมมือกับบุคคลอื่นและรู้จักช่วยตนเอง
1.4 ไม่ทำตนให้อยู่ในความประมาท เช่น การลุ่มหลงในอบายมุข พัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้อยู่เสมอ
1.5 รู้จักการถ่อมตน ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่อวดเก่ง อวดดี ต้องเอาดีมาอวด
1.6 มีความสำนึกในคุณงามความดีของตนเองและผู้อื่น

2. การครองตน คือ การรู้จักคนอื่น มองคนอื่นในแง่ดี ในการทำงานร่วมกับคนอื่น การครองคนเป็นเรื่องที่ยากที่สุด จึงควรทราบหลักการครองใจคน ซึ่งหลักทางพุทธศาสนาได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะในส่วนที่สำคัญ ดังนี้
2.1 การรู้จักเสียสละแบ่งปันด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารี เป็นการครองใจคนที่ดีวิธีหนึ่ง เพราะการเป็นผู้ให้ทุกอย่างแก่บุคคลอื่น ย่อมจะได้รับผลตอบแทนที่มีค่ามากกว่าสิ่งของที่ให้ไป
นั่นคือ ทำให้เกิดความรัก ความศรัทธา
2.2 การรู้จักเลือกใช้วาจาที่อ่อนหวาน คนอื่นฟังแล้วสบายใจ อยากอยู่ใกล้ อยากคบค้าสมาคมด้วย ต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง ตามภาษิตที่ว่า พูดเป็นนายใจเป็นบ่าวหมายความว่า ให้คิดก่อนพูด พูดแล้วต้องทำปฏิบัติตามอย่างที่พูด
2.3 พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ยกย่องชมเชยเมื่อผู้อื่นทำงานประสบความสำเร็จ ให้ความจริงใจ ให้ความช่วยเหลือในโอกาสอันควร
2.4 การทำตนให้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย คือ การติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้ขาดช่วงตอน ก็จะทำให้การทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มีน้ำใจต่อกัน

3. การครองงาน คือ การรู้จักงานที่ตนเองกำลังทำ และทำงานอย่างมีความสุข รักและชอบในงานที่ตนเองกำลังทำอยู่ มีวิธีการครองงาน ดังนี้คือ
3.1 การครองงานโดยใช้ความรู้และปัญญา กล่าวคือ ปัญญากับ
ความรู้ต่างก็เกื้อกูลต่อกัน รู้จักการค้นหาความรู้ใหม่มาช่วยพัฒนางานที่ตนเอง ทำอยู่ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
3.2 การครองงานโดยใช้หลักธรรมมุ่งมั่นสูงความสำเร็จ คือ การมีใจรัก มีความพากเพียรทำ ตั้งใจฝักใฝ่ และใช้ปัญญาไตร่ตรอง งานนั้นก็จะสำเร็จ เมื่องานสำเร็จ การทำงานก็จะมีความสุข มีความรักในงาน
3.3 การให้ความรักและความเคารพในงานอาชีพของตน
ไม่ดูถูกหรือให้ใครดูหมิ่นในงานของตน มีจริยธรรมในอาชีพ
คือการซื่อสัตย์ต่องานในหน้าที่ของตน การครองตน ครองคน ครองงาน เป็นศิลปะการทำงานให้มีความสุข บุคคลใดใช้หลักการตามที่กล่าวมาก็จะ มีความสำเร็จในการทำงาน ฉะนั้น การครองตนก็คือการรู้จักตนเอง
การครองคนคือการรู้จักผู้อื่น ส่วนการครองงานคือการมีสมาธิในการทำงาน อย่าหนีปัญหา แก้ปัญหาให้ถูกต้อง และตัวเองก็มีความสุขกับการทำงาน คนก็จะมีความสุข

ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

เราสามารถเรียนรู้ได้จากความผิดพลาด

แต่มันจะดีกว่าถ้าเรียนรู้จากความสำเร็จ

นิทาน...ความรัก

ดิฉันมีนิทาน เรื่อง  ความรัก    มาเล่าให้ฟัง  กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเรื่องเล่าระหว่างสาวสวยและหนุ่มรูปงามผู้ซึ่งรักกันอย่างดูดดื่ม...ทั้งสองได้สาบานว่าแม้ความตายก็มิอาจจะพรากรักอันแสนจะมั่นคงนี้ลงได้และในครั้งนั้นยังมีแม่มดตนหนึ่งผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดที่จะแน่นอนเท่าความไม่แน่นอน แม่มดไม่เชื่อว่าความรักของทั้งสองจะมั่นคงจึงคิดหาทางพิสูจน์ขึ้นมา นางกล่าวว่าหากพวกเจ้ามั่นใจในรักของอีกฝ่าย ซึ่งยั่งยืนแม้ว่าความตายจะพรากดังนั้นข้าก็อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นอย่างไร...ข้าขอสาปให้นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเกิดใหม่อีกสักกี่ชาติ บุรุษนี้จะไม่มีทางจำเจ้าได้ เขาจะไม่สามารถจำได้ว่าเคยรักเจ้า และตรงกันข้ามกับเจ้า  เจ้าจะเป็นคนที่จำทุกอย่างได้ เพราะเจ้าจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป  ไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่มีวันตาย จะอยู่อย่างนี้นิรันดร์...เจ้าจะจำเวลาที่เคยรักเขา  เคยเป็นที่รักและต้องเฝ้ารอการกลับมาของเขาในชาติแล้วชาติเล่าตลอดกาล...
"วันใดก็ตามที่เจ้าทำให้เขารู้ตัวว่ารักเจ้าทำให้เขาจำเจ้าได้
วันนั้น...คือวันที่ความเป็นนิรันดร์ของเจ้าสิ้นสุดลง...เจ้าจะแก่และตายตามสภาพ ของอายุขัยที่ควรเป็น...และคราวนี้ก็จะเป็นทีของเจ้าหนุ่มนั่นแทน...เขาจะต้องเป็นคนที่ค้นหาเจ้าบ้าง..."
หลังจากนั้นมาปีแล้วปีเล่าเวลาผ่านไปศตวรรษทบศตวรรษที่หญิงสาวเฝ้าตามหาชายหนุ่มคนรัก  และทุกครั้งที่เธอได้พบเขาในสภาพของใครคนหนึ่ง  ที่ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลยแม้แต่น้อย...เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาจำเธอได้

แต่มันไม่เคยสำเร็จชาติแล้วชาติเล่า...หลังจากการเกิดและดับของเขาผ่านไปนับสิบครั้ง  เขาก็ยังไม่อาจระลึกได้ถึงความรักของเธอ...ความทุกข์ทรมานของหญิงสาว  ถูกเฝ้าดูอย่างเย้ยเยาะโดยนางแม่มดผู้รอคอยเวลาที่หญิงสาวจะยอมรับว่า... รักแท้ที่แม้ความตายก็ไม่อาจพรากไม่มีจริง แล้วนางแม่มดก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ในช่วงหลังๆ มาหญิงสาวไม่ได้พยายามที่จะทำให้ชายหนุ่มระลึกถึงตน ไม่พยายามให้ชายหนุ่มรักตนแต่กลับทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้เขามีความสุข และทำให้เขาเกิดรอยยิ้มแทน...แล้ววันหนึ่งนางแม่มดก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว
จึงปรากฏตัวเพื่อเอ่ยถามกับตัวหญิงสาวเอง... "...เจ้าได้ละทิ้งความพยายามของเจ้าเสียแล้วล่ะหรือ...ความพยายามที่จะพิสูจน์
ให้ข้าเห็นอำนาจและพลังของรักแท้ที่เหนือกว่าอำนาจใดๆ แม้กระทั่งคำสาปของข้า..." "จริงๆ แล้ว ข้าก็มีเหตุผลของข้า"
หญิงสาวตอบนางแม่มดกลับไป"...ข้าไม่ได้ละทิ้งความพยายาม...เพียงแต่...ข้ากลัวว่าความพยายามของข้าจะสัมฤทธิ์ผล...แล้ว"
"แล้วเจ้าก็ต้องแก่และตาย"นางแม่มดต่อให้ด้วยเสียงเย้ยหยัน
" ที่แท้เจ้าก็กลัวที่จะตาย เจ้ากลัวจะสูญเสียความเป็นอมตะของเจ้า...เฮอะ นี่หรือรักแท้ของเจ้า"  หญิงสาวไม่ปฏิเสธ นางเผชิญหน้ากับนางแม่มดและรับคำกล่าวหานั้น  "อาจใช่...มันเป็นความจริงที่ข้ากลัวว่าหากข้าทำให้เขาจำข้าและรักข้าได้ข้าจะต้องตายจากเขาไป"  "และเจ้าก็ไม่เชื่อใจว่าเขาจะทำให้เจ้าจำได้เช่นนั้นหรือ?"  หญิงสาวจ้องหน้าแม่มดนิ่งอยู่ ก่อนตอบ
สิ่งที่ข้าเกรงไม่ใช่เรื่องนั้น...ท่านรู้อะไรไหม...
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ข้าเฝ้าเดินทางตามหาเขาเฝ้ารอคอยวันแล้ววันเล่า รอวันที่เขาจะกลับมาหาข้าอีกครั้ง...ตลอดเวลาที่ข้าเฝ้ามองการเกิดและการตายของเขา  มันคือความทรมานอันยาวนานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด...  และสำหรับข้าความทุกข์อันแสนสาหัสคือ การได้เห็นความทรมานของผู้เป็นที่รัก
โดยที่เราไม่อาจเอื้อมมือเข้าไปช่วยเหลือได้...
หลายครั้งที่ข้าอยากให้ตัวข้าเห็นแก่ตัวพอที่จะพยายามทำให้เขารักทำให้เขาระลึกถึงข้าได้อีกครั้ง   เพื่อที่ข้าจะได้เป็นอิสระต่อการพันธนาการนี้...แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงมัน  ความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับเนื่องจากการรอคอยที่ไม่มีวันจบสิ้นก็ทำให้ข้าคิดได้
...ข้าไม่อาจให้เขาต้องแบกรับความรู้สึกทรมานเช่นที่ข้าได้รู้สึก...
ความรักของข้าอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะตัดสินใจพยายามให้เขาจำข้าได้ต่อไป และจากนี้ต่อไป แม้ว่าข้าจะต้องรอคอยไปชั่วนิรันดร์ สิ่งเดียวที่ข้าจะทำคือ ข้าจะทำให้เวลาของเขามีแต่ความสุขเท่าที่พลังของข้าจะทำได้ ข้าอาจไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาก็จริง  แต่ข้าก็ยังอยากเห็นรอยยิ้มของเขา...ข้าอาจเป็นคนอ่อนแอในสายตาของท่านอย่างไรก็ตาม  นี่ก็คือความรักของข้า
คือสิ่งที่ข้าเป็น...แม้ชีวิตของข้าจะต้องเดียวดายตลอดกาลแต่ข้าก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า  คนที่ข้ารักจะไม่มีวันเดียวดายเช่นตัวข้า...เพราะเขาจะมีข้าข้างกายเขาชั่วนิรันดร์ "........................

นิทานเรื่องนี้ไม่มีตอนจบเพราะอยากให้คนที่อ่านจินตนาการถึงตอนจบเอาเอง  ในชีวิตของเรามีหลายช่วงต่อหลายช่วงที่เราคิดว่าเรารักใครสักคนมากมายเหลือเกิน  และหลายต่อหลายครั้งที่ความรักของเราก็ต้องการความรักตอบกลับมา  หลายคนฟูมฟายกับโชคชะตาว่ารักที่ไม่ได้รักตอบคือการสูญเวลาเปล่า...

แต่มีหลายต่อหลายคน...ที่ดีใจกับโชคชะตาที่เกิดมาสักครั้ง
แต่ยังได้รักใครสักคนอย่างเต็มหัวใจ...  ทุกอย่างในชีวิตมีทางเลือก...ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกทางไหน...หรือ
คุณจะเลือกหรือไม่?คุณจะเลือกทางไหน  ...เปิดประตูรับความรักเข้ามาเพื่อเติมความอบอุ่นให้กับหัวใจแม้เพียงช่วงหนึ่งของชีวิต...   หรือจะมัวแต่ฟูมฟายโทษตัวเองกับความรักที่ให้ไปแต่ไม่ได้รักตอบ...??  ...ทางเลือกเป็นของคุณ...