ในแวดวงการศึกษาทุกท่านคงรู้กันเป็นอย่างดีว่า การประกันคุณภาพการศึกษาซึ่งมีทั้งการประกันคุณภาพภายในและการประกันคุณภาพภายนอก แต่ในคราวนี้ดิฉันขอนำเรื่องราวในแวดวงการประกันชคุณภาพการศึกษาภายนอก มาเล่าสู่กันฟังใน KM Blogนี้นะคะ
การประกันคุณภาพภายนอก ซึ่ง สมศ.ได้ดำเนินการประเมินภายนอกรอบแรก(พ.ศ. 2544-2548) และประเมินคุณภาพภายนอกรอบสอง (พ.ศ. 2549-2553) เสร็จสิ้นไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินคุณภาพรอบสาม(พ.ศ. 2554-2558) โดยในการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม ในระดับอุดมศึกษานี้ สมศ.ได้กำหนดตัวบ่งชี้ จำนวน 18 ตัวบ่งชี้ ซึ่งครอบคลุมทั้ง 4 มาตรฐานตามที่กฎกระทรวงฯกำหนด โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตัวบ่งชี้ ได้แก่กลุ่มตัวบ่งชี้พื้นฐาน 15 ตัวบ่งชี้ กลุ่มตัวบ่งชี้อัตลักษณ์ 2 ตัวบ่งชี้และกลุ่มตัวบ่งชี้มาตรการส่งเสริม 1 ตัวบ่งชี้ ทั้งนี้ในส่วนของมทร.พระนคร ได้มีการดำเนินการในการเตรียมความพร้อมในการประเมินคุณภาพรอบสาม ซึ่งจะมีในปีการศึกษา 2556 นี้
ในการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม การรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาให้การรับรองมาตรฐานสถานศึกษา ดังนี้
๑. การรับรองมาตรฐานระดับอุดมศึกษา การรับรองมาตรฐานของสถานศึกษารอบสาม
ระดับอุดมศึกษา จะพิจารณาข้อมูลจากการประเมินตัวบ่งชี้ที่เชื่อมโยงไปสู่การรับรองมาตรฐานของสถานศึกษา ดังนี้
๑.๑ การประเมินระดับตัวบ่งชี้ ตัวบ่งชี้แต่ละตัวจะมีคะแนนต่ำสุดคือ ๐ และสูงสุดคือ ๕
๑.๒ การประเมินกลุ่มตัวบ่งชี้ สมศ. กำหนดเกณฑ์ไว้ ๒ ข้อ คือ
๑) คะแนนเฉลี่ยของตัวบ่งชี้ที่ ๑ – ๑๑ มีค่าตั้งแต่ ๓.๕๑ ขึ้นไป
๒) คะแนนเฉลี่ยของตัวบ่งชี้ทุกตัวรวมกัน มีค่าตั้งแต่ ๓.๕๑ ขึ้นไป โดยใช้ทศนิยม ๒
ตำแหน่ง
๑.๓ ความหมายของระดับคุณภาพ ค่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มตัวบ่งชี้หรือในภาพรวม
สามารถแปลความหมายของระดับคุณภาพ ดังนี้
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
๔.๕๑ – ๕.๐๐ ดีมาก
๓.๕๑ – ๔.๕๐ ดี
๒.๕๑ – ๓.๕๐ พอใช้
๑.๕๑ – ๒.๕๐ ต้องปรับปรุง
๐.๐๐ – ๑.๕๐ ต้องปรับปรุงเร่งด่วน
๒. การรับรองมาตรฐานระดับคณะ/เทียบเท่า ใช้เกณฑ์ ๒ ข้อ ในข้อ ๑.๒ และแปลความหมายตามข้อ ๑.๓
๓. การรับรองมาตรฐานระดับสถาบัน สถาบันจะได้การรับรองเมื่อ
๓.๑ ผลประเมินระดับสถาบันได้คะแนนเฉลี่ยเป็นไปตามเกณฑ์ ๒ ข้อ ในข้อ ๑.๒
๓.๒ คะแนนผลการประเมินระดับคณะหรือหน่วยงานเทียบเท่าเป็นไปตามเงื่อนไข ดังนี้ ๓.๒.๑ สถาบันที่มีจำนวน ๑ – ๓ คณะทุกคณะต้องเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน
๓.๒.๒ สถาบันที่มีจำนวน ๔ – ๙ คณะ มีคณะที่มีผลการประเมินคุณภาพในระดับ
พอใช้ได้เพียง ๑ คณะเท่านั้น
๓.๒.๓ สถาบันที่มีคณะหรือหน่วยงานเทียบเท่าจำนวนตั้งแต่ ๑๐ คณะขึ้นไป มีคณะ
เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานตั้งแต่ร้อยละ ๙๐ ของจำนวนคณะทั้งหมด
หมายเหตุ : หากสถาบันได้รับการรับรองมาตรฐาน แต่มีคณะที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานตามเกณฑ์
ข้างต้น ให้เป็นการรับรองมาตรฐานสถาบันแบบมีเงื่อนไข
โดยจากการวิเคราะห์ผลการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม จำนวน ๔๗ แห่ง (จำนวน ๓๙๗ คณะ) พบว่า สถาบันอุดมศึกษาได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสถาบันจำนวน ๔๕ แห่ง (ร้อยละ ๙๕.๗๔) และมีสถาบันที่ได้รับการรับรองแบบมีเงื่อนไขจำนวน ๒ แห่ง (ร้อยละ ๔.๒๖) โดยสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานมากที่สุด คือ สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎและสถาบันเฉพาะทาง ร้อยละ ๑๐๐ รองลงมา คือ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ร้อยละ ๘๘.๒๔ ตามลำดับ และสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับการรับรองแบบมีเงื่อนไข คือ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนร้อยละ ๑๑.๗๖ รายละเอียดดังนี้
ลำดับ |
สังกัด |
จำนวนทั้งหมด (แห่ง) |
รับรอง |
รับรองแบบมีเงื่อนไข |
||
จำนวน |
ร้อยละ |
จำนวน |
ร้อยละ |
|||
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ |
สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐสถาบันอุดมศึกษาของรัฐมหาวิทยาลัยราชภัฎ
สถาบันอุดมศึกษาเอกชน สถาบันเฉพาะทาง
|
๖ ๑ ๒๑ ๑๗ ๒ |
๖ ๑ ๒๑ ๑๕ ๒ |
๑๐๐.๐๐ ๑๐๐.๐๐ ๑๐๐.๐๐ ๘๘.๒๔ ๑๐๐.๐๐ |
๐ ๐ ๐ ๒ ๐ |
๐.๐๐ ๐.๐๐ ๐.๐๐ ๑๑.๗๖ ๐.๐๐ |
รวม |
๔๗ |
๔๕ |
๙๕.๗๔ |
๒ |
๔.๒๖ |
จากผลการวิเคราะห์คะแนนเฉลี่ยรายตัวบ่งชี้จำแนกตามประเภทสถาบันพบว่า สถาบันอุดมศึกษา
ส่วนใหญ่ มีคแนนรายตัวบ่งชี้อยู่ในระดับคุณภาพดีและดีมาก ทั้งนี้เมื่อพิจารณาคะแนนรายตัวบ่งชี้ที่ ๓ ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ พบว่า อยู่ในระดับพอใช้ ต่างจากสถาบันอื่น คือ มหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎ และมหาวิทยาลัยเอกชน ที่อยู่ระดับดี ส่วนตัวบ่งชี้ที่ ๔ , ๕ , ๖ , ๗ และ ๑๔ ของสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎ และสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พบว่า มีคะแนนรายตัวบ่งชี้ที่สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับพอใช้และต้องปรับปรุง รายละเอียดดังนี้
ตัวบ่งชี้ |
ค่าน้ำหนัก คะแนน |
ประเภทสถาบัน / คะแนนเฉลี่ย (ระดับคุณภาพ) |
|||
ม.ในกำกับรัฐ |
ม.รัฐ |
ม.ราชภัฎ |
ม.เอกชน |
||
๓. ผลงานของผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทที่ดั้บการตีพิมพ์หรือเผยแพร่๔. ผลงานของผู้สำเร็จการศึกษาระดับ
ปริญญาเอกที่ได้รับการตีพิมพ์หรือเผยแพร่ ๕. งานวิจัยหรืองานสร้งสรรค์ที่ได้รับ การตีพิมพ์หรือเผยแพร่ ๖. งานวิจัยหรืองานสร้างสรรค์ ที่นำไปใช้ประโยชน์ ๗. ผลงานวิชาการที่ได้รับการรับรอง คุณภาพ ๑๔. การพัฒนาคณาจารย์ |
๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ |
๓.๓๔ (พอใช้) ๔.๖๓ (ดีมาก) ๔.๒๐ (ดี) ๔.๕๒ (ดี) ๓.๗๒ (ดี) ๓.๕๐ (พอใช้ |
๔.๔๕ (ดี) ๔.๔๒ (ดี) ๔.๔๒ (ดี) ๔.๑๗ (ดี) ๓.๖๙ (ดี) ๓.๖๖ (ดี) |
๔.๐๖ (ดี) ๑.๗๕ (ต้องปรับปรุง) ๒.๐๑ (ต้องปรับปรุง) ๔.๑๙ (ดี) ๒.๗๐ (พอใช้) ๒.๑๙ (ต้องปรับปรุง) |
๓.๙๕ (ดี) ๓.๔๖ (พอใช้) ๒.๖๑ (พอใช้) ๓.๐๖ (พอใช้) ๓.๑๘ (พอใช้) ๒.๒๓ (ต้องปรับปรุง) |
ด้านวุฒิการศึกษาของอาจารย์ทั้งหมด จำนวน ๕๖,๙๗๘ คน พบว่า ส่วนใหญ่มีวุฒิการศึกษาระดับ
ปริญญาโท ร้อยละ ๕๘.๐๑ (๓๓,๐๕๕ คน) มีวุฒิการศึกษาปริญญาเอกเพียงร้อยละ ๓๑.๑๔ (๑๗,๗๔๘ คน) และส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งอาจารย์ ร้อยละ ๖๗.๑๑ (๓๘,๒๓๘ คน) มีวุฒิศาสตราจารย์เพียงร้อยละ ๑.๐๑ (๕๗๗ คน) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลไม่ตำแหน่งศาสตราจารย์เลย
สำหรับสัดส่วนจำนวนอาจารย์ต่อผู้เรียน พบว่า ในภาพรวมมีจำนวนอาจารย์ต่อจำนวนผู้เรียน คือ
๑ : ๓๓ โดยมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มีสัดส่วนน้อยที่สุด คือ ๑ : ๑๘ ของมหาวิทยาลัยราชภัฎมีสัดส่วนมากที่สุด คือ ๑ : ๕๒
ข้อเสนอแนะต่อสถานศึกษาระดับอุดมศึกษามี ๒ ประเด็น คือ การพัฒนาบุคลากร และผลงานวิชาการ ภาครัฐต้องเร่งสร้างระบบและกลไกงานวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ในบริบทของความเป็นไทย เนื่องจากฐานคิดตะวันตกและฐานคิดตะวันออกมีความแตกต่างกัน ทำอย่างไรให้งบประมาณเพียงพอต่อการวิจัย ให้งบประมาณแล้วต้องอย่าให้โซ่ตรวน ไม่ให้บั่นทอนขวัญและกำลังใจของคณาจารย์สร้างระบบบ่มเพาะ ระบบพี่เลี้ยงให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละศาสตร์ และการให้งบประมาณวิจัยควรต้องให้งบประมาณการวิจัยระยะยาว ๓ – ๕ ปี และให้การสนับสนุนที่เป็นระบบ พัฒนาให้มีสัดส่วนเวลาของการสอนและการสร้างงานวิจัยที่เหมาะสม สร้างเงื่อนไขของการพัฒนาโดยการกำหนดตัวบ่งชี้ให้เพิ่มตำแหน่งทางวิชาการเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้เกิดผลดีต่อทุกฝ่าย ผู้บริหารต้องบริหารจัดการให้ครูอาจารย์มีผลงานทางวิชาการเพิ่มขึ้น สถานศึกษาต้องสร้างบรรยากาศทางงานวิชาการเพิ่มขึ้น ขอให้ผู้บริหารคำนึงถึงบาป บุญ คุณ โทษ โดย สมศ. ได้ปรับ SWOT เป็น CP- SWOT PLUS บาปส่งผลต่ออนาคตและเครดิตของสถานศึกษา และจะเป็นคุณถ้าครูอาจารย์มีความเชี่ยวชาญและมีสัดส่วนที่เพียงพอ แต่คงจะเป็นโทษมาก ถ้ามีหลักสูตรแต่ไม่มีครูอาจารย์ สถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชนมีพันธกิจในการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพ จึงอยากฝากทั้งรัฐและเอกชนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย
Ref. : จุลสาร สมศ. / หน้า 7 – 8 / เดือนสิงหาคม 2555