Monthly Archives: April 2010

การสื่อสารองค์กร [Corporate Communication]

การต้องให้ความสำคัญกับงานด้านการสื่อสาร [ Communication] อย่างเป็นเชิงรุก โดยการยกระดับงานด้านนี้ให้สูงขึ้นและอยู่ใกล้ตัว CEO พร้อมกับขยายขอบเขตงานกับใช้ให้ทำงานด้านการสื่อสารให้ครบด้านตามความจำเป็นของเงื่อนไขในโลกยุคใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อการสื่อสารกับกลุ่มต่างๆ ที่สำคัญทั้งภายนอกกับภายใน เช่น นอกจากการสื่อสารการตลาด [Marketing Communication] เพื่อการโฆษณาขายสินค้าแล้ว การสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ถือหุ้นหรือกับสาธารณชนอื่นๆ และแม้แต่กับพนักงานภายในเอง ล้วนมีความสำคัญต่อการเดินไปข้างหน้าและการแก้ปัญหาที่จำต้องมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันเป็นสำคัญ
งานด้าน การสื่อสารองค์กร [Corporate Communication] คืองานสำคัญที่กิจการขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ต้องทำ ทั้งนี้เพื่อสำหรับรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นยุคใหม่ 2 ด้าน ที่สำคัญคือ
1) เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางนโยบายกับกลยุทธ์ของบริษัทที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตามกระแสใหม่ที่เกิดขึ้น ให้เข้าใจกันทั่วทุกระดับและทุกแห่งในองค์กร
2) การใช้เพื่อการสื่อสารแก้ปัญหาวิกฤติที่อาจเกิดขึ้น ที่อาจส่งผลกระทบรุนแรง เร็วและก่อผลเสียหายมากในเวลาอันสั้น
แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือ ตัว “ผู้นำ” ต้องเข้าใจและให้ความสำคัญต่องานการสื่อสารองค์กร โดยมีแผนงาน หน่วยงานกับบุคลากรที่ทำงานแบบมืออาชีพ ในจำนวนที่พอเพียง กับต้องตื่นตัว ใกล้ชิดกับงานนี้ เพื่อการสร้างและรักษา “จุดเด่นกับภาพลักษณ์” ที่มีค่าของกิจการเอาไว้ยาวนาน
ทั้งนี้ ในยามปกติ การสื่อสารองค์การ ต้องผูกโยงไว้ในแผนกลยุทธ์ และกรณีเกิดวิกฤติ CEO จะต้องถือเป็นหน้าที่ออกมาสื่อสารได้แบบทันควันด้วยตนเอง เพื่อมิให้ลุกลามบานปลาย ทักษะการสื่อสารจึงต้องฝึกเตรียมไว้ แต่ก็ไม่ใช่การเอาไว้ใช้สร้างภาพลวงหรือการหาเสียงในสิ่งที่ไม่มีแก่นสาร ทั้งนี้ โลกสื่อสารยุคใหม่มีความหลากหลายทันสมัยและก้าวหน้า ซึ่งจะแยกแยะให้เห็นความจริงปรากฏออกมาได้ในเวลาไม่นานนัก
ในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคม ของท่าน ดาไลลามะไว้ว่า
ทุกเวลาที่เราสบายๆ ถือว่านั่นแหละ คือศัตรู เพราะว่าทำให้เราหลับ และปราศจากความกังวล ขณะที่ความไม่แน่นอนคือเพื่อนแท้ ทำให้เราตระหนัก ตื่นตัว และพร้อมรับตลอดเวลา

ลิงกับลา

มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงา นางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้ เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา
วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสอง
ตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซน เป็นคุณลักษณะประจำตัว ก็ค่อย ๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อม จนทำให้ข้าว ของต่างๆล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลา ได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ
สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกล จากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง ฝ่ายหญิงชาวบ้าน เมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็น ข้าวของของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที
หันมองลิงและลา เพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหาทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ
ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ฟังนิทานเรื่องนี้แล้ว หลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสง สารเจ้าลา ที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ
แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการให้ข้อคิด สำหรับผู้บริหารองค์กรได้เป็นอย่างดี ที่ชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้าน(ผู้บริหาร) ที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว พอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือกแล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ
แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่
ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมาก พรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคย
ทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้
ผู้เป็นนายก็ไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม ต้องยอมเสียสละเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น
องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วยค่ะ

กรณีศึกษาที่น่าสนใจแห่งยุค ที่สะท้อนถึง “ความอ่อนซ้อมการจัดการ”ปัญหาในการผลิตรถยนต์โตโยต้า

ในฐานะที่ดิฉันเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชา Industrial Management ของสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ขอกล่าวถึงความรู้ในวิชาชีพของตัวเอง สักสัปดาห์นะค่ะ ซึ่งเป็นหัวข้อที่
ท๊อปฮิตในช่วงนี้เลยทีเดียว ก็คือเรื่องของปัญหาในการผลิตรถยนต์โตโยต้า ทั่วโลกค่ะ
ทศวรรษนี้ ถือว่าข่าวเรื่องบริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น “โตโยต้า” ที่มีประวัติชนะเหนือรถอเมริกัน ที่เป็นต้นตำนาน การผลิตรถยนต์โลก โดยเติบโตจนเป็นผู้ผลิตและผู้ขายรายใหญ่ที่สุดในโลก
แล้วเพียงไม่นานนักก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับ “คุณภาพรถ” ที่คันเร่งน้ำมันมีปัญหา ต้องเรียกคืนรถกลับมาแก้ไข ทำให้ “ภาพลักษณ์” ของโตโยต้าเสียหายมากมหาศาล เพราะเป็นยุคข่าวสารข้อมูลครอบโลก ชื่อเสียของโตโยต้าจึงมิใช่เสียหายแค่บริษัท แต่ยังกระทบถึงความเชื่อถือต่อบริษัทญี่ปุ่นอื่นๆ ด้วย จากที่เคยเป็นเจ้าตำรับเน้นจุดเด่นด้านคุณภาพ โดยการจัดการแนว Quality Management
ไม่ว่าจะอย่างไร ถึงวันนี้ ชะตากรรมของโตโยต้า นับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจแห่งยุค ที่สะท้อนถึง “ความอ่อนซ้อมการจัดการ” ที่เป็นการแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งโตโยต้า ต่างทำเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ โดยต่างพากันยืดอกเดินหน้า แสวงหาและไขว่คว้าโอกาสที่เปิดขึ้นใหม่ไปทั่วโลก อย่างไร้ขีดจำกัด
ข้อผิดพลาด คือ โตโยต้า ได้ตั้ง “เป้าหมาย” เติบโตในตลาดโลกที่สูงมาก ซึ่งบนฐานเดิมที่มีขนาดตลาดใหญ่มากอยู่แล้ว ทำให้การเพิ่มขนาด การเติบโตก่อผล ทำให้กลายเป็นภาระเพิ่มมากกว่าจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมากเป็นทวีคูณ กลายเป็นแรงกดดันที่ไม่รู้ตัว กับทำให้เกิดช่องว่างที่ใหญ่โต ทั้งการจัดการกับการปฏิบัติการและดำเนินการ ที่เป็นภาระต้องควบคุมรักษาให้คงอยู่อย่างครบถ้วนทุกอย่าง ทั้งต้นทุน ราคา และคุณภาพสินค้า ซึ่งทำได้ยากขึ้น
จุดผิดพลาดของโตโยต้า ไม่ได้อยู่ที่การละทิ้งปรัชญาคุณภาพโดยสิ้นเชิง หากแต่เป็นเพราะ “วิธีการผลิตการทำงาน” ที่โตโยต้าพัฒนามาตลอดนั้น เมื่อขยายออกไปประยุกต์ใช้ทั่วโลกนั้น “วัฒนธรรมองค์กร” ที่เป็นสิ่งกำกับที่ไร้ตัวตน ไม่อาจก้าวข้ามไปครอบคลุมกำกับได้ในทุกประเทศ ที่มีวัฒนธรรมต่างกัน ตรงนี้เองที่ทำให้ Strategic Operations หรือ วิธีการทำงานที่เยี่ยมยุทธ์ของ โตโยต้า ไม่อาจรักษาไว้ครบถ้วนในระดับโลกได้
แล้วจุดที่พลาดต่อมา คือ การไม่สามารถแยกแยะเลือกใช้กลยุทธ์ในระดับโลกที่เหมาะสม นั่นคือ Global Sourcing หรือ การจ้างบริษัทผลิตอะไหล่ภายนอกไปทำ แล้วส่งไปให้ใช้ร่วมกันทั่วโลก เพียงเพื่อหวังจะประหยัดต้นทุน กับช่วยให้ได้เดินตามกลยุทธ์ใหม่ของกิจการระดับโลก แห่งอื่นๆ คือ การใช้ “นโยบายทำ Out Source” หรือจ้างบริษัทภายนอกเป็น suppliers ผลิตให้ ซึ่งทำให้ควบคุมไม่ได้อย่างที่ควร
ที่หนักยิ่งว่า ก็คือ การประยุกต์ใช้ชิ้นส่วนมาตรฐานกับรถยนต์หลายขนาด เพื่อประหยัดต้นทุน แทนที่จะเป็นการทำแบบจำเพาะสำหรับแต่ละขนาด/หรือรุ่น ทำให้คันเร่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาอย่างไม่ได้คาดคิด
สะท้อนได้ว่า โตโยต้าพลาดในการประยุกต์นโยบายและกลยุทธ์สู่การปฏิบัติอย่างเป็นระบบในระบบใหญ่ของการบริหาร ในบริบทของโลกกว้าง นั่นคือ ขณะกำหนดกลยุทธ์เชิงรวมระดับโลกของทั้งบริษัทได้ดีแล้ว ที่ยากยิ่งกว่าคือ การกำหนดยุทธศาสตร์ การดำเนินการที่สามารถรักษาประสิทธิภาพและคุณภาพในหน่วยปฏิบัติตามกลยุทธ์ย่อยได้
เพราะ การบริหารยุคโลกาภิวัตน์ ส่วนมาก ต่างเดินตามกระแสให้สนใจใช้ “วิสัยทัศน์” กำหนดกลยุทธ์สู่โลกกว้างในขั้นตอนการวางแผน แต่ที่สำคัญกว่าคือ ฝันจะเป็นจริงได้ จะอยู่ที่หน่วยงานภายใน ซึ่งจะเป็นผู้ทำงานจริง ทั้งผลิตสินค้าและบริการให้บรรลุตามแผนกลยุทธ์ได้
จะเห็นว่า บริษัทระดับโลกที่มีสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงมาก ส่วนมากจะเน้นสนใจที่ “เป้าหมายกับกลยุทธ์ต่อภายนอก” เป็นสำคัญ กับชอบหลงผิด คิดว่าวัฒนธรรมองค์กรที่มีอยู่นั้น คือ คัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะสามารถใช้ได้กับทุกๆ ที่ กับทุกๆ คนในบริษัท
โดยมักมองข้าม “การพัฒนาระบบปฏิบัติงานภายใน” [Implementation] เพื่อประสิทธิภาพครบถ้วนอย่างต่อเนื่อง เพราะแท้จริงแล้วระบบงานและคนผู้ปฏิบัติจะสำคัญยิ่งกว่า อีกทั้ง วัฒนธรรมองค์กร ก็จะจางไปเรื่อยๆ ตามความแตกต่างของแต่ละประเทศ
ข้อผิดพลาดต่อมาคือ โตโยต้า ซึ่งโตเร็วในสภาพแวดล้อมโลกยุคสารสนเทศ ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้งขอบเขตการดำเนินงานก็เปิดกว้างถึงกัน และต้องเกี่ยวข้องกับกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ อีกากทั้งภายนอกและภายใน ภายใต้ระบบสื่อสารที่ไว และไปกว้าง กับ ชื่อเสียง หรือ “ภาพลักษณ์” [Image] ที่มีค่าเป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ราคาแพง

ท่านว.วชิรเมธี กับ พร ๔ ข้อ

ท่านว.วชิรเมธี ได้กล่าวถึงพร ๔ ข้อ ที่ต้องปฏิบัติ มีดังนี้ค่ะ
๑. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง กิเลสฟูท่วมหัว ยัง ไม่รู้จักตัวอีก' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส 'จิตประภัสสร' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี'แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข'
๒. อย่ามัวแต่คิดริษยา
'แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน'
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาคนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า 'เจ้ากรรมนายเวร' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น 'ไฟสุมขอน' (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี 'แผ่เมตตา' หรือ ซื้อโคม มา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป
๓. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ 'ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น' มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ 'อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน' 'อยู่กับปัจจุบันให้เป็น' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี 'สติ' กำกับตลอดเวลา
๔. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
'ตัณหา' ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ 'ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม' ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลาไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมา ไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า เกิดมาทำไม' 'คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน 'ตา มหา 'แก่น' ของชีวิตให้เจอ ' คำว่า 'พอดี' คือ ถ้า 'พอ' แล้วจะ 'ดี' รู้จัก 'พอ' ก็จะมีชีวิต อย่างมีความสุข'
ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคม ไว้ว่า

ผู้ชนะไม่เคยท้อถอย ผู้ท้อถอยไม่เคยชนะ

นิทาน เด็กน้อยกับสุนัขพิการ

เจ้าของร้านตอกป้ายติดไว้เหนือประตู มีข้อความว่า มีลูกสุนัขขาย นี่เป็นวิธีดึงดูดเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างดี เด็กผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวใต้ป้ายแผ่นนั้น และถามว่า
ลูกหมาที่ขายราคาเท่าไรครับ ” มีหลายราคา ตั้งแต่ 30 ไปจนถึง 50 เหรียญ ” เจ้าของร้านตอบ หนูน้อยล้วงเข้าไปในกระเป๋าและควักสตางค์ออกมา ผมมีอยู่ 2 เหรียญกว่าเอง ขอผมดูพวกมันหน่อยได้ไหมครับ จ้าของร้านยิ้มแล้วผิวปาก
เจ้าเลดี้วิ่งออกมาจากเฉลียงข้างร้านพร้อมกับลูกสุนัขขนฟูอีก 5 ตัว หนึ่งในนั้นเดินตามมาช้า ๆ หนูน้อยสนใจลูกหมาตัวนี้ทันที เห็นได้ชัดว่ามันเดินลากขาเหมือนเป็นหมาพิการ ” หมาตัวเล็ก ๆ นั่นเป็นอะไรครับ ”
เจ้าของร้านบอกว่าสัตวแพทย์ตรวจตรวจเจ้าลูกหมาตัวนี้แล้วพบว่า มันไม่มีสะโพก มันจะต้องเดินขากะเผลก และจะพิการไปตลอดชีวิต เด็กชายตื่นเต้นขึ้นมาทันที ” ผมขอซื้อลูกหมาตัวนี้ได้ไหมฮะ ” เจ้าของร้านตอบว่า ” อย่าเลย หนูคงไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอกแต่ถ้าหนูอยากได้จริง ๆ ล่ะก็ ฉันจะยกให้ ”
หนูน้อยเริ่มไม่พอใจ เขาจ้องหน้าเจ้าของร้านพร้อมกับชี้นิ้วพูดว่า ” ผมไม่ต้องการให้คุณยกมันให้ผมฟรี ๆ หมาตัวนี้มีค่ามากเท่ากับตัวอื่น ๆ ทั้งหมดและผมก็จะจ่ายให้คุณเต็มราคาด้วย แต่ผมจะให้คุณไปก่อน 2 เหรียญและจะผ่อนให้เดือนละ 50 เซ็นต์จนกว่าจะครบ ”
เจ้าของร้านยังค้านอีกว่า ” หนูไม่อยากได้ลูกหมาตัวนี้หรอก มันวิ่งไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ และเล่นกับหนูเหมือนกับลูกหมาตัวอื่น ๆ ก็ไม่ได้ ”
ถึงตอนนี้ หนูน้อยจึงนั่งลงและถกขากางเกงให้เจ้าของร้านเห็น ขาข้างซ้ายที่ลีบเล็ก และมีเหล็กแท่งใหญ่พยุงเอาไว้ เขาเงยหน้ามองเจ้าของร้านและพูดนุ่ม ๆ ว่า ” นี่ไงครับ ผมเองก็วิ่งไม่ได้เหมือนกันและลูกหมาตัวนี้ก็คงต้องการใครสักคนที่เข้าใจมัน”

สิ่งที่อยู่กับเราตลอดเวลา คือ ความคิด

วันนี้ดิฉันขอนำ การบรรยายธรรมะของ ท่าน ว.วชิรเมธี ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า สิ่งที่อยู่กับเราตลอดเวลา คือ ความคิด ชีวิตของคนเราเป็นเงาสะท้อนของความคิด เราคิดอะไร ชีวิตเราก็จะปรากฏมาอย่างนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรามีทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ที่แนวความคิดของเราว่า เราจะเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา มาทำให้เรามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราอย่างไร เวลาเจองานหนักให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือโอกาสกับตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ เวลาเจอทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่ทำให้เกิดทักษะในการดำรงชีวิต และในวันนี้ดิฉันขอนำเรื่อง ศิลปะการทำงานให้มีความสุข มาถ่ายทอด เล่าสู่กันฟัง ว่าเราๆท่านๆ จะทำตัวอย่างไร ให้มีความสุขกับงานที่ทำค่ะ
1)ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรักทุกๆวันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเรา วันเสาร์ วันอาทิตย์ แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความสุขของเรา เพราะว่าเราทำด้วยความรัก
2)ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคนงาน คือ เวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทำงานของเรา ทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่และทำอย่างดีที่สุดคนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชิ้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน
3) ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสเพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริตโปร่งใส ก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งเกิดจากการตามจับผิด โดยหน่วยงานของทางการต่างๆ ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด
4) เป็นนักประสานสิทธิ อย่ามัวแต่ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่าย อยู่เสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่ทำงานแต่จงทำคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สัมฤทธิ์ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้ คนๆนั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สัมฤทธิ์ ชีวิตก็รื่นรมย์ ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก จะมีความสุขหรือเปล่า
แต่ถ้าบังเอิญ ที่บางท่านอาจไม่ได้ทำงานที่เรารัก วิธีคิดที่ดี ก็คือ การมองเชิงบวก เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี้คือการฝึกตัวเอง เวลาเจอปัญหาซับซ้อนก็บอกตัวเองว่ายิ่งปัญหาซับซ้อน เราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น
เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกิน ก็ให้บอกตัวเองว่า นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็น ถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานที่เรารักแต่เราก็จะมีความสุขเสมอ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ มีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอ ขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็น เราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า วิธีการมองเห็นทำอย่างไรถึงจะมองเห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เคล็ดลับก่อนสมัครงาน

ดิฉันขอแนะนำเคล็ดลับเล็กๆน้อย
ก่อนการสมัครงาน คุณจะต้องศึกษาองค์กร เข้าไปชมเว็บไซต์ขององค์กรหรือบริษัทนั้นๆ อ่านพันธกิจและเป้าหมายของบริษัท รวมทั้งประวัติการเงินในอดีต พินิจพิเคราะห์โฆษณาต่างๆที่พบ เพื่อประเมินการทำตลาดของบริษัท เจาะให้ลึกถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นำเสนอ ตลอดจนตรวจดูว่าสื่อมวลชนกล่าวถึงบริษัทนี้ในแง่ใดบ้าง ควรที่จะเยี่ยมชมสาขาและหยิบแผ่นพับที่มีข้อมูลนำเสนอมาอ่าน เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจนั้นๆ หลีกเลี่ยงการสมัครงาน อย่าลืมว่าตอนนี้ในตลาดงานมีจำนวนคนหางาน มากกว่าตำแหน่งงานที่เปิดรับ จึงเป็นโอกาสของนายจ้างที่มีสิทธิ์เลือก ฉะนั้นก่อนสมัครควรสำรวจดูว่าในตลาดงานมีตำแหน่งอะไรบ้างที่เปิดรับ พร้อมประเมินตนเองดูว่ามีคุณสมบัติพอที่จะได้รับการพิจารณาหรือไม่ เพราะยิ่งถูกปฏิเสธมากคุณจะยิ่งติดลบห่อเหี่ยวและท้อใจตามมาอย่างแน่นอนค่ะ
ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
ไม่มีใครวางแผนที่จะล้มเหลว แต่ชีวิตที่ล้มเหลวเพราะไม่ได้วางแผน

นิทาน กับดักหนู

หนูตัวหนึ่งแอบมองลอดรอยแตกของกำแพง เพื่อดูว่าชาวนากับภรรยาของเขาแกะห่ออะไร “จะเป็นอาหารอะไรหนอ” เจ้าหนูสงสัยมันแทบล้มทั้งยืน เมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นคือ ‘กับดักหนู’
มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนไปที่ทุ่งนา แล้วส่งเสียงร้องเตือน
“มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! ”แม่ไก่ร้องกุ๊กๆ และคุ้ยเขี่ยไปมา มันผงกหัวขึ้นแล้วพูดว่า “คุณหนู นี่คงเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเธอ แต่มันไม่มีผลอะไรกับฉันหรอกนะ อย่ากวนใจกันเลย” เจ้าหนูวิ่งไปหาหมูและบอกแก่มัน “ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! ” หมูเห็นอกเห็นใจ แต่ก็พูดว่า
“ ฉันขอโทษนะคุณหนู แต่ฉันคงทำได้แค่สวดมนต์เท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉันจะสวดมนต์ให้เธอด้วย” เจ้าหนูวิ่งไปหาวัว และพูดว่า “ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! “
วัวตอบว่า “ โธ่! คุณหนู ฉันก็เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่ ” ดังนั้น เจ้าหนูจึงกลับเข้าบ้าน
นอนลงและเศร้าใจเหลือเกิน ที่จะต้องเผชิญหน้ากับกับดักหนูเพียงลำพัง กลางดึกคืนนั้น เสียงๆ หนึ่งดังก้องไปทั้งบ้าน ฟังเหมือนเสียงกับดักหนูได้จับเหยื่อของมันแล้ว ภรรยาของชาวนารีบรุดไปดูว่าอะไรที่ถูกจับ ในความมืดนั้นเธอไม่เห็นว่ามีงูพิษถูกกับดักนั้นหนีบหางเอาไว้ งูกัดภรรยาของชาวนา ชาวนาจึงรีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาล ตอนกลับบ้านเธอมีไข้สูง ใครๆ ก็รู้ว่าเราต้องพยาบาลคนป่วยด้วยซุปไก่ ดังนั้นชาวนาจึงหยิบขวานเดินไปที่ทุ่งเพื่อฆ่าไก่มาทำซุป แต่อาการป่วยของภรรยาก็ยังไม่ดีขึ้น
เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านต่างมาเยี่ยมดูใจ เพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขา ชาวนาจึงฆ่าหมูซะ ภรรยาของชาวนาก็ยังไม่หาย ในที่สุดเธอก็ตายลง ผู้คนมากมายต่างมางานศพของเธอ ชาวนาจึงฆ่าวัวเพื่อให้ได้เนื้อมากพอมาเลี้ยงแขก เจ้าหนูมองลอดรอยแตกของกำแพงด้วยความเสียใจสุดแสน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คราวหน้า หากคุณรู้ว่าใครสักคน กำลังเผชิญปัญหาและคิดว่าไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย แต่โปรดตระหนักไว้ว่า เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งถูกคุกคาม เราทุกคนต่างตกอยู่ในอันตราย! เพราะทุกคนล้วนเกี่ยวพันกันอยู่ในการเดินทางที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ เราต้องคอยเฝ้าดูแลกันและกัน และพยายามให้กำลังใจอีกคนเข้าไว้ค่ะ

การเลือกอาชีพและ การเริ่มต้นทำงานเป็นก้าวย่างที่สำคัญ ของชีวิต

ผู้อ่านหรือแฟนๆ คอลัมพ์KM เคล็ดลับพิชิตงาน กับอ.หลิว หลายท่านที่เป็นนักศึกษา คงผ่านการสอบปลายภาคกันเรียบร้อยแล้วนะค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่สำเร็จการศึกษาในภาคเรียนนี้ ก็คงเตรียมเนื้อเตรียมตัวกับการสมัครงาน สำหรับนักศึกษาที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา หรือเป็นบัณฑิตจบใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นทำงาน อาจจะยังใหม่กับบทบาทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น การเลือกอาชีพและ การเริ่มต้นทำงานนั้นเป็นก้าวย่างที่สำคัญ การเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงจะทำให้ คุณมีความพร้อมในการทำงาน และเป็นคนทำงานที่ประสบความสำเร็จในวันข้างหน้า คำแนะนำจากเราในวันนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของคุณไม่มากก็น้อยค่ะ
1. ตรวจสอบตนเองว่าชอบงานในลักษณะไหน
ค้น หาตัวเองให้พบ และหาโอกาสที่จะได้ทำงานที่เหมาะกับตัวคุณ การได้ทำงานที่คุณชอบ และสนุกกับมัน จะช่วยส่งเสริมมีพลังในการทำงาน ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าในอาชีพการงานของคุณ ถึงแม้คุณอาจจะพบว่างานที่คุณชื่นชอบ กลับกลายเป็นงานที่หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานของคุณไม่เห็นด้วยเอาเสียเลย นี่คือช่วงเวลาที่คุณจะทำให้พวกเขาเห็นว่าคุณทำได้ในรูปแบบที่พวกเขาก็ยอม รับได้ด้วย
2. ชัดเจนกับความมุ่งหมายในอาชีพ
ตอบ ตัวเองให้ได้อย่างชัดเจนว่าความมุ่งหมายในอาชีพของคุณคืออะไร ต้นแบบที่คุณปรารถนาจะเป็นคือใคร เพื่อกำหนดทิศทางถึงสิ่งที่คุณจะทำ เพื่อเดินไปตามเส้นทางที่คุณวาดหวังไว้ให้สำเร็จ
3. ต้องชัดเจนว่าคุณเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
สิ่ง ที่คุณกำลังทำคือสิ่งที่คุณต้องการทำหรือเปล่า สิ่งที่คุณควรทำขัดแย้งกับสิ่งที่คุณต้องการทำใช่หรือไม่ คำถามเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น หากคุณชัดเจนในสิ่งที่คุณสนใจ และทำในสิ่งที่คุณปรารถนาที่จะทำตามความเหมาะสมของบุคลิกลักษณะและธรรมชาติ ของคุณ ค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว และแต่ละก้าวนั้นควรแน่ใจว่าเป็นก้าวที่คุณปรารถนาจะไปในทิศทางนั้นอย่างแท้ จริง
4. ยอมรับในสิ่งที่คุณไม่อาจควบคุมได้
จด บันทึกสิ่งที่ทำให้คุณเกิดความวิตกกังวลและเป็นอุปสรรคในการทำงานของคุณ จากนั้นวงกลมปัญหาที่คุณคิดว่าคุณสามารถควบคุมและแก้ไขได้ และกากบาทปัญหาที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่คุณจะทำต่อไปก็คือ ตัดใจที่จะไม่ทุ่มเทพละกำลังของคุณไปกับสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ แล้วหันมาให้เวลาและทุ่มเทแก้ไขปัญหาที่คุณสามารถแก้ไขและเปลี่ยนแปลงมันได้ ด้วยตัวคุณเองจะดีกว่า
5. เรียนรู้จากคนเก่งรอบ ๆ ตัวคุณ
สังเกต หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตามในออฟฟิศของคุณที่เป็นคนเก่ง เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แล้วคอยเรียนรู้จากการทำงานของพวกเขา เขามีวิธีการทำงานอย่างไร ซึมซับ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวคุณบ้าง ก็เป็นวิธีการที่ไม่เลวเลย
6. มองภาพรวมควบคู่ไปกับการมองไปทีละขั้น
ในการทำงานคุณจะต้องรู้ว่าภาพรวมของงานที่ คุณทำนั้นคืออะไร ทำเพื่อเป้าหมายใด เมื่อชัดเจนในภาพรวมแล้ว ก็กลับมามองทีละขั้นตอนของงาน ลงลึกในรายละเอียดแต่ละขั้นตอน หาทางที่จะทำแต่ละขั้นตอนในสำเร็จและก้าวหน้า มองว่าวันนี้เราจะสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้บ้าง และความสำเร็จเล็ก ๆ ของทุก ๆ วันก็จะส่งผลถึงความสำเร็จของภาพรวมนั้นในอนาคต
7. ทำงานที่เหนือไปกว่างานในหน้าที่ของคุณ
คุณ อาจเสนอตัวรับผิดชอบงานที่ยากขึ้นกว่าหน้าที่รับผิชอบของคุณ เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้สามารถเรียนรู้ในความรับผิดชอบที่สูง ขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณในการที่จะเพิ่มบทบาทตัวคุณสู่ความพร้อมในการ เลื่อนตำแหน่งในอนาคต
8. ปลูกต้นไม้แห่งมิตรภาพ
ให้ ความสำคัญ และให้เวลากับการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และคนอื่น ๆ ในที่ทำงาน การผูกมิตรไว้มาก ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อคุณในอนาคต แบบที่คุณเองก็คาดไม่ถึงเลยล่ะ
9. นำความสำเร็จกลับไปใส่ใน เรซูเม่
เมื่อคุณทำโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ได้สำเร็จ ให้เลือกโปรเจ็กต์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อคุณที่สุดกลับไปอ้างอิงไว้ในเรซูเม่ของคุณเสมอ ซึ่งคุณควรมีการอัพเดทความสำเร็จของคุณลงในเรซูเม่เป็นประจำ