ผู้นำธรรมดา ....ที่ไม่โดดเด่น

ท่านผู้อ่านค่ะ ดร.บวร  ปภัสราทร เจ้าของคอลัมพ์ก้าวไกลวิสัยทัศน์ จากหนังสือกรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 13 ธ.ค. 2553 ได้เขียนไว้ในหัวข้อ คนธรรมดาที่ไม่โดดเด่น ก็เป็นผู้นำได้ ได้บอกไว้ว่า ว่ากันว่าคนอเมริกันอยากให้ลูกหลานของตนเองโดดเด่นไปแทบทุกเรื่อง ต้องเรียนเก่ง ต้องเล่นกีฬาเก่ง ต้องหน้าตาดี  เพราะเชื่อว่าคนที่โดดเด่นเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ตำราหลายเล่มก็ยังกล่าวไว้ตรงกันว่า คนที่จะเป็นผู้นำได้นั้นต้องเป็นคนที่โดดเด่นกว่าคนอื่น นอกจากนั้นยังมีความเชื่อคล้ายๆ กันในทั้งจีน ญี่ปุ่นและเกาหลี ทำให้ผู้บริหารต่างพยายามทำตัวให้โดดเด่น เป็นที่สนใจของผู้คนในแทบทุกเวที ต่างคนต่างพยายามช่วงชิงความโดดเด่นมาเป็นของตนเองจนที่ประชุมหลายแห่งกลายเป็นเวทีโอ้อวดตนเองมากกว่าจะเป็นที่ที่ร่วมกันหาคำตอบเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนธรรมดาที่ทำตัวเป็นปกติแทบไม่มีโอกาสขึ้นเป็นผู้บริหารภายใต้ความเชื่อนี้ ใครไม่เด่นไม่ได้เป็นผู้นำ
 แต่อยู่มาวันหนึ่งมีคนไปสำรวจพบว่าเด็กที่มีพรสวรรค์ในด้านต่างๆ กว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ชอบทำตัวโดดเด่น ส่วนใหญ่ของเด็กกลุ่มนี้กลับเป็นคนเก็บตัวแต่ก็ยังคบค้าสมาคมกับเด็กอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ผลงานที่เกิดขึ้นจากเด็กกลุ่มนี้ก็ดีกว่าเด็กกลุ่มที่ชอบทำตัวโดดเด่นอย่างมากมาย แม้แต่งานกลุ่มที่น่าจะต้องใช้ความเป็นผู้นำในการทำงานร่วมกัน เด็กที่มีพรสวรรค์แต่เก็บเนื้อเก็บตัวก็สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นจนการงานทั้งปวงสำเร็จไปได้ด้วยดี ในขณะที่กลุ่มที่มีเด็กที่ชอบทำตัวโดดเด่นกลับสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นไม่มากเท่าทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าจะมีผู้นำในกลุ่มก็ตาม เรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นนี้นำไปสู่การค้นพบความจริงเพิ่มเติมว่ายิ่งเด็กมีไอคิวสูงมากขึ้นเท่าใด ความต้องการที่จะแสดงตัวให้โดดเด่นยิ่งจะลดลง และมีแนวโน้มที่จะเก็บตัวมากขึ้นเท่านั้น  ความจริงอีกเรื่องหนึ่งที่พบคือการทำตัวโดดเด่นไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับระดับสติปัญญา คนโง่ก็ทำตัวให้โดดเด่นได้ ความจริงนี้ได้นำไปสู่ความสงสัยว่าความเชื่อเกี่ยวกับความโดดเด่นและการเป็นผู้นำที่ดีนั้นยังเป็นความเชื่อที่ถูกต้องต่อไปหรือไม่ เด็กที่มีพรสวรรค์และมีไอคิวสูงกว่าคนทั่วไปจะกลายเป็นผู้นำที่ดีในอนาคตโดยไม่ต้องทำตัวโดดเด่นได้หรือไม่ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการจัดการสามแห่งได้ร่วมกันทำการวิจัยเกี่ยวกับความโดดเด่น กับประสิทธิผลผลในการบริหารงาน โดยเปรียบเทียบระหว่างผู้บริหารที่ทำตัวโดดเด่น กับผู้บริหารที่แสนจะธรรมดาไม่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษแตกต่างไปจากผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ซึ่งได้คำตอบว่าผู้บริหารที่ทำตัวโดดเด่นกับผู้บริหารที่เก็บตัวนั้น ต่างสามารถทำงานได้ผลสำเร็จด้วยกันทั้งคู่ ทำให้ไม่อาจบอกไปชัดๆ ว่าผู้บริหารแบบใดจะดีกว่ากัน แต่คำตอบที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษคือผู้บริหารที่ทำตัวโดดเด่นจะทำงานได้ดีกว่า ถ้าทำงานร่วมกับผู้ร่วมงานที่เฉื่อยชา ทำงานไปแต่ละวันโดยไม่มีการสร้างสรรค์ใดๆ สั่งมาอย่างไรก็ทำตามนั้น ทำงานแล้วมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นก็ไม่ใส่ใจที่จะขจัดปัดเป่าให้ยุติลงไป ผู้ร่วมงานที่ทนทำงานอยู่กับปัญหาเรื้อรังได้โดยไม่รู้สึกเดือดร้อนใดๆ จะทำงานได้ดีเมื่ออยู่ภายใต้การนำของผู้บริหารที่ทำตัวโดดเด่น แต่กลับทำงานล้มเหลวภายใต้ผู้บริหารที่เป็นคนธรรมดา ในทางตรงข้ามผู้บริหารที่ทำตัวไม่แตกต่างไปจากผู้ร่วมงานคนอื่นกลับทำงานได้ดีกับผู้ร่วมงานที่ค่อนข้างกระตือรือร้นในการทำงาน เห็นอะไรที่ทำให้งานล่าช้าเสียหายก็ช่วยกันปรับปรุงวิธีการทำงานให้ดีขึ้น ผู้ร่วมงานที่ช่วยกันคิดช่วยกันให้ความเห็นในการทำงาน ภายใต้ผู้บริหารที่แสนจะธรรมดาได้ผลสำเร็จเกินคาด แต่ผู้ร่วมงานที่กระตือรือร้นนี้กลับไม่สามารถสร้างความสำเร็จใดๆ ให้เกิดขึ้นภายใต้ผู้บริหารที่ทำตัวโดดเด่น นักปราชญ์ให้คำอธิบายเรื่องนี้ว่าในหมู่ผู้คนที่เฉื่อยชากับหน้าที่การงานนั้น มักต้องการสิ่งที่จะใช้ยึดเหนี่ยวเป็นหลักในการทำงาน  ความเชื่อในเรื่องอัศวินม้าขาวมีมากในคนกลุ่มนี้ ผู้นำที่ทำตัวโดดเด่นจึงเป็นอัศวินม้าขาวที่ใช้เป็นสรณะได้ คนโดดเด่นมักชอบพูด ชอบเสนอความคิด ชอบแสดงออกในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการ ร้องเพลง เล่นกีฬา หรือออกตัวในงานสาธารณะอื่นๆ ผู้คนที่เฉื่อยชาจึงเห็นผู้นำของตนเก่งไปหมดในทุกเรื่อง เห็นเก่งร้องเพลงก็เหมาไปเองว่าต้องเก่งบริหารธุรกิจไปด้วย ซึ่งเป็นอาการเฮโลเชื่อกันไปเองอย่างหนึ่งที่พบกันเสมอ ดังนั้นถ้าจะทำงานกับใครก็ให้วินิจฉัยเสียก่อนว่ากำลังทำงานอยู่กับคนที่เฉื่อยชา ในหน้าที่การงานอยู่หรือไม่ ถ้าใช่ก็ให้เร่งสร้างความโดดเด่นให้กับตนเอง ยิ่งโดดเด่นมากเท่าใด การสนับสนุนของผู้ร่วมงานก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น คนเฉื่อยชามองไม่เห็นความเก่งที่มีอยู่ในตัวคนใดคนหนึ่งถ้าไม่โอ้อวด คนเฉื่อยชาไม่ชอบมองอะไรที่ซับซ้อน ผู้บริหารจึงต้องทำตัวให้โดดเด่น ในสายตาของพวกเขาจึงจะมาเป็นผู้นำได้ เมื่อผู้บริหารที่ชอบทำตัวโดดเด่นต้องทำงานกับผู้คนที่กระตือรือร้นในการทำงาน จะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ง่าย เพราะ ต้องการให้ผู้คนทำตามที่ตนบอกมากกว่า ที่จะรับฟังความเห็นจากผู้ร่วมงาน ผู้นำที่ทำตัวโดดเด่นทำใจยอมรับได้ยากว่างานที่กำลังกระทำนั้นมาจากความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ใช่ความคิดของตนเอง ผู้ร่วมงานช่างคิดมาเจอกับผู้บริหารผูกขาดความคิด ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นแน่นอน การทำงานจึงกลายเป็นการแก้ไขความขัดแย้งมากกว่าที่จะเป็นการมุ่งมั่นช่วยกันทำงานให้ได้ผล ในทางตรงข้ามผู้บริหารที่เป็นคนธรรมดายอมเปิดใจรับความเห็นได้แทบทุกเรื่องและไม่รีรอ จะลงมือทำตามความคิดเห็นที่ได้รับทราบมา โดยไม่คำนึงว่าเป็นความคิดเห็นของตนเองหรือไม่ ความคิดใครดีเอามาใช้หมด การที่ผู้นำไม่ต้องการโดดเด่นทำให้ไม่รู้สึกเสียหน้าเมื่อทำตาม หรือคิดตามผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ในยามที่ผู้บริหารเรียกหาความคิดสร้างสรรค์และความกระตือรือร้นจากผู้ร่วมงาน ในยามที่มีการส่งเสริมให้มีการกระจายการตัดสินใจลงไปในหมู่คนทำงานเฉกเช่น ในปัจจุบัน ถ้าผู้บริหารเชื่อในสิ่งที่กล่าวมาแล้วอย่างจริงใจ ผู้บริหารต้องยอมลดความอยากที่จะโดดเด่นลงไปบ้างแล้ว หันมาฟังมากกว่าพูด หันมาให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของผู้ร่วมงานมากกว่า หรืออย่างน้อยก็ต้องเท่ากับ การให้ความสำคัญกับความคิดของตนเอง ความสำเร็จของงานที่มุ่งหวังจะเกิดขึ้นให้เห็นไม่นานเกินรอ แต่ถ้ายังลดความอยากโดดเด่นลงไปไม่ได้ ก็ให้หาผู้ร่วมงานที่เฉื่อยชาเอาไว้ก่อน ถ้าผู้ร่วมงานคนใดกระตือรือร้นเกินไปก็ให้หาทางกำจัดไปเสียให้พ้นทางโดยสรรหางานที่ยากเย็นเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ให้ทำ ใครกระตือรือร้นในการเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ก็ให้หาทางลดเครดิตความน่าเชื่อถือไปให้มากที่สุดเท่าที่จะหาหนทางได้ ถ้ามุ่งมั่นจัดการกับคนกระตือรือร้นในการทำงานได้สำเร็จแล้วตัวท่าน จะโดดเด่นหาใครเปรียบเทียบไม่ได้ แต่ต้องระวังไว้ด้วยว่า ในวันใดวันหนึ่งจะกลายเป็นคนดังในองค์กรที่ดับในสายตาของคนอื่น โดดเด่นบนองค์กรที่ย่อยยับนั้นคงไม่ใช่ความปรารถนาของผู้บริหารที่ยังมีสติอยู่อย่างแน่นอน

Comments are closed.