นิทาน...สิงโตติดหล่ม

ดิฉันมีนิทาน เรื่อง  สิงโตติดหล่ม    มาเล่าให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขา ด้านล่างของเชิงเขาเป็นสระน้ำสระใหญ่ มีหญ้าเขียวสดอ่อนไสวขึ้นตามเชิงเลนขอบสระ สัตว์เล็ก ๆ เช่น กระต่าย แมวป่า ฯลฯ ต่างมาเที่ยวเล่น เล็มหญ้าอยู่ตามเชิงเลนขอบสระกันมากมาย วันหนึ่ง ขณะที่ราชสีห์ยืนมองลงไปที่เชิงเขา ก็พบเนื้อตัวหนึ่งมาเล็มหญ้าอยู่ ราชสีห์ต้องการจับเนื้อนั้นมาเป็นอาหาร จึงกระโดดจากภูเขาสุดกำลัง หวังจับเนื้อให้ได้ แต่ปรากฏว่าราชสีห์ตกลงไปติดในเชิงเลนขึ้นไม่ได้ เท้าทั้ง 4 ฝังลงไปดังเสา ต้องยืนอดอาหารอยู่ถึง 7 วัน ระหว่างนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งหากินเพลินอยู่ก็มาพบเข้าก็ตกใจกลัว ทำท่าจะหนี ราชสีห์จึงขอร้องให้ช่วย "อย่าหนีเลย เราติดหล่มขึ้นไม่ได้มา 7 วันแล้ว ช่วยชีวิตเราทีเถิด"     สุนัขจิ้งจอกเข้าไปใกล้สีหะ พลางกล่าวว่า "เรากลัวว่าเมื่อช่วยท่านได้แล้ว ท่านจะจับเรากินเป็นอาหารเสีย" ราชสีห์ยืนยันว่าอย่ากลัวเลย พร้อมรับรองว่าจะไม่กินสุนัขจิ้งจอก หากแต่จะสนองคุณที่ช่วย สุนัขจิ้งจอกรับคำมั่นสัญญาแล้ว ก็ช่วยคุ้ยเลนรอบ ๆ เท้าของราชสีห์ออก ขุดลำรางให้น้ำไหลเข้ามา ทำให้เลนเหลว จากนั้นก็มุดเข้าไปใต้ท้องราชสีห์ เอาศีรษะดันท้อง พร้อมร้องดัง ๆ ว่า "นาย พยายามเข้าเถิด"   สีหะออกแรงตะกายขึ้นมาจากเลนได้ ก็วิ่งไปยืนบนบกพักเหนื่อยครู่หนึ่ง แล้วลงสระล้างโคลนอาบน้ำระงับความกระวนกระวาย จากนั้นจึงจับกระบือตัวหนึ่ง ฆ่าให้ตาย แล้วฉีกเนื้อมาวางไว้ข้างหน้าสุนัขจิ้งจอก ขอให้สุนัขจิ้งจอกกินก่อน ส่วนตนจะกินทีหลัง   สุนัขจิ้งจอกคาบเอาเนื้อชิ้นหนึ่งวางไว้ เมื่อสีหะถามว่าเนื้อชิ้นนี้เพื่อใคร สุนัขจิ้งจอกก็บอกว่า เพื่อนางสุนัขจิ้งจอก ราชสีห์จึงตอบว่า จงเอาไปเถิด เราเองก็จะเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อนางสิงห์เหมือนกัน  สัตว์ทั้งสองกินเนื้อจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็คาบเนื้อไปฝากนางสุนัขจิ้งจอกและนางสิงห์ โดยราชสีห์ได้ชวนครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกไปอยู่กับตนบนถ้ำที่ภูเขา รับว่าจะเลี้ยงดูให้มีความสุข   สัตว์ 2 ตระกูลนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์ นางสิงห์กับนางสุนัขจิ้งจอกและลูกๆ ของสัตว์ทั้งสองก็สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างดี 

      กาลล่วงมา นางสิงห์คิดว่าไฉนหนอ ราชสีห์สามีเราจึงรักนางสุนัขจิ้งจอกและลูก ๆ ของมันนัก อาจจะเคยลอบได้เสียกันหรือไม่ จึงได้เสน่หามากมาย อย่ากระนั้นเลย เราจะหาอุบายให้นางสุนัขจิ้งจอกไปเสียจากที่นี่ คิดได้ดังนั้นแล้ว ระหว่างที่สีหะสามีตนและสุนัขจิ้งจอกไปหากิน ก็กลั่นแกล้งข่มขู่นางสุนัขจิ้งจอกนานัปการ อาทิว่า ทำไมอยู่ที่นี่นานนัก ไม่ไปที่อื่นบ้าง ส่วนลูกสิงห์ก็ข่มขู่ลูกสุนัขจิ้งจอกเช่นกันเมื่อสุนัขจิ้งจอกกลับมา นางสุนัขจิ้งจอกก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้สามีฟัง และตั้งข้อสงสัยว่า ไม่ทราบว่าที่นางสิงห์ทำไปนั้น ทำไปโดยพลการ หรือทำตามคำสั่งของราชสีห์  สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปหาสีหะและพูดว่า "นาย ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักของท่านก็นานแล้ว ผู้อยู่ร่วมกันนานเกินไป ทำให้ความรักจืดจางลงได้ ผู้ใดไม่พอใจให้คนอื่นอยู่ในสำนักของตนก็ควรจะขับไล่ไปเสียเถิด จะเหน็บแนมเอาประโยชน์อะไรกัน" พร้อมเล่าพฤติการณ์ของนางสิงห์ให้ราชสีห์ฟังทุกประการ พร้อมกับถามว่า" พญาเนื้อผู้มีกำลังอยากให้ใครไป ก็ย่อมไล่ไปได้ นี้เป็นธรรมดาของผู้มีกำลังทั้งหลาย ดูกร ท่านผู้มีเขี้ยวโง้งโปรดทราบเถิดว่า บัดนี้ ภัยเกิดจากที่พึ่งเสียแล้ว"
              ราชสีห์ ฟังคำสุนัขจิ้งจอกแล้วก็ถามนางสิงห์ว่า เป็นความจริงหรือที่ขู่เข็ญนางสุนัขจิ้งจอก นางสิงห์รับว่าเป็นความจริง ราชสีห์จึงว่า นางไม่รู้หรือ เมื่อเราไปหากินครั้งโน้นนานมาแล้ว เราไม่กลับมาถึง 7 วัน เพราะเหตุไร นางสิงห์ตอบว่าไม่ทราบ  สีหราช จึงเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนติดหล่มให้นางสิงห์ฟังและว่า สุนัขจิ้งจอกนี้เป็นสหายผู้ช่วยชีวิตเรา มิตรที่สามารถดำรงมิตรธรรมไว้ได้ ชื่อว่าอ่อนกำลังย่อมไม่มี ตั้งแต่นี้ไปอย่าได้ดูหมิ่นสหายของเราและครอบครัวของเขาเลย พร้อมย้ำว่า" แม้ว่ามิตรเขามีกำลังน้อย แต่เขาดำรงอยู่ในมิตรธรรม เขานับว่าเป็นทั้งญาติ ทั้งพี่น้อง ทั้งมิตรสหาย เธออย่าได้ดูหมิ่นสุนัขจิ้งจอกที่ช่วยชีวิตเราไว้"  นางสิงห์รู้ว่าตนเข้าใจผิด จึงขอขมาโทษ ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งสองสกุลก็กลมเกลียวรักใคร่กันดังเดิม เมื่อพ่อแม่สิ้นชีวิตลงแล้ว ลูกของสัตว์ทั้งสองก็มีไมตรีต่อกันมาถึง 7 ชั่วอายุ

นิทานสอนใจ สิงโตติดหล่ม นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- คนดี หรือแม้สัตว์ที่ดี ย่อมรู้อุปการะที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน และพยายามหาทางทำตอบแทนเท่าที่กำลังความสามารถของตนมีอยู่

Comments are closed.