ภาวะผู้นำ

ภาวะผู้นำ หรือ Leadership ตามคำนิยามของรางวัลคุณภาพแห่งชาติ คือ พลังชนิดหนึ่งที่สามารถส่งแรงกระทำอันก่อให้เกิดการขับเคลื่อนกลุ่มคน และระบบองค์กรไปสู่การบรรลุเป้าประสงค์… หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆ Leadership ก็คือ ลักษณะในตัวบุคคลที่ทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือ… มีผู้เชี่ยวชาญแยกคุณลักษณะที่เป็นแก่นแท้ของ Leadership ไว้ 3 ข้อ คือ 1. การกำหนดเป้าหมายและสร้างสำนึกในภารกิจหลัก ซึ่งเป็นเหมือนรากฐานของผู้นำ ผู้นำที่ดีต้องตั้งเป้าหมาย กำหนด ลำดับความสำคัญและรักษามาตรฐานต่างๆ ในการทำงาน… 2.การยอมรับว่าผู้นำเป็นความรับผิดชอบไม่ใช่ลาภยศ เพราะผู้นำที่ดีจะต้องพัฒนาลูกน้องให้เก่งและแกร่ง รวมทั้งไม่ปัดความรับผิดชอบเมื่อเกิดข้อผิดพลาด และ 3. การเสริมสร้างและรักษาความไว้วางใจจากคนอื่น ๆ หมายถึงการมีความจริงใจ พูดจริงทำจริงในสิ่งที่ถูกต้อง แก่นแท้ของผู้นำในข้อนี้จะซื้อใจลูกน้องได้ค่ะ
การนำองค์การ หรือ Leadership คือหน้าที่ของผู้นำ ที่ต้องมองไปข้างหน้า กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ สร้างทิศทางที่ชัดเจนให้องค์การ เพื่อให้องค์การสามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ส่วนผู้บริหารหรือผู้จัดการนั้น มีหน้าที่บริหารจัดการภายในองค์การ ให้เกิดความร่วมมือและสามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบตามวิสัยทัศน์ที่ผู้นำกำหนดไว้ค่ะ… ตัวอย่างง่ายๆ ของความแตกต่างระหว่างผู้นำกับผู้บริหาร ก็เช่น ขณะที่ผู้นำเป็นคนวางนโยบาย ผู้บริหารก็เป็นคนดำเนินการตามนโยบาย…. ถ้าผู้นำเป็นผู้สร้างวัฒนธรรมองค์การ ผู้บริหารก็คือ คนที่ปฏิบัติงานอยู่ภายในกรอบของวัฒนธรรมนั้น… เป็นต้น …ลองสำรวจดูนะค่ะว่า คุณเป็นผู้นำที่กำลังสับสนกับบทบาทของตนเองหรือไม่ ถ้าใช่ รีบปรับบทบาทใหม่ เพื่อความก้าวหน้าขององค์การค่ะ
การเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องมีบุคลิกฉายแววมาแต่เด็ก อย่างที่เรียกว่า By born เพราะความเป็นผู้นำนั้น เราสามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ หรือที่เรียกว่า By build …แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ที่มา หากแต่อยู่ที่ผู้นำคนนั้น…ทำหน้าที่ได้ดีเพียงใด เช่น ผู้นำบางคน ตอนได้รับแต่งตั้งให้ขึ้นมาอยู่ในฐานะผู้นำองค์กร แรก ๆ ใคร ๆ ก็ว่าแววดี ราศีผู้บริหารจับ แต่พอทำงานจริง แววที่มีก็ค่อยๆ หายไปค่ะ
ในเรื่องการเป็นผู้นำ Stephen R. Covey พูดไว้น่าสนใจ ว่าผู้นำมีหน้าที่สำคัญ 4 อย่าง คือ
1. Pathfinding หมายถึงมีหน้าที่เขียนแผนที่สู่ความสำเร็จ รู้ว่าจะตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างไร อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดขององค์การ และจะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร พร้อมกำหนดทิศทางที่องค์การจะมุ่งหน้าไป
2. Aligning คือ สร้างถนนเพื่อรองรับแผนที่นั้น หมายถึงสร้างระบบงานให้ทำงานสอดประสานกันนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
3. Empowering คือ ต้องมอบอำนาจตัดสินใจให้คนทำงาน เพื่อให้เขาใช้ศักยภาพ ความสามารถและทุ่มเท ช่วยกันนำองค์การสู่เป้าหมาย และ
4. Modeling คือ มีหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งถือเป็นวิธีเดียวที่ทำให้ผู้นำได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นๆ ค่ะ
ส่วน ดร.นิโกร ปอนเต้ จาก MIT พูดไว้ว่า พวกที่มีความคิดแบบ digital มักจะไม่อยู่ ในระดับที่มีอำนาจตัดสินใจ แต่ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ส่วนใหญ่มักจะมีความคิดแบบ analog คือค่อนข้างจะล้าหลัง ทำให้การพัฒนาเป็นไปได้ช้า ทีนี้ก็มาดูคุณสมบัติของผู้นำ ควรมีลักษณะอย่างไร คุณสมบัติประการแรกต้องมีความรู้ ต้องทั้งรอบรู้และรู้รอบ ถ้ารู้อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นไม่พอ ต้องรู้ทั้งหมด เพราะภารกิจในยุคปัจจุบันและอนาคตนั้นคิ่นข้างยุ่งยาก และซับซ้อนกว่าวันนี้มากนัก ที่สำคัญที่สุด คือ ผู้นำ ต้องรู้เขารู้เรา รู้ว่าผุ้นำทั่วโลกเค้าคิดอย่างไร เค้าจะไปทางไหนและเราเองมีศักยภาพจริง ๆ แค่ไหน เราสามารถจะพัฒนาศักยภาพของเราเพื่อต่อสู้ในสงครามเศรษฐกิจได้แค่ไหน คุณสมบัติประการที่สองคือ ต้องมีความสามารถพิเศษในการที่จะนำการเปลี่ยนแปลง เพราะโลกยุคหน้าเป็น โลกของการปฏิรูปทุกรูปแบบทั้งระบบเศรฐกิจระบบการผลิต ระบบการสร้างรายได้ ระบบการศึกษา ระบบราชการ การปฏิรูปหลายอย่างเช่นนี้ ผู้นำต้องเป็นผู้ที่สามารถสื่อสารการเปลี่ยนแปลงในองค์กร เพื่อให้คนในองค์กร เข้าใจ และพร้อมที่จะรวมพลังกันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ผู้นำต้องมีความสามารถที่จะนำและบริหารการเปลี่ยนแปลงได้อย่างดี และต้องไม่สร้างความขัดแย้งในองค์กร ที่สำคัญผู้นำจะต้องเข้าใจหลักของพระพุทธเจ้า คือทฤษฎีแห่งความสมดุล ที่จริงแล้วทุกอย่างเป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิต องค์กรคือสิ่งมีชีวิต
คุณสมบัติประการต่อไปคือ ผู้นำจะต้องมีนิสัยและสำนึกเรื่องกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา ผู้นำวันนี้ต้องกล้าคิดนอกกรอบ แต่ต้องบริหารโดยเอาจุดหมายปลายทางเป็นที่ตั้ง คือคิดแบบที่เรียกว่าเป็น winner attitude คือมีทัศนคติเป็นผู้ชนะ นั้นก็คือ มองเห็นคำตอบในทุก ๆ ปัญหา แต่ถ้าเราคิดแบบผู้แพ้ เราจะมองเห็นปัญหาในทุก ๆ วิธีการ ที่จะทำอะไรไม่ได้เลย

Comments are closed.