Daily Archives: November 9, 2013

เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เผยสถานที่น่ากลัวและหลอนที่สุดในเอเชีย วัดพระศรีสรรเพชญ์ในอยุธยา ติดโผ

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า รายการ “I Wouldn’t Go In There” ของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เปิดเผย 10 สถานที่ที่หลอนและน่ากลัวที่สุดในเอเชีย ปรากฏว่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยาติดโผ ส่วนสถานที่สุดหลอนในเอเชียทั้ง 10 อันดับ ได้แก่สถานที่ต่อไปนี้

1. โรงเรียนทัตทัก ฮ่องกง มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่หลอนที่สุดในฮ่องกง โดยหลังจากโรงเรียนแห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งร้าง ก็มีผู้คนมาฆ่าตัวตาย และมีรายงานการพบเห็นผีผู้หญิงชุดแดงอยู่บ่อย ๆ คนท้องถิ่นบางคนหลีกเลี่ยงแม้กระทั่งทางที่ผ่านโรงเรียนนี้ด้วยซ้ำ เพราะโอบล้อมไปด้วยสุสาน และมีเรื่องเล่าที่หลอนมาก

2. ตึกเก่าลาวังเซวู อินโดนีเซีย อาคารโบราณในจังหวัดชวากลางแห่งนี้สร้างในยุคล่าอาณานิคม และเมื่อช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นและเมืองอินโดนีเซียมาสู้รบกันหน้าอาคารแห่งนี้ และมีการจับคนไปเป็นเชลยและทรมานจนตายในห้องใต้ดินด้วย

3. ถ้ำชิบิชิริ เมืองโอกินาวาของญี่ปุ่น ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นถูกสั่งให้พากันฆ่าตัวตาย แทนการยอมจำนนต่อกองทัพสหรัฐฯ เป็นผลให้พวกเขาก็ปลิดชีวิตกันเอง หรือบางคนก็ฆ่าตัวตายเองตามถ้ำต่าง ๆ ดังนั้น จึงพบเห็นโครงกระดูกและกะโหลกมนุษย์กันเกลื่อน

4. โรงพยาบาลคลาร์ก ฟิลิปปินส์ ที่นี่เคยเป็นโรงพยาบาลทหารของสหรัฐฯ ก่อนจะเกิดภูเขาไฟระเบิดจนกองทัพสหรัฐฯ ย้ายออกไปในปี ค.ศ. 1991 ซึ่งแน่นอนว่าในระหว่างที่โรงพยาบาลเปิดบริการ คงมีทหารหลายนายที่เสียชีวิตที่นี่ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จะมีคนเจอดี พบเห็นวิญญาณของทหารอยู่เนือง ๆ

5. เรือนจำบากัว ไต้หวัน ตั้งอยู่บนเกาะกรีนทางตอนใต้ของไต้หวัน ปัจจุบันเป็นเกาะท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย โดยเกาะแห่งนี้ ครึ่งหนึ่งเคยเป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมือง และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่สุดหลอน หลังจากที่มีผู้พบเห็นวิญญาณของคนที่เสียชีวิตในยุคต่อต้านความโหดเหี้ยม (ค.ศ. 1949-1987)

6. บ้านผีสิงในเมืองกยองซัง เกาหลีใต้ บ้านหลังนี้มีเรื่องเล่าสุดหลอนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตายของหญิงวัยรุ่นหลังถูกแฟนหนุ่มสลัดรัก ซึ่งหลังจากเสียชีวิตวิญญาณของเธอก็ไม่ไปไหน วนเวียนอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีวิญญาณทหารที่เสียชีวิตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ศพของพวกเขาถูกฝังไว้บริเวณไม่ไกลจากบ้านหลังนี้ด้วย

7. เนินเขาผีสิง เมืองปีนัง มาเลเซีย ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามที่มีประวัติน่าสะพรึงไม่น้อย เพราะครั้งหนึ่งเคยมีการประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งด้วยการตัดหัวประจานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีเรื่องเล่าว่ามีคนเจอดีอยู่เรื่อย ๆ

8. วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดหลวงในพระราชวังโบราณ ต้นแบบของวัดพระแก้วในปัจจุบัน ถูกพม่าเผาเอาทองไปตั้งแต่สมัยเสียกรุงครั้งที่ 2 ซึ่งความโบราณที่หลายจุดกลายเป็นซากปรักหักพังนี้ ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูขลังและหลอนในสายตาของชาวต่างชาติไม่น้อย

9. ค่ายกักกันนักโทษฟูบิน เวียดนาม เป็นค่ายกักกันที่สร้างโดยกองทัพฝรั่งเศสและสหรัฐฯ เพื่อใช้สำหรับคุมขังและทรมานนักโทษเวียดนาม นอกจากนี้ยังเป็นที่ทรมานเชลยศึกเวียดกงด้วย

10. หอแห่งความเงียบ เมืองดิอู อินเดีย หรือที่เรียกกันว่า ดั๊กมา เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นสำหรับนำศพไปทิ้งเพื่อให้อีแร้งมาจิกทึ้งกินศพ น่าสยดสยองแบบนี้ก็เลยทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สุดหลอนในเอเชียอย่างไม่ต้องสงสัย

ที่มา : National Geographic

ร้านขายของฝากที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 ใครมาภูเก็ตก็ต้องแวะร้านคุณแม่จู้ ร้านนี้มีอะไรดีถึงอยู่มานานกว่า 70 ปี คุณแม่จู้คือใคร ของฝากอะไรที่น่าซื้อติดมือกลับบ้านบ้าง มาดูกันครับ

fb-share

คุณแม่หงวดจู้ สันติกุล เป็นผู้ริเริ่มทำแกงไตปลาและน้ำพริกกุ้งเสียบจนเป็นที่รู้จักของชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวมากกว่า 70 ปี จากร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองเล็กๆ ได้ขยายมาเป็นร้านค้ากว้างขวางขึ้น สะดวกสบาย และด้วยมาตรฐานความอร่อย เป็นที่ยอมรับทั่วไปจนได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย และเราได้รับการคัดสรรเป็น สุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ดีเด่นระดับ 5 ดาว ณ วันนี้ ทายาทรุ่นลูก – รุ่นหลาน ของคุณแม่จู้ ได้ร่วมกันพัฒนาสินค้ามากมายมาโดยตลอด ภายใต้ชื่อของการค้าว่า “คุณแม่จู้” เท่านั้น

ด้านบนนี้คือประวัติโดยย่อที่อยู่ในโบร์ชัวร์ของร้าน ปัจจุบันร้านคุณแม่จู้มีสองสาขา คือที่ อ.ถลาง ซึ่งอยู่ใกล้สนามบินเพียง 10 นาที และที่หมู่บ้านสะปำ โดยสาขาที่ผมแวะไปคือสาขา อ.ถลาง ซึ่งเป็นร้านติดแอร์ ตกแต่งหรูหราสไตล์จีนๆ

ที่มา : มาโครอาร์ต ดอท เน็ท

วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดหลักสูตรนานาชาติ ด้านการจัดการสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อต้อนรับการเปิดประชาคมอาเซียน สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่จะผลักดันประเทศไทย ให้เป็น “Medical Hub” โดยจะเปิดเรียนในเดือนกันยายนนี้เป็นรุ่นแรก

ผู้บริหารสถานพยาบาล แพทย์ และประชาชนทั่วไป ให้ความสนใจการเปิดหลักสูตร “การจัดการมหาบัณฑิต(หลักสูตรนานาชาติ) สาขาวิชาการจัดการสุขภาพแบบองค์รวม” ของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

นี่ถือเป็นหลักสูตรใหม่ที่มุ่งเน้นให้นักศึกษา มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการธุรกิจสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2555 กว่าร้อยละ 10 หรือประมาณ 2 ล้าน 5 แสนคน มีเป้าหมายเข้ามาเพื่อรักษาโรค ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง

รวมทั้งยังเป็นการต้อนรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2555 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในตลาดอาเซียนกว่า 4 พัน 5 ร้อยล้านบาท และคาดการณ์ว่า จะมีรายได้เพิ่มขึ้นหลังเปิดเออีซี เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพในอาเซียน หรือ “Medical Hub”

นอกจากความรู้จากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรนี้ยังสร้างความร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อให้นักศึกษามีความพร้อมรับมือกับปัญหา และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสถานการณ์จริง

หลักสูตร “การจัดการมหาบัณฑิต(หลักสูตรนานาชาติ) สาขาวิชาการจัดการสุขภาพแบบองค์รวม” จะเปิดภาคเรียนในเดือนกันยายนนี้ โดยเปิดรับสมัครนักศึกษารุ่นแรก จำนวน 30 คน ระยะเวลาเรียน 18 เดือน มีค่าใช้จ่ายทั้งหลักสูตรประมาณ 4 แสนบาท ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ที่มา : Voice TV

ชมรม’Kelab’จัดงานกระชับสัมพันธ์AEC
ชมรม Kelab มาเลเซีย ประเทศไทย จัดงานกระชับสัมพันธ์ AEC 9 พ.ย. นี้ ตื่นตัวรับอาเซียน จัดงานกระชับสัมพันธ์ประเทศสมาชิก ตอกย้ำความร่วมมือด้านธุรกิจ สังคม การเมือง
นายแอนดรู นานัง ประธานชมรม Kelab มาเลเซีย ประเทศไทย (Kelab Malaysia of Thailand:KMT) เปิดเผยว่า ชมรม Kelab มาเลเซีย ประเทศไทย เตรียมจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ (ASEAN Dinner Nite) ขึ้นในวันที่ 9 พ.ย.นี้ ที่โรงแรมแชงกรี ล่า กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ใน 3 เสาหลัก คือ ด้านสังคม เศรษฐกิจและ การเมือง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี2558 ภายใต้สโลแกน “มิตรภาพไร้พรมแดน” (Togetherness Beyond Borders) โดยมีหลายภาคส่วนเข้าร่วม อาทิ เอกอัคราชทูตของประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทย นักธุรกิจที่ทำธุรกิจและอาศัยอยู่ในเมืองไทย
นอกจากนี้ การจัดงานดังกล่าวยังเป็นการรวมตัวของอาเซียนคลับ ประเทศไทย (ASEAN Club Thailand) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยในการติดต่อสื่อสารของประชาชนของประเทศสมาชิก ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศสมาชิก เพื่อเป็นจุดหมายการค้าการลงทุนของนักธุรกิจจากทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม รายได้จากงานนี้ส่วนหนึ่งจะมอบให้แก่มูลนิธิซายมูฟเม้น (ZY Movement Foundation: ZMF) ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวและครอบครัว นำเงินไปช่วยเหลือและพัฒนาเด็กที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและวางแผนที่จะขยายไปสู่ประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งมีเด็กที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหวกว่า 10 ล้านคน ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้ามาร่วมงานกว่า 500 คนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ที่มา : คม ชัด ลึก

อนาคตเศรษฐกิจไทยภายใต้ประชาคมอาเซียน

ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และคุณสราญภัทร อนุมัติราชกิจ ผู้อำนวยการกองอาเซียน สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดนิทรรศการในส่วนของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community: ASCC) ซึ่งมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานประสานงานหลัก (Focal Point) ของประเทศไทย เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนเมื่อเร็วๆนี้

ที่มา : ไทยโพส ดอท เน็ท

กรุงเทพฯ–8 พ.ย.–อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น
สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย จัดงาน MARKETING DAY 2013 ในหัวข้อ THE “ FOMO” MARKETING ERA เชิญชวนนักการตลาดศึกษาพฤติกรรมและแนวทางการทำการตลาดกับกลุ่มคน Generation Y-Z พบกับ งานวิจัยเรื่องพฤติกรรมของ Gen-Y-Z อัพเดทพฤติกรรมใหม่ของวัยรุ่นที่เรียกว่า FOMO รวมทั้งศึกษาเรื่อง การทำตลาดบนโทรศัพท์มือถือ แนวโน้มในการทำตลาดของธนาคารและ เครดิตคาร์ด การทำธุรกิจผ่านสื่อออนไลน์ และเตรียมรับและปรับตัวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค และเทคโนโลยีต่างๆ พิเศษกับ The FOMO SHOWCASE ที่จะมาถ่ายทอดที่มาแห่งความสำเร็จของผลงานยอดนิยมแห่งปี เรื่องพี่มากพระโขนง, ซีรีส์เรื่อง ฮอร์โมน, ซีรีส์ เรื่อง สุภาพบุรุษจุฑาเทพ โดย กูรูที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์ อาทิ คุณดั่งใจถวิล อนันตชัย, คุณปรัธนา ลีลพนัง, คุณชัยยศ จิรบวรกุล, คุณรัชดา เสริมศิลปะกุลคุณสุภี พงษ์พาณิช, คุณชาติชาย พยุหนาวีชัย, คุณสมรักษ์ ณรงค์วิชีย, คุณจีน่า โอสถศิลป์, ในวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2556 เวลา 08.00 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ข่าวทั่วไป ThaiPR.net — ศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2556 15:29:39 น.

160454

ได้ยินอย่างนี้สาว ๆ หลายคนคงทำตาลุกวาวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อได้ทราบว่า การกินช็อกโกแลต สามารถช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีในแสงแดดได้ โดยนี่เป็นผลจากการทดลองของคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยดัสเซสดอล์ฟ ประเทศเยอรมนี แต่อย่างไรก็ตามสาว ๆ อย่าเพิ่งเลิกทาครีมกันแดดแล้วหันไปกินช็อกโกแลตกันเสียหมดนะคะ เพราะการวิจัยครั้งนี้ได้ทำการทดสอบกับอาสาสมัครหญิงเพียง 24 รายเท่านั้น และยังไม่ได้รับการยืนยันถึงประสิทธิภาพของการกันแดดจากช็อกโกแลตอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นสัญญาณอันดีว่าเจ้าช็อกโกแลตที่สาว ๆ ชอบ ก็พอจะมีประโยชน์แก่ร่างกายอยู่บ้างแน่นอนค่ะ (จะได้ไม่รู้สึกผิดมากนักยามเอร็ดอร่อยกับช็อกโกแลตแท่งโปรดไงคะ)

สารสำคัญที่เป็นหัวใจของคุณสมบัติที่ทำให้ผิวแข็งแรง ต้านทานรังสียูวีในแสงแดดได้ดีขึ้นนั้นมีชื่อว่า “ฟลาโวนอยด์” ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในช็อกโกแลตนั่นเอง จากการทดลองพบว่า ผิวของหญิงที่ดื่มโกโก้ที่มีปริมาณของสารฟลาโวนอยด์สูง สามารถต่อต้านรังสียูวีในแสงแดดได้นานกว่าปกติ ทั้งยังมีผิวที่ดูเรียบ และชุ่มชื่นกว่า เรียกง่าย ๆ ว่าดูสุขภาพดีกว่า เมื่อเทียบกับผิวของหญิงรายอื่น ๆ ที่ไม่ได้ดื่มโกโก้นั่นเอง

นอกจากนี้สารฟลาโวนอยด์ ยังมีบทบาทในการกระตุ้นการทำงานของกรดแอสคอร์บิคหรือวิตามินซี ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังเส้นเลือด ทั้งยังทำให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย ยามเมื่อได้กินช็อกโกแลต หรือจิบโกโก้แก้วโปรดด้วยล่ะค่ะ

เอาล่ะ ทีนี้สาว ๆ ก็ลองหันมากินช็อกโกแลตเป็นของว่างแบบเบา ๆ ดูได้นะคะ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แถมยังแอบได้ประโยชน์ให้ผิวแข็งแรงต้านแดดได้ดีกว่าเดิมด้วยล อ้อ! แต่อย่าลืมเลือกกินแบบที่เป็นดาร์กช็อกโกแลต รวมทั้งควบคุมปริมาณการกินต่อวันด้วยนะคะ

เอสซีจี เคมิคอลส์ มั่นใจก้าวเป็นธุรกิจปิโตรเคมีรายแรกที่เติบโตครอบคลุมทุกประเทศในอาเซียน หลังเปิดเออีซี ผนึกไทย เวียดนาม อินโดฯ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขันสร้างเครือข่ายใหญ่สุดในอาเซียนภายในปี 2561 พร้อมลงทุนด้านวิจัย 2,000 ล้านบาทต่อปี ดันยอดขายโต 5-10% ต่อปี ภายใน 5 ปีนี้
นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ เปิดเผยว่า เอสซีจียืนยันจะเป็นกลุ่มแรกที่ขยายการลงทุนด้านปิโตรเคมีครอบคลุมเกือบทุกประเทศในอาเซียน ภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยจะใช้กลยุทธ์หลัก 2 ด้าน ได้แก่ 1.การสร้างเครือข่ายปิโตรเคมีครบวงจร โดยเชื่อมโยงการบริหารธุรกิจของโรงงานของเอสซีจีที่อยู่ในไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนด้านการจัดหาวัตถุดิบ การผลิตวัตถุดิบที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจปิโตรเคมีในอาเซียน โดยยืนยันว่าฐานธุรกิจหลักด้านปิโตรเคมีของเอสซีจียังอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ทั้งนี้มั่นใจว่าจะทำให้กลุ่มเอสซีจีเคมิคอลส์จะเป็นธุรกิจปิโครเคมีที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใน 5 ปี หรือภายใน พ.ศ.2561
และกลยุทธ์ 2.การพัฒนาสินค้าให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ด้วยการเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยภายในปี 2561 จะใช้งบด้านการวิจัยและพัฒนาประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อพัฒนาธุรกิจพลาสติกหลัก โดยเฉพาะพลาสติกชนิดเอชวีเอ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายอยู่ 4 หมื่นล้านบาท จากยอดขายรวมทั้งหมด 2.1 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายให้ยอดขายเพิ่มเป็น 60% ของยอดขายรวมต่อไป และจะทำให้กลุ่มธุรกิจปิโตรของเอสซีจีเติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 5-10% ภายใน 5 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม สินค้าที่เอสซีจีมุ่งพัฒนา แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.สินค้าพลาสติกประเภทเอชวีเอ ซึ่งเป็นสินค้า อาทิ พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ท่อสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและสาธารณูปโภค พลาสติกที่ใช้ในวงการแพทย์และสาธารณสุข 2.สินค้าเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคลือบเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับเตาเผา และสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจากน้ำมันอ้อย เช่น ท่อพีวีซี เป็นต้น.

ที่มา : ไทยโพส ดอท เน็ท

นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Edinburgh ที่ประเทศสก็อตแลนด์ พบว่าความรู้สองภาษาสามารถช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้ แม้ว่าคนจะเริ่มเรียนภาษาที่สองเมื่อตอนโตแล้วก็ตาม

การวิจัยชิ้นนี้มาจากประเทศอินเดีย โดยศึกษากลุ่มตัวอย่างเกือบ 650 คน ที่มีอายุเฉลี่ย 66 ปี ในจำนวนนี้มีผู้เป็นโรคอัลไซเมอร์ 240 คน นอกจากนั้น 391 คนพูดได้สองภาษาเป็นอย่างน้อย

ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่รู้สองภาษามีอาการเริ่มต้นโรคอัลไซเมอร์ช้ากว่าคนรู้ภาษาเดียวประมาณสี่ปีครึ่ง อย่างไรก็ตามผู้ที่รู้ภาษาที่สามหรือมากกว่านั้นไม่ได้เปรียบคนที่พูดได้สองภาษาในการศึกษาครั้งนี้

นักวิจัยพบว่าระดับการศึกษาไม่เกี่ยวข้องกับผลที่นักวิจัยต้องการศึกษา นอกจากนั้นเด็กที่โตมาพร้อมกับการเรียนสองภาษาไม่ได้เปรียบผู้ที่เรียนรู้อีกภาษาในภายหลัง ในเรื่องการชะลออาการเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์

รายงานชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ Neurology

 : ทางด้าน อ็อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ ได้ทำการวิจัยออกมาแล้วพบว่า ลิโอเนล เมสซี่ มีความสามารถที่เหนือกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อย่างแน่นอนเพราะถนัดเท้าซ้าย

ล่าสุดได้มีการเปิดเผยข้อมูลการวิจัยขึ้นหลังจากทาง อ็อกซ์ฟอร์ด ได้ร่วมมือกับทั้ง เซนต์ แอนดรูวส์ และ บริสตอล รวมทั้งสถาบันอีกหลายแห่งจากออสเตรเลีย เพื่อทำการวิจัยความสามารถของนักฟุตบอลที่ถนัดเท้าข้างซ้าย

ซึ่งผลปรากฎว่านักฟุตบอลกลุ่มนี้จะมีความสามารถที่เหนือกว่านักฟุตบอลที่ถนัดเท้าข้างขวา เนื่องจากผู้ที่ถนัดเท้าซ้ายจะมีการทำงานของสมองมากกว่า ทำให้ยากต่อการคาดเดาจิตใจรวมทั้งมักทำสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามคาดไม่ถึง

ซึ่งผู้เล่นชื่อดังที่ถนัดซ้ายก็ประกอบไปด้วย ลิโอเนล เมสซี่, ดาบิด ซิลบา, แกเร็ธ เบล, ดีเอโก้ มาราโดน่า, และ ไรอัน กิ๊กส์ เป็นต้น

นอกจากนี้บรรดาทีมงานแมวมองทั้งหลายต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันด้วยว่าการพิจารณาฝีเท้าของบรรดาผู้เล่นดาวรุ่งที่ตนตามดูฟอร์มนั้นจะนำการถนัดเท้าซ้ายเข้าไปพิจารณาอีกด้วย เพราะส่วนใหญ่เด็กที่ถนัดเท้าซ้ายมักจะทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาออกมาได้มากกว่า

ดังนั้นผู้เล่นที่ถนัดเท้าซ้ายจึงสามารถสร้างสรรค์เกมได้มากกว่า สามารถคิดค้นเทคนิคใหม่ๆออกมาได้เอง หรือแม้กระทั่งการทำประตูจากโอกาสเพียงเสี้ยววินาที จากการวิจัยนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่า เมสซี่ เหนือกว่าคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แน่นอน

 

ที่มา : Sanook Football

นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สสว.เดินหน้าพัฒนาระบบเตือนภัย SMEs มุ่งให้ครอบคลุมงบการเงินนิติบุคคลกว่า 3 แสนรายใน 961 หมวดธุรกิจ พร้อมจัดทำอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ และพัฒนาปรับปรุงเว็บไซต์ระบบเตือนภัยธุรกิจ (BWS) เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลทันสมัย เพื่อสร้างประโยชน์แก่ SMEs และหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน

นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ได้ดำเนินโครงการจัดทำอัตราส่วนทางการเงินของ SMEs พร้อมพัฒนาปรับปรุงระบบเตือนภัยธุรกิจ ในชื่อเว็บไซต์ “ระบบเตือนภัยธุรกิจ” (Business Warning System : BWS) มาตั้งแต่ปี 2553 และมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ทันสมัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SMEs อย่างแท้จริง

โดยในปี 2556 นี้นับเป็นการพัฒนาปรับปรุงฐานข้อมูลปีที่ 3 ซึ่ง สสว.ได้ร่วมกับสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ดำเนินการปรับปรุงข้อมูลระบบเตือนภัยธุรกิจ และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1. ข้อมูลงบการเงิน พ.ศ. 2553 และ 2554 ของนิติบุคคล จำนวนไม่ต่ำกว่า 300,000 ราย ครอบคลุมหมวดธุรกิจจำนวน 961 หมวดธุรกิจ 2. จัดทำอัตราส่วนทางการเงินของนิติบุคคล พ.ศ. 2553 และ 2554 แยกตามหมวดธุรกิจ เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญจำนวน 24 อัตราส่วนทางการเงิน และทำการวิเคราะห์-สังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการใช้งาน และ 3. พัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ระบบเตือนภัยธุรกิจ Business Warning System หรือ BWS เพื่อแสดงผลอัตราส่วนทางการเงิน ผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลอัตราส่วนทางการเงิน พ.ศ. 2553 และ 2554 ให้บุคคลและองค์กรต่างๆ เข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้โดยสะดวก

สำหรับโครงการจัดทำอัตราส่วนทางการเงินของ SMEs พร้อมพัฒนาปรับปรุงระบบเตือนภัยธุรกิจได้เริ่มดำเนินการเป็นครั้งแรกในปี 2553 โดยร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดทำข้อมูลและรายงานการวิเคราะห์ รายงานสถานการณ์ต่างๆ ของ SMEs เริ่มจากการนำข้อมูลด้านการเงินของสถานประกอบการจำนวน 2,500 กิจการมากลั่นกรองและจัดทำระบบเตือนภัยธุรกิจ ผ่านการแสดงผลในรูปแบบของสัดส่วนทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาศักยภาพ หรือสมรรถภาพในการดำเนินธุรกิจ หรือเรียกว่าระบบดัชนีสมรรถนะธุรกิจ (Business Performance Index : BPI) จัดทำรายงานเชิงลึก 3 สาขา ได้แก่ สาขาการผลิตยางแผ่นและยางแท่ง สาขาการผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค และสาขาธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และห้องชุด

ในปี 2554 ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมปรับปรุงและพัฒนาระบบเตือนภัยธุรกิจ โดยสำรวจข้อมูลด้านการเงินปี 2552 และ 2553 จากผู้ประกอบการจำนวน 1,500 กิจการ รวมถึงจัดทำรายงานวิเคราะห์เชิงลึกในสาขาผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ และสาขาผู้ผลิตแม่พิมพ์ นอกจากนี้ได้เพิ่มระบบเหมืองข้อมูล หรือ Data Mining : DM ซึ่งสามารถแสดงผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ BPI สำหรับ 3 สาขาธุรกิจ โดยมีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ 3 หัวข้อ ได้แก่ ด้านพลังงาน ด้านแรงงาน และประสิทธิภาพเครื่องจักร

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลให้ทันสมัย เพื่อให้ผู้ประกอบการใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาศักยภาพหรือสมรรถภาพในการดำเนินธุรกิจ การบริหารจัดการ การตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงองค์กรของตนเอง และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบาย/แผนงานในการส่งเสริม สนับสนุน SMEs ให้เป็นกำลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยผู้สนใจสามารถใช้บริการระบบเตือนภัยธุรกิจของ สสว.ได้ที่ www.sme.go.th/bws

นอกจากนี้ ภายใต้การดำเนินโครงการดังกล่าวได้จัดให้มีงานสัมมนา “SMEs ไม่หลงทางด้วย BWS” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม SMEs ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเข็มทิศสำหรับการทำธุรกิจ การวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจต่างๆ เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์จากไม้ โรงแรม-ที่พัก บริการขนส่ง ธุรกิจก่อสร้าง ฯลฯ รวมถึงการใช้งานระบบ Business Warning System ด้วยตัวเอง และระบบ Web Matching System เชื่อมโยงธุรกิจประเทศญี่ปุ่น

โดยกำหนดจะจัดใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคใต้ จ.สงขลา วันที่ 8 พ.ย. 2556 ณ โรงแรมหาดใหญ่ พาราไดซ์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ วันที่ 13 พ.ย. 2556 ณ โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น วันที่ 22 พ.ย. 2556 ณ โรงแรมบุษราคัม และภาคกลาง กรุงเทพมหานคร วันที่ 29 พ.ย. 2556 ณ ห้อง Lotus LL Floor โรงแรม Lotus Sukhumvit Bangkok ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม SMEs เข้าใจวิธีการใช้งานและนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ – SMEs