75_200804161707341. (1)
เทคโนโลยีปาล์มซีเคียว ในรูปแบบการระบุตัวตนด้วยการสแกนเส้นเลือดดำ เป็นผลงานการคิดค้นของบริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บิสซีเนส
ที่เริ่มต้นพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 …

สำหรับกรรมวิธีในการสแกนเส้นเลือดดำ จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นประมาณ 760 นาโนเมตรใกล้เคียงกับแสงอินฟราเรด เมื่อฝ่ามือถูกฉายด้วยแสง ภาพที่ได้จะแตกต่างจากภาพที่สายตาของคนเรามองเห็นภายใต้แสงปกติ โดยภาพที่ถ่ายภายใต้แสงที่ใกล้เคียงกับแสงอินฟราเรดและรูปแบบของเส้นเลือดดำที่ได้ จะถูกนำไปสร้างเป็นรูปแบบที่ต้องการ โดยการประมวลผลรูปภาพและเก็บเอาไว้ ซึ่งการเก็บข้อมูลเส้นเลือดดำสามารถเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ หรือจะเก็บไว้ในบัตรประจำตัวก็ได้ ข้อจำกัดในการใช้งานอยู่ที่ เวลาสแกนหากมีแสงไฟ หรือ แสงสว่างจากธรรมชาติมาตกกระทบมากเกินไป อาจทำให้การอ่านผิดพลาดได้ ในประเทศญี่ปุ่น การระบุตัวตนด้วยการสแกนเส้นเลือดดำ ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นการระบุตัวตนโดยใช้ข้อมูลเฉพาะที่อยู่ภายในร่างกาย ปลอมแปลงได้ยาก ประชาชนกว่า 97-98% สามารถใช้งานได้ ต่างจากการสแกนลายนิ้วมือที่จะมีปัญหามากสำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับสารเคมี ซึ่งทำให้ลายนิ้วมือเลือนราง ที่สำคัญเวลาใช้งานไม่ต้องสัมผัสกับเครื่อง ป้องกันการติดเชื้อโรค เหมาะกับการใช้งานในสถานที่ที่มีความเสี่ยง เช่น โรงพยาบาล และปัจจุบันญี่ปุ่นนำเทคโนโลยีการสแกนเส้นเลือดดำไปติดไว้กับเครื่องกดเงินเอทีเอ็ม กว่า 40 แห่ง เพื่อยืนยันการเป็นเจ้าของบัตรเอทีเอ็มคู่กับการกดรหัสผ่านแล้ว ระบบนี้ไม่จำกัดว่ามือเล็ก หรือมือใหญ่ ขอให้มีเส้นเลือดดำเป็นพอ

ที่มา : http://technology.thaiza.com/

dnews-files-2014-08-google-aims-archive-human-knowledge-670-jpg

รายละเอียดงานวิจัยใหม่ที่ออกมาในอาทิตย์นี้เผยให้เห็นว่ากูเกิลนั้นกำลังไล่ตามหาความจริงอยู่ ซึ่งหมายถึงข้อเท็จจริงทั้งหมดทั้งมวลเลยทีเดียว

จากรายงานอันน่าสนใจจาก New Scientist นั้น กูเกิลกำลังสร้างฐานข้อมูลล้ำสมัยชื่อ Knowledge Vault (คลังความรู้) ที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำดัชนีและเก็บข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงบางอย่างเท่านั้น แต่ Vault นั้นมีเป้าหมายที่จะเก็บกักข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับโลกและประวัติศาสตร์ของเราเลยทีเดียว

นี่นับว่าเป็นแผนการที่ทะเยอทะยานมาก และมีแนวโน้มว่าจะเกินความสามารถของกิจกรรมการร่วมมือกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเสียด้วยซ้ำไป แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะ Knowledge Vault นั้นปฏิบัติการด้วยระบบอัตโนมัติอย่างเต็มตัวที่ใช้อัลกอริธึ่มในการเปลี่ยนข้อมูลดิบที่เก็บมาจากอินเตอร์เน็ตให้กลายเป็นก้อนข้อมูลความรู้ขนาดเล็กที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เนื่องจากธรรมชาติของฐานความรู้ตัวนี้ ข้อมูลภายในก็จะสามารถอ่านได้ทั้งโดยเครื่องจักรและมนุษย์ ซึ่งคุณสามารถข้อมูลจาก Knowledge Vault ได้โดยด้วยวิธีเดียวกับ Google Search เลย หรือว่าว่าคุณอาจจะหันไปถึงสมาร์ทโฟนคู่ใจ ผู้ช่วยดิจิตอลหรือแม้กระทั่งหุ่นยนตร์เพื่อให้ทำการค้นหาแทนคุณก็ยังได้

โครงการดังกล่าวนั้นได้ถูกสร้างขึ้นบนฐานข้อมูลที่มาจากการร่วมมือกันของกูเกิลที่เรียกว่า Knowledge Graph  และจนถึงตอนนี้มันก็ได้เก็บข้อมูลความจริงไว้ประมาณ 1.6 ล้านข้อเท็จจริงแล้ว นักวิจัยของกูเกิลเองก็จะนำเสนอรายงานวิจัยของ Knowledge Vault นี่ในงานประชุมวิชาการชื่อ Knowledge Discovery at Data Mining ที่นิวยอร์คในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ด้วย

ทั้งหมดนี่เป้นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารเพื่อจะปรับปรุงวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องจักรและฐานข้อมูลต่างๆ โดยในขณะนี้ ฐานความรู้ในลักษณะเดียวกันนี้ก็กำลังถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทต่างๆอย่าง Facebook, Amazon, Microsoft และ IBM ด้วยเช่นกัน

หนึ่งในการประยุกต์ใช้งานของฐานข้อมูลชั้นยอดเหล่านี้ก็คือการสร้างผู้ช่วยส่วนตัวเสมือนอันล้ำสมัย อีกความหมายหนึ่งก็คือ Siri ของไอโฟนนั้นกำลังจะฉลาดขึ้นและทำงานได้รวดเร็วขึ้นอย่างมากนั่นเอง

ต่อไปในภายภาคหน้า Knowledge Vault สามารถที่จะเป็นฐานของเครือข่ายความจริงเสมือนที่ล้ำสมัยได้ ซึ่งมันจะสามารถส่งมอบข้อมูลได้อย่างทันทีผ่านหน้าจอ heads-up display เกี่ยวกับแทบจะทุกสิ่งที่คุณกำลังมองอยู่เลยทีเดียว อีกทั้ง Knowledge Vault เองก็สามารถที่จะถูกใช้เพื่อทำโมเดลประวัติศาสตร์มนุษย์และสังคมในรูปแบบของชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้ในที่สุดอีกด้วย ซึ่งความรู้ดังกล่าวนั้นอาจจะถูกนำมาใช้ในการคาดการณ์อนาคตก็เป็นได้ด้วยเช่นกัน

ที่มา : http://news.discovery.com/tech/robotics/google-aims-to-archive-all-human-knowledge-140821.htm

ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวในงานสัมมนา ‘Franchise Guide 2014’ ซึ่งร่วมกันจัดระหว่างสมาคมแฟรนไชส์ไทยกับบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ว่า ข้อดีของธุรกิจแฟรนไชส์ คือ ความง่ายของมือใหม่ที่จะอยากจะเริ่มต้นทำธุรกิจ เพราะจะได้ทั้งในด้านความรู้ ประสบการณ์ของเจ้าของแฟรนไชส์ที่จะมาถ่ายทอด รวมถึง ยังได้รับความเชื่อถือมากกว่า โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งทุน หากเป็นหน้าใหม่ เป็นเรื่องยากที่สถาบันการเงินจะอนุมัติสินเชื่อให้ แต่หากซื้อแฟรนไชส์กับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงย่อมได้รับการอนุมัติที่ง่ายกว่า

ทั้งนี้ แฟรนไชส์ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม แต่สิ่งที่อยากจะฝากให้แก่ผู้ที่กำลังคิดจะสร้างธุรกิจแฟรนไชส์ น่าจะหันมาริเริ่มธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ เพราะจากการเก็บข้อมูลของ สสว. พบว่า ปัจจุบันทั่วโลกธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุกำลังประสบความสำเร็จอย่างสูง และที่สำคัญเป็นธุรกิจที่มีอัตราทำกำไรสูงมากกว่า 200%

“จากการเก็บข้อมูลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยประมาณ 3 แสนรายของ สสว. พบว่า โดยเฉลี่ยเอสเอ็มอีไทยมีอัตรากำไรจากการทำธุรกิจเฉลี่ยแค่ประมาณ 4% เท่านั้น ในขณะธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพความงาม และการดูแลสุขภาพมีอัตราทำกำไรสูงถึง 200% ซึ่งในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป เริ่มมีธุรกิจแฟรนไชส์เกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าวแล้ว แต่สำหรับในเมืองไทยยังไม่มีเลย ดังนั้น อยากฝากว่า ถ้าสำหรับผู้ที่กำลังคิดจะทำแฟรนไชส์ ธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ จึงเป็นโอกาสที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งเวลานี้ ทาง สสว.ได้มีโครงการร่วมมือกับต่างประเทศแล้ว เพื่อส่งเสริมธุรกิจนี้ในเมืองไทย” ดร.วิมลกานต์ กล่าว

ด้านนางสาวสมจิตร ลิขิตสถาพร นายกสมาคมแฟรนไชส์ไทย กล่าวว่า ปัจจุบันในเมืองไทยมีแฟรนไชส์ประมาณ 320 แบรนด์ แบ่งเป็นธุรกิจอาหาร 100 แบรนด์ เครื่องดื่ม 110 แบรนด์ ค้าปลีก 30 แบรนด์ บริการ 40 แบรนด์ และการศึกษา 50 แบรนด์ โดยร้านที่อยู่ในระบบแฟรนไชส์ มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปีเฉลี่ย 20-25% โดยมีสาขารวมกว่า 80,000 แห่ง และมีอัตราเกิดใหม่ไม่ต่ำกว่า 20 แห่งต่อวัน โดยเป็นการเปิดโดยบริษัทแม่เอง 30-40% และของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 60-70%

ทั้งนี้ การเลือกซื้อแฟรนไชส์ ผู้ลงทุนควรหาข้อมูลให้แน่ใจเสียก่อน วิธีที่ดีที่สุด คือเยี่ยมชมร้านที่เปิดอยู่แล้ว และควรหาโอกาสพูดคุยกับผู้ลงทุนซื้อแฟรนไชส์มาก่อนแล้วหลายๆ ราย และควรเลือกลงทุนในแฟรนไชส์ที่มีแบรนด์น่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง

ที่มา : astv online

ผ่านไปอีกปีสำหรับงานแจกรางวัลครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าคนออนไลน์ทุกสาขา ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ใครจะเป็นคุณ ขอแค่มีผลงานเข้าตาโดดเด่น ทำธุรกิจมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ารวดเร็วและมากมายเป็นเลิศบนโลกโซเชียล ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เอาไว้ เพื่อวัดผลไม่ใช่แค่ไลค์เยอะเหมือนครั้งก่อน ที่สำคัญสถิติต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้โดยทาง Zocial inc. ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะกับใครก็ตามที่ต้องการต่อยอดธุรกิจบนโลกโซเชียล

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ พ่อมดออนไลน์จากโซเชียลอิงค์ (Zocial inc) จัดงาน Thailand Zocial Awards 2014 presented by True Money แจกรางวัลให้แก่นักธุรกิจและบุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ตลอดปีที่ผ่านมา พร้อมวิเคราะห์ทิศทางการตลาดจากกระแสความนิยมและพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคบน Social Media

ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท โซเชียลอิงค์ จำกัด (Zocial inc.) กล่าวว่า “ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่เราจัดงาน Thailand Zocial Awards ขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจ ให้ความรู้และมอบรางวัลให้แก่แบรนด์และบุคคลที่โดดเด่นในโลกออนไลน์ เนื่องจากงานปีที่แล้วได้รับเสียงตอบรับดีมาก นอกจากนี้ข้อมูลสรุปภายในงานสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดผลงานให้วงการ Social Media ผลิตงานที่มีคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ส่วนวัตถุประ สงค์ของการจัดงานนี้ เพื่อต้องการกระตุ้นและสร้างพื้นฐานให้วงการ Social Media ของไทย และเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตมากขึ้น เป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Social Media เช่น พฤติกรรมของคนบน Social Media, บทบาท, มูลค่าของอุตสาหกรรมออนไลน์

รวมถึงข้อมูลแยกย่อยสำหรับวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค อาทิ การโพสต์รูป คนไทยชอบการโพสต์รูปผ่านช่องทาง Facebook และ Twitter มากที่สุด, ช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งาน social network มากที่สุดคือ 22.00 น. หรือรูปแบบโพสต์สำหรับกิจกรรมการตลาดที่ผู้บริโภคไม่พึงใจที่สุดคือ ถ่ายภาพคู่ผลิตภัณฑ์ เป็นต้น สามารถพูดได้ว่าจากนี้ไปทางแบรนด์หรือนักการตลาด นักกลยุทธ์ จะต้องปรับการตลาดให้เหมาะสมและทันต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา

รวมทั้งนำไปวิเคราะห์ตีความให้การจัดกิจกรรมทางการตลาดเป็นไปในรูปแบบที่โดนใจผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งทั้งหมดทาง Zocial inc ได้รวบรวมสถิติในทุกมิติผ่าน ZocialRank และ ZocialEye ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ประกอบการทั่วประเทศมานาน จึงมั่นใจได้ในฐานข้อมูลที่เป็นจริงของเราในวันนี้”

นอกจากนี้ ภาวุธได้กล่าวถึงวงการตลาดออนไลน์ระดับโลกไว้ว่า “สำหรับภาพรวมในต่างประเทศนั้น ช่วงปีหลังๆ มานี้ ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการทำการตลาดเลยทีเดียว ซึ่งในเมืองไทยเองนับว่าเริ่มเติบโตขึ้น ดูได้จากตัวเลขการใช้เม็ดเงินลงทุนโดยสมาคมโฆษณาดิจิตอล (ประเทศไทย) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ในปี 2557 คาดการณ์งบประมาณการโฆษณาสื่อดิจิตอลไว้ที่ 5,863 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2556 คิดเป็น 38.03% ทำให้การตลาดออนไลน์ในไทยมีการแข่งขันสูงขึ้น โดยธุรกิจต้องแข่งขันกันในเรื่องการวางแผนกลยุทธ์และกิจกรรมต่างๆ ที่จะออกมาทางสื่อออนไลน์มากขึ้น และฟังเสียงผู้บริโภคออนไลน์ (Social Listening and Monitoring) กลุ่มนี้ เพื่อนำมาปรับประยุกต์ใช้ในการวางแผนได้อย่างทันท่วงที”

โดยนักธุรกิจที่ได้รับรางวัลในสาขาต่างๆ มีดังนี้1.Top Brand Engage on Social Media by Category

– Beverage รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มมากที่สุดในประเทศไทย คือ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด มีค่าปฏิสัมพันธ์ 6,199,676 ครั้ง

– IT and Digital รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมไอทีและดิจิตอลมากที่สุดในประเทศไทย คือ บริษัท ไทยซัมซุงอิเลคโทรนิคส์ จำกัด มีค่าปฏิสัมพันธ์ 15,036,738 ครั้ง

– Bank & Finance รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมการเงิน

และธนาคาร มากที่สุดในประเทศไทย คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีค่าปฏิสัมพันธ์ 3,438,002 ครั้ง

– Food รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมอาหารมากที่สุดในประเทศไทย คือ ผลิตภัณฑ์เลย์ มีค่าปฏิสัมพันธ์ 2,749,435 ครั้ง

– Automobile รางวัลแบรนด์ที่มีค่าปฏิสัมพันธ์บน Social network ในอุตสาหกรรมเครื่องยนต์มากที่สุดในประเทศไทย คือ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มีค่าปฏิสัมพันธ์ 1,462,831 ครั้ง

2.รางวัล Best Branded Content on Social Media แบรนด์ที่ทำเนื้อหาบน Social Media ได้ยอดเยี่ยมในประเทศไทย คือ Campaign Share ACoke โดยบริษัท โอกิลวี่วันเวิลด์วายด์ จำกัด และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด

3.รางวัล Best Customer Service on Social Media แบรนด์ที่ดูแลและให้บริการบน Social Media ได้ยอดเยี่ยมในประเทศไทย คือ Oriental Princess Society

4.รางวัล Best Social Media Campaign แบรนด์ที่ทำกิจกรรมบน Social Media ได้ยอดเยี่ยมในประเทศไทย คือ Campaign ShareACoke โดยบริษัท โอกิลวี่วันเวิลด์วายด์ จำกัด และบริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด

5.Top Line Official Account on Business แบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย

– รางวัลแบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย TruemoveH มียอดติดตาม 16,659,463

– รางวัลแบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย รองอันดับ 1 Muang Thai Life มียอดติดตาม 15,094,375

– รางวัลแบรนด์ LINE ที่มีคนติดตามมากที่สุดในประเทศไทย รองอันดับ 2 Dtac มียอดติดตาม 14,000,839

6.The Fastest Respond Brand in Pantip แบรนด์ที่ตอบโต้บน Pantip เร็วที่สุดในประเทศไทย คือ Dtac ในนาม feedback@dtac.co.th – 3,498 วินาที หรือ 58 นาที

7.Top Brand growth of the Year แบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตบน Social network อย่างต่อเนื่องมากที่สุดในประเทศไทย คือ บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด – 11,396,263 ครั้ง.

ที่มา : ไทยโพสต์

แม็คโครเดินหน้าขยายสาขาฟูดเซอร์วิส สาขาพัทยาเหนือรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวพัทยา
กรุงเทพฯ–21 พ.ค.–เกรลิ่ง (ไทยแลนด์)
แม็คโครเดินหน้าขยายเครือข่ายในเมืองพัทยา เปิดแม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาพัทยาเหนือ สนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีผลกำไร และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน รองรับเศรษฐกิจท่องเที่ยวพัทยาที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นางสาวฐิติกานต์ พูลสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาพัทยาเหนือ เปิดเผยว่า “ แม็คโครเล็งเห็นศักยภาพการการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวของพัทยา ทั้งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ อีกทั้งยังได้รับการตอบรับจากนานาชาติเป็นอย่างดี นับเมืองที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถทำรายได้ให้กับประเทศเป็นอันดับ 3 ของประเทศ คิดเป็นรายได้ 60,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้มีการเติบโตของธุรกิจร้านอาหาร ที่พัก ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และเพื่อตอบรับยุทธศาสตร์เมืองพัทยาที่ต้องการเพิ่มศักยภาพและยกระดับให้พัทยาเป็นฮับการท่องเที่ยวแห่งอาเซียน แม็คโครจึงเปิดแม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาพัทยาเหนือ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารในพื้นที่ ให้มีแหล่งซื้อสินค้าเพื่อใช้ในธุรกิจ ที่สามารถเดินทางไปซื้อได้สะดวกรวดเร็ว รับเศรษฐกิจท่องเที่ยวของพัทยาที่เติบโตต่อเนื่อง”

แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาพัทยาเหนือ เป็นสโตร์รูปแบบใหม่ของแม็คโคร เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวพัทยา และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ได้รับการออกแบบเฉพาะ โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าสมาชิกกลุ่มร้านอาหารเป็นหลัก แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาพัทยาเหนือ ถือเป็นสโตร์ฟูดเซอร์วิสแห่งที่ 5 ของแม็คโคร จำหน่ายสินค้าที่ร้านอาหารจำเป็นต้องใช้ในแต่ละวันมากกว่า 5,000 รายการ ทั้งอาหารแช่แข็ง อาหารแห้ง เครื่องปรุง เนื้อสัตว์ ไข่ ผักสลัด ชีส เบเกอรี่ และภาชนะบรรจุอาหาร พร้อมกันนี้ยังจำหน่ายเนื้อนำเข้า และเครื่องดื่มสำหรับใช้ในร้านอาหารอีกด้วย บนพื้นที่จำหน่ายสินค้ากว่า 2,800 ตารางเมตร

“ด้วยทำเลที่ใกล้ร้านอาหารมากยิ่งขึ้น จะทำให้ลูกค้าผู้ประกอบการร้านอาหาร ทั้งร้านอาหารไทยและอาหารนานาชาติในพื้นที่ สามารถซื้อวัตถุดิบ และสินค้าจำเป็นสำหรับร้านอาหารได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อซื้อวัตถุดิบในแต่ละวัน ลดความจำเป็นในการสต๊อกสินค้า ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ ร้านอาหารสามารถลดต้นทุน เพิ่มกำไร ทำให้ผู้ประกอบการมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจมากขึ้น และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน” นางสาวฐิติกานต์ กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : Newswit

แนะกลยุทธ์เอสเอ็มอีไทยสู้ได้ในตลาดอาเซียน

 

มูลนิธิเอเชียร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ จัดสัมมนาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคในหัวข้อ “การปรับทัพ AEC ให้สอดคล้องกับ SMEs” หรือ “Making ASEAN Economic Community Work for SMEs” ขึ้น ซึ่งงานเสวนาดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมาก

Ms.Penchan Manawanitkul, Senior Officer Enterprise Development, Asean Economic Community (AEC), Department ASEAN Secretariat กล่าวถึงการพัฒนา SMEs เพื่อรองรับ AEC โดยระบุว่า หัวใจหลักที่จะทำให้ธุรกิจ SMEs สามารถรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีด้วยกัน 4 ช่องทาง ได้แก่ 1.การพัฒนาบุคลากรทางธุรกิจ 2.การผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ 3.การทำให้วัตถุดิบมีมูลค่ามากขึ้น และ 4.การขยายตลาด นอกเหนือจากคู่แข่งทางการค้า ควรมีการเปิดตลาดใหม่ๆเพิ่มเติม ขณะเดียวกันการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐในการไปดูงานต่างประเทศจะช่วยให้ผู้ประกอบการเพิ่มวิสัยทัศน์เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าได้มากยิ่งขึ้น

คุณอดิทัต วะสีนนท์ ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักบริหารยุทธศาสตร์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากผลสำรวจความพร้อมที่จะเข้าสู่ AEC ของผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs เมื่อปลายปีที่แล้วพบว่า มีผู้ประกอบการถึงร้อยละ 60 ที่ระบุว่ายังไม่พร้อม โดยให้เหตุผลว่ารอนโยบายทิศทางที่ชัดเจนจากภาครัฐ เงินสนับสนุน การปรับตัว และบางส่วนระบุว่าเป็นแค่กิจการขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับนานาชาติเนื่องจากมีตลาดในประเทศอยู่แล้ว ขณะที่ร้อยละ 30 ระบุว่าพร้อม และ ร้อยละ10 ระบุว่ายังไม่แน่ใจ นอกจากนี้จากผลการสำรวจยังพบว่า ไทยมีจุดอ่อนเรื่องภาษาที่ต้องปรับปรุง ทำให้มีผลต่อการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่อยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการจัดอบรมความรู้ การจัดการบริหารบุคลากร รวมทั้งการลดต้นทุน พลังงาน วัตถุดิบ ภาษี การเพิ่มผลิตภาพและการสนับสนุนการส่งออกให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

คุณพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการ และประธานคณะกรรมการ AEC Prompt หอการค้าไทย กล่าวว่าผู้ประกอบการ SMEs ไม่ควรมองแค่เพียงกลุ่มประเทศอาเซียนแต่ควรมองรวมไปถึงทั่วโลก เนื่องจากหัวใจการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่การหวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องควบคู่ไปกับมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ภายใต้แนวคิดที่ว่าโลกต้องการอะไร ทำอย่างไรให้ธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด ซึ่งผู้ประกอบการต้องเชื่อมโยงธุรกิจให้ตอบสนองพร้อมๆกันทุกด้าน จากนั้นตลาดจะเข้ามาเอง

Mr.Agus Muharram,lr.,MSP,Secretariat Ministry, Ministry of Cooperatives and SMEs, Indonesia กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของอินโดนีเซีย โดยระบุว่า รัฐบาลของอินโดนีเซียมีนโยบายที่จะทำให้ธุรกิจ SMEs ในประเทศรับมือกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยการสนับสนุนทางการเงิน มีการออกนโยบายให้เงินกู้พิเศษแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงการสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้า SMEs ในกรุงจาร์กาตาและการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่ผู้ประกอบการ เสริมความเชื่อมั่นทำให้ธุรกิจ SMEsเข้มแข็งขึ้น

ในงานยังมีการถ่ายทอดประสบการณ์ความสำเร็จ กลยุทธ์ของเอสเอ็มอีในการเจาะตลาดอาเซียน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดย Ms.Tran Thi Hai Yen, SLIMMER STYLE Shareholding Inc., ประเทศเวียดนาม มองว่าการทำธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จนั่นคือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างธุรกิจกับธุรกิจโดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หากประเทศที่เป็นสมาชิกมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จะทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆอันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนและเพิ่มมุมมองในการทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และประเด็นที่ต้องคำนึงถึงในการผลิตสินค้าคือ ต้องสร้างแบรนด์สินค้าอาเซียน สินค้าที่สามารถไปขายได้ทุกประเทศสมาชิกอาเซียน

Yen เล่าประสบการณ์การทำตลาดนิชมาร์เกตในเวียดนามซึ่งกำลังเติบโตขณะนี้นั้น มีประสบการณ์ลองถูกลองผิดมาเช่นกัน ในการผลิตและออกแบบแฟชั่นเสื้อผ้าแต่สุดท้ายตระหนักว่าเราไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าสำหรับคนทุกกลุ่มแต่ผลิตสินค้าที่เราเชี่ยวชาญและทำได้ดีที่สุดเท่านั้น จึงเจาะที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะช่วงวัย 27-45 ปีเท่านั้น โดยปัจจัยที่ทำให้สำเร็จคือคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขาย มีบริการดี และติดตาม รวมทั้งพัฒนาไปข้างหน้า เมื่อสินค้าพร้อม ตลาดพอไปได้ และจังหวะเวลามาถึง ก็ลุยเลย แต่ต้องไปอย่างรู้เขารู้เรา ไม่ต้องไปกังวลกับรายละเอียดที่เป็นอุปสรรคมากนักเพราะทุกกฎระเบียบย่อมมีข้อยกเว้น

คุณมรกต สิงหแพทย์ ประธานบริษัท SIGMA&HEARTS ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีการขยายไปตั้งโรงงานแห่งที่สองที่ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยเหตุผลตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศเริ่มอิ่มตัวมองหาตลาดต่างประเทศ และพบว่าตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศอินโดนีเซียยังเปิดกว้าง มีความต้องการใช้รถจักรยานยนต์มากกว่า 7-8 ล้านคัน และอัตราค่าจ้างขั้นต่ำถูกกว่าประเทศไทย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยต้องอย่ากลัวที่จะไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่อินโดนีเซียเป็นตลาดที่ยังเปิดกว้างในหลาย ๆ ด้าน นับเป็นโอกาสของนักธุรกิจเอสเอ็มอีไทยให้กล้าเข้าไปลงทุน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจ SMEs (Small and Medium Enterprises) ถือเป็นธุรกิจที่มีบทบาทไม่ต่างจากธุรกิจขนาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งการเปิดประตูสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” (AEC) ในปี 2558 จะส่งผลให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นกลุ่มเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่มีฐานการผลิตรวมกัน รวมถึงเป็นการสร้างอำนาจต่อรองด้านการค้าและเศรษฐกิจในเวทีการค้าโลกได้อย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น การพัฒนาและปรับโหมดธุรกิจ SMEs ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจ SMEs ปรับตัวภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้

ที่มา : newswit.com

ทำร้านอาหารอย่างไร จึงไม่ขาดทุน

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข่าวคราวธุรกิจระดับ SME ต้องปิดกิจการไปมีนับพันรายทั่วประเทศ หนึ่งในจำนวนนั้น คือ ธุรกิจร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจที่เปิดง่าย แต่อยู่รอดได้ยาก โดยเฉพาะในภาวะที่ต้นทุนวัตถุดิบด้านอาหารโดย ตรงสูงขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการประกอบการสูงขึ้น เจ้าของธุรกิจจำนวนมากไม่ใส่ใจในการควบคุมต้นทุน ในธุรกิจร้านอาหาร จุดอ่อนที่สำคัญคือ การควบคุมต้นทุน ธุรกิจอาหารอาจจะมีรายได้สูง จากยอดขายเงินสดประจำวัน แต่ ผลกำไรอาจมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของยอดรายได้เท่านั้น

หากเผลอนำยอดขายไป ใช้ ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนอาจจะพาธุรกิจไปสู่ความล้มเหลว บ่อยครั้งเจ้าของไม่สนใจศึกษา ต้นทุน เพราะคิดว่าขายดี สภาพคล่องดี นานเข้าจะพบว่าไม่มีกำไรเหลือ เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สูง เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ต้นทุนอาหารที่สูงจนผิดสังเกต และไม่ทราบสาเหตุ เพราะขาดการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น

ปัญหาจะเกิดจากสาเหตุที่สำคัญ คือ

ธุรกิจอาหารและ เครื่องดื่มมักจะมีปัญหาที่เกิดจากยอดขายผันแปรไม่แน่นอน ในแต่ละช่วงเวลา เช่นการขายอาหาร ขึ้นอยู่กับฤดูกาล จะคาดเดายาก ทั้งนี้เพราะอิทธิพลของปัจจัยภายนอก เช่น สภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และค่านิยมของผู้บริโภคเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ การแก้ปัญหาต้องเน้น ที่การปรับกลยุทธ์เปลี่ยนวิธีการขาย มีการติดตามประเมินผลต่อเนื่องและทันเวลา

1.ยอดขายเปลี่ยนแปลงง่าย

ค่าใช้จ่ายประจำประกอบด้วย เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ซึ่งเป็น ปัจจัยสำคัญในลำดับต้น ๆ ค่าเช่าสถานที่ควรมีอัตราส่วนที่เหมาะสม ต่อความสามารถในการทำรายได้ หากจ่ายค่าเช่าสถานที่แพงเกินไป จะเป็นภาระหนัก เพราะต้องจ่ายทุกเดือนไม่ว่ารายได้พอหรือไม่ เงินเดือนพนักงานเป็นค่าใช้จ่ายประจำ อีกกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นปัญหาหนักอีกเช่นกัน ผู้ลงทุนต้องควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายได้เสมอ เมื่อเกิดผลกระทบต่อธุรกิจ ต้องลดค่าใช้จ่ายประจำ เป็นสิ่งแรก เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ

2.ค่าใช้จ่ายประจำสูง

ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร แรงงานเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ดังนั้น ต้องกำหนดสัดส่วนการจ้างงานที่เหมาะสม จัดให้มีการฝึกอบรมเสริมทักษะการทำงานเพื่อลดปริมาณการเข้าออกของพนักงาน การสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าต้องใช้แรงงานที่มีคุณภาพ และประสบการณ์เป็นหลัก เจ้าของกิจการต้องฝึกอบรม สร้างทัศนคติ ที่ดีต่องานบริการลูกค้า ธุรกิจโรงแรม หรือ ร้านอาหารที่มีพนักงานเข้าออกมากย่อมไม่สามารถให้บริการที่ดี ส่งผลให้ลูกค้าลดลง เมื่อไม่มีลูกค้าประจำ รายได้ก็จะลดน้อยลง และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความล้มเหลว

3.การใช้แรงงานเป็นหลัก

การควบคุมต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มจะต้องทำเป็นกระบวนการ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการสอบราคา วิธีการจัดซื้อ การตรวจรับสินค้าที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การจัดเก็บอย่างถูกวิธี การเบิกใช้ การควบคุมมิให้มีการทิ้งเศษอาหารโดยไม่จำเป็น การป้องกันการรั่วไหล และการทุจริตที่อาจจะเกิดในขั้นตอนใดก็ได้ การควบคุมต้นทุนอาหาร และเครื่องดื่มทำได้ โดยทำประมาณการต้นทุนล่วงหน้าแล้ว นำผลที่เกิดจริงมาเปรียบเทียบ โดยแสดงเป็นอัตราร้อยละของราคาขาย

4.การควบคุมต้นทุนอาหาร

ขั้นตอนแรกในการจัดซื้อ เจ้าของธุรกิจควรออกสำรวจราคาท้องตลาดด้วยตนเองเป็นครั้งคราว ในกรณีที่มีการซื้อจากผู้จัดส่งสินค้า ควรกำหนดให้ มีการเสนอราคา อย่างน้อย 2 – 3 ราย เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพและราคา ตลอดจนเงื่อนไขการจัดส่ง ระยะเวลาเครดิต สินค้าบางชนิด เช่น ผักสด ผลไม้ ราคาจะขึ้นลงตามฤดูกาล มีการเปรียบเทียบราคา ต้องมีเอกสารใบสั่งซื้อที่ชัดเจนระบุ น้ำหนัก ชนิดประเภทของสินค้า ราคาต่อหน่วย ราคารวม วัน และเวลา ในการส่งสินค้าระยะเวลา การชำระเงิน มีผู้มีอำนาจลงนามอย่างถูกต้องในการตรวจรับสินค้า ผู้มีหน้าที่ตรวจรับต้องเข้าใจรายละเอียดของสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ในการตรวจรับ พ่อค้าบางรายฉวยโอกาส ส่งสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ ทำให้เกิดความเสียหายตั้งแต่แรก เป็นสาเหตุให้ต้นทุนสินค้า หรือวัตถุดิบที่ใช้แพงขึ้น การจัดเก็บที่ไม่ถูกต้อง เช่น ผักสด ผลไม้ หากไม่จัดแยกให้เป็นระเบียบ มีโอกาสเน่าเสียได้ง่าย การจัดเก็บเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ในตู้แช่ หรือ ตู้เย็นที่แออัดจนเกินไป หรือความเย็นไม่พอ ทำให้เกิดเน่าเสียได้ง่าย การขโมยอาหาร หรือการที่พนักงานครัวลักลอบนำอาหารสดไปทำกินเอง หรือ มีการลักเนื้อสัตว์ราคาแพง เช่น เนื้อสันใน อาหารกระป๋องราคาแพง เช่น เป๋าฮื้อ กาแฟ ซอสที่นำเข้าจากต่างประเทศ ฯลฯ ออกไปขาย ปัญหาดังกล่าวข้างต้นล้วนทำให้ต้นทุนสูงทั้งสิ้น

5.วัตถุดิบเน่าเสียง่าย

ในธุรกิจโรงแรม หรือ ภัตตาคาร วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการทำอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ผักสด หรือผลไม้ หากขายไม่ดีวัตถุดิบเสื่อมสภาพและเน่าเสียได้ง่าย ธุรกิจบริการ จึงเน้นการขายวันต่อวัน และต้องทำให้แต่ละวันมีรายได้จากการขาย เพื่อให้ใช้วัตถุดิบทันเวลาไม่เสื่อมสภาพและเน่าเสีย

 
6.ราคาขายไม่เหมาะสม

ธุรกิจโรงแรม และ ร้านอาหารจำนวนมากประสบภาวะวิกฤตด้านรายได้ตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการ อาจมีสาเหตุจากการกำหนดราคาผิดพลาด ราคาขายไม่เหมาะสม กับความต้องการของตลาด หรืออีกนัยหนึ่ง กำหนดราคาขายตามใจชอบ โดยไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและสิ่งแวดล้อม การกำหนดราคาขายแพงกว่าโรงแรมและร้านอาหารอื่น ๆ ทำให้ไม่มีผู้อุดหนุน และทำให้ขาดทุน การตั้งราคาจึงเป็นปัจจัยสำคัญ

ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่ผู้มีเงินมักชอบลงทุน เพราะคิดว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ยุ่งยากโดยเฉพาะร้านอาหาร อาจกล่าวได้ว่าเป็นธุรกิจยอดนิยมของการลงทุนในทศวรรษนี้ อย่างไรก็ตาม จะพบว่าร้านอาหารที่เปิดขึ้นมากมายในแต่ละปีนั้น กลับล้มหายตายจากออกจากวงจรธุรกิจไปอย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักคือ รายได้ไม่เป็นไปตามที่คาดคิด ค่าใช้จ่ายสูง เงินทุนสำรองไม่เพียงพอ ในที่สุดจำเป็นต้องเลิกกิจการ เพราะขาดทุนมากจนไม่สามารถประคองให้ธุรกิจอยู่ต่อได้ แต่หากผู้ลงทุนที่ประสบภาวะล้มเหลวทางธุรกิจ จงได้ตั้งสติ และศึกษาถึงสาเหตุ และปัจจัยแห่งความล้มเหลวของธุรกิจ จะพบที่มาของปัญหาที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เพราะปัจจัยแต่ละตัวต่างมีส่วน ในการช่วยกันบั่นทอน หรือทำลายธุรกิจ ให้อายุสั้นลงไปเรื่อย หากไม่ทราบปัญหาหรือ เมื่อทราบปัญหาแต่ไม่ได้สนใจแก้ไขเสียแต่เนิ่น ๆ

ที่มา : http://www.thma.org/

เฟซบุ๊กไทยบุกผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เห็นความสำคัญโฆษณาออนไลน์ หลังพบคนไทย 24 ล้านคนเล่นเฟซบุ๊ก และ 16 ล้านคนเข้าเฟซบุ๊กทุกวัน ส่วนใหญ่ใช้งานผ่านมือถือ เชื่อเป็นโอกาสเปิดตัวสินค้าให้คนรู้จัก

นายแอร์โรว์ กัว หัวหน้ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มบี (SMBs) กลุ่มประเทศจีน (ไต้หวัน ฮ่องกง) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ โดยมีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กมากถึง 24 ล้านคนต่อเดือน และ 16 ล้านคนเข้ามาเล่นเฟซบุ๊กทุกวัน ขณะที่ 13 ล้านคนเล่นเฟซบุ๊กผ่านมือถือ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันกลับพบผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยใช้ช่องทางการทำตลาดผ่านเฟซบุ๊กยังมีไม่มากนัก

“จากการสำรวจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยพบว่ายังมีการใช้ช่องทางโฆษณาสินค้าผ่านเฟซบุ๊กยังน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนเอสเอ็มอีที่มีเป็นจำนวนมาก จึงถือเป็นโอกาสดีที่เฟซบุ๊กจะได้สนับสนุนภาคธุรกิจให้ได้รับประโยชน์จากการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ อย่างเต็มที่ และสามารถใช้การโฆษณาในการสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งจากหน้าจอพีซีหรือผ่านมือถือ ซึ่งเป็นการตลาดแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้นสามารถระบุตัวตนของผู้ใช้งานและกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน” นายแอร์โรว์กล่าว

อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วโลกที่ใช้เฟซบุ๊กในการเปิดตัวสินค้าให้เป็นที่รู้จักประมาณ 25 ล้านราย โดยมีประมาณมากกว่า 1 ล้านรายที่ใช้โฆษณาบนเฟซบุ๊ก สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจวิธีการใช้ให้ประสบความสำเร็จสามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/business

ขอบคุณ ASTVผู้จัดการออนไลน์

สัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวที่ได้รับความสนใจและพูดถึงมากที่สุดบนสื่อสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย คือเรื่องของวงโยธวาทิต โรงเรียนสตรีวิทยา 2 ถึงแม้ว่าเรื่องราวข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจะไม่มีความสลับซับซ้อนและมีข้อสรุปชี้แจงเป็นที่เรียบร้อย แต่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผลสะท้อนเชิงลบของสังคมต่อเหตุการณ์นี้กลับมากมายมหาศาล ซึ่งมีสาเหตุจากการโต้ตอบกันบนโลกออนไลน์เลยเถิดไปขุดคุ้ยประวัติส่วนตัวของนักเรียนและครูผู้ดูแลจนกลายเป็นประเด็นทางสังคม

สองปีที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียได้รับความนิยมและมีปริมาณการใช้งานเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นพื้นที่สำหรับแชร์ข้อมูลข่าวสารสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SMEs ที่มักใช้พื้นที่บนโลกออนไลน์เป็นฐานในการสื่อสารกับลูกค้าและสร้างแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นกระทู้สนทนา เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือแม้แต่อินสตาแกรม ช่องทางต่างๆ เหล่านี้สามารถสร้างกระแสเชิงลบและการจู่โจมบนโลกไซเบอร์อันมีผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของกิจการได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงพึงระวังอย่างยิ่ง รวมทั้งต้องมีความรู้ความเข้าใจในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นบนสื่อสังคมออนไลน์อีกด้วย

สัปดาห์นี้มาดูกันว่าหากเหตุการณ์ที่เป็นข่าวนี้เกิดขึ้นกับธุรกิจของเรา เราควรตั้งหลักรับมือการโจมตีทางสังคมอย่างไร

มีสติ รักษาความเป็นมืออาชีพ

ในกรณีของวงโยธวาทิตที่ตกเป็นข่าว สิ่งที่พวกเขาทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่การที่พวกเขาตัดสินใจขอยืมเงิน แต่เป็นการที่พวกเขาตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชียลด้วยข้อความที่หยาบคาย และอารมณ์รุนแรง ซึ่งย่อมถูกโต้กลับด้วยการประณามที่รุนแรงยิ่งกว่าจากมหาชนบนโลกออนไลน์

สำหรับธุรกิจก็เช่นกัน ข่าวลือหรือการวิพากษ์วิจารณ์เชิงลบอาจเข้ามาในเวลาที่เราไม่คาดคิด เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ‘การมีสติ’ คือสิ่งสำคัญที่สุดก่อนจะดำเนินการตอบโต้ ข้อความที่ปรากฏอาจทำให้เราโกรธหรือต้องการโต้กลับด้วยข้อความรุนแรง แต่เราต้องไม่ลืมว่าการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์จะถูกส่งถึงลูกค้าทุกคนด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารข้อความใดเราต้องรักษาความเป็นมืออาชีพไว้เสมอ อย่าลืมว่าเรากำลังสื่อสารในฐานะตัวแทนของแบรนด์ธุรกิจของเรา ไม่ใช่การพูดคุยแบบส่วนตัว

คำ ‘ขอโทษ’ ที่จริงใจ

ก่อนหน้านี้ก็มีอีกหนึ่งกรณีที่คล้ายกันเกิดขึ้นกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างแมคโดนัลด์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2557 ที่ผ่านโดยแบรนด์ยักษ์ถูกร้องเรียนจากลูกค้าว่า พบแมลงสาบในไอศกรีมโดยระบุสาขาที่ซื้อพร้อมโพสต์ภาพประกอบ

ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องโจษจันบนโลกออนไลน์ในทันที แม้ว่าทางแมคโดนัลด์จะแถลงคำขอโทษอย่างเป็นทางการแต่ท่าทีที่สื่อกลับปราศจากความจริงใจ ด้วยในถ้อยคำแถลงดังกล่าวนั้นแสดงออกถึงการปฏิเสธความรับผิดชอบโดยให้เหตุผลว่าคำร้องเรียนจากลูกค้าลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งหลายครั้งเป็นความเท็จที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหวังผลประโยชน์จากการฟ้องร้อง ความรู้สึกโดยรวมจึงเป็นไปในทางข่มขู่ผู้ร้องเรียนมากกว่าแสดงความเสียใจต่อผู้บริโภค

หลังการโต้ตอบนี้ผลสะท้อนของชาวเน็ตจึงเปลี่ยนจากอยากทราบว่าคนโพสต์พบแมลงสาบจริงหรือไม่ กลับไปสนใจการแสดงความคิดเห็นถึงท่าทีของแมคโดนัลด์มากกว่า สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณีนี้คือความจริงใจที่อยู่ในสารที่สื่อนั้นเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ถ้อยคำที่สำรวมอ่อนน้อม

ตัดสินกันด้วยข้อเท็จจริง

สิ่งที่ถูกจับมาเป็นประเด็นพูดถึงในโลกออนไลน์อาจไม่เป็นความจริงเสมอไป ฝ่ายที่เริ่มจุดประเด็นสร้างกระแสอาจมีจุดประสงค์อื่นหรือตั้งใจบอกเรื่องราวบางส่วนเพื่อให้เกิดผลเสียต่อธุรกิจเป้าหมาย ซึ่งข้อความหรือเหตุการณ์ถูกนำมาเล่านั้นมักสร้างความรู้สึกไม่ดีแก่ลูกค้าผู้พบเห็น และบ่อยครั้งที่เจ้าของแบรนด์โต้กลับด้วยความสุภาพเป็นที่มืออาชีพ แต่ก็ยังถูกมองว่าแก้ตัว

บรรดาแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์ต่างรู้ว่า สิ่งที่ลบกระแสวิจารณ์ที่ดีที่สุดคือการหักล้างข้อกล่าวหาด้วยข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้น ก่อนที่ผู้ประกอบการจะดำเนินการโต้ตอบทางโซเชียลมีเดีย ผู้ประกอบการต้องค้นคว้าหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อให้ข้อมูลจริงและถูกต้องกับลูกค้าได้

Social Media Guidelines ของธุรกิจ

Guidelines หรือแนวทางการใช้งาน Social Media ในองค์กรเป็นสิ่งหนึ่งผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่มากให้ความสำคัญ ขณะที่สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทความสำคัญต่อธุรกิจมากขึ้นทุกวัน พนักงานผู้ร่วมงานทุกคนที่มีตัวตนบนโลกออนไลน์จึงรับบทบาทผู้ดูแลแบรนด์ไปโดยปริยาย องค์กรจึงจำเป็นต้องมีการอบรมชี้แจงแนวทางการสื่อสาร การโพสต์ข้อความหรือให้ข้อมูล การตอบโต้ในฐานะตัวแทนของแบรนด์นั้นๆ ให้แก่ทุกคนในองค์กรทราบ

สิ่งที่ถูกระบุไว้บน Guidelines มีความแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร โดยมีหลักคือ
– แนวทางการใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร
– วิธีการลำดับความสำคัญของเรื่องที่เกิดขึ้น
– ระดับของข้อมูลที่สามารถเปิดเผยแก่สาธารณะ
– แนวทางการประพฤติตนในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน

Social Media Guidelines ที่ว่านี้นอกจากจะช่วยลดความเสียหายจากความประพฤติไม่เหมาะสมหรือไม่สอดคล้องกับค่านิยมองค์กรแล้ว ยังช่วยให้พนักงานทุกคนกลายเป็น Brand Ambassadors ที่ดีด้วย

Social media หรือสื่อสังคมออนไลน์เป็นทั้งเครื่องมือสื่อสารที่ช่วยให้แบรนด์ของเราเข้าถึงลูกค้าได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่สาธารณะที่วางตำแหน่งแบรนด์ของเราในช่องว่างที่ให้เป็นได้ทั้งโจทก์และจำเลยทางสังคมเช่นกัน ผู้ประกอบการในโลกยุคใหม่จึงต้องใส่ใจแนวทางปฏิบัติและสร้างความเข้าใจต่อผลกระทบที่อาจเกิดจากสื่อสังคมออนไลน์ด้วยความรอบคอบเพื่อรับมือสถานการณ์อย่างมืออาชีพ

ธีระ กนกกาญจนรัตน์
http://www.facebook.com/SMECompass

 

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ศูนย์ค้าส่งสินค้าอุปโภค และบริโภคครบวงจร สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร และบริการจัดเลี้ยง สนับสนุนผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานร้านอาหารในประเทศไทยนำโดยเชฟเอกชาตตระกูล (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วย เชฟจตุพร จึงมีสุข (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการบริหาร ไทยแลนด์ คูลินารี อะคาเดมี ฝึกซ้อมตัวแทนเชฟจากการแข่งขันการทำอาหารนานาชาติ ระดับประเทศ “แม็คโครโฮเรก้า ชาเลนจ์2013” เสริมทักษะในการทำอาหารและปรับปรุงสูตรอาหาร เพื่อเตรียมพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันการทำอาหารเวทีใหญ่ระดับเอเชีย ในงานแสดงนวัตกรรมสินค้าและอุปกรณ์ ด้านอาหาร ระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย “Food&Hotel Asia 2014 (FHA)”ระหว่างวันที่ 8-11 เมษายน นี้ ณ ประเทศสิงคโปร์

ขอบคุณ: ThaiPR.net

 

กสิกรไทยจับมือสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยจัดสัมมนาออนไลน์ ส่งมอบองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการธุรกิจให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีครอบคลุมทั่วประเทศ

กสิกรไทย จับมือสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย จัดโครงการ SME Webinar สัมมนาออนไลน์ฟรี ผ่านเว็บไซต์ให้ความรู้เอสเอ็มอีของไทยตลอดทั้งปีกับ 10 หัวข้อจาก 10 วิทยากรชื่อดัง พร้อมแชทถามตอบสดทุกข้อสงสัยได้ทันที เริ่ม 19 มีนาคมนี้ คาดจะมีผู้สนใจเข้าชมประมาณ 2,000 รายต่อครั้ง

นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (TASME) จัดโครงการ SME Webinar ซึ่งเป็นโครงการสัมมนาออนไลน์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการธุรกิจยุคใหม่ สำหรับเอสเอ็มอีหรือผู้สนใจผ่านเว็บไซต์ www.kasikornbank.com/smewebinar ด้วยหัวข้อที่น่าสนใจจากวิทยากรชื่อดังที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องต่าง ๆ เช่น การทำตลาดผ่านช่องทางดิจิตอล การทำโปรโมชั่น การบริหารบุคลลากร การวางแผนภาษี การสร้างจิตสำนึกในการให้บริการ ฯลฯ ผ่านการสัมมนาที่สนุกสนาน และเข้าใจง่าย โดยผู้ประกอบการ จะได้รับเนื้อหาสาระที่มีคุณภาพ ครบถ้วน และครอบคลุมประเด็นสำคัญในการทำธุรกิจ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหรือผู้ที่สนใจ สามารถชมการถ่ายทอดงานสัมมนาผ่านเว็บไซต์ www.kasikornbank.com/smewebinar โดยเริ่มครั้งแรกในวันพุธที่ 19 มีนาคมนี้ ในหัวข้อ “SME ยุคดิจิทัลค้าคล่องด้วยออนไลน์” โดยคุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร พิเศษในเวลา 18.00-19.00 น. และสามารถแชทสด ถาม ตอบกับวิทยากร คลายทุกข้อสงสัย ได้ตลอด 1 ชั่วโมงเต็ม และสามารถติดตามชมสัมมนาออนไลน์ ของโครงการ SME Webinar ตลอดปี 2557 ทั้งหมด 10 ครั้ง ในทุกวันพุธที่ 3 ของเดือน พร้อมแชทสดถามตอบกับวิทยากรในช่วงเวลา 18.00 – 19.00 น.

นายพัชรกล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารได้มอบองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านโครงการ SME Webinar โดยเป็นการถ่ายทอดงานสัมมนาผ่านช่องทางออนไลน์ จำนวน 22 ครั้ง สำหรับในปีนี้ โครงการ SME Webinar สัมมนาออนไลน์ ยังคงให้ความรู้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างเข้มข้นเหมือนเช่นเดิม โดยปรับรูปโฉมใหม่ที่มีความทันสมัย เน้นสนุก แต่เข้มข้นด้วยเนื้อหาสาระครบถ้วนกับ 10 หัวข้อสัมมนายอดฮิตจาก 10 วิทยากรชื่อดัง ที่ได้รับการคัดเลือกจากทางสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของเอสเอ็มอี ซึ่งธนาคารเชื่อว่าความรู้และโอกาสทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะได้รับจากการสัมมนาออนไลน์ จะสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการได้ในอนาคต

ด้านนางแก้วเก้า เผอิญโชค นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย หรือ TASME เปิดเผยว่า สมาคมผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อมไทย มีหน้าที่เป็นองค์กรและศูนย์กลางที่ให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ให้มีความพร้อม และมีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในทุกๆ ด้าน รวมถึงให้ความช่วยเหลือในด้านการส่งเสริมการขยายกิจการ การหาช่องทางการค้า รวมทั้งการพัฒนาบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การบริหาร จัดการองค์กร เพื่อความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และสามารถแข่งขันทางธุรกิจในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับโลกต่อไป ซึ่งปัจจุบันสื่อดิจิตอลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านสื่อดิจิตอลจะช่วยให้การเผยแพร่เป็นไปได้อย่างกว้างขวางไร้ข้อจำกัด และจะช่วยเอสเอ็มอีตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ รวมถึงสามารถนำความรู้ไปปรับใช้และต่อยอดในเชิงธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างเข้มแข็งต่อไป

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

“เซ็นทรัล” เร่งเครื่องธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ยุบในแต่ละบียูรวบเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ “เซ็นทรัลออนไลน์” ชี้แบรนด์แข็งแกร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการันตีโปรโมชั่นเร้าใจดึง ลูกค้าให้ทดลอง-ส่งสินค้าฟรีภายใน 1 วัน
นายอรรณพ บุญทวีพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจออนไลน์ ภายใต้กลุ่มบริษัทออฟฟิศเมทกรุ๊ป กล่าวว่า แนวโน้มตลาดค้าปลีกออนไลน์หรืออีคอมเมิร์ซในปีนี้มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากหลายธุรกิจหันมาให้ความสนใจการทำตลาดออนไลน์มากขึ้น จากการที่กลุ่มลูกค้าขยายตัวในวงกว้าง ตัดสินใจในการสั่งซื้อที่ง่ายขึ้นและมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง นอกจากนี้ พฤติกรรมของคนไทยเองก็เริ่มหันมาเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์และทางสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ มากขึ้น

ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลได้ให้ความสนใจกับตลาดออนไลน์ด้วยการให้ “เว็บไซต์เซ็นทรัลออนไลน์” เป็นศูนย์รวมหลักของการขายสินค้าออนไลน์ในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลทั้งหมด จากเดิมที่แต่ละหน่วยธุรกิจจะมีการขายออนไลน์ของตัวเอง โดยเซ็นทรัลออนไลน์จะเป็นหน่วยธุรกิจที่อยู่ในกลุ่ม “ออฟฟิศเมทกรุ๊ป” ที่รวม 3 ธุรกิจหลัก คือ ออฟฟิศเมท บีทูเอส และเซ็นทรัลออนไลน์

ซึ่งเซ็นทรัลออนไลน์จะนำร่องขายสินค้า 12,000 รายการในช่วงแรกของกลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บีทูเอส เพาเวอร์บายก่อนที่จะทยอยเพิ่มสินค้าในบียูอื่นๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้ โดยตั้งเป้ายอดขายในปีแรกที่เริ่มทำตลาดแบบเต็มรูปแบบนี้ 300-500 ล้านบาท

“การสตาร์ตในช่วงแรกยอดขายอาจจะไม่เยอะ แต่ถ้าลูกค้าได้เริ่มทดลองเข้ามาใช้บริการ จะติดใจและเห็นความสะดวกในการช็อปปิ้ง ที่สำคัญแบรนด์เซ็นทรัลที่แข็งแกร่งจะเป็นตัวการันตีและสร้างความเชื่อมั่น ให้ลูกค้ากล้าเข้ามาทดลองใช้บริการ”

ผู้บริหารเซ็นทรัลออนไลน์กล่าวว่า ได้ทดลองเปิดให้บริการเว็บไซต์ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อวัดประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบ พร้อมกันนี้ได้เตรียมแผนการตลาดเชิงรุกเพื่อเข้าถึงกลุ่มคนออนไลน์ให้หันมา ช็อปปิ้งสินค้าต่างๆ ในเครือของเซ็นทรัลได้ง่าย เสมือนเดินในห้างจริง รวมถึงกลยุทธ์การตลาดแบบเรียลไทม์ นำความสดใหม่ และสินค้าไฮไลต์ต่างๆ มาสร้างความบันเทิงและกิจกรรมต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาจับจ่ายในส่วนของออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือการแข่งขันในอนาคตที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการซื้อออนไลน์ ซึ่งจะดึงดูดและแตกต่างจากการเดินเข้าไปซื้อสินค้าในร้านเพื่อเป็นการดึง ลูกค้าให้เข้ามาทดลองใช้ รวมถึงพัฒนาระบบบริหารงานโลจิสติกส์และส่งสินค้าได้ตรงเวลา ด้วยการรับประกันสั่งสินค้าวันนี้สามารถได้รับสินค้าในวันรุ่งขึ้นได้ทันที นอกจากนี้เมื่อซื้อสินค้า 499 บาท บริการจัดส่งฟรี

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คนทำแบรนด์หลายคนคงจะชอบ Facebook นะครับ (แน่ล่ะใครจะไม่ชอบ) เพราะนอกจากมันจะเป็น Social Network ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว มันยังทำให้นักการตลาดอย่างเราๆ ท่านๆ เข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีด้วย เฉพาะในเมืองไทยก็ reach ได้ตั้ง 15 ล้านคนเข้าไปแล้ว
วันนี้ผมไปอ่านเจอบทความเรื่อง Facebook and its changing metrics ใน Econsultancy เขาตั้งคำถามไว้น่าสนใจดีครับว่า ทุกวันนี้ Facebook เป็นแพลตฟอร์มทางการตลาดที่คุ้มค่าต่อการลงทุนแค่ไหน? เลยขอแปลบางส่วน และเอาประเด็นของเขามาพูดคุยกับคุณต่อตอนท้ายบทความ… ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ทำการตลาดผ่าน Facebook ทุกวัน ขอเชิญนะครับ เราอาจจะมอง Facebook ในมุมที่ต่างออกไปก็ได้

เหตุผลง่ายๆ ที่นักการตลาดใช้ Facebook กันก็คือ ที่ไหนก็ตามที่ผู้บริโภคไปอยู่ตรงนั้น มันก็จะมีโอกาสทางการตลาดให้เราเข้าไปเสมอ แต่จู่ๆ เมื่อวันที่ 3 กรกฏาคมที่ผ่านมา Facebook ได้ออกมาเปลี่ยนวิธีการนับยอดเข้าชมโดย

1. จับเอาทั้งยอดผู้เข้าชมที่ผ่านเข้ามาทางโทรศัพท์มือถือ (จากเดิมไม่ได้นับมือถือ อ้าว! ทุกวันนี้ดูผ่านแอพฯ ทั้งนั้น)
2. จากนี้ไปจะนับ ?reach? ถ้าหากผู้ใช้เลื่อนหน้าเพจลงไปโหลดตรงส่วนที่เป็น Page?s story นั้นๆ เท่านั้น (นึกภาพว่าถ้าเราไม่ได้ scroll down ลงไปถึงตรงส่วนที่เรื่องที่แชร์อยู่ด้านล่างๆ ของ wall และเรามองไม่เห็นมันจริงๆ ทาง Facebook ก็จะไม่นับว่าเรื่องนั้น reach ถึงผู้ใช้จริงๆ)

จากเรื่องนี้ทำให้เรานึกได้เลยครับว่า การวัดผลก่อนหน้าวันที่ 3 กรกฏาคมที่ผ่านมานั้นมันไม่ถูกต้อง มันเป็นตัวเลขที่แตกต่างกับความเป็นจริงมากพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้นับเฉพาะ desktop แถมยังนับ reach กันแบบบ้านๆ อีกด้วย เช่นว่า ผู้ใช้เปิดหน้า wall ของตัวเองขึ้นมา แม้จะไม่ได้อ่านทุกๆ ข้อความบน wall นั้น แต่ก็มีการนับว่ามีคนเห็นข้อความนั้นๆ ไปแล้ว

คำถามที่น่าคิดกันต่อไปก็คือ เราควรจะวัดผลแคมเปญการตลาดต่างๆ ของเราบน Facebook แบบใดจึงจะเหมาะสม? ในเมื่อเราเห็นแล้วว่าตัวเลขนั้น Facebook เสกมาชัดๆ

หลายคนบอกว่าก็วัดผลกันเป็นยอดจำนวน Like และค่า Talking about this ก็ได้ มันน่าจะครอบคลุมเพียงพอ แถมตอนนี้ Facebook ก็ยังมีการเพิ่ม metrics ต่างๆ เข้ามาอีกหลายแบบ ตามที่ thumbsup เคยนำเสนอไปแล้ว อย่าง ค่าการกระจายข้อมูลจากการโพสต์ (Page Post Metric)

แต่ถ้าเรามองจากตรรกะการเปลี่ยนแปลงทางด้าน metrics ที่อธิบายไปข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าตัวเลขที่เราเห็นจากส่วน Insights ของ Facebook ที่เป็นค่า soft metrics ต่างๆ นั้นไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไรมากมายสำหรับแคมเปญของเรา เพราะท้ายสุด หน่วยวัดความสำเร็จหรือ KPI ก็ยังคงตกอยู่ที่ยอด Like และค่า Talking about this เช่นเคย ตัวเลขอื่นๆ ที่มาเสริม เช่น Virality, Friends of Fans, Engaged user, จำนวน comment, จำนวน share มันอาจไม่ได้บอกอะไรเราเท่าไหร่เลยก็ได้

แต่สิ่งที่ผมแอบคิดดังๆ ก็คือ การวัดผลแคมเปญการตลาดนั้น ถ้ารายงานด้วย metrics เชิงปริมาณแบบ จำนวน Like และค่า Talking about this ไม่ใช่คำตอบเดียวในการวัดผล แต่การทำการตลาดผ่าน Facebook ควรจะวางเป้าหมายในเชิงคุณภาพที่วางอยู่บนพื้นฐานของเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไปมากกว่า คุณควรจะเขียนลงไปก่อนเริ่มต้นแคมเปญเลยว่า คุณอยากได้อะไร และการวัดผลนั้นจะวัดด้วย action ที่เกิดขึ้น ประมาณไหน และทำความเข้าใจกับผู้บริหารว่า การวัดผลจาก Facebook ควรจะทำในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ

– คุณต้องการสร้าง community แล้วก็นับความสำเร็จจากการตั้งค่า Talking about this ให้สูงเข้าไว้ เพราะ Community ที่ดี จะมี Engagement ถ้าได้ค่า Talking about this สูงสม่ำเสมอเกินกว่า 10% ก็แสดงว่ามี Community เกิดขึ้นจริง

– คุณต้องการทำแคมเปญเพิ่มยอดขาย ก็ต้องเน้นว่าจะวัดผลยอดขายจากผลิตภัณฑ์แต่ละตัวอย่างไร แล้วก็วัดผลด้วยการเอาลิงก์ที่ระบุชัดๆ ส่งลูกค้าตรงไปที่เว็บไซต์ E-commerce ของคุณ คุณจะเห็นได้ว่ามีลูกค้ากี่คนที่แวะชมร้านค้าออนไลน์ของคุณผ่าน Facebook กี่คน คล้ายๆ กับที่ Chris Brogan ทำ

– คุณต้องการประชาสัมพันธ์ event หรือโปรโมชั่น ก็วัดผลกันไปเลยผ่านทาง Event ว่ามีคนคลิก “going/ Maybe/not going” กี่คน หรือมีคนดาวน์โหลดคูปองผ่านแอพฯ กี่คน

– ปรับปรุงคุณภาพ customer service ก็วัดกันไปเลยว่า มีคนพูดถึงเราในทางบวกกี่% พูดถึงเราในทางลบกี่% เราตอบคำถามลูกค้าผ่านทาง Facebook ได้ตามเวลาที่กำหนดหรือไม่ หรือว่าแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าพอใจได้แค่ไหน

ทั้งหมดนี้เป็นอีกมิติหนึ่งในการวัดผล ไม่ใช่วางตัวเลขกันเพียงอย่างเดียวว่าอยากมีแฟน 100,000 คนภายในระยะเวลาเท่านี้แล้วทำให้ถึง แต่ให้คิดว่าตัวเลข 100,000 คนที่เราวางไว้นั้นเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าของเราจริงๆ สัก 50% ได้หรือไม่? และ Engage กับเราจริงหรือไม่ เขาบอกต่อกับเพื่อนของเราด้วยทัศนคติที่ดีต่อผลิตภัณฑ์และแบรนด์หรือไม่ หรือว่าก่นด่าเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่จะวัดด้วยตัวเลขอย่างเดียว

ขอบคุณ Thumbsup.in.th

ศูนย์ข่าวศรีราชา – เครือสหพัฒน์ แตกไลน์ธุรกิจบริการด้วยการเปิดร้านอาหารสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ “อูมั่ย – U Mai Kai Ten Sushi” ประกาศเดินหน้าขยายสาขาครอบคลุมทั้งจังหวัด และหัวเมืองใหญ่ หากผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ

นายทนง ศรีจิตร์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้บริหารสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมด้วยนายสายัญห์ อินทะปุระ รองประธานบริษัท พิทักษ์กิจ จำกัด ได้ร่วมกันทำพิธีเปิดร้านอาหารสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ “อูมั่ย – U Mai Kai Ten Sushi” ซึ่งตั้งอยู่ภายในโครงการ J-Park Sriracha ศูนย์รวมการจำหน่ายสินค้าแฟชั่น สินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคทั้งไทย และญี่ปุ่น ในเขต ต.สุรศักดิ์

ร้านดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อรองรับงานบริการที่ครบวงจร หลังเครือสหพัฒน์ ได้แตกไลน์ธุรกิจบริการและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รวมทั้งธุรกิจกีฬาในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และยังได้จัดพิธีซอฟโอเพ่นนิ่ง (Soft Opening ) โครงการ J-Park Sriracha ไปเมื่อปลายปี 2556 ที่ผ่านมา

นายทนง กล่าวว่า ร้านอาหารดังกล่าวเป็นร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ที่เน้นรสชาติแบบญี่ปุ่น พร้อมตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งชาวไทย และชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอาศัยอยู่ใน อ.ศรีราชา ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน จุดเด่นของร้านอยู่ที่การเสิร์ฟบนสายพาน (Kai Ten) ซึ่งคนไทยที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็สามารถหยิบอาหารที่เสิร์ฟผ่านสายพานได้โดยไม่ต้องสั่งผ่านพนักงาน และหากต้องการอาหารเมนูพิเศษก็สามารถสั่งตรงได้จากเชฟที่ผ่านมาฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ขณะที่สนนราคาก็ประหยัดกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป

“ร้านอาหารอูมั่ย ใช้งบลงทุนประมาณ 7 ล้านบาท และถือเป็นสาขาแรกของเรา ซึ่งนอกจากจะมีรสชาติแบบญี่ปุ่นแล้ว ร้านแห่งนี้ยังตั้งอยู่ในศูนย์การค้าที่มีการตกแต่งในรูปแบบญี่ปุ่นทั้งสวนส่วนกลาง และรูปแบบอาคาร ซึ่งนอกจากจะสร้างความคุ้นชินให้แก่ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาอาศัย และทำงานอยู่ในพื้นที่แล้ว ยังสร้างบรรยากาศเสมือนอยู่ในประเทศญี่ปุ่นให้แก่กลุ่มลูกค้าคนไทยได้มีโอกาสสัมผัสอีกด้วย ”

ขณะที่แผนขยายสาขาร้านอาหารญี่ปุ่น – อูมั่ย บริษัทฯ ตั้งเป้าจะขยายสาขาให้ครอบคลุมในหลายพื้นที่ของจังหวัดชลบุรี และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ รวมทั้งในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมที่บริษัทเข้าไปลงทุน โดยจะประเมินผลประกอบการของร้านดังกล่าวในช่วงปีนี้ เพื่อกำหนดจำนวนสาขาที่จะขยายเพิ่มในอนาคต

“ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เราถือเป็นกลุ่มลงทุนแรกที่มีการลงทุนด้านงานบริการทั้งธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ กีฬา และสวนอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เราได้เพิ่มงานบริการที่เข้าถึงชุมชนมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้รับงานบริการที่ดี และสัมผัสวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นโดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ โดยนำประสบการณ์ที่เกิดจากการลงทุนร่วมกับชาวญี่ปุ่นมานานมาใช้ให้เกิดประโยชน์” นายทนง กล่าว

 

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

จีอีตั้งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานของโลกที่ต้องผลิตได้เร็วขึ้น ในราคาถูกลง และสามารถกระจายแหล่งผลิตไฟฟ้าไป ณ แหล่งใช้งาน

จีอีลงทุนเพิ่มในธุรกิจเครื่องยนต์ก๊าซ เทคโนโลยีกังหัน ผลิตภัณฑ์และการให้บริการแก่ลูกค้า

รายงานของจีอี เรื่อง “การเพิ่มขึ้นของดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์” คาดการณ์ว่า จากปัจจุบันจนถึงปี 2563 ดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ จะเติบโต 40% ซึ่งเป็นการเติบโตที่เร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก

นายจอห์น ไรซ์ รองประธานจีอี และซีอีโอหน่วยงาน Global Growth and Operations ของจีอี และนางลอเรน โบลซิงเกอร์ ผู้นำธุรกิจ ดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ (Distributed Power) ของจีอี ร่วมกับนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐบาล เปิดตัวธุรกิจ ดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของจีอี ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์สามกลุ่ม คือ เครื่องกังหันก๊าซแบบแอโรเดริเวทีฟ เครื่องยนต์ก๊าซเจนบาเคอร์ และเครื่องยนต์ก๊าซวอกาชอ มีเป้าหมายในการให้บริการดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ ให้มากขึ้น จีอีลงทุนสร้างธุรกิจใหม่นี้เป็นเงิน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระยะเวลา 4 ปี เพื่อตอบรับความต้องการระบบผลิตไฟฟ้า ณ แหล่งใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งระบบนี้เป็นระบบที่ง่ายต่อการจัดการด้านเงินทุน ติดตั้งได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและมอบไฟฟ้าที่มีความเสถียรให้กับลูกค้า

นอกจากนี้ จีอียังได้เปิดตัวรายงานเรื่อง “การเพิ่มขึ้นของดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์” ในงานนี้ ซึ่งในรายงานจีอีเน้นว่า การผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ หรือ ดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ (distributed power หรือ DP) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ที่มองหาการผลิตไฟฟ้าที่มีความเสถียร และทางเลือกพลังงานที่มีประสิทธิภาพใกล้แหล่งที่ต้องการใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะส่งผ่านกริดหรือไม่ผ่านกริดก็ตาม ทั้งนี้จีอีคาดว่า นับจากปัจจุบันจนถึงปี 2563 DP จะเติบโต 40% ซึ่งเป็นการเติบโตที่เร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก

รายงานยังระบุว่า ชุมชนและธุรกิจต่างๆ กำลังติดตั้งเทคโนโลยี DP เพื่อช่วยให้พื้นที่ห่างไกลที่กระแส ไฟฟ้าจากกริดไปไม่ถึงมีไฟฟ้าใช้ นอกจากนี้อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในระบบเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ใช้ DP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้กับภาคอุตสาหกรรมและแหล่งที่อยู่อาศัย เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีไฟฟ้าใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และไฟฟ้าดับอย่างกระทันหันด้วยสาเหตุที่ไม่คาดการณ์มาก่อน ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันและก๊าซ ต้อง พึ่งพา พลังงานจากแหล่งพลังงานที่อยู่ในพื้นที่ที่ต้องการใช้ไฟฟ้า เพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับการดำเนินงานในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งใช้เป็นพลังงานในการสูบและบีบอัดก๊าซ

นางลอเรน โบลซิงเกอร์ ประธานและหัวหน้าฝ่ายบริหาร ธุรกิจ ดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ ของจีอี กล่าวว่า “ทุกวันนี้มีผู้คนมากกว่า 1.3 พันล้านคน ไม่มีไฟฟ้าที่มีความเสถียรใช้ ธุรกิจ ดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ ของจีอีจึงตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างตรงจุด เพื่อการพัฒนาประเทศและตอบสนองความต้องการของประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งจีอีมองว่ามีความต้องการโซลูชั่น DP เพิ่มขึ้น เพื่อเสริมความมั่นคงด้านพลังงานในประเทศและสอดคล้องกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น การขยายตัวของระบบ DP ต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและอุตสาหกรรมทั่วโลก เพราะไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและการพัฒนาเศรษฐกิจ”

ในการเปิดตัวครั้งนี้ จีอี ยังได้ลงนามในข้อตกลงต่างๆ ดังนี้

บันทึกความเข้าใจสองฉบับกับ Clean Power Indonesia (CPI) และ PLN ในการพัฒนาและการใช้งานระบบการผลิตไฟฟ้าก๊าซชีวมวลแบบครบวงจรในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีศักยภาพที่จะนำอินโดนีเซียเข้าสู่ระบบพลังงานผสม ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากสิ่งที่ยั่งยืนจากไม้ไผ่และไม้ต่างๆ ภายในประเทศ

ข้อตกลงครั้งใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกจำนวนสองฉบับกับนาวิแกท เอ็นเนอร์ยี ผู้พัฒนาโครงการดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ ในเรื่องการให้บริการ และจัดหาเครื่องยนต์ก๊าซเจนบาเคอร์จำนวน 100 เครื่อง มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 330 เมกะวัตต์ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) หลายแห่งในประเทศอินโดนีเซียและไทย

ข้อตกลงระยะเวลา 10 ปี ในการจัดหาวัสดุส่วนประกอบให้กับนาวิแกท เพื่อใช้ในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ก๊าซเจนบาเคอร์ J620 จำนวน 100 เครื่องที่ได้ติดตั้งไปแล้ว ณ โครงการผลิตไฟฟ้าต่างๆ ในประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และไทย

บันทึกความเข้าใจในการจัดหาเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง รุ่น J920 FleXtra จำนวน 2 เครื่องให้กับนาวิแกท

สัญญาในการจัดหาเครื่องยนต์ก๊าซวอกาชอ รุ่น 12V275GL+ จำนวน 4 เครื่อง และรุ่น VGF48GE จำนวน 2 เครื่อง เพื่อช่วยปรับปรุงสถานีบีบอัดก๊าซที่เลมเบะห์ (Lembak) ของบริษัทน้ำมันเปอร์ตามีนา (Pertamina) ใกล้ๆ เมืองปาเลมบัง โครงการนี้จะช่วยเพิ่มแรงดันในการส่งก๊าซไปยังโรงงานหอกลั่นของเหลวและโรงปุ๋ยของลูกค้า

ข้อตกลงระหว่างจีอี กับ Green & Smart Sdn Bhd (GNS) จากประเทศมาเลเซีย ในการจัดหาโซลูชั่นเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงาน ด้วยการใช้เทคโนโลยีการหมักย่อยสลายสารอินทรีย์ภายใต้สภาวะที่ปราศจากออกซิเจนที่เป็นสิทธิบัตรของ GNS และเทคโนโลยีเครื่องยนต์ก๊าซเจนบาเคอร์ของจีอีเพื่อผลิตไฟฟ้าและส่งเข้ากริดเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้ามาเลเซีย

จีอี ออยล์ แอนด์ แก๊ส และ ดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ ของจีอี ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับ PLN Enjiniring ในโครงการนำร่องการผลิตไฟฟ้าผ่านท่อส่งเสมือนจริงแบบครบวงจร ในหมู่เกาะที่ห่างไกลของอินโดนีเซีย โครงการนี้จะใช้โซลูชั่น Distributed Gas ขนาดเล็กของจีอี ออยล์ แอนด์ แก๊ส, โซลูชั่นการผลิตไฟฟ้าแบบใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติแบบแยกส่วนร่วมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์และกังหันก๊าซของดิสทริบิวเต็ด เพาเวอร์ ของจีอี เพื่อนำเสนอโซลูชั่นการผลิตพลังงานจากก๊าซที่ครอบคลุมโดยไม่ต้องพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นท่อส่ง หรือที่เรียกกันว่า “ท่อส่งเสมือนจริง”

ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
เสรี ศิรินพวงศากร
ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร ประจำประเทศไทยและพม่า
จีอี โกลเบิล โกรท แอนด์ โอปอเรชั่น
โทรศัพท์: 02 648 0813
อีเมล: seri.sirinopwongsagon@ge.com
ขอบคุณ newswit

แม้ไทยจะเปิดให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นได้ถึง 70% ในธุรกิจโรงแรมเป็นครั้งแรกจากการเจรจาจัดทำข้อผูกพันฉบับที่ 8 ภายใต้ข้อตกลงการเปิดเสรีการค้าบริการ แต่ผลกระทบในทางปฏิบัติจะมีไม่มาก เพราะไทยยังตั้งเงื่อนไขให้ใช้ได้เฉพาะโรงแรมระดับตั้งแต่ 6 ดาวขึ้นไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าอนาคตจะส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะกับ SMEs เนื่องจากมีแนวโน้มถูกร้องขอให้เปิดเสรีในโรงแรมระดับรองลงมามากขึ้นเพื่อให้ใกล้เคียงกับประเทศอาเซียนอื่นๆ

ในทางกลับกันธุรกิจไทยควรใช้โอกาสที่ประเทศอาเซียนอื่นๆ เปิดเสรีการลงทุนธุรกิจโรงแรมค่อนข้างมากในการยกระดับไปเป็นผู้เล่นในระดับภูมิภาค เพื่อให้มีเครือข่ายครอบคลุมตลาดที่มีศักยภาพในด้านของนักท่องเที่ยว และสร้างแบรนด์บริหารของไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งเมืองหลวงและเมืองธุรกิจต่างๆ ค่อนข้างมีศักยภาพด้านตลาดผู้เดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจมากขึ้น  โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย และกลุ่มประเทศ CLMV

ตารางข้อผูกพันการค้าบริการเสรีภายใต้ AEC ฉบับที่ 8 ล่าสุด ไทยเปิดโอกาสให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นได้ถึง 70% ในธุรกิจโรงแรมเป็นครั้งแรก หลังจากสงวนเพดานไว้ที่ 49% มาโดยตลอดการเจรจาทั้ง 7 ฉบับที่ผ่านมา การเจรจาเปิดเสรีด้านการค้าบริการภายใต้ข้อตกลง ASEAN Framework Agreement on Services (AFAS) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AEC มีการจัดทำข้อผูกพัน (package of specific commitment) เพื่อเปิดตลาดการค้าบริการในสาขาต่างๆ มาแล้วทั้งหมด 7 ฉบับในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทั้งไทยและหลายๆ ประเทศได้อาศัยความยืดหยุ่นของข้อตกลงเพื่อสงวนและจำกัดเพดานการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจโรงแรมมาโดยตลอด โดยเฉพาะของไทยนั้นไม่ได้ขอสงวนแค่ธุรกิจโรงแรมเท่านั้น แต่จำกัดเพดานการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติไว้ที่ 49% ครอบคลุมทุกสาขาบริการมาโดยตลอด ส่งผลให้ยังไม่มีผลกระทบใดๆ เกิดขึ้นกับธุรกิจบริการในไทยมากนักในช่วงที่ผ่านมา แต่การเจรจาจัดทำข้อผูกพันในฉบับที่ 8 ที่ผ่านมานับเป็นการขยายเพดานการถือหุ้นธุรกิจโรงแรมในไทยให้กับนักลงทุนอาเซียนเป็นครั้งแรก ซึ่งโดยหลักการแล้วจะส่งผลให้นักลงทุนอาเซียนเข้ามาทำธุรกิจโรงแรมในไทยได้ง่ายขึ้นมาก และส่งผลต่อเนื่องให้ภาวะการแข่งขันในธุรกิจมีแนวโน้มสูงขึ้น จากเดิมที่ควบคุมโดย พรบ.ธุรกิจต่างด้าว

การอนุญาตดังกล่าวยังไม่เพิ่มความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญมากนัก เพราะมีเงื่อนไขว่าเปิดเสรีเฉพาะโรงแรมระดับหกดาวขึ้นไป ด้วยความยืดหยุ่นของข้อตกลงใน AEC ที่คำนึงถึงความพร้อมของแต่ละประเทศเป็นหลักเนื่องจากประเทศในอาเซียนมีพัฒนาการแตกต่างกันมาก ทำให้การเปิดเสรีให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นในธุรกิจโรงแรมไทยได้ถึง 70% ยังคงมีเงื่อนไขกำกับ คือ อนุญาตให้เฉพาะโรงแรมในระดับหรูหราไม่ต่ำกว่าระดับ 6 ดาวเท่านั้น ดังนั้น ในทางปฏิบัติจึงจะไม่เห็นผลกระทบอะไรมากนัก เพราะการลงทุนในโรงแรมระดับ 6 ดาวขึ้นไปมักจะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่ามากกว่า 500 ล้าน ซึ่งสามารถขอสมัครรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้อีกทางหนึ่งอยู่แล้วซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถึงหุ้นได้ถึง 100% และคาดว่าโครงการโรงแรมที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนน่าจะได้รับการอนุม้ติได้ไม่ยากนักเนื่องจากการลงทุนในขนาดดังกล่าวส่วนใหญ่ยังต้องอาศัยเงินลงทุนและนักลงทุนจากต่างชาติมากกว่า ทั้งนี้ การกำหนดเงื่อนไขสำหรับธุรกิจโรงแรมในการเจรจาจัดทำข้อผูกพันสำหรับข้อตกลงการค้าบริการเสรีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะเกือบทุกประเทศในอาเซียนก็สร้างเงื่อนไขการลงทุนเช่นกัน ยกเว้นเพียงสิงคโปร์และเวียดนามที่ดูจะเปิดเสรีมากที่สุดในกรณีธุรกิจโรงแรม อินโดนีเซียนั้นอนุญาตให้นักลงทุนอาเซียนถือหุ้นได้ถึง 100% แต่จำกัดอยู่ในบางพื้นที่ ในขณะที่มาเลเซียนั้นอนุญาตเฉพาะโรงแรม 4-5 ดาว ส่วนฟิลิปปินส์นั้นยังคงจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติไว้ให้เป็นเสียงข้างน้อย (minority share) (รูปที่ 1)

คาดว่าไทยมีแนวโน้มจะถูกขอให้เปิดเสรีธุรกิจโรงแรมมากขึ้นในระดับดาวรองลงมาในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างจริงจังต่อภาวะการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมในไทย ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบระดับการเปิดเสรีสำหรับธุรกิจโรงแรมของประเทศต่างๆ ในอาเซียนแล้ว ดูเหมือนว่าไทยจะยังเปิดเสรีน้อยที่สุดรองลงมาจากฟิลิปปินส์ ซึ่งด้วยรูปแบบการเจรจาในลักษณะ request and offer จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนจะเรียกร้อง ให้ไทยเปิดเสรีในธุรกิจโรงแรมมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับที่รองลงมาจาก 6 ดาวที่เป็นเงื่อนไขปัจจุบัน เนื่องจากประเทศอื่นๆ เปิดเสรีให้มากกว่า และไทยเป็นประเทศที่มีตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดในอาเซียนและยังเป็นศูนย์กลาง (hub) สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวต่อไปยังประเทศรอบข้างได้ง่าย หากไทยเปิดเสรีให้นักลงทุนอาเซียนสำหรับโรงแรมระดับรองลงมาด้วยแล้วคาดว่าจะส่งผลกระทบมากขึ้นเพราะผู้ที่จะได้รับผลกระทบส่วนใหญ่จะเป็น SMEs ซึ่งปัจจุบันก็เผชิญการแข่งขันที่สูงมากอยู่แล้ว สังเกตได้จากระดับราคาห้องพักที่ปรับเพิ่มขึ้นได้เฉลี่ยเพียง 2% ทั้งๆ ที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปี 2013 ที่ผ่านมา และแม้ว่าที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรมและกลุ่มทุนต่างชาติใหญ่ๆ จะสามารถหาช่องทางลงทุนในไทยได้อยู่แล้วด้วยช่องทางและกลวิธีต่างๆ แต่การเปิดเสรีใน AEC จะยิ่งอำนวยความสะดวก และลดภาระและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผ่านช่องทางที่ซับซ้อนได้มาก ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นอีก

และแม้ประเทศอาเซียนอื่นๆ จะเปิดเสรีให้นักลงทุนไทยเช่นกันซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของธุรกิจไทย แต่ประสบการณ์การออกไปลงทุนต่างประเทศของโรงแรมไทยยังมีน้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากมาเลเซียและสิงคโปร์
 ธุรกิจโรงแรมของไทยมีเพียงน้อยรายที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งแตกต่างจากผู้เล่นรายใหญ่ๆ ของทั้งสิงคโปร์และมาเลเซียที่ทุกรายในอันดับต้นๆ จะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากการลงทุนหรือดำเนินธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ และส่วนใหญ่มาจากมากกว่าหนึ่งประเทศ (รูปที่ 2) ดังนั้น ในเวทีแข่งขันระดับภูมิภาค ธุรกิจไทยจึงอาจมีข้อเสียเปรียบในด้านของประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจไทยควรอาศัยโอกาสการทยอยเปิดเสรีมากขึ้นนี้เข้าไปลงทุนในประเทศอาเซียนอื่นๆ เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายโรงแรมให้ครอบคลุมและเพิ่มมูลค่าให้แบรนด์บริหารโรงแรมของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลธุรกิจเพราะตลาดนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางติดต่อธุรกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงในหลายๆ ประเทศ ซึ่งเมืองหลวงและหัวเมืองสำคัญกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางหลัก ยกตัวอย่างเช่น จำนวนนักท่องเที่ยวไปจาการ์ตาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 12% มากกว่าบาหลีที่เพิ่มขึ้นราวปีละ 10% ซึ่งสวนทางกับสถิติในช่วง 5 ปีก่อนหน้านั้นที่จำนวนผู้เดินทางมาจาการ์ตาเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 1% และนักท่องเที่ยวเข้าบาหลีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% เป็นต้น ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักๆ ก็คงเป็นจำนวนเที่ยวบินและสายการบินต้นทุนต่ำที่เกิดขึ้นค่อนข้างมากในระยะหลัง

นักลงทุนธุรกิจโรงแรมไทยควรพิจารณาลงทุนในเมืองธุรกิจในประเทศอาเซียนอื่นๆ โดยอาศัยข้อดีจากการเปิดเสรีการค้าบริการในธุรกิจโรงแรมที่ประเทศอาเซียนอื่นๆ มีระดับการอนุญาตมากกว่าไทย
 เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังเติบโตสูงอย่างอินโดนีเซียและ CLMV จะสร้างการขยายตัวของเมืองและเพิ่มปริมาณการเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจ ส่งผลให้มีความต้องการห้องพักโรงแรมเพิ่มขึ้นในย่านธุรกิจต่างๆ

โรงแรมระดับกลาง-ล่างในไทยต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน การรวมกลุ่ม สร้างเครือข่าย และสร้างแบรนด์ เพื่อรองรับการเปิดเสรีธุรกิจโรงแรมของไทยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตให้เท่าเทียมกับประเทศอาเซียนอื่นๆ เนื่องจากโรงแรมในไทยเป็นธุรกิจขนาดกลาง-เล็กเป็นส่วนใหญ่และเป็นการบริหารโดยครอบครัวซึ่งในอนาคตมีความเสี่ยงมากขึ้นจากทั้งการที่ผู้เล่นรายใหญ่ในประเทศลงมาทำธุรกิจโรงแรมในระดับล่างลงมามากขึ้นโดยอาศัยการใช้แบรนด์บริหารโรงแรมที่มีชื่อเสียงเป็นข้อได้เปรียบ และการที่ไทยมีแนวโน้มถูกร้องขอให้เปิดเสรีธุรกิจโรงแรมระดับต่ำกว่า 6 ดาวลงมาให้กับนักลงทุนอาเซียนมากขึ้นในอนาคต

ขอบคุณ ประชาชาติออนไลน์

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์จับมือภาคอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องหนังไทย เตรียมเดินหน้าจัดงานแสดงสินค้าแฟชั่นและงานแสดงสินค้าเครื่องหนัง 2557 หรือ Bangkok International Fashion Fair and Bangkok International Leather Fair 2014 (BIFF&BIL 2014) มั่นใจเปิดเวทีแสดงสินค้าระดับนานาชาติครั้งใหญ่ในอาเซียน ผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแฟชั่นและเครื่องหนังในภูมิภาค เผยยอดผู้ประกอบการไทยและต่างชาติตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 700 คูหา ขณะที่กรมฯ เร่งทำแผนการค้าเชิงรุกเจาะกลุ่มผู้ซื้อโดยตรง หวังดึงดูดคู่ค้าร่วมงานกว่า 6,000 ราย กระตุ้นคำสั่งซื้อไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงการจัดงาน BIFF&BIL 2014 ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 12 – 16 มีนาคมนี้ ว่าจากการที่มีสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ประชุมหารือและสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมแฟชั่นสิ่งทอและเครื่องหนังที่สมัครเข้าร่วมงาน BIFF & BIL ในปีนี้ ปรากฏว่าผู้ประกอบการไทยกว่าร้อยละ 90 ต่างแสดงความคิดเห็นตรงกันให้เดินหน้าจัดงานตามกำหนดการเดิม เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศและกระตุ้นความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากเล็งเห็นว่างาน BIFF & BILเป็นงานแสดงสินค้าแฟชั่น และเครื่องหนังครั้งใหญ่ในอาเซียน ถือเป็นเวทีการค้าระดับนานาชาติที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 32 ปี และมีส่วนช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนังไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ภาพรวมของอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องหนังไทยในปี 2556 ถือว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยการส่งออกของปี 2556 มีมูลค่า 9,223.67 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งออกเป็น สินค้าผ้าผืนและเส้นด้าย 2,525.26 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.85 สินค้าเครื่องนุ่งห่ม มูลค่า 2,873.50 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวลดลงร้อยละ 2.58 สินค้าสิ่งทออื่นๆ มูลค่า 2,083.82 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.61 และสินค้าเครื่องหนัง เครื่องใช้ในการเดินทางและรองเท้า มีมูลค่าส่งออก 1,741.08 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.36 สำหรับเป้าหมายการส่งออกสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนังในปี 2557 กรมฯ คาดว่าจะสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายร้อยละ 5 เนื่องจากปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวและแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักของไทย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีในการเดินหน้าจัดงาน BIFF&BIL 2014 ให้เป็นเวทีการค้าที่ผู้ผลิต ผู้ซื้อ ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ดีไซเนอร์และผู้จัดจำหน่ายได้มาพบปะเจรจาธุรกิจเพื่อขยายช่องทางสู่ตลาดโลก

“การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 มาพร้อมกับโอกาสการค้าที่มากขึ้น เนื่องจากฐานลูกค้าได้ขยายครอบคลุมประชากรกว่า 600 ล้านคน ผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาธุรกิจ ศึกษาตลาด เพื่อเตรียมพร้อมรองรับโอกาสและการแข่งขันที่มากขึ้นด้วย ในขณะที่กรมฯ ได้เร่งทำแผนการค้าเชิงรุกเพื่อเจาะเข้าถึงผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าแฟชั่นที่สำคัญในต่างประเทศ การจัดคณะผู้แทนการค้าไปเจรจาการค้ากับผู้ซื้อรายใหญ่ในตลาดศักยภาพ รวมถึงการนำคณะผู้แทนการค้าจากต่างประเทศมาเยือนไทยด้วย ทั้งนี้ งาน BIFF&BIL 2014 ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสสร้าง และรักษาเครือข่ายการค้ากับผู้ซื้อที่มีศักยภาพทั้งในตลาดใหม่และตลาดเดิม เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน ยุโรป รวมถึงอเมริกาและอื่นๆ ที่คาดว่าจะสนใจเข้าชมงานกว่า 6,000 ราย และผลักดันยอดคำสั่งซื้อไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท” อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าว

สำหรับงาน BIFF&BIL 2014 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 16 มีนาคม 2557 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด STYLE+DESIGN ASEAN เพื่อเผยแพร่ศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องหนังไทยที่มีกระบวนการผลิตที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต การตลาด และการค้าสิ่งทอและเครื่องหนังที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย พร้อมทั้งเปิดเวทีให้นักออกแบบสินค้าแฟชั่นได้แสดงผลงาน และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีศักยภาพในการผลิต และการออกแบบได้มีโอกาสขยายช่องทางการค้าสู่ตลาดโลก

จุดเด่นของงานในปีนี้ คือเป็นการพัฒนารูปแบบงานให้มีความน่าสนใจและเป็นสากลมากขึ้น โดยมีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ กลุ่มอาเซียน, ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน, ไต้หวัน, ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ตอบรับนำสินค้าเข้าร่วมจัดแสดงกว่า 700 คูหาแบ่งพื้นที่ออกเป็นหมวดหมู่ ด้วยแนวคิด Fair-in-Fair ประกอบด้วย สินค้าสิ่งทอ (Textile), เครื่องนุ่งห่ม (Apparel), เครื่องประดับแฟชั่น (Fashion Accessories),เครื่องหนัง (Leather Goods), รองเท้า (Footwear), หนังฟอกสำเร็จ (Tanned Leather), แฟชั่นและเครื่องหนังที่มีเอกลักษณ์หรือลวดลายเฉพาะตัว (Thai Exotic), ดีไซเนอร์ (Designer) และสินค้าแบรนด์จากต่างประเทศ (International Zone)

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจ อาทิ การจับคู่ธุรกิจ Business Matching,  นิทรรศการ Small Lot Order ตอบโจทย์ความต้องการสั่งซื้อสินค้าปริมาณน้อย แต่เน้นคุณภาพและดีไซน์ตามความต้องการ   การแสดงผลงานผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพัฒนาการออกแบบในโครงการ Workshop โดย ผศ.ดร.อโนทัย ชลชาติภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอของไทย จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นิทรรศการจัดแสดงสินค้าและแนวโน้มเครื่องหนัง และนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบจาก 30 ดีไซเนอร์รุ่นใหม่มาโชว์ใน Designers’ Room และพื้นที่จัดแสดงผลงานของดีไซเนอร์แบรนด์ชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ

อีกทั้งยังมีนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่นในโครงการ Asia Fashion Federation (AFF), จาก 6 ประเทศสมาชิก ผลงานสินค้าที่ได้รับการพัฒนาจากศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่น Fashion Product Development Center (FPDC), การจัดแสดงผ้าผืนจากโครงการ Japan – Thailand Textile and Apparel Collaboration (JTC ) ที่เป็นการพัฒนาทั้งนวัตกรรมการผลิตและรูปแบบระหว่างไทย-ญี่ปุ่นเพื่อจำหน่ายในตลาดญี่ปุ่น นอกจากนี้ ภายในโซนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ยังมีการแสดงนวัตกรรมสิ่งทอ เช่น เส้นใยทอละเอียดเพื่องานสิ่งทอคุณภาพสูงรองรับการผลิตสินค้าแฟชั่นแบรนด์ชั้นนำของโลก การพัฒนาเส้นใยธรรมชาติใหม่ๆ และการผสมผสานกับเส้นใยต่างๆ รวมไปถึง  การฟอกย้อมโดยการใช้วัสดุธรรมชาติไม่ใช้สารเคมี (Natural dye) และการทดลองการฟอกย้อมแบบไม่ใช้น้ำ เป็นนวัตกรรมใหม่เน้นการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้ซื้อในตลาดโลกที่ต้องการสินค้าคุณภาพสูง โดยเฉพาะใน ตลาดญี่ปุ่น และยุโรป

ในส่วนของอุตสาหกรรมเครื่องหนังมีการจัดแสดงสินค้าเครื่องหนังตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ รวมทั้งนวัตกรรมการผลิตหนังใหม่ๆ อาทิ การพัฒนาหนังที่มีน้ำหนักเบาเพื่อตอบโจทย์เครื่องหนังแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และผลิตภัณฑ์หนังสัตว์ที่มีเอกลักษณ์หรือลวดลายเฉพาะตัว (Exotics Leather) ซึ่งไทยถือเป็นผู้นำด้านการผลิต เพื่อการส่งออกของโลก รวมทั้งยังมีการบรรยายแนะนำเทรนด์สินค้าเครื่องหนังปี 2014/15 โดยผู้เชี่ยวชาญจากอิตาลี อาทิ Mr.Giorgio Cannara นายกสมาคมเครื่องหนังอิตาลี Mr.Roberto Ricci ผู้กำหนดเทรนด์ในงานแสดงสินค้า Lineapelle และงานแสดงสินค้าเครื่องหนัง Mipel

สำหรับกิจกรรมไฮไลท์ที่จัดขึ้นในปีนี้เป็นครั้งแรก ได้แก่นิทรรศการแสดงสินค้าแฟชั่นสำหรับผู้สูงอายุ สำหรับผู้ซื้อกลุ่มใหม่ที่ต้องการซื้อสินค้าหลากหลายประเภท นอกจากนี้ ยังมีเวทีแสดงแฟชั่นโชว์ผลงานการออกแบบ อันโดดเด่นของดีไซเนอร์ไทยและอาเซียน รวมถึงแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี และ สหรัฐอเมริกา ฯลฯ

“ขณะนี้ กรมฯได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์การจัดงาน BIFF & BIL 2014 ไปยังกลุ่มผู้ประกอบการ ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยการประสานงานร่วมกับสำนักงานในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ทั่วโลกกว่า 65 แห่ง รวมทั้งสำนักงานส่งเสริมการค้าในภูมิภาค เพื่อเชิญผู้ซื้อที่เป็นผู้ค้าส่ง ค้าปลีก และผู้ค้าชายแดน และเพื่อเป็นการเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานฯ กรมฯ ยังได้อำนวยความสะดวกในเรื่องของการนัดหมายจับคู่ธุรกิจ Business Matching แบบล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ www.biffandbilmatching.com เพื่อให้ผู้ซื้อได้สะดวกขึ้น” นางนันทวัลย์ กล่าวเพิ่มเติม

งาน BIFF&BIL 2014 เตรียมเปิดฉากในวันที่ 12 – 16 มีนาคม 2557 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยวันที่ 12 -14 มีนาคม 2557 เป็นวันเจรจาธุรกิจ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 18.00 น. และวันจำหน่ายปลีก 15 – 16 มีนาคม 2557  ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น.

ขอบคุณ ประชาชาติออนไลน์

แม็คโครบุกเกาะพะงัน เปิดสาขาใหม่รองรับความต้องการลูกค้า

สุราษฎร์ธานี – แม็คโครเปิดสาขาใหม่บนเกาะพะงัน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่บนเนื้อที่ 1,800 ตารางเมตร จำหน่ายอาหารที่จำเป็นกว่า 5,000 รายการ 
นายสันติ จันทร์แรม ผู้จัดการทั่วไป แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาเกาะพะงัน เปิดเผยว่า “ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บนเกาะพะงัน มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พื้นที่กว่า 170 ตารางกิโลเมตร ของเกาะพะงัน ประกอบไปด้วยสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย ทั้งชายหาดขาว น้ำตก อุทยานแห่งชาติ พร้อมกิจกรรมทางทะเลที่หลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็น ดำน้ำ เดินป่า ดูนก การชมวิถีชีวิตของชาวประมง ทำให้เกาะพะงันได้รับความสนใจ และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากขึ้นเป็นลำดับทุกปี ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกว่า 3 แสนคนต่อปีซึ่งแม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาเกาะพะงัน เป็นสโตร์รูปแบบใหม่ของแม็คโคร เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบนเกาะพะงัน และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ได้รับการออกแบบเฉพาะโดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าสมาชิกกลุ่มร้านอาหารเป็นหลัก แม็คโคร ฟูดเซอร์วิส สาขาเกาะพะงัน ถือเป็นสโตร์ฟูดเซอร์วิสแห่งที่ 4 ของแม็คโคร จำหน่ายสินค้าที่ร้านอาหารจำเป็นต้องใช้ในแต่ละวันมากกว่า 5,000 รายการ ทั้งอาหารแช่แข็ง อาหารแห้ง เครื่องปรุง เนื้อสัตว์ ไข่ ผักสลัด ชีส เบเกอรี และภาชนะบรรจุอาหาร พร้อมกันนี้ ยังจำหน่ายเนื้อนำเข้า และเครื่องดื่มสำหรับใช้ในร้านอาหารอีกด้วย บนพื้นที่จำหน่ายสินค้ากว่า 1,800 ตารางเมต
นายสันติ กล่าวอีกว่า ด้วยทำเลที่ใกล้ร้านอาหารและโรงแรมมากขึ้น จะทำให้ลูกค้าผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถซื้อวัตถุดิบ และสินค้าจำเป็นสำหรับร้านอาหารได้สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางนั่งเรือ นั่งรถเข้าตัวเมืองเพื่อซื้อของเหมือนที่ผ่านมา ช่วยประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อซื้อวัตถุดิบในแต่ละวัน ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร และโรงแรมให้สามารถลดต้นทุน เพิ่มกำไร และดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

ขอบคุณ ผู้จัดการออนไลน์

 

ปักกิ่ง 24 ก.พ.- สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ของจีน ได้ประกาศมาตรการใหม่เพื่อกวาดล้างการทุจริตรับสินบนในแวดวงราชการ โดยจะกระจายการรวมอำนาจของส่วนกลาง เพิ่มความโปร่งใส และสร้างทัศนคติจะไม่ยอมทนต่อการทุจริต

นายกรัฐมนตรีหลี่ ประกาศเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ แต่ซินหัวเพิ่งรายงานเมื่อค่ำวานนี้ เขากล่าวว่า การที่รัฐบาลกลางควบคุมมากเกินไปและเข้าไปแทรกแซงเศรษฐกิจจุลภาคโดยตรง นอกจากจะกระทบต่อความสามารถของตลาดในการตัดสินใจจัดสรรทรัพยากรแล้ว ยังจะทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นและเปิดช่องให้เกิดการทุจริตรับสินบน ปีที่แล้วรัฐบาลยึดเงินได้ 400,000 ล้านหยวน (ราว 2 ล้านล้านบาท) ระหว่างสอบสวนคดีทุจริต ลงโทษเจ้าหน้าที่ทำผิดวินัยแล้วกว่า 40,000 คน และไล่ออกไปแล้ว 10,000 คน รัฐบาลจะสร้างทัศนคติจะไม่ยอมทนต่อผู้ทุจริตในแวดวงราชการ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครจะต้องถูกสอบสวนจนถึงที่สุด

นายกรัฐมนตรีหลี่ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลจะเปิดเผยงบประมาณและบัญชีทั้งหมด รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้มงวดการยับยั้งชั่งใจของเครือญาติและเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชา.-สำนักข่าวไทย

กสอ.ผุดไอเดีย “พิซซ่าโมเดล” หนุน SME สู้วิกฤตไทยรับมือ AEC

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมร่วมระดมสมอง ผุดไอเดีย “พิซซ่าโมเดล” หวังยกระดับภาคอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี รับมือการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันที่รุนแรงหลังเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พร้อมชู 6 โมเดลการพัฒนาตลาดเฉพาะกลุ่ม กรอบความคิดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การบริหารการเงินอย่างชาญฉลาด กลยุทธ์เครือข่ายธุรกิจ การสร้างโอกาสทางธุรกิจ กรอบความคิดที่ถูกต้อง

นางอรรชกา สีบุญเรือง อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จากการที่ทั่วโลกกำลังหันมาให้ความสนใจในประเทศแถบเอเชียมากขึ้น อันสืบเนื่องจากความเจริญรุดหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศจีน และอินเดีย รวมถึงการรวมตัวกันของประเทศในกลุ่มอาเซียน อันก่อให้เกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้เกิดตลาดในภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าของแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ หากมีการขยายความร่วมมือการค้าเสรีกับคู่ค้าสำคัญอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 3,000 ล้านคน จึงนับเป็นโอกาสทางการตลาดอันมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมไทย ซึ่งหากมองในภาพรวม การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะช่วยให้ประเทศสมาชิกมีความเป็นปึกแผ่นและช่วยสร้างอำนาจการต่อรองในเวทีการค้าต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย

กสอ.ผุดไอเดีย “พิซซ่าโมเดล” หนุน SME สู้วิกฤตไทยรับมือ AEC
นางอรรชกา สีบุญเรือง อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ SMEs ก็ต้องปรับตัวเพื่อเตรียมความพร้อมความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม CLMV ที่สำคัญต้องศึกษาแนวโน้มความต้องการของตลาดอาเซียน ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการย้ายฐานการผลิตไปยังแหล่งวัตถุดิบและแรงงานที่ถูกกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ต้องเรียนรู้วิธีที่จะรักษาทรัพยากรบุคคลเพื่อป้องกันการถูกแย่งชิงแรงงานที่มีฝีมือ

นอกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องธรรมาภิบาล และเรื่องที่ท้าทายที่อุตสาหกรรมต่างๆ ต้องเร่งแข่งขัน การเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสีเขียวต้องรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) สู่การผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าเตรียมรับมือกับ AEC ได้อย่างสร้างสรรค์ และยั่งยืน

นางอรรชกากล่าวต่อว่า ภาคอุตสาหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นกลุ่มที่ต้องมีการปรับตัว เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนตลอดเวลา และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัว เสริมความแข็งแกร่งให้ตนเองเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ในส่วนของอุตสาหกรรมเครื่องเรือน กองพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ AEC ในหลักสูตร “พิซซ่าโมเดล” โมเดลความอยู่รอดอุตสาหกรรม SMEs ในยุควิกฤต ระดมสมองยักษ์ใหญ่สร้างโมเดลปฏิรูปอุตสาหกรรม SMEs เพื่อการอยู่รอดอย่างสร้างสรรค์รับมือ AEC และการค้าชายแดน โดยได้คิด 6 โมเดลทางธุรกิจขึ้น ประกอบด้วย การพัฒนาตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niches Development) กรอบความคิดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Mindset) การบริหารการเงินอย่างชาญฉลาด (Financially Guru Smart) กลยุทธ์เครือข่ายธุรกิจ (Network Strategy) การสร้างโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity) กรอบความคิดที่ถูกต้อง (Right Mindset)

ทั้งนี้ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “พิซซ่าโมเดล” โดยวิทยากรที่มีชื่อเสียง เช่น คุณโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานสภาสถาบันและกรรมการบริหารสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) คุณบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) คุณเอกสิทธิ์ อเนกสิทธิสิน เลขาธิการสมาคมธุรกิจค้าไม้ และคุณณรงค์ ประเสริฐศรี สำนักงานทูตการเกษตร สถานทูตสหรัฐอเมริกาเพื่อหาทางออกวิกฤตอุตสาหกรรม SMEs ของชาติ ฯลฯ มาร่วมแชร์ประสบการณ์ และให้ความรู้ โดยตั้งเป้าหมายให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมในภาพรวม ไม่เพียงกลุ่มอุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ไทยสามารถเข้าใจในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน สามารถประเมินความอยู่รอดของตนเองในสภาวะวิกฤตนี้ได้ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ และการเมือง

ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์

ขณะที่ภูฏานชวนผู้ประกอบก่อสร้างไทยไปลงทุน

สถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทยประสบผลสำเร็จ หลังกลุ่มธุรกิจและสมาคมก่อสร้างแห่งภูฏานดูงานที่ไทย ส่งผลให้เกิดการจับคู่การค้าและการลงทุนที่จะเปิดตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ภูฏาน เผยแนวโน้มยังมีการร่วมทุนระหว่างกันต่อเนื่อง เตรียมควงนักธุรกิจไทยไปดูงานถึงภูฏาน ระหว่างวันที่ 22-26 เมษายนนี้ พร้อมจัดงาน “Thailand Construction Expo” ที่เมืองทิมพู ภูฏาน เดือนกันยายน-ตุลาคมนี้

นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทยร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้การต้อนรับกลุ่มผู้ประกอบการก่อสร้างและตัวแทนสมาคมก่อสร้างแห่งประเทศภูฏาน กว่า 30 คน ที่เดินทางมาดูเทคโนโลยีด้านการก่อสร้างของไทย รวมถึงเชิญชวนผู้ประกอบการก่อสร้างของไทยไปลงทุนที่ภูฏาน เนื่องจากขณะนี้ภาคการก่อสร้างของภูฏานขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าไทยมีศักยภาพในอุตสาหกรรมดังกล่าว

นายจักรพร อุ่นจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 20-24 มกราคมที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและสมาคมก่อสร้างแห่งภูฏานได้เดินทางมาไทย เพื่อเข้ามาพบปะผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง และศึกษาดูงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างไทย ทำให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการก่อสร้างไทยกับภูฏาน เพื่อรับงานภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง   ที่ภูฏาน

นอกจากนี้ยังได้ตกลงซื้อเครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการก่อสร้างที่สามารถขนส่งทางเครื่องบินได้ในเบื้องต้นแล้ว และอีกส่วนอยู่ระหว่างการเจรจาการค้าและการลงทุนด้านการจัดหาวัสดุ เครื่องจักร อุปกรณ์ น้ำยา เฟอร์นิเจอร์ในงานก่อสร้าง รวมถึงความร่วมมือระหว่างไทยและภูฏานที่จะมีการฝึกอบรมช่างก่อสร้างที่ภูฏาน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สถาบันก่อสร้างฯ จะนำผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย ประกอบด้วย กลุ่มสถาปนิก วิศวกร กลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรอุปกรณ์ น้ำยาเคมี เฟอร์นิเจอร์ ผู้ประกอบการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ เดินทางไปยังภูฏาน เพื่อศึกษาลู่ทางการค้าและการลงทุนในระหว่างวันที่ 22-26 เมษายน 2557

“จะเปิดตลาดการค้าและการลงทุนในภูฏาน โดยมีกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ช่วงเดือนกันยายน-เดือนตุลาคมนี้ จะมีการจัดงาน Thailand Construction Expo ที่เมืองทิมพู ภูฏาน เพื่อจะเป็นเวทีเจรจาการค้าและการลงทุนอุตสาหกรรมก่อสร้างอีกครั้ง” นายจักรพร กล่าว

ด้านนางพุบ ซัม นายกสมาคมก่อสร้างประเทศภูฏาน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศภูฏานอยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างสมบูรณ์ ซึ่งต้องมีการลงทุนระบบสาธารณูปโภคเพื่อการก่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ท รวมถึงที่พักอาศัย  เพื่อรองรับการท่องเที่ยวดังกล่าว แต่ปัจจุบันภูฏานยังมีขีดจำกัดของระบบสาธารณูปโภคในการรองรับ ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีการลงทุนด้านต่าง ๆ ซึ่งมองว่ามี 2 ประเทศที่มีระบบเทคโนโลยีสอดคล้องกับภูมิศาสตร์ ได้แก่ ไทยและอินเดีย

ทั้งนี้ จากการที่เข้ามาดูงานในไทย ไม่ว่าจะเป็นโรงงานต่าง ๆ เช่น โรงงานผลิต  แผ่นผนังสำเร็จรูป แบบพรีแฟบ (Prefab) และศูนย์ SCG Building material Center เห็นว่าไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้การผลิตวัสดุอุปกรณ์ การก่อสร้างระบบต่าง ๆ ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งยังรวดเร็วในการก่อสร้าง เนื่องจากประเทศภูฏานยังขาดเครื่องจักรและเทคโนโลยี จึงทำให้ใช้เวลาการก่อสร้างนาน

“รัฐบาลภูฏานจัดสรรงบประมาณการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคสูงถึงร้อยละ 50 จากงบรวมของประเทศ เพื่อที่จะรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มีศักยภาพระยะยาว ซึ่งการมาพบและดูงานในไทยครั้งนี้ นอกจากการศึกษาความรู้ด้านผลิตภัณฑ์และการก่อสร้างในประเทศไทยแล้ว ยังมีเป้าหมายที่จะหาคู่ค้าเพื่อการลงทุนกับภูฏานในอนาคตด้วย” นางพุบ กล่าว. – สำนักข่าวไทย

ขอบคุณ Mcot.net

icon Tomorrow’s E-Commerce : Trend & Marketing 

ธุรกิจออนไลน์ถือเป็นเทรนด์แห่งอนาคต ผู้คนเริ่มให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการเลือกใช้ google, youtube, facebook และ instagram เป็นช่องทางหนึ่งในการนำเสนอสินค้า ซึ่งมีความแพร่หลายและเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากสิ่งที่ใช้อยู่เป็นกิจวัตร  อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้สนใจในการทำธุรกิจออนไลน์เป็นจำนวนมาก สิ่งที่สำคัญคือ แต่ละท่านได้ “ลงมือทำ และเชื่อมั่นต่อการทำธุรกิจออนไลน์แล้วหรือไม่”

การจะทำธุรกิจออนไลน์ ต้องเข้าใจ คำแรก คือ คำว่า Trend โดย Trend นั้น หมายถึง “การหาสินค้า” (ขายอะไรดี)  นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด สินค้าที่ขายได้ดีที่สุดในโลกออนไลน์ คือ สินค้าที่ไม่สามารถหาได้ในโลกแห่งความเป็นจริง หรือหาได้ยาก (เฉพาะทาง) และต้องเป็นสินค้าที่เป็น “Need” (ความจำเป็นทางจิตใจ) ไม่ใช่ “Want” (ความต้องการ) จึงขอนำเสนอกฏสำคัญ 5 ข้อสำหรับสินค้าที่ขายได้ดีตลอดกาล

1.   สินค้าที่ทำให้ลูกค้าดูโดดเด่นในสังคม เป็นสินค้าที่สร้างความรู้สึกทางใจให้แก่ผู้ซื้อ และทำให้บุคคลภายนอกมองเห็นได้อย่างชัดเจน จะสร้างความภาคภูมิใจ และความไม่เหมือนใครให้แก่ผู้ซื้อได้

2.   สินค้าที่ตอบสนองด้านความสวยงาม และทำให้ผู้อื่นเกิดความสนใจต่อผู้ซื้อ เกี่ยวกับการแต่งตัว หน้าตา และสิ่งที่ทำให้เพศตรงข้ามสนใจ

3.   สินค้าที่เล่นกับความทุกข์ของคนหรือช่วยให้คนหายทุกข์ หายเจ็บปวด

4.   สินค้าที่ทำให้คนที่เรารักมีความสุข

5.   สินค้าที่ตอบสนองงานอดิเรก สิ่งที่ชอบ

คำที่สองที่ต้องรู้จัก คือ คำว่า  Marketing หรือ “การทำการตลาด” (ขายของได้) ทำอย่างไรให้ลูกค้าเห็นสินค้าของเราให้ได้มากที่สุด  โดยเราต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้าให้ชัดเจน เพื่อให้เราทำการตลาดได้อย่างตรงจุด ปัจจุบัน การทำการตลาดสำหรับการค้นหาสินค้านิยมใช้ 2 วิธี คือ

1. SEO (Search Engine Optimization) โดยการเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในส่วนของผลการค้นหาให้อยู่ในลำดับต้น ๆ หรือหน้าแรก โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฏของ Search Engine นั้น ๆ

2. PPC (Pay Per Click) คือ ส่วนของพื้นที่โฆษณาซึ่งอยู่ในหน้าผลการค้นหาเช่นกัน แต่ต้องจ่ายเงินเมื่อมีการคลิกเปิดเข้าไปดูเว็บไซต์ PPC มีข้อแตกต่างกับ SEO ตรงที่สามารถแสดงผลในลำดับต้น ๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีการอื่น ๆ ที่ทำให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จัก ได้แก่ การทำ Google Adwords, การทำ Classified Marketing หรือการประกาศขายผ่านเว็บไซต์ประกาศต่าง ๆ , การโฆษณาลงเว็บบอร์ด และการลงสินค้าบน Facebook

ธุรกิจออนไลน์ถือเป็นการลงทุนทางธุรกิจที่มีต้นทุนถูกที่สุด และมีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น ผู้ประกอบธุรกิจต้องศึกษาและทำความเข้าใจ “Trend” กับ “Marketing” ให้ถ่องแท้ก่อนตัดสินใจ เพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จตามที่ตั้งไว้ จากนั้น ลงมือทำด้วยความตั้งใจ

ข้อมูลจาก : คุณวรเศรษฐ์ เมธาอัครพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอบายโกลบอกเทรด จำกัด

จากการสัมมนา “Tomorrow’s E-Commerce : Trend & Marketing”

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

12-13 ธันวาคม 2556 

 

คณะกรรมการจำนำ 2 ปีฉุดยอดส่งออกข้าว “กมลกิจ” หด 40% แก้เกมอัดงบฯ 600 ล้านบาท ขยายคลังสินค้า รีแบรนด์น้ำมันรำข้าวชิม มองไกลเร่งวิจัยและพัฒนาสู่เวชสำอาง-ยา ตั้งเป้าโกยรายได้ปี′57 ทะลุ 8,000 ล้านบาท

นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ ประธานกรรมการบริหาร กมลกิจกรุ๊ป ผู้ส่งออกข้าวนึ่ง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายหลังจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในช่วง 2 ปี นับจากปี 2554/2555 และปี 2555/2556 ยอดส่งออกข้าวของบริษัทลดลงประมาณ 40% เหลือเพียง 2,500 ล้านบาท และยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้ำมันรำข้าวด้วย เพราะโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมดทำให้วัตถุดิบรำข้าวในตลาดหายาก ไม่สม่ำเสมอ หรือบางครั้งมีปัญหาเรื่องคุณภาพด้วย ประกอบกับเกิดการแย่งชิงวัตถุดิบ หลังจากที่มีผู้ประกอบการได้ตั้งโรงสกัดน้ำมันรำข้าวขึ้นมาในตลาดเพิ่มขึ้นอีก 4-5 ราย เพื่อส่งออกไปยังตลาดเกาหลีและญี่ปุ่น และเพื่อจำหน่ายในประเทศให้กับลูกค้าในกลุ่มอาหารสัตว์

“ธุรกิจส่งออกข้าวไม่เคยแย่ขนาดนี้ เราเคยทำได้ถึงสูงสุดปีละ 6,000 ล้านบาท ปีนี้ธุรกิจส่งออกข้าวอาจจะต้องชะลอเพื่อดูจังหวะที่เหมาะสมในโอกาสต่อไป แต่เราคาดหวังว่าปีนี้การส่งออกข้าวไทยน่าจะกลับมาได้ และราคาคงไม่ถูกเกินไป”

นางสาวกอบสุขกล่าวว่า ในปีนี้ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มรายได้เป็น 8,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่รายได้ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาทเท่านั้น โดยยังคงสัดส่วนรายได้จากการส่งออกข้าวสัดส่วน 50% และน้ำมันรำข้าวสัดส่วน 50%

โดยเตรียมปรับแผนการลงทุน เพื่อเพิ่มรายได้จากธุรกิจคลังสินค้าที่ให้เช่าฝากเก็บสินค้า ซึ่งเดิมทีทางบริษัทได้ลงทุนสร้างคลังไปแล้ว 30,000 ตารางเมตร โดยปีนี้จะมีแผนขยายคลังเพิ่มอีก 30,000 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท เพราะเป็นการขยายในพื้นที่เดิมบริเวณ จ.ปทุมธานี และอาจจะมีซื้อที่ดินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง

“ธุรกิจคลังนี้มีแนวโน้มเติบโตดี เพราะทำเลของคลังเราอยู่ริมน้ำ มีท่าเรือขนถ่ายสินค้าได้ เชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมสะดวก พื้นที่คลังเดิม 30,000 ตารางเมตร มีลูกค้าเต็มหมด เรามีพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่คอยบริหารจัดการและหาลูกค้าให้ หลัก ๆ จะรับฝากสินค้า เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอุปโภคบริโภค และเคยรับฝากเก็บหัวรถไฟฟ้า แต่ไม่ได้ให้เช่าเก็บข้าวสารรัฐบาล เพราะค่อนข้างยุ่งยาก”

พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้เตรียมปรับรีแบรนด์น้ำมันรำข้าว “ชิม” ในช่วงกลางปีนี้ เพราะเป็นแบรนด์ดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมในต่างจังหวัดมาเป็นเวลานาน ดังนั้นควรจะมีการเพิ่มคุณสมบัติของน้ำมัน เช่น เพิ่มแกมม่าออริซานอลมากขึ้น ส่วนช่องทางจำหน่ายมีแผนจะเพิ่มการจัดจำหน่ายให้กลุ่มผู้ซื้อ ยี่ปั๊ว-ซาปั๊วในต่างจังหวัดมากขึ้น จากเดิมที่จัดจำหน่ายผ่านห้างโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก และอาจจะเพิ่มงบฯการทำโฆษณาในส่วนของสื่อสิ่งพิมพ์มากขึ้น จากปัจจุบันเน้นป้ายโฆษณาบนรถบัสขนาดใหญ่

“เราจะเน้นทำรีเทล ชิมน่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนตลาดในประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่เน้นส่งออกเป็นหลัก โดยมีแบรนด์อัลฟ่า วัน (Alfa one) เป็น International Brand เป็นหลัก แต่ก็มีขายในประเทศด้วย และแบรนด์ริซี่ (Rizi) ซึ่งเราพัฒนาให้เป็นสินค้าระดับบนสำหรับตลาดในประเทศ ส่วนแบรนด์โรซ่า เราพัฒนาสำหรับขายในประเทศแต่ไม่ติดตลาดเท่าที่ควร ผู้บริโภคจะคุ้นเคยกับชิมมากกว่า”

ทั้งนี้น้ำมันรำข้าว คิดเป็นสัดส่วน 5% ในตลาดน้ำมันพืชบริโภค และที่ใช้ในอุตสาหกรรม ซึ่งแบรนด์ของเรามีหลายแบรนด์อยู่ในระดับพอ ๆ กับแบรนด์คิง และล่ำสูง และยังมีโรงกลั่นสุรินทร์ที่เน้นส่งออกเท่านั้น

นอกจากนี้ยังจะเน้นเพิ่มการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายสูงสุดของสินค้าเกษตรคือ การผลิตยา และเวชสำอาง ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ที่เริ่มตื่นตัวให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

เป็นการตอกย้ำอีกครั้งของการเข้าไปลงทุนในประเทศ CLMV สำหรับเมืองไทย หากไทยจะไป ผู้ประกอบการไทยควรจะเตรียมตัวอย่างไร จากมุมมองของภาคเอกชนที่เข้าไปคลุกคลี บอกได้ว่าโอกาสของประเทศไทยยังมีอีกมาก

นางดวงใจ จันทร ประธานกรรมการ บริษัท นัทธกันต์ จำกัด ผู้ประกอบการที่ลุยตลาดพม่า กัมพูชา และเวียดนามมานาน กล่าวในงาน “CP ALL SMEs FORUM 2014 บุกตลาด CLMV…อนาคต SMEs ไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ว่า พม่า ลาว และกัมพูชายังพึ่งพาสินค้าจากไทยเยอะ โดยเฉพาะสินค้าอาหารที่ล้วนติดรสชาติอาหารไทย ซึ่งลาวและกัมพูชาจะสะดวกเรื่องภาษา การสื่อสาร ที่ได้ทั้งภาษาไทยและจีน ชาวกัมพูชาร้อยละ 20 ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง และเรื่องค่าเงินที่สามารถใช้ได้ทั้งเงินบาท และดอลลาร์

สิ่งสำคัญในการเข้าไปยังประเทศเหล่านี้ คือ สภาหอการค้า, ทูตพาณิชย์, สมาคมธุรกิจ เพื่อหาข้อมูลตลาดและหาตัวแทน ส่วนการแสดงสินค้าเป็นเพียงการเปิดตัว ไม่ได้ยืนยันว่าสินค้าจะติดตลาดและต้องหาลูกค้าใหม่ ในระยะ 6 เดือนก็รู้แล้วว่ารอดหรือไม่ ที่พนมเปญ มีสมาคมเอสเอ็มอีช่วยเรื่องเงินทุน ผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ มีเทคโนโลยี สามารถเข้าไปได้

ขณะที่ประเทศเวียดนาม สามารถแบ่งผู้บริโภคเวียดนามออกเป็น 3 ส่วน คือ เวียดนามเหนือ เวียดนามกลางเป็นเมืองท่องเที่ยว ขณะที่เวียดนามใต้เป็นเมืองเศรษฐกิจ เพราะเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรมากถึง 60 ล้านคน สินค้าที่ไปที่เวียดนามต้องผ่านกัมพูชา เพราะเสรีทางด้านภาษีมากกว่า

นายธีรพงษ์ ฤทธิ์มาก รองประธานสภานักธุรกิจไทยในเวียดนาม กล่าวในงาน “เปิดแนวรุก บุกตลาดเวียดนาม” จัดโดยสถาบันองค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ว่า เวลานี้คนเริ่มเข้าสู่ยุคกินดีอยู่ดี มีกำลังในการซื้อหาสินค้า และกลุ่มคนมีเงินจะซื้อสินค้าตามห้าง ในขณะที่สินค้าจากเมืองไทยมีโอกาสในทุกอุตสาหกรรม แต่ต้องมีการจัดการที่เป็นสากล ไม่ใช้ระบบญาติ

ส่วนสินค้าที่เข้าไปเปิดตลาด ควรจะมีระบบกฎหมาย มีการจ้างที่ปรึกษาเข้ามา ช่วยให้กฎหมายมีความรัดกุม เพราะมีกรณีที่สินค้าไทยถูกก๊อบปี้มาแล้ว กรณีเรดบูล และอีกหลายกรณี

ทางออกของเอสเอ็มอีก็คือ อย่าซื้อไลเซนส์จากยุโรปหรืออเมริกามาทำตลาดในเวียดนาม เพราะเมื่อสินค้าไปได้ดี

คู่ค้าหรือชาวเวียดนามที่เห็นโอกาส จะบินไปซื้อไลเซนส์มาเองขยายตลาดแข่ง หากเป็นสินค้าไทย เน้นการสร้างโนว์ฮาวนวัตกรรมเอง นำมาขยายตลาดในเวียดนาม โอกาสที่จะเติบโตสูงกว่า

นอกจากนี้ สินค้าประเภทยาหรือของมีแบรนด์ต่าง ๆ จะคล้ายกันกับไทย คือ ขณะที่มีสินค้าอยู่ที่ร้าน จะมีกองทัพมดหิ้วมาจำหน่ายแข่งในราคาถูกกว่าจำนวนมาก

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่หวังจะเข้าไปเปิดโรงงานและใช้แรงงานราคาถูกของชาวเวียดนาม แนะว่าให้ไปเลือกโรงงานที่มีการปิดตัว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีจำนวนมาก และน่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่าการไปตั้งโรงงานใหม่ ส่วนเครื่องจักรจากไทย หากเป็นเครื่องจักรที่เก่าไม่แนะนำ เพราะที่เวียดนามเครื่องจักรที่อยู่ในเขตอุตสาหกรรมเป็นเครื่องจักรที่ทันสมัยเกือบทั้งหมด

ข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์พบว่า การค้าชายแดนของไทยกับเพื่อนบ้าน ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2556 ของไทยกับ เมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา มีตัวเลขที่น่าสนใจ

สินค้าที่เมียนมาร์นำเข้าจากไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันดีเซล, เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และน้ำมันเบนซิน แต่สินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็ก และเหล็กกล้า เพิ่มขึ้น 139.34% เครื่องจักรที่ใช้ในการก่อสร้างและส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 144.33% และเครื่องโทรสาร โทรพิมพ์ โทรศัพท์ อุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 199.85% โดยด่านที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ด่านศุลกากรแม่สอด, ระนอง และแม่สาย ตามลำดับ

สินค้าที่ลาวนำเข้าจากไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันดีเซล, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และน้ำมันเบนซิน ส่วนสินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงปี

ที่ผ่านมา 3 อันดับแรก ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์อื่น ๆ เพิ่มขึ้น 78.70% ไก่ เพิ่มขึ้น 32.80% เหล็กและเหล็กกล้า เพิ่มขึ้น 19.67% ด่านที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ด่านศุลกากรหนองคาย, มุกดาหาร และพิบูลมังสาหาร

สินค้าที่กัมพูชานำเข้าจากไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์, เครื่องยนต์สันดาปในแบบลูกสูบ และเครื่องสำอาง เครื่องหอม และสบู่ ส่วนสินค้าที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา 3 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันเบนซิน เพิ่มขึ้น 30.25% รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 30.25% ผ้าผืน และด้าย เพิ่มขึ้น 29.83% ด่านที่มีการนำเข้าสินค้าจากไทยสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ ด่านศุลกากรอรัญประเทศ, คลองใหญ่ และจันทบุรี

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

630

ขณะนี้เอสเอ็มอีกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพคล่องหาย สต๊อกล้น ทำให้หน่วยงานหลักอย่างคณะกรรมการร่วม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1bAI8T8

ขอบคุณ โพสทูเดย์

 

“ผมเป็นคนชอบเรื่องรถ เรื่องความเร็วมาตั้งแต่เด็กครับ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมสนใจก็หนีไม่พ้นเรื่องในแวดวงนี้” เปิดฉากการสนทนาด้วยความชอบส่วนตัวของเซเลบหนุ่ม “แบรนด์เนม-ปรกฤษฎ์ หงษ์โสภา” หลานทวดขุนนาคอรรณไวยโรจน์ (ชิด ประสิทธิ์สรจักร์) หลานของพลโทประชุมและคุณหญิงสวาท ประสิทธิ์สรจักร์ ผู้ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาในแวดวงนักธุรกิจรุ่นใหม่ของเมืองไทย ด้วยวัยที่ยังไม่ถึงเลข 3 แต่รักในความเป็นผู้นำ ทำให้มุมมองความคิดในการทำธุรกิจที่ทันสมัย หวังจะเปิดตลาดใหม่ไม่ให้ซ้ำกับที่มีอยู่เดิม

ขณะเดียวกัน ธุรกิจนั้นต้องมีความเป็นตัวเองอยู่ คือไม่หนีไปจากเรื่องราวในชีวิตของตนเองมากนัก แบรนด์เนมเติบโตขึ้นมาท่ามกลางธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องจักรอุตสาหกรรมนำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้เขามีความสนใจในนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่ตลอด บวกกับความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับแวดวงยานยนต์ เขาจึงเลือกจับธุรกิจอย่างคาร์แคร์มาเป็นธุรกิจของตนเองตั้งแต่อายุ 22 ปี ทำให้เขาคลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจคาร์แคร์มานานกว่า 4 ปี โดยไม่ได้ทำงานตามสายที่เขาร่ำเรียนมาในเส้นทางนิเทศศาสตร์ แต่เขาเลือกร่วมหุ้นกับเพื่อน ๆ เปิดคาร์แคร์ ล้างสี ดูดฝุ่น อัดฉีดทั่วไป

“ผมเชื่อว่าถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราสนใจ และมีความถนัด เราจะทำมันได้ดี สามารถใช้เวลาทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง อย่างเมื่อก่อนนั้นถึงผมจะมีธุรกิจล้างรถเป็นของตัวเอง ขณะเดียวกันผมก็คอยติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแวดวงยานยนต์อยู่เสมอ อีกทั้งยังไม่หยุดคิดต่อยอดแตกไลน์ธุรกิจใหม่จากธุรกิจเดิมที่เรามีอยู่ด้วย ทำให้ผมต้องคิดมากยิ่งขึ้น

ผมจะมองว่าการทำธุรกิจนั้นเราควรจะมองในช่องธุรกิจที่คนอื่นยังไม่มอง ทำให้ตัวเองเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่หายไป ซึ่งนั่นเหมือนเป็นช่วงโหว่ที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่า เราอยากเป็นคนทำให้มีอะไรเกิดขึ้นมา ในวันต่อ ๆ ไปเมื่อเวลามีใครพูดถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็จะนึกถึงเราก่อน ทีนี้จึงเกิดเป็นคำถามว่าแล้วอะไรล่ะที่บ้านเรายังไม่มี ฉะนั้นจึงยิ่งต้องศึกษาให้มาก”

ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ เมื่อคิดที่จะเป็นผู้นำ แบรนด์เนม ปรกฤษฎ์ จึงเฟ้นหาธุรกิจที่จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับแวดวงธุรกิจในประเทศไทย โดยต่อยอดจากร้านล้างรถแบบธรรมดาทั่วไป มาเป็นการล้างรถแบบไอน้ำรายแรกในประเทศไทยที่นำนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ล้างรถ

“เมื่อช่วงต้นปีที่แล้วผมรู้จักนวัตกรรมล้างรถแบบไอน้ำจากอินเทอร์เน็ต ผมชอบด้านนี้อยู่แล้ว ผมจึงลองสั่งเครื่องแรงดันไอน้ำออปติมา สตีมเมอร์ มาลองใช้กับรถของตัวเองดู ปรากฏว่าเวิร์กมาก ผมจึงอยากทำให้ธุรกิจนี้มีขึ้นมา”

ประสบการณ์ทำธุรกิจคาร์แคร์มาเกือบครึ่งทศวรรษของแบรนด์เนม ทำให้เขามองว่า การจะเปิดร้านสักแห่งต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่มีเงินลงทุนและสถานที่เท่านั้น ยังต้องมองไปถึงข้อจำกัดในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการน้ำ สิ่งสกปรก คราบฟองแชมพูต่าง ๆ คราบน้ำมัน ซึ่งอาจจะไปสร้างความรำคาญให้คนรอบข้างได้ ทำให้คาร์แคร์หลายสถานที่มักมีปัญหากับบุคคลโดยรอบ ๆ ซึ่งตัวเขาเองเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ควรจะมีทางออกแต่ยังไม่เห็นมีใครที่จะพัฒนาให้ปัญหาเหล่านี้หมดไป หรืออย่างน้อยก็ทำให้ดียิ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจการล้างรถของบ้านเราก็มีมานานมากแล้ว และเทคโนโลยีก็ล้วนรุดหน้าไปมาก

“เมื่อผมเจอกับความแตกต่างและสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการคาร์แคร์บ้านเราผมเลยคิดว่าในเมื่อเราเจอสิ่งที่ดีกว่า หากเรานำมาต่อยอดก็จะสามารถสร้างให้เราเป็นผู้นำที่แตกต่างได้ แน่นอนว่าความยากจะต้องเกิดขึ้นในระยะแรก จากเมื่อกลางปีที่แล้วคือช่วง 3 เดือนแรกของผม ยอมรับว่ายากมาเลยครับ ผมต้องอธิบาย ประชาสัมพันธ์ ทำทุกอย่างให้ทุกคนรู้จักว่าการล้างรถไอน้ำคืออะไร ดีกว่ายังไง แต่เมื่อทุกคนได้ลอง ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยครับว่า ดีกว่า สะอาดกว่าจริง ๆล้างได้รวดเร็วกว่าด้วย ในขณะเดียวกันก็ยังไม่สร้างความสกปรกเลอะเทอะให้พื้นที่ประกอบการด้วยครับ”

ทันทีชที่ทดลองกับตัวเองและคนรอบข้างจนเกิดผลลัพธ์ที่น่าพอใจแล้ว ไอเดียที่จะจริงจังกับธุรกิจนี้ของแบรนด์เนม ปรกฤษฎ์ จึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ด้วยการลงมือสร้างสรรค์แบรนด์โปร-สตีม (Prosteam) โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำนวัตกรรมล้างรถแบบครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ Quick&Cool

“เมื่อผมเห็นว่าตรงนี้สามารถตอบโจทย์ทุกคนได้แล้ว ผมยังนึกไปถึงเรื่องสำคัญอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแชมพูจากธรรมชาติ น้ำยาที่ใช้ในโปร-สตีม ทุกตัวจะมีค่ากลาง pH 0.5 หมด ทำให้รถทุกคันโดนสารเคมีน้อยที่สุด แวกซ์ขี้ผึ้งจากประเทศบราซิลที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลก เคลมได้เลยว่าเป็นมิตรกับธรรมชาติ 100% ซึ่งผมว่าเรื่องพวกนี้นอกจากจะเป็น CSR สำหรับการทำธุรกิจแล้ว ยังเป็นข้อดีที่เราช่วยโลกเราได้ ซึ่งโปร-สตีมสามารถทำได้จริงด้วยครับ”

หลังจากโปร-สตีมเริ่มเป็นที่รู้จัก แบรนด์เนม ปรกฤษฎ์จึงขยายไอเดียให้กว้างขึ้นอย่างรวดเร็วตามแบบฉบับของคนรุ่นใหม่ไฟแรง โดยคิดจะทำโมบายคาร์วอตช์ให้ประสบความสำเร็จในไทย จริง ๆ แม้จะมีคนทำมาแล้ว แต่เขาคิดว่าเขาน่าจะทำให้บูมขึ้นได้กว่าเดิม ด้วยเครื่องแรงดันไอน้ำออปติมา สตีมเมอร์ที่เขาถือลิขสิทธิ์ในมือ เพราะสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก แถมมีเครื่องเดียวก็สามารถเปิดอู่ย่อม ๆ ได้ทันที เมื่อต้นทุนทุกอย่างจะลดลง เป็นมิตรกับธรรมชาติและยังเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ลูกค้า ขณะเดียวกันเขายังมองไปถึงธุรกิจการทำความสะอาดอื่น ๆ นอกจากนั้นยังอาจต่อยอดไปถึงล้างรถทุกประเภท เรือ รถไฟ เครื่องบิน ที่อยู่อาศัย ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมก็เป็นได้

“6 เดือนที่ผ่านมาถือว่าน่าประทับใจมากครับ เพราะนอกจากจะทำให้คนทั่วไปรู้จักเรายิ่งขึ้นแล้ว เรายังเปิดสาขาโปร-สตีมได้อีกหลายจังหวัดในประเทศ บางจังหวัดก็มองไปถึงความครอบคลุมในตลาดประเทศเพื่อนบ้านด้วยครับ”

ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็วบ่งบอกได้ชัดเจนว่านวัตกรรมใหม่ของแวดวงยานยนต์และไอเดียในการทำธุรกิจจากแบรนด์เนม ปรกฤษฎ์ หงษ์โสภา หนุ่มยุคใหม่คนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือหมดศรัทธารัฐฯ กร้าวไร้น้ำยาแก้วิกฤตการเมือง
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สทร.)

สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ร้องรัฐฯ ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังกระทบธุรกิจหนัก กร้าวตอนนี้ผู้ประกอบการพึ่งรัฐฯ ไม่ได้ คาดเกิดสุญญากาศทางการเมืองอีก 6 เดือน แนะเอสเอ็มอีออกโรดโชว์ บุกค้าชายแดนกระตุ้นยอดขายในภาวะวิกฤต

นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สทร.) เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้ส่งกระทบต่อการส่งออกสินค้าทางอากาศ เนื่องจากอัตรานักท่องเที่ยวเข้ามายังประเทศไทยลดลง ทำให้จำนวนเครื่องบินเข้ามายังประเทศไทยลดลง ส่งผลต่อเนื่องให้ระวางการขนส่งสินค้าทางอากาศลดลงทำให้ค่าระวางการขนส่งปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้มีการเรียกเก็บค่าความเสี่ยงในการขนส่งเพิ่มและส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ซื้อต่างชาติ ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉินโดยเร็ว หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ก็อาจย้ายไปซื้อจากประเทศอื่น

“ดังนั้นองค์กรเอกชนจะต้องช่วยเหลือกันเองให้มากที่สุด อย่าหวังพึ่งพาภาครัฐอีกเลย มั่นใจว่าอีก 1 ปี ไม่มีทางที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยภาคเอกชนได้ เพราะดูจากงบประมาณภาครัฐก็ยังไม่เห็นแนวทางว่าจะเข้ามาช่วยอะไรได้ ขนาดที่ทำงานยังต้องย้ายไปย้ายมาหาที่ทำงานเป็นหลักแหล่งไม่ได้” นายวัลลภ กล่าว

“ผู้ประกอบการไทยควรจะต้องปรับตัวให้รอดพ้นจากวิกฤติในช่วงนี้ โดยออกไปร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศใกล้เคียง เช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เพราะไม่สามารถพึ่งพางานแสดงสินค้าภายในประเทศไทย รวมทั้งเพิ่มปริมาณการค้าชายแดน จากเดิมที่มุ่งเพียงการค้าผ่านแดน ไปเป็นการส่งสินค้าเข้าไปเจาะตลาดในหัวเมืองขนาดใหญ่ชั้นใน และเมืองหลวงของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการค้าผ่านแดนไปประเทศที่ 3 เช่น เวียดนาม และจีน เป็นต้น” นายวัลลภ กล่าว

อย่างไรก็ตามการที่ประเทศไทยไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้อย่างน้อยภายใน 6 เดือน ทำให้ไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจในการเจรจาข้อตกลงกับต่างประเทศส่งผลต่อการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรปหยุดชะงักลง และคาดว่าจะล่าช้าการที่กำหนดไว้กว่า 1 ปี จะทำให้ไทยมีต้นทุนสินค้าที่เสียเปรียบประเทศคู่แข่ง เนื่องจากไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี) ปีนี้ถูกตัดไป 50 รายการ และในปีหน้าจะถูกตัดทั้งหมด 723 รายการ ทำให้ศักยภาพการแข่งขันของไทยตกต่ำและจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอย่างชัดเจนในปี 2558

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ASTV Online

 

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา
นายวรสิทธิ์ อิสระ เจ้าของเว็บไซต์ Guruwan.com

เมื่อด้านงานอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เร้าใจ เท่าการลงมือขายของออนไลน์ที่ทายาทตระกูล “อิสระ” เจ้าของโรงแรมชื่อดังเมืองภูเก็ต ‘ศรีพันวา’ ที่เขามองว่าเทรนด์ธุรกิจอีคอมเมิร์ชเป็นธุรกิจแห่งโลกอนาคต ทุกคนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้ เขาตัดสินใจกระโดดลงมาเล่นกับธุรกิจเอสเอ็มอี เปิดเว็บ “guruwan.com” ขายสินค้าคุณภาพดี มีดีไซน์ไม่ซ้ำ โดยฝีมือคนไทยล้วนๆ

นายวรสิทธิ์ อิสระ หรือที่รู้จักกันในนามของ “ปลาวาฬ อิสระ” แห่งศรีพันวา ที่นอกจากจะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูในจังหวัดภูเก็ต และติดอันดับ 3 ของรีสอร์ทที่หรูหราที่สุดในประเทศไทย เขายังสนใจเทรนด์ธุรกิจออนไลน์ นำสินค้าไทยเกรดพรีเมียม ขายผ่านเว็บให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์คุณค่าสินค้าไทย

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

www.guruwan.com กำเนิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และได้รับการตอบดีจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย รงมถึงผู้ซื้อทั้งในและต่างชาติเรื่อยมา ทำให้ขณะนี้เขามีสินค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์แล้วกว่า 2,800 ชิ้น จาก 200 บริษัท แต่ไอเดียธุรกิจนี้ ไม่ได้เกิดมาจากความอยากลองธุรกิจทำด้านนี้เพียงอย่างเดียว แต่คุณปลาวาฬ มีการศึกษาตัวเลขอัตราการเติบโตในธุรกิจออนไลน์ และพฤติกรรมของคนทั่วโลกเกี่ยวกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

เขาเริ่มปิ๊งไอเดียธุรกิจจากกระแสมือถือแบล็คเบอร์รี่ (Blackberry) ฮิตติดลมบน และเป็นช่วงเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนที่เข้ามาบทบาทในชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแห่งอนาคตที่ต่อไปทุกคนจะเข้าสู่วงจรนี้อย่างแน่นอน รวมถึงเมื่อสังเกตจากการจองห้องพักที่ศรีพันวา พบว่ากว่า 40% ลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลกจองผ่านออนไลน์ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของเขาให้มุ่งสู่โลกธุรกิจออนไลน์ยิ่งขึ้น

แต่จะทำอย่างไรให้เว็บขายของออนไลน์น้องใหม่ในวงการอย่าง guruwan ไม่ซ้ำใคร รวมถึงรูปแบบการซื้อขายสินค้าต้องสะดวกทั้งผู้ประกอบการ เจ้าของเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลาง และลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก บังเอิญเขาได้มีโอกาสไปงาน BIH&BIH (งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน) ก็เกิดไอเดียที่จะนำสินค้าเหล่านี้มาขายบนเว็บ เพราะต้องการโชว์ศักยภาพสินค้าไทยที่มีคุณภาพ แถมยังได้รับการออกแบบที่ทันสมัยไม่แพ้สินค้าต่างชาติ

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

“ผมมีโอกาสไปเดินดูสินค้าที่งาน BIG ก็พบว่าสินค้าของไทยสวยๆ เยอะ แถมยังมีคุณภาพ ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ส่งออกระดับแนวหน้า ผมจึงอยากคัดเลือกสินค้าเหล่านี้มาขายผ่านเว็บไซต์ โดยเบื้องต้นผมติดต่อกับผู้ประกอบการเอง โดยเสนอเงื่อนไขการเป็นคู่ค้าร่วมกัน แต่ผู้ประกอบการไม่ต้องนำสินค้ามาให้กับ guruwan แต่เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ ก็จะแจ้งให้ผู้ประกอบการทราบ เพื่อส่งสินค้าถึงมือลูกค้าเอง ทำให้ผู้ประกอบการรู้สึกดีเพราะได้แพคสินค้าเองกับมือ ถือเป็นการทำธุรกิจที่ทุกฝ่ายพอใจ และช่วงหลังๆ ก็มีเอสเอ็มอีเข้ามาติดต่อค้าขายกับเราโดยตรง”

แล้วเว็บ guruwan จะได้อะไร…

เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ เพราะดูเหมือน guruwan จะเป็นเพียงสื่อกลางและหน้าร้านให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี คุณปลาวาฬ บอกว่า เขาจะมีรายได้ประมาณ 20% จากการขายสินค้าแต่ละชิ้น ในฐานะที่สร้างเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือและลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจ โดยที่ผ่านมาไม่น่าเชื่อว่าสินค้าประเภทเครื่องประดับ จิวเวอรี่ เป็นสินค้าขายดีในเว็บไซต์ ทั้งที่หลายคนมองว่า ต้องได้มาสัมผัสของจริงจึงจะตัดสินใจซื้อ แต่สำหรับชาวนอร์เวย์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย รัสเซีย กลับเลือกซื้อจากช่องทางนี้ รองลงมาเป็นสินค้าประเภทแฟชั่น และแอสเซสเซอรี่ (Accessories) ต่างๆ จะได้รับการตอบดีจากชาวเอเชีย

'guruwan' เว็บรวมสินค้าไทยเกรดพรีเมียม หน้าร้านเอสเอ็มอี ไอเดียเจ้าของศรีพันวา

การคัดเลือกสินค้าก่อนที่จะนำมาขายในเว็บไซต์ guruwan ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณปลาวาฬ จะต้องเช็คข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่าเป็นผู้ประกอบการคนแรกที่ทำสินค้าดังกล่าวขึ้น ไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร จากนั้นเดินทางไปดูสินค้าด้วยตัวเอง เพื่อเช็คคุณภาพ และเห็นสินค้าจริง โดยเขาตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์นี้มากกว่า 3 ล้านคน/เดือน มียอดขายสินค้าผ่านเว็บราว 90-130 ล้านบาท/ปี จากราคาสินค้าเริ่มต้นที่ประมาณ 500-7,000 บาทโดยจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต และระบบ Pay Pal สำหรับอนาคต guruwan จะลุยตลาดทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค อย่าง อินสตราแกรม ที่มีศักยภาพสูงในธุรกิจออนไลน์ ณ เวลานี้

       ***สนใจติดต่อ 0-2308-2198 หรือที่ www.guruwan.com*** 

ขอบคุณข้อมูลจาก ASTV

เซเว่นฯบุกตลาดAEC
เล็งลุยธุรกิจค้าปลีก
4ประเทศลุ่มน้ำโขง
หอฯแนะต้องอดทน

นายปิยะวัฒน์ ฐิติสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพีออลล์ และประธานคณะกรรมการธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางซีพีออลล์ต้องการช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการระดับเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศ CLMV กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม โดยการจัดการสัมมนาถ่ายทอดข้อมูลความรู้ให้กับผู้ประกอบการขึ้นมาในงาน CP ALL SMEs FORUM 2014 หัวข้อเรื่อง “บุกตลาด CLMV…อนาคต SMEs ไทย ในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถนำไปพัฒนาและต่อยอดธุรกิจของตนได้

สำหรับส่วนของเซเว่นอีเลฟเว่น มีการตั้งเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจไปภายในประเทศอีก 600 สาขาทั่วประเทศ หรือกว่า 8,000 สาขาในสิ้นปี โดยในปี’57 นี้มีการตั้งเป้าให้ธุรกิจเติบโต 5% ซึ่งในปี’56 ที่ผ่านมา เซเว่นอีเลฟเว่น ก็สามารถขยายตัวได้ตามเป้าที่วางไว้ 5% เช่นกันแม้จะมีปัญหาการชุมนุมทางการเมือง เนื่องจากสินค้าในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เป็นสินค้าจำเป็น ที่เน้นเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย

ด้านนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การเปิดเออีซีในปี’58 จะเป็นการรวมกลุ่ม สร้างความร่วมมือรวมกันเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วม มีการเคลื่อนย้ายเสรีด้านสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานมีฝีมือ ตลอดจนการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรีมากขึ้น และด้วยจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึงเป็นตลาดใหญ่ ที่อยู่ในความสนใจของนักธุรกิจทั้งในและนอกภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอกาสในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม หรือที่เรียกว่ากลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีประชากรรวม 170 ล้านคน และการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง เฉลี่ยตั้งแต่ ปี 2554-2556 ไม่ต่ำกว่า 6.5% ซึ่งเห็นว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องมีความอดทนในการทำธุรกิจ CLMV

“การทำธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ในช่วงเริ่มต้นผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญกับความไม่สะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการเงินการธนาคาร ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร รวมถึงความเสี่ยงในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และกฎระเบียบในแต่ละประเทศที่มีความแตกต่างเป็นลักษณะเฉพาะตัว ผู้ประกอบการจึงต้องมีความอดทน และเตรียมการรับมือข้อจำกัดเหล่านี้”

พบ SMEs กว่าล้านรายรู้จัก AEC แค่ผิวเผิน

ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยกว่า 1.3 ล้านรายยังไม่เข้าใจกฎระเบียบ AEC อย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะการลดภาษีศุลภากร ขณะที่บางส่วนเผยยังไม่พร้อมเข้าสู่ AEC

ศูนย์การศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2556 ถึงช่วงต้นเดือนมกราคม 2557 พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย ในจำนวนนี้มีผู้ประกอบการถึง 1.3 ล้านรายยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน (เออีซี) ไม่ชัดเจน และยังไม่เข้าใจว่าธุรกิจของตนมีโอกาสหรือต้องเริ่มต้นลงทุนอย่างไรในเออีซี

โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 38.04% ให้เหตุผลว่าการประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจนว่าภาคธุรกิจแต่ละประเภทมีโอกาส อุปสรรคอย่างไรและต้องปรับตัวอย่างไร ผู้ประกอบการ 29.71% ตอบว่าเพราะการประชาสัมพันธ์ยังน้อย ผู้ประกอบการ 16.67% ตอบว่าไม่สนใจติดตามข้อมูลเออีซีเพราะไม่มีเวลาศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าควรมีการอบรมให้ความรู้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเออีซีในธุรกิจแต่ละประเภทในเชิงปฏิบัติมากขึ้น

“ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นมาที่เริ่มมีการสำรวจผู้ประกอบการเกี่ยวกับความเข้าใจภาพรวมของเออีซีของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ถึงปัจจุบันจะเห็นว่าผู้ประกอบการมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาพรวมเออีซีเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งโจทย์ในปัจจุบันนี้ ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่ใช่เพียงการให้ความรู้แค่เรื่องเออีซีอย่างเดียว แต่ควรเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าใจในธุรกิจของตัวเองมากขึ้นว่าจะมีโอกาสอย่างไรในเออีซี ต้องมีการลงทุนอย่างไรมากขึ้น”

สำหรับเรื่องที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่เข้าใจมากที่สุดคือ กรอบการลดภาษีศุลกากร การลดอัตราภาษี 13.80%, การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร 13.76%, การขจัดมาตรการที่มิใช่ภาษี 13.03%, มาตรฐานสินค้าร่วมของอาเซียน 12.41% ส่วนความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในเออีซี ผู้ประกอบการ 50.40% ตอบว่ายังไม่พร้อมที่จะแข่งขัน เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเออีซี เช่น กฎระเบียบของประเทศในเออีซี, การปรับตัวเข้าสู่เออีซี, การใช้ประโยชน์จากเออีซี เป็นต้น

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ASTV

 

ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดทำรายงานเรื่อง อาหารไทยสู่อาเซียนด้วย Primary GMP หรือหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตขั้นต้น สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมอาหารยังไม่ได้รับการยอมรับด้าน มาตรฐานการผลิตในระดับสากล ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญ ต่างจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ได้รับ GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เข้มข้นกว่า

หลักเกณฑ์ Primary GMP หรือ GMP ขั้นต้น จะสร้างมาตรฐานอาหารไทยสู่สากลเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้อาหารมีคุณภาพและปลอดภัย สถานที่ผลิตมีมาตรฐาน คำนึงถึงทุกขั้นตอนของการผลิต มีการควบคุมและตรวจสอบอย่างเป็นระบบต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

สำหรับนิยามของ Primary GMP กระทรวงสาธารณสุขได้ออกเป็นประกาศกระทรวงฯ (ฉบับที่ 342) พ.ศ.2555 กำหนดเรื่อง วิธีการผลิต เครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต และการเก็บรักษาอาหารแปรรูปที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่าย เป็นหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตขั้นต้น สำหรับกลุ่มอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภคทันที และกลุ่มอาหารทั่วไป

หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะคล้ายกับ GMP สุขลักษณะทั่วไป ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 193) พ.ศ. 2543 มี 6 ข้อ ประกอบด้วย สถานที่ตั้งและอาคารผลิต เครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต การควบคุมกระบวนการผลิต การสุขาภิบาล การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด และบุคลากรและสุขลักษณะผู้ปฏิบัติงาน แต่มีข้อแตกต่าง อาทิ

1.สถานที่ตั้งและการผลิต เกณฑ์ขั้นต้นอาจผลิตเป็นบริเวณได้ แต่ต้องสามารถป้องกันสัตว์และแมลงเข้าสู่การผลิต 2.เครื่องมือและอุปกรณ์การผลิต เกณฑ์ขั้นต้นไม่ได้เน้นการออกแบบและจำนวน 3.การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด เกณฑ์ขั้นต้นไม่ได้กำหนดเรื่อง การเก็บ และการลำเลียงอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้ว 4.บุคลากรและสุขลักษณะผู้ปฏิบัติ เกณฑ์ขั้นต้นไม่ได้เน้นเรื่อง การใช้ถุงมือ และเรื่องการฝึกอบรม โดยให้ระบุแสดงคำเตือน “ห้ามมิให้บุคคลใดแสดงพฤติกรรมอันน่ารังเกียจในสถานที่ผลิตอาหาร”

โดยภายในปี 2558 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีแผนผลักดันให้ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน (โอท็อป) และเอสเอ็มอี พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพมาตรฐาน Primary GMP จำนวน 20,000 แห่ง ทั้งนี้ ผู้ประกอบการติดต่อขอรับคำปรึกษาได้ที่สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจ

จริยธรรมทางธุรกิจของเจ้าของกิจการอาหารทะเล  (Business Ethics of Seafood–Business Owner)


บริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเลนั้น ควรมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชอบธรรมและมุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นรวมถึงการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม ซึ่งบริษัทนั้นต้องกำหนดให้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานทุกคน จะต้องรับทราบและปฏิบัติตามนโยบายและข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้ในคู่มือจริยธรรมธุรกิจนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจและเพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย ผู้ถือหุ้นและสังคม

คำจำกัดความ

จริยธรรมธุรกิจ หมายถึง คุณความดี ความยุติธรรมและความถูกต้อง ที่เป็นข้อพึงปฏิบัติสำหรับการประกอบธุรกิจแนวทางปฏิบัติ คือ แนวทางการกระทำเพื่อรักษาไว้ซึ่งและส่งเสริมเกียรติคุณและชื่อเสียง

 

หลักจริยธรรมธุรกิจและจรรยาบรรณของบริษัท

1. ความซื่อสัตย์ (Honesty)
ผู้บริหารควรมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องและไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดโดยเจตนาหรือหลอกลวงผู้อื่นโดยการบิดเบือนสารสนเทศ พูดเกินความจริง พูดความจริงบางส่วน เลือกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หรือโดยวิธีการอื่นๆ

 

2. คุณธรรม (Integrity)
ผู้บริหารควรแสดงออกถึงคุณธรรมของตนและมีความกล้าที่จะทำตามสิ่งที่ตนเองเชื่อโดยกระทำในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันให้ทำตรงกันข้าม เป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการ น่าเคารพนับถือ และมีความเที่ยงธรรม ผู้บริหารควรต่อสู้เพื่อความเชื่อของตนและไม่ยอมละทิ้งหลักการเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งจนกลายเป็นคนหลอกลวงหรือไม่มีคุณธรรม

 

3. ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ (Trust Worthiness)
ผู้บริหารควรเปิดเผยและจัดหาสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง และแก้ไขความเข้าใจผิดจากข้อเท็จจริง ผู้บริหารควรพยายามในวิถีทางที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุคำมั่นสัญญาของตนและผู้บริหารไม่ควรใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในทางที่ไม่ถูกต้องและใช้การตีความทางกฎหมายที่ไม่เหมาะสมใช้เป็นเหตุผลที่จะไม่ให้ความร่วมมือหรือหลีกเลี่ยงข้อตกลงที่วางไว้

 

4. ความจงรักภักดี (Loyalty)
ผู้บริหารควรแสดงความจงรักภักดีต่อบริษัทโดยการช่วยเหลือและอุทิศตนต่อหน้าที่ ผู้บริหารไม่ควรใช้หรือเปิดเผยสารสนเทศที่เป็นความลับเพื่อความได้เปรียบส่วนบุคคล แต่ควรดำรงไว้ซึ่งความสามารถในการตัดสินใจอย่างมืออาชีพที่เป็นอิสระโดยหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เหมาะสมและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และมีความซื่อสัตย์ต่อบริษัทและผู้ร่วมงาน นอกจากนี้ถ้าผู้บริหารมีความตั้งใจที่จะลาออก ผู้บริหารควรบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างเหมาะสม รวมถึงให้ความสำคัญกับสารสนเทศของบริษัท และไม่กระทำกิจการที่ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่การงานเดิมของตน

 

5. ความยุติธรรม (Fairness)
ผู้บริหารควรมีความยุติธรรมและคุณธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่ใช้วิธีการโกงหรือวิธีการที่ไม่เหมาะสมเพื่อให้ได้มาหรือรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์หรือข้อได้เปรียบจากความเข้าใจผิดหรือจากความทุกข์ของผู้อื่น โดยผู้บริหารที่มีความยุติธรรมควรเปิดเผยข้อตกลงเพื่อให้มีการพิจารณาและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เปิดใจที่จะยอมรับความเห็นที่ไม่ตรงกันและเต็มใจที่จะยอมรับเมื่อทำผิด และพร้อมเปลี่ยนจุดยืนและความเชื่อที่มีอยู่ไปสู่สิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม

 

6. การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Concern for Others)
ผู้บริหารควรเอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจ เมตตาปราณีและหวังดีต่อผู้อื่นตามหลักการที่ว่า ให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา ผู้บริหารควรช่วยเหลือผู้อื่นในสิ่งที่บุคคลนั้นมีความจำเป็นและค้นหาวิธีที่ทำให้ธุรกิจบรรลุวัตถุประสงค์ของธุรกิจไปพร้อมกับวัตถุประสงค์ของผู้อื่น

 

7. การเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล (Respect for International Human Rights Principles)
ผู้บริหารควรเคารพในเกียรติของแต่ละบุคคล ความมีอิสระ ความเป็นส่วนตัว การมีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายและสิทธิมนุษยชน และผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย การตัดสินใจของผู้บริหารควร มีความเป็นกลางและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่แบ่งแยกเพศ ชนชั้นหรือเชื้อชาติ

บริษัทนั้นต้องกำหนดให้ กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯทุกคนต้องปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัดโดยถือเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานและไม่สนับสนุนกิจการที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล

 

8. การปฏิบัติหน้าที่อย่างดี (Commitment to Excellence)
ผู้บริหารควรปฏิบัติตามหน้าที่อย่างดี กล่าวคือ เป็นผู้มีความรู้ ตระเตรียมการ มีความมุมานะ มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เพื่อสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบ

 

9. ภาวะผู้นำ (Leadership)
ผู้บริหารควรตระหนักถึงความรับผิดชอบและภาวะการเป็นผู้นำของตน และควรจัดหา รูปแบบของข้อพึงปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองและองค์กร อีกทั้งผู้บริหารควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ให้ความสำคัญต่อหลักการและการตัดสินใจที่มีจริยธรรมเป็นสำคัญ

 

10. ชื่อเสียงและคุณธรรม (Reputation and Morale)
ผู้บริหารควรหาทางสร้างชื่อเสียงให้บริษัทและสร้างคุณธรรมในหมู่พนักงาน โดยร่วมกันไม่ดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและพนักงาน ในทางกลับกันพนักงานต้องร่วมกันดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นเพื่อแก้ไขหรือป้องกันพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมของคนอื่น

 

11. ความรับผิดชอบตามหน้าที่ (Accountability)
ผู้บริหารควรตระหนักและรับผิดชอบตามหน้าที่ของตนโดยคำนึงถึงจริยธรรมที่ใช้สำหรับการตัดสินใจ และในการละเว้นบางสิ่งเพื่อบริษัท ตนเอง ผู้ร่วมงาน และชุมชน

 

12. นโยบายการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Policy on Compliance with the Law and Relevant Rules and Regulations)
บริษัทนั้นต้องมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจสำหรับกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานดังนี้

• ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและเคารพจารีตประเพณีของประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจ
• ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
• ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัด
• ต้องไม่ช่วยเหลือหรือสนับสนุน การหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ
• ต้องให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง

 

13. นโยบายความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)
บริษัทนั้นต้องให้ความสำคัญต่อกิจกรรมที่อาจเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามแนวทางปฏิบัติสำหรับกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานดังนี้

• หลีกเลี่ยงการทำรายการที่เกี่ยวโยงกับตนเอง ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทนั้น
• ในกรณีที่จำเป็นต้องทำรายการเช่นนั้น ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทฯ และให้ทำรายการนั้นเสมือนการทำรายการกับบุคคลภายนอก โดยกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานหรือผู้มีส่วนได้เสียในรายการนั้นต้องไม่มีส่วนในการพิจารณาอนุมัติ
• ในกรณีที่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันภายใต้ประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และการเปิดเผยข้อมูลรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทจดทะเบียนอย่างเคร่งครัด
• ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร พนักงานหรือบุคคลในครอบครัวเข้าไปมีส่วนร่วมหรือเป็นผู้ถือหุ้นกิจการที่แข่งขันกับธุรกิจของบริษัทนั้น หรือกิจการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทนั้น จะต้องแจ้งต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
• ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร หรือ พนักงานไปเป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือที่ปรึกษาในบริษัท หรือองค์กรทางธุรกิจอื่นๆ การดำรงตำแหน่งนั้นจะต้องไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของบริษัทฯ และการปฏิบัติหน้าที่โดยตรงในบริษัทนั้น

 

14. นโยบายการรักษาข้อมูลความลับ (Confidentiality of Information)
บริษัทนั้นต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้ข้อมูลของบริษัท โดยปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีและสอดคล้องกับกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทฯ ได้กำหนดให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานให้ความสำคัญต่อการเก็บรักษาข้อมูลความลับของบริษัทนั้น เช่น ข้อมูลภายในที่ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ หรือข้อมูลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือราคาหุ้น เป็นต้น ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้

• กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานต้องไม่ใช้ข้อมูลภายในของบริษัทฯ ในการหาประโยชน์ส่วนตนและในเรื่องการทำธุรกิจแข่งขันกับบริษัทนั้น หรือทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
• กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานต้องไม่ใช้ข้อมูลที่มิได้เปิดเผยให้ทราบโดยทั่วไปซึ่งอาจมีผลกระทบกับราคาหุ้น(ข้อมูลภายใน)และต้องละเว้นการทำธุรกรรมเกี่ยวกับหุ้นของบริษัทในช่วงเวลาที่จะมีการประกาศข้อมูลที่ที่สำคัญตามนโยบายที่ถูกกำหนดไว้ นอกจากนี้ข้อมูลภายในของบริษัทนั้น ไม่ควรถูกให้แก่บุคคลอื่น เพื่อประโยชน์ในการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ
• กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานต้องไม่เปิดเผยข้อมูลความลับทางธุรกิจของบริษัทนั้น ต่อบุคคลภายนอก โดยเฉพาะคู่แข่งของบริษัทฯ แม้หลังพ้นสภาพการเป็นกรรมการ ผู้บริหารหรือพนักงานของบริษัทนั้นไปแล้ว

 

15. นโยบายการปกป้องทรัพย์สินของบริษัท (Properties Protection)
บริษัทนั้นคาดหวังให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน มีความรับผิดชอบในการปกป้องดูแลทรัพย์สินของบริษัทฯ และใช้ทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่นำทรัพย์สินของบริษัทนั้น ไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น โดยมีแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้
• ผู้บริหารและพนักงาน ต้องใช้ทรัพย์สินและทรัพยากรของบริษัท อย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทนั้น
• ผู้บริหารและพนักงาน ต้องดูแลรักษาทรัพย์สินของบริษัทมิให้เสื่อมเสีย สูญหาย
• กำหนดแนวทางการป้องกันภัยหรือความเสี่ยงภัยที่เกิดต่อทรัพย์สินของบริษัท ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน เช่น ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ เป็นต้น

 

16. นโยบายเกี่ยวกับการรับ การให้ของขวัญและสิ่งตอบแทน
บริษัทนั้นต้องกำหนดให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน มีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการให้และรับของขวัญ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ดังนี้
• ผู้บริหารและพนักงานถูกห้ามไม่ให้เรียกผลประโยชน์ใดๆ จากคู่ค้าและหรือผู้ที่ทำธุรกิจกับบริษัท
• ผู้บริหารและพนักงานถูกห้ามไม่ให้เสนอผลประโยชน์ใดๆ ต่อบุคคลภายนอก คู่ค้า เพื่อจูงใจให้ปฏิบัติในทางที่มิชอบ
• ผู้บริหารและพนักงานควรหลีกเลี่ยงการให้หรือรับของขวัญหรือสิ่งตอบแทนอื่นใด จากคู่ค้า และ/หรือผู้ที่ทำธุรกิจกับบริษัท เว้นแต่ในโอกาสที่เป็นช่วงเทศกาลในมูลค่าที่เหมาะสม (ไม่เกิน 50 เหรียญดอลลาร์ สหรัฐอเมริกา ต่อคนโดยรวมทั้งหมด) และไม่เกี่ยวข้องกับการผูกมัดทางธุรกิจ

 

17. จรรยาบรรณว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
บริษัทนั้นต้องกำหนดให้ กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯทุกคนต้องมีความรอบคอบและความระมัดระวังในงานทรัพย์สินทางปัญญารวมถึงต้องเคารพลิขสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา

 

18. นโยบายเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตและการให้สินบน
บริษัทนั้นต้องกำหนดให้กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานมีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริต และการให้สินบน ดังนี้
• บริษัทกำหนดแนวทางในการรับหรือให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่อาจสร้างแรงจูงใจในการตัดสินใจอย่างไม่ชอบธรรมโดยกำหนดเงื่อนไขว่าควรดำเนินการอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมาและต้องมั่นใจได้ว่าการดำเนินการนั้นจะไม่ทำให้เกิดข้อครหาหรือทำให้บริษัทฯเสื่อมเสียชื่อเสียง สิ่งของที่กรรมการบริษัท ได้รับโดยปกติแล้วจะเก็บไว้ในสำนักงาน หรือแจกจ่ายให้กับพนักงานในบริษัทนั้น
• การจัดหาต้องดำเนินตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามระเบียบของบริษัทและมีความเป็นธรรมแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยที่การตัดสินใจต้องคำนึงถึงความสมเหตุสมผลด้านราคา คุณภาพและบริการที่ได้รับ รวมทั้งต้องสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส
• ในการทำธุรกรรมกับภาครัฐ บริษัทฯจะต้องหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจจูงใจให้รัฐหรือพนักงานของรัฐดำเนินการที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมอย่างไรก็ดีการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันหรือการกระทำใดๆ ในขอบเขตที่เหมาะสมและเป็นธรรมเนียมปฏิบัตินั้นก็สามารถทำได้ เช่น การไปแสดงความยินดีหรือการให้ช่อดอกไม้ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น

 

แนวทางปฏิบัติของบริษัท

1. แนวทางปฏิบัติของผู้บริหาร

• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เป็นธรรม เพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าในการตัดสินใจและกระทำการใดๆ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องโดยภาพรวม
• ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพด้วยความรู้ความชำนาญ ความมุ่งมั่นและมีความรอบคอบระมัดระวัง มองเห็นปัญหาล่วงหน้าและหาวิธีการแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นและรักษามาตรฐานการปฏิบัติงานดังกล่าวไว้ รวมถึงมีการประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะในการจัดการบริษัทฯ อย่างเต็มความรู้ความสามารถ
• ไม่หาประโยชน์ให้ตนเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยการนำสารสนเทศภายในที่ยังไม่ได้เปิดเผยหรือที่เป็นความลับไปใช้หรือนำไปเปิดเผยกับบุคคลภายนอกหรือกระทำการอันก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
• จัดให้มีการดูแล การตรวจสอบ ทั้งภายในบริษัทและสภาพแวดล้อมของบริษัทโดยสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าได้มีการปฏิบัติตามนโยบายและกระบวนการที่กำหนด
• จัดให้มีการรายงานสารสนเทศที่ถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลา และสม่ำเสมอ รวมถึงจัดให้มีการรายงานแนวโน้มในอนาคตของบริษัทบนพื้นฐานของความเป็นไปได้และมีข้อมูลสนับสนุนอย่างเพียงพอ
• ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รักษามาตรฐานอุตสาหกรรมและกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ทันต่อเหตุการณ์ มีเอกสารหลักฐานที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับการดำเนินการควบคุมและการดูแลรักษาให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดสำหรับนำไปใช้ปฏิบัติในทุกระดับของการจัดการ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง มีการแบ่งแยกกิจกรรมดำเนินธุรกิจ และจัดให้มีการอนุมัติการดำเนินการที่เหมาะสมเป็นไปตามที่กฎหมายและข้อกำหนด ที่เกี่ยวข้อง
• พัฒนาบริษัทให้บรรลุถึงเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และเป็นมาตรฐานที่ยอมรับ
• ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัท

 

2. แนวทางปฏิบัติของคณะกรรมการบริษัท

• กำหนดทิศทาง เป้าหมาย นโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจ
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัทฯ
• พึงปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและข้อบังคับของบริษัท
• ติดตามการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
• พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และกำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการให้ชัดเจนและเหมาะสม
• พิจารณาการทำรายการทางธุรกิจที่สำคัญของบริษัทด้วยความตั้งใจและขยันหมั่นเพียร
• จัดประชุมคณะกรรมการและพิจารณาวาระการประชุมอย่างเหมาะสม
• ประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการอย่างสม่ำเสมอ
• จัดทำแผนสืบทอดตำแหน่งสำหรับผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัท

 

3. แนวทางปฏิบัติของคณะอนุกรรมการ

• ปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท ด้วยความตั้งใจและขยันหมั่นเพียร
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัทโดยปราศจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์
• พึงปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและข้อบังคับของบริษัท
• รายงานผลการปฏิบัติงานให้คณะกรรมการรับทราบและพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ

 

4. แนวทางปฏิบัติของกรรมการ

• ขยันหมั่นเพียรปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทฯ
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัท
• พึงปฏิบัติตามกฎหมายกฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและดำเนินธุรกิจเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัท
• ติดตามการดำเนินงานของฝ่ายจัดการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย วัตถุประสงค์ของบริษัท
• ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการรักษาความลับของสารสนเทศที่เป็นความลับภายในบริษัทฯและยังไม่อนุญาตให้เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก และไม่อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลต่อภายนอก และไม่ใช้ข้อมูลภายในของบริษัท ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของตนเอง
• หลีกเลี่ยงการกระทำหรือการตัดสินใจ ที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

 

5. แนวทางปฏิบัติของเลขานุการบริษัท

• ขยันหมั่นเพียรปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท
• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความระมัดระวังและรักษาประโยชน์ของบริษัท
• ดูแลกิจกรรมต่างๆ ของคณะกรรมการและบริษัทฯ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและดำเนินธุรกิจเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัท
• มีความพร้อมและตั้งใจในการจัดประชุมผู้ถือหุ้นการประชุมคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ และการจัดเตรียมรายงานการประชุม
• เป็นสื่อกลางการติดต่อสื่อสารที่ดีระหว่างกรรมการและผู้ถือหุ้น
• รักษาข้อมูลภายในบริษัทให้เป็นความลับ รวมถึงข้อมูลในรายงานการประชุมของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของบริษัท และไม่อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลต่อภายนอก และไม่ใช่ข้อมูลภายในของบริษัท ซึ่งยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของตนเอง

 

6. แนวทางปฏิบัติของพนักงาน

• ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อบริษัท
• พึงปฏิบัติตามกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจรรยาบรรณและแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดีและข้อบังคับของบริษัท
• ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการรักษาความลับของสารสนเทศที่เป็นความลับภายในบริษัทฯและยังไม่อนุญาตให้เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก และไม่อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลต่อภายนอก และไม่ใช้ข้อมูลภายในของบริษัทฯ ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของตนเอง
• พึงรักษาและร่วมสร้างสรรค์ให้เกิดความสามัคคีในหมู่พนักงาน

 

7. นโยบายและแนวทางปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสีย

บริษัทต้องมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าอย่างมืออาชีพ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมีคุณธรรมและจริยธรรม รวมถึงการให้ความสำคัญของการปฏิบัติที่ดีต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ทุกฝ่าย ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูง จึงกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีต่อผู้มีส่วนได้เสียขึ้น เพื่อเป็น แนวทางการทำงานที่ดี และ ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณ ดังต่อไปนี้

 

แนวทางปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้น

• บริษัทต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นและกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินในเรื่องที่เกี่ยวกับการเปิดเผยสารสนเทศ วิธีการปฏิบัติทางบัญชี การใช้สารสนเทศภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยผู้บริหารจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ตลอดจนตัดสินใจดำเนินการใดๆ ด้วยความสุจริตใจ และเป็นธรรมต่อผู้ถือหุ้นทั้งรายใหญ่และรายย่อย และเพื่อผลประโยชน์โดยรวม

 

แนวทางปฏิบัติต่อลูกค้า

• บริษัทตระหนักเป็นอย่างดีถึงความสำคัญของลูกค้าของบริษัทและมั่นใจว่าเงื่อนไขทางการค้าต่างๆ เป็นไปด้วยความเป็นธรรมตามมาตรฐานการค้าโดยทั่วไป ความลับของลูกค้าควรเก็บเป็นความลับและใช้ในธุรกิจ โดยไม่มีการเปิดเผย ยกเว้นการบังคับตามกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับ หรือการยินยอมจากผู้เป็นเจ้าของสารสนเทศ รวมถึงประเด็นทางด้านการตลาด การกำหนดราคา รายละเอียดบริการ คุณภาพและความปลอดภัยของการให้บริการ

 

แนวทางปฏิบัติต่อคู่ค้าและ/หรือเจ้าหนี้

• บริษัทควรแน่ใจว่ามีการปฏิบัติที่ดีต่อคู่ค้า ได้แก่ กระบวนการสั่งซื้อจากผู้ขายและการปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ต่อเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้เงินกู้ยืม เช่น การเบิกใช้ การชำระหนี้ หลักประกัน และข้อตกลงทางธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

แนวทางปฏิบัติต่อคู่แข่งทางการค้า

• บริษัทได้ปฏิบัติภายใต้กรอบกติกาของการแข่งขันที่ดี ไม่ทำลายชื่อเสียงของคู่แข่งทางการค้าด้วยการกล่าวหาบริษัทที่เป็นคู่แข่งทางการค้าด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง รวมถึงไม่เข้าถึงสารสนเทศที่เป็นความลับของคู่แข่งด้วยวิธีการที่ไม่สุจริตหรือไม่เหมาะสม

 

แนวทางปฏิบัติต่อพนักงาน

• บริษัทตระหนักเป็นอย่างดีว่า พนักงานเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยแห่งความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจของบริษัท จึงกำหนดวิธีการจ้างงาน ความเท่าเทียมกันในโอกาสของการจ้างงาน ความมั่นคงและความก้าวหน้าทางอาชีพ และหลักการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานและการจ้างงานและทำให้มั่นใจได้ว่าพนักงานมีความรู้ความชำนาญที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานในธุรกิจ รวมถึงความเข้าใจในข้อพึงปฏิบัติ มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง แนวทางปฏิบัติที่กำหนดไว้ และข้อตกลงในการที่จะปรับปรุงความรู้ความสามารถเพื่อทำให้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมในอนาคต

 

แนวทางปฏิบัติต่อชุมชนและสังคม

บริษัทควรตระหนักเป็นอย่างดีถึงความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม รวมถึงการสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนและการเอาใจใส่ต่อผลกระทบต่อผู้ที่อยู่รอบข้างมากกว่าที่มีกำหนดไว้ในกฎหมาย และพยายามที่จะค่อยๆ ให้มีการซึมซับเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางสังคม

บริษัทคาดหวังที่จะดำเนินธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีท้องถิ่นที่บริษัทฯ ตั้งอยู่หรือเข้าไปทำธุรกิจ และปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน มุ่งมั่นที่จะใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะดำเนินการยกระดับคุณภาพของสังคม ทั้งที่ดำเนินการเองและร่วมมือกับภาครัฐและชุมชน

 

8. นโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม

บริษัทควรมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานของความปลอดภัย ชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมอย่างสูงสุด ซึ่งได้มีแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้

• ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ในด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ที่บริษัทฯ เข้าไปทำธุรกิจ
• ปฏิบัติตามมาตรฐานเพื่อก่อให้เกิดความปลอดภัยในสุขภาพและสภาพแวดล้อมในการทำงานสำหรับพนักงานทุกคน
• ส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัย ความปลอดภัยในทุกระดับ ตลอดจนสนับสนุนวิธีการและการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายของอุตสาหกรรม
• เปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริง ในเรื่องความปลอดภัย ชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของบริษัท

   
  [Last Modified: October 15, 2012]
   

   
   

 

 

 

   
  [Last Modified: December 4, 2012]
   
   
 
  กว่าสิบปีของการดำเนินธุรกิจแพปลาและอาหารทะเล โดยเริ่มจากเป็นชาวประมง ออกเรือประมงเอง จนมาถึงการเป็นเจ้าของธุรกิจแพปลา และเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเล ทั้งปลีกและส่งทั่วประเทศ คุณภาพดีในราคายุติธรรม ในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้าอย่างครบถ้วน โดยมีสินค้าทะเลหลากหลายทั้งของสด ของแช่แข็ง ของแห้ง และสินค้าพร้อมปรุงรับประทาน เราเลือกซื้อสินค้าทะเลโดยตรงจากชาวประมงท้องถิ่น มีเครือข่ายพันธมิตรในธุรกิจที่ดีและนำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้เราสามารถเลือกซื้อสินค้าทะเลที่ดีที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุดและครบถ้วน ในราคาที่ท่านพอใจที่สุด พร้อมทั้งได้รับการไว้วางใจจากลูกค้ามากกว่า 10 ปี และพร้อมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาดเสมอ 

630

มา ถึงปี 2557 ธุรกิจไหนจะอยู่รอด ธุรกิจไหนจะต้องเฝ้าระวัง ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการหลายท่านที่ทำธุรกิจก็คงเตรียมแผนสำรองกันไว้บ้างพอ สมควร เพราะตอนนี้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และการอัพเดตสถานการณ์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้ยากเหมือนเมื่อก่อน ในบทความครั้งนี้ ผมได้นำข้อมูลที่ประเมินทิศทางเศรษฐกิจในปีม้า หรือปี 2557 มาบอกเล่าให้ทุกท่านรู้เพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการรับมือทำธุรกิจได้มาก ขึ้น

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2557 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ออกเป็น 2 กรณี คือ หากมีการเลือกตั้งทั่วไปตามกำหนดในวันที่ 2 ก.พ. และมีรัฐบาลใหม่ที่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในครึ่งปีแรก พร้อมกับมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคและลงทุนชุดใหญ่ออกมา เชื่อว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ 4.5% แต่ถ้าไม่มีมาตรการกระตุ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ราว 3.7%

อย่างไรก็ดี กรณีเลวร้ายที่ความขัดแย้งทาง การเมืองยืดเยื้อเกิน 6 เดือน จะส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศไม่มีการเติบโตเลย โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ 0.5-2.5% ตามการขยายตัวของภาคการส่งออก

จากสถานการณ์ในข้างต้นประเมินว่าปี นี้จะมีธุรกิจดาวรุ่งที่มีโอกาสจะขยายตัว 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่ฟื้นตัวตามภาคการส่งออกไปยังคู่ค้าและตลาดที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มสินค้ารถยนต์และส่วนประกอบ แม้ส่วนใหญ่จะมาจากผู้ประกอบการขนาดใหญ่เป็นหลัก แต่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะสายการผลิตนี้ครอบคลุมหลายผลิตภัณฑ์/ชิ้นส่วน หากแนวโน้มการส่งออกรถยนต์ในภาพใหญ่มีทิศทางที่ดีขึ้น ก็ย่อมจะส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการ SMEs ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

กลุ่มเครื่องประดับ เป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดในบรรดาสินค้าส่งออกทั้งหมดของไทย โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐ สหภาพยุโรป ฮ่องกง และกลุ่มอาเซียน กลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์ ได้แก่ สี ปุ๋ย และเครื่องสำอาง เป็นอีกกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตในเกณฑ์ดี และยังได้รับผลบวกจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ทำให้คาดว่าความต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์จากไทยจะมีแนวโน้มได้รับการตอบรับที่ดี เนื่องจากสินค้าไทยได้รับการยอมรับในเรื่องของคุณภาพ

สุดท้ายกลุ่มสินค้าเกษตรและแปรรูปอาหาร ใน 20 อันดับสินค้าส่งออกที่ทำรายได้สูงสุด พบว่าสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารติดอันดับถึง 9 รายการ ได้แก่ ยางและของทำด้วยยาง น้ำตาลและขนมทำจากน้ำตาล ธัญพืช ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์น้ำ พืชผัก รวมทั้งรากและหัวบางชนิดที่บริโภคได้ ของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภคได้ ปลา สัตว์น้ำ และของปรุงแต่งทำจากพืชผัก ผลไม้ ลูกนัต หากการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้มีทิศทางที่สดใสมากขึ้น ผู้ประกอบการ SMEs ก็น่าจะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วยเช่นกัน

คราวนี้ลองมาดู กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีจุดแข็งทางธุรกิจ หรือมีความสามารถในการแข่งขัน คือ ภาคการท่องเที่ยวและบริการด้านสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถในการแข่งขัน เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งและได้รับการยอมรับจากต่างชาติในเรื่องของคุณภาพ และราคาที่คุ้มค่า ทั้งการเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพแห่งเอเชีย หรือ Medical Hub of Asia ที่ไม่ด้อยกว่า สิงคโปร์และมาเลเซีย

ในทางตรงกันข้าม ก็มีธุรกิจที่เฝ้าระวัง เพราะอาจประสบกับความลำบากในการปรับตัวมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มที่พึ่งพาแรงงานเป็นจำนวนมาก หรือมีความยืดหยุ่นน้อยในการบริหารจัดการต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งค่าจ้างแรงงาน ค่าไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าขนส่ง รวมถึงโจทย์สำคัญที่รอท้าทายในระยะยาว คงไม่พ้นเรื่องความสามารถทางการแข่งขันในหลาย ๆ สินค้าของไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะเมื่อการค้าการลงทุนในโลกกำลังเปิดกว้างและเชื่อมโยงกันมากขึ้นในปี 2558

ดังนั้นแนวทางการปรับตัวและรับมือสำหรับ SMEs ภาคการส่งออกจะต้องแสวงหาแหล่งวัตถุดิบทดแทน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต การหาตลาดที่มีศักยภาพ และพยายามสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งพยายามสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ส่วนในกลุ่มภาคการท่องเที่ยวจะต้องเน้นเรื่องคุณภาพ การบริการด้วยใจ ราคาต้องสมเหตุสมผล ต้องพัฒนาความรู้ความสามารถในเรื่องภาษาให้กับบุคลากร และต้องดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย หากผู้ประกอบการยิ่งรู้จักปรับตัวก็ยิ่งจะช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจได้มาก ขึ้นได้ครับ

โดย พัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

แม็คโครพัฒนาระบบธุรกิจ รองรับการรุกตลาดอาเซียน

images (3)

น.ส.เสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-สายงานบริหารการเงิน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทกำลังลงทุนในแพลตฟอร์มธุรกิจค้าปลีกใหม่ ในการที่จะเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการ ตลอดจนสนับสนุนเป้าหมายที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตครอบคลุมทั้งระดับภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้จึงได้เลือก Oracle Retail โซลูชั่น ในการที่จะนำเสนอรูปแบบการค้าปลีกที่ทันสมัย?? เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

 

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์แนวหน้า

 

มธ.กวาด 8 รางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ ทั้งสายวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2556 และรางวัลผลงานวิจัย ทั้งทางด้านกฎหมาย ด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มธ.มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สภาวิจัยแห่งชาติได้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้แก่นักวิจัยของ มธ.ทั้งในด้านรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติและรางวัลผลงานวิจัย และขอขอบคุณนักวิจัยทุกท่านที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่องและสร้างชื่อเสียงให้กับ มธ.ซึ่ง มธ.มุ่งเน้นในการสนับสนุนการผลิตผลงานวิจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงสาธารณะ เชิงนโยบาย เชิงพาณิชย์ เชิงสุนทรียภาพ หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสังคมอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ โดย มธ. มีจำนวนงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ และผลงานตีพิมพ์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ตอกย้ำนโยบายที่มุ่งเน้นการเป็นผู้นำในด้านการวิจัย เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้กับประเทศ

ทั้งนี้ สภาวิจัยแห่งชาติได้มอบรางวัล “นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2556 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย” แก่ ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดย ศ.ดร.สมนึก มีผลงานวิจัยเพื่อพัฒนาวงการก่อสร้างแบบยั่งยืนอย่างครบวงจร เช่น การพัฒนาวัสดุทดแทนปูนซีเมนต์ โดยการพัฒนาคอนกรีตและปูนซีเมนต์ชนิดใหม่ที่ใช้เถ้าลอย วิธีการควบคุมคุณภาพเถ้าลอยเพื่อการจัดจำหน่ายให้กับโรงไฟฟ้า รวมถึงวางแผนปรับมาตรฐานเถ้าลอยสำหรับประเทศไทย และการผลักดันการใช้ผงหินปูนในอุตสาหกรรมคอนกรีตอย่างต่อเนื่องเพื่อลดต้นทุนการผลิตและช่วยเพิ่มคุณภาพของคอนกรีต นอกจากนี้ ยังเป็นผู้บุกเบิกการทำงานวิจัยด้านความคงทนและอายุการใช้งานของโครงสร้างคอนกรีตอย่างครบวงจรในประเทศไทย ศ.ดร.สมนึก ได้บูรณาการความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อการวางแผนการบำรุงรักษา การตั้งงบประมาณ การประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินการด้านบำรุงรักษา และการคำนวณค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศไทย

ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล กล่าวว่า “รางวัลที่ได้รับเป็นผลจาการทำวิจัยเกี่ยวกับวงการก่อสร้างตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการศึกษาและออกแบบโครงสร้างเพื่อทำให้โครงสร้างมีอายุยืนยาว การปรับปรุงวัสดุก่อสร้างให้มีคุณภาพคงทนแข็งแรงขึ้นและลดการใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง และการบำรุงรักษาและซ่อมแซมเสริมกำลังโครงสร้างเก่าและแก้ไขความเสียหายเพื่อให้โครงสร้างเก่ามีประสิทธิภาพตลอดอายุการใช้งาน ทำให้โครงการก่อสร้างมีความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำมาตรฐานการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตโดยคำนึงถึงความคงทนและอายุการใช้งาน ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยมีพื้นฐานมาจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบโครงสร้างจริง และการ Simulation เพื่อให้มั่นใจว่า โครงสร้างจะมีอายุยืนยาวจริง ผลงานวิจัยเหล่านี้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงสร้างคอนกรีตได้ถึงหลักหมื่นล้านบาทต่อปีจากการใช้วัสดุที่มีคุณภาพและโครงสร้างมีอายุยืนยาวขึ้น”

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้รับรางวัลผลงานวิจัยต่างๆ ดังนี้
รศ.ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร และคณะ ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาพลาสมาและปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันของพลาสมาชนิดประสิทธิภาพสูงที่มี ETBs และ ITBs ในเครื่องโทคาแมค”
ดร.วรรณภา ติระสังขะ คณะรัฐศาสตร์ และนายบุญเสริม นาคสาร ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยระดับดี สาขานิติศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “โครงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อการแก้ปัญหาของกฎหมายประเทศ”

รศ.ดร.ศากุน บุญอิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี และคณะ ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยระดับดี สาขาเศรษฐศาสตร์” สำหรับผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาผลกระทบเชิงสถานการณ์ของความไม่แน่นอนด้านภาวะแวดล้อมต่อความสัมพันธ์ของการบูรณาการซัพพลายเชนและสมรรถนะด้านการปฏิบัติการ”

รศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล คณะแพทยศาสตร์ ได้รับรางวัล “สิ่งประดิษฐ์คิดค้นระดับดีเด่น สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์” สำหรับผลงานประดิษฐ์เรื่อง “อุปกรณ์ช่วยพ่นยาที่สามารถประดิษฐ์ได้ด้วยตนเองสำหรับการรักษาโรคหืด”

ผศ.ดร.เขียนศักดิ์ แสงเกลี้ยง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ได้รับรางวัล “สิ่งประดิษฐ์คิดค้นระดับดี สาขาปรัชญา” สำหรับผลงานประดิษฐ์เรื่อง “ได้ทุกที่ รีสอร์ท”

ผศ.ดร.วราฤทธิ์ พาณิชกิจโกศลกุล คณะวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัล “วิทยานิพนธ์ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและคณิตศาสตร์” สำหรับวิทยานิพนธ์เรื่อง “การอนุมานเชิงพยากรณ์สำหรับกระบวนการอัตตสหสัมพันธ์”

อาจารย์ ดร.ภาณุมาศ ทองอยู่ คณะวิทยาศาสตร์ ได้รับรางวัล “วิทยานิพนธ์ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช” สำหรับวิทยานิพนธ์เรื่อง “การสังเคราะห์และการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของอนุภาคโปรตีนขนาดเล็กในกลุ่ม Cysteine Knot Microprotein”

สังคมไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมหรือการแต่งงานข้ามชาติระหว่างหญิงไทยและชายชาวตะวัน ตกมีจำนวนมากขึ้นและมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

มีงานวิจัยหลายเรื่องศึกษาถึงการแต่งงานของหญิงไทยในสังคมชนบททางภาคอีสานกับชายชาวตะวันตก ระบุถึงสาเหตุและแรงผลักดันว่าเกิดจากความยากจนและความผิดหวังในชีวิตสมรสกับชายชาวไทย

เมื่อไม่นานนี้มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทยร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานสัมมนาประจำปี ในหัวข้อ “อีสาน-ลาว-ขแมร์ศึกษา ในกรอบประชาคมอาเซียน” ที่มหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี ภายในงานสัมมนา ดังกล่าวมีการจัดสัมมนาเรื่อง “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม (เขยฝรั่ง)”



ดร.ศิริจิต สุนันต๊ะ จากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒน ธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงแนวคิดการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมว่า การแต่งงานข้ามชาติในภาคอีสานของไทยเรานั้นยังคงยึดชาติเป็นหลัก ทำให้มองไม่เห็นถึงพลวัตทั้งทางด้านความแตกต่าง ความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ที่อยู่ภายในชาติ

“ในประเทศไทยยังมีความไม่เท่าเทียมอยู่ โอกาสทางสังคมไม่เท่าเทียมกัน และคนชนบทชาวบ้านภาคอีสานรับรู้ได้ถึงความไม่เท่าเทียมนี้ เพราะโอกาสทางสังคมที่ด้อยกว่าคนในเมืองและคนกรุงเทพฯ เกิดเป็นแรงผลักดันที่อยากก้าวข้ามความไม่เท่าเทียมนี้ และอยากมีชีวิตที่ดีทั้งตัวเองและครอบครัว”

ดร.ศิริจิตกล่าวด้วยว่าเขยฝรั่งทำให้สังคมอีสานเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การแต่งงานแบบเอาลูกเขยเข้าบ้านและการยึด ญาติฝ่ายหญิงเป็นศูนย์กลางเป็นวิถีปฏิบัติท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านอีสานปัจจุบันเห็นเขยฝรั่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มและท้องถิ่นของครอบครัวและของชุมชน ในขณะที่ความรับผิดชอบของลูกสาวที่มีต่อพ่อแม่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้หญิงอีสานขวนขวายหาทางไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ด้าน ดร.พัชรินทร์ ลาภานันท์ จากสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหา วิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า อยากใช้คำว่า “การแต่งงานข้ามชาติ” แทนคำว่า “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม” เพราะต้องการให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์การแต่งงานระหว่างผู้หญิงอีสานหรือผู้หญิงไทยกับผู้ชายตะวันตกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเพื่อสะท้อนว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวมีลักษณะที่เฉพาะและแตกต่างไปจากการแต่งงานระหว่างผู้หญิงไทยกับผู้ชายตะวันตกในอดีต

“ความแตกต่างที่สำคัญคือในอดีตผู้หญิงอีสานที่แต่งงานกับทหารจีไอเมื่อแต่งงานแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะย้ายตามไปอยู่กับสามีไม่มีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านแตกต่างจากผู้หญิงอีสานที่แต่งงานกับผู้ชายฝรั่งในยุคปัจจุบันถ้าเราไปตามสนามบินไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี จะเห็นชาวบ้านในหมู่บ้านไปรับเขยฝรั่งที่กลับมาเยี่ยมบ้านซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ”

ดร.พัชรินทร์กล่าวว่าพลวัตท้องถิ่นเป็นผลจากการแต่งงานข้ามชาตินั้นมีความซับซ้อนและครอบคลุมหลายมิติทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เศรษฐกิจที่ประจักษ์ชัดในเชิงโครงสร้าง ทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมของชุมชน และความสัมพันธ์ของหญิงชายที่เชื่อมโยงกับพลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจในท้องถิ่น



“การแต่งงานข้ามชาติไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสู่การมีฐานะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นการทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ต้องสะท้อนความหลากหลายของเงื่อนไขต่างๆและความซับซ้อนของผลที่เกิดขึ้นต่อชุมชนรวมทั้งการมองปรากฏการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยน แปลงสังคมภายใต้การเผชิญหน้าของท้องถิ่นกับโลกาภิวัตน์ซึ่งท้าทายต่อเพศสภาวะ ชนชั้น และบรรทัดฐานของสังคม”

ขณะที่ ดร.อิทธิวัตร ศรีสมบัติ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ให้มุมมองว่าเหตุผลที่ผู้หญิงเลือกชาวต่างชาตินั้นแม้หลายคนอาจไม่เข้าใจว่าเป็นการเลือกในลักษณะทางเศรษฐกิจหรือเงินทองแต่ผู้หญิงเหล่านี้จะทำให้คนในหมู่บ้านรวมถึงตนเองเกิดการเรียนการใช้ชีวิตเรียนรู้ความอดทนเรียนรู้การวางแผนการใช้เงินและความรับผิดชอบ

“ผู้หญิงไทยที่ไปอยู่กับชาวต่างชาตินั้นไม่ได้เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาๆแต่ไปทำงานเพราะจริงๆ แล้วชาวต่างชาติไม่ได้ร่ำรวย ฝ่ายหญิงต่างหากที่ร่ำรวย เป็นเพราะค่าเงินที่แตกต่างกันทำให้มองดูว่าฐานะและเศรษฐกิจของฝรั่งนั้นรวยมากกว่าคนไทย” ดร.อิทธิวัตรกล่าว

ดร.จันทนี เจริญศรี คณะสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าการท่องเที่ยวของสามีฝรั่งจะใช้จ่ายในลักษณะที่ไม่ได้ใช้จ่ายในประเทศบ้านเกิดของเขา เวลามาเมืองไทยเขาอยากจะมีความสุข ให้มากที่สุด ซึ่งเชื่อมโยงกับภาพความเป็นไทยกับความเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นสวรรค์สำหรับชาวต่างชาติ

“สามีฝรั่งจำนวนมากมีโอกาสทางด้านเศรษฐกิจ มีหลายคู่ที่มาลงทุนทางธุรกิจในเมืองไทย เช่น ทำสวนยางพาราในภาคอีสาน ใช้แรงงานญาติของภรรยา โดยไม่ต้องทำอะไรนอกจากมีที่ดินและญาติภรรยา และยังเป็น ผู้อุปถัมภ์ญาติภรรยาอีกด้วย”

ดร.จันทนีกล่าวด้วยว่า ในเรื่องบ้านเกิดของภรรยากับภาพลักษณ์ความเป็นไทย สามีจำนวนมากบ่นว่าบ้านเกิดภรรยาไม่ใช่ตัวแทนภาพลักษณ์เมืองไทยอย่างที่เขารู้จักและรู้สึก ในขณะที่ภรรยาจะรบเร้าต้องการสร้างบ้านที่บ้านเกิดเพื่อจะได้อยู่ใกล้ญาติพ่อแม่พี่น้องและเครือข่ายความสัมพันธ์เดิมของตัวเอง

“แต่เมื่อถามสามีสามีจะบอกว่าที่บ้านเกิดภรรยาไม่มีอะไรเลยถ้าจะกลับไปอยู่เมืองไทยก็อยากไปอยู่ในเมืองท่องเที่ยว หรือใกล้ๆ ทะเลมากกว่า”

 

ที่มา : นสพ.ข่าวสด

 

1506496_727535303936882_1817213072_n
กระดูกสันหลังมีความสำคัญต่อบุคลิกภาพ วันนี้เรามี 10 วิธีที่คุณอาจเคยทำและไม่รู้ว่ามันทำร้ายกระดูกสันหลังของคุณมาบอกกัน ลองดูนะคะ 1.การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด 2.การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จนทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแล็คติก มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา 3.การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย 4.การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง 5.การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ 6.การนั่งกอดอก จะทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้ 7.การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว 8.การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม การยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อยเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่น และทำให้ไม่ปวดหลัง 9.การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋าโดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้เกิดการทำงานหนักอยู่ข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้ 10.การขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคงให้หาหมอนข้างก่าย โดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง —————————- กระดูกเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายทุกส่วน แต่กระดูกบางส่วน ควรดูแล และรักษาสุขภาพกระดูก ทั้งในเรื่องการกิน การออกกำลังกาย การอยู่ในอิริยาบทเดิมๆ เป็นเวลานาน มีภาวะเสี่ยง เปลี่ยนอิริยาบท ทุกๆ 5-10 นาที ก็ดีนะครับ —————————- ขอบคุณที่มาข้อมูล : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ และ sanook.com

F94B0CA13AC14678AB79E59E3B158F5A

ส่องร้านอาหารกลางดงม็อบ”ทั้งเฟื่องทั้งฟุบ”

สี่ แยกปทุมวัน นับว่าเป็นถนนอีกสายที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เนื่องจากมีห้างใหญ่ตั้งรายล้อมอยู่หลายแห่ง ทั้งห้างมาบุญครอง สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ สยามพารากอน  นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมตัวยอดฮิตของกลุ่มวัยรุ่นเด็กแนวอีกด้วย นอกจากนี้ย่านปทุมวันยังได้ชื่อว่าเป็นย่านที่มีร้านอาหารเก่าแก่ที่ใครไป ใครมาจะต้องแวะชิม……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1gDtomL

10DB0B496B7F4694930DF8B501F5876D

“ธรรม คัลเจอร์” จุดเปลี่ยนธุรกิจข้าว
จากธุรกิจทำข้าวกระสอบ และธุรกิจส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ ได้ปรับกลยุทธ์หันมาทำข้าวถุงภายใต้แบรนด์ “ธรรม คัลเจอร์” พร้อมกับชูเอกลักษณ์ การเป็นข้าวล้านนา รวมทั้งได้สินค้าเป็นชุด “ของขวัญ” รายแรกในประเทศ……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1h7j72o

 

 

ตลาดภูธร-กลุ่ม CLMV โอกาสทองธุรกิจอีเวนท์ไทย

หวังชิงส่วนแบ่งมูลค่าต่างประเทศ 1,412 ล้านบาท

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไปสู่ตลาดต่างจังหวัด และการส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญเป็นเมืองแห่งไมซ์ เป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว รวมถึงความต้องการการจัดงานอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV เป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยในต่างประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงาน มาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ในขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่อาจขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในยุคปัจจุบันผู้ประกอบการมีทางเลือกในการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการทำการตลาดในเชิงกิจกรรม หรือการจัดงานอีเวนท์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากผู้ประกอบการ เนื่องจากสามารถสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ความนิยมในการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการดังกล่าวนำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจบริหารการจัดงาน หรือธุรกิจอีเวนท์ ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนผู้ประกอบการให้การจัดงานอีเวนท์ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปี 57 ธุรกิจอีเวนท์ยังเติบโต

การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับช่วงปลายปีซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจะทุ่มงบประมาณในการจัดงานอีเวนท์ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ก็ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 จึงไม่เติบโตตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

สำหรับในปี 2557 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2556 ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ในช่วงต้นปีอยู่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาทิศทางการใช้งบประมาณของผู้ประกอบการในภาพรวมภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองแล้ว จะพบว่าผู้ประกอบการย่อมให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีแนวโน้มจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้น เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นการใช้งบประมาณสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมกับสินค้าและบริการสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้า (Two-way Communication) รวมถึงยังสามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างชัดเจนมากกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่เป็นเพียงการใช้งบประมาณสื่อสารจากผู้ประกอบการไปยังลูกค้าในทิศทางเดียว (One-way Communication) รวมถึงยังวัดผลความสำเร็จในการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ยาก หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่า ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งรวมถึงการจัดงานอีเวนท์ก็ยังสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้ดีกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ

จากแนวโน้มการจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดงานอีเวนท์มากขึ้น ประกอบกับการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไปหรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการในปี 2556 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการน่าจะทยอยกลับมาจัดงานอีเวนท์ในปี 2557 นี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 โดยแบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดภายในประเทศประมาณ 13,010-13,288 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 4 และเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดต่างประเทศประมาณ 1,290-1,412 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 21 สอดคล้องตามทิศทางการมุ่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่

ในอดีตที่ผ่านมา งานอีเวนท์เป็นรูปแบบการทำการตลาดที่ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการเป็นอย่างสูง ประกอบกับการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์สามารถเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี อย่างไรก็ตาม จากการที่ธุรกิจอีเวนท์มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ดังจะเห็นได้จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางด้านการเมืองในปี 2556 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น โดยพบว่าในปี 2556 นั้น ธุรกิจอีเวนท์มีมูลค่าติดลบกว่าร้อยละ 7 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ยืดเยื้อไปจนถึงช่วงกลางปี ประกอบกับมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ ที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการอนุมัติโครงการภาครัฐ รวมถึงภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ก็อาจส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 เติบโตได้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ในขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ไม่ยืดเยื้อ รวมถึงมีปัจจัยหนุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ธุรกิจอีเวนท์ก็จะสามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 5 ตามที่คาดการณ์ไว้ได้

ตลาดภูธรและกลุ่ม CLMV โอกาสอีเวนท์ไทย

แม้ว่าธุรกิจอีเวนท์จะอ่อนไหวต่อปัจจัยการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ยังมีช่องว่างในตลาดทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศที่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ตลาดต่างจังหวัดผลักดันให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว การขยายตัวของความเป็นเมือง ประกอบกับการเล็งเห็นถึงขนาดตลาดผู้บริโภคและศักยภาพทางเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่จะนำมาซึ่งกำลังซื้อของคนในพื้นที่ ผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ จึงหันมามุ่งขยายธุรกิจจากกรุงเทพฯ ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลให้มีความต้องการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ เราจะเห็นได้ว่า พื้นที่ต่างจังหวัดยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมืองน้อยกว่ากรุงเทพฯ จึงส่งผลให้การจัดงานอีเวนท์ในต่างจังหวัดมีโอกาสถูกชะลอหรือยกเลิกในระดับต่ำกว่าการจัดงานอีเวนท์ในกรุงเทพฯ

นอกจากธุรกิจอีเวนท์จะขยายตัวไปต่างจังหวัดสอดคล้องตามการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการแล้ว การส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา และภูเก็ต เป็นเมืองแห่งไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions: MICE) ประกอบกับความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดดังกล่าว เช่น สถานที่จัดประชุม พื้นที่การจัดแสดงสินค้า เส้นทางการคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค บริการด้านโรงแรมและที่พัก บุคลากร เป็นต้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ยังสามารถขยายตัวในต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดีจากการจัดงานโดยภาครัฐ ผู้ประกอบการ สมาคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งจะใช้บริการธุรกิจอีเวนท์ในรูปแบบของผู้บริหารจัดการประชุม สัมมนา และงานแสดงสินค้าอีกด้วย

CLMV ตลาดใหม่ธุรกิจอีเวนท์

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ที่ส่งผลให้ประชาชนในประเทศมีกำลังซื้อสูงขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ประเทศดังกล่าวเป็นเป้าหมายด้านการค้าการลงทุนของผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการไทย ส่งผลให้มีความต้องการการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV ยังจำกัด ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าในการเข้าไปให้บริการในประเทศดังกล่าว

นอกจากนี้ การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ก็ยังเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศกลุ่ม CLMV มีการขยายตัวยิ่งขึ้น และเอื้อให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยสามารถเข้าไปประกอบธุรกิจยังประเทศดังกล่าวได้สะดวกขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้เริ่มเข้าไปเจาะตลาดประเทศกลุ่ม CLMV

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเมียนมาร์ ที่ได้มีการรับจัดงานอีเวนท์และแคมเปญขนาดใหญ่ในปีที่ผ่านมา เช่น งานเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ งานเทศกาลสงกรานต์ งานมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 เป็นต้น รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยยังริเริ่มสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ของประเทศกลุ่ม CLMV ในหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น การร่วมหุ้นจัดตั้งบริษัท การร่วมก่อสร้างสถานที่จัดงานอีเวนท์เพื่อส่งเสริมให้ประเทศกลุ่ม CLMV มีสถานที่รองรับการจัดการงานที่จะสามารถต่อยอดธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ อีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้ เป็นต้น

แนะปรับกลยุทธ์การแข่งขัน

ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในระดับสูง การรับมือโดยการกระจายความเสี่ยงผ่านการขยายธุรกิจไปในต่างจังหวัด และเจาะตลาดใหม่ในต่างประเทศอาจไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์จึงควรปรับกลยุทธ์การแข่งขันควบคู่กันไปด้วย โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงานมาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร กล่าวคือ ประยุกต์ใช้จุดแข็งในด้านความเข้าใจความต้องการของผู้เข้าร่วมการจัดงานอีเวนท์ มาต่อยอดในการเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการจัดการงานอีเวนท์

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ สามารถใช้ข้อได้เปรียบทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ ผนวกกับเครือข่ายพันธมิตรที่มีอยู่ ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสื่อโฆษณา รวมถึงธุรกิจบันเทิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม CLMV ที่พบว่ารูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้คนมีความคล้ายคลึงกับคนไทย ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่สามารถนำองค์ความรู้ในด้านความเข้าใจในความต้องการของคนไทยประยุกต์ใช้กับผู้คนในประเทศดังกล่าวได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาถึงความแตกต่างด้านรูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมในบางประการที่เป็นประเด็นอ่อนไหวควบคู่กันไป เพื่อให้การขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความราบรื่น

ขอบคุณ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การชุมนุมปิดกรุงเทพฯ (ชัตดาวน์) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยภาพรวมการจำหน่ายสินค้ายังคงเป็นไปตามปกติ ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่อยู่ในย่านของการชุมนุม แม้จะปิดให้บริการเร็วขึ้น แต่ยังมีประชาชนเข้าไป จับจ่ายซื้อของเช่นเดิม ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ต้องการใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางมาซื้อ สินค้ามีอุปสรรคในเรื่องเส้นทาง เนื่องจากมีการชุมนุมปิดถนนและย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แต่ก็มีลูกค้าในกลุ่มของผู้ชุมนุมเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้าในย่านที่มีการ ชุมนุมด้วยเช่นกัน ขณะที่ร้านสะดวกซื้อมียอดขายดีขึ้น ร้านอาหารปรุงสำเร็จและร้านจำหน่ายสินค้าจิปาถะต่างๆ จะคึกคักขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากความต้องการบริโภคมีมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ของการชุมนุม ส่วนการจัดส่งสินค้ายังไม่พบปัญหา เนื่องจากผู้ค้าได้มีการเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า ทั้งการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าและการเตรียมเส้นทางสำรองในการขนส่งสินค้าภาย หลังจากที่มีการชุมนุมปิดเส้นทางสำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ หากการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ยืดเยื้อ 2 สัปดาห์คาดว่าจะมีผลกระทบกับการจำหน่ายสินค้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะในย่านธุรกิจที่เป็นพื้นที่ชุมนุม เช่น สยามและย่านราชประสงค์ ที่ยอดขายจะลดลงจากจำนวนลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวที่จะลดลง แต่ในส่วนของร้านค้าย่อยหรือร้านสะดวกซื้อคาดว่าจะยังคงคึกคัก แต่จะต้องมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เนื่อง จากร้านสะดวกซื้อสามารถสต๊อกสินค้าไว้ได้เพียง 3 วัน

ด้านนายวรวิทย์ เจริญวัฒนพันธ์ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย กล่าวถึงการขนส่งสินค้าในพื้นที่ที่ม็อบปิดกรุงเทพฯ ยังไม่พบปัญหาใดๆ ในการนำสินค้าไปส่งให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะห้างค้าปลีกใหญ่ได้สต๊อกสินค้าที่มีความจำเป็นไว้ล่าง หน้าแล้ว ยกเว้นเพียงสินค้าประเภทอาหารที่ยังต้องการเพิ่มเติม โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น ที่ยังต้องการสินค้าประเภทอาหารเข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมด้วย ซึ่งการขนส่งสินค้าก็ยังสามารถทำได้อยู่ เนื่องจากผู้ชุมนุมยังเปิดเส้นทางให้สัญจรไว้บ้าง และเท่าที่ติดตามสถานการณ์การชุมนุมยังมีเส้นทางที่สามารถขนส่งสินค้าเข้าไป ยังพื้นที่ชุมนุมและพื้นที่ใกล้เคียงยังสามารถทำได้อยู่เช่นเดิม

42688149AAAD43E3AF1FC3EF7D9AC79F

ทีวีไดเร็คตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต15% 17 มกราคม 2557 เวลา 20:11 น. |เปิดอ่าน 226 | ความคิดเห็น 0 0 1 More Sharing Services ทั้งหมด + ทีวีไดเร็ค ประกาศแผนธุรกิจปี 57 วาง  5  แนวทางธุรกิจ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1avrDam

D11004768-0

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เตรียมขยายธุรกิจทางภาคใต้ของประเทศไทย เดินหน้ารุกจังหวัดกระบี่เต็มแรง ล่าสุดเซ็นสัญญาเข้าบริหารรีสอร์ทใหม่ 3 แห่ง ในอำเภอคลองเมืองโดยจะดำเนินการพัฒนารีสอร์ททั้งหมดตามกรอบแผนแม่บทฉบับเดียวกันที่ได้วางไว้ สำหรับรีสอร์ทใหม่ จะมีชื่อว่า เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่   ทั้งนี้ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด เป็นเจ้าของพิลิแกนเบย์ผู้พัฒนาโครงการรีสอร์ททั้ง 3 แห่ง ได้เซ็นต์สัญญากับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เพื่อเข้าบริหารรีสอร์ท เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา   โดยเซ็นทาราได้เปิดให้บริการรีสอร์ทแล้วจำนวน 2 แห่งได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา กระบี่ โดยเปิดให้บริการ เมื่อปี 2549 และเซ็นทาราอันดาเทวีรีสอร์ทและสปา กระบี่ ในปี  2555   ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่ปีมานี้ จังหวัดกระบี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง รวมทั้งมีศักยภาพอย่างมหาศาลที่จะเติบโตในอนาคต”   “เรามีความภาคภูมิใจมากที่มีโอกาสได้เป็นผู้นำในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดกระบี่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว สำหรับกิจการรีสอร์ทใหม่ทั้ง 3 แห่งนี้ มีส่วนช่วยกำหนดขอบเขตที่ดีเยี่ยมในการดำเนินธุรกิจของเราในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสวยงามมากๆ” ธีระยุทธ กล่าวอย่างภูมิใจ   คริส เบลีย์ รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่าการเพิ่มรีสอร์ทอีก 3 แห่งในจังหวัดกระบี่ จะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ให้เติบโตมากขึ้น โดยระบุว่า  “รีสอร์ททั้ง 3 แห่งจะนำเสนอประสบการณ์วันหยุดใน 3 รูปแบบที่แตกต่างกัน บนพื้นที่ที่โดดเด่นด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และยังจะสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาลให้กับการวางกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา และจะช่วยสร้างชื่อเสียงของจังหวัดกระบี่ให้เป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพอีกด้วย”   ทั้งนี้ เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท จะเปิดให้บริการเป็นแห่งแรก โดยขณะนี้ กำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในกลางปี 2557 นี้  รีสอร์ทฯ ประกอบด้วยห้องพักสำหรับพักอาศัยจำนวน 92 ยูนิต ห้องอาหาร 1 แห่ง, สระว่ายน้ำ, มุมธุรกิจ และบีชคลับ   ส่วน เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่ เตรียมวางแผนงานและการออกแบบในช่วงกลางปีนี้ โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในไตรมาสแรกของปี 2560  ประกอบด้วยห้องพัก 210 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ห้องอาหาร 2 แห่ง บาร์ 1 แห่ง สระว่ายน้ำพร้อมสแน็คบาร์, สปาเซ็นวารี, ห้องจัดเลี้ยง, ศูนย์ธุรกิจ, ห้องออกกำลังกาย และคิดส์คลับ  ขณะที่เซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่ จะเป็นรีสอร์ทสไตล์วิลลาเต็มรูปแบบ โดยวิลลาจำลองได้ถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ และจะเริ่มดำเนินการในส่วนของแผนแม่บทและการก่อสร้าง พร้อมๆ กันกับเซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา โดยคาดการณ์ว่ารีสอร์ททั้ง 2 แห่ง จะเปิดให้บริการในช่วงเวลาเดียวกันคือ ไตรมาสแรกของปี 2560   ปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราเป็นเชนโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย มีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งสิ้น 65 แห่ง โดยตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย 47 แห่ง และในต่างประเทศ 18 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม มัลดีฟส์ ศรีลังกา เซี้ยงไฮ้ บาหลี อินโดนีเซีย เกาะมอริเชียส มหาสมุทรอินเดีย และเอธิโอเปีย โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อตอบ สนองความต้องการของแขกผู้เข้าพักทุกกลุ่ม ทั้งคู่รัก ครอบครัว และกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมทั้งผู้ที่ต้องการจัดประชุมและสัมมนา   นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ “สปาเซ็นวารี” ซึ่งเป็นสปาแบรนด์ไทยที่ให้บริการ สปาระดับแนวหน้ามาตรฐานสากลทั้งหมด 27 สาขา อีกทั้ง “เซนส์” บายสปาเซ็นวารี สปาแบรนด์ใหม่ที่เน้นการให้บริการ สปาทรีตเม้นท์ตอบสนองความต้องการของนักเดินทางในราคาที่คุ้มค่า และคิดส์คลับที่มีกิจกรรมสนุกสนานให้กับเด็กเล็กและเด็กโตในรีสอร์ทสำหรับ กลุ่มครอบครัวซึ่งอยู่ในเครือเซ็นทาราทั่วโลก นอกจากนี้ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารายังให้บริการห้องประชุมและคอนเวนชันที่ เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัย สามารถรองรับการประชุมและการสัมมนาขนาดใหญ่ได้ถึง 4 แห่ง โดยอยู่ในกรุงเทพฯ  2 แห่ง และ อีก 2 แห่ง ในภาคอิสาน ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ ขอนแก่น แบรนด์โรงแรมใหม่ล่าสุด ได้แก่ “โคซี่” ซึ่งเป็น  แบรนด์โรงแรมราคาประหยัด เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ ปานกลาง นิยมจองห้องพักออนไลน์และชื่นชอบความสะดวกสบายในราคาที่เป็นมิตร ขณะนี้เตรียมเปิดโรงแรมแห่งแรกในปี พ.ศ. 2559     สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เซ็นสัญญาเข้าบริหาร “เซ็นทาราพีลีแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพีลีแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพีลีแกนเบย์วิลลา กระบี่”  กับ พรชัย งามศัพพศิลป์ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด โดยมี ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ (ที่ 3 จากขวา), สุภรัฐ จิราธิวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) และ ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ (ขวาสุด) พร้อมด้วย กัณวัล งามศัพพศิลป์ (ที่ 3 จากซ้าย), ขัณชรส งามศัพพศิลป์ (ที่ 2 จากซ้าย), แอนดรูว์ งามศัพพศิลป์ (ซ้ายสุด) ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ห้องโลตัส 10 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

ขอบคุณข้อมูลจาก : มติชน

24-11-11-15-31-07-s

กรุงเทพฯ–17 ม.ค.–เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปที่สนใจ เข้าร่วมโครงการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการและธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หลักสูตร “ข้อกำหนดการค้าและผลกระทบทางภาษีใน AEC” เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม(SMEs) ที่มีความประสงค์จะทำธุรกิจใน AEC ได้มีความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ และขั้นตอน วิธีการนำเข้าและส่งออกสินค้าของประเทศใน AEC อย่างถูกต้องรวมทั้งทราบถึงข้อกำหนดการค้า การลงทุน การเปิดตลาดการค้า และโลจิสติกส์ภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อวิเคราะห์ถึง โอกาส ปัญหาและอุปสรรค จากมาตรการการค้าและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถจัดทำกลยุทธ์ในการนำเข้าและส่งออกสินค้าพร้อมทั้งเตรียมแผนรับมือกับผลกระทบทางภาษีใน AEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พระราม 6 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02 202 4594 / 02 202 4537 หรือ http://baid.dip.go.th/

นามบัตร ดีไซน์ได้ทั้งตัดและต่อโอกาส
โดย อาจารย์บอย ไพ่ผ่อง
ทุกวันนี้ แม้เทคโนโลยีการสื่อสารจะก้าวไกลเพียงใด แต่เมื่อต้องไปพบปะติดต่อธุรกิจครั้งใด สิ่งที่เมื่อคู่เจรจาพบกันครั้งแรกจะกระทำนอกจากการทักทายแนะนำตัวแล้วก็อาจจะแลก “นามบัตร” (name card) กันเพื่อให้ผู้รับได้ใช้ในการติดต่อ หรือสานสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเจ้าของนามบัตรในอนาคต ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านามบัตรใบเล็กๆ นี้ก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมโชค เพิ่มโอกาสให้แก่เจ้าของได้บ้าง เพราะจะเห็นว่านามบัตรบางใบเมื่อได้รับ ผู้รับจะมองด้วยความสนใจ ชื่นชม ขณะที่บางใบเมื่อรับแล้วก็เพียงเก็บไว้เฉยๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเรื่อง “ฮวงจุ้ยของนามบัตร” ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจหลักการออกแบบนามบัตรที่ดีตามหลักฮวงจุ้ยเบญจธาตุกันครั ทั้งนี้ก่อนที่เราจะเลือกใช้สีใดเป็นสีพื้นนามบัตร สีตัวอักษร รวมถึงสีตัวเลขๆ ก็ต้องทราบก่อนว่า เจ้าของนามบัตรเป็นคนธาตุใด วิธีการหาธาตุสำคัญประจำตัวบุคคลมีหลายวิธี ผู้อ่านสามารถดูได้จากรหัสบุคคล และนำรหัสมาเทียบว่าตนเองเป็นคนธาตุอะไร หรืออาจจะใช้ปีนักษัตรในการหาธาตุประจำตัวก็ได้ การใช้ธาตุตามปีนักษัตรแม้จะไม่ผิด แต่ก็ไม่ละเอียด ดังนั้นจึงขอสรุปสำหรับธาตุประจำ 12 นักษัตรไว้ดังนี คนเกิดปีชวด        เป็นคนธาตุน้ำ คนเกิดปีฉลู        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีขาล        เป็นคนธาตุไม้ คนเกิดปีเถาะ        เป็นคนธาตุไม้ คนเกิดปีมะโรง        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีมะเส็ง        เป็นคนธาตุไฟ คนเกิดปีมะเมีย        เป็นคนธาตุไฟ คนเกิดปีมะแม        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีวอก        เป็นคนธาตุทอง คนเกิดปีระกา        เป็นคนธาตุทอง คนเกิดปีจอ        เป็นคนธาตุดิน คนเกิดปีกุน        เป็นคนธาตุน้ำ อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าจะต้องนับแบบจีน คือจะเปลี่ยนปีนักษัตรในวันตรุษจีน เช่น ปี 2556 วันตรุษจีนคือวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ดังนั้น ก่อนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ นับเป็นปีนักษัตรมะโรง ธาตุดิน ส่วนวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ถือเป็นปีนักษัตรมะเส็ง ธาตุไฟ จากนั้นผู้อ่านควรทราบถึงกฎ หรือ วัฏจักรของการก่อกำเนิดธาตุไว้พอสังเขปว่าแยกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือการกำเนิด คือการเกื้อกูล เป็นการส่งผลดี ได้แก่ น้ำ กำเนิด ไม้ ไม้ กำเนิด ไฟ ไฟ กำเนิด ดิน ดิน กำเนิด ทอง ทอง กำเนิด น้ำ ส่วนการทำลาย หรือการเป็นศัตรู ก่อให้เกิดผลเสีย ต้องหลีกเลี่ยงคู่ที่ทำลายกันก็คือ น้ำ ดับทำลายไฟ ไฟ เผาหลอมทำลายทอง ทอง ตัดฟันทำลายไม้ ไม้ ชำแรกทำลายดิน ดินกั้นขวางทำลายน้ำ เมื่อเราทราบถึงหลักการเกื้อกูล และทำลายแล้ว เราก็สามารถกำหนดสีในนามบัตรให้แก่บุคคลธาตุต่างๆ ได้โดยง่ายดังนี้ บุคคลธาตุน้ำ  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีขาว , สีบรอนซ์เงิน , สีบรอนซ์เทา, สีฟ้า, สีฟ้าคราม, สีน้ำเงิน, สีดำ, สีม่วง และ สีเขียว บุคคลธาตุไม้  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีเขียว , สีม่วง , สีคราม , สีฟ้า , สีน้ำเงิน , สีฟ้าน้ำทะเล , สีดำ  , สีเทา , สีแดง , สีชมพู , สีโอรส , สีส้ม , สีอิฐ และสีแสด บุคคลธาตุไฟ  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีสีแดง , สีชมพู , สีโอรส , สีส้ม , สีอิฐ , สีแสด , สีเหลือง , สีครีม , สีน้ำตาล , สีทอง และสีเขียว บุคคลธาตุดิน  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีเหลือง , สีครีม , สีน้ำตาล , สีทอง , สีบรอนซ์ทอง , สีบรอนซ์เงิน , สีขาว , สีแดง , สีส้ม , สีโอรส , สีอิฐ , สีชมพู และสีแสด บุคคลธาตุทอง  ควรใช้สีในนามบัตร ไม่ว่าจะเป็นสีพื้น สีตัวอักษร และสีตัวเลข เป็นสีทอง , สีบรอนซ์ทอง , สีบรอนซ์เงิน , สีขาว , สีฟ้า , สีน้ำเงิน , สีฟ้าน้ำทะเล , สีเทอร์คอยส์ , สีดำ , สีเทา และสีม่วง เมื่อได้ทราบถึงสีหลักๆ ในแต่ละส่วนบนนามบัตรที่เป็นสีมงคลของท่านแล้ว ทีนี้ก็แค่สังร้านรับทำนามบัตรให้ชัดเจนว่าต้องการสีอะไรตรงไหน แล้วก็ตรวจสอบก่อนพิมพ์จริงอีกครั้ง เพียงเท่านี้ ท่านก็จะได้นามบัตรเสริมโชคลาภให้กับตนเอง เมื่อผสานกับวาจาที่มีศิลปะเข้าใจคู่สนทนาแล้ว รับรองว่าโชควาสนาย่อมอยู่ในมือทุกท่านแน่นอนครับ ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยพาณิชย์

คาร์บอนเครดิต รายได้ใหม่ของไทย

 

“คาร์บอนเครดิต” เป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเรา หลายคนได้ยินชื่อแล้วอาจงุนงง ก็เหมือนกับตอนที่เรา ได้ยินคำว่า ISO ใหม่ๆนั่นแหละความจริงแล้วคำนี้แยกเป็นสองคำ คือ คำว่า “คาร์บอน” หมายถึงปริมาณก๊าซ ที่เราปล่อยขึ้นไปในอากาศ และทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ก๊าซมีเทน ส่วน“เครดิต” คือความรับผิดชอบ ความน่าเชื่อถือ การทำ “คาร์บอนเครดิต” ก็คือการมีความรับผิดชอบในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นในในอากาศว่าจะไม่มีปริมาณมากเกินไปจนก่อปัญหากับโลกใบนี้นั่นเอง หรือภาษาทางการเรียกว่า “การดำเนินกลไกการพัฒนาที่สะอาด” เรียกเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆว่า CDM (Clean Development Mechanism) แนวคิดนี้เกิดขึ้นในการประชุมของประเทศมาชิกอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC โดยมีการประชุมที่กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น จึงเรียกข้อตกลงในการประชุมครั้งนั้นว่า “ข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต” โดยข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าให้ประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินอัตรา ลดการปล่อยก๊าซลง หากไม่สามารถกระทำได้ต้องจ่ายค่าปรับตามจำนวนที่ปล่อยเกิน ยกตัวอย่างเช่น กำหนดให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงปีละ 10 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศนั้นๆสามารถลดการปล่อยก๊าซได้เพียง 5 ล้านตัน ส่วนที่ลดไม่ได้จะต้องโดนปรับตันละ 500 บาท อย่างไรก็ตาม ยังมีทางออกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเกินกำหนดไปซื้อ “คาร์บอนเครดิต” จากประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ากำหนดได้ เช่น ประเทศที่มีการปลูกป่ามาก มีการใช้พลังงานทดแทนมาก และมีโรงงานอุตสาหกรรมน้อย ซึ่งประเทศเหล่านี้นอกจากจะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าข้อกำหนดแล้ว ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซได้อย่างต่อเนื่อง โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่โดนปรับก็จะมาซื้อ “คาร์บอนเครดิต” จากประเทศเหล่านี้ในราคาที่ถูกกว่าค่าปรับ เช่น ราคาตันละ 200 บาท เป็นต้น ความจริงแล้วโรงงานอุตสาหกรรมที่โดนปรับในฐานะที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด นอกจากจะเสียค่าปรับแล้ว ยังเสียเครดิตในทางการค้าอีกด้วย เพราะสินค้าจากโรงงานเหล่านี้จะไม่สามารถส่งไปขายในประเทศที่เข้าร่วมข้อตกลงในพิธีสารเกียวโตได้ เพราะฉะนั้นทุกโรงงานจึงพยายามสร้างเดรดิตด้วยการผลิตสินค้าใช้วัสดุที่ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม มีเทคโลยีการผลิตที่สะอาด ลดการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ ดังที่เราเริ่มเห็นคำว่า “Green” แปะอยู่บนสินค้าประเภทต่างๆ หรือการเปลี่ยนการใช้ถุงพลาสติกมาใช้ถุงผ้าก็เป็นการสร้าง “คาร์บอนเครดิต” ชนิดหนึ่ง กิจการใดที่ไม่รักษาสภาพแวดล้อม ไม่มีเทคโนโลยีที่สะอาด ขาดประสิทธิภาพในการ จัดการกับสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้ต้องปล่อยสารคาร์บอนออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดมลพิษตามมาดังกล่าวข้างต้น กิจการนั้นจะต้องโดนค่าปรับจำนวนมหาศาลตามที่ตกลงกันไว้ เว้นแต่จะต้องไปหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชย หลายโรงงานในบ้านเราเริ่มหันมาทำเรื่องนี้โดยมีเป้าหมายนอกจากการสร้างเครดิตให้กับตัวโรงงานเองแล้ว ยังสามารถขายเครดิตให้กับโรงงานในประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเกินกำหนดอีกด้วย ไม่ใช่เฉพาะโรงงานใหญ่ๆเท่านั้นที่ขายคาร์บอนเครดิตได้ ชาวบ้านทั่วไปก็ทำได้เหมือนกัน แต่อาจทำในรูปเครือข่าย อย่างเช่นกรณีที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สวพ.มช.) ร่วมกับ ธนาคารโลก (World Bank) พัฒนาโครงการ CDM ขนาดเล็กสำหรับฟาร์มสุกรในประเทศไทย เพื่อนำกลไกการพัฒนาที่สะอาดมาใช้เพิ่มคุณค่าของพลังงานก๊าซชีวภาพ นำมูลสุกรไปผลิตเป็นแก๊สขี้หมู ก่อให้เกิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถึงปีละ 30 ล้านหน่วย สามารถทดแทนการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ปีละกว่า 9 ล้านลิตร โดยมีการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิตจาก สวพ. มช.ไปเมื่อเร็วๆนี้ การดำเนินงานโครงการฯ ในระยะแรกมีฟาร์มสุกรทั่วประเทศเข้าร่วมจำนวน 36 ฟาร์ม คิดเป็นสุกรประมาณ 600,000 ตัว  ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมได้มากกว่าปีละ 240,000 ตัน ทำให้เกิดการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศจากการขายคาร์บอนเครดิตได้มากถึงปีละ 115 ล้านบาท นอกจากจะได้รับประโยชน์จากการขายคาร์บอนเครดิต ฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วยังช่วยลดปัญหากลิ่นเหม็นและแมลงที่เป็นพาหะแพร่เชื้อโรคได้ รวมทั้งลดต้นทุนทางด้านพลังงาน โดยนำก๊าซชีวภาพมาใช้ประโยชน์เป็นพลังงานความร้อนหรือใช้ผลิตไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม หากเหลือใช้ยังสามารถจำหน่ายให้กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้อีกด้วย ถือเป็นรายได้ใหม่ที่น่าสนใจจริงๆ!!! ขอบคุณ – (ผู้เขียน : จตุรงค์ กอบแก้ว)

 

ศอ.รส. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการเตรียมความพร้อมรับมือการชุมนุม ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค. มีรายละเอียดโดยย่อดังนี้ ช่วงการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. กระทรวงสาธารณสุข พยายามอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบสำหรับผู้ที่ไม่ สามารถเดินทางไปรับยาหรือไป รพ.ได้ตามที่แพทย์นัดหมาย สามารถโทรสอบถามข้อมูลได้ ส่วนผู้ป่วยจิตเวช กรมสุขภาพจิต ได้เลื่อนนัดผู้ป่วยให้มารับยาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสามารถรับยาได้ในสถานพยาบาลที่ใกล้เคียง โดยเปิดสายตรง 1323 ไว้บริการประชาชน สามารถโทรสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชม. โดยสถานพยาบาลแต่ละแห่งจะมีการลิงก์ข้อมูลถึงกัน
นอกจากนี้ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สพฉ. ยังกำหนดให้หน่วยพยาบาลทุกหน่วย ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ และวางตัวเป็นกลาง ในการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม เน้นความปลอดภัยทั้งตัวบุคลากรและประชาชน มีการประสานงานทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากประชาชนเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ ต้องการให้รถพยาบาลไปรับ สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1669-1646 จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยพร้อมกัน

อ้างอิง : blueskychannel.tv

พีออลล์ รุกตลาดอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ เปิดตัว บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด ให้บริการช็อปออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมพัฒนาระบบปฏิบัติการ, การขนส่ง และคลังสินค้ารองรับการเติบโต ตั้งเป้าปีม้า 4,300 ล้านบาท

นายอำพา ยงพิศาลภพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช็อปปิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ซีพีออลล์ ได้ขยายธุรกิจใหม่ภายในปี 2557 ภายใต้ชื่อบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด (24 shopping Co.,Ltd) เพื่อเป็นการพัฒนาต่อยอดจากธุรกิจ เซเว่นแคตตาล็อก (7Catalog) โดยจะเป็นการแยกทีมกับ บมจ.ซีพีออลล์โดยสิ้นเชิง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในด้านการบริหารมากยิ่งขึ้น โดยมีทุนจดทะเบียนกว่า 30 ล้านบาท และมี บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้น 99.99% ซึ่งบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จำกัด จะเป็นผู้ให้บริการในด้านการสั่งจองสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้า ผ่านช่องทางการจำหน่ายดังนี้ 1.การจำหน่ายสินค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (Catalog on shelf) 2.จำหน่ายผ่านทางนิตยสารเซเว่นแคตตาล็อก (Catalog on book) 3.การสั่งสินค้าผ่านลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลข 0-2711-7666 4.จำหน่ายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ 4 เว็บไซต์ www.7catalog.com, www.shopat7.com, amuletat7.com, www.booksmile.com และ 5.ให้บริการเป็นตัวแทนศูนย์กลางในการรับสั่งจอง และส่งมอบสินค้าให้แก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้การก่อตั้งบริษัทฯ เป็นการขยายธุรกิจของเซเว่น อีเลฟเว่น ไปสู่ธุรกิจจำหน่ายสินค้าออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบ โตมาโดยตลอด และจะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ด้วยการพัฒนาการให้บริการในการรับสั่งสินค้าเป็นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวัน และการพัฒนาระบบ AMOS จากทีมงานต่างประเทศ ด้วยงบลงทุนกว่า 200ล้านบาท เพื่อสำรวจวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เพื่อคัดเลือกสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และการเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 2,000 ตารางเมตร เพื่อให้การส่งสินค้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งเป้ารายได้ปี 2557 อยู่ที่ 4,300 ล้านบาท จากปีที่แล้ว 3,700 ล้านบาท

ซึ่งสินค้าภายในช่องทางการจำหน่ายของ บริษัทฯ ประกอบไปด้วยสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีภายในประเทศมากกว่า 100 ราย ซึ่งรวมเป็นสินค้ากว่า 2,000 รายการ และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็น 30% ภายในปี 2557 รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้วยการพัฒนาการจัดส่งในรูปแบบการ ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำสินค้ามาเก็บไว้ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนที่รถขนส่งจากศูนย์กระจายสินค้าของเซเว่นแคตตาล็อกจะนำไปส่ง เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านการขนส่งให้แก่ผู้ประกอบการ และเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถเติบโตควบคู่ไปกับ บริษัทฯ ได้ ซึ่งปัญหาของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในขณะนี้คือการที่ไม่สามารถผลิตสินค้า ออกมาได้ครบจำนวนตามความต้องการของลูกค้า

“ต้องยอมรับว่าตอนนี้สังคมไทยให้ความสำคัญ กับการเลือกซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้ามากกว่าการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ คาดว่ายอดขายวันศุกร์-อาทิตย์จะไม่ดีแน่ ซึ่งการลงสินค้าผ่านแคตตาล็อกหรือเว็บไซต์ จะต้องให้ความสำคัญกับสี และคุณภาพกับสินค้าอย่างมาก เพราะไม่สามารถจับต้องสินค้าได้” นายอำพา กล่าว

 

อ้างอิงจาก : banmuang.co.th

แฟรนไชส์ญี่ปุ่นรุกไทยพุ่ง3เท่า

น.ส.มาซามิ ทาจิมะ ประธาน บริษัท แฟรนไชส์ แอ๊ดวานซ์ คอร์ปอเรชั่นส์ หรือเอฟซีเอ ผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาธุรกิจแฟรนไชส์ จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า จากปัญหาการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1a5omyl

Mind Map : กิจกรรม CoP อาเซียน โอกาสทางการแข่งขันของไทย (คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร)

 

ส.ส.ชัชชาติ โพสต์ซึ้ง อาลัย “ครูนิค“ เหยื่อบัสตกเหว สะพานห้วยตอง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (6 ม.ค.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รักษาการฯ รมว.คมนาคม ได้โพสต์ภาพและข้อความบันทึกการทำงานลงในเฟซบุ๊ก Chadchart Official โดยกล่าวถึงประเด็นอุบัติเหตุครั้งร้ายแรง ส่งท้ายปี 2556 ที่ผ่านมา บริเวณสะพานห้วยตอง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ที่เกิดเหตุรถทัวร์โดยสาร์เสียหลักตกสะพานและพุ่งลงเหวลึก เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556

นายชัชชาติ ได้โพสต์ข้อความไว้ว่า “เมื่อวันที่ 3 ม.ค.57 หลังจากที่ผมโพสเรื่องรถตกเหวที่หล่มสักและมีผู้เสียชีวิต 29 ราย มีแฟนเพจได้ส่งข้อความมาหาผมว่า

‘ผมรู้สึกเสียใจและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งกับอุบัติเหตุซ้ำซากที่เกิดขึ้นบนประเทศไทย ผมเบื่อที่เรื่องราวเหล่านี้เป็นแค่ข่าวหนังสือพิมพ์ 2-3 วันแล้วก็หายไป ทำไมเราต้องเอาชีวิตที่อุตส่าห์สร้างมาด้วยความลำบาก ไปฝากกับคนขับรถ หรือรถโดยสารที่ไม่ได้คุณภาพ แลกกับเศษเงินประกัน แลกกับความพิการหรือเสียชีวิต วันนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผม มันเกิดกับคนที่ผมรัก ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก และผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะเกิดกับคนอื่นๆ หรือแม้แต่เราเอง” และ ขอให้ผมมารับข้อร้องเรียนและพบญาติผู้เสียชีวิตที่สถานีรถปรับอากาศขอนแก่น ในวันที่ 6 ม.ค.’

ผมไม่ทราบรายละเอียดว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร ไม่รู้ว่าแฟนเพจท่านนี้คือใคร แต่เห็นความตั้งใจจึงอยากมาเจอ อยากมาฟังข้อเสนอ เลยเดินทางมาขอนแก่นพร้อม อธิบดีกรมการขนส่งทางบก รองอธิบดีกรมทางหลวง และผู้จัดการ บขส.

พอมาถึงขอนแก่นถึงทราบว่า ผู้ที่เสียชีวิตเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ชื่อ ครูนิค เป็นลูกครึ่ง สอนที่นี่มา 9 ปีแล้ว นักเรียนรักทั้งโรงเรียน คุณพ่อเป็นชาวอเมริกันอยู่เมืองไทยมา 19 ปีแล้ว คุณแม่เป็นคนไทย ทั้งคู่มีลูก 10 คน ตอนนี้อยู่ที่โคราช ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพ่ีน้องของครูนิคมาร่วมงานด้วย

บรรยากาศเศร้ามากครับ ผมร่วมเดินไปกับครอบครัวและนักเรียน ครู หลายร้อยคน จากโรงเรียนไปสถานีขนส่งที่ครูนิค ขึ้นรถเป็นครั้งสุดท้าย มีการอ่านข้อเสนอแนะของเครือข่ายเฝ้าระวังอุบัติเหตุจากรถโดยสาร (เพจของเครือข่าย https://www.facebook.com/Reorganize.PublicBus) จุดเทียน และ ร้องเพลงไว้อาลัย

ข้อเสนอของเครือข่ายมีดีๆหลายเรื่อง หลายอันเราก็ดำเนินการอยู่ ผมได้เน้นย้ำกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงว่าเราต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของผู้โดยสาร ทำเล่นๆ ไม่ได้ อุบัติเหตุที่เกิดแต่ละครั้ง มันกระทบกับชีวิตคนมากเหลือเกิน

ขอให้ครูนิคและผู้เสียชีวิตทุกท่านไปสู่สุคติครับ เราจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่สูญเปล่าครับ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา นายชัชชาติ ได้เดินทางไปที่ จ.ขอนแก่น เพื่อร่วมพิธีไว้อาลัย “ครูนิค” ร่วมกับญาติๆ และลูกศิษย์นับร้อยคน ที่ต่างก็ยังทำใจไม่ได้กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมกับมีความหวังว่าโศกนาฏกรรมลักษณะเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำบ่อยครั้งในสังคมไทยอีก

นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

องค์การโทรคมนาคมของประเทศลาว เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 26 ต.ค.55 ที่ผ่านมา ทางการลาวได้ทดลองเปิดใช้เทคโนโลยี 4G แล้วในกรุงเวียงจันทน์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรปครั้งที่ 9 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5-6 พฤศจิกายนนี้

20131031140707

ทั้งนี้ เทคโนโลยี 4G จะถูกนำมาใช้ในการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ซึ่งมีคณะผู้นำและแขกจากประเทศต่าง ๆ กว่า 50 ประเทศที่เข้าร่วมประชุม ส่วนต่างจังหวัดของลาวคาดว่าจะได้ใช้ 4G ภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า

โดยความเร็วของเทคโนโลยี 4G มีความเร็วสูงสุดกว่า 100Mbps เร็วกว่าเทคโนโลยี 3G ถึง 5 เท่า ซึ่งจากการเปิดตัวดังกล่าว ทำให้ลาวเป็นประเทศที่ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ที่ได้นำ 4G มาใช้

เนื้อหาอ้างอิงจาก  mthai

ปีหน้าที่ทุกคนมองว่าเป็นโจทย์หินของ “ธุรกิจ” ทั้งกำลังซื้อที่ซบเซาต่อเนื่อง ภาวะการเมืองที่ยังคงวุ่นวายข้ามปี ทำให้การก้าวขึ้นปีใหม่ในปี 2557 ยังคง “อึมครึม” กลายเป็นโจทย์หลักของทุกผู้ประกอบการที่ต้องเตรียมรับมือ สู้ศึกกันอย่างหนักในปีม้าที่จะถึงนี้

“อนุวัตร เฉลิมไชย” นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เท่าที่พูดคุยกันในแวดวงธุรกิจ ตั้งแต่ปลายปีนี้จนถึงต้นปี 2557 ยังมีความอึมครึมไม่แน่นอนกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยคาดว่าไตรมาส 1 ปีหน้าทุกธุรกิจจะเหนื่อยในการกระตุ้นตลาดเพราะมู้ดจับจ่ายผู้บริโภคไม่ดี

“สินค้าจำเป็นน่าจะขับเคลื่อนไปได้ แต่ฟุ่มเฟือยก็อาจจะไม่ดี แต่อีกแง่หนึ่งสำหรับสินค้าที่เจาะกลุ่มไฮเอนด์อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อที่ไม่เซนซิทีฟในเรื่องของราคามากนัก แต่กลุ่มที่มุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คงจะลำบาก เพราะนักท่องเที่ยวลดลง”

สิ่งที่ธุรกิจต้องพิจารณาเป็นพิเศษ คือ กลยุทธ์การทำตลาดต้นปีหน้า การโฆษณา หรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ต้องเผื่อใจไว้ว่าอาจไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร เนื่องจากผู้บริโภคขณะนี้มุ่งสนใจการเมืองมากกว่าเรื่องอื่น ๆ ดังนั้นงบฯที่ทำตลาดลงไปอาจไม่คุ้มค่า ดังนั้นการจะโปรโมตอะไรในปีหน้าก็ค่อนข้างลำบาก

“สัญญาณการจับจ่าย การบริโภคจริง ๆ ไม่ดีมาตั้งแต่ต้นปี 2556 แล้วจากนโยบายรถคันแรก ก่อนหน้านั้นในช่วงปลายปี 2554 ก็เกิดน้ำท่วม กระทบต่อกำลังซื้อมาต่อเนื่องคืออารมณ์ผู้บริโภคไม่ดีอยู่แล้วทุกค่ายก็คาดว่าสิ้นปีนี้จะมากระตุ้นกันอย่างเต็มที่ ก็ต้องมาเจอสถานการณ์การเมืองอีก”

หากประเมินจากจุดทางการเมืองของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกันขณะนี้ “อนุวัตร” ยอมรับว่า สถานการณ์ต่าง ๆ อาจจะยืดเยื้อ แต่ธุรกิจก็ควรจะสู้อย่างเต็มที่ในไตรมาส 1 ไม่ควรทิ้งไปเลย ดูตัวอย่างตลาดสหรัฐอเมริกา ที่เศรษฐกิจตกต่ำมา 2-3 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าวหลายบริษัทก็สามารถทำกำไรได้ดี

คำแนะนำในปีหน้า ในฐานะนายกสมาคมการตลาด เขามองว่า ธุรกิจยังต้องเดินหน้าทำตลาดต่อเนื่อง แต่ต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้นไม่ควรใส่เงินแบบเหวี่ยงแห เพราะจะไม่คุ้มค่า การใช้เงินต้องละเอียดมากขึ้น เนียนมากขึ้น ดูว่าตลาดเซ็กเมนต์ไหนทำได้ ทำไม่ได้ อาทิ พื้นที่ในต่างจังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะการเมือง จะสามารถไปจัดกิจกรรมหรือทำอะไรได้หรือไม่

“ระยะสั้นสิ่งที่น่าจะทำได้คือ การรุกดิจิทัล ซึ่งใช้งบประมาณไม่สูงและมีความคุ้มค่ากว่า ช่วงต้นปีหน้าธุรกิจอาจยังไม่ต้องใช้งบฯหว่านเจาะตลาดแมส จริง ๆ เดี๋ยวนี้ดิจิทัลทำได้หลายอย่าง ทั้งแจกคูปองหรือกิจกรรมออนไลน์ เจาะเป็นกลุ่ม ๆ ไป แม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่เจาะวงกว้างก็สามารถทำได้ อาทิ การรุกช่องทางจำหน่ายแต่ละช่องทางที่แตกต่างกัน เพราะค้าปลีกแต่ละค่ายกลุ่มลูกค้าก็แตกต่างกันอยู่แล้ว”

อย่างไรก็ตามด้วยภาวะที่ไม่มีอะไรแน่นอน เขาเชื่อว่าทุกค่ายก็คงจะเลือกการ “จัดโปรโมชั่น” เพื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน

“ไตรมาส 1 ปีหน้าโปรโมชั่นจะเต็มตลาด ทุกค่ายคงจัดกันอย่างเต็มที่ เพราะจะต่อเนื่องไปถึงตรุษจีนจนถึงปิดเทอม ลากยาวไป ทุกคนก็คงหนีตายกันแน่ ๆ”

เขาเชื่อว่า ภาวะที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิด “สงครามราคา” ที่รุนแรง ที่อาจไม่เป็นผลดีกับธุรกิจโดยเฉพาะในระยะยาว

“แนะนำว่าปีหน้าทุกคนไม่ควรเล่นแบบเดิม เพราะจะมี Fix Cost ที่สูงมาก แต่ควรวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจดี ๆ อย่าให้เกิดเป็นสงครามราคา เพราะจะพังกันหมด โดยเฉพาะแบรนด์รอง แบรนด์เล็ก”

ในมุมมองของเขา เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคา เขาเชื่อว่า ธุรกิจยังมีวิธีการอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นตลาดได้อีกมาก ดยการแก้ปัญหาระยะสั้นในสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากการเฝ้าสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว หากทุกอย่างบานปลายจริง ๆก็ต้องมีแผนสำรองเตรียมไว้เพื่อกระตุ้นตลาด ส่วนระยะยาว ทุกธุรกิจน่าจะหันมาเน้นการทำ “ต้นทุน” ให้สามารถแข่งขันได้ หาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วย ระบบซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ หรือหันมาเน้น Value Product สินค้าที่มีประโยชน์ให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่า อาทิ ลดไซซ์ แพ็กเกจจิ้ง สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการซื้อจำนวนมาก ใช้เท่าไรซื้อเท่านั้น หรืออาจจะออกมาเป็นไซซ์จัมโบ้ให้รู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการลดราคา

“ในวิกฤตก็มีโอกาสที่เชื่อว่าจะสามารถพลิกได้ ในขณะที่หลายแบรนด์ถอย หรือเน้นทำแต่โปรโมชั่น บางแบรนด์อาจถือโอกาสช่วงนี้โปรโมตแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะการเล่นโซเชียลมาร์เก็ตติ้ง หรืออีกแง่หนึ่งก็เน้นทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมเพื่อปูพื้นในอนาคต เป็นการทำเพื่อระยะยาว ต้องหาช่องออกมา มองภาพในอนาคต”

สำหรับการเปิดตัวสินค้าช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า เขาเชื่อว่าหากสถานการณ์การเมืองยังคงวุ่นวาย สินค้าต่าง ๆ ก็คงจะยกเลิกการเปิดตัว การจัดอีเวนต์ก็อาจใช้วิธีอื่น เปลี่ยนไปเจาะหัวเมืองต่างจังหวัด อย่างไรก็ตามต้องดูเหมาะกับกาลเทศะหรือไม่

“ไม่ใช่ว่าทุกคนพูดเรื่องการเมือง เหตุการณ์วุ่นวาย แต่เรามาฉลองรื่นเริง แต่หากเป็นสินค้าดีมีประโยชน์ต่อผู้บริโภคก็สามารถเปิดตัวออกมาทำตลาดในช่วงนี้ได้”

อีกแง่หนึ่งในภาวะที่การทำตลาดติดขัด เขามองว่า น่าจะเป็นจังหวะเวลาที่ทุกบริษัทหันมาดูแลต้นทุน หรือดูเนื้อหาสินค้าและบริษัทว่าตอบโจทย์ผู้บริโภคหรือไม่อย่างไร

“เดิมภาพสินค้าของเราอาจดูฟุ่มเฟือย ไม่คุ้มค่า ก็ต้องปรับเรื่อง Value Propositionบางอย่าง”

ยิ่งในภาวะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า วัตถุดิบขึ้นราคา ค่าน้ำมัน ค่าขนส่งที่อาจจะปรับขึ้นในต้นปีหน้า ทำให้ต้นทุนสินค้าขึ้น เขาชี้ว่า ตรงนี้ถือว่า “ข่าวร้ายซ้ำสอง” และตอกย้ำสถานการณ์ตลาดในขณะนี้ที่อยู่ในภาวะ “ไร้ข่าวดี”

“ตอนนี้ภูมิต้านทานธุรกิจต้องสูง ในสภาพที่ไม่มีข่าวดี ช่วงเวลานี้ทุกธุรกิจควรกลับมาดูต้นทุนของตัวเอง ต้นทุนที่อาจจะขึ้นในปีหน้า ทุกธุรกิจควรจะคิดเผื่อไว้เลย ต้องลดต้นทุนเต็มที่ ไม่ใช่ผลักภาระให้ผู้บริโภค แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็คงต้องขึ้นราคาตามความจำเป็น”

เขาทิ้งท้ายว่า ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี สิ่งที่จะเป็นอีกตัวชี้วัดในปีหน้าคือ “ประสิทธิภาพ” ของธุรกิจ

“คนที่ต้นทุนดี แข็งแรง ก็จะได้เปรียบ พวกนี้เขาปรับมานาน ทำให้มีความพร้อมในการเผชิญปัญหา แต่คนที่ไม่พร้อมก็จะลำบากพอสมควรในปีหน้า”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

 

สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. จัดประกาศผล “10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม ประจำปี 2556” เพื่อเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมของภาคเอกชน และแสดงแนวโน้มของธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในประเทศไทย

ตั้งเป้าให้เกิดบรรยากาศการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง หวังกระตุ้นผู้ประกอบการไทยให้หันมาสร้างธุรกิจนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

…กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พยายามผลักดันการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้ให้เกิดการลงทุนธุรกิจนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้ก้าวทันต่อการแข่งขันในประชาคมอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง

…”การประกาศ 10 สุดยอดธุรกิจนวัตกรรม 2556 นี้ เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสนช. ดำเนินการต่อเนื่องกันเป็นประจำทุกปี แสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนต่อการสนับสนุนเพื่อยกระดับทักษะความสามารถด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการ ตลอดจนสร้างความตื่นตัวด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการส่งเสริมความสำเร็จด้านนวัตกรรม เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมนวัตกรรมทั้งในระดับอุตสาหกรรม องค์กร และประชาชนทั่วไป เจ้าของผลงานทั้งสิบชิ้นถือเป็น “นวัตกรรม” ที่ประสบความสำเร็จ สร้างผลงานที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม” พีรพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าว

สุดยอดนวัตกรรมธุรกิจทั้ง 10 ชิ้น มีดังนี้

“คูลแคป”…สมุนไพรลดไข้จากบอระเพ็ด

บริษัท ซี.เอ.พี.พี. กรุ๊ป (ประเทศไทย) จํากัด

พัฒนาตำรับยาลดไข้แบบสูตรผสมด้วยการใช้สมุนไพรบอระเพ็ด มาผ่านกระบวนการทำมาตรฐานและควบคุมคุณภาพของสารสกัดด้วยเทคนิคการใช้ความร้อนสูงภายในระยะเวลาสั้น จึงทำไม่เกิดการเสื่อมสลายของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญ ยังผลให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการลดไข้ โดยสามารถนำมาใช้ทดแทนยาเคมีสังเคราะห์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วมากกว่า 7 ล้านบาท คาดว่าจะมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง

“สไมล์ฟีต”แผ่นรองรองเท้าเพื่อสุขภาพ

ห้างหุ้นส่วนจำกัด เฮลท์ อินโนเวชั่น แอนด์ ดีไซน์

แผ่นรองส้นเท้าที่มีคุณสมบัติการกระจายแรงกด (PPRI : Physical Pressure Release Innovation) โดยได้รับการออกแบบให้ถูกต้องตามสรีระด้วยทีมแพทย์และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ มีการปรับลักษณะ รูปร่างตามสรีระ โค้งเว้าให้รับกับเท้าของทุกคนและใช้เทคโนโลยีทางวัสดุที่เพิ่มความยืดหยุ่น และรองรับการกดกระแทกในขณะเดิน วิ่ง และออกกำลังกาย จึงใช้ได้ทั้งบุคคลทั่วไป และผู้ป่วยปวดส้นเท้า

“คูเน่”ผงปรุงรสจากหอมหัวใหญ่

บริษัท ปกธนพัฒน์ จำกัด

เครื่องปรุงรสชนิดผง ในการนำหอมหัวใหญ่ที่มีคุณสมบัติให้ “รสอูมามิ” ซึ่งเป็นรสชาติของกลูตาเมตอิสระ ทำหน้าที่ให้รสชาติและเป็นตัวกระตุ้นความอยากอาหาร ใช้ทดแทนผงชูรสและอนุพันธ์ของผงชูรส โดยนำมาผ่านกระบวนการอบแห้งและปรุงรสร่วม กับเครื่องปรุงรสต่างๆ โดยมีเกลือเป็นตัวช่วยให้รสของอูมามิกลมกล่อมขึ้น

“ซูกาเวีย”

สารให้ความหวานจากธรรมชาติ

บริษัท ซูกาเวีย จํากัด

ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตสารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์จากหญ้าหวาน

เป็นการนำหญ้าหวานมาผ่านกระบวนการสกัดด้วยน้ำร้อน จากนั้นมาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์โดยการใช้เรซิ่นเพื่อดูดซับสารสำคัญ และชะล้างสารสำคัญออกจากเรซิ่นด้วยตัวทำละลาย ซึ่งจะทำให้ผลิตสารสกัดสติวิออลไกลโคไซด์ที่มีความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 95 ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข

“ซูกาเวีย” มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ด้วยการผลักดันหญ้าหวานให้เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรที่เพาะปลูกหญ้าหวานมีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งผู้บริโภคจะมีทางเลือกในการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ

“ฟิอูเม่”อ่างอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ

บริษัท บาธรูม ดีไซน์ จำกัด

การออกแบบรูปทรงและทำต้นแบบอ่างอาบน้ำสำหรับผู้สูงอายุ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีรูปแบบการใช้งานและรูปลักษณ์ภายนอกแบบใหม่ที่แตกต่างจากอ่างอาบน้ำทั่วไปในท้องตลาด รวมถึงสามารถติดตั้งและใช้งานง่าย เหมาะสมต่อผู้สูงอายุและผู้ป่วย

วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ในร้านจำหน่ายสุขภัณฑ์ชั้นนำในประเทศไทย ราคาชุดละ 59,000-129,000 บาท คาดการณ์ยอดขายในปี 2557 จะอยู่ที่ประมาณ 200 ชุด หรือคิดเป็นมูลค่าราว 20 ล้านบาท

“สไปโรไจร่า ไบโอมาสก์”

เวชสำอางอินทรีย์จากสาหร่ายเทา

บริษัท สมาร์ทไลฟ์ พลัส จํากัด

เวชสำอางอินทรีย์จากสาหร่ายเทา โดยการนำสูตรตำรับของสารประกอบฟีนอลิกจากสาหร่ายเทาที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพสำคัญ มาขึ้นรูปเป็นแผ่นด้วยโพลีแซกคาไรด์ธรรมชาติจากสาหร่ายเทาและสารไฮโดรคอลลอยด์ ปรับแต่งคุณสมบัติให้เป็นฟิล์มไฮโดรเจลที่สามารถดูดซับน้ำไว้ภายในโครงสร้างสูง มีความยืดหยุ่น สามารถวางทาบและปรับดึงให้แนบสัมผัสกับผิวหน้าได้ดี รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส และยอมให้มีการแพร่ผ่านของสารออกฤทธิ์ต่างๆ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง

พร้อมกันนี้ ยังเพิ่มความแตกต่างด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยการเลือกใช้สารเติมแต่งที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อีกด้วย

“เฮมพ์ไทย”พรมรองพื้นรถยนต์

จากเส้นใยกัญชง

บริษัท ดีดี เนเจอร์ คราฟ จำกัด

นวัตกรรมระดับประเทศด้านผลิตภัณฑ์พรมรองพื้นรถยนต์จากเส้นใยกัญชง โดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตยางธรรมชาติเสริมแรงด้วยกัญชง และพัฒนาให้ยางพาราสามารถแทรกตัวและเชื่อมประสานกับผ้าทอจากกัญชง

พรมรองพื้นรถยนต์มีสมบัติลดการเกิดไฟฟ้าสถิตและลดกลิ่นภายในรถยนต์

“เซนส์”อุปกรณ์สื่อสารทางสายตา

สำหรับผู้ป่วยอัมพาต

บริษัท เมดิเทค โซลูชั่น จำกัด

ผลิตภัณฑ์ชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่รับคำสั่งการควบคุมเมาส์ด้วยสายตา โดยตรวจจับการกะพริบตาด้วยหลักการมอร์โฟโลยีในการตรวจจับหาตำแหน่งตาดำเพื่อวิเคราะห์ตรวจจับพฤติกรรมการกะพริบตาของผู้ใช้งานในการป้อนคำสั่งผ่านตัวอุปกรณ์ เพื่อให้ ผู้ป่วยอัมพาต และผู้ป่วยโรคเอแอลเอส ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนอื่นของร่างกายนอกจากตาได้ให้สามารถสื่อสารกับบุคคลรอบข้างผ่านอุปกรณ์นี้ได้

“บิ๊กเบา”รถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์

น้ำหนักเบาเชิงพาณิชย์

บริษัท ช.ทวี ดอลลาเซียน จำกัด

ผลิตภัณฑ์รถขนส่งอาหารสำหรับเครื่องบินแอร์บัส A380 ด้วยการออกแบบ และผลิตโครงสร้างแบบ x-frame โดยใช้วัสดุเหล็กกล้าเกรดที่มีความแข็งแรงสูงและมีน้ำหนักเบา จึงสามารถปรับระดับความสูงของโครงสร้างได้สูงสุด 9 เมตร พร้อมกันนี้ยังได้ประยุกต์ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับควบคุมความเสถียรภาพและการควบคุมช่องส่งอาหารแบบ 6 ทิศทาง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดเวลาการปฏิบัติงานเหลือ 2 ชั่วโมง

“สกรีนอีซ”

ชุดตรวจสอบอะฟลาท็อกซิน

บริษัท สยามอินเตอร์ควอลิตี้ จํากัด

ชุดตรวจสอบอะฟลาท็อกซินในผลผลิตเกษตร โดยใช้หลักการตรวจวิเคราะห์ทางหลักการภูมิคุ้มกันวิทยา และประเมินผลด้วย MicroELISA Reader ซึ่งชุดตรวจสอบ ดังกล่าวมีราคาถูกกว่าชุดตรวจสอบที่นำเข้าจากต่างประเทศ ประมาณ 3-5 เท่าทำให้ผู้ใช้งานมีต้นทุนค่าตรวจวิเคราะห์อะฟลาท็อกซินต่ำลง

ธุรกิจห้าดาวต่างประเทศตั้งเป้าเติบโต 25-30% ต่อปี วางกลยุทธ์เชิงรุก เร่งขยายสาขา
นายซานจีฟ แพนท์ รองกรรมการผู้จัดการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ในรอบปีที่ผ่านมาถือว่าธุรกิจห้าดาวที่เข้าไปทำตลาดในต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม พม่า บังกลาเทศ กัมพูชา ลาว จีน และมาเลเซีย ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียและเวียดนาม ถือว่าสามารถขยายโมเดลธุรกิจเกินเป้าที่ตั้งไว้ จากการตอบรับอย่างดีของผู้บริโภค และผู้ที่สนใจทำธุรกิจร่วมกับห้าดาว คาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดอินเดียและเวียดนามจะสามารถขยายเป็นประเทศละ 1,000 สาขา พร้อมการเติบโตเฉลี่ยปีละ 25-30%
“ต้องถือว่าจากจุดเริ่มต้นของธุรกิจห้าดาวอินเดียเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ตั้งเป้าไว้ 50 สาขา แต่ด้วยการตอบรับที่ดีของผู้บริโภคและผู้สนใจทำธุรกิจร่วมกับเรา ทำให้ปัจจุบันธุรกิจห้าดาวในเมืองบังกาลอร์และเชนไนสามารถขยายถึง 75 สาขา เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคิดเป็นสัดส่วนของผู้ที่มาลงทุนทำธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ 75% และธุรกิจที่เราดูแลเอง 25%” นายซานจีฟ
สำหรับปี 2014 ธุรกิจห้าดาวอินเดียตั้งเป้าขยายให้ครบ 250 สาขา เพราะจัดเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก จากจำนวนประชากรที่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยวางแผนขยายถึง 1,000 สาขา ภายใน 5 ปี โดยจะเข้าไปทำตลาดในหัวเมืองใหญ่ๆ ของอินเดีย 10-12 เมือง ในส่วนของธุรกิจห้าดาวเวียดนาม ปัจจุบันที่มีอยู่ 200 สาขา ตั้งเป้าว่าในปี 2014 จะขยายถึง 350 สาขา และเพิ่มเป็น 1,000 สาขา อีก 5 ปีข้างหน้า และเกือบ 100% เป็นโมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์.

ดร.การดี ม.ธรรมศาสตร์ ฉายภาพทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษในฐานะ The Call Center/BPO Hub

ธุรกิจบริการ Business Process Outsourcing (BPO) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรธุรกิจ เพราะช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวในการบริหาร การใช้ความเชี่ยวชาญจากภายนอกที่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ

ธุรกิจ BPO ในอาเซียนถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะอัตราการเติบโตสูง มีขีดความสามารถในการให้บริการสูง และที่สำคัญ ค่าจ้างต่างๆนับว่ายังถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ

ในการจัดอันดับ Top 100 Outsourcing Destinations Ranking and Report Overview ในปี 2013 ปรากฏว่าในรายชื่อเมืองที่มีความโดดเด่นด้านธุรกิจ outsourcing และมีความน่าสนในการทำธุรกิจนี้ ปรากฏว่ามีเมืองจากประเทศในอาเซียนถึง 14 เมืองด้วยกัน และอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ถึง 7 เมือง

ได้แก่ Manila, Cebu City, Davao City, Santa Rosa, Laguna, lloilo City, Bacolod City, Baguio City โดยเมือง Manila อยู่ในอันดับ 3 ของโลก และ Cebu City อยู่อันดับ 8 ของโลก ส่วนกรุงเทพฯก็ติดอันดับ Top 100 นี้ด้วยและอยู่อันดับที่ 83 ของโลก

ฟิลิปปินส์โดดเด่นเรื่อง BPO เราอาจจะรู้จักฟิลิปปินส์ในฐานะประเทศส่งออกแรงงานบริการขั้นสูง เช่น พยาบาล และแม่บ้าน ซึ่งนับว่าเป็นรายได้หลักของประเทศ ขณะเดียวกันฟิลิปปินส์ก็ใช้ประโยชน์จากการเป็นแรงงานที่มีศักยภาพและมีทักษะด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี มีค่าจ้างแรงงานถูกกว่าประเทศในแถบตะวันตก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับค่าจ้างในสหรัฐฯ ค่าจ้างชาวฟิลิปปินส์น้อยกว่าถึง 5 เท่า

ดังนั้น หลายประเทศในแถบตะวันตกจึงให้ความสนใจและนิยมจ้างงานในธุรกิจ BPO โดยเฉพาะธุรกิจประเภทให้บริการข้อมูลลูกค้าทางโทรศัพท์ หรือ คอลเซ็นเตอร์ ธุรกิจให้บริการออกแบบซอฟต์แวร์และไอที

ในปี 2011 ธุรกิจ BPO สร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 9 พันล้านเหรียญดอลลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.8 ของ GDP เมื่อมาดูข้อมูลส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจ BPO ของฟิลิปปินส์ ก็พบว่าธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ มีสัดส่วนสูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ 61 ของมูลค่าธุรกิจ BPO และมีการเติบโตของรายได้ร้อยละ 15 ต่อปี หากมองย้อนไปธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ในฟิลิปปินส์ได้เริ่มต้นตั้งแต่ในปี 2000 ในกรุงมะนิลาหรืออาจเรียกได้ว่ากรุงมะนิลาเป็น “The Call Center/BPO Hub” ก็ว่าได้ และธุรกิจ BPO ที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมา คือ การบริการ Back-Office & Shared Service ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดคิดเป็นร้อยละ 18.5

คอลเซ็นเตอร์ ฟิลิปปินส์แซงหน้าอินเดีย ถ้ามองธุรกิจ BPO ในภาพรวมฟิลิปปินส์กำลังไล่หลังประเทศอินเดียมาติดๆ แต่ถ้าในธุรกิจ คอลเซ็นเตอร์ ฟิลิปปินส์ได้ก้าวนำหน้าประเทศอินเดียไปแล้วทั้งจำนวนพนักงานและมูลค่าทางเศรษฐกิจ ฟิลิปปินส์มีพนักงานคอลเซ็นเตอร์ประมาณ 400,000 คน ในขณะที่อินเดียมี 350,000 คน

ในปี 2012 ฟิลิปปินส์มีรายได้จากธุรกิจคอลเซ็นเตอร์คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2016 ฟิลิปปินส์ จะมีรายได้จากธุรกิจคอลเซ็นเตอร์คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลลาร์ และจะก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 8 แสนคน ในทางกลับกันการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงาน ฟิลิปปินส์กำลังเร่งเต็มสูบในการสร้างแรงงานด้านเทคโนโลยีเพื่อป้อนเข้าสู่ธุรกิจนี้

รัฐบาลฟิลิปปินส์เองก็ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการในธุรกิจ BPO อย่างจริงจัง ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย เช่น AT&T, JPMorgan Chase, Expedia, Citibank, HP และ Oracle หันมาใช้บริการ Business Process Outsourcing ในฟิลิปปินส์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

* รายงาน / ผศ.ดร.การดี เลียวไพโรจน์

Operations Management Department Thammasat Business School

Facebook / Twitter: karndee

www.karndee.com

– See more at: http://eureka.bangkokbiznews.com/detail/552740#sthash.eqLi6NYG.dpuf

Brand, Branding

 

“แบรนด์” หรือ “ตราสินค้า” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและสามารถสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างมาก

กรุงเทพธุรกิจจัดหลักสูตร “Branding in Action” วันศุกร์และเสาร์ที่ 7, 8, 14, 15, 21, 22 มีนาคม 2557

 

“แบรนด์” หรือ “ตราสินค้า” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญและสามารถสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างมาก

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์แกร่ง

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์เป็นที่จดจำ

– จะทำอย่างไรให้แบรนด์เติบโต

 

กรุงเทพธุรกิจแนะนำหลักสูตรด้านการสร้างและการจัดการแบรนด์สินค้าจากสุดยอดกูรูอันดับ 1

ของประเทศไทย คุณดลชัย บุณยะรัตเวช กับหัวข้อ “Branding in Action”

 

นอกจากนี้ คุณดลชัย บุณยะรัตเวช และทีมแบรนด์กูรูเดนท์สุ พลัส เปิดห้องปฏิบัติการเข้มข้น Brand Therapy เพื่อเสริม

สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พร้อมชี้แนะแผนสร้างแบรนด์ให้ไปใช้ได้จริงอย่างประสบความสำเร็จ

 

เนื้อหา

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2557

Differentiation & Energized Differentiation

พัฒนาตัวตนของแบรนด์ที่ไม่แปรเปลี่ยนด้วยกลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง พร้อมเสริมพลังให้ความแตกต่างสดใหม่อย่าง

ยั่งยืน

 

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2557

Sustaining Relevancy

เรียนรู้กลยุทธ์การเจาะลึกความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแบบถึงแก่นอย่างแท้จริง

 

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2557

Creativity in Branding & How to Manage Intangible

Aspects of the Brand

ศิลปะในการแสดงออกของแบรนด์ในทุกมิติการสร้างสรรค์พร้อมศาสตร์แห่งการบริหารจัดการคุณค่าของแบรนด์ให้ถ่าย

ทอดออกมาอย่างเป็นรูปธรรม

 

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2557

Brand Interaction with Audience

กลยุทธ์ปฏิสัมพันธ์ของแบรนด์ในการสร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนกับกลุ่มเป้าหมาย และแพร่ขยายสู่การสร้างสังคมของคนรัก

แบรนด์

 

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2557

Well-Equipped Branding Strategy for AEC

ติดอาวุธขยายแบรนด์สู่เออีซี

 

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2557

Brand Health Check

เจาะวิเคราะห์สุขภาพแบรนด์เชิงลึกเพื่อเสริมพลังแบรนด์ให้ทะยานไกลเหนือคู่แข่งในทุกสมรภูมิการแข่งขัน

 

บรรยายโดย

1. ดลชัย บุญยะรัตเวช

นักสร้างแบรนด์มือหนึ่งของเมืองไทยประธานบริษัท (Chairman)  บริษัท เดนท์สุ พลัส จำกัด

2. พงศ์ศักดิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท Dentsu Plus จำกัด

3. วรวุฒิ วรกาญจน์

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer) บริษัท Dentsu Plus จำกัด

4. สุบรรณ โค้ว

ประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ (Chief Creative Officer)บริษัท Dentsu Plus จำกัด

5. กิตติภัต ลลิตโรจน์วงศ์

นักวางแผนกลยุทธ์ทางด้านแบรนด์อาวุโส(Senior Brand Strategist)  บริษัท  Dentsu Plus จำกัด

6. วรางค์สุบรรณรัตน์

นักวางแผนกลยุทธ์อาวุโส (Senior Brand Strategist)

7. ชนินทร์ วิศาลบูชนีย์

ผู้อำนวยการทบวงการสร้างแบรนด์ Director of M.O.B. (Ministry of Branding)

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

อบรม  วันศุกร์และเสาร์ที่ 7, 8, 14, 15, 21, 22 มีนาคม 2557

สถานที่  บันยันทรี สาทรใต้

อัตรา   95,000 บาท (ยังไม่รวม VAT 7%)

เบอร์   0-2338-3705-7, 086-313-1903

ดูข้อมูลหลักสูตรได้ที่ http://www.nation-education.com/enews/Branding-Mar7/Outline.pdf

กรอกใบสมัครที่ http://goo.gl/LHq2q

www.facebook.com/Panyaturakij

1. เพื่อให้รับรสชาติซูชิให้ได้เต็มที่ที่สุด จงกินปลาตามลำดับที่ถูกต้อง

หลักการจริงๆแล้วคือ เริ่มกินจากปลาที่รสชาติอ่อนก่อน แล้วค่อยไล่ไปหาปลาที่รสชาติที่เข้มข้นมากขึ้นต่อๆไป การกินเรียงลำดับแบบนี้จะทำให้ปลาที่รสชาติเข้มข้นกว่า เช่น ปลาทูน่ามันๆ ไม่ไปกลบปลาที่รสชาติอ่อนกว่าอย่างปลาสีแดง ดังนั้นลำดับการกินที่ถูกต้องจะเป็นดังนี้

  1. เริ่มจาก ปลาสีขาว
  2. ตามด้วย ปลาสีเงิน
  3. ต่อด้วย ปลาสีแดง
  4. แล้วค่อยกินปลาที่มีรสเข้มข้นขึ้น เช่น แซลมอลและไข่ปลาแซลมอล
  5. กินปลาที่มันที่สุด เป็นอย่างสุดท้าย
  6. ไข่เป็นของหวาน
  7. การสั่งพวก rolls แบบธรรมดาๆ เช่น ทูน่า เป็นสัญญานบอกว่า คุณกำลังจบการสั่งอาหาร

2. อย่าถูตะเกียบ

ถ้าคุณอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นการถูตะเกียบหลังจากดึงแยกคู่ออกมาถือเป็นการกระทำที่หยาบคายมากๆ ถึงแม้คุณตั้งใจจะถูเพื่อเอาเสี้ยนไม้ออก แต่มันเป็นการบอกเชฟเป็นนัยๆว่า “อุปกรณ์กินอาหารของคุณนั้นเป็นของไม่ดีราคาถูกๆ”

3. วิธีการจิ้มซูชิกับซอสถั่วเหลืองอย่างถูกต้อง

อย่าจุ่มซูชิลงในถ้วยซอสจนเปียกโชก ให้จิ้มแค่นิดเดียวพอ ไม่งั้นคุณจะไม่ได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของปลาเลย เทคนิคการจิ้มซูชิที่ถูก คือ

  1. คีบซูชิด้วยตะเกียบ
  2. พลิกกลับด้าน
  3. จิ้มซอสถั่วเหลืองด้านเนื้อปลา อย่าใช้ด้านที่เป็นข้าวจิ้ม

ใช้ตะเกียบไม่เป็น? ไม่มีปัญหา! คุณสามารถใช้มือหยิบซูชิกินได้ซึ่งนั่นเป็นวิธีการกินซูชิแบบดั้งเดิมในญี่ปุ่น!

4. ขิงดองมีไว้เพื่ออะไร?

ขิงดองมีไว้ให้กิน “ล้างปาก” เพื่อปรับความรู้สึกในการรับรส กินขิงดองก่อนจะกินซูชิแบบถัดไป

5. เผ็ดร้อนวาซาบิ

ถ้าคุณกินวาซาบิแล้วรู้สึกว่าเผ็ดเกินไปให้หยุดหายใจทางปาก แล้วสลับไปหายใจผ่านทางจมูกทันที ทำแบบนี้แล้วอาการเผ็ดจะหายไปอย่างรวดเร็ว

6. การกินซุป

คุณสามารถื่มมิโสะจากถ้วยได้ทันทีโดยซดจากถ้วยเลย แต่ไม่ควรกินมิโสะเป็นของกินเล่น ให้กินหลังจากกินอาหารจานหลักเสร็จแล้ว

7. ทูน่า กับ โอโทโร่มันๆ เป็นปลาชนิดเดียวกันหรือไม่?

ใช่แล้ว! ทั้งคู่มาจากปลาชนิดเดียวกัน แต่เป็นเนื้อคนละส่วน ดังนี้

  • se-kami เนื้อสีแดงมีมัน
  • se-naka เนื้อสีแดงที่ดีที่สุด
  • se-shimo สีแดง+ไขมันเล็กน้อย
  • hara-shimo ไขมัน+สีแดงเล็กน้อย
  • hara-naka-chu-toro ทูน่ามันๆ
  • hara-kami-oh-toro ทูน่าส่วนที่มันสุดๆ

8. ซูชิดีสำหรับคุณ

ยกเว้นการกินโรลทอดเยอะๆพร้อมกับจิ้มมายองเนส นั่นไม่ดีนะ! ซูชิเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เมื่อคุณมองหาอะไรที่เรียบง่ายที่ประกอบด้วยอาหารทะเลและข้าว จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่ี่เป็นการกินซูชิที่ผิด ถ้าคุณกินแล้วอร่อยนั่นก็น่าจะหมายความว่าคุณกินถูกวิธีแล้วหละ 🙂

ที่มา – 8 things worth knowing about eating sushi by ilovecoffee.jp

กรุงเทพฯ 3 ม.ค. – ททท.นัดประชุมผู้ประกอบการท่องเที่ยวสัปดาห์หน้า เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ สืบเนื่องจากการนัดชัตดาวน์กรุงเทพฯ 13 ม.ค.นี้

นายศุกรีย์ สิทธิวนิช รองผู้ว่าการฝ่ายสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงกรณี กปปส.ประกาศชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 มกราคมนี้ ว่า ในส่วนของ ททท.มีหน้าที่เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ โดยในสัปดาห์หน้าจะนัดประชุมหารือกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย ฯลฯ โดยมีนายธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการ ททท. เป็นประธาน เพื่อพิจารณาว่าควรต้องปรับแผนหรือทำอะไรอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อภาพลักษณ์ของประเทศ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยแล้ว หรือที่กำลังจะเข้ามา ตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลที่ชัดเจน สำหรับประเทศต่างๆ ที่ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวในการเดินทางมาประเทศไทยนั้น จนถึงขณะนี้ยังอยู่ที่ 40 ประเทศ. – สำนักข่าวไทย

 

 

บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด (ดูไบ) สร้างชื่อโดดเด่นในงานมหกรรมแสดงสินค้าและวัฒน ธรรมนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาหรับ “โกลบอลวิลเลจ ดูไบ” (Global Village Dubai 2013-2014) จัด ณ ดูไบแลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โดยจัดโซน “หมู่บ้านไทย 2556-2557” นำผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการไทยกว่า 240 ราย มาออกร้าน กล่าวคือ รวมอาณาจักรมหัศจรรย์เมืองไทยทุกมิติ ทั้งศูนย์นวดแพทย์ไทยมาตรฐานโลก ศูนย์แพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทย ของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและเวชภัณฑ์ไทย โชว์ผลงานหัตถกรรมจากเมืองไทยกว่า 70,000 ชนิด นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านไทยยังมีศูนย์รวมอาหารไทยเลิศรสนานาชนิดครั้งแรกในดูไบ

กลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย

  • ในการเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย บริษัทไทยจะต้องเริ่มจากการศึกษาตลาด เพื่อให้ทราบถึงลักษณะของตลาด และศักยภาพของตลาดสำหรับสินค้าที่ต้องการนำเข้ามาในตลาดอินโดนีเซีย
  • สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่จะต้องนำเข้ามาโดยผ่านผู้นำเข้าหรือผู้กระจายสินค้า(Distributors) ก่อนที่จะไปถึงผู้ค้าปลีก (Retailers) ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องหารายชื่อผู้นำเข้า/ผู้กระจายสินค้าในอินโดนีเซียก่อน ซึ่งผู้กระจายสินค้าดังกล่าวจะต้องสามารถเข้าถึงผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ๆ ในอินโดนีเซียได้ อันได้แก่ Carrefour Hero Hypermart และ Alfamart เป็นต้น
  • สำหรับสินค้าประเภทวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมจะสามารถจำหน่ายแก่อุตสาหกรรมผู้ใช้โดยตรงหรือโดยผ่านตัวแทนท้องถิ่นก็ได้ ดังนั้นบริษัทไทยจึงควรตั้งสำนักงานผู้แทน (Representative office) ในอินโดนีเซียเพื่อดูแลตลาด และการบริการหลังการขายก็มีความสำคัญสำหรับลูกค้า
  • การจำหน่ายสินค้าให้แก่รัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจในอินโดนีเซีย บริษัทไทยควรมีสำนักงานตัวแทนที่จะประสานกับทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งส่วนใหญ่การซื้อสินค้าของรัฐบาล (Government procurement) จะดำเนินการโดยผ่านการประมูล ซึ่งผู้ยื่นประมูลจะต้องเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของอินโดนีเซีย โดยต้องเป็นบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทต่างชาติที่ร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นเท่านั้น
  • การจำหน่ายสินค้าให้แก่รัฐบาลนั้น โดยส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยบริษัทที่มีประสบการณ์ยาวนานกับทางรัฐบาล (Long experienced partners) ดังนั้นการร่วมประสานธุรกิจกับบริษัทท้องถิ่นที่สามารถเข้าถึงและมีประสบการณ์ยาวนานกับทางภาครัฐจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการจำหน่ายสินค้าให้รัฐบาล

ไบโอดีเซล

1. อินโดนีเซียผลิตไบโอดีเซลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 781 ล้านลิตรในปี 2553 เป็น 1.52 พันล้านลิตรในปี 2554 โดยใช้บริโภคภายในร้อยละ 10 และส่งออกร้อยละ 90 โดยในปี 2553 ส่งออกไบโอดีเซล ประมาณ 563 ล้านลิตร และในปี 2554 ส่งออกประมาณ 1.22
พันล้านลิตร ตลาดยุโรปเป็นตลาดส่งออกไบโอดีเซลสำคัญของอินโดนีเซีย

2. กรมอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (EBTKE) ของอินโดนีเซียพยายามส่งเสริมให้ใช้ไบโอดีเซลภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น

  1. สั่งการให้สถานีบริการของ Pertamina และบริษัทน้ำมันต่างชาติ เช่น SHELL, TOTAL และ PETRONAS
    จำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลที่ไม่ได้อุดหนุน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2555
  2. กำหนดให้บริษัทในธุรกิจเหมืองแร่ ใช้น้ำมันไบโอดีเซล อย่างน้อย ร้อยละ 2 ของพลังงานที่ใช้ เริ่มตั้งแต่ เดือน ก.ค. 2555
  3. บริษัทน้ำมัน Pertamin เพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลที่ไม่อุดหนุนจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7.5 เริ่มตั้งแต่เดือน ก.พ. 2555
  4. พลังงานและสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่วมกันที่จะอุดหนุนน้ำมันไบโอดีเซลที่ 3,000 รูเปียห์ต่อลิตร
    และอุดหนุนเอทานอลที่ 3,500 รูเปียห์ต่อลิตรในปี 2556
  5. นำเสนอสูตรคำนวณราคา biofuel ใหม่ โดยให้อ้างถึงถึงราคาและปัจจัยในท้องถิ่นมากขึ้น

 

เอทานอล

3. อินโดนีเซียผลิต บริโภค และนำเข้าเอทานอล เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเคมี (chemical industries) เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้ในอุตสาหกรรมขนส่ง เช่น ประเทศไทย แนวโน้มการผลิต การบริโภค และการส่งออกในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2549 สามารถผลิตได้ 163 ล้านลิตร (คิดเป็นร้อยละ 78 ของกำลังการผลิตเต็มศักยภาพที่ระดับ 209 ลิตร) และบริโภคภายในจำนวน
114 ล้านลิตร ส่งออกจำนวน 33 ล้านลิตร ไม่มีการนำเข้า ในปี 2555 สามารถผลิตได้ 220 ล้านลิตร (คิดเป็นร้อยละ 90 ของกำลังการผลิตเต็มศักยภาพที่ระดับ 245 ล้านลิตร) และบริโภคจำนวน 135 ล้านลิตร ส่งออก 85 ล้านลิตร และนำเข้า 0.8 ล้านลิตร ปัจจุบัน อินโดนีเซียมี บริษัทผลิตเอทานอล เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเคมีจำนวน 13 แห่ง โดยผู้ผลิตรายใหญ่ 4 ลำดับแรก ได้แก่ บ. Molindo, Medco, Indo Acidatama และ Sugar Group สามารถผลิตรวมกันได้ร้อยละ 75 ของกำลังการผลิตทั้งหมด อย่างไรก็ดี การนำเข้าเอทานอลในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ กล่าวคือ หลังจากการนำเข้าเป็นครั้งแรกในปี 2550 เป็นจำนวน 2.6 ล้านลิตร ต่อมาการนำเข้าก็ลดลงทุกปี เนื่องจากกำลังการผลิตภายใน สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตอินโดนีเซียคาดการณ์ว่าในปี 2556 อาจต้องนำเข้าเอทานอลประมาณ 1 ล้านลิตร เพราะอุตสาหกรรมเคมีขยายตัวอย่างต่อเนื่องในขณะที่กำลังการผลิตจากหลายแห่งเริ่มคงที่ และบราซิลเป็นแหล่งนำเข้าเอทานอลที่สำคัญของอินโดนีเซีย

4. อินโดนีเซียหยุดการผลิตเอทานอล เพื่อใช้เป็นส่วนผสมน้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่งตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ซึ่งการใช้เอทานอลเป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อการขนส่งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Pertamina เป็นผู้จัดจำหน่าย (distributor) หลักแต่โรงงานที่ผลิตเอทานอล เพื่อผสมน้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่ง ซึ่งมีประมาณ 4 โรงงานในปี 2551 ต้องหยุดการผลิตเพราะรัฐบาลอุดหนุนน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) จึงทำให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่มี margin และไม่สามารถแข่งขันกับน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ ในท้องตลาดได้ อย่างไรก็ดี แนวโน้มการผลิตเอทานอล เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงอาจปรับตัวดีขึ้นบ้าง เพราะกระทรวงพลังงานและทรัพยากร แร่ธาตุ และสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่วมกันที่จะเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงจากเอทานอล 3,500 รูเปียห์/ลิตร ตั้งแต่ปี 2556 (ตามข้อ 2) และหากกระทรวงการคลังอนุมัติการปรับสูตรการคิดคำนวณราคา biofuel ก็น่าจะกระตุ้นให้เกิดการผลิตเอทานอลเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมขนส่งเพิ่มขึ้นเป็นถึง 20-30 ล้านลิตร/ปี

5. อินโดนีเซียกำลังเพิ่มกำลังการผลิตเอทานอล โดยในปี 2553 มีการสร้างโรงกลั่นเพิ่มเติมหลายแห่ง อาทิ บริษัท PT. Perkebunan Nusantara X ซึ่งเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจสร้างโรงกลั่น 1 แห่ง กำลังการผลิตประมาณ 36 ล้านลิตร/ปี และบริษัท Molindo (เอกชน) สร้าง โรงกลั่นผลิตได้ประมาณ 55 ล้านลิตร/ปี โดยทั้งสองบริษัทนี้จะใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบในการผลิต และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2556 เป็นต้นไป บริษัท Celenese ซึ่งเป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกาจะสร้างโรงกลั่น 4 แห่งให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 โดยใช้วัตถุดิบจากถ่านหินความร้อนต่ำซึ่งอินโดนีเซียมีทรัพยากรประเภทนี้มาก และราคาไม่ค่อยผันผวนเหมือนกากน้ำตาล หากเสร็จจะสามารถกลั่นเอทานอลได้ประมาณ 1.3 พันล้านตัน/ปี/โรง ทั้งนี้ ผลผลิตโดยรวมในประเทศน่าจะเริ่มเพิ่มขึ้นจากระดับการผลิตปัจจุบันตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป แต่ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมเคมี ไม่ใช่อุตสาหกรรมขนส่ง บริษัท Medco ซึ่งเป็นเอกชนอินโดนีเซียประกอบกิจการพลังงาน เริ่มประกาศหาผู้ร่วมทุนสร้างโรงกลั่นเอทานอลมาตั้งแต่กลางปี 2555 แต่จนกระทั่งปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถหาผู้ร่วมทุนได้ ทั้งนี้ ประเทศไทยประสงค์จะส่งออกเอทานอลส่วนเกินมาจำหน่ายที่อินโดนีเซีย ก็จะต้องผ่าน บ. Pertamina ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักเพียงผู้เดียว

6. อินโดนีเซียใช้ดัชนีราคาเอทานอลของไทย คือ Argus Index (Thailand) (ประกาศโดย Argus ซึ่งเป็น Media ที่เป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับราคาประเมินในธุรกิจพลังงาน) เป็น benchmark ซึ่งนำมาใช้ในสูตรการคิดคำนวณราคาเอทานอลในประเทศโดยมีกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ธาตุอินโดนีเซียเป็นผู้กำหนด ปัจจุบัน สูตรการคิดคำนวณคือ Bioethanol = Argus Index (Thailand) x 780 kg/m3 x 1.05 แต่ขณะนี้ อยู่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแก้ไขสูตรการคิดคำนวณ โดยมีแนวโน้มจะเปลี่ยนการใช้ดัชนีราคาเดิมเพื่อให้สอดรับกับต้นทุนที่แท้จริงในการผลิตเอทานอลในอินโดนีเซียซึ่งได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากราคากากน้ำตาลที่ผันผวน และอาจคิดคำนวณสูตรที่อ้างอิงจากดัชนีท้องถิ่นไม่ใช่ดัชนีของไทย (Argus Index)

 

แหล่งข้อมูล:  สอท. ณ กรุงจาการ์ตา (มีนาคม 2556)

“ปีม้า จะเป็นปีแห่งการเดินทางของบอลลูนอาร์ท เราจะออกเดินทาง จะไม่อยู่แค่ที่ที่เราอยู่ แต่จะไปในทุกๆ ที่ ไปด้วยม้าของเราเอง ที่ไหนยังไม่รู้จักเรา เราจะไปอยู่ตรงนั้น และโตแบบก้าวกระโดดได้เหมือนม้า”

คำประกาศจาก “ภูมิใจ โลหะพรหม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บอลลูนอาร์ท จำกัด ธุรกิจจัดจำหน่ายและตกแต่งสถานที่ด้วยลูกโป่ง เจ้าแรกในไทย ที่เปิดให้บริการมานานถึง 21 ปี (ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535)

ม้าของพวกเขาเริ่มออกเดินทาง หลังได้ไอเดียธุรกิจจากการไปต่างประเทศ แล้วเห็นว่ามีการนำลูกโป่งมาใช้จัดกิจกรรม ตกแต่งตามงานอีเว้นท์อยู่เยอะมาก ซึ่งเวลานั้นบ้านเรายังนิยมตกแต่งสถานที่ด้วยดอกไม้และป้ายโฆษณา ขณะที่ลูกโป่งยังถูกมองว่าเป็นแค่ “ของเล่น”

“ไอเดียใหม่” ไฉไลกว่า เลยน่าจะทำตลาดเมืองไทยได้

จึงได้เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ขึ้น โดยไม่มีหน้าร้าน มีแต่ทีมงานอยู่ 3-4 คน ที่มีทักษะด้านการใช้ลูกโป่งในการตกแต่งโดยเฉพาะ แล้วเริ่มจับตลาดอีเว้นท์เป็นหลัก

แต่จะทำให้ของใหม่ เปิดตลาดเมืองไทยได้ ก็ต้องเริ่มจากทำความเข้าใจกับลูกค้า ทำอย่างไรที่คนจัดงานจะเห็นความสำคัญของลูกโป่ง ว่าสามารถ “สร้างความแตกต่าง” และดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ แล้วจะทำอย่างไรคนถึงจะยอมจ่ายเงิน ให้กับของที่เขาคิดว่า “ราคาไม่กี่บาท” ด้วยเงินหลักร้อย หลักพัน หรือกระทั่งหลักหมื่น หลักแสนได้

“เราไม่ได้ขายแค่ลูกโป่ง แต่ขายไอเดีย ที่เข้ากับคอนเซ็ปต์ของลูกค้า”

นั่นคือจุดขายของงานบริการที่มากไปกว่าแค่ “ลูกโป่ง” แต่เป็นการพัฒนา “ความคิดสร้างสรรค์” ใส่ลงไปในการทำงานทุกครั้ง เพื่อรับกับโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ลูกโป่งตกแต่ง (Balloon decorate) ของบอลลูนอาร์ท จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมใหญ่ๆ ที่หลายครั้งก็กลายเป็น “จุดขาย” สำคัญของงานด้วยซ้ำ แม้แต่งานกาลาดินเนอร์สุดหรู พวกเขาก็เนรมิตบรรยากาศคูลๆ ให้ได้

และเพื่อทำให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้น และรู้ว่าลูกโป่งยังมีอะไรอีกเยอะมาก เลยเปิดหน้าร้านของตัวเอง ชื่อ “บอลลูนอาร์ททูโก” (Balloonart2go) ขึ้นในปี 2540 เป็นร้านจำหน่ายลูกโป่งที่ปลุกกระแสให้ลูกโป่งเป็นของขวัญ เหมือนร้านดอกไม้

“ตอนนั้นเราเป็นร้านลูกโป่งร้านแรก ก็เป็นอะไรที่แปลกแหวกแนว เลยมีรายการมาถ่ายทำ เพื่อโปรโมทการให้ลูกโป่งเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ จุดกระแสการให้ลูกโป่งเป็นช่อของขวัญให้เกิดขึ้น”

ทำไมลูกโป่งถึง “ได้ใจ” กว่าดอกไม้ ภูมิใจ บอกว่า เพราะจุดขายคือ “คุณค่า” ที่ผู้รับได้รับ โดยลูกโป่งมีข้อความสื่อความหมายได้ มีดีไซน์น่ารักน่าชัง เดินไปไหนคนเห็นก็สะดุดตา ที่สำคัญ ด้วยคอนเซ็ปต์ขายไอเดีย และดีไซน์ วันนี้ลูกโป่งของพวกเธอ เลยมีทั้ง ลูกโป่งอัดเสียงได้ ร้องเพลงได้ เต้นระบำได้ แถมเรียงเป็นตัวอักษรประกาศความพิเศษสุดๆ กับผู้รับได้อีกด้วย

บอลลูนอาร์ททูโก มีลูกโป่งหลากหลายรูปแบบ โดยผลิตจากโรงงานในประเทศ 70% และนำเข้าอีก 30%

เพราะเป็นม้า ธุรกิจเลยหยุดวิ่งไม่ได้ ที่มาของการพัฒนาสู่ตลาดเป่าลม “บอลลูนเซิร์ฟ” (balloon Serv) สื่อโฆษณาเป่าลม จำพวกท่อผ้าเป่าลม บอลลูนลอยฟ้า บอลลูนโฆษณา เรียกว่าทำทุกอย่างที่เห็นโอกาส เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น

“อย่างอสังหาริมทรัพย์ใหม่อยากเชิญชวนให้ทุกคนมา แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าโครงการของคุณอยู่ไหน การมีบอลลูนลอยฟ้า ที่โครงการ ก็จะทำให้ทุกคนทราบพิกัดของโครงการได้ เราก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากตรงนี้ โดยทุกวันนี้อะไรก็ตามที่มีลม เราทำหมด”

เวลาเดียวกับการขายความคิดสร้างสรรค์ คือ พัฒนาบริการที่ดี ใช้ของมีคุณภาพ และรับผิดชอบต่อลูกค้า เช่นการใช้แก๊สฮีเลียมซึ่งเป็นแก๊สที่ไม่ติดไฟในการเป่าลม แม้จะมีราคาสูง แต่ก็เลือกใช้เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า

ธุรกิจบนความรับผิดชอบจึงค่อยๆ เติบโตขึ้น จากรายได้หลักแสนก็ขยับสู่หลักล้าน ด้วยโอกาสธุรกิจ ที่คนทำบอกว่า
“ตลาดยังกว้างมาก และยังมีอีกเยอะมากที่เขาไม่รู้จักเรา เป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่รอเราให้เข้าไปหา”

ที่มาของการทำตลาด เพื่อเจาะให้ถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น ตั้งแต่นำเสนอผลงานไปยังบริษัทออแกไนซ์ต่างๆ เพื่อให้มีไอเดียไปเสนอต่อลูกค้า สำหรับบอลลูนของขวัญ ก็ใช้วิธีลงโฆษณาตามสื่อต่างๆ จนมาปี 2543 เมื่อคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากขึ้น เลยเริ่มทำเว็บไซต์ขึ้น (www.balloonart2go.com )ในปีที่ผ่านมาก็ได้ลองใช้ Google AdWords การโฆษณาผ่าน Google สร้างโอกาสธุรกิจด้วยเทคโนโลยี

“การใช้โฆษณากับ Google ทำให้ได้ลูกค้าที่เขาต้องการเรา เขาจะเข้าหาเราเอง วิธีนี้สามารถวัดผลได้ และเห็นฟีดแบคกลับมาชัดเจนด้วย ที่สำคัญคือ ทำให้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใครกันแน่” คนทำสำเร็จบอกเราว่า การจะทำเรื่องนี้ได้ขอให้ลงมาศึกษาด้วยตัวเอง และลงไปในรายละเอียด โดยไม่แนะนำระบบ “จ้างทำ” เพราะนั่นจะไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้

ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน เวลาเจอสถานการณ์ไม่อำนวย อย่าง น้ำท่วม การชุมนุมทางการเมือง คนไม่อยากเที่ยว ไม่อยากไปงาน คงจะกระทบกับธุรกิจเอามากๆ แต่ใครจะเชื่อว่าท่ามกลางอุปสรรคเหล่านี้ พวกเขายังทำรายได้ในปี 2555 ถึง 30 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้าแบบ “เท่าตัว”

และปี 2556 ที่หลายคนยัง “วิกฤติ” แต่บอลลูนอาร์ทก็ยังลอยลมทำรายได้แตะ 50 ล้านบาทได้ กับเป้าหมายปีม้านี้ ที่จะโตแบบ “ก้าวกระโดด” ขยายสาขาจาก 5 สาขา เป็น 10 สาขา และขยายครบทุกจังหวัดใน 5 ปี ให้ได้!

“เราไม่ใช่ไม่เคยเจอวิกฤติ แต่วิกฤติทำให้เราเห็นโอกาส จากที่เคยอยู่แค่กรุงเทพ ก็เริ่มขยายสาขาไปต่างจังหวัด เริ่มไปรับงานในต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งโอกาสจากตรงนี้ ทำให้เราได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นเท่าตัว และไม่สั่นคลอนไปกับวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่ได้โชคดีนะ..แต่เราแค่สร้างมัน”

ความโชคดีที่ไม่ได้มาจากฟ้าประทาน แต่อาศัยการ “ลงมือทำ” ล้วนๆ ทั้งการสร้างทีมงาน สร้างผู้นำ พัฒนาคน ให้มีความคิดสร้างสรรค์และสนุกกับงาน ส่งไปแข่งขันในต่างประเทศเพื่อสร้างความภาคภูมิใจและได้คนเก่งกลับสู่บริษัท และทรัพยากรนับ 60 ชีวิต ที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็คือ ผู้นำความยิ่งใหญ่และยั่งยืนมาสู่ธุรกิจของพวกเขาในอนาคต

“สำหรับปีหน้าในฐานะผู้ประกอบการคนหนึ่ง ไม่มีอะไรต้องกังวล อยู่ที่ธุรกิจของคุณ คุณแค่ทำของคุณให้ดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เรามีตอนนี้ยังไม่ดีตรงไหน ก็ไปอุดตรงนั้น ส่วนที่ทำดีอยู่แล้ว ก็ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นๆ ไป ที่สำคัญต้องสร้างคน ทำให้เขามีโอกาส แล้วก็เติบโต เพราะเราคงทำคนเดียวไม่ได้ แต่ต้องวิ่งไปพร้อมๆ กัน”

หนึ่งมุมคิดของคนทำธุรกิจ ที่ยังเชื่อมั่นว่า “ปีม้า” จะเป็นปีแห่งการเดินทาง เพราะม้าที่ดีย่อมไม่กินหญ้าที่เดิม แต่ต้องไปแสวงหาโอกาสใหม่ที่ไกลขึ้น พร้อมโตแบบก้าวกระโดดด้วย “แรงม้า” จากพลังทีมงานของพวกเขา

…………………..
Key to success
ก้าวกระโดดแบบบอลลูนอาร์ท
๐ พัฒนาธุรกิจไม่หยุดนิ่ง ทำทุกสิ่งที่เป่าลมได้
๐ ขายไอเดีย ดีไซน์ รับคอนเซ็ปต์ของลูกค้า
๐ อดทน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ ธุรกิจจึงเป็นที่ยอมรับ
๐ ไม่ก้มหน้ารับวิกฤติ แต่พร้อมพลิกเป็นโอกาส
๐ สร้างคน สร้างทีม ไม่มีผู้นำ แต่ต้องวิ่งไปพร้อมกัน
๐ ออกเดินทางไกลเหมือนม้า ไปให้ไกลกว่าจุดเดิม

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สื่อมวลชนจีนได้สรุปข่าวเด่นทางด้านเศรษฐกิจของจีนในปี 2556 ซึ่ง BIC เห็นว่าสามารถพาผู้อ่านมาทบทวนและทำความเข้าใจกับสภาพเศรษฐกิจของจีนในปี 2556 โดยขอนำเสนอ (ตามลำดับเวลาของข่าว) ดังนี้

1. ครม.จีนออกมาตรการคุมเข้มตลาดอสังหาริมทรัพย์

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 56 คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศมาตรการ 5 ประการ เพื่อควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนที่มีแนวโน้มเกิดฟองสบู่มากขึ้น โดยเรียกว่า กฎแห่งรัฐ 5 ประการ (国5条) หลังจากนั้น เมืองใหญ่ต่าง ๆ อาทิ กรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ และเมืองเซินเจิ้น ก็ทยอยออกมาตรการอย่างเข้มงวด เพื่อพยายามเพิ่มจำนวนที่ดินในการก่อสร้างบ้านสำหรับตลาดมวลชน (mass market) นอกจากนั้น ยังเพิ่มเงินดาวน์สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 จากร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 70 อีกทั้งนครเซี่ยงไฮ้ยังเพิ่มกฎระเบียบ ที่ทำให้คนต่างถิ่นเข้ามาซื้อบ้านหลังใหม่ในเมืองได้ยากขึ้นอีกด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแบบผสมผสานระหว่างชีวิตความเป็นอยู่กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่การยับยั้งการเก็งกำไรจากการซื้อขายบ้าน

2. จีนยุบ “กระทรวงการรถไฟ” จัดตั้งเป็นบริษัทแทน

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 56 จีนได้ประกาศยุบกระทรวงการรถไฟ และจัดตั้งกรมการรถไฟแห่งประเทศจีนภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคมนาคมจีน และจัดตั้งบริษัทการรถไฟแห่งประเทศจีนเพื่อดำเนินกิจการในรูปแบบธุรกิจ รองรับหน้าที่เดิมของกระทรวงการรถไฟ การยุบกระทรวงการรถไฟครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการการลดจำนวนหน่วยงานระดับกระทรวง และเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล

3. ครม.จีนเร่งลดขั้นตอนการตรวจสอบและการอนุมัติการบริหาร

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 56 คณะรัฐมนตรีจีนได้ประกาศยกเลิกขั้นตอนการตรวจสอบและการอนุมัติการบริหาร 117 รายการ หลังจากนั้น ยังวางแผนส่งเสริมการปฏิรูประบบการลงทะเบียนของบริษัทเพื่อผ่อนปรนเงื่อนไขของการลงทะเบียนให้มีความสะดวกมากขึ้น

4. ตลาดเงินทุนจีนขาดเงินสด อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้น

ในเดือนมิถุนายน ตลาดเงินทุนจีนได้เกิดภาวะสภาพคล่องหดตัวเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี

5. ธนาคารกลางจีนยกเลิกมาตรการต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 56 ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปล่อยการควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างรอบด้าน โดยยกเลิกมาตรการต่ำ

สุดที่เป็น 0.7 เท่าของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และปล่อยให้สถาบันการเงินกำหนดเอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของระบบดอกเบี้ยเงินกู้ของจีนที่เริ่มปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด

6. บริษัทหลักทรัพย์Everbrightเกิดปัญหาของระบบ

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 56 บริษัทหลักทรัพย์ Everbright ยอมรับเกิดปัญหาในระบบทำให้ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ภายใน 1 นาที ซึ่งทำให้บริษัทถูกปราบเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 523 ล้านหยวน จากหน่วยงานการควบคุมตลาดหลักทรัพย์

7. จีนจัดตั้งเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้อย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 56 ทางการจีนได้จัดพิธีเปิดตัวเขตทดลองการค้าเสรีจีน (เซี่ยงไฮ้) อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งสำคัญของจีน ที่สะท้อนถึงการเปิดกว้างสู่สากลด้วยนโยบายลดการ “คุมเข้ม” ลงตามลำดับขั้น โดยตามแผนเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลจะลดการแทรกแซงตลาดและขยายขอบเขตการลงทุนให้กว้างมากขึ้น รวมทั้งสร้างสรรค์การเปิดเผยธุรกิจการเงินเป็นต้น

8. บริษัท Alibaba ลงทุนร่วมมือกับบริษัทกองทุนหลักทรัพย์ ส่งเสริมธุรกิจการเงินทางอินเตอร์เน็ต

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. บริษัทAlibaba ประกาศลงทุน 1,180 ล้านหยวนในบริษัทกองทุนหลักทรัพย์ ทั้งสองบริษัทได้ร่วมมือกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์กองทุน (余额宝) ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ของธุรกิจการเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต

9. การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 18 ครั้งที่ เจาะลึกการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 9 – 11 พ.ย. 56 การประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ชุดที่ 18 ครั้งที่ 3 ได้จัดขึ้น ณ กรุงปักกิ่ง โดยมีนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และในการชุมครั้งนี้ได้อนุมัติ “ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปเชิงลึกที่ครอบคลุม” ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางปฏิบัติฉบับใหม่ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของจีนโดยเฉพาะการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ

10. กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจีนออกใบอนุญาติ 4 G

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 56 กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจีนได้ออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ 4G ให้บริษัท China Mobile บริษัท China Unicom และบริษัท China Telecom ซึ่งแสดงว่า จีนได้เริ่มก้าวเข้าสู่ยุค 4G แล้ว

อย่างไรก็ดี 10 ข่าวเด่นทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2556 ได้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลจีนชุดใหม่กำลังพาจีนก้าวสู่การปฏิรูปเพื่อให้ตลาดมีความเสรีมากขึ้นและเปิดเผยต่อสากลกว้างขวางมากขึ้น ขอให้ผู้อ่านทุกท่านติดตามข่าวสารของ BIC อย่างที่ผ่านมานะคะ/ครับ

Last Update : 26 ธันวาคม 2556
โดย : น.ส.บุษกร หลี่
แหล่งข้อมูล : www.hexun.com (和讯网) (26 ธันวาคม 2556)

ราชบัณฑิตยสถานเตรียมบรรจุคำ”เกรียน-การเมืองบนถนน-กดไลค์-ขั้นเทพ-ซุปตาร์- มังกรการเมือง-มาคุ-เว้นวรรค-สุดซอย”ลงในคลังคำ หลังสังคายนาระบบฐานข้อมูลจัดทำพจนานุกรมครั้งใหญ่ ใช้เป็นฐานข้อมูลเจอปัญหามีกรรมการกว่า 90 คณะทำให้จัดพิมพ์ล่าช้า

 

p18db4jtsvifeo61kga1p01rak5

เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายอุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ ประธานคณะกรรมการการจัดทำฐานข้อมูลคำในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เปิดเผยว่า ขณะนี้พบว่าคลังคำและแหล่งข้อมูลจากตำราหรือหนังสือสาขาวิชาต่างๆ ของราชบัณฑิตยสถาน เพื่อจัดทำพจนานุกรม หรือสารานุกรมสาขาต่างๆ มีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากปัจจุบันการจัดรวบรวมคำศัพท์และข้อมูลต่างๆ ในการจัดทำพจนานุกรมนั้นต้องพึ่งคณะกรรมการที่ทำงานวิชาการมีอยู่ประมาณ 90 คณะ จึงกังวลว่าในอนาคตหากขาดคณะกรรมการหรือว่าผู้เชี่ยวชาญไปบางคณะ งานของราชบัณฑิตอาจจะต้องสะดุดและไม่สามารถผลิตหนังสืออ้างอิงและมีแหล่ง ข้อมูลที่ทันสมัยได้ ที่ผ่านมาพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเก็บคำที่มีอยู่ในภาษาไว้เป็นจำนวน น้อยมาก มีเพียงประมาณ 37,000 คำเท่านั้น ทั้งๆ ที่มีคำที่ใช้ในภาษาไทยจำนวนหลายแสนคำ

นายอุดมกล่าวว่า ที่สำคัญในอดีตการจัดทำพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานล่าช้ามาก ตลอดระยะเวลาเกือบ 80 ปีมีการปรับปรุงครั้งใหญ่เพียง 4 ครั้ง คือ ฉบับปี 2493 ฉบับปี 2525 ฉบับปี 2542 และฉบับปี 2554 นับว่าน้อยมาก รวมถึงการจัดพิมพ์พจนานุกรมแต่ละครั้งก็ใช้เวลานาน ทุกครั้งที่มีการจัดพิมพ์ จำเป็นต้องระดมนักวรรณศิลป์ทุกคนในราชบัณฑิตยสถานให้ช่วยกันตรวจสอบความถูก ต้องและพิสูจน์อักษรคำต่างๆ ในพจนานุกรม ทำให้งานต่างๆ ต้องหยุดทันที ดังนั้นราชบัณฑิตยสถานมีมติว่าให้จัดทำโครงการจัดทำฐานข้อมูลคำในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ที่สำคัญการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อสร้างระบบฐานข้อมูลคำศัพท์และคลังคำที่จะใช้ ในการชำระพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานในอนาคต จัดเก็บคำศัพท์ที่เกิดขึ้นใหม่

“หลังจากนี้คณะกรรมการการจัดทำฐาน ข้อมูลคำในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานชุดนี้ต้องเร่งจัดทำหลักเกณฑ์และขอบ เขตการจัดเก็บคำศัพท์ที่จะคัดเลือกและเก็บในฐานข้อมูลที่อยู่ระหว่างการ ดำเนินการ เพื่อให้สะดวกในการนำคำศัพท์มาใช้ในการชำระพจนานุกรมและจัดทำพจนานุกรมคำ ใหม่ เป็นการพยายามรวบรวมคำศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่น และคำสแลง ที่นำเสนอผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ และสื่อต่างๆ วัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลและคำศัพท์ สำนวนที่ใช้กันแพร่หลายและติดปาก ที่สำคัญคือคำศัพท์เหล่านั้นเป็นคำศัพท์ที่ยังไม่ได้บรรจุอยู่ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อย่างไรก็ตามคาดว่าการดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2557 นี้” นายอุดมกล่าว

นายอุดมกล่าวอีกว่า ตามแผนงานเดิม ช่วงต้นปี 2557 ราชบัณฑิตยสถานต้องจัดพิมพ์พจนานุกรมรวบรวมคำศัพท์ใหม่ ศัพท์วัยรุ่นที่ทันยุคสมัย และคำสแลงรวมถึงสำนวนที่ใช้จนติดปากกันอย่างแพร่หลาย ที่ผ่านมาพิมพ์มาแล้ว 3 เล่ม ส่วนเล่มที่ 4 ก็ได้รวบรวมแล้วบางส่วน แต่ก็มีมติเห็นตรงกันว่าให้ชะลอการจัดพิมพ์เล่มที่ 4 ไว้ก่อน เพื่อรอระบบฐานข้อมูลดังกล่าวและเกณฑ์การคัดเลือกคำที่เป็นมาตรฐาน เพราะที่ผ่านมาการคัดเลือกคำศัพท์ใหม่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน รวมถึงเรื่องความหมายของคำก็ยังไม่ครอบคลุมทุกด้าน ดังนั้นจึงให้ชะลอการจัดทำพจนานุกรมคำศัพท์ใหม่

ส่วนคำศัพท์ที่จัดเก็บไว้ประมาณ 1,000 คำก็จะนำมาไว้ในฐานข้อมูลที่กำลังจัดทำ อาทิ คำว่า

เกรียน – พฤติกรรมก่อกวนและชอบละเมิดกฎระเบียบ

การเมืองบนถนน – การเล่นการเมืองนอกสภา

กดไลค์ – ไอคอน like หรือชอบ เป็นรูปชูหัวแม่มือหนึ่งข้าง

ขั้นเทพ – ดียิ่ง เก่งอย่างยิ่ง

ซุปตาร์ – นักแสดงหรือนักร้องที่มีคนชื่นชอบจำนวนมาก

มังกรการเมือง – นักการเมืองที่มีประสบการณ์การเมืองยาวนาน

มาคุ – อึมครึม วังเวง

เว้นวรรค – ลาออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่หรือยุติบทบาทชั่วคราว

สุดซอย – จากความหมายเดิมคือ ถึงที่สุดจนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่าช่วงปลายปี 2556 ที่ผ่านมาคำว่า สุดซอย ถูกนำมาใช้ในทางการเมือง

ดังนั้นก่อนที่จะนำคำศัพท์มาบรรจุในฐานข้อมูลก็จะมีการปรับเปลี่ยนความหมาย และคัดเลือกคำที่ทันสมัย รวมถึงคำที่กำลังนิยม ทั้งนี้หากจัดทำระบบฐานข้อมูลก็จะทำให้การชำระพจนานุกรมสามารถทำได้รวดเร็ว เพราะมีคำศัพท์ที่คัดเลือกไว้แล้ว ส่วนคำศัพท์ใหม่ก็จะมีความหลากหลายและคัดเลือกตรงตามหลักเกณฑ์มากขึ้น ที่สำคัญคำไหนที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่ก็สามารถค้นหาความหมาย เพื่อนำไปอ้างอิงได้

– See more at: http://home.truelife.com/detail/3063665#sthash.ckDJmdxx.dpuf

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดอบรมต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อมการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ทั้งด้านบุคลากร และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แก่ผู้ประกอบการก่อนเข้าสู่ช่วงทดลองปฏิบัติงานจริง

น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าสร้างนวัตกรรมการให้บริการรับงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) เพื่อทดแทนการรับงบการเงินในรูปแบบเดิมที่เป็นเอกสาร ซึ่งจะส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มช่องทางการให้บริการให้มีความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่ส่งงบการเงินตามกฎหมายโดยคาดว่าจะสามารถเปิดรับงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ครอบคลุมทุกประเภทนิติบุคคล ได้แก่ บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล นิติบุคคลต่างประเทศที่มาประกอบธุรกิจในประเทศไทย  หอการค้าและสมาคมการค้า รวมไปถึงธุรกิจหลักของประเทศ 10 ประเภท เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างอาคารทั่วไป  ธุรกิจประกันภัย บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบภายในเดือนมกราคม 2558

“กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นหน่วยงานให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและภาครัฐในการตัดสินใจและดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงได้ริเริ่มโครงการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี XBRL มาสนับสนุนการให้บริการในการรับงบการเงินในรูปแบบใหม่ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นครั้งแรกของประเทศ โดยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจัดทำรหัสรายการทางบัญชี (Taxonomy) ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เชื่อมโยงข้อมูลงบการเงิน เพื่อให้บริการ ณ จุดเดียว (Single Point) มีระบบประมวลผลแบบ Real Time โดยจะทดลองปฏิบัติงานจริง (Pilot  Implementation) กับธุรกิจ 100 รายแรก ภายในเดือนเมษายน 2557

ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมาย กรมฯ จึงจัดอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมการนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) แก่กลุ่มเป้าหมายในช่วง Pilot Implementation 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนิติบุคคลขนาดใหญ่ที่มีบริษัทในเครือ กลุ่มที่ใช้บริการสำนักงานบัญชีคุณภาพ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านบัญชีออกจำหน่าย (Software House) แบ่งเป็น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จัดไปแล้วในเดือนธันวาคม 2556 เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานระบบ e-Filing และเทคโนโลยี XBRL รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อเข้าร่วม Pilot Implementation และครั้งที่  2  จะจัดขึ้นภายในเดือนมกราคม 2557 ซึ่งจะจัดในรูปแบบ Workshop สำหรับผู้ใช้ระบบงาน (User) ได้ฝึกปฏิบัติงานจริง เช่น    การลงทะเบียน การยืนยันตัวตน และการอนุมัติการนำส่งงบการเงิน รวมถึงการตอบข้อซักถามและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ระบบงาน”น.ส.ผ่องพรรณ กล่าว.-สำนักข่าวไทย

กิจกรรมทุกสิ่งบนโลกนี้สามารถประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจได้ก็ต่อ เมื่อมีการวางแผนวิธีปฏิบัติงานอันยอดเยี่ยมและดีพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ การวางแผนยิ่งจะทวีค่าและมีบทบาทมากยิ่งขึ้น การวางแผนธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญมากเป็น พิเศษ โดยเฉพาะกับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ คุณทิม เบอร์รี่ (Tim Berry) ประธานบริษัท Palo Alto Software Inc. และเป็นผู้เชี่ยวชาญการวางแผนธุรกิจ ได้แนะนำวิธีการวางแผนที่เรียบง่ายแต่เข้าถึงแก่นแท้ของธุรกิจไว้ 5 ขั้นตอน

 

begin_02

1.การวิเคราะห์ศักยภาพ (SWOT)
เป็นขั้นตอนที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเป็นอันดับแรกเื่พื่อวิเคราะห์ ข้อมูลเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจุดเด่น (S = Strengths) จุดด้อย (W = Weaknesses) โอกาส (O = Opportunities) และอุปสรรค (T = Threats) ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลในทั้ง 4 เรื่องจะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรายละเอียดของธุรกิจ ที่แท้จริง อันจะนำมากำหนดกรอบและวางแผนทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการวางแผนควรเป็นการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันและระดมสมองตัดสิน ใจเพื่อให้ได้กรอบนโยบายและแผนการที่ดีที่สุดนั่นเอง

2.นำแผนที่ได้ไปลงลึกในรายละเอียดขั้นปฏิบัติ
หลังจากกำหนดแผนธุรกิจจากข้อมูลที่วิเคราะห์แล้ว ขั้นต่อมาก็คือการนำแผนที่ได้มาลงรายละเอียดขั้นปฎิบัติเพื่อนำไปใช้จริง เมื่อปล่อยสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเรื่องการตลาด การแบ่งกลุ่มลูกค้า ราคา การโฆษณา กลยุทธ์ธุรกิจ บรรจุภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งสินค้าแบบเร่งด่วน สถานที่จำหน่าย ฯลฯ ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ต้องสอดรับกับการวิเคราะห์ศักยภาพตามขั้นตอนแรกเป็น อย่างดีด้วย

3.ออกงานพบปะกับลูกค้าคู่ธุรกิจ
การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างเช่นในอดีตที่แค่นำ สินค้าออกมาวางขายก็จบ เพราะมีปัจจัยหลายๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบด้วย โดยเฉพาะเรื่องเครือข่ายธุรกิจ ซึ่งธุรกิจที่เกิดใหม่จะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลยหากขาดเครือข่ายลูกค้าและ คู่ธุรกิจที่จะมารองรับการดำเนินงานในอนาคต ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องมีแผนเดินสายพบปะเครือข่ายเหล่านั้นให้มากยิ่ง ขึ้นเพื่อเชื่อมสัมพันธภาพระหว่างกัน การพบปะพูดคุยกันแต่ละครั้งนั้นควรแสดงออกถึงความจริงใจและพูดคุยในเรื่อง ที่มีจุดยืนร่วมกัน เพื่อตรวจสอบดูว่าใครคือผู้ที่สามารถสนับสนุนและให้การช่วยเหลือได้จริงๆ

4.เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง
การจะขายสินค้าหรือบริการให้ประสบความสำเร็จ ผู้ประกอบการต้องเข้าใจความคิดความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ว่าสำหรับพวกเขาแล้วสิ่งไหนคือสิ่งที่ใช่หรือไม่ใช่ ขั้นตอนนี้เราต้องลงลึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยส่วนบุคคลหรือที่เรียกว่า ไลฟ์สไตล์เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน งานอดิเรก อาชีพ อายุ รายได้ การทำงาน โทรทัศน์รายการโปรด เว็บไซต์ที่ชอบ หนังสือที่อ่าน เพลงที่ฟัง ฯลฯ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้มาเหล่านี้จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการเอาชนะใจลูกค้า ได้ง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นส่วนที่ทำให้เราเหนือกว่าคู่แข่งอีกด้วย

5.มองภาพรวมไปยังอนาคตที่ดีกว่า
วิสัยทัศน์คือสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนจำเป็นต้องมี ผู้ประกอบการต้องรู้ตัวเองว่าอีก 3 – 4 ปีข้างหน้าธุรกิจจะมีแผนเดินไปในทิศทางใด ซึ่งอนาคตของธุรกิจเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการสามารถสร้างสรรค์และกำหนดขึ้นมา เองได้ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาแต่อย่างใด ดังนั้นการมีเป้าหมายและวางแผนธุรกิจเพื่อการเติบโตจึงเป็นหนึ่งโครงสร้าง สำคัญของการวางแผนทางธุรกิจ

การวางแผนถือเป็นสิ่งทรงคุณค่ามากในการทำธุรกิจ คืออิสระทางความคิดที่ผู้ประกอบการมีติดตัว ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจงวาดฝันและวางแผนธุรกิจให้ดีที่สุด อย่าไปกังวลว่าจินตนาการของเราจะเกินตัวหรือไกลเกินเอื้อม เพราะธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบันก็ต่างล้วนมาจากแผนธุรกิจซึ่งสร้าง มาจากความฝันและจินตนาการด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการเดินตามความฝันด้วยแผนธุรกิจจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกคน สมควรต้องทำในยามที่แข่งขันกันสูงอย่างเช่นในปัจจุบันนี้

ขอบคุณข้อมูลดีดี จาก incquity.com

1524691_709547535730236_541108747_n

ขอเรียนเชิญ
ชุมชนนักปฏิบัติ (ชุมชนคนโชติเวช)
เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ
เรื่อง “อาเซียน : โอกาสการแข่งขันของไทย
(การมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานทางด้านการศึกษาสู่อาเซียน)”
ในวันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2556 เวลา 13.30-14.30 น.
ณ ห้องประชุมบัวชมพู อาคารเรือนปัญญา ชั้น 2

งานจัดการความรู้ (KM HEC)