Category Archives: การทำงาน

การบริหารแบบ ท่านประทานเหมาเจ๋อตุง

ดิฉันมีเรื่อง ศาสตร์และศิลป์ของการบริหารจัดการแบบ เหมาเจ๋อตุง ผู้นำในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าสู่ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ปลุกเร้าให้ประชาชนจีนต่อสู้กับความยากจน และยึดมั่นในการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ มาเล่าให้ฟังค่ะ
เพิ่งครบรอบ 60 ปีแห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมาเมื่อต้นเดือนนี้เอง เมื่อพูดถึงการสถาปนาประเทศจีน บุคคลซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็คือท่านประธานเหมา หรือว่าประธานาธิบดีเหมา เจ๋อตุง ผู้ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม คริตส์ศักราช 1949 เหมา เจ๋อ ตุง เป็นผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นในปี คริตส์ศักราช 1921 และเป็นแกนนำหยุดงานประท้วงของคนงานเหมืองแร่ที่อันหยวน เขียนหนังสือเรื่อง "พลังปฏิวัติเบ่งบานออกมาจากปากกระบอกปืน" ก่อตั้ง กองทัพแดงกรรมกร และชาวนา ตามด้วยกองทัพปลดแอกประชาชน ปฏิบัติการ ป่าล้อมเมือง ที่มีชัยเหนือเจียง ไค เช็ก
ประธาน เหมา เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปีคริตส์ศักราช 1893 ในครอบครัวชาวนา โดยอาศัยอยู่ในเขตชนบทเสาซัน อำเภอเซียงถัน มณฑลหูหนาน เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ร่ำเรียนหลักคำสอนลัทธิขงจื้อ ปลูกฝังความคิดตามจารีตโบราณ ท่านเหมาสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยครูหูหนัน ป็นนักศึกษาที่ขยันเรียน ขณะเดียวกันก็สนใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม และได้เข้าร่วมในการต่อสู้การคัดค้าน หยวนซื่อข่าย หรือประธานาธิบดีเผด็จการ สมัยนั้นและเริ่มได้รับอิทธิพลทางความคิดลัทธิมาร์กซ์ เวลาว่างจะเขียนบทความลงหนังสือของวิทยาลัยครู โดยใช้นามแฝงว่า "เอ้อสือ ปาวาเซิง" หรือ "นายยี่สิบแปดขีด" ตามชื่อของท่านเหมา ที่เมื่อเขียนเป็นภาษาจีนแบบตัวเต็มรุ่นเก่า จะมีทั้งหมด 28 ขีด งานเขียนก็มักวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของราชสำนักชิง ซึ่งเป็นชาวแมนจู ซะส่วนใหญ่ ต่อมา ท่านเหมาเป็นครูสอนที่โรงเรียน และเปิดโรงเรียนกลางคืน สอนเยาวชนที่ด้อยโอกาส ทำให้เป็นที่จับตาของสายลับรัฐบาล แต่นั่นก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรเลย ต่อมาท่านเหมาสามารถรวมพล ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปีคริตส์ศักราช1921 เข้าร่วมการประชุมผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 ที่เซี่ยงไฮ้ ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการกรรมการพรรคเขต หูหนัน นำการเคลื่อนไหวในกลุ่มกรรมกร และชาวนา ได้เสนอแนวทาง "ยืนหยัดการนำของชนชั้นกรรมาชีพ ต่อการปฏิวัติประชาธิปไตย โดยอาศัยพันธมิตรกรรมกรชาวนาเป็นพื้นฐาน" มีความเชื่อมั่นอย่างสูงกับแนวทางการปฏิวัติของชาวนา โดยประกาศว่าการปฏิวัติของจีนต้องอาศัยชนชั้นชาวนาแทนที่จะเป็นชนชั้นกรรมาชีพดังที่กล่าวไว้ในลัทธิมาร์กซ์-เลนิน วิธีการของเหมาเป็นแบบ กองโจร อย่าให้ศัตรู ได้ทันตั้งตัว จงถอยเมื่อเค้ารุก จงโจมตีเมื่อเค้าหยุดพัก
ต่อมาได้จับมือกับนายพลจูเต๋อ นำกองกำลังชาวนาและกรรมกรเข้าร่วมเป็นกองกำลังจรยุทธ์ ประกาศจัดตั้งประเทศสาธารณรัฐจีน-โซเวียตหรือ หรือ The Chinese Soviet Republic ในเจียงซี โดยท่านเหมาเป็นประธาน แต่คณะกรรมการกลางยังคงต่อต้าน แนวนโยบายและการทหารที่ใช้กองกำลังชาวนา และทางฝ่ายเจียงไคเช็ก ก็รณรงค์กวาดล้างกองทัพแดงให้สิ้นซาก ดังนั้น ท่านเหมาและนายพลจูเต๋อ ได้นำกองทัพแดงต้านการล้อมปราบครั้งใหญ่ 4 ครั้งด้วยความสำเร็จ แต่พ่ายแพ้การล้อมปราบครั้งที่ 5 จึงต้องทิ้งฐานที่มั่น นำกองกำลังประมาณ 100,000คน เดินทัพทางไกล 25,000 ลี้ หรือประมาณ 12,500 กิโลเมตร ไปทางเหนือซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี ช่วงปี 1937-1945 ท่านเหมานำพรรค กองทัพและประชาชน ทำสงครามประชาชนต่อต้านญี่ปุ่นด้วยยุทธวิธี "สงครามยืดเยื้อ" จนได้ชัยชนะ และในปี 1943 ท่านเหมาได้รับเลือกเป็น ประธานคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ และได้ดำรงตำแหน่งนี้ ต่อเนื่องทุกสมัยจนถึงแก่อสัญกรรมในปี 1976 ด้วยอายุ 83 ปี ท่านเหมาได้นำกองทัพปลดแอกและประชาชนจีน ทำสงครามทำลายการรุกโจมตีของฝ่ายเจียงไคเช็ค โดยเป็น ผู้บัญชาการสู้รบในยุทธการและได้รับชัยชนะขั้นเด็ดขาด จนสามารถยึดอำนาจรัฐได้ทั่วประเทศ หลังได้รับชัยชนะแล้ว ประธานเหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่งใน วันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 ทำให้ชนชั้นหัวกะทิรู้สึกไม่พอใจที่คนมีความรู้ชั้นประถมปกครองประเทศ เหมาได้ทดลองใช้ระบบประชาธิปไตยครั้งแรก ให้ปัญญาชนแสดงทัศนะ เหมาให้ความเห็นว่า นี้คือ หนึ่งร้อยบุปผาได้เบ่งบาน หนึ่งร้อยบุปผาได้ชัยชนะ เค้าคาดการผิด ป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่ถ้อยคำที่รุนแรง เหมาถูกสั่งคลอน เหมารู้สึกถูกคุกคาม เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมารับฟังความคิดเห็น และเหมา กะจับพวกที่แสดงความคิดเห็น คนหลายแสนคน โดนว่าเป็นคนฝ่ายขวา เข้าเรือนจำ ถูกส่งไปใช้แรงงานชนบท จากผู้นำยอดนิยมเค้ากลายเป็นฆาตกรและเผด็จการ ที่วิตกจริตหลังการตั้งประเทศจีนใหม่ ประธานเหมาได้นำพรรคและประช าชนปรับปรุงปฏิรูปด้านต่างๆ อาทิ การปฏิรูปที่ดิน ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประชาชาติ ปรับปรุงให้อุตสาหกรรมและวิสาหกิจสำคัญเป็นแบบสังคมนิยม ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับการคุกคามจากต่างประเทศ ควบคู่ไปด้วย จากการประเมินสถานการณ์การต่อสู้ทางชนชั้นภายในประเทศผิดพลาด จนทำให้การเคลื่อนไหวขยายวงกว้างเกินที่จะควบคุมได้ สร้างความเสียหายแก่ประเทศและประชาชน ในระหว่างนั้นท่านเหมาก็ได้มองเห็นความผิดพลาด และพยายามยับยั้งความเสียหายแต่ก็ไม่เป็นผล การปฏิวัติวัฒนธรรมกินเวลาถึง 10 ปี ภายหลังการถึงแก่กรรม 5 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำการประเมินผลงานและความผิดพลาดของเหมาอย่างรอบด้าน และได้ข้อสรุปว่า แม้ในบั้นปลายชีวิตของเหมาจะได้ทำความผิดพลาดที่ร้ายแรง ในเหตุการณ์เคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรม แต่ถ้าเทียบกับผลงานที่ยิ่งใหญ่ และยาวนานที่สร้างให้แก่แผ่นดินและประชาชนจีน คุณความดีของเหมา ก็มีมากกว่าความผิดพลาด ประธานเหมาเจ๋อตุงยังคงเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่เคารพรักของประชาชนจีน เค้าได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการก่อตั้งจีนใหม่ ผู้เปลี่ยนจาก ลัทธิมาร์ก มาเป็นลัทธิเหมา และทำให้ประชากรชาวจีน เกิดความภาคภูมิและเกิดการเคารพตนเองค่ะ

การครองตน ครองคน ครองงาน

การครองตน ครองคน ครองงาน
เมื่อเข้าใจเป้าหมายของการทำงาน และความสุขที่เกิดจากความสำเร็จของงาน ตลอดจนรู้ปัญหาอุปสรรคของการทำงานแล้ว ควรจะต้องรู้หลักและวิธีการที่จะทำให้งาน
มีความมั่นคง จะต้องรู้วิธีการครองตน ครองคน และครองงาน ตามหลักการต่อไปนี้
1. การครองตน คือ การรู้จักตนเอง คนเราต้องมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน เรียกว่ามีเป้าหมายแห่งตน รู้จักควบคุมตนหรือมีวินัยแห่งตน หมายความว่า ทำงานสำเร็จได้ด้วยตนเอง การครองตนที่ดีควรใช้หลักการดังต่อไปนี้
1.1 การรู้จักตนเองด้วยความมีสติ คือ มีความมั่นคงตั้งมั่นกับเป้าหมายแห่งตน และมีความละอายเกรงกลัวต่อบาป
1.2 มีความอดทนและความสงบเสงี่ยม ให้เกียรติกับบุคคลทุกระดับชั้น
1.3 มีความขยัน ให้ความร่วมมือกับบุคคลอื่นและรู้จักช่วยตนเอง
1.4 ไม่ทำตนให้อยู่ในความประมาท เช่น การลุ่มหลงในอบายมุข พัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้อยู่เสมอ
1.5 รู้จักการถ่อมตน ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่อวดเก่ง อวดดี ต้องเอาดีมาอวด
1.6 มีความสำนึกในคุณงามความดีของตนเองและผู้อื่น

2. การครองตน คือ การรู้จักคนอื่น มองคนอื่นในแง่ดี ในการทำงานร่วมกับคนอื่น การครองคนเป็นเรื่องที่ยากที่สุด จึงควรทราบหลักการครองใจคน ซึ่งหลักทางพุทธศาสนาได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะในส่วนที่สำคัญ ดังนี้
2.1 การรู้จักเสียสละแบ่งปันด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารี เป็นการครองใจคนที่ดีวิธีหนึ่ง เพราะการเป็นผู้ให้ทุกอย่างแก่บุคคลอื่น ย่อมจะได้รับผลตอบแทนที่มีค่ามากกว่าสิ่งของที่ให้ไป
นั่นคือ ทำให้เกิดความรัก ความศรัทธา
2.2 การรู้จักเลือกใช้วาจาที่อ่อนหวาน คนอื่นฟังแล้วสบายใจ อยากอยู่ใกล้ อยากคบค้าสมาคมด้วย ต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง ตามภาษิตที่ว่า พูดเป็นนายใจเป็นบ่าวหมายความว่า ให้คิดก่อนพูด พูดแล้วต้องทำปฏิบัติตามอย่างที่พูด
2.3 พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ยกย่องชมเชยเมื่อผู้อื่นทำงานประสบความสำเร็จ ให้ความจริงใจ ให้ความช่วยเหลือในโอกาสอันควร
2.4 การทำตนให้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย คือ การติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้ขาดช่วงตอน ก็จะทำให้การทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง มีน้ำใจต่อกัน

3. การครองงาน คือ การรู้จักงานที่ตนเองกำลังทำ และทำงานอย่างมีความสุข รักและชอบในงานที่ตนเองกำลังทำอยู่ มีวิธีการครองงาน ดังนี้คือ
3.1 การครองงานโดยใช้ความรู้และปัญญา กล่าวคือ ปัญญากับ
ความรู้ต่างก็เกื้อกูลต่อกัน รู้จักการค้นหาความรู้ใหม่มาช่วยพัฒนางานที่ตนเอง ทำอยู่ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
3.2 การครองงานโดยใช้หลักธรรมมุ่งมั่นสูงความสำเร็จ คือ การมีใจรัก มีความพากเพียรทำ ตั้งใจฝักใฝ่ และใช้ปัญญาไตร่ตรอง งานนั้นก็จะสำเร็จ เมื่องานสำเร็จ การทำงานก็จะมีความสุข มีความรักในงาน
3.3 การให้ความรักและความเคารพในงานอาชีพของตน
ไม่ดูถูกหรือให้ใครดูหมิ่นในงานของตน มีจริยธรรมในอาชีพ
คือการซื่อสัตย์ต่องานในหน้าที่ของตน การครองตน ครองคน ครองงาน เป็นศิลปะการทำงานให้มีความสุข บุคคลใดใช้หลักการตามที่กล่าวมาก็จะ มีความสำเร็จในการทำงาน ฉะนั้น การครองตนก็คือการรู้จักตนเอง
การครองคนคือการรู้จักผู้อื่น ส่วนการครองงานคือการมีสมาธิในการทำงาน อย่าหนีปัญหา แก้ปัญหาให้ถูกต้อง และตัวเองก็มีความสุขกับการทำงาน คนก็จะมีความสุข

ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

เราสามารถเรียนรู้ได้จากความผิดพลาด

แต่มันจะดีกว่าถ้าเรียนรู้จากความสำเร็จ

ทำงานไปเพื่ออะไร

ถ้าจะถามบุคคลทุก ๆ อาชีพว่า ทำงานไปเพื่ออะไรคงจะได้รับคำตอบ ที่แตกต่างกัน ตามแต่ความมุ่งหวังของแต่ละบุคคลแต่สิ่งที่ทุกคนจะปฏิเสธ ไม่ได้ในเรื่องของความต้องการที่เกิดจากผลของการทำงาน ซึ่งหมายถึงเป้าหมายของการทำงานนั้นก็คือ
1. ทำงานเพื่อให้ได้เงิน ถึงแม้เงินจะไม่ใช่เป้าหมายของทุกงานก็ตาม แต่หลักความจริงอันหนึ่ง ก็คือ มนุษย์เรามีความต้องการด้านร่างกาย มนุษย์จึงพยายามทำงานเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ขวนขวายหาวัตถุหรือสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้ตนเองได้อยู่อย่างสุขสบาย การทำงานจึงต้องมุ่งหวังเงินเป็นสิ่งตอบแทน
2. ทำงานเพื่อให้ได้อำนาจ นอกจากความต้องการด้านร่างกายแล้ว มนุษย์ยังต้องการให้คนอื่นเคารพยำเกรง ชอบการยกย่องชมเชย การทำงานส่วนมากจึงตั้งเป้าหมายที่จะเป็นหัวหน้างานหรือผู้นำที่มีอำนาจเป็นผู้บริหารกิจการของรัฐ
3. ทำงานเพื่อให้ได้ตำแหน่งทางสังคม การมีอำนาจและตำแหน่งจะมีความ เกี่ยวพันกัน เพราะเมื่อมีตำแหน่งก็จะมีอำนาจในการสั่งการหรือบริหารตามความมุ่งหวังของตน
4. ทำงานเพื่อความรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ เพราะถ้าหากทำงานได้บรรลุเป้าหมายหรือสำเร็จ ก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ และได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ทั้งยังจะได้รับความชื่นชมจากคนอื่นอีกด้วย
5.ทำงานโดยมีเป้าหมายเพื่อสังคมและส่วนรวมจะมีกลุ่มบุคคล
อีกกลุ่มหนึ่งที่มีเป้าหมายในการช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนต่อ ประโยชน์ส่วนตน เช่น มูลนิธิการกุศล สมาคมสงเคราะห์ หรือนักบวชที่อุทิศตนให้ศาสนา มุ่งหวังสอนบุคคลให้เป็นคนดี อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขจากเป้าหมายของการทำงานจึงพอสรุปได้ว่า บุคคลทำงานอาชีพมีเป้าหมายของการทำงานเพื่อให้ตนเองและบุคคลอื่นที่อยู่ในสังคม เกิดความสุขทุก ๆ ด้านตามความต้องการของมนุษย์ ความสุข คือ ความสบายกายสบายใจของบุคคล ความสำเร็จของงาน ก็คือ การทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ของงานนั้น ๆ ดังนั้น ความสุขที่เกิดจากความสำเร็จของงาน จึงหมายถึง ความสบายกาย สบายใจ เมื่อทำงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. เกิดความมั่นใจในคุณภาพของงาน หมายถึง ความเชี่ยวชาญ ชำนาญการในงานที่ตนเองรับผิดชอบ
2. มีความสุขกับงาน รู้สึกชอบทำงานนั้นอีกเมื่อทำงานสำเร็จก็มีความภูมิใจ และคิดว่างานที่เราเคยทำสำเร็จ ถ้าได้ทำงานเหมือนเดิมก็จะพอใจและเต็มใจ ผลงานก็จะดีขึ้นกว่าเดิม
3.พอใจในผลตอบแทนที่ได้จากงานที่ทำประสบความสำเร็จ
4.มีน้ำใจและอยากเผยแพร่ผลงาน
5. พร้อมที่จะทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้นซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของบุคคล ที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานให้ดีให้เด่นขึ้นกว่าเดิม จึงพร้อมที่จะทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้น
6. การประสานสัมพันธ์เพื่อนร่วมงานดีขึ้น ลักษณะของบุคคลที่ทำงาน ประสบความสำเร็จจะเป็นบุคคลที่มีการประสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ดี เพราะบุคคลทุกคนก็ต้องการทำงานกับคนเก่ง คนดี คนที่เคยมีผลงานดีเด่น
7. ครอบครัว ญาติพี่น้องให้กำลังใจและให้ความร่วมมือ เป็นลักษณะทั่วไปของสังคมไทยที่ชื่นชมและยกย่องเฉพาะคนทำดี
โดยเฉพาะครอบครัว ญาติพี่น้องมีส่วนสำคัญที่จะเป็นกำลังใจอยู่เบื้องหลัง ของความสำเร็จ ความสุขก็จะเกิดขึ้นในชีวิตและครอบครัว
8. ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคคลทั่วไปให้เกียรติและชื่นชมในผลงาน             งานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค มีคนจำนวนมากที่ทำแล้วล้มเหลว ผิดหวังในชีวิต ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญที่ทำให้งานไม่สำเร็จมีสาเหตุดังนี้
1. งานยากไป งานบางงานมีความยากไปสำหรับบางคนที่ไม่รู้จักประเมินความสามารถของตน การงานที่ยากไปก่อให้เกิดปัญหาการทิ้งงานและการหนีงานเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย ต้องใช้เวลาในการทำงานมาก
2. ขาดความชำนาญ ขาดประสบการณ์ที่ดีพอ ทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน ต้องรู้จักพัฒนาตนเองด้วยการศึกษาเพิ่มเติม สอบถามผู้รู้อยู่เสมอ
3. ขาดกำลังใจ กำลังใจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำงาน โดยเฉพาะงานที่มีความซับซ้อน ยุ่งยาก ใช้เวลามาก ต้องมีคนให้กำลังใจ ให้แรงสนับสนุนถึงจะสำเร็จลงได้
4. ขาดความพร้อม ทีมงานไม่พร้อมทำให้งานล้มเหลว ขาดวัสดุอุปกรณ์ ทำให้งานดำเนินไปไม่ได้ ต้องสร้างความพร้อมให้ตนเอง และเพื่อนร่วมงานก่อนการทำงานทุกครั้ง
5. ขาดความต่อเนื่อง งานทุกอย่างถ้าขาดความต่อเนื่อง งานไม่เป็นไปตามระยะเวลา ที่กำหนด เร็วไปหรือช้าไป จะทำให้ผลงานออกมาไม่ดี ไม่เป็นที่พอใจของตัวเองและคนประเมินผลงาน
6. ขาดความคล่องตัว เนื่องจากคิดช้า กังวล หรือกำลังกายกำลังใจไม่พร้อม
ขาดเครื่องอำนวยความสะดวก เพื่อนร่วมงานไม่ให้ความร่วมมือ
7. ขาดความตั้งใจ เป็นปัญหาที่สำคัญมากในการดำเนินกิจการทุกอย่าง เพราะถ้าขาดความตั้งใจแล้ว ผลงานออกมาจะไม่ดี ฉะนั้น ขอให้ตั้งใจ ในการทำงานอยู่เสมอ ถามตัวเองว่าเราตั้งใจมากเพียงพอหรือยัง
8. ขาดการพิจารณาใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงาน เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าบุคคลได้งานที่ตนเองไม่มีความรู้ความถนัดในเรื่องดังกล่าว ระบบงานโดยภาพรวมก็จะล้มเหลวลงไปด้วย จึงต้องมีศิลปะการเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน

ปัญหาพนักงานเกิดความเครียด ไม่มีความสุข

หลายองค์กรอาจเคยประสบปัญหาพนักงานเกิดความเครียด ไม่มีความสุข ไม่สนใจงาน ขาดความสนุก จนคิดลาออกไปทำงานที่อื่น ซึ่งการเปลี่ยนพนักงานบ่อยๆ มีผลต่อความต่อเนื่องในการทำงาน และยังเกิดเป็นค่าใช้จ่ายในการคัดสรร และพัฒนาบุคลากรขึ้นมาทดแทนอีกด้วย เรียกว่า เสียทั้งคน เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา  ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ท้าทายความสามารถของ HR ว่าจะผลักดันหรือแก้ไขอย่างไร ลักษณะงานที่ HR จะทำได้คือ การเสนอแนะในเชิงกลยุทธ์ ให้มีการปรับปรุงระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล การพัฒนาคน การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน ทั้งนี้การออกแบบระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขให้แก่พนักงาน ได้แก่

1.       การสรรหาเลือกคนที่มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติที่ดี มีสมรรถนะตรงกับตำแหน่งงาน

2.       จัดทำโครงสร้างค่าจ้างเงินเดือน ที่ยืดหยุ่น จูงใจ ตามผลงาน

3.       จัดสวัสดิการที่อำนวยประโยชน์แก่พนักงาน สนใจด้านความปลอดภัย สุขภาพอนามัย

4.     มีระบบการประเมินผลงาน หัวข้อการประเมินที่ชัดเจน หัวหน้างานมีความรู้ และใช้วิธีการประเมินงานที่สอดคล้องกับมาตรฐาน

5.       มีการพัฒนาบุคคล ฝึกอบรมให้ความรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้พัฒนาตนเอง

6.     มีกระบวนการพนักงานสัมพันธ์ที่สามารถแก้ไขคลี่คลายปัญหาความต้องการ ข้อร้องเรียน หรือความขัดแย้งโดยระบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการพนักงานในการปรึกษาหารือ มีกิจกรรมข้อเสนอแนะ การสำรวจทัศนคติความคิดเห็นและนำมาใช้ในการปรับปรุงงาน

7.     มีกิจกรรมด้านสันทนาการ หรือกิจกรรมการใช้ชีวิตส่วนตัวนอกเวลางาน หรือมีระบบสังคมชุมชนในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ

8.       ส่งเสริมเรื่องการปฎิบัติตามระเบียบวินัย และใช้วิธีการวินัยแบบสร้างสรรค์

9.       การให้บริการด้าน HR ที่สนองความต้องการของพนักงาน รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ

10.   พัฒนาให้หัวหน้างานมีความรู้ความสามารถ ในการบริหารจัดการดูแลคนในหน่วยงาน มีความเป็นผู้นำ และช่วยสร้างความสุขในการทำงานแก่พนักงาน

กิจกรรมทาง HR ทั้ง 10 ข้อนี้เป็นความสามารถในการบริหารจัดการที่ HR ควรมี เพื่อสร้างความสุขให้แก่บุคลากรอย่างยั่งยืน   ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

สิ่งเดียวที่จะชนะโชคชะตา  คือการทำงานหนัก

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่า คนที่กำลังมีปัญหาในที่ทำงาน

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่า คนที่กำลังมีปัญหาในที่ทำงาน ไม่ว่าจะก้มหน้าก้มตาทุ่มเทให้กับการทำงานแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยก้าวหน้าหรือมีความสุขในที่ทำงานเลย หนำซ้ำนอกจากจะกดดันกับงานที่ได้รับผิดชอบแล้ว ยังจะต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานอีกด้วย คงเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากคุณสามารถบริหารทุกอย่างได้อย่างลงตัว เชื่อแน่ว่าหากทำได้ คุณคงมีความสุขในการทำงานขึ้นเป็นกองเลยละ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเริ่มปรับปรุงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

และ 7 เคล็ดลับต่อไปนี้ สามารถเป็นตัวช่วยเพื่อให้คุณมีความสุขในการทำงานได้อย่างแน่นอนค่ะ

1. เชี่ยวชาญเรื่องอินเทอร์เน็ต ใครๆ ก็รู้ว่ายุคสมัยนี้ใครที่มี "ข้อมูล" มากกว่ามักได้เปรียบ ยิ่งรอบรู้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิดที่ทำมากเท่านั้น ลองพิจารณาดูตัวเองว่าขาดตกบกพร่องตรงนี้ไปหรือเปล่า เพราะหากคุณปรับปรุงตัวเองได้ ไม่ว่าคุณจะคุยกับใครก็เป็นต่อ เพื่อนร่วมงานก็จะแอบทึ่ง โดยเฉพาะเจ้านายคงนิยมชมชอบ เทคะแนนให้คุณเต็มที่

2. ประเมินตัวเองอย่างมีเหตุผล ได้เวลา "กำจัดจุดอ่อน" แล้วค่ะ อย่าเพิ่งตกใจว่าใครจะมากำจัดคุณ ตัวคุณนั่นแหละที่ต้องกำจัดจุดอ่อนของตัวเอง เริ่มจากเขียนออกมาเป็นข้อๆ ว่าคุณมีจุดอ่อนจุดแข็งอะไรบ้าง แล้วให้เพื่อนที่คบกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงคุณดีลองอ่าน และช่วยแนะนำว่าคุณควรปรับปรุงจุดไหนบ้าง จากนั้นก็พิจารณาเหตุผลที่ได้ในแต่ละข้อ แล้วนำมาแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ โดยเฉพาะจุดอ่อนของคุณ เพราะหากคุณมีจุดอ่อนยิ่งจะเป็นเป้าการตำหนิของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายซึ่งส่งผลให้สภาพจิตใจถูกบั่นทอนลงไปด้วย

3. พิชิตความกลัวด้วยความกล้า โดยเริ่มฝ่าด่านความกลัวจากเรื่องง่ายๆ ก่อน เช่น การดูหนังคนเดียวในโรงภาพยนต์แล้วคุณจะรู้สึกถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ใช้ความรู้สึกแหละเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่ทำให้คุณกลัวในที่ทำงานแล้วคุณจะพบว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ถ้าคุณคิดที่จะทำ

4. จัดระบบการทำงานให้มีระเบียบ การจัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นระบบ คุณจะเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น โต๊ะทำงานที่รกรุงรังเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ควรจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทางเพื่อความสะดวกในการค้นหาและนำมาใช้งาน ถ้ารู้สึกว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์เต็มไปด้วยอีเมล์เก่าๆ หรือไฟล์งานที่ไม่ใช้แล้ว ควรลบทิ้งไป เพื่อเพิ่มเติมสิ่งใหม่เข้าไปแทน

5. ทำจิตใจให้แจ่มใส การทำใจให้สบายคือคุญแจดอกสำคัญที่จะขจัดปัญหาต่างๆ เชื่อเถอะว่า ไม่มีอะไรแย่จนแก้ไขไม่ได้ จงมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ถ้าเครียดมากนักก็พักซะบ้าง และที่พักผ่อนที่ดีที่สุดก็ไม่พ้นที่บ้าน จัดมุมพักผ่อนที่เงียบสงบ สามารถแวะเข้ามานั่งเล่น นอนเล่นได้อย่างสบายใจ ถ้ายามใดที่ต้องแบกปัญหากลับมาบ้าน แวะเข้ามามุมนี้ อย่างน้อยสัก 5 นาที ในแต่ละวัน ไอเดียต่างๆ มักจะเกิดขึ้นในยามที่จิตใจสงบเสมอ

6. หนักแน่นและมีเหตุผล เมื่อมีปัญหาในหน้าที่การงาน อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเป็นกระต่ายตื่นตูม แต่ควรพยายามควบคุมจิตใจให้หนักแน่นและมีเหตุผลไม่ปล่อยให้ตัวเองตื่นเต้น หวั่นไหว ฟุ้งซ่านหลังจากนั้นก็คิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ

7. ค้นหาคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ลองทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา ประเมินว่าตัวเองมีความถนัดหรือไม่ถนัดกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบขณะนี้ ถ้าถนัดและชอบอยู่แล้ว ก็พัฒนาความสามารถให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงก็ควรปรับและเปลี่ยนให้เหมาะสม

ลองปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวดูนะคะ ตราบใดที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงชีวิตการทำงานของคุณจะราบรื่นเป็นสุขขึ้นมากเชียวค่ะ อีกหนึ่งความรู้สึกดี - ดี ค่ะ

เมื่อปัจจุบันพัฒนากว่าอดีต และอนาคตต้องพัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่าปัจจุบัน

คุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของมนุษย์คือการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งได้ ทำให้มนุษย์เรามีความก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าปัจจุบันพัฒนากว่าอดีต และอนาคตต้องพัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน ใครก็ตามที่ไม่ยอมเรียนรู้ประสบการณ์ในอดีต ย่อมมีโอกาสผิดพลาดซ้ำกับคนรุ่นก่อน ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าน้อยกว่าคนอื่น

ในสังคมของคนทำงานมีคนอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆคือ คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ แต่คนในสองกลุ่มนี้ก็สามารถแบ่งออกได้สองกลุ่มเช่นกันคือ กลุ่มคนที่ยึดติดกับอดีตไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง กับกลุ่มคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การเป็นคนทำงานยุคใหม่หรือยุคเก่าจึงไม่ได้อยู่ที่อายุตัวหรืออายุงาน แต่อยู่ที่การปรับตัวในการทำงานมากกว่า เราจะเห็นว่าคนที่มีอายุตัวหรืออายุงานมากบางคน เป็นคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ไม่กลัวเทคโนโลยี พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในขณะที่คนรุ่นใหม่บางคนชอบทำงานแบบคนรุ่นก่อนๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ทำงานแบบไหนก็อยากทำเหมือนเดิมไปตลอด จึงสรุปไม่ได้ว่าคนทำงานยุคใหม่คือคนที่มีอายุน้อยเท่านั้น ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

ความเชื่อบางอย่างที่ไม่ควรจะเชื่อเลย

คนเราทุกคนมีความเชื่อ เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องของการทำดีได้ดี เชื่อหัวหน้า เชื่อเพื่อนๆ ฯลฯ ความเชื่อเหล่านี้ก็มีทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี ถูกและไม่ถูก ซึ่งอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละบุคคลที่จะตัดสินใจว่า จะเชื่อต่อ หรือไม่เชื่อ แต่มีความเชื่อบางอย่างที่ไม่ควรจะเชื่อเลย ถ้าเรามีความเชื่อเหล่านี้อยู่ในใจเรา มันจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลยค่ะ ดังนั้นถ้าใครมีความเชื่อเหล่านี้อยู่ จงค่อยๆ เปลี่ยนมัน เพราะความเชื่อเหล่านี้จะทำให้คุณไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนาค่ะ มีอะไรบ้างลองมาดูกันทีละข้อค่ะ

เชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพราะเขาดวงดี และโชคช่วย คนที่เชื่อคำพูดนี้อย่างจริงจัง จะเชื่อต่ออีกว่า ตนเองไม่มีโชค ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จสักที ผลก็คือ จะทำอะไร ก็จะเชื่ออยู่ในใจตลอดว่าเราไม่มีดวง เราไม่มีโชค พอเชื่อแบบนี้มากๆ เข้า เราก็จะเชื่อต่ออีกว่า เราจะไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเราได้เลย พอเชื่อแบบนี้ ก็เลยอยู่มันไปวันๆ แบบนี้ดีกว่า สุดท้ายก็ไม่มีอะไรสำเร็จได้จริงๆ สิค่ะ ลองพิจารณาคนที่ประสบความสำเร็จให้ดี เขาเชื่อสนิทใจเลยว่า เขาประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่เรื่องโชคหรือดวง แต่ตัวเรานี่แหละที่จะทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จได้ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำ เชื่อแล้วก็จะเริ่มทำตามในสิ่งที่ตนเองเชื่อ คนที่เชื่อแบบนี้ก็จะประสบความสำเร็จไม่หยุดค่ะ

เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต คนที่เชื่อแบบนี้ดิฉันว่าน่าจะเป็นคนที่หมดแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง ใครที่อยากประสบความสำเร็จต้องไม่เชื่อแบบนี้เด็ดขาดค่ะ เพราะความเชื่อแบบนี้ไม่ทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิต พอไม่มีเป้าหมาย ก็ไม่มีความท้าทาย จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แล้วแต่ฟ้าจะบอกว่าวันนี้ให้ทำอะไร วันไหนฟ้ามืดหน่อย ก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะฟ้าไม่ยอมลิขิต ชีวิตของเราค่ะ เราต้องลิขิตเองค่ะ อยากประสบความสำเร็จก็จงวาดเส้นทางไปสู่ความสำเร็จ แล้วก็ออกเดินไปตามเส้นทางที่เราวาดไว้ค่ะ ถ้าล้ม ก็วาดใหม่ได้ แล้วเดินต่อไป ขอให้มั่นคง และเดินก้าวไปเรื่อยๆ ตามเส้นที่เราลิขิตไว้ แล้วความสำเร็จก็จะมาให้เราเห็นค่ะ

เชื่อว่าวัตถุทางโลก จะทำให้เรามีความสุข ดังนั้นคนที่เชื่อแบบนี้ก็จะทำงานเพื่อวัตถุต่างๆ ที่ตนต้องการ บางคนคิดอยู่เสมอว่า ถ้าได้เป็นเจ้าของรถราคาสิบล้านได้ จะมีความสุข บางคนคิดว่าอยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ ราคา 100 ล้านแล้วจะมีความสุข ฯลฯ แต่เชื่อมั้ยค่ะว่า คนเหล่านี้พอได้สิ่งที่ตนอยากได้แล้ว ก็ยังไม่มีความสุขเลย ก็ยังหาต่อไปว่าอะไรที่จะทำให้เรามีความสุขได้ จริงๆ แล้วความสุขอยู่ในใจเราค่ะ เรามีความสุขได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที และทุกวินาทีค่ะ ถ้าเราทำใจของเราให้มีความสุข รู้จักพอรู้จักใช้สิ่งที่เรามีอยู่ให้เกิดความสุขได้ วัตถุต่างๆ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขจริงๆ หรอกค่ะ ความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจเราต่างหาก

เชื่อว่ายังคงมีวันพรุ่งนี้ ความเชื่อนี้อาจจะดูเป็นสองด้านได้นะค่ะ คนที่เชื่อว่ายังมีวันพรุ่งนี้ แล้วก็ทำให้ตนเองมีความหวัง และไม่ท้อแท้ อันนี้ดีค่ะ จงเชื่อต่อไป แต่คนที่เชื่อว่ายังมีวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็คิดต่อว่า งั้นทุกอย่างก็ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำ แบบนี้ไม่ควรเชื่อค่ะ เพราะจะทำให้เราผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ บางคนบอกว่า ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำงานให้เสร็จ พรุ่งนี้ค่อยพาครอบครัวไปกินอาหาร พรุ่งนี้ค่อยทำ พรุ่งนี้ค่อยดู พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกัน ฯลฯ ความเชื่อแบบนี้ควรจะเปลี่ยน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะลงมือทำทันที โดยไม่เลื่อนหรือผลัดวันไปเรื่อยๆ ค่ะ

เชื่อว่าเราถูกต้องเสมอ คนที่เชื่อแบบนี้มักจะเชื่อต่อไปว่า คนอื่นผิดเสมอ และจะจ้องจับผิดคนอื่น เมื่อใครก็ตามที่ไม่ทำในแบบที่ตัวเองคิดหรือเชื่อ ก็จะบอกว่าเขาผิด คนที่เชื่อแบบนี้จึงไม่ค่อยจะมีเพื่อนคบมากนักเพราะเป็นคนที่ชอบครอบงำความคิดคนอื่น ใครพูดอะไรก็จะต้องวิจารณ์ว่าไม่ถูกต้อง จนไม่ค่อยมีใครอยากคุยด้วย ปกติแล้วความคิดของเรามีทั้งถูก และไม่ถูก มีทั้งเหมาะและไม่เหมาะ ดังนั้นจงลดทิฐิ และความเชื่อตรงนี้ลงบ้าง แล้วชีวิตเราจะเบาขึ้น สบายขึ้น อีกทั้งจะได้ใจจากเพื่อนๆ รอบข้างอีกด้วย   ดิฉันคิดว่า เป็นสิ่งที่คนเราทุกคนน่าจะปฏิบัติตามได้ไม่ยากนัก ก็เลยเขียนสรุปมาให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ อย่างน้อยน่าจะช่วยให้เรามีความเชื่อที่ดีขึ้น พอความเชื่อดี การกระทำก็ดี และสุดท้ายความสุขก็จะมาหาเราเองค่ะ

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตของมนุษย์ก็คือ การใช้ชีวิตลำพังในโลก

เราไม่ควรจมจ่อมอยู่กับปัญหา ไม่แบกปัญหาให้หนักอก แต่จะวางปัญหาลงด้วยสติตัดอารมณ์ออกแล้วถอยห่างออกมา ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาปัญหานั้น ปัญหาใหญ่ก็จะคลายเป็นปัญหาเล็ก ปัญหาเล็กก็จะกลายเป็นเพียงฝุ่นผง เรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย เรื่องหนักหนาสาหัสก็จะกลับเป็นดังปุยนุ่นที่บางเบาเซียนครอบครัวดีมักบอกเราว่า สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตของมนุษย์ก็คือ การใช้ชีวิตลำพังในโลกใบนี้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครแบ่งปันความทุกข์ ความสุข และครอบครัว ทำหน้าที่ที่นี้ได้ดีที่สุด เราจะเป็นคนอย่างไรมีพื้นฐานมาจากครอบครัวเป็นคนมีความสุข มองโลกในแง่ดี เป็นที่รักของคนทุกคน วันๆ ผ่านไปได้ด้วยความทุกข์ใจและร้อนรน ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีสักที ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว  

                เครื่องมือหนึ่งในการสร้างความสุขในชีวิตของคนทำงาน โดยประกอบไปด้วย  Happy 8 

Happy Body (สุขภาพดี)     มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและจิตใจ

Happy Heart (น้ำใจงาม)     มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อกันและกัน

Happy Soul (ทางสงบ)     มีความศรัทธาในศาสนาและมีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต

Happy Relax (ผ่อนคลาย)      รู้จักผ่อนคลายต่อสิ่งต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต

Happy Brain (หาความรู้)     การศึกษาหาความรู้ พัฒนาตนเองตลอดเวลา

Happy Money (ปลอดหนี้)     มีเงินรู้จักเก็บ รู้จักใช้ ไม่เป็นหนี้

Happy Family (ครอบครัวดี)     มีครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคง

Happy Society (สังคมดี)     มีความรักสามัคคี เอื้อเฟื้อต่อชุมชนที่ตนทำงานและที่พักอาศัย

 ...เราไม่ควรจมจ่อมอยู่กับปัญหา  ไม่แบกปัญหาให้หนักอก

ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

หัวหน้างานกับทักษะการสื่อความ

หลายๆครั้งที่เราคุยกันในเรื่องของหัวหน้างานกับการบริหารคน ในเรื่องของการจูงใจพนักงานไปแล้ว วันนี้จะมาในเรื่องของหัวหน้างานกับทักษะการสื่อความ ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้เรื่องของการสร้างแรงจูงใจเลยทีเดียว การสื่อความเป็นทักษะที่สำคัญมากในการทำงาน ยิ่งเฉพาะกับหัวหน้างานแล้ว การสื่อความเป็นทักษะที่จะช่วยให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน เกิดการทำงานเป็นทีมที่ดี และเกิดความเข้าใจกันระหว่างทีมงานด้วยกันเอง ดูแล้วเหมือนกับว่าการสื่อความจะเป็นพื้นฐานของทุกอย่างในการทำงาน  แต่ทำไมหัวหน้างานบางคนก็ยังไม่สามารถที่จะใช้การสื่อความให้เป็นเครื่องมือในการสร้างทีมงาน และสร้างแรงจูงใจที่ดีให้กับพนักงาน ในทางตรงกันข้าม กลับใช้การสื่อความนี้เป็นเครื่องมือในการทำลายทีมงาน สร้างความขัดแย้งกันเองในทีมงาน สร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้อง  การสื่อความทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย การเขียน การอ่าน เราจะต้องเลือกวิธีการสื่อความให้ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะสื่อ การที่จะชมเชยพนักงาน ก็ควรใช้การสื่อความด้วยวาจามากกว่าการใช้การเขียนชมพนักงานแต่หัวหน้างานบางคนก็ยังใช้วิธีการสื่อความแบบไม่ค่อยถูกต้องนัก ดิฉันเคยเห็นหัวหน้างานไม่พูดคุยกับลูกน้องเลย นั่งติดกัน แต่เวลาจะคุยกันจะใช้อีเมล์ส่งถึงกัน พอลูกน้องไม่ได้เช็คเมล์ หัวหน้าก็ดุด่า ว่าทำไมไม่เช็คเมล์ซะบ้าง   หัวหน้าบางคนก็ใช้วาจาเชือดเฉือนลูกน้องจนเป็นแผลเหวอะหวะไปทั้งตัว มีแต่การดุด่าว่ากล่าว หรือไม่ก็ประชดประชันลูกน้อง เพื่อความสะใจของตนเอง จนลืมไปว่า นี่คือลูกน้องของเราซึ่งเป็นคนที่จะต้องสร้างผลงานให้เราด้วยซ้ำ หัวหน้าไม่สามารถทำงานได้เลย ถ้าไม่มีลูกน้องมือดีคอยช่วยอีกแรง แล้วถ้าหัวหน้างานสื่อความแบบแย่ๆ แบบนี้ จะมีลูกน้องสักกี่คนที่อยากทำงานด้วย   หัวหน้างานบางคน ก็พูดไม่หยุดเลยก็มี ไม่เคยคิดที่จะฟังลูกน้องตัวเองบ้าง การสื่อความไม่ใช่แค่การส่งสารนะค่ะ การสื่อความจะรวมถึงการรับสารด้วย ดังนั้น หัวหน้างานก็ต้องมีทักษะในการฟังที่ดีด้วย ไม่ใช่ฟังแล้วคิดไปเองทุกอย่าง คิดเข้าข้างตัวเองทุกเรื่อง  นอกจากการสื่อความที่ดีแล้ว หัวหน้างานยังต้องสร้างทีมงานที่ดีอีกด้วย ต้องประสานความแตกต่างของลูกน้องแต่ละคนเข้าด้วยกัน เพื่อเป้าหมายของงาน และต้องจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทีมงาน ไม่ใช่ทำตัวให้เกิดความขัดแย้งซะเอง   เรื่องของการทำงานเป็นทีมนั้น มันเริ่มจากความเชื่อใจกัน ถ้าลูกน้องเชื่อใจหัวหน้า หัวหน้าเชื่อใจลูกน้อง ทีมงานมันก็จะเกิดค่ะ แต่ถ้าต่างคนต่างไม่มีความเชื่อใจกันเลย มันก็จบค่ะ ดังนั้นหัวหน้าจะทำอย่างไรให้ลูกน้องเชื่อใจ คำตอบก็คือ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในทีมงาน ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่รักใครชอบใครเกินหน้าเกินตา จนทำให้คนอื่นรู้สึกว่าลำเอียง ถ้าเป็นแบบนี้ทีมงานที่ดีย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ  ดังนั้นโดยสรุปที่ได้กล่าวไปก็คือ หัวหน้างานกับการบริหารคนนั้น จะต้องสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน เสริมสร้างทักษะการสื่อความที่ดี ทั้งการส่งสาร และการรับสาร และยังต้องสร้างบรรยากาศในการทำงานเป็นทีมที่ดี รวมทั้งสามารถจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทีมได้อย่างสร้างสรรค์  ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีด้านมืดและด้านสว่าง มีเรื่องดี และไม่ดี เรื่องของผู้นำก็เช่นกัน มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง สิ่งที่ผู้นำทุกคนควรจะระวังไว้ให้ดี ก็คือ การที่เราได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ มีอำนาจ มีหน้ามีตา มีคนยกย่องและยอมรับนับถือมากขึ้น อาจจะทำให้ผู้นำคนนั้นหันเข้าสู่ด้านมืดได้ ถ้าผู้นำท่านนั้นขาดสติ   หลายคนบ่นว่าท้อแท้กับชีวิต ไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต หมดแรง หมดหวัง หมดอาลัยตายอยาก หมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ฯลฯ ถามจริงๆ ว่าเราหมดทุกอย่างจริงๆ หรือ เราคิดว่าเราหมดทุกอย่าง ต่างกันนะค่ะ ในชีวิตจริง ไม่มีใครที่จะสูญเสียไปหมดทุกอย่างในชีวิตหรอกค่ะ นอกจากจะไม่มีชีวิตแล้ว ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ แปลว่าเรายังมีหวังในชีวิตค่ะ ดังนั้นเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ แล้วชีวิตเราจะดีขึ้นอีกมากค่ะ

เมื่อชีวิตเรา...ไม่สามารถที่จะ undo ได้จะทำอย่างไร

เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของคอมพิวเตอร์นั้น ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะ เวลาพิมพ์อะไร หรือทำอะไรผิดพลาด เราสามารถกดปุ่ม Undo ได้ทันที แล้วมันก็จะย้อนกลับมาในจุดเดิมก่อนที่เราจะทำผิด เพื่อให้เราทำใหม่ในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ชีวิตของเรานั้น เราไม่สามารถที่จะ undo ได้เลย ประเด็นที่สำคัญที่เราไม่สามารถที่จะ undo ได้ในชีวิตจริงก็คือ

·                     คำพูดที่เราใช้กับคนอื่น เวลาที่เราใช้คำพูดที่ไม่ดีกับผู้อื่นที่เราคุยด้วย เมื่อเราพูดออกจากปากเราไปแล้ว เราจะไม่สามารถ undo ได้อีกเลย ดังนั้น ก่อนจะพูดอะไรจะต้องคิดให้ดีก่อนว่า สิ่งที่เรากำลังจะพูดออกไปนั้นจะมีผลลัพธ์อะไรตามมา นี่คือสาเหตุที่มนุษย์เรามีหูสองข้าง แต่มีปากเพียงหนึ่งปาก

·         อารมณ์โกรธ เวลาเราโกรธ และควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ได้ เราอาจจะใช้วาจาที่ไม่เหมาะสม เราอาจจะประชดประชัน ใช้วาจาเฉือดเฉือนผู้อื่นให้เขารู้สึกเจ็บแสบ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่สิ่งที่เราจะได้ก็คือ ศัตรูอีกคนหนึ่งที่เพิ่มขึ้น และเมื่อเรากระทำไปแล้ว เราก็ Undo ไม่ได้อีกเช่นกัน คนที่รับคำพูดจากเราไป ความรู้สึกของเราก็เสียไปแล้ว เราจะไปหาปุ่ม undo กดเพื่อกลับมาใหม่ไม่ได้แล้วล่ะคะ

·         ความเชื่อใจ เมื่อไหร่ที่เราสามารถสร้างความเชื่อใจให้กับผู้อื่นแล้ว เราจะต้องรักษาความเชื่อใจนี้ไว้ให้ยาวนานที่สุดคะ เพราะเมื่อไหร่ที่เราทำให้เพื่อน หรือ ใครก็ตามที่เชื่อใจเรา หมดความเชื่อใจแล้ว เราก็จะไม่สามารถ undo ได้อีกเช่นกัน

·         เวลาของชีวิต เรื่องของเวลานั้นมันจะเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด หรือย้อนหลังได้เลย ดังนั้นถ้าเราใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่มีจุดหมายปลายทาง เวลาในชีวิตเราก็จะน้อยลงเรื่อยๆ พอคิดได้ ปุ่ม undo ไม่มีให้เรากดนะคะ สุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจ และนั่งคิดว่า รู้งี้ทำแบบนั้นซะตั้งแต่แรกก็ดี

ส่วนใหญ่การใช้ชีวิตของเรานั้น เราไม่สามารถที่จะ undo ได้ทั้งหมดก็จริง แต่เราสามารถที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เราทำไปได้ และถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตในแง่มุมต่างๆ เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตของเรา เราก็ต้องทำมันตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้ อย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง หรือคิดสั้นๆ ว่าทำไปถ้าผิดเดี๋ยวทำใหม่ก็ได้เพราะชีวิตเรา undo ไม่ได้คะ

ในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ขอชีวิตงดงามตามที่ฝัน
ขอทุกวันเป็นวันอันสดใส
ขอทุกก้าวคือก้าวที่มั่นใจ
ขอวันใหม่ก้าวไกลไปกว่าเดิม