Category Archives: เรื่องเล่า/นิทาน

นิทาน คุณทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง

ดิฉันมีเรื่อง คุณให้หรือทำอะไร เพื่อสังคมบ้าง
มาเล่าให้ฟัง

มีชาวเดนมาร์คคนหนึ่ง นอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก เขาก็ตกลงไปด้วย
นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงนรกแล้ว"
ที่นั่นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อยมีคุณค่าทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าก็บอกว่า "นี่สัตว์นรก"
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
... นางฟ้าบอกว่า ที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้
แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเอง
คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที...
อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก
พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
จึงผอมโซเพราะอดอาหาร
ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ
แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้
นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงสวรรค์แล้ว"
ห้องที่สองนี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหารประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก
มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่า "นี่เทวดาบนสวรรค์"
แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
... ดูว่าเขากินอาหารอย่างไร ทั้งๆ ที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกับที่นรก
"เอ... ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก? ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง"
พอดูดีๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ เขาตักอาหารด้วยช้อนยาวๆ
เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้
ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย
สรุปว่า... ที่นรกนั้นคนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น
แต่ที่สวรรค์นั้น... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน
... ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคม...

นิทาน..ลี่ลี่

ดิฉันมีเรื่องเล่าของหญิงสาวชาวจีนนามว่า  ลี่ลี่    มาเล่าให้ฟัง

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าลี่ลี่   เมื่อเธอแต่งงานจึงได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีและแม่สามี...ภายในเวลาอันสั้นลี่ลี่ก็พบว่าเธอไม่สามารถเข้ากับแม่สามีได้เลย  เป็นเพราะ บุคลิกของทั้งคู่ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...  ลี่ลี่ทนนิสัยหลายอย่างของแม่สามีไม่ได้  ฝ่ายแม่สามีก็ได้แต่วิพากษ์ วิจารณ์ลี่ลี่เสมอมา    วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน  ลี่ลี่และแม่สามี ทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ตามธรรมเนียมจีน สะใภ้จะต้องก้มหัว และเชื่อฟังแม่สามี ในทุกเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงนี้นำมาซึ่งความทุกข์โศกแก่ผู้เป็นสามีเป็นอย่างยิ่ง...   ในที่สุดวันที่ลี่ลี่หมดสิ้นความอดทนได้มาถึง จึงตัดสินใจที่จะทำอะไร บางอย่าง เธอตรงไปหาคุณหวางเพื่อนรักของพ่อที่ขายสมุนไพร หลังจาก เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง เธอจึงถามว่า พอจะหายาพิษอะไรสักอย่าง เพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลในคราเดียวได้ไหม  คุณหวางคิดอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดจึงกล่าวกับลี่ลี่ว่า ลุงจะช่วยหนูเอง...แต่หนูต้องฟังคำของลุงและ เชื่อฟังสิ่งที่ลุงบอกนะ     ลี่ลี่ตอบรับทันทีว่า ค่ะ หนูจะทำตามที่คุณลุงแนะนำทุกอย่าง     คุณหวางหายไปหลังร้าน และกลับมาภายในเวลาชั่วครู่พร้อมกับห่อสมุนไพรในมือ
เขากล่าวกับลี่ลี่ว่า  ลุงจะจ่ายยาสมุนไพรให้หนูจำนวนหนึ่ง
แต่หนูต้องไม่ใช้ยาพิษนี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันนะ เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนสงสัย   หนูจงเติมสมุนไพรนี้ลงไปในหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ปรุงวันเว้นวัน   สารพิษนี้จะได้ค่อย สะสมอยู่ในตัวเธอ
... ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องพูดจากับเธอดีๆ และเชื่อฟังเธอด้วย
วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อแม่สามีตายลง จะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวหนูไงล่ะ     อย่าลืมนะ.. ห้ามเถียงเธอ...  แต่จงเชื่อฟังทุกอย่างที่เธอบอกและปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุด  ได้ยินดังนั้นลี่ลี่รู้สึกสุขใจยิ่งนัก จึงกล่าวขอบคุณและล่ำลาคุณหวางเพื่อกลับไป เตรียมอุบายสังหารแม่สามี...   วันและคืนผ่านไป...ลี่ลี่จะต้องปรุงอาหารจานพิเศษให้แม่สามีทุกวันเว้นวัน   เธอจดจำคำของคุณหวางได้เป็นอย่างดี...พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง  เชื่อฟังและดูแลเธอ เหมือนดั่งเป็นแม่ของตนเอง  เวลาล่วงไปได้หกเดือน
ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้หลังคาบ้านนั้นกลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง   ลี่ลี่ได้ฝึกตนให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก   ไม่เคยมีปากเสียงกันเลยตลอดหกเดือนนี้    แม่สามีดูเหมือนจะมีเมตตาต่อเธอและเข้ากันได้เป็นอย่างดี  ในขณะที่ทัศนคติของแม่สามีที่มีต่อลี่ลี่ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน  เธอเริ่มรักลี่ลี่ เหมือนกับลูกสาวแท้ๆของตัวเอง...
เธอพร่ำบอกเพื่อนฝูงและคณาญาติว่า
ลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ที่ดีที่สุดและยากจะหาใครมาเสมอเหมือน
บัดนี้ ลี่ลี่ และแม่สามีรักกันดุจ แม่-ลูกจริงๆ
แล้ว...ฝ่ายสามีลี่ลี่รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพนั้น
วันหนึ่ง...ลี่ลี่กลับไปหาคุณหวางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
เธอละล่ำละลักคุณลุงหวางคะ กรุณาช่วยหนูด้วยค่ะหนูไม่อยากให้แม่สามีตายแล้วค่ะ...
คุณลุงรู้มั้ยคะว่า ตอนนี้แม่เปลี่ยนไปมาก
ท่านดีกับหนูมากและหนูก็รักท่านเหมือนแม่จริงๆ ของหนู
หนูไม่อยากให้ท่านตายด้วยยาพิษ ของหนูเลย..."
คุณหวางพรายยิ้ม ผงกศีรษะและกล่าวว่า
"ลี่ลี่เอ๋ย...ไม่มีอะไรต้องกังวล ลุงไม่เคย ให้ยาพิษอะไรแก่หนูเลย
สมุนไพรที่ให้ไปเมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพวกวิตามินที่บำรุงร่างกาย...   ยาพิษอย่างเดียวนั้นอยู่ที่จิตใจและทัศนคติของหนูที่มีต่อแม่สามีต่างหาก และนั่นก็ได้รับการชำระล้างหมดแล้วด้วยความรักทั้งหมดทั้งมวลที่หนูมอบให้ท่าน"
นิทานเรื่องนี้ เป็นเพียงอุทาหรณ์ที่เห็นได้ชัด ซึ่งอาจเกิดกับใครก็ได้ ซึ่งบอกให้รู้ว่า  คนเราทุกคน เมื่อให้แต่สิ่งที่ดีแก่ผู้อื่น ความดีนั้นย่อมจะกลับคืนมาสู่ตนเอง ขอเพียง เปิดใจให้กว้าง ยอมรับและพร้อมที่จะทำความดีด้วยความจริงใจ

นิทาน พระเจ้าสร้างมา

ดิฉันมีเรื่อง พระเจ้าสร้างมา   มาเล่าให้ฟัง

ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลก
พระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า
'วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้น
ในฐานะของวัว เพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน  แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว 50 ปี'
วัวย้อนกลับว่า
'ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปีน่ะหรือ?
ฮึ! เมิน เสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ'
เอาคืนไปเลย 30 ปีถ้าได้ก็โอเค'
และพระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะของสุนัข
หน้าที่ของเจ้าคือ นั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา
แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปี'
สุนัขได้ฟัง ก็พูดขึ้นว่า
'นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี!
ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้
ขอคืนชีวิต 10 ปีก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะของลิง
หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน
และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิง หลอกล่อคนให้หัวเราะ
แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปี'
ลิงได้ฟัง จึงตอบว่า
'อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ ตั้ง 20 ปีนะเหรอ?
ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่10 ปีก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ
กิน นอน เที่ยว เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ
เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี'
มนุษย์ได้ฟัง ก็ต่อรองว่า
'ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปีนะเหรอ
เอาอย่างนี้ดีกว่า เราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี
และลิง 10 ปี มาเป็นของเรา เพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม?'
พระเจ้าตอบตกลง
นั่นเป็นเหตุผลว่า...ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรกจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่นและไม่ต้องทำอะไรมากมาย
30 ปี ต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว
10 ปี ต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา
10 ปี ต่อมา เป็นปู่/ย่า ตา/ยาย ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆเพื่อหลอกล่อหลาน!

 

นิทาน...เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง

ดิฉันมีเรื่อง ลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง    มาเล่าให้ฟัง

อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนาอาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ
อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ" อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า "คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง" แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดู ด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า"
เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามหากไร้คู่แข่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน  ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม
นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น
คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ  แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ  การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม  กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน  การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม  แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้จริง

นิทาน สายลมและแสงตะวัน

ดิฉันมีเรื่อง สายลมและดวงตะวัน มาเล่าให้ฟัง

เรื่องก็มีอยู่ว่า  สายลมแวะผ่านมาทักทายดวงตะวันในสายวันหนึ่งที่ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้ม   ทั้งคู่คุยกันได้ไม่นานนัก ก็เกิดการโต้เถียงกันขึ้น  เพราะต่างคนก็คิดกันว่า ตนคือผู้ทรงพลังมากที่สุด    ในขณะที่กำลังโต้เถียงกันอยู่นั้นเอง  บังเอิญมีเด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านมา   ทั้งสองจึงตกลงกันว่า  ผู้ที่สามารถทำให้เสื้อคลุมของเด็กชายคนนั้นหลุดออกไปได้   จะกลายเป็นผู้ชนะ   และเป็นผู้ที่ทรงพลังมากที่สุดไปทันที   สายลม เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนด้วยการพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่ตนจะสามารถทำได้   หวังจะให้เสื้อคลุมของเด็กชายหลุดออกจากร่างไป    แต่ยิ่งสายลมพัดแรงมากขึ้นเท่าใด  เด็กชายก็ยิ่งออกแรงดึงเสื้อให้กระชับตัวมากขึ้นเท่านั้น  
จนสายลมเริ่มเหนื่อยอ่อน……… หมดกำลัง……………และต้องหยุดพัดไปในที่สุด
คราวนี้จึงเป็นโอกาสของ ดวงตะวัน บ้าง
มันค่อย ๆ โผล่ออกมาจากกลุ่มเมฆ   แล้วสาดแสงอันแรงร้อน……ส่องไปยังร่างของเด็กชายคนนั้น   แสงตะวันทำให้เด็กน้อยเริ่มรู้สึกร้อนขึ้น……ร้อนขึ้น……..ร้อนขึ้น
แต่ดวงตะวันก็ยังคงสาดแสงต่อไปไม่หยุดยั้ง
จนในที่สุด เด็กชายทนร้อนต่อไปไม่ไหว  จึงต้องถอดเสื้อคลุมออกจากตัว   ดวงตะวันจึงหันไปยิ้มให้สายลม  ก่อนที่จะบอกว่า  "ฉันคือผู้ชนะ"   นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…….
การใช้ความรุนแรงไม่สามารถทำให้ได้มาซึ่งชัยชนะเสมอไป……….

นิทาน ใบไม้

วันนี้ดิฉันมีเรื่อง นิทานใบไม้  มาเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...  ครั้งนั้นดอกไม้และใบไม้ยังไม่ได้รวมอยู่บนต้นเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้   หากแยกกันอยู่  อีกทั้งเหล่าใบไม้ก็ไม่ได้มีแต่สีเขียว    หากแต่มีหลากหลายสีสันงดงามนัก    ทว่าดอกไม้กลับมีเพียงสีขาวสีเดียวเท่านั้น   เวลานั้นใบไม้รวมอยู่กับหมู่ใบไม้ด้วยกัน เต็มไปด้วยความร่าเริง  สนุกสนาน และเป็นอิสระ   ต่างจากดอกไม้ที่อยู่อย่างเงียบเหงา เดียวดาย   แม้จะอยู่รวมกัน  คุยกับหมู่ดอกไม้ด้วยกัน
แต่ดอกไม้แต่ละดอกต่างมีความคิด และวาดฝันเป็นของตัวเอง
เธอเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
บางครั้งที่เธอมองไปที่ใบไม้  แล้วนึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสีสันสวยงามนั้นบ้าง  แต่ดอกไม้ดอกเล็กนั้น   มีเสียงเบาเกินกว่าที่จะเรียกใบไม้ให้หันมา    กระทั่งวันหนึ่ง...ใบไม้นึกเบื่อ
สีสัน ของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล   พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้น้อยสีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งเข้า   ใบไม้ไม่รู้จักสีขาวมาก่อน………….. เขาไม่รู้ว่าสีขาวเป็นอย่างไร   เพราะใบไม้ต่างก็มีสีสันกันทุกใบ   ใบไม้เกิดหลงใหลในความอ่อนหวานละมุนละไมของดอกไม้น้อยในทันที   และในขณะเดียวกัน  ใบไม้ก็มองเห็นความเหงาแฝงอยู่ในความอ่อนหวานนั้นด้วย   เขาจึงเข้าไปถามเธอว่า...
"ดอกไม้ เธอช่างมีสีขาวสวยเหลือเกิน  แต่ทำไมเธอจึงดูเงียบเหงาอย่างนี้เล่า"   ดอกไม้น้อยแหงนมองใบไม้กิ่งใหญ่แข็งแรงก่อนจะตอบกลับไปว่า    "สีขาวซีดอย่างนี้หรือสวย  ฉันอยากจะมีสีสันอย่างเธอบ้างจัง   มันคงจะทำให้ฉันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก" 
ใบไม้ได้ฟังแค่นั้นก็รู้สึกราวกับว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเหลือ   ดูแล และปกป้อง ดอกไม้น้อยดอกนี้  เขาจึงบอกเธอไปว่า .………  "มาซิดอกไม้ ฉันช่วยเธอได้นะ  ถ้าเพียงเธอมาอยู่กับฉัน  ฉันจะทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นเอง"  ดอกไม้น้อยไม่รอช้ารีบตอบตกลงในทันที  เมื่อดอกไม้ไปอยู่กับใบไม้แล้ว  เขาก็ให้การดูแลเธออย่างดีตามสัญญา   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเธอ  ถ่ายทอดออกมาเป็นสีสันสวยงามให้กับดอกไม้    แล้ววันหนึ่ง
เมื่อดอกไม้น้อย มองลงไปในลำธาร   เธอก็เห็นเงาตัวเองเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีสวยที่มีชีวิตชีวา  หากเมื่อเหลียวไปมองที่ใบไม้เล่า  เขากลับกลายเป็นสีเขียวเพียงสีเดียว ทว่าดูอบอุ่นยิ่งนัก    ดอกไม้น้อยเห็นดังนั้น จึงถามใบไม้ไปว่า "ใบไม้  นี่ฉันแย่งสีสันในชีวิตเธอมารึเปล่านะ"
ใบไม้ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า  "ไม่หรอก  ทุกวันนี้เธอคือสีสันในชีวิตฉัน   ฉันไม่ต้องการสีสันอะไรอีกแล้ว  ฉันมีเพียงความสบายใจที่ได้เห็นเธอมีความสุข"   จากนั้นเป็นต้นมาดอกไม้กับใบไม้ก็อยู่ร่วมกันเป็นต้นไม้ที่อบอุ่น   บนรากของความรักที่หยั่งลึกลงไปในผืนดินของหัวใจ   ด้วยเหตุนี้ ใบไม้จึงมีสีเขียว….. สีเขียวที่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา  เพราะเมื่อใดที่เรามองดูสีเขียว  เราจะรับรู้ได้ถึงความสบายใจของใบไม้  ที่เห็นดอกไม้น้อยของเขามีความสุข   ส่วนดอกไม้ขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ อ่อนหวานละมุนละไมนั้น   เธอคงไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป  จึงยังคงมีดอกไม้สีขาวให้เราเห็นมาจนทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน... นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า   เราอาจจะหาความหมายของทุกสิ่งมาตลอดชีวิต  แล้ววันหนึ่งเราก็พบว่า
เพียงแค่มีบางสิ่ง………….ชีวิตก็มีความหมายแล้ว

นิทาน แมวกับสุนัขจิ้งจอก

วันนี้นี้ดิฉันมีเรื่อง แมวกับสุนัขจิ้งจอก มาเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในยุคที่สัตว์ทุกตัวยังพูดได้อยู่
ครั้งนั้นแมวกับสุนัขจิ้งจอกเป็นเพื่อนกัน  อยู่มาวันหนึ่งทั้งแมวและสุนัขจิ้งจอกมีโอกาสโคจรมาพบกันเข้า  ต่างตัวก็พูดคุยกันถึงปัญหาที่มันเจออยู่ในแต่ละวัน  เจ้าแมวบ่นขึ้นว่า
"เพื่อนเอ๋ย ฉันนะแสนจะหน่ายกับการที่ต้องคอยวิ่งหนีคู่ปรับอยู่เรื่อยเลย "  
สุนัขจิ้งจอกได้ยินดังนั้นก็ต้องถาม "อ้าว ! ทำไมล่ะ"
 "แหม ถ้าไม่หนี  ฉันก็โดนมันฆ่าตายไปแล้วน่ะซิ"  
แมวตอบ ไม่รู้ว่านึกในใจว่าไม่น่าถามเลยหรือเปล่านะคะ
"โธ่เอ๋ย  เรื่องจิ๊บจ๊อยเนี่ยนะ ฉันน่ะไม่เคยต้องมากังวลเลย"   สุนัขจิ้งจอกได้ทีโม้ให้แมวฟังซะเลย
"ไอ้ฉันน่ะ มีเล่ห์เหลี่ยมมากมายที่จะหลอกหล่อมัน ก่อนที่มันจะลงมือทำร้ายฉัน"    
 ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ เพื่อนเกลอทั้งสองก็พากันเดินเรื่อย ๆ เข้าไปในป่าลึก สองข้างทางจะมีต้นไม้ใหญ่ที่มีนกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก พวกนกต่างส่งเสียงจุ๊บจิ๊บ ๆ พูดคุยกันอย่างมีความสุข
"นี่ เจ้าแมวน้อย ฉันจะแสดงเล่ห์เหลี่ยมของฉันให้แกดูซัก 2-3 อย่างไหมล่ะ"
สุนัขจิ้งจอกพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสือตัวหนึ่งเดินผ่านมายังบริเวณนั้น  เจ้าแมวเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งจู๊ดขึ้นไปหลบอยู่บนต้นไม้อย่างเคย ส่วนเจ้าสุนัขจิ้งจอก มัวแต่คิดว่าจะหลอกเสืออย่างไรดี ตัวเองถึงจะเอาตัวรอดได้  มัวแต่ชักช้ากว่าจะคิดออก ก็โดนเจ้าเสือจับกินเป็นอาหารไปซะแล้ว  นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
"การคุยโม้โอ้อวด  ไม่เคยให้ผลดีกับใคร"

นิทาน สายฝนกับความรัก

ท่านผู้อ่านและแฟนๆประจำ Blog ในวันนี้ดิฉันมีเรื่อง สายฝนกับความรัก มาเล่าให้ฟัง

เมื่อก่อนนี้ ท้องฟ้า แผ่นดิน และผืนน้ำเป็นเพื่อนรักกันทั้งสามอยู่ใกล้ชิดกันจนกระทั่งโลกได้กำเนิดพืชและสัตว์ขึ้นแผ่นดินและผืนน้ำก็มัวแต่ดูแลเอาใจใส่พืชและสัตว์จนละเลยและไม่สนใจท้องฟ้า ท้องฟ้าก็เริ่มรู้สึกน้อยใจและถอยตัวห่างออกไป....
... ห่างออกไปทุกที ทุกทีจนถึงวันที่มีนกตัวแรกออกโบยบิน
แผ่นดินและผืนน้ำจึงได้รู้ว่าท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล...
แผ่นดินและผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้าแต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมากเลยไม่ได้ยินนกตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกกับท้องฟ้า ...นกก็บินสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น และส่งเสียงเรียก  แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป...ไปไม่ถึงท้องฟ้าแต่นกก็สัญญาว่า....ต่อไปนี้นกทุกตัวจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า    เพื่อนำข่าวจากแผ่นดินและผืนน้ำไปบอกผืนน้ำและแผ่นดินรู้สึกเศร้าใจที่เพื่อนได้ห่างออกไปไกล
และคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน....   ผืนน้ำพยายามยกตัวสูงจนตั้งตระหง่านแต่นั่นก็ยังสูงไม่พอ ยังไม่ใกล้ท้องฟ้า
พระอาทิตย์ซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาโดยตลอดก็บอกกับทั้งสองว่า"เราอาจจะช่วยพวกเจ้าได้" พระอาทิตย์จึงอาสาช่วยโดยการส่องแสงลงมายังผืนน้ำและแผ่นดิน   ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ลอยตัวไปรวมกันเป็นก้อนเมฆ  ลอยขึ้นไปบอกข่าวแก่ท้องฟ้า เล่าเรื่องราวต่าง ๆเป็นรูปตามที่ แผ่นดินและผืนน้ำได้พบเจอมา
และบอกว่าแผ่นดินและผืนน้ำคิดถึงมากอยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือนเมื่อก่อน    ท้องฟ้าได้รับรู้เรื่องราว ก็รู้สึกเสียใจแต่ก็กลับลงไปไม่ได้    "ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเติบโตขึ้นและอยู่สูงเกินไป ลงไปไม่ได้แล้ว
ฉันได้แผ่ขยายตัวเองจนกว้างขวางที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกล ๆ   และโอบกอดแผ่นดินและผืนน้ำไว้อย่างอ่อนโยนเท่านั้น  และถึงแม้จะมีนกบินมาส่งข่าวแต่ฉันก็ยังคิดถึงแผ่นดินและผืนน้ำ  และอยากจะบอกกับทั้งสองว่าฉันเองคิดถึงเพื่อนมากมายเพียงใด"    ก้อนเมฆก็ตอบว่า "อยู่บนนี้นาน ๆ ก็เหงาเหมือนกัน บางทีก็อยากกลับลงไปข้างล่างบ้าง "ท้องฟ้าเลยบอกว่า"ฉันก็เหงาเหมือนกัน แต่ว่าฉันกลับลงไปไม่ได้
แต่เจ้าลงไปได้นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งกลับลงไป
และความคิดถึงของฉันก็หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า"   จากนั้นก้อนเมฆทั้งหมดก็รวมตัวกันและรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้า  แล้วตกลงมาเป็นหยาดฝน ส่งความรักความคิดถึงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ จึงไม่แปลก
ถ้าเมื่อใดฝนตก แล้วเราจะรู้สึกคิดถึงคนที่เรารักคนที่เราผูกผัน .........และบางครั้งท้องฟ้าก็ส่งความเหงาลงมาด้วย.......

นิทาน ชายหนุ่มกับนกกระสา

ดิฉันมีนิทานเรื่อง ชายหนุ่มกับนกกระสา มาเล่าให้ฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... มีชายหนุ่มคนหนึ่งฐานะยากจน อยู่มาวันหนึ่งชายหนุ่มไปพบนกกระสาบาดเจ็บ  เนื่องจากถูกลูกศรของนายพราน ด้วยความสงสารเลยรักษาทำแผลให้แล้วปล่อยเจ้านกกระสาบินขึ้นฟ้าไป  ในคืนวันนั้นเองเมื่อเจ้าหนุ่มกลับมาถึงบ้าน เขาก็พบว่ามีสาวสวยนางหนึ่งยืนอยู่ที่หน้ากระท่อมของเขา
ยังไม่ทันที่เขาจะจีบ สาวเจ้าก็เอ่ยว่า "ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะพี่รูปหล่อ ตัวน้องเป็นภรรยาของพี่ค่ะ"  ชายหนุ่มประหลาดใจและกล่าวตอบว่า "อ้ายคนจนจำต้องทนปั้นรถถีบ ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูน้องสาวหรอก"   สาวสวยกล่าวว่า "ไม่ต้องห่วงหรอกพี่ชาย น้องมีข้าวสารติดตัวมาหลายกระสอบ" ว่าแล้วหล่อนก็เข้าครัวทำกับข้าว  ฝ่ายเจ้าหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็เลยตามเลยรับสาวน้อยเป็นภรรยาและอยู่กินด้วยกันอย่างมีความสุข ...อยู่มาวันหนึ่งภรรยาสาวขอร้องให้ชายหนุ่มสร้างห้องทอผ้าให้เธอ เมื่อชายหนุ่มสร้างเสร็จ    เธอขอให้ชายหนุ่มสัญญาว่า "ระหว่างที่เธอกำลังทอผ้าห้ามชายหนุ่มเข้ามารบกวนเป็นอันขาด"
ชายหนุ่มก็รับคำ หลังจากนั้นเธอก็หายเข้าไปในห้องเป็นเวลาหลายคืน และกลับออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน
ร่างกายผอมซูบลงจนเจ้าหนุ่มตกใจ สาวสวยยืนผ้าที่หล่อนทอเสร็จให้เจ้าหนุ่มดู ซึ่งเป็นผ้าที่สวยงามมาก   อย่างที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อน หญิงสาวบอกให้ชายหนุ่มนำผ้าไปขายในตลาด ซึ่งเขาก็ขายได้ราคาแพง  หลังจากนั้นฐานะของชายหนุ่มก็ร่ำรวยขึ้นทันตาเห็น ผ่านไปหลายเดือนเจ้าหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวผิดสัญญาแอบดูภรรยาทอผ้า แต่แทนที่จะพบภรรยาตัวเอง กลับกลายเป็นนกกระสากำลังดึงขนตัวเองออกมาทอผ้า
เมื่อนกกระสาเห็นชายหนุ่มผิดสัญญาจึงบอกกับว่า ตัวหล่อนนั้นเป็นนกที่เจ้าหนุ่มช่วยเหลือไว้  ซาบซึ้งในความมีเมตตาเลยมาตอบแทนบุญคุณ แต่วันนี้ชายหนุ่มผิดสัญญาหล่อนจึงจำใจต้องขอลา   ว่าแล้วหล่อนก็ให้ผ้าผืนหนึ่งกับเจ้าหนุ่มไว้เพื่อดูต่างหน้า แล้วก็บินหายลับไปไม่กลับมาอีกเลย  

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ควรจะทำดีให้สม่ำเสมอ ชายหนุ่มทำดีมีเมตตาในตอนแรกช่วยเหลือนกที่บาดเจ็บ เลยได้รับผลดีตอบแทน  แต่เมื่อเขาได้ดีแล้ว กลับผิดสัญญา เลยต้องสูญเสียภรรยาไป   เหมือนกับหลายคนเมื่อมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จมีฐานะร่ำรวยนิสัยใจคอเปลี่ยนไป   ลืมความดีที่ตัวเองเคยมีก่อนที่จะร่ำรวยถูกไป สุดท้ายก็ตกต่ำลง เราจึงควรจะรักษาความดีไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ...

นิทาน คุณให้หรือทำอะไร เพื่อสังคมบ้าง

ดิฉันมีเรื่อง คุณให้หรือทำอะไร เพื่อสังคมบ้าง
มาเล่าให้ฟัง

มีชาวเดนมาร์คคนหนึ่ง นอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก เขาก็ตกลงไปด้วย
นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงนรกแล้ว"
ที่นั่นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อยมีคุณค่าทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าก็บอกว่า "นี่สัตว์นรก"
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
... นางฟ้าบอกว่า ที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้
แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเอง
คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที...
อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก
พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
จึงผอมโซเพราะอดอาหาร
ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ
แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้
นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงสวรรค์แล้ว"
ห้องที่สองนี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหารประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก
มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่า "นี่เทวดาบนสวรรค์"
แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
... ดูว่าเขากินอาหารอย่างไร ทั้งๆ ที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกับที่นรก
"เอ... ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก? ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง"
พอดูดีๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ เขาตักอาหารด้วยช้อนยาวๆ
เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้
ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย
สรุปว่า... ที่นรกนั้นคนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น
แต่ที่สวรรค์นั้น... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน
... ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคม...