Monthly Archives: October 2011

นิทาน คุณทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง

ดิฉันมีเรื่อง คุณให้หรือทำอะไร เพื่อสังคมบ้าง
มาเล่าให้ฟัง

มีชาวเดนมาร์คคนหนึ่ง นอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก เขาก็ตกลงไปด้วย
นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงนรกแล้ว"
ที่นั่นเป็นห้องใหญ่ๆ มีโต๊ะยาวๆ
บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อยมีคุณค่าทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าก็บอกว่า "นี่สัตว์นรก"
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลก
แต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
... นางฟ้าบอกว่า ที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้
แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาวหนึ่งเมตรตักอาการกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเอง
คนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที...
อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด
เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก
พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
จึงผอมโซเพราะอดอาหาร
ทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ
แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงในปากของตนเองได้
นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่ง แล้วบอกว่า "ถึงสวรรค์แล้ว"
ห้องที่สองนี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหารประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก
มีเก้าอี้รอบ มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่า "นี่เทวดาบนสวรรค์"
แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
... ดูว่าเขากินอาหารอย่างไร ทั้งๆ ที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาวหนึ่งเมตรเหมือนกับที่นรก
"เอ... ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก? ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง"
พอดูดีๆ อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์
คือคนข้างหนึ่งของโต๊ะ เขาตักอาหารด้วยช้อนยาวๆ
เอาไปป้อนใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้
ก็เลยได้กินกันทุกคน อยู่อย่างสุขสบาย
สรุปว่า... ที่นรกนั้นคนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง
คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ โดยไม่คิดถึงคนอื่น
แต่ที่สวรรค์นั้น... มีการช่วยเหลือกัน มีความรักสามัคคีกัน
คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย
จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน
... ตื่นขึ้นมาแต่ละวันอย่าถามว่าจะได้อะไรจากสังคม
แต่จงถามให้มากว่าจะให้อะไรกับสังคม...

องค์ประกอบของการบริหารทรัพยากรบุคคล

การบริหารทรัพยากรบุคคลให้บรรลุเป้าหมาย แล้วต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ แต่โดยทั่วไปมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 4 ประการ ก็คือ

สรรหา คือการเสาะแสวงหา เลือกสรรคนดีมีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถเหมาะกับงาน
พัฒนา พยายามทำให้คนดี มีความรู้ มีความสามารถเพิ่มขึ้น ตลอดจนทำให้มีทัศนคติ มีพฤติกรรมที่ดีในการทำงาน
รักษาไว้ พยายามทำให้คนทำงานรู้สึกพอใจในการทำงาน ได้รับความดีความชอบด้วยความเป็นธรรม มีความสุขในที่ทำงาน ไม่คิดโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
ใช้ประโยชน์ คือการใช้คนให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ใช้คนให้ตรงกับงาน ตรงกับความรู้ความสามารถ ไม่เอารัดเอาเปรียบบริษัทหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่น
หากคุณลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า คุณเป็นคนโมโหร้ายหรือเปล่า
สังเกตดูสิว่า เวลาโมโหทีไรเป็นต้องระเบิดอารมณ์ทั้งคำพูดและการกระทำ เช่น ด่าว่า ทำลายข้าวของ หรือลงมือลงไม้โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แล้วมานั่งเสียใจภายหลังว่าไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใจเย็นลงได้  โดยกรมสุขภาพจิตมีคำแนะนำดังนี้
         ถ้าคุณรู้สึกโกรธ พยายามบอกตัวเองให้หยุดคิดสักอึดใจหนึ่งก่อน ช่วงนี้ให้พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ พร้อมทั้งนับหนึ่งถึงสิบในใจไปด้วย     ถ้าเป็นไปได้ควรหลบเลี่ยงให้พ้นจากบุคคลหรือสถานการณ์ที่ทำให้โกรธชั่วคราว เพราะมันจะช่วยลดอารมณ์โกรธให้น้อยลง และตัดโอกาสที่คุณจะทำอะไรรุนแรงลงไปได้ หลังจากนั้น ให้ระบายอารมณ์โกรธในทางที่เหมาะสม เช่น เตะลูกฟุตบอล ชกกระสอบทราย ซักผ้าแล้วขยี้แรงๆ วิ่งไกลๆ ให้ได้เหงื่อ เป็นต้น จะช่วยสลายความโกรธไม่ให้สะสมอยู่ในใจ
           นอกจากนี้คุณควรหาทางผ่อนคลายความเครียดเป็นประจำทุกวัน เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ ร่างกายจะได้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า จิตใจแจ่มใส ไม่หงุดหงิดโกรธง่ายอย่างแต่ก่อน และถ้าฝึกสมาธิได้ก็จะเป็นการดี จิตใจของคุณจะสงบเยือกเย็นลงกว่าเดิม แต่ถ้าลองทำดูแล้วไม่ได้ผลก็ควรไปหาแพทย์ เพื่อรับการรักษาต่อไป
           การเป็นคนโมโหร้าย นอกจากตัวคุณเองไม่มีความสุขแล้วจะพลอยทำให้คนใกล้ชิดรอบข้างเดือดร้อน หรือไม่มีความสุขตามไปด้วย
          โปรโมตลูกน้องให้ได้ดี   การโปรโมตลูกน้องให้มีตำแหน่งที่สูงขึ้นหรือเพิ่มเงินเดือนให้นั้น ส่วนมากเกิดจากสถานการณ์บังคับ คือลูกน้องมีข้อต่อรองที่เป็นต่อ เช่น จะยกทีมออก หรือลาออกไปอยู่กับคู่แข่ง ลำพังหัวหน้าหรือบริษัทเองไม่มีความคิดที่จะเพิ่มรายจ่ายในส่วนนี้หรอก โดยเฉพาะในสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างนี้

แต่ถ้าบริษัทมีนโยบายให้คุณเป็นหัวหน้า ช่วยคัดเลือกว่าจะส่งเสริมพนักงานคนไหน คุณจะทำอย่างไรดี เพราะถ้าเลือกไม่ดี ได้คนไม่เหมาะสมมา (หรือเอาคนของตัวเองขึ้นมา) ผลงานย่อมไม่ได้ตามที่ต้องการแน่ และคนดีๆ คนอื่นอาจจะหมดกำลังใจทำงาน การบริหารเกิดความยุ่งยาก ไม่มีใครให้คามร่วมมือ เกิดความระส่ำระสายแบ่งพวกแบ่งฝ่ายไปทั่วองค์กร
การเลือกโปรโมตคนนอกจากจะดูที่นิสัยใจคอ และบุคลิกภาพเหมาะกับตำแหน่งแล้ว ความรู้ความสามารถที่พร้อมจะทำงานนั้นได้เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง   คนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าหรือรับผิดชอบงานใหญ่โตนั้น จะต้องวิเคราะห์งานเป็น สามารถคิดงานใหม่ สานงานเก่า ไม่ใช่รอคำสั่งอย่างเดียว    สามารถทำงานประจำและงานจรจนสำเร็จลุล่วงตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่ใช่พอเป็นหัวหน้างานแล้วทำตัวยุ่งจนงานไม่เสร็จสักอย่าง อย่าลืมว่าตำแหน่งสูงขึ้นก็ต้องรับผิดชอบงานกว้างขึ้น ต้องบริหารเวลาเป็น เพราะจะมีงานนอกเหนือความรับผิดชอบมาให้ทำอยู่เรื่อยๆ
         หัวหน้างานควรผ่านการทำงานชนิดนั้นมาก่อน จะได้รู้ว่าทำอย่างไร มีรายละเอียด ขั้นตอนอย่างไรบ้าง ต้องรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร ไม่ใช่เอาใครจากที่ไหนมาก็ไม่รู้ ยิ่งประเภทจอมโปรเจกต์ วาดฝันสวยหรูแต่ไม่เคยลงมือทำนะ จะทำให้ลูกน้องหรือผู้ร่วมงานอึดอัดใจเปล่า ๆ        หัวหน้างานต้องทำงานเป็นทีม รู้วิธีดึงความสามารถของลูกน้องมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับงาน รู้จักพูดจูงใจคน นอกจากนี้ต้องประสานงานกับฝ่ายอื่นได้ดี ไม่ดูถูกคนอื่น ยกย่องให้เกียรติทุกคน ไม่ใช่ดีแต่แผนกของตัวเอง เข้าข้างแต่แผนกของตัวเอง แต่ไม่ให้ความร่วมมือช่วยเหลือฝ่ายอื่น พายเรือคนละทิศแบบนี้สักวันบริษัทก็ตรงอยู่ตรงนั่นเอง    
         คนจะเป็นใหญ่เป็นโตต้องรู้จุดดีจุดด้อยของตัวเอง พร้อมจะหาคนมาช่วยเสริมจุดด้อยโดยไม่รู้สึกเสียหน้า คนที่เอาแต่เขม่นหรือหมั่นไส้คนที่เก่งกว่า ไม่สมควรให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าเด็ดขาด เพราะจะทำให้ลูกน้องเก่งๆ หนีหมด
หัวหน้างานต้องมองภาพรวมเป็น รู้เป้าหมายใหญ่คืออะไร เป้าหมายรองอยู่ไหน ไม่ใช่มองแต่ผลสำเร็จเล็กๆ แคบๆ ในส่วนของตนเท่านั้น ต้องสนับสนุนงานส่วนอื่นที่จะทำให้เป้าหมายใหญ่บรรลุผลสำเร็จร่วมกันด้วย    ยิ่งตัวคุณเองซึ่งมีหน้าที่เลือกคนมาโปรโมตด้วยแล้ว ต้องมองทั้งภาพกว้างภาพไกล รอบคอบและยุติธรรม มองประโยชน์ขององค์กรเป็นที่ตั้ง จะได้เลือกคนไม่ผิด    คนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้างานหรือรับผิดชอบงานใหญ่ได้นั้น จะต้องวิเคราะห์งานเป็นสามารถคิดงานใหม่สานงานเก่า ไม่ใช่รอแต่คำสั่งอย่างเดียว

เกาให้ถูกที่คันกับการบริหารองค์กร

หัวใจสำคัญของการพัฒนาบุคลากรในองค์กรต่างๆไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของเครื่องมือหรือวิธีการที่นำมาใช้ในการพัฒนาเท่านั้นแต่ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรได้พัฒนาบุคลากรถูกที่ถูกจุดหรือไม่ ถ้าจะพูดง่ายๆแบบภาษาชาวบ้านก็คือ เกาถูกที่คันหรือไม่ หลายองค์กรได้นำเอาเครื่องมือการบริหารจัดการที่ทันสมัยจากต่างประเทศเข้ามาใช้ แต่สุดท้ายปัญหาการบริหารคนก็ยังคงมีอยู่เหมือนกัน เพราะจัดยาไม่ตรงกับโรคหรือไม่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของโรคคืออะไร  สรุปได้ว่า การบริหารที่สำคัญในการร่วมงานกับลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ก็คือการบริหารใจลูกทีม ซึ่งทำได้ไม่ยาก ไม่ต้องลงทุน แต่คนเป็นหัวหน้าต้องมีใจให้ลูกน้องก่อน ตามด้วยการหมั่นสื่อสาร เพื่อสร้างความผูกพันทางใจอย่าให้จืดจาง  การบริหารใจ(คนอื่น)ทำไม่ยากอย่างที่คิด แต่ต้องเริ่มที่ใจ (ตัวเอง) ก่อน

วันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

ความ สำเร็จในชีวิตไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง

นิทาน..ลี่ลี่

ดิฉันมีเรื่องเล่าของหญิงสาวชาวจีนนามว่า  ลี่ลี่    มาเล่าให้ฟัง

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าลี่ลี่   เมื่อเธอแต่งงานจึงได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีและแม่สามี...ภายในเวลาอันสั้นลี่ลี่ก็พบว่าเธอไม่สามารถเข้ากับแม่สามีได้เลย  เป็นเพราะ บุคลิกของทั้งคู่ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...  ลี่ลี่ทนนิสัยหลายอย่างของแม่สามีไม่ได้  ฝ่ายแม่สามีก็ได้แต่วิพากษ์ วิจารณ์ลี่ลี่เสมอมา    วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน  ลี่ลี่และแม่สามี ทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ตามธรรมเนียมจีน สะใภ้จะต้องก้มหัว และเชื่อฟังแม่สามี ในทุกเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงนี้นำมาซึ่งความทุกข์โศกแก่ผู้เป็นสามีเป็นอย่างยิ่ง...   ในที่สุดวันที่ลี่ลี่หมดสิ้นความอดทนได้มาถึง จึงตัดสินใจที่จะทำอะไร บางอย่าง เธอตรงไปหาคุณหวางเพื่อนรักของพ่อที่ขายสมุนไพร หลังจาก เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง เธอจึงถามว่า พอจะหายาพิษอะไรสักอย่าง เพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลในคราเดียวได้ไหม  คุณหวางคิดอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดจึงกล่าวกับลี่ลี่ว่า ลุงจะช่วยหนูเอง...แต่หนูต้องฟังคำของลุงและ เชื่อฟังสิ่งที่ลุงบอกนะ     ลี่ลี่ตอบรับทันทีว่า ค่ะ หนูจะทำตามที่คุณลุงแนะนำทุกอย่าง     คุณหวางหายไปหลังร้าน และกลับมาภายในเวลาชั่วครู่พร้อมกับห่อสมุนไพรในมือ
เขากล่าวกับลี่ลี่ว่า  ลุงจะจ่ายยาสมุนไพรให้หนูจำนวนหนึ่ง
แต่หนูต้องไม่ใช้ยาพิษนี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันนะ เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนสงสัย   หนูจงเติมสมุนไพรนี้ลงไปในหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ปรุงวันเว้นวัน   สารพิษนี้จะได้ค่อย สะสมอยู่ในตัวเธอ
... ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องพูดจากับเธอดีๆ และเชื่อฟังเธอด้วย
วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อแม่สามีตายลง จะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวหนูไงล่ะ     อย่าลืมนะ.. ห้ามเถียงเธอ...  แต่จงเชื่อฟังทุกอย่างที่เธอบอกและปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุด  ได้ยินดังนั้นลี่ลี่รู้สึกสุขใจยิ่งนัก จึงกล่าวขอบคุณและล่ำลาคุณหวางเพื่อกลับไป เตรียมอุบายสังหารแม่สามี...   วันและคืนผ่านไป...ลี่ลี่จะต้องปรุงอาหารจานพิเศษให้แม่สามีทุกวันเว้นวัน   เธอจดจำคำของคุณหวางได้เป็นอย่างดี...พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง  เชื่อฟังและดูแลเธอ เหมือนดั่งเป็นแม่ของตนเอง  เวลาล่วงไปได้หกเดือน
ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้หลังคาบ้านนั้นกลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง   ลี่ลี่ได้ฝึกตนให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก   ไม่เคยมีปากเสียงกันเลยตลอดหกเดือนนี้    แม่สามีดูเหมือนจะมีเมตตาต่อเธอและเข้ากันได้เป็นอย่างดี  ในขณะที่ทัศนคติของแม่สามีที่มีต่อลี่ลี่ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน  เธอเริ่มรักลี่ลี่ เหมือนกับลูกสาวแท้ๆของตัวเอง...
เธอพร่ำบอกเพื่อนฝูงและคณาญาติว่า
ลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ที่ดีที่สุดและยากจะหาใครมาเสมอเหมือน
บัดนี้ ลี่ลี่ และแม่สามีรักกันดุจ แม่-ลูกจริงๆ
แล้ว...ฝ่ายสามีลี่ลี่รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพนั้น
วันหนึ่ง...ลี่ลี่กลับไปหาคุณหวางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
เธอละล่ำละลักคุณลุงหวางคะ กรุณาช่วยหนูด้วยค่ะหนูไม่อยากให้แม่สามีตายแล้วค่ะ...
คุณลุงรู้มั้ยคะว่า ตอนนี้แม่เปลี่ยนไปมาก
ท่านดีกับหนูมากและหนูก็รักท่านเหมือนแม่จริงๆ ของหนู
หนูไม่อยากให้ท่านตายด้วยยาพิษ ของหนูเลย..."
คุณหวางพรายยิ้ม ผงกศีรษะและกล่าวว่า
"ลี่ลี่เอ๋ย...ไม่มีอะไรต้องกังวล ลุงไม่เคย ให้ยาพิษอะไรแก่หนูเลย
สมุนไพรที่ให้ไปเมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพวกวิตามินที่บำรุงร่างกาย...   ยาพิษอย่างเดียวนั้นอยู่ที่จิตใจและทัศนคติของหนูที่มีต่อแม่สามีต่างหาก และนั่นก็ได้รับการชำระล้างหมดแล้วด้วยความรักทั้งหมดทั้งมวลที่หนูมอบให้ท่าน"
นิทานเรื่องนี้ เป็นเพียงอุทาหรณ์ที่เห็นได้ชัด ซึ่งอาจเกิดกับใครก็ได้ ซึ่งบอกให้รู้ว่า  คนเราทุกคน เมื่อให้แต่สิ่งที่ดีแก่ผู้อื่น ความดีนั้นย่อมจะกลับคืนมาสู่ตนเอง ขอเพียง เปิดใจให้กว้าง ยอมรับและพร้อมที่จะทำความดีด้วยความจริงใจ

ผู้บริหารที่ครองใจ..ลูกน้อง

การบริหารงานให้บรรลุผลสำเร็จได้ต้องผู้บริหารต้องสามารถครองใจผู้ใต้บังคับบัญชา      ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวเข้าหากันทั้งสองฝ่ายทั้งในตัวของผู้บริหารเองและต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของคนซึ่งนั่นคือผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณเองที่ต้องดูแลและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดและสิ่งที่สำคัญคือต้องปฏิบัติต่อลูกน้องของเรา ซึ่งจะกล่าวไปแล้วลูกน้อง ก็คือ ลูกและน้องของเรา ซึ่งจะมีความแตกต่างกันทั้งการปลูกฝังเลี้ยงดูที่เราไม่สามารถจะเดาใจ หรือจะใช้วิธีการเดียวกันมาปฏิบัติเหมือนกันหมดทุกคน
ได้ เพราะทุกคนจะมีความต้องการ อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ที่แตกต่างกันไป จึงต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราผู้บริหารที่ดี จึงไม่ควรบริหารงานโดยยึดความพึงพอใจของตนเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโห ฉุนเฉียวง่าย ทำงานอย่างมีสติสัมปชัญญะในการประกอบการอาชีพ นั่นก็คือรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรมีความสำนึกในความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น จึงมีคำกล่าวที่ว่า ถ้าเราอยากมี นายที่ดี ลูกน้องของเราก็อยากมีเหมือนกัน เราไม่ชอบ นายแบบไหนลูกน้องเราก็ไม่ชอบเหมือนกัน

 การเป็นผู้บริหารที่ดีจึงต้องมีการยึดหลัก ธรรมบท 10 เป็นหลักในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างความเชื่อถือ ศรัทธาให้เกิดขึ้นได้ ธรรมบท 10 ที่ผู้นำพึงมี ได้แก่
กาย 3. ได้แก่

1. การไม่ฆ่าสัตว์ 2. ไม่ลักทรัพย์ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม
วาจา 4. ได้แก่ 1. ไม่พูดปด 2. ไม่พูดหยาบ 3. ไม่พูดส่อเสียด 4. ไม่พูดเพ้อเจ้อ
ใจ 3. ได้แก่ 1. ไม่คิดอยากได้ทรัพย์ผู้อื่น-โลภะ 2. ไม่ผูกอาฆาต-โทสะ 3.มีความเห็นถูกต้อง-โมหะ
            ดังนั้น จะเห็นได้ว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จ มักจะคำนึงถึงเป้าหมายความสำเร็จ 3 ส่วน คือ เป้าหมายขององค์กร ของส่วนงานและของส่วนตัวหรือส่วนบุคคล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารใจคนให้ได้ หากไม่ได้ใจแล้วโอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจึงเป็นไปได้ยาก จึงของแนะนำเทคนิคการครองใจเพื่อสร้างงานและสร้างความสำเร็จเพื่อใช้เป็นนาวปฏิบัติสำหรับผู้บริหารที่ต้องการความสำเร็จ
เทคนิคการครองใจ ที่ผู้บริหารต้องปฏิบัติต่อลูกน้อง ดังนี้คะ
1. ต้องมีภาวะผู้นำสูง กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก กล้าให้การสนับสนุนเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าให้แก่ลูกน้อง ให้ความเป็นธรรม ไม่ลำเอียง อย่าเป็นผู้แบ่งพรรคแบ่งพวกเสียเอง ควรสร้างวัฒนธรรม การประจบด้วยผลงาน มากกว่าการประจบสอพลอ เพื่อขอเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง
2. การสั่งการและมอบหมายงานควรใช้มธุรสวาจา มีความสุภาพ ให้เกียรติผู้อื่นรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะอย่างตั้งใจ มีความอ่อนหวาน และให้กำลังใจ อย่าติ หรือตำหนิลูกน้องต่อหน้าผู้คนจำนวนมากหรือในที่สาธารณชนโดยเด็ดขาด และต้องกล่าวชมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเขาทำงานได้ดี
3. รักษาน้ำใจของลูกน้องและเพื่อนร่วมงานอย่าแก้ไขงานหนังสือบ่อยๆ ควรดูให้เสร็จในคราวเดียว แก้ซ้ำๆ ซากในหนังสือฉบับเดียวหากเกิดจากเราแก้ไขหรือเพิ่มเติมไม่ครบถ้วนก็จะต้องขอโทษเขา เพราะความผิดพลาดเกิดจากเรา ที่เป็นเหตุทำให้เขาต้องพิมพ์ใหม่ทำใหม่
4. รู้จักใช้งานด้วยความเกรงใจ และเข้าใจถึงความจำเป็นส่วนตัว เช่น ลูกน้องบ้านอยู่ไกล ก็ไม่ควรไม่ใช้งานในเวลาใกล้เลิกงานเพราะนอกจากคุณภาพของงานจะไม่ดีแล้วยังสร้างความกดดันให้แก่ลูกน้องอีกด้วย
5. ใช้คนให้เหมาะกับงาน(put the right man on the right job) ใครถนัดอะไรชอบอะไรให้เขาทำ เขาจะทำอย่างเต็มที่เพราะมีความสุขในการทำงานและสิ่งที่ได้คือผลงานจะออกมาดี หากให้ทำงานที่เขาไม่ถนัดไม่มีประสบการณ์ในด้านนั้นๆ มาก่อนนอกจากผลงานจะไม่เกิดแล้ว ยังต้องเสียทั้งเงินและเวลาอีกด้วย
6. อย่าทำลายบรรยากาศในการทำงานด้วยการระเบิดอารมณ์ใส่ลูกน้อง ต้องพิจารณาความผิดนั้น โดยแก้ไขที่ตนเอง ต้องเลิกนิสัย วางท่า วางอำนาจ จนใหญ่คับห้อง นอกจากไม่ได้ใจแล้วยังถูกนินทาลับหลังเสมอ จะขอความร่วมมือจากใครก็จะได้รับการปฏิเสธทันที
7. หากลูกน้องทำผิดในด้านใด ไม่ควรต่อว่าในทันที ต้องมาตรวจสอบดูว่า เราสั่งผิดหรือไม่ หากไม่เป็นเพราะเราสั่งผิด แต่เป็นเพราะเขาทำไม่ถูกก็ต้องมาสอนงานและแนะนำให้ถูกต้องอย่าให้เขาทำเองคิดเองสุดท้ายงานก็กกไม่ประสบความสำเร็จสักที
8. หากเอกสารที่ผ่านเราไปเกิดผิดพลาด ไม่ควรโทษลูกน้อง เพราะเราเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ที่ปล่อยให้เอกสารนั้นผ่านเราไป โดยมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น อย่าเซ็นต์ผ่านไปโดยไม่มีการตรวจสอบ หากผิดพลาดขึ้นมาจำไว้เลยว่า คุณนั่นแหล่ะคือคนแรกที่จะถูกตำหนิก่อนใคร
9. ทำตัวเป้นครูที่ดี แม่ที่ดี ต้องกล้าพูดกล้าสอน ในสิ่งที่ดี และเป็นตัวอย่างที่ดีหากผู้บริหารทำผิดระเบียบของหน่วยงานเสียเองแล้วคุณจะไปว่ากล่าวลูกน้องได้อย่างไร ดังนั้น จะสอนคนอื่นต้องสอนตัวเองให้ดีก่อน
10. ต้องปกป้อง สนับสนุน ลูกน้องที่ดีเมื่อเขาทำงานให้เราอย่างเต็มที่การพิจารณาความดี ความชอบก็ต้องเต็มร้อย เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานและเมื่อใดเขาทำผิดก็ต้องตักเตือนลงโทษลูกน้องที่ทำผิดอย่าปล่อยไว้ จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ดีไปเพราะทำผิด ก็ไม่ถูกลงโทษ จึงเป็นเยี่ยงอย่างแก่คนอื่นให้นำไปปฏิบัติบ้าง
11. ไปร่วมงานส่วนตัวของลูกน้องตามโอกาสอันควร เช่น งานศพญาติ งานบวช งานแต่ง
12. มีอารมณ์ขันอยู่เสมอ แต่ไม่พร่ำเพรื่อ วางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นหัวหน้า อย่าพูดส่อเสียด สองแง่สองง่าม
13. เป็นผู้ประสานรอยร้าวและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว
14. หมั่นพัฒนาตนเอง และเรียนรู้งานอยู่เสมอ ให้สมกับเป็นหัวหน้า มีใช่ต้องถามลูกน้องอยู่เรื่อยๆ จะปฏิเสธว่าตนเองไม่รู้ไม่ถนัดไม่ได้ เพราะเราเป็นหัวหน้ามิใช่ลูกน้อง ลูกน้องไม่รู้  เราต้องสอนงาน   หากเราไม่รู้ซะเองจะสอนงานใครได้ล่ะ จึงต้องรีบไขว่ขว้าหาความรู้อยู่เสมอ และต้องคิดเสมอว่า ไม่มีสิ่งใดจะยากเกินกว่าความสามารถของเรา
        หากท่านสมารถปฏิบัติได้ครบทั้ง 14 ข้อ  รับรองได้ว่าจะต้องเป็นผู้บริหารที่รักใคร่ของลูกน้องทุกคน.....เพราะท่านสามารถครองงานและครองใจได้อย่างเป็นผลสำเร็จยิ่ง และผลงานที่ท่านคาดหวังไว้ เขาจะทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กับงานอย่างเต็มที่

ทางออก ของการทำงานที่เราไม่ชอบ

หลายคนมีความฝันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบว่าอยากทำงานนั้น งานนี้ วาดฝันงานกันไว้ล่วงหน้า แต่พอถึงเวลาที่ต้องมาทำงานจริง ๆ เป็นอันต้องฝันสลาย เพราะเหตุผลหลาย ๆ ประการ และคงจะมีส่วนน้อยที่ได้ทำงานในฝัน และงานที่เรารัก แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ทำงานที่เรารักจะทำอย่างไรกัน จึงจำเป็นจะต้องมีแนวทางในการปรับทัศนคติเพื่อความสำเร็จในการทำงาน แน่นอนว่าเมื่อมาทำงานแล้วก็จะต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ เข้ามา อย่างปัญหาการทำงานที่ตัวเองไม่รักไม่ชอบ   ปัญหาในเรื่องของสถานที่ทำงาน เพื่อนร่วมงาน อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงาน ปัญหาจากผู้บังคับบัญชา ค่าตอบแทนรวมทั้งสวัสดิการที่พึงจะได้รับ ทำให้หลายคนเลือกที่จะลาออก จากที่เดิมไปอยู่ที่ใหม่ แต่ผลที่ได้คือ กลับเจอปัญหาต่าง ๆ ในที่ใหม่หนักกว่าที่เดิมเสียอีก ทำให้ต้องลาออกเพื่อไปหางานใหม่ต่อไปอีก เลยทำให้เสียความก้าวหน้าในงาน หรือเสียประวัติการทำงานไป เนื่องจากทำงานอยู่ในแต่ละองค์กรไม่นานนัก
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของการทำงานที่เราไม่ชอบ คือ ตั้งสติแล้วลองปรับทัศนคติใหม่ อย่ามัวแต่หนีปัญหา เพราะจะทำให้คุณเสียโอกาสหลาย ๆ อย่างเลยทีเดียว ซึ่งมีแนวทางในการคิดตามหลักอิทธิบาท 4 ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนในยุคสองพันกว่าปีที่แล้ว ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้จนถึงปัจจุบัน ดังนี้

1. ฉันทะ  ความพึงพอใจ รักในงานที่ทำ
ไม่ได้ทำงานที่รัก แต่ก็สามารถจะรักงานที่ทำได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าแม้แต่ท่านที่เป็นเจ้าของตำแหน่งงานนี้ ซึ่งต้องรับผิดชอบงานนี้อยู่โดยตรงยังไม่รักงานที่เราทำ ไม่เห็นความสำคัญในงานของเราเอง แถมยังดูถูกงานที่เรารับผิดชอบ แล้วท่านจะให้ใครเขามารักงานของเรา หรือเห็นความสำคัญในงานที่เราทำ ก็ในเมื่อเรายังดูถูกงานของเราเอง ตัวอย่างเรื่องเล่าที่อยากให้คิดตาม มีช่างก่ออิฐ 3 คนกำลังทำงานอยู่

ช่างคนที่ 1 ก่ออิฐไปด้วยความรู้สึก เบื่อหน่าย เซ็ง เฉื่อยชา

ช่างคนที่ 2 ก่ออิฐไปมองนาฬิกาไป คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาพักเสียที

ช่างคนที่ 3 ทำงานอย่างกระฉับกระเฉงว่องไว เอาใจใส่ในงาน

ถามช่างทั้ง 3 คนว่ากำลังทำอะไรอยู่

ช่างคนที่ 1 "กำลังก่ออิฐ"

ช่างคนที่ 2 "กำลังก่อกำแพง"

ช่างคนที่ 3 "ผมกำลังมีส่วนสำคัญในการสร้างโบสถ์และเป็นบุญของเขาที่ได้มาทำงานนี้"

งานของช่างทั้ง 3 คนก็เป็นงานเดียวกัน แต่ทัศนคติหรือวิธีคิดของช่างแต่ละคนไม่เหมือนกัน มองได้เลยว่าช่างคนไหนจะประสบความสำเร็จในอาชีพช่างมากกว่ากัน ดังนั้น คนคิดบวกชีวิตจะมีแนวโน้มไปทางดีขึ้นอยู่เสมอ ส่วนคนคิดลบชีวิตก็มักจะมีแนวโน้มไปในทางที่ตัวเองคิดเช่นเดียวกัน
2. วิริยะ  ความพากเพียร ขยันหมั่นเพียรในการทำงาน
เมื่อเริ่มรักงาน และเห็นความสำคัญของงานที่ทำ ท่านก็จะมีความมานะพยายามที่จะทำงานนั้นให้ประสบความสำเร็จอย่างดีที่สุด หรือรับผิดชอบงานนั้นอย่างเต็มกำลังความสามารถที่เรามีอยู่ และก็จะพยายามทำงานนั้นให้ดีที่สุดอยู่เสมอ ๆ
3. จิตตะ  ความเอาใจใส่ในงาน
เมื่อมีความมานะ อยากจะทำงานที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด เราก็จะมีความใส่ใจในงานที่เรารับผิดชอบ มีความตั้งใจจริง มีความเอาใจใส่ในงานของเรามากขึ้น และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้งานที่เรารับผิดชอบไปสู่ผลสำเร็จ
4. วิมังสา  ความหมั่นตริตรอง ค้นหาเหตุผลเพื่อพัฒนางานให้ดีขึ้น    มีการปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิม จนอาจนำมาสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน หรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ ที่ทำให้งานที่เรารับผิดชอบมีความรวดเร็วมากขึ้น มีคุณภาพในงานมากขึ้น หรือเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับงานของเรา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตนั่นเอง
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝาก    

  คำคมไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

นิทาน พระเจ้าสร้างมา

ดิฉันมีเรื่อง พระเจ้าสร้างมา   มาเล่าให้ฟัง

ในวันแรกที่พระเจ้าสร้างโลก
พระเจ้าได้สร้างวัวขึ้นคู่หนึ่ง และบอกกับวัวว่า
'วันนี้เราได้สร้างเจ้าขึ้น
ในฐานะของวัว เพื่อทำงานหนักกลางทุ่งนา ท่ามกลางแสงแดดจ้าทั้งวัน  แล้วเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาว 50 ปี'
วัวย้อนกลับว่า
'ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้ จะให้มีอายุยาวถึง 50 ปีน่ะหรือ?
ฮึ! เมิน เสียเถอะ ขอแค่มีอายุเพียง 20 ปี ก็พอแล้วล่ะ'
เอาคืนไปเลย 30 ปีถ้าได้ก็โอเค'
และพระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างสุนัขขึ้น และบอกกับมันว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะของสุนัข
หน้าที่ของเจ้าคือ นั่งอยู่ที่ประตูบ้านและเห่าเมื่อมีคนเข้ามา
แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืนถึง 20 ปี'
สุนัขได้ฟัง ก็พูดขึ้นว่า
'นั่งเฝ้าหน้าประตูบ้าน 20 ปี!
ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่ออะไรเช่นนี้
ขอคืนชีวิต 10 ปีก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างลิงขึ้น และบอกกับลิงว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะของลิง
หน้าที่ของเจ้าคือ สร้างความสนุกสนาน
และใช้เล่ห์เหลี่ยมของลิง หลอกล่อคนให้หัวเราะ
แล้วเราจะให้เจ้ามีอายุยืน 20 ปี'
ลิงได้ฟัง จึงตอบว่า
'อะไรนะ..ทำให้คนหัวเราะ ทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆ ตั้ง 20 ปีนะเหรอ?
ไม่เอาด้วยหรอก ขอคืนชีวิตไป 10 ปี เหลือแค่10 ปีก็แล้วกัน'
พระเจ้าตอบตกลง
วันต่อมา พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้น และบอกว่า
'เราสร้างเจ้าขึ้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์ หน้าที่ของเจ้าคือ
กิน นอน เที่ยว เล่นสนุกสนาน โดยไม่ต้องทำงานใดๆ
เราจะให้เจ้ามีชีวิต 20 ปี'
มนุษย์ได้ฟัง ก็ต่อรองว่า
'ชีวิตที่สบายเช่นนี้ แล้วท่านจะให้เรามีชีวิตแค่ 20 ปีนะเหรอ
เอาอย่างนี้ดีกว่า เราขอชีวิตที่วัวคืนชีวิตให้ท่าน 30 ปี สุนัข 10 ปี
และลิง 10 ปี มาเป็นของเรา เพื่อให้เรามีอายุยืนถึง 70 ปี ตกลงไหม?'
พระเจ้าตอบตกลง
นั่นเป็นเหตุผลว่า...ทำไมชีวิตของเราในช่วง 20 ปีแรกจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กิน นอน เล่นและไม่ต้องทำอะไรมากมาย
30 ปี ต่อมา ต้องทำงานหนักทั้งวัน เพื่อสร้างครอบครัว
10 ปี ต่อมา เกษียณอยู่ที่บ้าน เฝ้าหน้าบ้าน และตะคอกคนที่ผ่านไปมา
10 ปี ต่อมา เป็นปู่/ย่า ตา/ยาย ที่ต้องทำหน้าลิง และเล่ห์กลต่างๆเพื่อหลอกล่อหลาน!

 

ทำงานอย่างมืออาชีพ

เราจำเป็นต้องทำงานอย่างมืออาชีพเพื่อทุกคนที่ทำงานร่วมกับเรา เกิดความเคารพในตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ผู้จัดการ แม้ว่าชีวิตการทำงานจะพบกับความเครียด แต่เราก็ต้องควบคุมอารมณ์ของเราให้ดีที่สุด เพราะเมื่อเราแสดงความโกรธและระบายความไม่พอใจของเราออกไป คนรอบข้างจะเกิดความรู้สึกไม่ดี และรู้สึกอึดอัดที่จะพูดคุยติดต่อกับคุณ  ทุกคนจึงควรได้รับการปลูกฝังในเรื่องการรู้จักตนเอง เพื่อให้เราสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น ด้วยหลัก 5 ประการในการสร้างมารยาทในการทำงาน ดังนี้

 

·       ไม่ควรนินทาลับหลังเพื่อนร่วมงาน เพราะมันไม่ส่งผลดีต่อตัวคุณเลย อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง และไม่ลงรอยกัน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกัน

·     ไม่ควรพูดคุยถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานในเวลางาน เจ้านายของคุณอาจมองว่าคุณเอาแต่คุย และไม่เป็นอันทำงาน ดังนั้น ควรเก็บเรื่องส่วนตัวของคุณไว้คุยในช่วงพักกลางวัน หรือหลังเลิกงานจะดีกว่า

·     ไม่ควรให้คำแนะนำแก่เพื่อนร่วมงานโดยที่เขาไม่ได้เรียกร้อง และไม่ควรเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของผู้อื่นไม่ควรพูดถึงปัญหาสุขภาพของตนเอง เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการเลื่อนขั้นของคุณ หากจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน คนเดียวที่คุณจะพูดด้วยก็คือ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล 

       ในยุคที่ social network กำลังแพร่หลาย คุณควรระวังการโพสต์ข้อความต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ค หรือบล็อกของคุณ และควรมั่นใจว่าข้อความหรือรูปที่อัพโหลดขึ้นไปจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อหน้าที่การงานของคุณ  มารยาทในการทำงานที่ดีนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตการทำงานของทุกคน คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่คุณจะรักษามารยาททั้ง 5 ข้อนี้ไว้ให้มั่น เพื่อให้ชีวิตการทำงานของคุณนั้นราบรื่นและยาวนาน

หากสไตล์การทำงานของคุณเป็นแบบเรื่อย ๆ เรียบ ๆ ไม่หวือหวา โดดเด่น ไม่ชอบแข่งขันกับใครแล้วล่ะก็ ระวัง! คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกลืม โลกแห่งการแข่งขันไม่เคยปรานีใคร เมื่อถึงช่วงเวลาการประเมินผลงานเพื่อพิจารณาโบนัส ขึ้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง หรือแม้แต่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดขนาดองค์กร ลดพนักงาน เมื่อนั้น อาจช้าเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง    คนที่โดดเด่น คือคนที่จะถูกนึกถึงก่อน ส่วนคนที่ไม่โดดเด่น ก็จะถูกมองข้ามไป เพราะไม่มีความสำคัญเพียงพอ ถึงเวลาแล้วที่คนไม่สำคัญ ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพิ่มความโดดเด่น และสร้างคุณค่าในตนเอง ให้ทัดเทียมกับคนอื่น ๆ จะได้ไม่พลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิต   

1. เพิ่มการประชาสัมพันธ์ตัวเอง

การที่หัวหน้ามองข้ามคุณไปนั้น อาจเป็นเพราะคุณประชาสัมพันธ์ตัวเองน้อยเกินไป คุณจึงไม่อยู่ในสายตาของหัวหน้า หัวหน้าอาจไม่รู้ว่าคุณกำลังทำงานโปรเจ็กต์ไหนอยู่ และอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว ความคืบหน้าเป็นอย่างไร ดังนั้น คุณควรส่งรายงานความคืบหน้าการทำงานของคุณให้หัวหน้าทราบอย่างต่อเนื่อง และหากคุณได้รับคำชื่นชม หรือคำขอบคุณจากผู้ที่ร่วมงานด้วย ก็ควรนำเสนอหัวหน้า เพื่อเป็นโพรโฟล์ที่ดีของคุณต่อไป

2. อย่าเป็นเพียงไม้ประดับ   ในการประชุมทีม หรือประชุมแผนก เป็นโอกาสอันดีที่คุณจะเพิ่มบทบาท และเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ก่อนเข้าประชุมควรมีเตรียมข้อมูลสำหรับประเด็นที่จะหารือกัน การนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ เสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อทีมงาน จะทำให้คุณมีคุณค่ามากขึ้นกว่าการเป็นเพียงผู้เข้าร่วมประชุมที่พร้อมจะทำตามข้อตกลงของที่ประชุม

3. รู้จุดอ่อน จุดแข็งของตัวเอง   ก่อนที่คุณจะหาวิธีการต่าง ๆ ในการนำเสนอตัวเองให้มีบทบาทโดดเด่นขึ้น คุณจะต้องรู้ตัวก่อนว่า คุณมีจุดอ่อน และ จุดแข็งอะไรบ้าง การรู้จุดอ่อนของตัวเอง ก็เพื่อปรับปรุง พัฒนาทักษะ ความสามารถที่ยังพร่องไปให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน คุณต้องทำให้จุดแข็งของคุณเพิ่มคุณค่าและชื่อเสียงในด้านที่คุณเชี่ยวชาญด้วย

4. ขันอาสาช่วยเหลืองานส่วนอื่น  เมื่อมีโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น และต้องการอาสาสมัครเพื่อรับผิดชอบงานชิ้นพิเศษ คนส่วนใหญ่มักจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เสนอตัวรับงานเพิ่มให้ลำบากกาย แต่นี่คือโอกาสของคุณที่จะทำให้คนอื่น ๆ มองเห็นคุณมากขึ้น ยืดอกรับอาสาทำงานไปเลย แสดงให้ทุกคนเห็นว่าคุณมีศักยภาพ แล้วคุณก็จะเป็นที่ยอมรับของทุกคน

5. ช่วยองค์กรประหยัดค่าใช้จ่าย  ในยุครัดเข็มขัดเช่นในปัจจุบัน ทุกองค์กรต่างหันมาให้ความสำคัญกับการลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กร คุณก็สามารถช่วยได้ เสนอความคิดเห็นของคุณให้กับนายจ้างในการช่วยองค์กรลดค่าใช้จ่าย และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงลงมือทำให้เป็นตัวอย่างแก่พนักงานคนอื่น ๆ นายจ้างก็จะจดจำคุณขึ้นมาได้ทันที

       ถึงเวลาแล้วที่คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนใหม่ ที่โดดเด่น เข้าตานายจ้างและเพื่อนร่วมงาน จากนี้ไปคุณก็จะเป็นคนที่ทุก ๆ คนนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ในองค์กร  

ความเกรงใจในที่ทำงาน

ความเกรงใจสำคัญอย่างไรในที่ทำงาน  ความเกรงใจ ไม่เพียงแต่จะเป็นคุณสมบัติที่ควรมีเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในที่ทำงานได้เช่นกัน เพราะเป็นพลังงานที่ไม่มีวันสูญหายไปไหน แต่จะสะท้อนกลับมาให้เราดีใจไม่รู้จบ หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าความเกรงใจสำคัญอย่างไรในที่ทำงาน เรา มีคำตอบนั้นมาฝากค่ะ

ความเกรงใจ...พลังงานแห่งความสุข  ความเกรงใจและให้เกียรติกันเป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่จะทำให้เรา เกิดความรู้สึกสดชื่นหัวใจทุกครั้งที่ได้รับ และจะทำให้สุขใจมากยิ่งขึ้นเมื่อ
ความเกรงใจเกิดขึ้นในที่ทำงาน คนที่ทำงานร่วมกันสามารถแสดงออกถึงความเกรงใจต่อกันได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การทักทาย ขอบคุณ หรือขอโทษ ไม่เพียงผู้น้อยที่ควรมีความเกรงใจต่อผู้ใหญ่ ในทางตรงกันข้าม ผู้ใหญ่ที่มีความเกรงใจและให้เกียรติผู้น้อย ก็จะได้รับการเคารพนับถือจากใจจริง

เกรงใจอย่างไรในที่ทำงาน  ในที่ทำงานเราต้องรู้จักเกรงใจให้เป็น แม้จะสนิทกันมากขนาดไหนก็ตาม เราก็ต้องไม่ลืมที่จะเกรงใจ เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้รู้สึกผิดใจกันจนส่งผลเสียถึงงานและความสัมพันธ์ได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมี ช่องว่างแห่งความเกรงใจอยู่ด้วย เพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างผู้ร่วมงาน แต่ไม่ควรมีมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนทำให้ระดับความเกรงใจผิดเพี้ยนไป เราสามารถบริหารความจริงใจให้ได้ทั้งงาน และความจริงใจจากเพื่อนร่วมงานได้ในคราวเดียวกัน แต่อาจจะต้องใช้ความรู้สึก ประสบการณ์ และความประณีตเข้าช่วย

ควรเกรงใจและให้เกียรติตนเองด้วย ไม่เพียงแต่จะต้องเกรงใจคนอื่น แต่เราต้องเกรงใจตัวเองด้วยเช่นกัน เพราะในสังคมของการทำงาน เรา ควรกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ถูก นำเสนอประเด็นให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้เกิดการเติบโตในที่ทำงาน ไม่ใช่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นทั้งที่ตนเองไม่เห็นด้วย อีกทั้งยังเป็นการให้เกียรติและเกรงใจตัวเอง แต่การเกรงใจตนเองก็ต้องไม่มากไปหรือน้อยไป จึงจะทำให้เกิดความสุขในการทำงาน

 ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

การมีความสุขไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ หากแต่หมายถึงคุณเลือกที่จะ มองข้ามความไม่สมบูรณ์แบบนั่นต่างหาก

นิทาน...เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง

ดิฉันมีเรื่อง ลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง    มาเล่าให้ฟัง

อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนาอาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ
อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ" อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า "คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง" แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดู ด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า"
เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามหากไร้คู่แข่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน  ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม
นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น
คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ  แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ  การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม  กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน  การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม  แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้จริง