Monthly Archives: January 2012

ทำงานไปเพื่ออะไร

ถ้าจะถามบุคคลทุก ๆ อาชีพว่า ทำงานไปเพื่ออะไรคงจะได้รับคำตอบ ที่แตกต่างกัน ตามแต่ความมุ่งหวังของแต่ละบุคคลแต่สิ่งที่ทุกคนจะปฏิเสธ ไม่ได้ในเรื่องของความต้องการที่เกิดจากผลของการทำงาน ซึ่งหมายถึงเป้าหมายของการทำงานนั้นก็คือ
1. ทำงานเพื่อให้ได้เงิน ถึงแม้เงินจะไม่ใช่เป้าหมายของทุกงานก็ตาม แต่หลักความจริงอันหนึ่ง ก็คือ มนุษย์เรามีความต้องการด้านร่างกาย มนุษย์จึงพยายามทำงานเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ขวนขวายหาวัตถุหรือสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้ตนเองได้อยู่อย่างสุขสบาย การทำงานจึงต้องมุ่งหวังเงินเป็นสิ่งตอบแทน
2. ทำงานเพื่อให้ได้อำนาจ นอกจากความต้องการด้านร่างกายแล้ว มนุษย์ยังต้องการให้คนอื่นเคารพยำเกรง ชอบการยกย่องชมเชย การทำงานส่วนมากจึงตั้งเป้าหมายที่จะเป็นหัวหน้างานหรือผู้นำที่มีอำนาจเป็นผู้บริหารกิจการของรัฐ
3. ทำงานเพื่อให้ได้ตำแหน่งทางสังคม การมีอำนาจและตำแหน่งจะมีความ เกี่ยวพันกัน เพราะเมื่อมีตำแหน่งก็จะมีอำนาจในการสั่งการหรือบริหารตามความมุ่งหวังของตน
4. ทำงานเพื่อความรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ เพราะถ้าหากทำงานได้บรรลุเป้าหมายหรือสำเร็จ ก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ และได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่า ทั้งยังจะได้รับความชื่นชมจากคนอื่นอีกด้วย
5.ทำงานโดยมีเป้าหมายเพื่อสังคมและส่วนรวมจะมีกลุ่มบุคคล
อีกกลุ่มหนึ่งที่มีเป้าหมายในการช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนต่อ ประโยชน์ส่วนตน เช่น มูลนิธิการกุศล สมาคมสงเคราะห์ หรือนักบวชที่อุทิศตนให้ศาสนา มุ่งหวังสอนบุคคลให้เป็นคนดี อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขจากเป้าหมายของการทำงานจึงพอสรุปได้ว่า บุคคลทำงานอาชีพมีเป้าหมายของการทำงานเพื่อให้ตนเองและบุคคลอื่นที่อยู่ในสังคม เกิดความสุขทุก ๆ ด้านตามความต้องการของมนุษย์ ความสุข คือ ความสบายกายสบายใจของบุคคล ความสำเร็จของงาน ก็คือ การทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ของงานนั้น ๆ ดังนั้น ความสุขที่เกิดจากความสำเร็จของงาน จึงหมายถึง ความสบายกาย สบายใจ เมื่อทำงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. เกิดความมั่นใจในคุณภาพของงาน หมายถึง ความเชี่ยวชาญ ชำนาญการในงานที่ตนเองรับผิดชอบ
2. มีความสุขกับงาน รู้สึกชอบทำงานนั้นอีกเมื่อทำงานสำเร็จก็มีความภูมิใจ และคิดว่างานที่เราเคยทำสำเร็จ ถ้าได้ทำงานเหมือนเดิมก็จะพอใจและเต็มใจ ผลงานก็จะดีขึ้นกว่าเดิม
3.พอใจในผลตอบแทนที่ได้จากงานที่ทำประสบความสำเร็จ
4.มีน้ำใจและอยากเผยแพร่ผลงาน
5. พร้อมที่จะทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้นซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของบุคคล ที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานให้ดีให้เด่นขึ้นกว่าเดิม จึงพร้อมที่จะทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนยิ่งขึ้น
6. การประสานสัมพันธ์เพื่อนร่วมงานดีขึ้น ลักษณะของบุคคลที่ทำงาน ประสบความสำเร็จจะเป็นบุคคลที่มีการประสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานได้ดี เพราะบุคคลทุกคนก็ต้องการทำงานกับคนเก่ง คนดี คนที่เคยมีผลงานดีเด่น
7. ครอบครัว ญาติพี่น้องให้กำลังใจและให้ความร่วมมือ เป็นลักษณะทั่วไปของสังคมไทยที่ชื่นชมและยกย่องเฉพาะคนทำดี
โดยเฉพาะครอบครัว ญาติพี่น้องมีส่วนสำคัญที่จะเป็นกำลังใจอยู่เบื้องหลัง ของความสำเร็จ ความสุขก็จะเกิดขึ้นในชีวิตและครอบครัว
8. ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคคลทั่วไปให้เกียรติและชื่นชมในผลงาน             งานทุกอย่างย่อมมีอุปสรรค มีคนจำนวนมากที่ทำแล้วล้มเหลว ผิดหวังในชีวิต ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญที่ทำให้งานไม่สำเร็จมีสาเหตุดังนี้
1. งานยากไป งานบางงานมีความยากไปสำหรับบางคนที่ไม่รู้จักประเมินความสามารถของตน การงานที่ยากไปก่อให้เกิดปัญหาการทิ้งงานและการหนีงานเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย ต้องใช้เวลาในการทำงานมาก
2. ขาดความชำนาญ ขาดประสบการณ์ที่ดีพอ ทำให้เกิดปัญหาในการทำงาน ต้องรู้จักพัฒนาตนเองด้วยการศึกษาเพิ่มเติม สอบถามผู้รู้อยู่เสมอ
3. ขาดกำลังใจ กำลังใจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำงาน โดยเฉพาะงานที่มีความซับซ้อน ยุ่งยาก ใช้เวลามาก ต้องมีคนให้กำลังใจ ให้แรงสนับสนุนถึงจะสำเร็จลงได้
4. ขาดความพร้อม ทีมงานไม่พร้อมทำให้งานล้มเหลว ขาดวัสดุอุปกรณ์ ทำให้งานดำเนินไปไม่ได้ ต้องสร้างความพร้อมให้ตนเอง และเพื่อนร่วมงานก่อนการทำงานทุกครั้ง
5. ขาดความต่อเนื่อง งานทุกอย่างถ้าขาดความต่อเนื่อง งานไม่เป็นไปตามระยะเวลา ที่กำหนด เร็วไปหรือช้าไป จะทำให้ผลงานออกมาไม่ดี ไม่เป็นที่พอใจของตัวเองและคนประเมินผลงาน
6. ขาดความคล่องตัว เนื่องจากคิดช้า กังวล หรือกำลังกายกำลังใจไม่พร้อม
ขาดเครื่องอำนวยความสะดวก เพื่อนร่วมงานไม่ให้ความร่วมมือ
7. ขาดความตั้งใจ เป็นปัญหาที่สำคัญมากในการดำเนินกิจการทุกอย่าง เพราะถ้าขาดความตั้งใจแล้ว ผลงานออกมาจะไม่ดี ฉะนั้น ขอให้ตั้งใจ ในการทำงานอยู่เสมอ ถามตัวเองว่าเราตั้งใจมากเพียงพอหรือยัง
8. ขาดการพิจารณาใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงาน เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าบุคคลได้งานที่ตนเองไม่มีความรู้ความถนัดในเรื่องดังกล่าว ระบบงานโดยภาพรวมก็จะล้มเหลวลงไปด้วย จึงต้องมีศิลปะการเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน

ปัญหาพนักงานเกิดความเครียด ไม่มีความสุข

หลายองค์กรอาจเคยประสบปัญหาพนักงานเกิดความเครียด ไม่มีความสุข ไม่สนใจงาน ขาดความสนุก จนคิดลาออกไปทำงานที่อื่น ซึ่งการเปลี่ยนพนักงานบ่อยๆ มีผลต่อความต่อเนื่องในการทำงาน และยังเกิดเป็นค่าใช้จ่ายในการคัดสรร และพัฒนาบุคลากรขึ้นมาทดแทนอีกด้วย เรียกว่า เสียทั้งคน เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา  ปัญหาดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ท้าทายความสามารถของ HR ว่าจะผลักดันหรือแก้ไขอย่างไร ลักษณะงานที่ HR จะทำได้คือ การเสนอแนะในเชิงกลยุทธ์ ให้มีการปรับปรุงระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล การพัฒนาคน การปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน ทั้งนี้การออกแบบระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขให้แก่พนักงาน ได้แก่

1.       การสรรหาเลือกคนที่มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติที่ดี มีสมรรถนะตรงกับตำแหน่งงาน

2.       จัดทำโครงสร้างค่าจ้างเงินเดือน ที่ยืดหยุ่น จูงใจ ตามผลงาน

3.       จัดสวัสดิการที่อำนวยประโยชน์แก่พนักงาน สนใจด้านความปลอดภัย สุขภาพอนามัย

4.     มีระบบการประเมินผลงาน หัวข้อการประเมินที่ชัดเจน หัวหน้างานมีความรู้ และใช้วิธีการประเมินงานที่สอดคล้องกับมาตรฐาน

5.       มีการพัฒนาบุคคล ฝึกอบรมให้ความรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้พัฒนาตนเอง

6.     มีกระบวนการพนักงานสัมพันธ์ที่สามารถแก้ไขคลี่คลายปัญหาความต้องการ ข้อร้องเรียน หรือความขัดแย้งโดยระบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการพนักงานในการปรึกษาหารือ มีกิจกรรมข้อเสนอแนะ การสำรวจทัศนคติความคิดเห็นและนำมาใช้ในการปรับปรุงงาน

7.     มีกิจกรรมด้านสันทนาการ หรือกิจกรรมการใช้ชีวิตส่วนตัวนอกเวลางาน หรือมีระบบสังคมชุมชนในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ

8.       ส่งเสริมเรื่องการปฎิบัติตามระเบียบวินัย และใช้วิธีการวินัยแบบสร้างสรรค์

9.       การให้บริการด้าน HR ที่สนองความต้องการของพนักงาน รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ

10.   พัฒนาให้หัวหน้างานมีความรู้ความสามารถ ในการบริหารจัดการดูแลคนในหน่วยงาน มีความเป็นผู้นำ และช่วยสร้างความสุขในการทำงานแก่พนักงาน

กิจกรรมทาง HR ทั้ง 10 ข้อนี้เป็นความสามารถในการบริหารจัดการที่ HR ควรมี เพื่อสร้างความสุขให้แก่บุคลากรอย่างยั่งยืน   ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

สิ่งเดียวที่จะชนะโชคชะตา  คือการทำงานหนัก

นิทาน...สิงโตติดหล่ม

ดิฉันมีนิทาน เรื่อง  สิงโตติดหล่ม    มาเล่าให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขา ด้านล่างของเชิงเขาเป็นสระน้ำสระใหญ่ มีหญ้าเขียวสดอ่อนไสวขึ้นตามเชิงเลนขอบสระ สัตว์เล็ก ๆ เช่น กระต่าย แมวป่า ฯลฯ ต่างมาเที่ยวเล่น เล็มหญ้าอยู่ตามเชิงเลนขอบสระกันมากมาย วันหนึ่ง ขณะที่ราชสีห์ยืนมองลงไปที่เชิงเขา ก็พบเนื้อตัวหนึ่งมาเล็มหญ้าอยู่ ราชสีห์ต้องการจับเนื้อนั้นมาเป็นอาหาร จึงกระโดดจากภูเขาสุดกำลัง หวังจับเนื้อให้ได้ แต่ปรากฏว่าราชสีห์ตกลงไปติดในเชิงเลนขึ้นไม่ได้ เท้าทั้ง 4 ฝังลงไปดังเสา ต้องยืนอดอาหารอยู่ถึง 7 วัน ระหว่างนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งหากินเพลินอยู่ก็มาพบเข้าก็ตกใจกลัว ทำท่าจะหนี ราชสีห์จึงขอร้องให้ช่วย "อย่าหนีเลย เราติดหล่มขึ้นไม่ได้มา 7 วันแล้ว ช่วยชีวิตเราทีเถิด"     สุนัขจิ้งจอกเข้าไปใกล้สีหะ พลางกล่าวว่า "เรากลัวว่าเมื่อช่วยท่านได้แล้ว ท่านจะจับเรากินเป็นอาหารเสีย" ราชสีห์ยืนยันว่าอย่ากลัวเลย พร้อมรับรองว่าจะไม่กินสุนัขจิ้งจอก หากแต่จะสนองคุณที่ช่วย สุนัขจิ้งจอกรับคำมั่นสัญญาแล้ว ก็ช่วยคุ้ยเลนรอบ ๆ เท้าของราชสีห์ออก ขุดลำรางให้น้ำไหลเข้ามา ทำให้เลนเหลว จากนั้นก็มุดเข้าไปใต้ท้องราชสีห์ เอาศีรษะดันท้อง พร้อมร้องดัง ๆ ว่า "นาย พยายามเข้าเถิด"   สีหะออกแรงตะกายขึ้นมาจากเลนได้ ก็วิ่งไปยืนบนบกพักเหนื่อยครู่หนึ่ง แล้วลงสระล้างโคลนอาบน้ำระงับความกระวนกระวาย จากนั้นจึงจับกระบือตัวหนึ่ง ฆ่าให้ตาย แล้วฉีกเนื้อมาวางไว้ข้างหน้าสุนัขจิ้งจอก ขอให้สุนัขจิ้งจอกกินก่อน ส่วนตนจะกินทีหลัง   สุนัขจิ้งจอกคาบเอาเนื้อชิ้นหนึ่งวางไว้ เมื่อสีหะถามว่าเนื้อชิ้นนี้เพื่อใคร สุนัขจิ้งจอกก็บอกว่า เพื่อนางสุนัขจิ้งจอก ราชสีห์จึงตอบว่า จงเอาไปเถิด เราเองก็จะเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อนางสิงห์เหมือนกัน  สัตว์ทั้งสองกินเนื้อจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็คาบเนื้อไปฝากนางสุนัขจิ้งจอกและนางสิงห์ โดยราชสีห์ได้ชวนครอบครัวของสุนัขจิ้งจอกไปอยู่กับตนบนถ้ำที่ภูเขา รับว่าจะเลี้ยงดูให้มีความสุข   สัตว์ 2 ตระกูลนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์ นางสิงห์กับนางสุนัขจิ้งจอกและลูกๆ ของสัตว์ทั้งสองก็สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างดี 

      กาลล่วงมา นางสิงห์คิดว่าไฉนหนอ ราชสีห์สามีเราจึงรักนางสุนัขจิ้งจอกและลูก ๆ ของมันนัก อาจจะเคยลอบได้เสียกันหรือไม่ จึงได้เสน่หามากมาย อย่ากระนั้นเลย เราจะหาอุบายให้นางสุนัขจิ้งจอกไปเสียจากที่นี่ คิดได้ดังนั้นแล้ว ระหว่างที่สีหะสามีตนและสุนัขจิ้งจอกไปหากิน ก็กลั่นแกล้งข่มขู่นางสุนัขจิ้งจอกนานัปการ อาทิว่า ทำไมอยู่ที่นี่นานนัก ไม่ไปที่อื่นบ้าง ส่วนลูกสิงห์ก็ข่มขู่ลูกสุนัขจิ้งจอกเช่นกันเมื่อสุนัขจิ้งจอกกลับมา นางสุนัขจิ้งจอกก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้สามีฟัง และตั้งข้อสงสัยว่า ไม่ทราบว่าที่นางสิงห์ทำไปนั้น ทำไปโดยพลการ หรือทำตามคำสั่งของราชสีห์  สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปหาสีหะและพูดว่า "นาย ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักของท่านก็นานแล้ว ผู้อยู่ร่วมกันนานเกินไป ทำให้ความรักจืดจางลงได้ ผู้ใดไม่พอใจให้คนอื่นอยู่ในสำนักของตนก็ควรจะขับไล่ไปเสียเถิด จะเหน็บแนมเอาประโยชน์อะไรกัน" พร้อมเล่าพฤติการณ์ของนางสิงห์ให้ราชสีห์ฟังทุกประการ พร้อมกับถามว่า" พญาเนื้อผู้มีกำลังอยากให้ใครไป ก็ย่อมไล่ไปได้ นี้เป็นธรรมดาของผู้มีกำลังทั้งหลาย ดูกร ท่านผู้มีเขี้ยวโง้งโปรดทราบเถิดว่า บัดนี้ ภัยเกิดจากที่พึ่งเสียแล้ว"
              ราชสีห์ ฟังคำสุนัขจิ้งจอกแล้วก็ถามนางสิงห์ว่า เป็นความจริงหรือที่ขู่เข็ญนางสุนัขจิ้งจอก นางสิงห์รับว่าเป็นความจริง ราชสีห์จึงว่า นางไม่รู้หรือ เมื่อเราไปหากินครั้งโน้นนานมาแล้ว เราไม่กลับมาถึง 7 วัน เพราะเหตุไร นางสิงห์ตอบว่าไม่ทราบ  สีหราช จึงเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนติดหล่มให้นางสิงห์ฟังและว่า สุนัขจิ้งจอกนี้เป็นสหายผู้ช่วยชีวิตเรา มิตรที่สามารถดำรงมิตรธรรมไว้ได้ ชื่อว่าอ่อนกำลังย่อมไม่มี ตั้งแต่นี้ไปอย่าได้ดูหมิ่นสหายของเราและครอบครัวของเขาเลย พร้อมย้ำว่า" แม้ว่ามิตรเขามีกำลังน้อย แต่เขาดำรงอยู่ในมิตรธรรม เขานับว่าเป็นทั้งญาติ ทั้งพี่น้อง ทั้งมิตรสหาย เธออย่าได้ดูหมิ่นสุนัขจิ้งจอกที่ช่วยชีวิตเราไว้"  นางสิงห์รู้ว่าตนเข้าใจผิด จึงขอขมาโทษ ตั้งแต่นั้นมา สัตว์ทั้งสองสกุลก็กลมเกลียวรักใคร่กันดังเดิม เมื่อพ่อแม่สิ้นชีวิตลงแล้ว ลูกของสัตว์ทั้งสองก็มีไมตรีต่อกันมาถึง 7 ชั่วอายุ

นิทานสอนใจ สิงโตติดหล่ม นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
- คนดี หรือแม้สัตว์ที่ดี ย่อมรู้อุปการะที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน และพยายามหาทางทำตอบแทนเท่าที่กำลังความสามารถของตนมีอยู่

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่า คนที่กำลังมีปัญหาในที่ทำงาน

คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่า คนที่กำลังมีปัญหาในที่ทำงาน ไม่ว่าจะก้มหน้าก้มตาทุ่มเทให้กับการทำงานแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยก้าวหน้าหรือมีความสุขในที่ทำงานเลย หนำซ้ำนอกจากจะกดดันกับงานที่ได้รับผิดชอบแล้ว ยังจะต้องคอยกังวลเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานอีกด้วย คงเป็นเรื่องดีไม่น้อยหากคุณสามารถบริหารทุกอย่างได้อย่างลงตัว เชื่อแน่ว่าหากทำได้ คุณคงมีความสุขในการทำงานขึ้นเป็นกองเลยละ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเริ่มปรับปรุงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

และ 7 เคล็ดลับต่อไปนี้ สามารถเป็นตัวช่วยเพื่อให้คุณมีความสุขในการทำงานได้อย่างแน่นอนค่ะ

1. เชี่ยวชาญเรื่องอินเทอร์เน็ต ใครๆ ก็รู้ว่ายุคสมัยนี้ใครที่มี "ข้อมูล" มากกว่ามักได้เปรียบ ยิ่งรอบรู้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิดที่ทำมากเท่านั้น ลองพิจารณาดูตัวเองว่าขาดตกบกพร่องตรงนี้ไปหรือเปล่า เพราะหากคุณปรับปรุงตัวเองได้ ไม่ว่าคุณจะคุยกับใครก็เป็นต่อ เพื่อนร่วมงานก็จะแอบทึ่ง โดยเฉพาะเจ้านายคงนิยมชมชอบ เทคะแนนให้คุณเต็มที่

2. ประเมินตัวเองอย่างมีเหตุผล ได้เวลา "กำจัดจุดอ่อน" แล้วค่ะ อย่าเพิ่งตกใจว่าใครจะมากำจัดคุณ ตัวคุณนั่นแหละที่ต้องกำจัดจุดอ่อนของตัวเอง เริ่มจากเขียนออกมาเป็นข้อๆ ว่าคุณมีจุดอ่อนจุดแข็งอะไรบ้าง แล้วให้เพื่อนที่คบกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงคุณดีลองอ่าน และช่วยแนะนำว่าคุณควรปรับปรุงจุดไหนบ้าง จากนั้นก็พิจารณาเหตุผลที่ได้ในแต่ละข้อ แล้วนำมาแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ โดยเฉพาะจุดอ่อนของคุณ เพราะหากคุณมีจุดอ่อนยิ่งจะเป็นเป้าการตำหนิของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายซึ่งส่งผลให้สภาพจิตใจถูกบั่นทอนลงไปด้วย

3. พิชิตความกลัวด้วยความกล้า โดยเริ่มฝ่าด่านความกลัวจากเรื่องง่ายๆ ก่อน เช่น การดูหนังคนเดียวในโรงภาพยนต์แล้วคุณจะรู้สึกถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ใช้ความรู้สึกแหละเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่ทำให้คุณกลัวในที่ทำงานแล้วคุณจะพบว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ถ้าคุณคิดที่จะทำ

4. จัดระบบการทำงานให้มีระเบียบ การจัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นระบบ คุณจะเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น โต๊ะทำงานที่รกรุงรังเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ควรจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทางเพื่อความสะดวกในการค้นหาและนำมาใช้งาน ถ้ารู้สึกว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์เต็มไปด้วยอีเมล์เก่าๆ หรือไฟล์งานที่ไม่ใช้แล้ว ควรลบทิ้งไป เพื่อเพิ่มเติมสิ่งใหม่เข้าไปแทน

5. ทำจิตใจให้แจ่มใส การทำใจให้สบายคือคุญแจดอกสำคัญที่จะขจัดปัญหาต่างๆ เชื่อเถอะว่า ไม่มีอะไรแย่จนแก้ไขไม่ได้ จงมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ถ้าเครียดมากนักก็พักซะบ้าง และที่พักผ่อนที่ดีที่สุดก็ไม่พ้นที่บ้าน จัดมุมพักผ่อนที่เงียบสงบ สามารถแวะเข้ามานั่งเล่น นอนเล่นได้อย่างสบายใจ ถ้ายามใดที่ต้องแบกปัญหากลับมาบ้าน แวะเข้ามามุมนี้ อย่างน้อยสัก 5 นาที ในแต่ละวัน ไอเดียต่างๆ มักจะเกิดขึ้นในยามที่จิตใจสงบเสมอ

6. หนักแน่นและมีเหตุผล เมื่อมีปัญหาในหน้าที่การงาน อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเป็นกระต่ายตื่นตูม แต่ควรพยายามควบคุมจิตใจให้หนักแน่นและมีเหตุผลไม่ปล่อยให้ตัวเองตื่นเต้น หวั่นไหว ฟุ้งซ่านหลังจากนั้นก็คิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ

7. ค้นหาคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ลองทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา ประเมินว่าตัวเองมีความถนัดหรือไม่ถนัดกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบขณะนี้ ถ้าถนัดและชอบอยู่แล้ว ก็พัฒนาความสามารถให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงก็ควรปรับและเปลี่ยนให้เหมาะสม

ลองปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวดูนะคะ ตราบใดที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงชีวิตการทำงานของคุณจะราบรื่นเป็นสุขขึ้นมากเชียวค่ะ อีกหนึ่งความรู้สึกดี - ดี ค่ะ

เมื่อปัจจุบันพัฒนากว่าอดีต และอนาคตต้องพัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่าปัจจุบัน

คุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของมนุษย์คือการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งได้ ทำให้มนุษย์เรามีความก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าปัจจุบันพัฒนากว่าอดีต และอนาคตต้องพัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน ใครก็ตามที่ไม่ยอมเรียนรู้ประสบการณ์ในอดีต ย่อมมีโอกาสผิดพลาดซ้ำกับคนรุ่นก่อน ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าน้อยกว่าคนอื่น

ในสังคมของคนทำงานมีคนอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆคือ คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ แต่คนในสองกลุ่มนี้ก็สามารถแบ่งออกได้สองกลุ่มเช่นกันคือ กลุ่มคนที่ยึดติดกับอดีตไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง กับกลุ่มคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การเป็นคนทำงานยุคใหม่หรือยุคเก่าจึงไม่ได้อยู่ที่อายุตัวหรืออายุงาน แต่อยู่ที่การปรับตัวในการทำงานมากกว่า เราจะเห็นว่าคนที่มีอายุตัวหรืออายุงานมากบางคน เป็นคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ไม่กลัวเทคโนโลยี พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในขณะที่คนรุ่นใหม่บางคนชอบทำงานแบบคนรุ่นก่อนๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ทำงานแบบไหนก็อยากทำเหมือนเดิมไปตลอด จึงสรุปไม่ได้ว่าคนทำงานยุคใหม่คือคนที่มีอายุน้อยเท่านั้น ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

นิทาน...ปลาใหญ่กับปลาเล็ก

ดิฉันมีนิทานเรื่อง ปลาใหญ่กับปลาเล็ก   มาเล่าให้ฟัง

ในทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น ตามธรรมชาติก็จะมีพวกสัตว์น้ำต่าง ๆ อาศัยรวมกันอยู่อย่างมากมาย จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และก็แน่นอนที่ในท้องทะเลนั้น จะมีพวกปลาชนิดต่าง ๆกำเนิดขึ้น และพวกปลาเหล่านั้นโดยทั่วไปก็ จะมาอยู่รวม ๆ กันเป็นฝูง ๆ ปลาในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้มี ปลาตัวใหญ่ที่มีนิสัยตะกะตะกาม โลภมากและเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดอยู่ฝูงหนึ่ง พวกมันจะจับ กลุ่มรวมกันอย่างเหนียวแน่น คล้าย ๆ กับพวกนักเลงประจำท้องทะเลแห่งนั้นก็ไม่ปาน ว่ายออก หาอาหารไปเรื่อยๆ พอเจอฝูงปลาที่ตัวเล็กกว่าก็จะตรงเข้าแกล้งและพูดเบ่งบารมี และมักจะแขวะ เอาเสมอ ๆ ว่า
" เจ้าปลาจิ๋ว เจ้าเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กไหมล่ะ ! ฮ่า ๆๆ ถ้าไม่อยากตายเร็ว ๆ ก็ถอยออกไป ให้ไกล ๆ พวกหอย, กุ้ง, ปูและอาหารที่มีอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี้ เป็นของพวกข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์กิน หรอกวุ้ย.. ฮ่า ๆๆ "

เจ้าปลาจิ๋วรีบตอบ
"จ๊ะ ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ ผู้ที่อ่อนแอย่อมต้องถูกกำจัด พวกเราเข้าใจดีจ๊ะ" ว่าแล้ว ก็รีบว่ายหนีหลบไปอยู่ใกล ๆ ทุกฝูงไป ปลาใหญ่นั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งเหิมเกริมบ้า อำนาจมากขึ้นทุกวัน และเมื่อ อาหารนั้นหากินได้อย่างง่ายเพราะไม่มีใครกล้ามาแย่ง พวกมันก็เลยยิ่งตัวใหญ่ขึ้นและอ้วนขึ้นจนจะกลาย เป็นปลายักษ์เข้าไปทุกที ๆ เลยทีเดียว...ส่วนพวกปลาเล็กนั้นเมื่อโดนแย่งพวกอาหารกินเสียจนหมด ไม่ค่อย ได้กินอะไรจึงอยู่กันด้วยความหิวโซมาตลอด นับวันก็จะยิ่งตัวเล็กลง ๆ และผอม จนเหลือแต่กระดูกทุกตัวไป ก็ว่าได้....

และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ได้มีชาวประมงที่เห็นว่าแถวนี้ได้มีปลาว่ายมารวมกันอยู่อย่างมากมาย จึงลงอวน เพื่อจับพวกปลาเหล่านั้น ฝูงปลาต่าง ๆ และเจ้าปลาใหญ่ฝูงนั้นก็เช่นกัน ด้วยไม่ทัน ระวังตัวจึงติดอวนของชาว ประมงเสียแล้ว...พวกปลาต่าง ๆ ตกใจและพยายามว่ายหนีกัน ให้เป็นการใหญ่ เจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายก็พยายาม ที่จะว่ายหนีกัยเขาด้วยเหมือนกัน

แต่ด้วยพวกเจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายนั้นเพราะตัวของพวกมันใหญ่มากอย่างกะปลายักษ์อย่างที่รู้ จึงไม่สามารถที่จะหนีไปทางไหนได้เลย จึงจำต้องติดอวนของชาวประมงไปอย่างน่าสงสาร ส่วน ฝูงปลาเล็กนั้นด้วยตัวเล็กและผอมกันจนจะเหลือแต่กระดูกจึงสามารถว่ายลอดอวนออกมาได้ อย่างง่ายดาย เจ้าปลาจิ๋วเมื่อหลุดรอดออกมาได้ ก็ว่ายไปหาปลาใหญ่ที่ติดอวนอยู่และกำลัง จะถูกยกขึ้นไปสู่ด้านบนอยู่นั้น แล้วพูดว่า
"ปลาใหญ่เอ๋ย ท่านคืออาหารของคน แต่เราไม่ใช่ เราดีใจที่อ่อนแอกว่าท่าน"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า       "เล็กก็เล็กพริกขี้หนู ในบางกรณีการยินยอมเป็นผู้ที่ด้อยกว่านั้นอาจพ้นภัยได้อยู่เหมือนกัน"

ความเชื่อบางอย่างที่ไม่ควรจะเชื่อเลย

คนเราทุกคนมีความเชื่อ เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องของการทำดีได้ดี เชื่อหัวหน้า เชื่อเพื่อนๆ ฯลฯ ความเชื่อเหล่านี้ก็มีทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี ถูกและไม่ถูก ซึ่งอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละบุคคลที่จะตัดสินใจว่า จะเชื่อต่อ หรือไม่เชื่อ แต่มีความเชื่อบางอย่างที่ไม่ควรจะเชื่อเลย ถ้าเรามีความเชื่อเหล่านี้อยู่ในใจเรา มันจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลยค่ะ ดังนั้นถ้าใครมีความเชื่อเหล่านี้อยู่ จงค่อยๆ เปลี่ยนมัน เพราะความเชื่อเหล่านี้จะทำให้คุณไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนาค่ะ มีอะไรบ้างลองมาดูกันทีละข้อค่ะ

เชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นเพราะเขาดวงดี และโชคช่วย คนที่เชื่อคำพูดนี้อย่างจริงจัง จะเชื่อต่ออีกว่า ตนเองไม่มีโชค ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จสักที ผลก็คือ จะทำอะไร ก็จะเชื่ออยู่ในใจตลอดว่าเราไม่มีดวง เราไม่มีโชค พอเชื่อแบบนี้มากๆ เข้า เราก็จะเชื่อต่ออีกว่า เราจะไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเราได้เลย พอเชื่อแบบนี้ ก็เลยอยู่มันไปวันๆ แบบนี้ดีกว่า สุดท้ายก็ไม่มีอะไรสำเร็จได้จริงๆ สิค่ะ ลองพิจารณาคนที่ประสบความสำเร็จให้ดี เขาเชื่อสนิทใจเลยว่า เขาประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่เรื่องโชคหรือดวง แต่ตัวเรานี่แหละที่จะทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จได้ จากนั้นก็เริ่มลงมือทำ เชื่อแล้วก็จะเริ่มทำตามในสิ่งที่ตนเองเชื่อ คนที่เชื่อแบบนี้ก็จะประสบความสำเร็จไม่หยุดค่ะ

เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต คนที่เชื่อแบบนี้ดิฉันว่าน่าจะเป็นคนที่หมดแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง ใครที่อยากประสบความสำเร็จต้องไม่เชื่อแบบนี้เด็ดขาดค่ะ เพราะความเชื่อแบบนี้ไม่ทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิต พอไม่มีเป้าหมาย ก็ไม่มีความท้าทาย จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แล้วแต่ฟ้าจะบอกว่าวันนี้ให้ทำอะไร วันไหนฟ้ามืดหน่อย ก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะฟ้าไม่ยอมลิขิต ชีวิตของเราค่ะ เราต้องลิขิตเองค่ะ อยากประสบความสำเร็จก็จงวาดเส้นทางไปสู่ความสำเร็จ แล้วก็ออกเดินไปตามเส้นทางที่เราวาดไว้ค่ะ ถ้าล้ม ก็วาดใหม่ได้ แล้วเดินต่อไป ขอให้มั่นคง และเดินก้าวไปเรื่อยๆ ตามเส้นที่เราลิขิตไว้ แล้วความสำเร็จก็จะมาให้เราเห็นค่ะ

เชื่อว่าวัตถุทางโลก จะทำให้เรามีความสุข ดังนั้นคนที่เชื่อแบบนี้ก็จะทำงานเพื่อวัตถุต่างๆ ที่ตนต้องการ บางคนคิดอยู่เสมอว่า ถ้าได้เป็นเจ้าของรถราคาสิบล้านได้ จะมีความสุข บางคนคิดว่าอยากได้บ้านหลังใหญ่ๆ ราคา 100 ล้านแล้วจะมีความสุข ฯลฯ แต่เชื่อมั้ยค่ะว่า คนเหล่านี้พอได้สิ่งที่ตนอยากได้แล้ว ก็ยังไม่มีความสุขเลย ก็ยังหาต่อไปว่าอะไรที่จะทำให้เรามีความสุขได้ จริงๆ แล้วความสุขอยู่ในใจเราค่ะ เรามีความสุขได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที และทุกวินาทีค่ะ ถ้าเราทำใจของเราให้มีความสุข รู้จักพอรู้จักใช้สิ่งที่เรามีอยู่ให้เกิดความสุขได้ วัตถุต่างๆ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขจริงๆ หรอกค่ะ ความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจเราต่างหาก

เชื่อว่ายังคงมีวันพรุ่งนี้ ความเชื่อนี้อาจจะดูเป็นสองด้านได้นะค่ะ คนที่เชื่อว่ายังมีวันพรุ่งนี้ แล้วก็ทำให้ตนเองมีความหวัง และไม่ท้อแท้ อันนี้ดีค่ะ จงเชื่อต่อไป แต่คนที่เชื่อว่ายังมีวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็คิดต่อว่า งั้นทุกอย่างก็ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำ แบบนี้ไม่ควรเชื่อค่ะ เพราะจะทำให้เราผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ บางคนบอกว่า ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำงานให้เสร็จ พรุ่งนี้ค่อยพาครอบครัวไปกินอาหาร พรุ่งนี้ค่อยทำ พรุ่งนี้ค่อยดู พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกัน ฯลฯ ความเชื่อแบบนี้ควรจะเปลี่ยน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะลงมือทำทันที โดยไม่เลื่อนหรือผลัดวันไปเรื่อยๆ ค่ะ

เชื่อว่าเราถูกต้องเสมอ คนที่เชื่อแบบนี้มักจะเชื่อต่อไปว่า คนอื่นผิดเสมอ และจะจ้องจับผิดคนอื่น เมื่อใครก็ตามที่ไม่ทำในแบบที่ตัวเองคิดหรือเชื่อ ก็จะบอกว่าเขาผิด คนที่เชื่อแบบนี้จึงไม่ค่อยจะมีเพื่อนคบมากนักเพราะเป็นคนที่ชอบครอบงำความคิดคนอื่น ใครพูดอะไรก็จะต้องวิจารณ์ว่าไม่ถูกต้อง จนไม่ค่อยมีใครอยากคุยด้วย ปกติแล้วความคิดของเรามีทั้งถูก และไม่ถูก มีทั้งเหมาะและไม่เหมาะ ดังนั้นจงลดทิฐิ และความเชื่อตรงนี้ลงบ้าง แล้วชีวิตเราจะเบาขึ้น สบายขึ้น อีกทั้งจะได้ใจจากเพื่อนๆ รอบข้างอีกด้วย   ดิฉันคิดว่า เป็นสิ่งที่คนเราทุกคนน่าจะปฏิบัติตามได้ไม่ยากนัก ก็เลยเขียนสรุปมาให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ อย่างน้อยน่าจะช่วยให้เรามีความเชื่อที่ดีขึ้น พอความเชื่อดี การกระทำก็ดี และสุดท้ายความสุขก็จะมาหาเราเองค่ะ

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตของมนุษย์ก็คือ การใช้ชีวิตลำพังในโลก

เราไม่ควรจมจ่อมอยู่กับปัญหา ไม่แบกปัญหาให้หนักอก แต่จะวางปัญหาลงด้วยสติตัดอารมณ์ออกแล้วถอยห่างออกมา ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาปัญหานั้น ปัญหาใหญ่ก็จะคลายเป็นปัญหาเล็ก ปัญหาเล็กก็จะกลายเป็นเพียงฝุ่นผง เรื่องยากก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย เรื่องหนักหนาสาหัสก็จะกลับเป็นดังปุยนุ่นที่บางเบาเซียนครอบครัวดีมักบอกเราว่า สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตของมนุษย์ก็คือ การใช้ชีวิตลำพังในโลกใบนี้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีใครแบ่งปันความทุกข์ ความสุข และครอบครัว ทำหน้าที่ที่นี้ได้ดีที่สุด เราจะเป็นคนอย่างไรมีพื้นฐานมาจากครอบครัวเป็นคนมีความสุข มองโลกในแง่ดี เป็นที่รักของคนทุกคน วันๆ ผ่านไปได้ด้วยความทุกข์ใจและร้อนรน ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีสักที ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว  

                เครื่องมือหนึ่งในการสร้างความสุขในชีวิตของคนทำงาน โดยประกอบไปด้วย  Happy 8 

Happy Body (สุขภาพดี)     มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและจิตใจ

Happy Heart (น้ำใจงาม)     มีน้ำใจเอื้ออาทรต่อกันและกัน

Happy Soul (ทางสงบ)     มีความศรัทธาในศาสนาและมีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต

Happy Relax (ผ่อนคลาย)      รู้จักผ่อนคลายต่อสิ่งต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิต

Happy Brain (หาความรู้)     การศึกษาหาความรู้ พัฒนาตนเองตลอดเวลา

Happy Money (ปลอดหนี้)     มีเงินรู้จักเก็บ รู้จักใช้ ไม่เป็นหนี้

Happy Family (ครอบครัวดี)     มีครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคง

Happy Society (สังคมดี)     มีความรักสามัคคี เอื้อเฟื้อต่อชุมชนที่ตนทำงานและที่พักอาศัย

 ...เราไม่ควรจมจ่อมอยู่กับปัญหา  ไม่แบกปัญหาให้หนักอก

ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

นิทาน...หนูบ้านนอกกับหนูในเมือง

นิทานเรื่อง หนูบ้านนอกกับหนูในเมือง      มาเล่าให้ฟังหนูบ้านนอกได้เขียนจดหมายเชิญเพื่อนของมันที่อยู่ที่ในเมือง ให้มาเที่ยวที่บ้านนอก ขึ้น...หนูในเมืองเมื่อได้รับจดหมายแล้ว ก็ตกลงใจเดินทางมาเยี่ยมเยียนในทันที...หนูใน เมืองส่ายหัวและบุ่ยปาก พูดอย่างดูถูกว่า..." อะไรจะ อย่างนี้ เป็นไม่มีอีกแล้ว ดูสิจะมีก็แต่บ้านเก่า ๆกับโรงนาและทุ่งนาแต่เพียงอย่างเดียว ...เฮ้อ..นายทนอาศัยอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร? " หนูในเมืองบ่น แต่หนูบ้านนอกก็ ได้เชื้อเชิญให้เพื่อนเข้าไปในโรงเก็บ ของเก่า ๆหลังหนึ่งที่ตนได้ใช้อาศัยเป็นที่อยู่อย่างนอบน้อม...

"ทำไมถึงได้สกปรกอย่างนี้ก็ไม่รู้ " หนูในเมืองยังบ่นต่อทั้งที่เข้ามาข้างในแล้วก็ตาม หนูบ้านนอก จัดการเอาอาหารที่ตนคิดว่าดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ทั้งหมด ออกมาวางไว้บนโต๊ะ..มีถั่ว,ข้าวโพดและเนยก้อนเล็ก ๆ.. " ไม่มีอะไรมากมายหรอก แต่เชิญท่านกินให้ หายเหนื่อยเถอะ" หนูในเมืองมองอาหารบนโต๊ะแล้วพูดว่า
" จริง ๆ ด้วย ไม่เห็นมีอะไรดี ๆเลย " หนูในเมืองพูดจบก็หยิบข้าวโพด ขึ้นมาแทะไปได้คำหนึ่งมันก็คายออกมาแล้วพูดว่า " ของอย่างนี้เรากินไม่ได้หรอก ไม่เห็นจะอร่อยเลย นายทนอยู่อย่างนี้ได้ ยังไง ไปหาเราที่ในเมืองสิ..เราจะ เลี้ยงนายด้วยอาหารที่อร่อยที่สุดและแน่นอนนายจะต้องไม่เคยได้เห็น ให้อิ่มเต็มท้องเลยทีเดียว"

จากนั้นต่อมาอีกไม่นาน หนูบ้านนอกก็ตกลงใจที่จะเดินทางไปหาหนูผู้เพื่อนที่อยู่ที่ใน เมืองตามคำเชิญ แต่เมื่อมันได้เดินทางมาถึงมันต้องตกใจ...เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรที่ มันโกลาหลและขวักไขว่แบบนี้มาก่อนเลย แล้วทันใดนั้น ! ก็มีเสียง..การ่า..การ่า...การ่า...ของรถม้า ดังขึ้น... " จ๊าก..จู้ ๆๆ..ช่วยด้วย" หนูบ้านนอกกระโดดลงไปหลบในท่อน้ำข้างทาง...
"โอ้ย..เกือบแย่เพราะมัว แต่ยืนงง..เกือบจะโดนรถม้าทับตายเลยเห็นไหมนี่?..แค๊กๆๆ" หนูบ้านนอกเดินอ่อนระทวยทั้งเหนื่อยทั้งหิวเพราะต้อง พบปะแต่สิ่งน่ากลัวมากมายจนมาถึงจุด หมายปลายทางคือบ้านที่หนูในเมืองอาศัยอยู่.. " โอ่..ยินดีต้อน รับเพื่อนรักมาพอดีกับเวลาอาหารเย็นและตรงกับที่อาหารกำลังขึ้นสำรับ พอดิบพอดีเสียด้วย..จู้ๆๆ " และเมื่อมันได้ถูกพาเข้ามาในบ้านแล้ว มีโคมไฟอันใหญ่ส่องแสงแวววาว สวยงามอยู่บนเพดาน ใช่แล้วห้องนั้นเป็นห้องอาหาร ที่ใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน...หนูบ้านนอก ล่ะให้เป็นตื่นเต้นไปหมด..

หนูในเมืองได้บอกให้มันปีนขึ้นไปบนโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงกลางห้อง ตั้งแต่เกิดมามันยังไม่เคยเห็น อาหารอะไรมากมายและ น่ากินแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ... " ว้าว..น่ากินทั้งนั้นเลย " และด้วยกำลังหิวจึง ตรงเข้าไปหาอาหารที่เห็นข้างหน้าทันที ! แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลิ้มรสสิ่งใดเลยสักนิด..พลัน!ก็มีเสียง เสียงหนึ่งดังขึ้น " ว๊าย ! ไอ้หนูขี้ขโมย ! เดี๋ยวเถอะ..เดี๋ยวฆ่าให้ตายหมดเลย..โคร่า !.." คนใช้ที่เป็นคนทำอาหารนั่นเอง..เขาฉวย ไม้กวาดได้ก็ไล่ตี..ควับ .!.ควับ !.ให้ทันที... หนูทั้งสองตกใจ วิ่งหลบไม้กวาดมรณะกันให้วุ่นวายไปหมด พอลงมาจากโต๊ะได้ก็พร้อมใจกันวิ่งแจ้น หนีเข้าไปหลบในรูที่อยู่ตรงข้างฝา ทันทีทันใด ! ด้วยความกลัวอย่างสุด ๆ....

" แฮ๊ก ๆ ๆ ..ตกใจหมดเลย ! แต่ไม่เป็นไร ?หรอกเพื่อนรัก..เดี๋ยวหายเหนื่อยแล้ว เราจะพา นายไปกินอีกที่..เป็นการแก้ตัวแล้วกัน " หนูบ้านนอกเอามือทาบอก ด้วยความเหนื่อย แล้วพูดกับ หนู ในเมืองว่า " แต่ว่า..เห็นทีว่าเราจะไม่ขอเล่นด้วยแล้ว ! เราต้องขอขอบคุณในความหวังดีของท่าน แต่ อาหารที่สุดสยอง ! ต้องเสี่ยงและต้องแลกกับมันด้วยความเป็นความตาย..เราไม่อยากกินแล้ว! ต่อให้มัน อร่อยแค่ไหนก็ตามเถอะ ! เราคิดว่าเรากลับไปกินพืชผักที่บ้านนอก ของ เราดีกว่า ถึงจะไม่อร่อยแต่ก็ไม่ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลกที่เป็นอยู่มา เราก็มีกินอิ่มท้องทุกวันและอยู่อย่าง มีความสุขดีแล้ว..." หนูบ้านนอกตอบหนูในเมืองเสร็จ ก็ลากลับไปที่บ้านนอกของมันทันที......นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า      ความพอดีและพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เลิศที่สุด..ชีวิตที่เพียงพอและเรียบง่ายย่อม เป็นสุขกว่าชีวิตที่ต้องคอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา...ว่าไหม                                                        

หัวหน้างานกับทักษะการสื่อความ

หลายๆครั้งที่เราคุยกันในเรื่องของหัวหน้างานกับการบริหารคน ในเรื่องของการจูงใจพนักงานไปแล้ว วันนี้จะมาในเรื่องของหัวหน้างานกับทักษะการสื่อความ ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้เรื่องของการสร้างแรงจูงใจเลยทีเดียว การสื่อความเป็นทักษะที่สำคัญมากในการทำงาน ยิ่งเฉพาะกับหัวหน้างานแล้ว การสื่อความเป็นทักษะที่จะช่วยให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน เกิดการทำงานเป็นทีมที่ดี และเกิดความเข้าใจกันระหว่างทีมงานด้วยกันเอง ดูแล้วเหมือนกับว่าการสื่อความจะเป็นพื้นฐานของทุกอย่างในการทำงาน  แต่ทำไมหัวหน้างานบางคนก็ยังไม่สามารถที่จะใช้การสื่อความให้เป็นเครื่องมือในการสร้างทีมงาน และสร้างแรงจูงใจที่ดีให้กับพนักงาน ในทางตรงกันข้าม กลับใช้การสื่อความนี้เป็นเครื่องมือในการทำลายทีมงาน สร้างความขัดแย้งกันเองในทีมงาน สร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้อง  การสื่อความทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย การเขียน การอ่าน เราจะต้องเลือกวิธีการสื่อความให้ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะสื่อ การที่จะชมเชยพนักงาน ก็ควรใช้การสื่อความด้วยวาจามากกว่าการใช้การเขียนชมพนักงานแต่หัวหน้างานบางคนก็ยังใช้วิธีการสื่อความแบบไม่ค่อยถูกต้องนัก ดิฉันเคยเห็นหัวหน้างานไม่พูดคุยกับลูกน้องเลย นั่งติดกัน แต่เวลาจะคุยกันจะใช้อีเมล์ส่งถึงกัน พอลูกน้องไม่ได้เช็คเมล์ หัวหน้าก็ดุด่า ว่าทำไมไม่เช็คเมล์ซะบ้าง   หัวหน้าบางคนก็ใช้วาจาเชือดเฉือนลูกน้องจนเป็นแผลเหวอะหวะไปทั้งตัว มีแต่การดุด่าว่ากล่าว หรือไม่ก็ประชดประชันลูกน้อง เพื่อความสะใจของตนเอง จนลืมไปว่า นี่คือลูกน้องของเราซึ่งเป็นคนที่จะต้องสร้างผลงานให้เราด้วยซ้ำ หัวหน้าไม่สามารถทำงานได้เลย ถ้าไม่มีลูกน้องมือดีคอยช่วยอีกแรง แล้วถ้าหัวหน้างานสื่อความแบบแย่ๆ แบบนี้ จะมีลูกน้องสักกี่คนที่อยากทำงานด้วย   หัวหน้างานบางคน ก็พูดไม่หยุดเลยก็มี ไม่เคยคิดที่จะฟังลูกน้องตัวเองบ้าง การสื่อความไม่ใช่แค่การส่งสารนะค่ะ การสื่อความจะรวมถึงการรับสารด้วย ดังนั้น หัวหน้างานก็ต้องมีทักษะในการฟังที่ดีด้วย ไม่ใช่ฟังแล้วคิดไปเองทุกอย่าง คิดเข้าข้างตัวเองทุกเรื่อง  นอกจากการสื่อความที่ดีแล้ว หัวหน้างานยังต้องสร้างทีมงานที่ดีอีกด้วย ต้องประสานความแตกต่างของลูกน้องแต่ละคนเข้าด้วยกัน เพื่อเป้าหมายของงาน และต้องจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทีมงาน ไม่ใช่ทำตัวให้เกิดความขัดแย้งซะเอง   เรื่องของการทำงานเป็นทีมนั้น มันเริ่มจากความเชื่อใจกัน ถ้าลูกน้องเชื่อใจหัวหน้า หัวหน้าเชื่อใจลูกน้อง ทีมงานมันก็จะเกิดค่ะ แต่ถ้าต่างคนต่างไม่มีความเชื่อใจกันเลย มันก็จบค่ะ ดังนั้นหัวหน้าจะทำอย่างไรให้ลูกน้องเชื่อใจ คำตอบก็คือ สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในทีมงาน ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่รักใครชอบใครเกินหน้าเกินตา จนทำให้คนอื่นรู้สึกว่าลำเอียง ถ้าเป็นแบบนี้ทีมงานที่ดีย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ  ดังนั้นโดยสรุปที่ได้กล่าวไปก็คือ หัวหน้างานกับการบริหารคนนั้น จะต้องสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน เสริมสร้างทักษะการสื่อความที่ดี ทั้งการส่งสาร และการรับสาร และยังต้องสร้างบรรยากาศในการทำงานเป็นทีมที่ดี รวมทั้งสามารถจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทีมได้อย่างสร้างสรรค์  ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีด้านมืดและด้านสว่าง มีเรื่องดี และไม่ดี เรื่องของผู้นำก็เช่นกัน มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง สิ่งที่ผู้นำทุกคนควรจะระวังไว้ให้ดี ก็คือ การที่เราได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำ มีอำนาจ มีหน้ามีตา มีคนยกย่องและยอมรับนับถือมากขึ้น อาจจะทำให้ผู้นำคนนั้นหันเข้าสู่ด้านมืดได้ ถ้าผู้นำท่านนั้นขาดสติ   หลายคนบ่นว่าท้อแท้กับชีวิต ไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต หมดแรง หมดหวัง หมดอาลัยตายอยาก หมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ฯลฯ ถามจริงๆ ว่าเราหมดทุกอย่างจริงๆ หรือ เราคิดว่าเราหมดทุกอย่าง ต่างกันนะค่ะ ในชีวิตจริง ไม่มีใครที่จะสูญเสียไปหมดทุกอย่างในชีวิตหรอกค่ะ นอกจากจะไม่มีชีวิตแล้ว ถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ แปลว่าเรายังมีหวังในชีวิตค่ะ ดังนั้นเปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ แล้วชีวิตเราจะดีขึ้นอีกมากค่ะ