Monthly Archives: April 2010

นิทาน รักลูกให้ถูกทาง

เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด พ่อแอบยื่นเงิน 500 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุญาตปล่อยตัวไป พ่อหันมาพูดกับชัยว่า
?ไม่เป็นไรลูก...
เงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท เมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท เพราะลูกค้ามากและเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาท คือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า ?ไม่เป็นไรหลาน...
ความผิดของเขาเอง ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์ แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่ง แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาด และฝังลงในกระบะให้ชัยนำไปส่งครู แล้วพูดว่า
?ไม่เป็นไรลูก...
ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิตที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมย ได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า
?ไม่เป็นไรหรอกหลาน...
สิทธ์ของเรา ใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ?
เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิดถือว่าอยู่ในเกม ครูฝึกบอกว่า ?ไม่เป็นไรหรอก... ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า คัดผลสวย ใบโตสีสด จัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนว่า ?ไม่เป็นไรหรอก...
ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เองแต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
เมื่อชัยอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัย ปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2 เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน พ่อพูดกับชัยว่า ?ไม่เป็นไรลูก...
เป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาส เขาทำกันทั้งนั้นแหละ? เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัยเป็นเงิน 1,500 บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด เพราะเพื่อนพูดว่า ?ไม่เป็นไรหรอกชัย...
เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ?
เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท และต้องติดคุก พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า
?ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่
ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ?
แต่แท้ที่จริงแล้ว พ่อแม่และบรรดาคนรอบข้างชัยไม่เคยรู้เลยว่า เขานั่นแหละที่สอนให้ชัยเป็นคนโกงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ที่กลายเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" เสียเอง

การทำ Performance Management

การจะทำ Performance Management หรือ PM ให้ได้ผลต้องมีการประเมินผลงานให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) อย่างตรงไปตรงมา ดีก็ว่าดี ไม่ดีก็ต้องว่าไปตามเนื้อผ้า แต่สังคมไทยนั้น เรื่องของ “หน้า” เป็นเรื่องสำคัญ แต่บางทีก็สำคัญเกินไปทำให้หลายคนรับคำวิจารณ์ในทางลบไม่ได้เลย ซึ่งในการประเมินผลงานนั้นในบางครั้งก็ย่อมมีคำวิจารณ์ในทางลบบ้าง ผู้รับคำวิจารณ์ต้องรู้จักน้อมรับว่ามันเป็นเรื่องของผลงาน ไม่ใช่ถูกกลั่นแกล้งโดยเรื่องส่วนตัว ดังนั้น เมื่อมีคนหลายคนถือเรื่อง “หน้า” ถือเรื่อง “ความเกรงใจ” เหนือความถูกต้องจึงมีผลทำให้การประเมินผลงานถูกบิดเบือนได้ ทำให้คนมีผลงานจริงๆ หมดกำลังใจที่จะสร้างผลงานต่อไป
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เชื่อเหลือเกินว่าผู้ฟังแทบทุกท่านคงได้เคยพบเคยเจอหรือกำลังพบเจออยู่ขณะนี้ คำถามต่อไปคือ “แล้วมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?”
สังคมไทยกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง ค่านิยมก็เปลี่ยนแปลง
ขณะที่คนรุ่นเก่า รุ่น Baby Boomers กำลังทยอยเกษียณออกไป ค่านิยมเรื่องระบบอาวุโส ความเกรงใจ การตอบแทนบุญคุณ การรักษาหน้า การมีน้ำใจ ก็ค่อยๆ จืดจางลงไป ดังจะได้เห็นได้ฟังคนอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไปบ่นว่า เด็กเดี๋ยวนี้มักไม่ค่อยมีความเคารพนบนอบเกรงใจผู้ใหญ่ โต้เถียงซักถามผู้ใหญ่แบบไม่ไว้หน้า ฯลฯ ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าในองค์กรนั้นเรื่องของการใช้ระบบอาวุโส การใช้เส้นสายก็อาจจะลดน้อยลงไปบ้าง นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ก็ต้องเปิดใจ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า การนำค่านิยมไทยมาใช้ในทางที่ไม่สมควรก็น่าจะน้อยลง และยิ่งถ้ามีระบบวัดผลงานที่เป็นมาตรฐานและมีความละเอียดมากขึ้น การจะบิดเบือนผลการประเมินก็ทำได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่ค่านิยมของเราเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ส่งเสริมผลงานมากกว่าอาวุโส การส่งเสริมมีความโปร่งใส ความเท่าเทียมกันและความยุติธรรมมากขึ้นนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการทำ PM แต่ก็มีข้อสังเกตอยู่เหมือนกันว่า เมื่อคนรุ่นใหม่เน้นเรื่องความเสมอภาคทัดเทียมกันและมองเรื่องผลงานสำคัญกว่าความอาวุโส ในบางครั้งก็ทำให้พวกเขาอาจจะมองข้ามมารยาทที่น่ารักๆ ของไทยไป กลายเป็นคนก้าวร้าวแข็งกระด้างโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงต้องสร้างสมดุลในเรื่องนี้ให้ดี เพื่อที่ค่านิยมของไทยที่มีคุณค่าและเป็นปัจจัยที่สร้างความกลมเกลียวในสังคม จะได้คงอยู่ต่อไปอย่างเหมาะสม
ก่อนจากกันในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
การงานจะสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่ใช่เพราะคนอื่น แต่เพราะตัวของเราเองเท่านั้น

นิทาน ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่.. บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียด พระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่า จะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี

ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที ล้างไปบ่นไปประเภทตข้าจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต! ความสำรวย ทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้าน ชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (ติดในใจว่า เณรน้อยก็มี ไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัด ก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ หลวงพ่อเจ้าอาวาส มานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานด้วย ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตา พลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ
"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี” “คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก" พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว
ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขา เพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"
โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่

การบริหารจัดการด้วย ค่านิยมแบบไทยๆ

สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เป็นการพักผ่อนการทำงานที่มีวันหยุดที่ยาวนานที่สุดของปี 2553 นี้ เพราะเป็นวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจัดเป็นวันขึ้นใหม่ไทยของเรา ดังนั้นในสัปดาห์นี้ช่วงเวลาของรายการ คนสำราญ งานสำเร็จ ดิฉันขอนำเรื่องการบริหารจัดการด้วย ค่านิยมแบบไทยๆ มาเล่าให้ฟังค่ะ
คนไทยเราภาคภูมิใจกับความเป็นชาติ ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาหลายร้อยปี มีค่านิยมและวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดกันมาจากคนแต่ละรุ่นมาถึงปัจจุบัน ชั่วระยะเวลาประมาณ 700-800 ปี นับแต่การก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย วัฒนธรรมและค่านิยมหลายประการได้ถูกลบเลือนจางหายไป แต่ก็มีค่านิยมอีกหลายประการ ที่ยังคงอยู่และแสดงถึงความเป็นคนไทยของเรา ที่มีทั้งข้อดีและข้อน่าเป็นห่วง หากนำมาใช้ไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ ซึ่งดิฉันจะหยิบยกค่านิยมบางประการของไทย ที่มีผลกระทบต่อการบริหารงานมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
Performance Management คือ แนวความคิดด้านการบริหารคน เพื่อให้ได้ผลงานมากที่สุด ซึ่งผลงานนั้นวัดโดยตัวชี้วัดต่างๆ เช่น จำนวนชิ้นงาน คุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความพึงพอใจของลูกค้า เวลา และต้นทุนในการดำเนินงาน รายได้ ผลกำไร ราคาหุ้นต่อหน่วย เป็นต้น ทั้งนี้ การวัดผลงานในปัจจุบันจะวัดเพียงแค่ “ชิ้นงาน” ไม่ได้ จำเป็นต้องมีเกณฑ์ในการประเมินหลายปัจจัยด้วยกัน สำหรับการที่ จะบริหารคน ให้ทำงานได้ผลงานตามที่ต้องการ ก็ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการเช่นกัน โดยเมื่อพิจารณาแล้ว การทำ PM จะต้องเริ่มจากการกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายที่สนับสนุน และสอดคล้องกับกลยุทธ์และเป้าหมายธุรกิจขององค์กร จากนั้นก็ต้องมีการกำหนดมาตรฐานในการคัดสรร พัฒนา ประเมินผล และให้รางวัลบุคลากรภายใต้กรอบกลยุทธ์ขององค์กร ทั้งนี้ กระบวนการขั้นตอนการทำงานของทั้งหมด ต้องสะท้อนถึงค่านิยมที่เป็นแบรนด์นายจ้างขององค์กร ที่เป็นเอกภาพ กับ
แบรนด์ขององค์กรและสินค้าอย่างสนิทแนบแน่น
แน่นอนว่าการทำ PM หากจะให้ได้ผลสัมฤทธิดังความมุ่งหมาย ผู้ที่เกี่ยวข้องคือ ผู้บริหาร ที่มีบทบาท ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในการกำหนดนโยบายการทำงานโดยภาพรวม การคัดเลือกพนักงาน การพัฒนาคน ประเมินผลงาน และพิจารณารางวัลผลตอบแทน จะต้องเป็นผู้ที่มีค่านิยมดังต่อไปนี้ค่ะ
1.มุ่งเน้นผลงาน (Result–Oriented)
2.บริสุทธิ์ยุติธรรม (Justice)
3.นิยมความโปร่งใส (Transparency)
4.มีความเป็นประชาธิปไตย (Democracy) คือ เชื่อในการมีสิทธิที่เท่าเทียมกันของพนักงานทุกคน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง นอกจากนี้ การเป็นประชาธิปไตยยังหมายความถึง การมีใจเปิดกว้าง รับฟังความเห็นของทุกฝ่าย เปิดใจยังไม่พอ ต้องเปิดโอกาสให้บุคลากรมีสิทธิแสดงความคิดเห็นด้วย
ค่านิยม 4 ประการหลักนี้ เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งอาจเป็นมากกว่าค่านิยมก็เป็นได้ ผู้เขียนมองว่ามันคือ คุณธรรมประจำใจที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนคือ ผู้บริหารและพนักงานต้องมีกันทุกคน เพื่อให้การทำ PM เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่เล่นพรรคเล่นพวกเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
ค่านิยมหลักของคนไทยนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนเช่น เวลาชาวต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทย ก็มักติดใจในอัธยาศัยใจคอของคนไทยที่มีความโอบอ้อมอารี ยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักเกรงอกเกรงใจ ให้เกียรติผู้อาวุโส ทั้งนี้ ค่านิยมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นค่านิยมหลักของคนไทยมีดังนี้ คือ
1.การเคารพผู้อาวุโส
2.การเกรงใจ
3.การรู้จักตอบแทนบุญคุณ
4.การมีน้ำใจ
5.การรักษาหน้า ไม่เผชิญหน้ายามมีข้อขัดแย้ง
ยังมีค่านิยมอื่นๆ อีกหลายประการ แต่ขอนำมาพูดคุยกันเฉพาะ 5 ประการนี้ ที่มีผลกระทบต่อการนำแนวคิด PM ไปปฏิบัติ
ค่านิยม คือ ดาบสองคม
เรื่องของความเชื่อและค่านิยมเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการนำมาใช้ เป็นเหมือนดาบสองคมที่ถ้าใช้ให้ถูกกับสถานการณ์ก็จะเกิดผลดี แต่ถ้านำมาใช้ไม่ถูกก็เกิดโทษมหันต์ จากประสบการณ์ทำงานส่วนตัวที่ดิฉันเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงงานอุตสาหกรรมหลายๆแห่ง และประสบการณ์ของคนทำงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนพบว่า ค่านิยมของไทย ที่ถูกนำมาใช้ในองค์กรในทางที่ผิด มีผลทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารงานลดลงอย่างไร และสร้างปัญหาอะไรบ้าง การให้เกียรติผู้อาวุโส การเคารพนบนอบ และแสดงความสุภาพอ่อนน้อมต่อผู้อาวุโสกว่า โดยวัยวุฒิและตำแหน่งหน้าที่การงาน เป็นการแสดงออกที่เหมาะสมงดงามและเป็นค่านิยมที่ควรรักษา แต่มีข้อแม้ว่า ผู้อาวุโสนั้นต้องเป็นผู้มีคุณธรรมสมควรต่อการที่เราจะเคารพ แต่ในสังคมนั้นย่อมมีทั้งคนดีและไม่ดี มีผู้ใหญ่ที่ทำตัวไม่เหมาะสมใช้ความเป็นผู้มีอาวุโสกดดัน บีบบังคับ หรือขอร้องแกมบังคับ ทำให้องค์กรไม่สามารถคัดเลือก พัฒนา ประเมินผล และให้รางวัลบุคลากรตามความเป็นจริง แต่ต้องเลือก หรือสนับสนุนบุคลากรเพียงเพราะเขาผู้นั้นมีวัยแก่กว่า หรือบุคลากรคนนั้นมีผู้อาวุโสฝากมา ด้วยความเกรงในอาวุโสและด้วยความเกรงใจที่ผิดกาละและกรณี ทำให้ผู้บริหาร ต้องทำงานโดย ยึดความเกรงใจ แทนที่จะยึดผลงานเป็นหลัก
ต่อไปก็คือเรื่องของ ความมีน้ำใจซึ่งนำมาใช้ไม่ถูกต้อง แต่คนไทยในองค์กรหลายคนก็อ้างเรื่องของการตอบแทนน้ำใจ การทดแทนบุญคุณเป็นเหตุผลในการส่งเสริมสนับสนุนบุคลากรที่ไม่มีความสามารถ ไม่มีผลงานแต่เป็นคนที่มีบุญคุณเคยช่วยเหลือตนในอดีต ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจจึงตอบแทนน้ำใจกลับด้วยการเลื่อนขั้นตำแหน่งให้ หรือส่งไปดูงานต่างประเทศ แบบนี้ก็มีให้เห็นคาตากันอยู่บ่อยๆ

ข้อแนะนำจากกูรู ในการขอขึ้นเงินเดือน

ดิฉันมีข้อข้อชี้แนะจากกูรู กล่าวไว้สรุปได้ตร่าวๆ ดังนี้ค่ะ
บางที .. เวลาก็ช่วยอะไรได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาที่เหมาะเจาะกับกาลเทศะ อย่างตอนที่เกิดพิษซับไพรม์หรือพิษเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันเกิดจากหนี้ด้อยคุณภาพด้านอสังหาริมทรัพย์กำลังส่งผลกระทบต่อทั่วโลก ไหนน้ำมันจะพุ่งขึ้นๆ เพราะโอเปคไม่ยอมเพิ่มกำลังการผลิต และปัญหาอื่นๆ อีกหลายปัจจัย เพราะฉะนั้นการขอขึ้นเงินเดือนตอนนี้คงยากหน่อย

“แจ็ค แช็พแมน” ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัตราเงินเดือนว่าจ้างพนักงาน เจ้าของผลงานหนังสือ "Negotiating Your Salary: How to Make $1,000 a Minute" บอกว่า ช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่คุณไม่ถูกโละ นั่นแสดงว่าการเก็บคุณไว้ในองค์กรก็ต้องมีเหตุผล คุณอาจทำงานได้ดี ทำงานได้หลายอย่าง การมีคุณหนึ่งคนอาจแทนคนได้อีกเป็นสิบ

สิ่งที่คุณควรทำคือหมั่นเก็บผลงานที่ทำในอดีต ผลงานไหนที่ประทับใจ ทำให้บริษัทเติบโตมีชื่อเสียง เก็บไว้ให้ดี เพราะจะช่วยคุณได้มากตอนเจรจาขึ้นเงินเดือน และเคล็ดลับสำคัญคือ เจ้านายของคุณก็เป็นมนุษย์เงินเดือน ซึ่งก็ต้องการประสบความสำเร็จเหมือนกัน ลองคิดดูว่าสิ่งไหนที่ช่วยผลักดันให้เจ้านายของคุณแจ้งเกิดได้ ถ้าคุณทำผลงานได้ดีจนส่งผลต่อเจ้านาย นั่นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในเจรจาขึ้นเงินเดือนได้เช่นกัน
ในวันนี้ ดิฉันขอฝากคำคมไว้ว่า
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

นิทาน อิสป สอนคน

ทุกๆวัน มดตัวน้อยมาทำงานแต่เช้า และลงมือทำงานทันทีเธอสร้างผลงานมากมาย และเธอก็มีความสุขกับงานดี
สิงโตที่เป็นหัวหน้า ก็รู้สึกแปลกใจที่เธอทำงานได้ดีโดยไม่ต้องมีการควบคุม สิงโตเลยคิดใหม่ทำใหม่ โดยใช้แนวคิดว่าขนาดไม่มีหัวหน้าดูแลยังทำงานดีเช่นนี้แล้วถ้ามีหัวหน้าเธอต้องทำงานดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย สิงโตจึงจ้างแมลงสาบ มาเห็นหัวหน้ามด
และแมลงสาบมีความสามารถมากในเรื่องการเขียนรายการ
แมลงสาบ เริ่มด้วยการตั้งระบบลงเวลาทำงาน โดบการตั้งเครื่องตอกบัตร แมลงสาบต้องการเลขามาช่วยเขียนและพิมพ์รายงาน
แมลงสาบจึงจ้าง แมงมุมมาเป็นเลขาส่วนตัว
สิงโตปลื้มกับการทำงานของแมลงสาบมากที่ให้รายงาน
และแนวโน้มต่างๆจากรายการที่ส่งทำให้สิ่งโตได้หน้า
เพื่อการนี้ แมลงสาบจึงขอซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์เพื่อการทำงานให้สิ่งโต แน่นอนตั้งมี แผนก IT เขาจึงจ้างแมลงวันมาเป็น IT manager แต่มดเบื่อกับระบบงานแบบใหม่มากเพราะมัวแต่รายงาน งานเอกสารมากมาย
และการประชุมที่แสนเสียเวลา และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเลือกหัวหน้าแผนกที่มดทำงานอยู่ แต่ตำแหน่งนี้ตกเป็ของ จั๊กจั่น
จั๊กจั่นทำงานชิ้นแรกคือ สั่งซื้อ พรม อุปกรณ์การยศาสตร์ เช่นเก้าอี้ใหม่ในสำนักงานของเขาเอง จั๊กจั่นต้องการเครื่องใช้สำนักงานและผู้ช่วยจากแผนกเดิมเพื่อเตรียมงบประมาณ
และแผนกที่มดทำงานก็เป็นแผนกที่โศกเศร้า ไร้เสียงหัวเราะ ทุกคนในแผนกก็หัวเสียง่าย จั๊กจั่นของบทำการสำรวจ ศึกษา สภาพการทำงานที่เหมาะสม สิงโตก็เห็นด้วยว่าที่แผนกมด ทำงานได้แย่ลง จึงจ้างนกฮูกเข้ามาเป็นทีปรึกษาเพื่อศึกษาวิธีการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต นกฮูกสรุปว่า ที่แผนกของมดมีการจ้างคนมากเกินไปเลยทำให้ประสิทธิภาพไม่ดี
เดากันนะค่ะว่าใครจะถูกปลดออกเป็นคนแรก มดนั่นเอง เพราะที่ปรึกษาบอกว่า มดเป็นคนที่ไร้แรงจูงใจ และทัศนคติไม่ดี
ตัวละครทั้งหมดล้วนแต่สมมุติขึ้นทั้งนั้นค่ะ
คงคุ้นๆนะค่ะ เรื่องนี้ มีจริงในหลายองค์กร
ระบบงานที่ดูเหมือนดี และน่าจะมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
แต่คนดำเนินการไม่มีความคิดรวบยอดเข้าสู่เป้าหมายหลักขององค์กร จนทำให้คนที่ตั้งใจทำงานจริงๆ กลายเป็นจำเลยไปในที่สุด ถ้าเป็นพนักงานขาดแรงจูงใจด้วยสาเหตุดังนิทานข้างต้น มันแก้ยากค่ะ ถ้าอยากให้มดกลับมาทำงานดีดังเดิม ก็ต้องให้สิงโต พิจารณาตัวเองค่ะ ว่าแต่ท่านเป็นสัตว์ชนิดไหนในนิทานค่ะ

อยากขอเจ้านายขึ้นเงินเดือน ต้องทำอย่างไรดี

คนไทยเราเป็นชนชาติขี้เกรงใจ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ยิ่งเกรงใจคูณสอง อย่างเรื่องขอเจ้านายขึ้นเงินเดือนนี่ปะไร ทำงานมาตั้งนานนม ผลงานโตขึ้นเป็นกอง แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ..
ว่าแต่ของแบบนี้ใครไม่เห็น เจ้านายไม่เห็น และตัวคุณนั่นแหละที่เห็น ในเมื่อตนเป็นที่พึ่งของตนฉันใด คุณเองเท่านั้นที่จะต้องรวบรวมความกล้า เดินหน้าเข้าไปหาเจ้านายเพื่อขอขึ้นเงินเดือนด้วยตัวคุณเอง..ฉันนั้น
1. อย่าบอกเจ้านายว่า คุณหวังว่าเจ้านายจะขึ้นเงินเดือนให้เป็นเงินเท่านั้นเท่านี้
ตรงกันข้าม ให้บอกเจ้านายว่า จะปฏิเสธคุณเลยก็ไม่ว่า เพราะคุณเป็นคนที่รับได้กับการถูกปฏิเสธ และคุณก็ไม่อยากให้เจ้านายคิดมากถ้าต้องปฏิเสธ การเกริ่นแบบนี้แต่แรกจะทำให้ภาพทุกอย่างชัดเจนทั้งตัวคุณและเจ้านาย ไม่ต้องกลัวว่าวันหลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเก็บไปคิดเล็กคิดน้อย
2.อย่าเจ้าอารมณ์จนเกินไป ก่อนไปปะหน้าเจ้านาย ให้ทำใจให้ว่าง ทำสมองให้โล่งโปร่ง และอย่ากดดันตัวเองว่าผลการเจรจาครั้งนี้จะต้องสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณเองนั่นแหละที่จะเกร็งจนพูดไม่ออก
3.อย่าเจรจาในที่ที่บรรยากาศไม่เอื้อ ลองทำการบ้านมาก่อนเรื่องเวลา สถานที่ บรรยากาศ และปัจจัยอื่นๆ ที่จะเอื้อให้การพูดครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ศึกษาดูว่าช่วงที่เวลาไหนที่เจ้านายแฮปปี้ที่สุดและยากที่จะปฏิเสธ อะไรเป็นอุปสรรคขวางคุณอยู่ตรงหน้า ลองศึกษาเรื่องผลประกอบการบริษัทในปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ช่วงนี้มีใครถูกไล่ออกไหม พยายามมองหลายมุมเพื่อให้เจ้านายเออออด้วยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องตั้งอยู่บนความสมเหตุสมผลเป็นสำคัญ
4.อย่าเลียจนเกินงาม ให้เจ้านายรู้สึกได้ว่าคุณก็ยังเป็นคุณคนเดิม การทำอะไรที่มันผิดแผก เช่น การเอาใจเจ้านายด้วยการแต่งกายยั่วยวน (กรณีเจ้านายเป็นผู้ชาย) การซื้อของราคาแพงๆ มาประเคน หรือการทำบางสิ่งบางอย่างที่เสแสร้งแกล้งทำ ทั้งๆ ที่ตัวจริงของคุณเป็นอีกอย่าง จะทำให้เจ้านายรู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไป เผลอๆ เขาอาจจะคิดไปได้ว่าคุณเป็นประเภททำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ
5.อย่าพรีเซนต์แบบเว่อร์ พยายามพูดแบบเนื้อๆ เน้นๆ และตรงประเด็นที่สุด ที่พลาดไม่ได้คือการถามความเห็นของเจ้านาย เพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของบริษัท และมุมมองของเจ้านายที่มีต่อตัวคุณและผลงานเป็นอย่างไร
6. อย่าต้อนเจ้านายด้วยคำถามที่ต้องตอบว่า “โอเค” กับ “โนเค” พยายามถามด้วยคำถามที่ให้โอกาสเจ้านายได้โต้ตอบเป็นฉากๆ เช่น คำถามที่เริ่มต้นประโยคด้วย "ใคร" "อย่างไร" "ที่ไหน" "ทำไม" "เมื่อไหร่" เมื่อเจ้านายพูดแนะนำหรือให้เหตุผลใดๆ ออกมา รับรองว่าคุณจะได้ข้อมูลใหม่ๆ มาใส่ “แรม” ของตัวเองได้อีกเพียบ ถ้าการขออัพเงินครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หลังจากนี้คุณสามารถเก็บไปวิเคราะห์และพัฒนาตัวเองให้เข้าตาเจ้านายต่อไปได้ในอนาคต
7.อย่าเพิ่งนึกถึงตอนจบ เป็นไปได้อย่านึกถึงเป็นดีที่สุด อย่าหวังหรือวางแผนเป็นขั้นๆ หรือเป็นสูตรตายตัวว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้ลองโฟกัสไปในจุดที่คุณสามารถควบคุมได้ตอนเจรจา เช่น การเตรียมข้อมูลสำคัญ การควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นเกินไป หรือหากเจ้านายถามเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ต้องตอบให้ได้จะดีกว่าเยอะ
8.อย่าเชื่อมั่นตัวเองสุดโต่งว่า คุณจะต้องได้เงินเดือนขึ้น
ให้คิดว่าการที่คุณมาเจรจาและแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจ้านายก็เพื่อเป้าหมายของการบรรลุผลตามปรัชญาหรือตามเป้าหมายของบริษัท เงินเดือนมีผลต่องานที่คุณจะทำออกมา และเจรจาก็เพื่อให้องค์กรได้ผลผลิตของงานที่ดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกประเด็นที่คุณยกมาเป็นตัวอย่างในการขอขึ้นเงินเดือน ทำให้งานงอกเงยขึ้นและมีส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทโตขึ้นจริงๆ
9. อย่าคิดว่าเงินเดือนหรือตำแหน่งงานตอนนี้ของคุณคือปัญหา
จงพรีเซนต์ตัวเองว่าเป็นผู้ไขทางออก อย่ากลัวที่จะเอาผลงานที่เคยทำสำเร็จมาโชว์ให้เห็นเป็นรูปธรรม จงทำให้เห็นว่างานที่ว่านั้นได้ช่วยบริษัทในแง่มุมไหนบ้าง ยิ่งถ้าคุณเตรียมการบ้านมาดีและลิสต์แง่มุมต่างๆ รอบด้านแล้ว การเจรจาต้าอวยจะไม่มีอะไรทำให้หงุดหงิดหัวใจ
10. อย่าแสดงท่าทีข่มขู่ คุกคาม หรือบีบคอเจ้านายให้ตอบตกลง
ให้สงบเสงี่ยมเจียมตัว วางระยะห่างของคุณกับเจ้านายให้ดี (ให้เกียรติและเคารพในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้างาน) พูดจาฉะฉานและมีเหตุมีผล ถ้าต้องถกกันก็ควรถกแบบเคลียร์ๆ แตกประเด็นออกไป ให้ชัดเจนแบบคนมีวุฒิภาวะ ไม่ต้องกลัวว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ถ้าลองได้ทำการบ้านมาดี คุมอารมณ์อยู่ มั่นใจตัวเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาแม้ไม่เต็มร้อย แต่เชื่อว่าน่าจะเกิน 75 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่หายไปอาจเกิดจากปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือจากการควบคุมของตัวคุณหรือแม้เจ้านายเอง

คนทำงานต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง

คนทำงานต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ส่วนหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารที่จะต้องบริหารจัดการและดูแลพนักงานในช่วงอายุที่แตกต่างกัน โดยเน้นย้ำการสื่อสารให้ชัดเจน
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วมาก บางครั้งพนักงานปรับตัวไม่ทัน พนักงานก็อาจจะตั้งคำถามว่า รักษาพนักงานไว้ได้ไหม? บางครั้งถ้ารักษากันไว้ไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยที่สุดบริษัทก็ต้องปฏิบัติกับเขาเหล่านั้นอย่างยุติธรรม
ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งบริษัท GE เคยปลดพนักงาน 60,000 คนทั่วโลก พนักงานบอกว่าเขาได้รับโอกาสจากบริษัทให้ปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้ายังไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ GE ก็ยินดีจ่ายค่าชดเชยให้ ขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ตอนนี้ก็เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานไปหมดแล้ว บริษัทชั้นนำอย่าง โตโยต้า ซัมซุง ไม่มีการจ้างงานตลอดชีพ แต่เน้นประสิทธิภาพจากผลการปฏิบัติงานแทนดังนั้นองค์กรไทยก็จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกันนี้เหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการทำตามธรรมเนียมฝรั่ง หรือการมองข้ามความภักดี เพราะความภักดีที่ว่านั้นจะต้องอยู่ภายใต้ผลงานที่คงเส้นคงวา แต่ปัญหาที่เจอคือ เวลาองค์กรแบบไทยนำเอาเครื่องมือการจัดการจากต่างแดนมาใช้ มักจะไม่ดูให้ถ้วนถี่ว่าเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการณ์แค่ไหน?
ท่านผู้ฟังค่ะ อย่างไรก็ดี ดิฉันอยากจะบอกว่า วันนี้โลกเปลี่ยนไป เราต้องปรับปรุงตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำตัวเองให้มีคุณค่าอยู่เสมอ การเปลี่ยนแปลงถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัว สร้างคุณค่าเพิ่ม หาจุดเด่นในตนเองให้พบ ถึงเหนื่อยหน่อย แต่เป็นงานที่ต้องทำค่ะ" นิยามของมนุษย์เงินเดือนในเศรษฐกิจยุคดิจิตอล ต้องทำตัวให้เป็นหัวกะทิสุดๆ ถึงจะปลอดภัยที่สุด หรือทำอย่างไรก็ได้ ที่จะไม่เป็นพนักงานเกรดซี แต่ต้องรักษาตัวเองให้อยู่ระดับเกรดบีหรือเกรดเอ และการเป็นมนุษย์เงินเดือนจะรอสวรรค์มาโปรดไม่ได้ ต้องถีบตัวเองให้ถึงสวรรค์ หรือดึงสวรรค์ให้หันมามองเห็นเรา ต้องหาโอกาสแจ้งเกิด ไม่ใช่รอแมวมอง และต้องคิดอยากเป็นเถ้าแก่ด้วย ถ้าปรับวิธีคิดแบบนี้ได้ จะเห็นว่ามุมมองของตัวเองเปลี่ยนไปจาก
ในคราวนี้ ดิฉันขอฝากคำคม ไว้ว่า
ความผิดพลาดมักเกิดจากสองสาเหตุ คือคิดแต่ไม่เคยทำ
กับทำแต่ไม่เคยคิด

นิทาน นิ้วมือทั้งห้า

ครั้งหนึ่งนิ้วมือคน ทั้ง 5 นิ้วเกิดโต้เถียงกัน โดยแต่ละนิ้วต่างก็ถือว่านิ้วของตนมีความสำคัญกว่านิ้วอื่น
“นิ้วฉันสำคัญกว่าทุกนิ้ว เพราะเป็นนิ้วแห่งความมีอำนาจสามารถชี้สั่งการให้ใครทำอะไรก็ได้และสามารถชี้แนะสั่งสอนให้คนอื่นทำตาม” นิ้วชี้เริ่มต้นคุยอวดความยิ่งใหญ่ของตนเองก่อนนิ้วอื่น ทำให้นิ้วอีก 4 นิ้ว ไม่พอใจที่ถูกคุยทับถมจึงตอบโต้ไป
นิ้วกลางบอกว่า “นิ้วของฉันยาวและสูงกว่าพวกท่านทุกนิ้ว จึงต้องสำคัญกว่านิ้วอื่น ไม่เช่นนั้น พวกท่านคงไม่มาห้อมล้อมคอยปกป้องดูแลนิ้วของเราหรอก”
นิ้วนางอวดบ้างว่า “นิ้วของฉันเป็นนิ้วของผู้มีสง่าราศรีมีเกียรติกว่านิ้วอื่น เวลาคนจะสวมแหวนเพชร แหวนทอง เขาก็จะสวมที่นิ้วฉัน”
นิ้วก้อยก็บอกว่า “นิ้วฉันแม้จะเล็กหรือเรียวกว่านิ้วอื่น ๆ แต่เป็นนิ้วนำทาง ใครจะกราบพระหรือไหว้พระ หรือไหว้ผู้ใหญ่ นิ้วฉันก็จะถึงก่อนและอยู่ใกล้ชิดกว่านิ้วไหน ถือว่าเป็นนิ้วที่มีบุญ หรือเวลาใครจะคืนดีกัน หรือหนุ่มสาวจะควงคู่กันให้หวานชื่นเขาจะเกี่ยวก้อยกัน”
นิ้วหัวแม่มือได้ฟังก็บอกว่า “ใครจะสำคัญอย่างไรก็แล้วแต่ หากไม่มีนิ้วหัวแม่มือเวลาจะหยิบจับของอะไรจะหยิบถนัดได้อย่างไร เวลาใครลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แม้แต่เข้าโรงรับจำนำ หรือการแสดงหลักฐานแทนการลงลายมือชื่อ เขายังต้องใช้นิ้วฉันพิมพ์ลายนิ้วมือ”
มือได้ฟังนิ้วทั้ง 5 อวดความยิ่งใหญ่ของตน ก็สุดแสนรำคาญ จึงห้ามปรามและอธิบายให้ฟัง “ลองนึกดูให้ดี ถ้าเกิดมีใครตัดนิ้วหนึ่งนิ้วใดขาดหายไป นิ้วพวกท่านที่เหลือจะทำงานได้สะดวกหรือ แล้วมือของเราก็คงต้องพิกลพิการ ดูไม่งามอย่างนี้หรอก ทุกนิ้วล้วนมีความสำคัญทั้งนั้น ถ้าไม่สามัคคีกัน แล้วจะร่วมกันทำงานให้สำเร็จได้อย่างไร”
ท่านผู้ฟังค่ะ นิทานเรื่องนี้คงเตือนใจได้อย่างดีว่า จะต้องตั้งหลักให้ดี อย่ามัวแต่เมาทฤษฎี จนจัดกระบวนทัพไม่ถูก หรือไปให้ความสำคัญกับนิ้วใดนิ้วหนึ่งจนทำให้องค์กรเกิดความยุ่งเหยิง บุคลากรเกิดความขัดแย้งกัน เพราะถ้าองค์กรใดเป็นเช่นนี้ ความฝันที่จะบริหารให้เป็นองค์รวมคงจะสำเร็จได้ยาก

การบริหาร คือการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย

คะ การบริหารคือการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย โดยอาศัยความร่วมมือของผู้อื่น เพราะเรามีความเชื่อว่า การทำงานให้สำเร็จโดยความพยายามของผู้อื่น หมายความว่า ท่านต้องแก้ปัญหามากกว่าที่จะหนีปัญหา ท่านต้องนำบุคลากรตามแนวทางที่เหมาะสม เมื่อท่านทำแบบนี้เขาจะไม่บ่น ที่ทำงานก็จะเป็นดินแดนสวรรค์ที่มีคนทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข สถานที่ทำงานราบรื่น ทุกคนทำงานเพื่องาน และเพื่อท่านผู้นำค่ะ วันนี้ดิฉันมี ยุทธวิธี 19 ประการสำหรับภาวะผู้นำที่ช่วยให้ผู้นำ ประสบความสำเร็จ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
1. รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับนายของท่าน สัมพันธภาพที่ดีมีผลโดยตรงกับความสามารถของท่านที่จะสร้างความพอใจ และผูกใจผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นำที่มีความสามารถได้รับอำนาจจากนายของเขา
2. ทำตัวอย่างที่ดี ส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดให้กลุ่มมุ่งเน้นที่เป้าหมาย
5. ให้รางวัลผู้ให้ความร่วมมือและทำงานหนัก ถ้าให้รางวัลเขาแล้ว เขาจะทำงานดีขึ้น ในสิ่งที่ท่านอยากให้ผู้ร่วมงานปฏิบัติ เช่น มีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ควบคุมอารมณ์ใช้ปัญญา กล้าตัดสินใจ ยีดหยุ่นมีเหตุผล กำหนดวัตถุประสงค์ ริเริ่ม กระตือรือร้น ท่านต้องให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ ท่านต้องเป็นแบบอย่าง การเป็นแบบอย่างเป็นยุทธวิธีที่ดีมากสำหรับผู้นำที่มีความสามารถ
3. บอกความคาดหวังท่านชัดเจน ท่านคาดหวังอย่างไรกับผู้ร่วมงานที่เขาจะทำให้เกิดความพึงพอใจกับท่าน อย่าคิดเอาเองว่าเขาจะทราบไม่ต้องกลัวที่จะบอกเขาว่าท่านต้องการอะไร บอกเขาก่อนที่เขาจะทำงาน และเตือนเขาบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้
4. นัดประชุมเพื่อสร้างทีมให้เข้มแข็ง ส่งเสริมการมี
6. ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล และหาประโยชน์จากความแตกต่างเหล่านั้น
7. ให้คำชมบางคนที่ให้ความร่วมมือกับทีมดูวัตถุประสงค์ ความจริงใจ และความถี่ ท่านแน่ใจว่าเขาทำตามความคาดหวังของท่าน และสามารถปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
8. รับฟังผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงานจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ท่านจะได้รับความนับถือและไดรับความจริงใจมากขึ้น ท่านจะได้ทราบความเป็นไปในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น
9. เลือกบุคคลที่สามารถทำงานกันเป็นทีม ไม่มีการฝึกอบรมชนิดใดที่จะเปลี่ยนแปลงบุคลากรที่แปลกแยกจากทีมของท่านได้มากนัก ให้พิถีพิถันในการเลือกคน อย่าต้องมาจ่ายเงินเพื่อแก้ไขสิ่งผิด ๆ ทิ้งไว้ให้คู่แข่งของท่านจะสวยกว่า
10. ร่วมกันกำหนดเป้าหมายทัศนภาพ สร้างแรงจูงใจ และเหตุผลต่าง ๆ ไม่ต้องบอกว่าเขาต้องทำอะไรในสถานการณ์ต่าง ๆ และให้เขาช่วยตัดสินใจในวิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้บรรลุผลตามความต้องการต่าง ๆ เหล่านั้น
11. ยอมรับความผิดพลาด การยอมรับความผิดพลาดแสดงถึงความเข้มแข็งมากกว่าการแสดงความอ่อนแอ
12. อย่าให้คำมั่นสัญญาอะไรง่าย ๆ มีสองสิ่งที่จะเกิดขึ้น เวลาให้สัญญาไม่เป็นสิ่งที่ดีนัก นั่นก็คือ มีความคาดหวังให้เป็นไปตามสัญญา และถ้าไม่เป็นไปตามสัญญา มิตรภาพก็จะสลาย
ไป
13. บริหารเวลาให้ดี ควรมีเวลาให้เพื่อนร่วมงานของท่านบ้าง
14. มอบหมายงานให้เหมาะสมกับคนสอดคล้องกับความต้องการขององค์กร สิ่งนี้เป็นคำตอบที่ดีสำหรับคำถามที่ว่า "ข้าพเจ้าจะจูงใจลูกน้องได้อย่างไร"
15. ท่านต้องยอมรับค่าของคนตามความแตกต่างของบุคลากร ท่านก็คงทราบว่าสิ่งใดที่จะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น คนอื่น ก็เช่นเดียวกับท่าน ทุกคนต้องการมีความรู้สึกว่าตนเองสำคัญ ถ้าท่านยกย่องเขา เขาก็ยกย่องท่าน
16. แก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างซื่อตรง และยุติธรรม ให้ตระหนักถึงสไตล์การแก้ปัญหาความขัดแย้งของท่าน เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
17. ให้ข้อมูลในการทำงานก่อนที่เขาจะทำงาน เพื่อนร่วมงานต้องการข้อมูลที่จำเป็นในการทำงาน เมื่อท่านมอบหมายงานท่านต้องให้ข้อมูลเขา
18. ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจากแรงกดดันของแต่ละวันบ้าง ท่านต้องมีเวลาคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้เป้าหมายบรรลุผล ควรจะวางแผนอย่างไร มิฉะนั้นท่านก็
19. อย่าเป็นคนที่เคร่งเครียดจนเกินไป ร่าเริงและเป็นกันเองกับลูกน้องบ้างจะต้องต่อสู้กับปัญหา ๆ โอกาสที่ท่านจะประสบความสำเร็จยากมากต้องปล่อยวางบ้าง