Daily Archives: January 19, 2014

 

 

ตลาดภูธร-กลุ่ม CLMV โอกาสทองธุรกิจอีเวนท์ไทย

หวังชิงส่วนแบ่งมูลค่าต่างประเทศ 1,412 ล้านบาท

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ยังเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไปสู่ตลาดต่างจังหวัด และการส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญเป็นเมืองแห่งไมซ์ เป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว รวมถึงความต้องการการจัดงานอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV เป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยในต่างประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงาน มาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ในขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่อาจขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ในยุคปัจจุบันผู้ประกอบการมีทางเลือกในการทำการตลาดเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการทำการตลาดในเชิงกิจกรรม หรือการจัดงานอีเวนท์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากผู้ประกอบการ เนื่องจากสามารถสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง ความนิยมในการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการดังกล่าวนำมาซึ่งการเติบโตของธุรกิจบริหารการจัดงาน หรือธุรกิจอีเวนท์ ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนผู้ประกอบการให้การจัดงานอีเวนท์ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปี 57 ธุรกิจอีเวนท์ยังเติบโต

การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ประชาชนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับช่วงปลายปีซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจะทุ่มงบประมาณในการจัดงานอีเวนท์ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ก็ยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมือง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 จึงไม่เติบโตตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้

สำหรับในปี 2557 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2556 ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ในช่วงต้นปีอยู่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาทิศทางการใช้งบประมาณของผู้ประกอบการในภาพรวมภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองแล้ว จะพบว่าผู้ประกอบการย่อมให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงมีแนวโน้มจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้น เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเป็นการใช้งบประมาณสร้างประสบการณ์และการมีส่วนร่วมกับสินค้าและบริการสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้า (Two-way Communication) รวมถึงยังสามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างชัดเจนมากกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่เป็นเพียงการใช้งบประมาณสื่อสารจากผู้ประกอบการไปยังลูกค้าในทิศทางเดียว (One-way Communication) รวมถึงยังวัดผลความสำเร็จในการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ยาก หรือกล่าวโดยสรุปได้ว่า ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งรวมถึงการจัดงานอีเวนท์ก็ยังสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการได้ดีกว่าการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ

จากแนวโน้มการจัดสรรงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มายังการจัดงานอีเวนท์มากขึ้น ประกอบกับการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไปหรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ของผู้ประกอบการในปี 2556 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการน่าจะทยอยกลับมาจัดงานอีเวนท์ในปี 2557 นี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประมาณการว่า ธุรกิจอีเวนท์จะเติบโตขึ้นจากมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ในปี 2556 ไปสู่มูลค่าประมาณ 14,300-14,700 ล้านบาท ในปี 2557 หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 2-5 โดยแบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดภายในประเทศประมาณ 13,010-13,288 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 4 และเป็นมูลค่าธุรกิจอีเวนท์ที่จัดต่างประเทศประมาณ 1,290-1,412 ล้านบาท หรือเติบโตไม่เกินร้อยละ 21 สอดคล้องตามทิศทางการมุ่งขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่

ในอดีตที่ผ่านมา งานอีเวนท์เป็นรูปแบบการทำการตลาดที่ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการเป็นอย่างสูง ประกอบกับการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์สามารถเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี อย่างไรก็ตาม จากการที่ธุรกิจอีเวนท์มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกันกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

ดังจะเห็นได้จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางด้านการเมืองในปี 2556 ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจอีเวนท์ในปี 2556 ให้เติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น โดยพบว่าในปี 2556 นั้น ธุรกิจอีเวนท์มีมูลค่าติดลบกว่าร้อยละ 7 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงมองว่า หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ยืดเยื้อไปจนถึงช่วงกลางปี ประกอบกับมีปัจจัยลบด้านอื่นๆ ที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการอนุมัติโครงการภาครัฐ รวมถึงภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นเหตุให้ประชาชนมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการจัดงานอีเวนท์ออกไป หรือยกเลิกการจัดงานอีเวนท์ ก็อาจส่งผลให้ธุรกิจอีเวนท์ในปี 2557 เติบโตได้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ในขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในต้นปี 2557 นี้ ไม่ยืดเยื้อ รวมถึงมีปัจจัยหนุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ธุรกิจอีเวนท์ก็จะสามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 5 ตามที่คาดการณ์ไว้ได้

ตลาดภูธรและกลุ่ม CLMV โอกาสอีเวนท์ไทย

แม้ว่าธุรกิจอีเวนท์จะอ่อนไหวต่อปัจจัยการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ยังมีช่องว่างในตลาดทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศที่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ตลาดต่างจังหวัดผลักดันให้ธุรกิจอีเวนท์ภายในประเทศขยายตัว การขยายตัวของความเป็นเมือง ประกอบกับการเล็งเห็นถึงขนาดตลาดผู้บริโภคและศักยภาพทางเศรษฐกิจในพื้นที่ต่างจังหวัด ที่จะนำมาซึ่งกำลังซื้อของคนในพื้นที่ ผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ จึงหันมามุ่งขยายธุรกิจจากกรุงเทพฯ ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งผลให้มีความต้องการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ เราจะเห็นได้ว่า พื้นที่ต่างจังหวัดยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางด้านการเมืองน้อยกว่ากรุงเทพฯ จึงส่งผลให้การจัดงานอีเวนท์ในต่างจังหวัดมีโอกาสถูกชะลอหรือยกเลิกในระดับต่ำกว่าการจัดงานอีเวนท์ในกรุงเทพฯ

นอกจากธุรกิจอีเวนท์จะขยายตัวไปต่างจังหวัดสอดคล้องตามการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการแล้ว การส่งเสริมให้หัวเมืองต่างจังหวัดที่สำคัญ ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา และภูเก็ต เป็นเมืองแห่งไมซ์ (Meetings, Incentives, Conventions and Exhibitions: MICE) ประกอบกับความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดดังกล่าว เช่น สถานที่จัดประชุม พื้นที่การจัดแสดงสินค้า เส้นทางการคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค บริการด้านโรงแรมและที่พัก บุคลากร เป็นต้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธุรกิจอีเวนท์ยังสามารถขยายตัวในต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดีจากการจัดงานโดยภาครัฐ ผู้ประกอบการ สมาคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งจะใช้บริการธุรกิจอีเวนท์ในรูปแบบของผู้บริหารจัดการประชุม สัมมนา และงานแสดงสินค้าอีกด้วย

CLMV ตลาดใหม่ธุรกิจอีเวนท์

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ที่ส่งผลให้ประชาชนในประเทศมีกำลังซื้อสูงขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ประเทศดังกล่าวเป็นเป้าหมายด้านการค้าการลงทุนของผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ประกอบการไทย ส่งผลให้มีความต้องการการจัดงานอีเวนท์เพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในประเทศกลุ่ม CLMV ยังจำกัด ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าในการเข้าไปให้บริการในประเทศดังกล่าว

นอกจากนี้ การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ก็ยังเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศกลุ่ม CLMV มีการขยายตัวยิ่งขึ้น และเอื้อให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ไทยสามารถเข้าไปประกอบธุรกิจยังประเทศดังกล่าวได้สะดวกขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้เริ่มเข้าไปเจาะตลาดประเทศกลุ่ม CLMV

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเมียนมาร์ ที่ได้มีการรับจัดงานอีเวนท์และแคมเปญขนาดใหญ่ในปีที่ผ่านมา เช่น งานเฉลิมฉลองเคาท์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ งานเทศกาลสงกรานต์ งานมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 เป็นต้น รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยยังริเริ่มสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ของประเทศกลุ่ม CLMV ในหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น การร่วมหุ้นจัดตั้งบริษัท การร่วมก่อสร้างสถานที่จัดงานอีเวนท์เพื่อส่งเสริมให้ประเทศกลุ่ม CLMV มีสถานที่รองรับการจัดการงานที่จะสามารถต่อยอดธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ อีเวนท์ขนาดใหญ่ของไทยได้ เป็นต้น

แนะปรับกลยุทธ์การแข่งขัน

ภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน ก่อให้เกิดความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ในระดับสูง การรับมือโดยการกระจายความเสี่ยงผ่านการขยายธุรกิจไปในต่างจังหวัด และเจาะตลาดใหม่ในต่างประเทศอาจไม่เพียงพอ ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์จึงควรปรับกลยุทธ์การแข่งขันควบคู่กันไปด้วย โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดกลางและเล็กควรปรับกลยุทธ์จากการเป็นผู้บริหารการจัดงานมาสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร กล่าวคือ ประยุกต์ใช้จุดแข็งในด้านความเข้าใจความต้องการของผู้เข้าร่วมการจัดงานอีเวนท์ มาต่อยอดในการเป็นผู้ให้บริการสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการจัดการงานอีเวนท์

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่ สามารถใช้ข้อได้เปรียบทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี รวมถึงองค์ความรู้ในการบริหารจัดการงานอีเวนท์ ผนวกกับเครือข่ายพันธมิตรที่มีอยู่ ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสื่อโฆษณา รวมถึงธุรกิจบันเทิง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในกลุ่ม CLMV ที่พบว่ารูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมของผู้คนมีความคล้ายคลึงกับคนไทย ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนท์ขนาดใหญ่สามารถนำองค์ความรู้ในด้านความเข้าใจในความต้องการของคนไทยประยุกต์ใช้กับผู้คนในประเทศดังกล่าวได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาถึงความแตกต่างด้านรูปแบบวิถีชีวิตและรสนิยมในบางประการที่เป็นประเด็นอ่อนไหวควบคู่กันไป เพื่อให้การขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความราบรื่น

ขอบคุณ : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การชุมนุมปิดกรุงเทพฯ (ชัตดาวน์) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยภาพรวมการจำหน่ายสินค้ายังคงเป็นไปตามปกติ ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่อยู่ในย่านของการชุมนุม แม้จะปิดให้บริการเร็วขึ้น แต่ยังมีประชาชนเข้าไป จับจ่ายซื้อของเช่นเดิม ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ต้องการใช้รถยนต์ส่วนตัวในการเดินทางมาซื้อ สินค้ามีอุปสรรคในเรื่องเส้นทาง เนื่องจากมีการชุมนุมปิดถนนและย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แต่ก็มีลูกค้าในกลุ่มของผู้ชุมนุมเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้าในย่านที่มีการ ชุมนุมด้วยเช่นกัน ขณะที่ร้านสะดวกซื้อมียอดขายดีขึ้น ร้านอาหารปรุงสำเร็จและร้านจำหน่ายสินค้าจิปาถะต่างๆ จะคึกคักขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากความต้องการบริโภคมีมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ของการชุมนุม ส่วนการจัดส่งสินค้ายังไม่พบปัญหา เนื่องจากผู้ค้าได้มีการเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า ทั้งการสต๊อกสินค้าล่วงหน้าและการเตรียมเส้นทางสำรองในการขนส่งสินค้าภาย หลังจากที่มีการชุมนุมปิดเส้นทางสำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ หากการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ยืดเยื้อ 2 สัปดาห์คาดว่าจะมีผลกระทบกับการจำหน่ายสินค้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะในย่านธุรกิจที่เป็นพื้นที่ชุมนุม เช่น สยามและย่านราชประสงค์ ที่ยอดขายจะลดลงจากจำนวนลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวที่จะลดลง แต่ในส่วนของร้านค้าย่อยหรือร้านสะดวกซื้อคาดว่าจะยังคงคึกคัก แต่จะต้องมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เนื่อง จากร้านสะดวกซื้อสามารถสต๊อกสินค้าไว้ได้เพียง 3 วัน

ด้านนายวรวิทย์ เจริญวัฒนพันธ์ นายกสมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย กล่าวถึงการขนส่งสินค้าในพื้นที่ที่ม็อบปิดกรุงเทพฯ ยังไม่พบปัญหาใดๆ ในการนำสินค้าไปส่งให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะห้างค้าปลีกใหญ่ได้สต๊อกสินค้าที่มีความจำเป็นไว้ล่าง หน้าแล้ว ยกเว้นเพียงสินค้าประเภทอาหารที่ยังต้องการเพิ่มเติม โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น ที่ยังต้องการสินค้าประเภทอาหารเข้าไปจำหน่ายเพิ่มเติมด้วย ซึ่งการขนส่งสินค้าก็ยังสามารถทำได้อยู่ เนื่องจากผู้ชุมนุมยังเปิดเส้นทางให้สัญจรไว้บ้าง และเท่าที่ติดตามสถานการณ์การชุมนุมยังมีเส้นทางที่สามารถขนส่งสินค้าเข้าไป ยังพื้นที่ชุมนุมและพื้นที่ใกล้เคียงยังสามารถทำได้อยู่เช่นเดิม

42688149AAAD43E3AF1FC3EF7D9AC79F

ทีวีไดเร็คตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต15% 17 มกราคม 2557 เวลา 20:11 น. |เปิดอ่าน 226 | ความคิดเห็น 0 0 1 More Sharing Services ทั้งหมด + ทีวีไดเร็ค ประกาศแผนธุรกิจปี 57 วาง  5  แนวทางธุรกิจ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต……. อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1avrDam

D11004768-0

โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เตรียมขยายธุรกิจทางภาคใต้ของประเทศไทย เดินหน้ารุกจังหวัดกระบี่เต็มแรง ล่าสุดเซ็นสัญญาเข้าบริหารรีสอร์ทใหม่ 3 แห่ง ในอำเภอคลองเมืองโดยจะดำเนินการพัฒนารีสอร์ททั้งหมดตามกรอบแผนแม่บทฉบับเดียวกันที่ได้วางไว้ สำหรับรีสอร์ทใหม่ จะมีชื่อว่า เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่   ทั้งนี้ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด เป็นเจ้าของพิลิแกนเบย์ผู้พัฒนาโครงการรีสอร์ททั้ง 3 แห่ง ได้เซ็นต์สัญญากับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เพื่อเข้าบริหารรีสอร์ท เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา   โดยเซ็นทาราได้เปิดให้บริการรีสอร์ทแล้วจำนวน 2 แห่งได้แก่ เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา กระบี่ โดยเปิดให้บริการ เมื่อปี 2549 และเซ็นทาราอันดาเทวีรีสอร์ทและสปา กระบี่ ในปี  2555   ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่ปีมานี้ จังหวัดกระบี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างสูง รวมทั้งมีศักยภาพอย่างมหาศาลที่จะเติบโตในอนาคต”   “เรามีความภาคภูมิใจมากที่มีโอกาสได้เป็นผู้นำในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดกระบี่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว สำหรับกิจการรีสอร์ทใหม่ทั้ง 3 แห่งนี้ มีส่วนช่วยกำหนดขอบเขตที่ดีเยี่ยมในการดำเนินธุรกิจของเราในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสวยงามมากๆ” ธีระยุทธ กล่าวอย่างภูมิใจ   คริส เบลีย์ รองประธานอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่าการเพิ่มรีสอร์ทอีก 3 แห่งในจังหวัดกระบี่ จะช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ให้เติบโตมากขึ้น โดยระบุว่า  “รีสอร์ททั้ง 3 แห่งจะนำเสนอประสบการณ์วันหยุดใน 3 รูปแบบที่แตกต่างกัน บนพื้นที่ที่โดดเด่นด้วยธรรมชาติที่สวยงาม และยังจะสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาลให้กับการวางกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา และจะช่วยสร้างชื่อเสียงของจังหวัดกระบี่ให้เป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพอีกด้วย”   ทั้งนี้ เซ็นทาราพิลิแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท จะเปิดให้บริการเป็นแห่งแรก โดยขณะนี้ กำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในกลางปี 2557 นี้  รีสอร์ทฯ ประกอบด้วยห้องพักสำหรับพักอาศัยจำนวน 92 ยูนิต ห้องอาหาร 1 แห่ง, สระว่ายน้ำ, มุมธุรกิจ และบีชคลับ   ส่วน เซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่ เตรียมวางแผนงานและการออกแบบในช่วงกลางปีนี้ โดยมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการภายในไตรมาสแรกของปี 2560  ประกอบด้วยห้องพัก 210 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ ห้องอาหาร 2 แห่ง บาร์ 1 แห่ง สระว่ายน้ำพร้อมสแน็คบาร์, สปาเซ็นวารี, ห้องจัดเลี้ยง, ศูนย์ธุรกิจ, ห้องออกกำลังกาย และคิดส์คลับ  ขณะที่เซ็นทาราพิลิแกนเบย์วิลลา กระบี่ จะเป็นรีสอร์ทสไตล์วิลลาเต็มรูปแบบ โดยวิลลาจำลองได้ถูกสร้างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ และจะเริ่มดำเนินการในส่วนของแผนแม่บทและการก่อสร้าง พร้อมๆ กันกับเซ็นทาราพิลิแกนเบย์รีสอร์ทและสปา โดยคาดการณ์ว่ารีสอร์ททั้ง 2 แห่ง จะเปิดให้บริการในช่วงเวลาเดียวกันคือ ไตรมาสแรกของปี 2560   ปัจจุบันโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราเป็นเชนโรงแรมชั้นนำของประเทศไทย มีโรงแรมและรีสอร์ทในเครือทั้งสิ้น 65 แห่ง โดยตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย 47 แห่ง และในต่างประเทศ 18 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม มัลดีฟส์ ศรีลังกา เซี้ยงไฮ้ บาหลี อินโดนีเซีย เกาะมอริเชียส มหาสมุทรอินเดีย และเอธิโอเปีย โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารามีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อตอบ สนองความต้องการของแขกผู้เข้าพักทุกกลุ่ม ทั้งคู่รัก ครอบครัว และกลุ่มนักท่องเที่ยว รวมทั้งผู้ที่ต้องการจัดประชุมและสัมมนา   นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ “สปาเซ็นวารี” ซึ่งเป็นสปาแบรนด์ไทยที่ให้บริการ สปาระดับแนวหน้ามาตรฐานสากลทั้งหมด 27 สาขา อีกทั้ง “เซนส์” บายสปาเซ็นวารี สปาแบรนด์ใหม่ที่เน้นการให้บริการ สปาทรีตเม้นท์ตอบสนองความต้องการของนักเดินทางในราคาที่คุ้มค่า และคิดส์คลับที่มีกิจกรรมสนุกสนานให้กับเด็กเล็กและเด็กโตในรีสอร์ทสำหรับ กลุ่มครอบครัวซึ่งอยู่ในเครือเซ็นทาราทั่วโลก นอกจากนี้ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารายังให้บริการห้องประชุมและคอนเวนชันที่ เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัย สามารถรองรับการประชุมและการสัมมนาขนาดใหญ่ได้ถึง 4 แห่ง โดยอยู่ในกรุงเทพฯ  2 แห่ง และ อีก 2 แห่ง ในภาคอิสาน ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี และ ขอนแก่น แบรนด์โรงแรมใหม่ล่าสุด ได้แก่ “โคซี่” ซึ่งเป็น  แบรนด์โรงแรมราคาประหยัด เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ ปานกลาง นิยมจองห้องพักออนไลน์และชื่นชอบความสะดวกสบายในราคาที่เป็นมิตร ขณะนี้เตรียมเปิดโรงแรมแห่งแรกในปี พ.ศ. 2559     สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เซ็นสัญญาเข้าบริหาร “เซ็นทาราพีลีแกนเบย์รีสอร์ทและสปา กระบี่, เซ็นทาราพีลีแกนเบย์เรสซิเดนซ์และสวีท กระบี่ และเซ็นทาราพีลีแกนเบย์วิลลา กระบี่”  กับ พรชัย งามศัพพศิลป์ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท เพอรี่แอนด์ซัน จำกัด โดยมี ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ (ที่ 3 จากขวา), สุภรัฐ จิราธิวัฒน์ (ที่ 2 จากขวา) และ ดร.รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ (ขวาสุด) พร้อมด้วย กัณวัล งามศัพพศิลป์ (ที่ 3 จากซ้าย), ขัณชรส งามศัพพศิลป์ (ที่ 2 จากซ้าย), แอนดรูว์ งามศัพพศิลป์ (ซ้ายสุด) ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ห้องโลตัส 10 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

ขอบคุณข้อมูลจาก : มติชน